บทที่ 503 กดเส้นเส้นหนึ่งลงไป
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมองไปยังช่องโพรงบนผนังด้านหลังของศาลด้วยสายตาเลื่อนลอย โคลงศีรษะเบาๆ จากนั้นก็หน้าม่อย พูดเสียงสั่น “เซียนซือฆ่าตู้อวี๋จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ตอบว่า “น่าจะเรียกว่าตายไปครึ่งตัวมากกว่า จิตวิญญาณ ของเขาถูกข้าพันธนาการเอาไว้แล้ว ตำหนักขวานผีเป็นสำนักที่ใหญ่ขนาดนั้น พ่อแม่ของเจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ยังเป็นคู่บำเพ็ญตนใหญ่อย่างที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเรียกอีก ข้าหรือจะกล้าไม่เคารพคนผู้นี้ ก็แค่สั่งสอนเขาเล็กน้อยเท่านั้น”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยืนได้ไม่มั่นคงจึงล้มจ้ำเบ้าลงไป ชุดกระโปรงปักลวดลายสีสันงดงามคล้ายกับดอกโบตั๋นที่ผลิบานสะพรั่งอยู่บนพื้นดิน
คนหนุ่มตรงหน้าผู้นี้ปากเคลือบน้ำผึ้ง แต่จิตใจกลับมีงูและแมงป่องคลานยั้วเยี้ย! ก็แค่มองดูแล้วอายุยังน้อย แต่ความจริงต้องเป็นเจ้าเฒ่าวิปริตที่ฝึกตนอยู่บนภูเขามานานหลายปีอย่างแน่นอน ช่างเป็นเทพเซียนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่จิตใจอำมหิต เสียจริง!
ชุดบนร่างของเฉินผิงอันสะเทือนหนึ่งครั้ง ฝุ่นผงที่ติดเปื้อนมาก็สลายหายไปด้วยตัวเอง ชุดเขียวเปลี่ยนมาเป็นสะอาดสะอ้านไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ด เฉินผิงอันเดินตรงผ่านแท่นบูชาเทพที่ปริแตกจนเกิดช่องโหว่นั้นไป ตอนที่เดินผ่านกองไฟและเด็กหนุ่ม ที่แกล้งตายผู้นั้นก็ยิ้มเอ่ยว่า “รีบเช็ดน้ำลายที่ไหลออกมาซะ แล้วก็แกล้งตายต่อไป”
เด็กหนุ่มชาวบ้านคนนั้นรีบทำตามทันที
เฉินผิงอันเดินไปนั่งบนธรณีประตูของศาล มองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและสาวใช้ สองคนของนาง ก่อนจะปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มน้ำที่หนักอึ้งของลำธารลึกกลางภูเขาหนึ่งอึก
แจกันสมบัติทวีปมีเทพอภิบาลเมืองคนหนึ่งชื่อว่าเสินเวิน ใบถงทวีปมีเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอ อุตรกุรุทวีปก็มีคนอย่างฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ เจ้าแห่งทะเลสาบ ชางอวิ๋นและเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันใช้วิชาลับอย่างหนึ่งมาเก็บดวงวิญญาณของตู้อวี๋ไว้จริง หาใช่แกล้งพูดจงใจขู่ให้ฮูหยินเทพวารีผู้นั้นหวาดกลัวไม่
นี่ไม่ใช่วิชาตระกูลเซียนขั้นพื้นฐานบนภูเขาอะไร แต่เป็นการค้าอย่างที่สองที่ ตอนนั้นเฉินผิงอันทำกับหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งทะเลสาบซูเจี่ยน ระดับขั้นของมันสูงยิ่ง แล้วก็เผาผลาญปราณวิญญาณอย่างมาก เวลานี้การสะสม ปราณวิญญาณในจวนน้ำของเฉินผิงอัน หลักๆ แล้วอยู่ที่วัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เป็น ธาตุน้ำ หรือก็คือตราประทับอักษรน้ำที่ลอยตัวอยู่ในจวนน้ำ แก่นโชคชะตาน้ำน้อยนิดที่มันสั่งสมและหล่อหลอมอยู่ทุกคืนวัน เวลานี้ถูกดึงมาใช้จนแทบหมดสิ้น ช่วงนี้ เฉินผิงอันไม่ค่อยกล้าใช้วิธีมองภายในไปตรวจสอบจวนน้ำมากนัก เพราะเขาทนเห็นสายตาตำหนิต่อว่าของเด็กๆ ชุดเขียวพวกนั้นไม่ได้
เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารที่เป็นสีหิมะเกลี้ยงแวววาวเม็ดหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ รวมไปถึงยาเม็ดสีชาดที่พื้นผิวภายนอกสลักตัวขระไว้จนเต็ม นี่ก็คือเรื่องที่ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผีคิดจะทำก่อนหน้านั้น เขาคิดจะลอบโจมตี เฉินผิงอัน ยาเม็ดนี้หล่อหลอมมาจากโอสถในของปีศาจตนหนึ่ง ประสิทธิผลคล้ายคลึงกับการโจมตีถึงแก่ชีวิตของนักฆ่ากลุ่มหนึ่งที่มาล้อมสังหารเหมาเสี่ยวตงใน เมืองหลวงต้าสุยปีนั้น เพียงแต่ว่านั่นคือโอสถทองของแท้แน่นอน แต่เม็ดที่อยู่บนมือเฉินผิงอันตอนนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบได้ติด มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นโอสถในของปีศาจขอบเขตชมมหาสมุทรตนหนึ่ง ส่วนเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารนั้น คิดดูแล้วตู้อวี๋คงไม่ถึงขั้นจะให้พวกเขาวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย จึงคิดจะอาศัย เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชิ้นนี้มาต้านทานแรงโจมตีจากการระเบิดของโอสถใน
แผนการถือเป็นแผนการที่ดี
ตอนนั้นที่เฉินผิงอันได้ยินเรื่องเก่าแก่ในอดีตของเมืองสุยเจี้ย สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ค่อยนิ่งสักเท่าไรจริงๆ ก่อนหน้านี้เขาแบ่งสมาธิไปจับตามองความเคลื่อนไหวของตู้อวี๋ รวมถึงสีหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กๆ น้อยๆ ของสาวใช้ทั้งสองอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นช่วงเวลาที่เฉินผิงอันเหม่อลอยถึงได้เผยช่องโหว่ให้ตู้อวี๋สบโอกาส
น่าเสียดายก็แต่ริ้วลมปราณที่กระเพื่อมขึ้นมาเล็กน้อยของตู้อวี๋ก่อนหน้านี้เป็นเหตุให้เศษหินที่อยู่ในร่องแตกของกำแพงปลิวกระจายขึ้นมาเล็กน้อย ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอาจจะสังเกตอะไรไม่เห็น แต่เมื่อมาอยู่กับเฉินผิงอันที่ปณิธานหมัดไหลเวียนวนได้อย่างเป็นธรรมชาติจนราวกับมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยปกป้องอยู่นั้นกลับไม่ต่างอะไรจากเสียงฟ้าคำรณ เพราะถึงอย่างไรการออกหมัดของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบในเรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่วต่างหากถึงจะเรียกได้ว่าเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียงอย่างแท้จริง ความรุนแรงดุจสายฟ้าระเบิด หลายๆ ครั้งเฉินผิงอันต้องอาศัยการเดา การเดิมพัน เอาด้วยซ้ำ ถึงจะได้ไม่ต้อง…ถูกหมัดกระแทกใส่แบบจังๆ คิดจะหลบนั้นหลบไม่พ้น อยู่แล้ว ต่อให้ชุยเฉิงจะจงใจกดปณิธานหมัดไว้ที่ขอบเขตเดินทางไกลก็ตาม และ ครานั้นเมื่อประมือกับจูเหลี่ยน คนบ้าวรยุทธอย่างเขาก็ถูกชุยเฉิงบีบให้ต้องซ้อม เฉินผิงอันจนร่อแร่ใกล้ตายอยู่ทุกวัน การออกหมัดนั้นไม่เรียกว่ามีการกะเกณฑ์ อย่างพิถีพิถันเลยจริงๆ
จะว่าไปแล้วยังคงเป็นเพราะตบะของตู้อวี๋ไม่สูงมากพอ
นี่ก็เหมือนตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในหุบเขาผีร้ายแล้วถูกเกาเฉิงแห่งนครจิงกวาน จับตามอง หนี เฉินผิงอันไม่มีความลังเลใดๆ
หากตู้อวี๋ไม่มีใจที่หวังว่าตัวเองจะบังเอิญโชคดี พอฟื้นคืนสติขึ้นมาแล้วเลือกจะหนีไปโดยตรง เฉินผิงอันย่อมขัดขวาง แต่จะไม่มีทางลงมือสังหารเขาแล้วกักวิญญาณไว้ในกรงขังอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเก็บโอสถพิทักษ์ชีวิตที่เป็นสมบัติก้นกรุของตู้อวี๋ชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ มือกำเม็ดเสื้อเกราะสีขาวหิมะเม็ดนั้นเอาไว้แล้วบิดหมุนมันเบาๆ พลางมองไปทาง ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ “ข้าเคยบอกไว้ว่า อะไรที่เจ้ารู้ ล้วนต้องเล่าให้ข้าฟังทั้งหมด ฮูหยินเองก็เคยบอกว่าจะไม่รนหาที่ตายอีก”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทรุดตัวนั่งอยู่บนพื้น สีหน้าเศร้ารันทด ใบหน้าเต็มไปด้วย ความโศกสลด “ใต้เท้าเซียนซือ บ่าวไม่ได้ปิดบังท่านจริงๆ นะ ใต้เท้าเซียนซือจะต้องใส่ร้ายบ่าวให้ตายถึงจะพอใจใช่ไหม?”
นางฟุบตัวนอนลงกับพื้น ซีกแก้มหนุนอยู่บนแขนสองข้าง ร่างโยกคลอนขึ้นลง ไหล่ทั้งสองสั่นสะท้านเบาๆ น่าสงสารอย่างถึงที่สุด พูดเสียงสะอึกสะอื้น “บ่าวไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงต้องมาถูกเซียนซือใส่ความเช่นนี้”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเงียบเสียงลงทันที
นาทีถัดมา เฉินผิงอันก็มานั่งยองอยู่ด้านข้างเทพวารีเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ ฝ่ามือกดลงบนศีรษะของนางแล้วเพิ่มน้ำหนักลงไปแรงๆ จุดจบของนางจึงเหมือนกับตู้อวี๋ก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน นั่นคือสลบเหมือดคาที่ ศีรษะเกินครึ่งฝังลึกลงไปในดิน
สาวใช้ทั้งสองหวาดผวาสุดขีด อยากจะหนีไปให้ไกล คนหนึ่งในนั้นถูกพายุลมกรดที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันกระแทกเข้าที่แผ่นหลัง เรือนกายบอบบาง ลอยหวือไปฝังอยู่กับผนัง แล้วก็หมดสติไปเช่นกัน
เหลือเพียงสาวใช้อีกคนหนึ่งที่ตัวสั่นสะท้าน เพิ่งจะก้าวขาออกไปหนึ่งก้าว ก็เหมือนถูกร่ายวิชาเซียนหยุดร่างเข้าใส่ ไม่กล้ากระดุกกระดิกแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันหมุนตัวไปนั่งบนแท่นบันได เอ่ยว่า “นับว่าเจ้าซื่อสัตย์กว่าพี่น้องที่ ไม่เชี่ยวชาญวิชาทะลุผนังมากพอผู้นั้นอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้ตอนที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ พูดถึงรายละเอียดบางอย่าง สายตาของเจ้าเผยข้อมูลให้แก่ข้าไม่น้อย ไหนลองเล่ามาสิ ถือเสียว่าช่วยตรวจสอบชดเชยข้อบกพร่องที่ฮูหยินของเจ้าตกหล่นไป
ไม่ว่าเจ้าจะวางใจหรือไม่ ข้าก็ยังต้องพูดซ้ำอีกรอบว่า ข้ากับพวกเจ้าไม่เคยมีความแค้นใดๆ ต่อกัน การสังหารสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำของพื้นที่หนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ผู้ติดตามหรือขุนนางผู้ช่วยก็ยังต้องได้รับผลกรรมอยู่ดี”
สาวใช้ผู้นั้นกลับไม่ใช่คนโง่ นางสูดน้ำมูกพูดเสียงสะอื้นว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเรียกคุณชายว่าเซียนซือ แต่บ่าวกลับคิดว่าคุณชายเหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวคนหนึ่งมากกว่า ตู้อวี๋ผู้นั้นก็บอกว่าคุณชายคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธอะไรสักอย่าง ผู้ฝึกยุทธฆ่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีผลกรรมติดตัว”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง กระบี่บินสืออู่ก็ พุ่งออกมา ประหนึ่งนกกระจอกที่บินล้อมวนกิ่งไม้ ท่ามกลางม่านราตรี แสงกระบี่ สีเขียวเข้มบินวนไปรอบกายเฉินผิงอันอย่างลิงโลดว่องไว
สาวใช้ปากอ้าตาค้าง “คุณชายเป็นเซียนกระบี่จริงๆ ด้วย!”
ว่ากันว่าใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบที่สูงส่งเหนือผู้ใดของทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้น ในชีวิตนี้กลัวการถูกเซียนกระบี่ใช้กระบี่บินตัดหัวมากที่สุดแล้ว!
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าว่าใช่ก็ใช่แล้วกัน”
สาวใช้เริ่มลังเลตัดสินใจไม่ได้ ใบหน้าของนางเผยความอัดอั้นขมขื่น ไม่เหมือนกับท่าทางบอบบางน่าสงสารของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก่อนหน้านี้ เพราะนี่เป็นความรู้สึกที่ออกมาจากใจจริงของนาง
ขอแค่วันนี้ตนเปิดเผยความลับสวรรค์ช้าสักหน่อย ด้วยนิสัยชอบคาดเดาของ ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ รวมไปถึงนิสัยป่าเถื่อนของใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้น ตนก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? หนึ่งทะเลสาบสามลำคลองสองคูน้ำ ภายในระยะเวลา หลายร้อยปีที่ผ่านมา เพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปกระตุ้นให้เจ้าแห่งทะเลสาบเกิดโทสะ พี่สาวน้องสาวทั้งหลายที่ถูกสาวจิตวิญญาณมาทำเป็นไส้ตะเกียงของตะเกียงน้ำที่ถูกจุดเผาไหม้อยู่ทุกเช้าค่ำ
นางยกสองมือนับก็ยังไม่พอ จิตวิญญาณของเหล่าพี่น้องจะได้พ้นจากห้วงทะเลแห่งความทุกข์ได้อย่างแท้จริงก็ต่อเมื่อน้ำมันแก่นวิญญาณหยดสุดท้ายในตะเกียงน้ำหมดลงแล้วเท่านั้น แต่กระนั้นพวกนางก็ยังไม่มีโอกาสได้กลับไปเกิดใหม่อยู่ดี
เดิมทีเฉินผิงอันอยากจะยกเส้นสายที่อ้อมค้อมบางอย่างมาพูด รวมไปถึงเปิดเผยแผนการในภายหลังที่ตนเตรียมไว้ให้นางได้รู้เล็กน้อย นางจะได้สบายใจขึ้น แต่สุดท้ายกลับพูดแค่คำเดียวว่า “พูด”
สาวใช้ตกใจจนร่างส่ายโงนเงน ไม่กล้าคิดหวังว่าตัวเองจะโชคดีอีก จึงเล่าเรื่อง วงในที่ตัวเองรู้และอนุมานมาได้รัวยาวเหมือนเทถั่วเหลืองออกจากกระบอกไม้ไผ่ให้เซียนซือหนุ่มผู้นี้ฟังในรวดเดียว
เจ้าแห่งทะเลสาบของทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นคือเทพวารีลำดับขั้นสูงเป็นอันดับหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิงพวกนาง ต่อให้เจอกับเจ้าแห่งขุนเขาทั้งหลายก็ยังสามารถนั่งทัดเทียมกับพวกเขาได้ สำหรับศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้น เขาดูแคลนมา โดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอัคคีที่เคยผูกปมแค้นกับ ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมาก่อน หลังจากประลองเวทกันไปครั้งหนึ่ง ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบก็เกือบจะบังคับน้ำทะเลสาบออกมา วางท่าว่าจะควบคุมให้น้ำท่วมทับ เมืองสุยเจี้ย บีบให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของศาลเทพอัคคีต้องปรากฏตัว แล้วโขกหัวยอมรับผิดต่อหน้าชาวบ้านทั้งเมือง ภายหลังถูกเซียนกระบี่เส้นผมขาวโพลนคนหนึ่งที่เดินทางผ่านมาช่วยเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยให้ ถึงได้ยอมเลิกรา แต่เจ้าแห่งทะเลสาบ กลับเคียดแค้นเมืองสุยเจี้ยอย่างลึกล้ำ ปีนั้นที่เจ้าเมืองส่งจดหมายลับไปหาสหาย ในเมืองหลวง ศาลเทพอภิบาลเมืองถูกปิดหูปิดตา แต่เจ้าแห่งทะเลสาบกลับเห็น อย่างชัดเจนเหมือนมองกองไฟในถ้ำมืด จึงแอบส่งเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีให้ไปดัก คนส่งจดหมายผู้นั้นเอาไว้ พอรู้เนื้อหาที่อยู่ในจดหมายลับ ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบ จึงนำของแทนตัวที่เป็นหยกลัญจกรชิ้นหนึ่งซึ่งสามารถออกคำสั่งให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แห่งภูเขาสายน้ำเดินทางไกลออกจากพื้นที่ของตัวเองไปได้ นำไปมอบให้กับ
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี สั่งให้นางเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงพร้อมกับ คนส่งจดหมายคนนั้น
เฉินผิงอันฟังมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลเทพอัคคีกับ ศาลเทพอภิบาลเมืองเป็นอย่างไร?”
สาวใช้ตอบ “ความสัมพันธ์ธรรมดา ตามหลักแล้วศาลเทพอัคคีลำดับขั้นต่ำกว่าเล็กน้อย แต่เทพองค์นั้นกลับไม่ค่อยชอบไปมาหาสู่กับศาลเทพอัคคี งานเลี้ยงขุนเขาสายน้ำที่ตระกูลเซียนมากมายบนภูเขาจัดขึ้น ทั้งสองฝ่ายก็แทบจะไม่เคยออกงานร่วมกันมาก่อน”
เฉินผิงอันถามอีก “แล้วเจ้าแห่งทะเลสาบมีท่าทีอย่างไรต่อศาลเทพอภิบาลเมือง?”
สาวใช้พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบดูแคลนท่านเทพ อภิบาลเมืองมากกว่า บางครั้งที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำของพวกเราดื่มจนเมามายอยู่ใน วังมังกรใต้ทะเลสาบ ยามที่กลับมาถึงเรือนพักส่วนตัวก็จะเล่าเรื่องบางอย่างให้พวกเราพี่น้องฟัง บอกว่านายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบเหยียดยันว่าท่านเทพอภิบาลเมืองคือ พวกโง่เขลาไร้ฝีมือ ตอนมีชีวิตอยู่ชอบไปลอกเลียนเอาบทกวีของบัณฑิตยากจนมามากที่สุด จากนั้นก็ทุ่มเงินสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง แคว้นอิ๋นผิงเลือกคนแบบนี้มาเป็นเทพอภิบาลเมืองก็เพียงแค่เพราะเห็นแก่ชื่อเสียงที่ดีงามของเขาเท่านั้น และตอน มีชีวิตอยู่เขาก็ไม่ใช่พวกคนที่มีความสามารถในการปกครอง เวลาปกติชอบกินลม ชมจันทร์ ตั้งฉายาให้ตัวเองว่าชมจันทร์เจินเหริน ชอบทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่ดีแต่ชี้นิ้ว สั่งคนอื่น แล้วก็ไม่รู้จักศาสตร์แห่งการใช้คน ดังนั้นหายนะของเมืองสุยเจี้ยครั้งนี้ จะเรียกว่าภัยพิบัติจากธรรมชาติได้อย่างไร ต้องเรียกว่าภัยจากมนุษย์ต่างหาก แต่ภายนอกความสัมพันธ์ระหว่างทะเลสาบชางอวิ๋นเรากับศาลเทพอภิบาลเมือง เมืองสุยเจี้ยก็ยังถือว่าพอคบค้ากันได้ ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นมักจะชอบพาขุนนางชนชั้นสูง ลูกหลานของอ๋องของกงออกไปท่องเที่ยวนอกเมืองหลวงเป็นประจำ แล้วก็มักจะมาเปิดหูเปิดตาที่วังมังกรใต้ทะเลสาบ
อีกทั้งในจวนเจ้าแห่งทะเลสาบก็มีสาวใช้ที่งดงามอยู่หลายสิบคน แต่ละคนล้วนมีเสน่ห์น่าหลงใหล เป็นเหตุให้ทุกครั้งที่แขกชนชั้นสูงมาเยือนอย่างเบิกบาน ก็ต้องกลับไปด้วยความสำราญทุกครั้ง”
เฉินผิงอันกล่าว “ศาลเทพอภิบาลเมืองทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถึงได้ก่อให้เกิดหายนะใหญ่อย่างในวันนี้ แน่นอนว่าศาลเทพอัคคีก็ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย อันที่จริงเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นของพวกเจ้าน่าจะยินดีที่ได้เห็นมากกว่ากระมัง”
สาวใช้ไม่ต่อคำ เงียบไปครู่หนึ่งก็ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “นายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบคือผู้นำของเทพวารีในหนึ่งแคว้น จิตใจลึกล้ำยากจะหยั่ง สาวใช้ต่ำต้อยอย่างข้าจะไปคาดเดาใจเขาออกได้อย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เก็บเม็ดเสื้อเกราะชิ้นนั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้อ จากนั้นก็ ดีดนิ้วเบาๆ สาวใช้หงายหลังผลึ่งลงกับพื้นทันที
เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง สาวใช้ที่ร่างจมอยู่ในผนังก็เหมือนถูกคนกระชากเข้ามาในเรือน นางกลิ้งตลบอยู่บนพื้น ก่อนจะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมา รู้สึกเพียงว่าปวดหัวราวกับหัวจะแตก กระดูกและเส้นเอ็นทั่วร่างก็คล้ายว่าจะคลายตัวหลวม
เฉินผิงอันถาม “เมื่อครู่นี้ในสมองของสาวใช้ผู้นี้เหมือนมีแต่แป้งเปียก ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่อง มองดูแล้วเจ้าน่าจะฉลาดกว่าหน่อย ไหนเจ้าลองเล่ามาสิ”
สาวใช้คนนี้คิดจะโขกหัวคำนับอ้อนวอนขอชีวิต แต่เฉินผิงอันกลับดีดนิ้วหนึ่งครั้ง พละกำลังที่ใช้ไม่มาก แต่กลับยังคงกระแทกให้นางลอยกระเด็นไปทางประตูใหญ่ของศาลเหมือนว่าวที่สายป่านขาด จากนั้นเฉินผิงอันก็ยื่นมือออกมากวัก บังคับให้นางลอยกลับมา แล้วเอามือบีบคอของนางไว้ สองฝ่ายจ้องตากัน สาวใช้มองตาเขาแล้วก็ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ สีหน้าเขียวคล้ำ ร้องอึกอักอยู่ในลำคอคล้ายมีเรื่องจะพูด
เฉินผิงอันสะบัดมือเหวี่ยงนางลงบนพื้นกลางลาน นางนอนพังพาบอยู่กับพื้น จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ลุกขึ้นยืน หันหน้าไปจ้องมองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำนิ่งๆ สายตาซับซ้อน ในสายตานั้นมีทั้งแววตาซาบซึ้ง อาลัยอาวรณ์ และความไม่พอใจ
สุดท้ายนางตีหน้าเคร่ง หันไปถ่มน้ำลายแรงๆ ใส่เซียนซือหนุ่มที่ทำเล่นผีหลอกเจ้า แล้วหัวเราะเสียงหยัน “ข้าผู้อาวุโสพูดจบแล้ว!”
เฉินผิงอันทำเพียงแค่ยื่นมือออกมาปัดน้ำลายกลุ่มนั้นให้สลายไป สีหน้ายังคงราบเรียบเป็นธรรมชาติ นั่งอยู่บนขั้นบันได มือทั้งสองข้างวางไว้บนไม้เท้าเดินป่าที่เป็นสีเขียวสดปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้เบาๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปดีดอีกครั้ง อีกฝ่ายจึงสลบไป
จากนั้นก็ใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะพื้นเบาๆ ลมพายุที่เหมือนกับงูตัวหนึ่งก็เลื้อยไปถึงท้ายทอยของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ นางพลันฟื้นคืนสติ ดึงหัวออกมาจากใต้ดิน จากนั้น ก็นั่งเหม่อลอยอยู่กับพื้น สีหน้ามึนงงเล็กน้อย
เฉินผิงอันมีสีหน้าเดือดดาล “สาวใช้ชั้นต่ำสองคนติดตามอยู่ข้างกายเจ้ามานานหลายปีขนาดนี้ ล้วนเป็นพวกโง่เง่าที่อยู่กินข้าวรอความตายไปวันๆ อย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทำท่าเหมือนยกภูเขาออกจากอก ในอดีตนางยังตำหนิสาวใช้ทั้งสองว่าเป็นพวกทึ่มทื่อ ไม่คล่องแคล่วว่องไว เทียบกับนังพวกจิ้งจอกในจวนของ นายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบที่ทำงานเก่ง เชี่ยวชาญการรั้งจิตผูกมัดใจของบุรุษไม่ได้ ตอนนี้มาลองนึกดูแล้วกลับกลายเป็นว่าเป็นเรื่องดี หากทะเลสาบชางอวิ๋นต้อง ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ถึงเวลานั้นไม่เพียงแต่พวกนางสองคนเท่านั้นที่ต้องกลายเป็นตะเกียงน้ำที่ถูกจุดไฟ แม้แต่ตำแหน่งเทพเจ้าแห่งคูน้ำของนางก็ยังยากจะรักษาไว้ได้ นังแพศยาเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นั้นชอบใช้คารมคมคาย แอบทำร้ายคน ลับหลังเป็นที่สุด
นังนั่นทำร้ายให้ควันธูปของตนต้องเบาบางมานานหลายปี แล้วยังคิดจะเข่นฆ่าตนให้ตายกันไปข้าง นี่ไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นแค่วันสองวันแล้ว คนทั้งทะเลสาบชางอวิ่นต่างก็มองดูเรื่องสนุกกันอยู่
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าไปเรียกเจ้าแห่งทะเลสาบผู้นั้นมา บอกว่าข้าช่วยเขาสังหารตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี ให้เขามาขอบคุณข้าด้วยตัวเอง จำไว้ว่าเตือนใต้เท้า เจ้าทะเลสาบของเจ้าสักคำว่า ข้าคนนี้ชายแขนเสื้อสองข้างมีแต่ลมเย็น ทนรับ กลิ่นเหม็นทองแดงไม่ได้มากที่สุด ดังนั้นจึงถูกชะตากับแค่สมบัติวิเศษแห่งแม่น้ำ ลำคลองเท่านั้น”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอึ้งตะลึงไป “ให้ข้าไป?”
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “หรือจะให้ข้าไปล่ะ?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำลุกขึ้นเตรียมจะโคจรวิชาอภินิหาร จำแลงร่างกลายเป็นไอน้ำ ที่หนีไปไกล
เฉินผิงอันชี้ไปยังสาวใช้สองคนที่นอนกองอยู่บนพื้น “รูปโฉมของพวกนางงดงามกว่าเจ้าที่เป็นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่น้อย หลังจากที่เจ้าแห่งทะเลสาบมาขอบคุณ ข้าแล้ว ข้าจะไปที่เมืองสุยเจี้ย เมื่อได้วัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่กำลังจะเผยตัวบนโลกมาครองแล้ว จะต้องไปเยี่ยมหาเขาที่วังมังกรใต้ทะเลสาบอย่างแน่นอน ข้าท่องอยู่ใน ยุทธภพมาได้ไม่นาน อ่านหนังสือมาไม่มาก ในนิยายส่วนใหญ่ก็มักจะบันทึกไว้ว่า นับแต่โบราณมามังกรเพศเมียหลายใจ สาวใช้ข้างกายก็ยิ่งเย้ายวนมีเสน่ห์ ข้าจะต้องไปเปิดหูเปิดตาให้รู้สักหน่อย ดูสิว่าจะงามพิลาสได้มากกว่าสาวใช้สองคนข้างกาย ฮูหยินหรือไม่ หากมังกรหญิงและเหล่าสาวใช้ในวังมังกรงดงามยิ่งกว่า ฮูหยินเจ้าแห่ง คูน้ำก็ไม่ต้องหาสาวใช้คนใหม่แล้ว แต่หากหน้าตาพอๆ กัน ถึงเวลานั้นข้าจะขอตัวพวกนางไปทั้งหมด ยามที่เดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงจะได้เอาพวกนาง ไปขายในราคาสูง”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบเอ่ยคล้อยตาม “สาวใช้ต่ำต้อยทั้งสองคนนี้ได้ปรนนิบัติรับใช้เซียนซือก็ถือเป็นวาสนาที่ใหญ่เทียมฟ้าของพวกนาง…”
เฉินผิงอันตัดบทคำพูดของนางด้วยเสียงหัวเราะดูแคลน “แต่หากข้าได้เห็น แล้วรู้สึกผิดหวังกับพวกนางอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำกับเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีที่เป็นพี่น้องที่สนิทกับเจ้า คงต้องเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับข้าแล้ว”
สำหรับเรื่องพวกนี้ ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่ได้เป็นกังวลมากนัก เพราะถึงอย่างไรก็มีใต้เท้าเจ้าทะเลสาบคอยต้านรับให้ ขอแค่ตนสามารถกลับไปถึงวังมังกรทะเลสาบ ชางอวิ๋นได้อย่างปลอดภัย ได้พบกับเจ้าแห่งทะเลสาบ ไม่ว่าเรื่องใดก็พูดง่ายทั้งนั้น
สุดท้ายแล้วผลประโยชน์จะตกอยู่ในมือใครก็ยังไม่อาจบอกได้
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบสะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำสีเขียวมรกตสองกลุ่มก็พากันบินไปยังใบหน้าของสาวใช้ทั้งสอง ทำให้ทั้งสองคืนสติ จากนั้นนางก็เอ่ยขอตัวลากับเซียนซือผู้นั้นหนึ่งคำ บอกว่าจะรีบไปรีบกลับอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันพลันเรียกฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นเอาไว้
เรือนกายของฝ่ายหลังแข็งทื่อ หมุนตัวกลับมาพูดด้วยน้ำเสียงจืดเจื่อน “ไม่ทราบว่าเซียนซือมีอะไรจะสั่งความอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแก่นโชคชะตาน้ำให้ข้ายืมใช้สักหน่อย ไม่มาก หนักแค่สองตำลึงก็พอ”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำทั้งตกตะลึงทั้งเสียดาย แล้วก็ทั้งรู้สึกว่าตัวเองโชคดี แก่นโชคชะตาน้ำคือวัตถุแห่งชะตาชีวิตอันเป็นรากฐานมหามรรคาในการฝึกตนของเทพวารี เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับการที่ต้องมาตายอยู่ที่นี่แล้ว ถึงอย่างไรก็คุ้มค่ากว่า นางรีบยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงตรงหว่างคิ้วของตัวเอง แสงสีเขียวครามก็พลันเปล่งประกาย
จากนั้นแสงสีทองเส้นหนึ่งที่เหมือนกับธารน้ำไหลจากร่องน้ำบนยอดเขาลงมาเบื้องล่างก็วนอ้อมผ่านไหล่ของนาง ไหลรินมาตามลำแขน มุ่งตรงไปยังข้อมือ สุดท้ายบนฝ่ามือนางก็ถือประคองหยดน้ำสีเขียวมรกตหยดหนึ่ง นางผลักไปทางเฉินผิงอันเบาๆ ครั้นจึงปาดเหงื่อบนหน้าผาก แล้วยิ้มกล่าวว่า “เซียนซือบอกว่าขอยืม ทำให้บ่าวรู้สึกละอายยิ่งนัก แก่นชะตาน้ำสามสี่ตำลึงนี้ ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้า ชิ้นเล็กๆ ที่บ่าวโชคดีได้มาพบเจอเซียนซือก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เมื่อเทียบกับถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่เป็นสมบัติประหลาดชิ้นนั้นแล้ว ของขวัญชิ้นนี้ก็นับว่าเล็กจริงๆ”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่กล้าพูดอะไรอีก
ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนคือรากฐานชีวิตและมหามรรคาของนาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำนอกจากจะสามารถใช้ควันธูปหล่อหลอมร่างทองได้แล้ว วัตถุตระกูลเซียนที่จะนำมาเพิ่มพูนตบะของตนได้ก็มีเพียงหยิบมือเท่านั้น ทุกชิ้นล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าสูงสุด ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนเคยเป็นสมบัติหนักในวังมังกรของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น การที่ เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีอาฆาตแค้นนางมากขนาดนี้ ก็เพราะต้องการถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่มีประวัติความเป็นมายาวนานชิ้นนี้ ตามคำบอกของนายท่านเจ้าแห่งทะเลสาบ มันเคยเป็นภาชนะที่ใช้ในพิธีการที่สำคัญของอารามเต๋าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ถูกควันธูป อาบย้อมมานับพันปี ถึงทำให้มีประสิทธิภาพเช่นนี้ได้
เมื่อนายบ่าวสามคนออกไปจากศาล
เฉินผิงอันก็เก็บไข่มุกโชคชะตาน้ำเม็ดนั้นมา น้ำหนักสี่ตำลึง หากคิดจะดับกระหายชั่วครั้งชั่วคราวนั้น ย่อมได้ อีกทั้งประสิทธิภาพยังยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุด เหนือกว่ายาวิเศษด้วยซ้ำ แต่นี่ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาในระยะยาว
บนเส้นทางของการฝึกตน ทางลัดบางอย่างสามารถทำให้ผู้ฝึกตนเดินไปถึงกึ่งกลางภูเขาได้อย่างรวดเร็วก็จริง แต่ยิ่งเป็นช่วงหลังๆ ก็จะยิ่งมีภัยแฝงตามมา นับไม่ถ้วนมากเท่านั้น
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนหลอมไข่มุกน้ำเพื่อชดเชยปราณวิญญาณในจวนน้ำ เขานั่งอยู่ที่เดิม คิดเรื่องอะไรไปเรื่อยเปื่อย
เฉินผิงอันรู้ดีว่าพวกนางไปครั้งนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องกลับมา เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่ขึ้นฝั่งมาพบหน้ากัน ตู้อวี๋ แห่งตำหนักขวานผีคนหนึ่งตายไป จะให้เขาที่เป็นผู้ร่วมครองทะเลสาบชางอวิ๋น วิ่งขึ้นมาเก็บศพให้อย่างนั้นหรือ? ขอแค่ขึ้นฝั่ง เข้ามาในศาล นั่นก็เท่ากับว่าถูกเขา เฉินผิงอันตบหน้าหนักๆ แล้วเอาขี้ป้ายหน้าซ้ำ ตำหนักขวานผีและคู่บำเพ็ญเพียร ที่เป็นพ่อแม่ของตู้อวี๋จะยังสนใจอีกหรือว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะเป็นปลาที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย หรือจะต้องเจอกับหายนะที่มาเยือนโดยไม่คาดฝันหรือไม่? อีกอย่างเจ้าเป็นถึงผู้นำเทพวารีแห่งแคว้นอิ๋นผิงผู้ยิ่งใหญ่ ยังจะกล้าพูดว่าตัวเองเป็นปลาที่ติดร่างแหอย่างนั้นหรือ?
ส่วนสาวใช้สองคนในศาลนั้น
คนหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับเขาเฉินผิงอัน
ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นปฏิปักษ์กับฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ
ดังนั้นล้วนสามารถมีชีวิตรอดได้
เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็มีลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่เกิดจากควันดำหลายสิบเส้นรวมตัวกันลอยขึ้นมา สุดท้ายแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าของบุรุษที่บิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด ก็คือตู้อวี๋
ทุกครั้งที่มีลมเย็นปกติโชยผ่าน ลูกกลมที่เกิดจากการรวมตัวกันของสามจิต เจ็ดวิญญาณนั้นก็จะเจ็บปวดทรมาน ราวกับผู้ฝึกตนที่เผชิญกับความทุกข์จาก ทัณฑ์สายฟ้า
วัตถุหยินบนโลกไม่ได้รับการยอมรับจากฟ้าดินเช่นนี้ ตู้อวี๋ที่ตายไปแล้วครึ่งหนึ่งพยายามสุดความสามารถที่จะเปิดปากพูด แต่กระนั้นน้ำเสียงก็ยังเบาราวกับเสียงยุง “ขอร้องเจ้าล่ะ รีบเอาวิญญาณข้าใส่กลับเข้าไปในร่างเถอะ ยังพอจะแก้ไขได้ ยังพอ จะแก้ไขได้ ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ข้าตู้อวี๋จะกรีดแก่นเลือดจากหัวใจสามหยด จุดธูปสามดอก กราบไหว้บอกแก่บรรพจารย์ในฟ้าดิน ตั้งคำสัตย์สาบานของ ตระกูลเซียนที่สืบทอดเป็นวิชาลับมาจากสำนัก จะไม่กล้าตั้งตัวเป็นศัตรูกับเจ้า อีกต่อไปแล้ว ไม่กล้าอีกแล้ว…”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พูดกับตัวเองต่อไปว่า “ค่ำคืนที่สายลมวสันต์ พัดโชย (เปรียบเปรยถึงชายหญิงที่มีสัมพันธ์กัน) คำกล่าวที่ดีขนาดนี้ เหตุใดพอออกมาจากปากของเจ้าถึงได้ต่ำช้าขนาดนี้? หืม?”
เฉินผิงอันเกร็งห้านิ้วงอน้อยๆ เป็นตะขอก็มีพายุลมกรดหลายเส้นพัดหมุน ปกคลุมลูกกลมดวงวิญญาณลูกนี้ไว้พอดี
ตู้อวี๋พลันร้องโหยหวนคร่ำครวญขึ้นมา
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “รสชาติของจอมยุทธหญิงในยุทธภพเป็นรสชาติแบบใดกันแน่? ไหนเจ้าลองบอกข้ามาสิ ข้าเองก็เป็นคนที่เคยท่องยุทธภพมาเหมือนกัน แต่กลับไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย”
ตู้อวี๋กำลังจะเปิดปากพูด
เฉินผิงอันกลับผินหน้าออกไป ทว่ากลับเพิ่มกำลังลงบนฝ่ามือ ลมพายุยิ่งรวมตัวกันกระชับแน่น ถึงขนาดปรากฎภาพน่าตะลึงที่พายุเข้มข้นราวกับน้ำที่กำลังจะ เกาะตัวเป็นน้ำแข็ง เฉินผิงอันใช้หูเงี่ยฟังเสียงอีกฝ่ายแล้วถามว่า “เจ้าพูดว่าอะไรนะ? เสียงดังหน่อยสิ ข้าได้ยินไม่ถนัด”
สามจิตเจ็ดวิญญาณของตู้อวี๋เพิ่งจะถูกวิชาลับดึงออกมาจากเรือนกาย เดิมทีก็อยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย ดวงวิญญาณ ฉีกขาด ควันดำสิบเส้นก็รัดพันเหมือนเชือกป่าน หากยังเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้ หนีออกไปจากกรงขังนี้ได้ก็จะต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนที่สูญเสียสติไป อย่างสิ้นเชิง กลายไปเป็นผีร้ายที่เลอะเลือนไร้สติ ไม่ว่าผู้ฝึกตนตระกูลเซียนคนใด พบเจอก็คิดเข่นฆ่าสังหาร
เฉินผิงอันปล่อยนิ้วทั้งห้าแล้วยกมือขึ้นอ้อมไหล่ไป โบกมือไปด้านหน้าเบาๆ ศพที่อยู่ด้านหลังศาลก็ลอยมากระแทกลงในลาน
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เดินมานั่งยองอยู่ข้างศพของตู้อวี๋ พลิกฝ่ามือกลับแล้วกดลงไปในฉับพลัน
ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ตู้อวี๋ก็น้ำลายฟูมปาก ชักกระตุกไม่หยุด เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด มองดูน่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องดี
หากไม่มีความเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็หมายความว่าเนื้อหนังมังสาร่างนี้ปฏิเสธ ไม่ให้ดวงวิญญาณเข้ามาพักพิงแล้ว และหากดวงวิญญาณไม่อาจเข้าไปอยู่ภายใน สามจิตเจ็ดวิญญาณก็ได้แต่ออกไปจากเรือนกาย ระเหเร่ร่อนไปทั่วทิศ หากไม่ต้อง ถูกลมจำนวนมากที่อยู่ในฟ้าดินพัดพาให้สลายหายไป ก็อาจจะโชคดีได้รับ ปราณวิญญาณหนึ่งเศษแสงวิญญาณหนึ่งเสี้ยว สุดท้ายก็พอจะฝืนอดทนกลายไปเป็น ผีวัตถุหยินตนหนึ่งได้
ตู้อวี๋ลุกขึ้นนั่ง กระอักเลือดออกมาคำใหญ่ จากนั้นก็รีบนั่งขัดสมาธิแล้วเริ่มทำมุทรา จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายในร่าง พยายามปลอบโยนช่องโพรงลมปราณสำคัญที่ส่ายไหวไม่หยุดให้ได้มากที่สุด
รอจนกระทั่งตู้อวี๋ที่เลือดท่วมร่างพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาแรงๆ ก็หันหน้ามามอง
คนผู้นั้นนั่งยองอยู่ห่างไปไม่ไกล สองมือสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ จ้องมองดาบที่อยู่บนพื้นเล่มนั้น
ความคิดของตู้อวี๋แล่นเร็วจี๋
คนผู้นั้นยังคงนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก
ตู้อวี๋ถอนหายใจหนึ่งที ล้มเลิกความคิดที่จะต่อสู้เอาชีวิตกับอีกฝ่าย เขาลุกขึ้นยืนช้าๆ ใช้นิ้วกดลงตรงหัวใจสามที ใบหน้าพลันบิดเบี้ยว จากนั้นแก่นเลือดสามหยดของหัวใจก็เหมือนไส้ตะเกียงที่ถูกจุดไฟ ควันสีเขียวสามกลุ่มลอยกรุ่นเหมือนธูปสามดอก ตู้อวี๋ก้มหน้าลงเล็กน้อย สองมือถือธูปยกขึ้นเสมอคิ้ว พูดด้วยเสียงอันดังว่า “นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตู้อวี๋ลูกศิษย์สำนักการทหารแห่งตำหนักขวานผี ขอบอกกล่าวแก่ฟ้าดิน บิดามารดา ครูบาอาจารย์ ขอสาบานว่าจะไม่แก้แค้น บุญคุณความแค้น ครั้งนี้ให้เหมือนการจากลาระหว่างขุนเขาสายน้ำ นับจากนี้ไปจะไม่หันหลังกลับ…”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เท้าเหยียบอยู่บนด้ามดาบ กระทืบเบาๆ หนึ่งที แสงดาบเปล่งประกายวาบแล้วก็พุ่งกลับไปสอดอยู่ในฝักดาบตรงเอวของตู้อวี๋ได้อย่างพอดิบพอดี
ทำเอาตู้อวี๋ตกใจจนแข้งขาอ่อนอีกรอบ
นี่เรียกว่าโดนงูกัดครั้งเดียวกลัวเชือกไปสิบปี
เฉินผิงอันที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าเดินไปทางประตูใหญ่ของศาล “พบเจอกันนับเป็นวาสนา ข้ามีเรื่องบางอย่างที่อยากจะขอความรู้จากเจ้าสักหน่อย”
ในใจตู้อวี๋คิดไม่ตก วาสนากับท่านปู่เจ้าเถอะ อีกนิดเดียวข้าผู้อาวุโสก็เกือบจะต้องกายดับมรรคาสลายอยู่ในคูน้ำเหม็นๆ นี่แล้ว แม้จะคิดอยู่ในใจเช่นนี้ แต่เขาก็ยังทำตัวว่าง่าย เดินตามด้านหลังคนผู้นั้นออกไปจากศาลสุ่ยเซียนแต่โดยดี
ชายแขนเสื้อของตู้อวี๋ว่างเปล่า ไม่มีเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างที่ยืมมาจากบิดา อีกแล้ว โอสถปีศาจที่ไปขอร้องจากมารดามาอย่างยากลำบากก็ไม่เหลืออยู่แล้วเหมือนกัน หัวใจที่เสียดายอย่างสุดแสนของเขาบีบรัดตัวจนแทบจะขมวดเป็น ก้อนกลม เพียงแต่พอคิดถึงความทรมานยามที่สามจิตเจ็ดวิญญาณถูกคนกักขังไว้ ในมือ ร่างของตู้อวี๋ก็สะดุ้งเฮือกอย่างอดไม่อยู่ จิตใจไม่สงบนิ่ง วิญญาณ กระวนกระวาย นี่ก็คือโรคที่ทิ้งไว้เมื่อจิตวิญญาณออกนอกร่าง อีกหลายสิบปีต่อจากนี้ต้องรักษาตัวเองให้ดีถึงจะได้ การเดินทางมาเมืองสุยเจี้ยครั้งนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็สะดุดล้มหัวทิ่ม ไม่เพียงแต่รากฐานมหามรรคาถูกทำร้าย ตอนกลับไปตำหนักขวานผีจะอธิบายให้ท่านพ่อท่านแม่ฟังอย่างไรก็ยิ่งเป็นปัญหาใหญ่
คนทั้งสองเดินตามกันไปบนทางเส้นเล็กที่มีกอหญ้ารกชัฏ
แสงจันทร์งามสงบ ไอหมอกเยียบเย็น
แต่อันที่จริงจิตใจของตู้อวี๋กลับเยือกเย็นยิ่งกว่า
คนผู้นี้เป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่? ผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายสิบแคว้น ไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธน้อยใหญ่เพียงใด ตู้อวี๋ที่เดินทางท่องไปทั่วทิศมีความรู้กว้างขวาง แต่กลับไม่เคยเจอคนแบบนี้มาก่อนจริงๆ
ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สามารถทำให้เขาตู้อวี๋อัดอั้นได้ขนาดนี้ก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้
เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าเดินป่าเปิดทาง เหมือนเดินเล่นอยู่ใต้แสงจันทร์ สภาพจิตใจจึงค่อยๆ เข้าสู่สภาวะสงบนิ่งมั่นคง เขายิ้มเอ่ยว่า “รู้หรือไม่ว่าทำไมวิญญาณของเจ้ายังสามารถกลับคืนเข้าร่างได้อีกครั้ง?”
ตู้อวี๋ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เพราะผู้อาวุโสต้องการยันต์สองชนิดของตำหนักขวานผีพวกเรา? หากเปิดเผยวิชาลับของศาลบรรพจารย์ ข้าจะต้องถูกสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะและถูกขับไล่ออกจากสำนัก”
เฉินผิงอันเอ่ย “ฟ้ารู้ดินรู้ เจ้ารู้ข้ารู้ จะต้องกลัวอะไร? อีกอย่างเจ้าท่องอยู่ใน ยุทธภพมานานหลายปีขนาดนี้ แม้แต่เจ้าแม่เทพวารีคนหนึ่งก็ยังกล้าล่อออกมา ยังจะกลัวกฎเกณฑ์พวกนี้อีกหรือ? คนอย่างพวกเจ้าน่ะ แหกกฎเพื่อความบันเทิงกันอยู่แล้ว”
ตู้อวี๋ยิ่งตกตะลึงอยู่ในใจ
คำพูดประโยคนี้มีเพียงคนที่บรรลุมหามรรคา คนที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะสามารถพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติเช่นนี้
ถ้อยคำและน้ำเสียงทำนองนี้ พ่อแม่ของเขาก็เคยพูดกับเขาเป็นการส่วนตัวมาก่อน
เฉินผิงอันกล่าว “คืนนี้ขอแค่เจ้าตายอยู่ในศาลสุ่ยเซียนบนทะเลสาบชางอวิ๋น ตำหนักขวานผีคิดจะตามตัวข้าไม่ใช่เรื่องง่าย ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะหาตัวข้าก็ยากอีกเหมือนกัน ถึงท้ายที่สุดแล้วจะไม่ใช่บัญชีเละเทะ บัญชีหนึ่งหรอกหรือ? ดังนั้นตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรเป็นกังวลไม่ใช่เรื่องที่ต้องเปิดเผยความลับของสำนักอะไร แต่ควรกังวลว่าเมื่อข้ารู้วิธีวาดยันต์และคาถาที่ใช้คู่กันแล้ว จะฆ่าเจ้าปิดปากให้จบเรื่องจบราวกันไปหรือไม่”
นี่คือวิธีการสาดโคลนป้ายสีผู้อื่นที่เรียนรู้มาจากบัณฑิตในหุบเขาผีร้าย
ตู้อวี๋เงียบงันไร้คำตอบ
คนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือผู้นี้พูดจาอ่อนโยนเหมือน การคุยเล่นทั่วไปของสหายที่สนิทสนมกัน “รู้เหตุผลของพวกเจ้า แล้วค่อยมาพูดเหตุผลของข้า ก็คุยกันได้ง่ายขึ้นเยอะเลย”
ตู้อวี๋หยุดเดิน “ผู้อาวุโสจะรับประกันได้อย่างไรว่า หากข้าบอกวิธีการเขียนยันต์แบกศิลาและยันต์รอยหิมะไปแล้วจะไม่ฆ่าข้าปิดปากและทำลายศพของข้าทิ้ง?”
เฉินผิงอันหยุดเดินตามเขา หันหน้ากลับมาเอ่ยว่า “เจ้าได้แต่เดิมพันด้วยชีวิตเท่านั้น”
ตู้อวี๋กล่าวอย่างน่าเวทนา “ผู้อาวุโส! ข้าให้คำสัตย์สาบานไปแล้ว! เหตุใดถึงยังต้องบีบบังคับกันไม่เลิกราเช่นนี้?”
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นทำสีหน้าตกตะลึง “เจ้าอาศัยความสามารถของผู้ฝึกตนที่เป็นผู้สืบทอดสายตรงของสำนักใหญ่ลงจากเขามาเที่ยวเล่นในยุทธภพ เห็นชีวิตคนอื่น ไร้ค่าดุจต้นหญ้า ข้าหมัดแข็งกว่าเจ้า เห็นเจ้าเป็นมดตัวหนึ่งที่จะเอามาบี้เล่นอยู่ในมืออย่างไรก็ได้ นี่ก็คือหลักการเดียวกันไม่ใช่หรือ? มันเข้าใจยากนักหรือไง? เจ้าโง่ขนาดนี้ พ่อแม่เจ้าไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือ?”
ตู้อวี๋อยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก
มาเจอกับผู้อาวุโสบนภูเขาที่ ‘ตรงไปตรงมา’ เช่นนี้ หรือต้องโทษที่ออกเดินทางครั้งนี้ตนไม่ได้เปิดปฏิทินเหลืองดูฤกษ์ให้ดีก่อนจริงๆ?
เฉินผิงอันมองไปยังทะเลสาบชางอวิ๋นที่อยู่ห่างไปไกล “รอให้เจ้าแห่งทะเลสาบขึ้นฝั่ง ก็ไม่แน่ว่าเจ้าจะมีโอกาสได้เปิดปากอีกแล้ว ใช้ยันต์สองแผ่นมาซื้อชีวิต ขนาดข้ายังรู้สึกว่าการค้าครั้งนี้ คุ้มค่าแล้ว”
ตู้อวี๋กัดฟัน “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอเดิมพันว่าผู้อาวุโสไม่ยินดีจะให้มือตัวเองสกปรก ต้องเจอกับเวรกรรมตามติดตัวอย่างเปล่าประโยชน์”
เฉินผิงอันย้ายสายตามองไปยังทิศทางของเมืองสุยเจี้ย ใบหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง
ตู้อวี๋ไม่กล้าชักดาบ ได้แต่หักกิ่งไม้อันหนึ่งออกมา ย่อตัวลงนั่งยองแล้วเริ่มวาดยันต์พลางใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจบอกคาถาแก่คนผู้นั้น
เมื่อมียันต์แบกศิลาอยู่ติดกายจะสามารถอำพรางเรือนกายและลมปราณได้ อย่างดีเยี่ยม เหมือนเต่าชราที่แบกศิลาหนักอึ้งซึ่งสามารถอยู่นิ่งไม่ขยับคล้ายตายไปแล้วนานเป็นพันปี
แต่การที่ตัวผู้ฝึกตนจะสำรวจตรวจสอบโลกภายนอกก็มีขีดจำกัดด้วยเหมือนกัน อาณาเขตที่สามารถสังเกตการณ์ได้จะหดเล็กลงมาไม่น้อย เพราะถึงอย่างไรใต้หล้านี้ ก็มีเรื่องที่มีแต่ได้กับได้อยู่น้อยนัก
ยันต์ประเภทนี้คือหนึ่งในท่าไม้ตายของผู้ฝึกตนสำนักการทหารตำหนักขวานผี ที่เชี่ยวชาญการลอบฆ่า
ส่วนยันต์รอยหิมะนั่นก็ยิ่งเป็นยันต์ที่อาจารย์ค่ายกลบนภูเขาหลายคนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ยันต์ของตำหนักขวานผีที่มีอีกชื่อหนึ่งว่ายันต์นกบินนี้ มีประวัติศาสตร์ยาวนาน คือวิชาถนัดของบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาของสำนัก เพียงแต่ว่าลูกศิษย์รุ่นหลังของตำหนักขวานผีส่วนใหญ่ล้วนรู้แค่เพียงผิวเผิน ยากที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ ตู้อวี๋ก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ แต่มารดาของเขากลับเชี่ยวชาญยันต์ประเภทหนี้ คือคนแรกในรอบสามร้อยปีของสำนักที่สามารถวาดยันต์รอยหิมะได้ และก็เคยแอบถ่ายทอดยันต์นี้ให้แก่ผู้ฝึกตนใหญ่จวนเซียนอันดับต้นๆ ท่านหนึ่ง เป็นเหตุให้มรรคกถาของคนผู้นั้นเพิ่มพูน ภายหลังตำหนักขวานผีรู้เรื่องเข้า คนในบ้านของตัวเองยังไม่พูดอะไร กลับกลายเป็นว่าภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นศัตรูกับผู้ฝึกตนคนนั้น วิ่งมาซักไซ้เอาความผิด ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันใหญ่โต แต่สุดท้ายก็ถือว่าเรื่องจบไปแบบค้างคา การลงโทษที่ทางศาลบรรพจารย์มีต่อมารดาเขาก็แค่ให้ปิดด่านทบทวนตัวเองสิบปี สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ระยะเวลาสั้นๆ เพียงแค่สิบปี ดีดนิ้วทีเดียวก็ผ่าน ไปแล้ว จะนับเป็นการลงโทษกะผายลมอะไรได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานที่ ที่นางใช้ทบทวนตัวเองยังเป็นพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลที่ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น หลังจบเรื่องตู้อวี๋ก็เพิ่งจะมารู้ว่าผู้ฝึกตนใหญ่สำนักลำดับต้นที่ได้รับยันต์รอยหิมะของสำนักไปนั้นได้แอบมาเยือนที่ตำหนักขวานผีครั้งหนึ่ง น่าจะมาเพื่อขอร้องแทนท่านแม่ของเขา
แรกเริ่มตู้อวี๋ยังกังวลว่าคนผู้นี้จะแค่อยากได้ยันต์ทั้งสองชนิดไปไว้เท่านั้น เพราะคิดว่ามีสมบัติมากก็ไม่กลัวว่าจะทับตัวตาย แต่แท้จริงแล้วกลับไม่เชี่ยวชาญ ด้านวิชาของยันต์ ตู้อวี๋คิดไว้เรียบร้อยแล้วว่าเดี๋ยวตนคงจะต้องเปลืองน้ำลาย มากหน่อย ทำตัวเป็นอาจารย์สอนหนังสือที่น่ารำคาญใจดูสักครั้ง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นแค่ฟังตนอธิบายไปเรื่อยๆ นับตั้งแต่สาระสำคัญของยันต์ทั้งสองไปจนถึงเนื้อหา ในคาถาแล้วก็ลงรายละเอียดไปถึงจุดสำคัญที่ยิบย่อย คนผู้นั้นกลับไม่เอ่ยถามอะไร สักคำ เพียงแต่บอกให้ตู้อวี๋พูดทวนซ้ำสามรอบ ตอนที่พูดซ้ำรอบที่สอง เนื่องจาก ตู้อวี๋ท่องคำอธิบายตัวอักษรของยันต์มาจนคล่องปาก เป็นเหตุให้พลาดประโยคหนึ่ง ที่ไม่สลักสำคัญไปโดยบังเอิญ ผลคือพบว่าคนผู้นั้นหรี่ตาลง ยกไม้เท้าเดินป่าที่ ตอนแรกค้ำพื้นดินเอาไว้ขึ้นมา ทำเอาตู้อวี๋ตกใจจนเกือบจะตบปากตัวเอง รีบพูดเสริมชดเชยข้อผิดพลาดด้วยการทวนซ้ำอีกรอบโดยไม่ให้ขาดไปแม้แต่ตัวอักษรเดียว
หลังจากพูดจบสามรอบ
คนผู้นั้นก็ก้มหน้าลงมองยันต์สองแผ่นที่อยู่บนพื้น
ตู้อวี๋ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
คนผู้นั้นใช้ไม้เท้าเดินป่าขีดเขียนตามแบบเขา วาดออกมาเป็นยันต์แบกศิลาและยันต์รอยหิมะที่เมื่อเทียบกับของเขาแล้วนับว่าหยาบกว่า แต่ตอนที่วาดยันต์เสร็จกลับมีแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งวาบเชื่อมทุกขีดตัวอักษรบนยันต์ ส่องแสงเรืองรอง แม้ระดับขั้นของยันต์จะไม่สูง แต่ก็ถือว่าวาดได้สำเร็จแล้ว
เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของตู้อวี๋
มารดาข้า วิชาของการเขียนยันต์นี้ไม่ได้จะฝึกสำเร็จกันได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้น เหตุใดบิดาเขาที่ขอบเขตก็สูง แต่บรรพจารย์ในสำนักแต่ละรุ่นยังให้คำวิจารณ์ที่ บอกว่า บิดาของเขาวาดยันต์ได้ไม่ถือว่า ‘ศักดิ์สิทธิ์’ อยู่อีก? นี่ก็เพราะผู้ฝึกตนบางคนเกิดมาก็ไม่เหมาะกับการวาดยันต์
ดังนั้นสำนักหรือพรรคที่ใช้สายยันต์ของลัทธิเต๋ามาประเมินคุณสมบัติของลูกศิษย์ แต่ไหนแต่ไรมาจึงมักจะมีคำกล่าวที่โหดเหี้ยมว่า ‘ยกพู่กันครั้งแรกก็รู้แล้วว่าเป็นผีหรือเป็นเทพ’
ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่งอย่างแน่นอน! ไม่แน่ว่า อาจเป็นยอดฝีมือแห่งวิถียันต์ที่อำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำอีกด้วย!
ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอะไรนั่นล้วนเป็นแค่เวทอำพรางตา…
เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้ ตู้อวี๋ก็รู้สึกเหลือเชื่อขึ้นมาอีก หากเป็นเช่นนี้จริง ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้านี้จะไร้เหตุผลเกินไปหน่อยหรือไม่?
เฉินผิงอันใช้ไม้เท้าเดินป่าสลายแสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์บนยันต์ทั้งสี่แผ่น ที่สองฝ่ายวาดทิ้ง “เจ้ามีความจริงใจมากพอ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาทำการค้าที่ เป็นจริงเป็นจังกันอีกสักครั้งหนึ่งดีไหม?”
ตู้อวี๋กล่าวอย่างสงสัย “การค้าอะไร?”
เฉินผิงอันหยิบเม็ดเสื้อเกราะสำนักการทหารและโอสถปีศาจที่ถูกหลอมเรียบร้อยแล้วออกมาจากชายแขนเสื้อ “ต่างก็พูดกันว่าเดินทางตอนกลางคืนง่ายที่จะเจอผี วันนี้ข้าโชคไม่เลว ก่อนหน้านี้ข้าเก็บมันมาได้จากข้างทาง ข้ารู้สึกว่ามันค่อนข้างเหมาะกับการฝึกตนของเจ้า ถูกใจหรือไม่? อยากซื้อหรือไม่?”
ตู้อวี๋กล่าวอย่างเด็ดเดี่ยว “ผู้อาวุโสอุตส่าห์ตัดใจมอบของรักให้ข้า เชิญท่านเปิดราคามาได้เลย! ต่อให้ทุบหม้อขายเหล็ก ข้าตู้อวี๋ก็ยินดีที่จะทุ่มทองก้อนใหญ่ซื้อ พวกมันมา!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมา ปลายนิ้วมี หยดน้ำสีเขียวมรกตหยดหนึ่งหมุนติ้วๆ เฉินผิงอันดึงแก่นโชคชะตาน้ำส่วนหนึ่งที่ มีน้ำหนักประมาณหนึ่งตำลึงออกมา พอเก็บหยดน้ำลูกที่ใหญ่กว่าไปแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “นี่คือของที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำมอบให้ ถือเสียว่าเป็นความจริงใจของข้าแล้วกัน เจ้าบาดเจ็บ จำเป็นต้องมีปราณวิญญาณมาชดเชย หยดชะตาน้ำเม็ดนี้เป็นรากฐานมหามรรคาของเจ้าแม่เทพวารีท่านหนึ่งเลยทีเดียว รีบเอาไปหลอมใช้เสียเถอะ”
ตู้อวี๋ไม่มีทางเลือก ได้แต่รับไข่มุกหยดน้ำเม็ดนั้นมา ฝ่ามือตบลงบนหัวใจเบาๆ ทำการหล่อหลอมอย่างเงียบๆ จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนมาเป็นเหยเก
คือไข่มุกที่รวบรวมแก่นชะตาน้ำไว้จริงๆ หรือ?
ไม่เพียงแต่ไม่มีความรู้สึกไม่สบายตัวใดๆ กลับกันยังเหมือนมีฝนรสหวาน พร่างพรมลงบนทะเลสาบหัวใจ จิตวิญญาณชุ่มชื้นสดชื่นขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เอาล่ะ มาพูดเรื่องเป็นการเป็นงาน เสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างชิ้นหนึ่งที่ระดับขั้นสูงขนาดนี้ กับโอสถปีศาจเม็ดหนึ่งที่พลานุภาพในการโจมตียิ่งใหญ่เพียงนี้ เจ้าคิดจะใช้เงินเท่าไหร่มาเก็บตกของดีพวกนี้ไป?”
ตู้อวี๋ถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส สามารถใช้สิ่งของแลกสิ่งของได้หรือไม่? บนร่างข้ามีเงินเทพเซียนอยู่ไม่มากจริงๆ แล้วก็ไม่มีวัตถุอย่างเนินฟางชุ่น หรือ ถ้ำสวรรค์จื่อชื่อในตำนานอะไรพวกนั้นติดตัวด้วย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าย่อมได้”
ตู้อวี๋หยิบถุงผ้าปักลายใบเล็กที่มีลำแสงเรื่อเรืองรองใบหนึ่งออกมาจากสาบเสื้อหน้าออก กิริยาของเขานุ่มนวล แกะเชือกออกแล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งที่พับทบกันออกมา พอคลี่ออกกลับมองไม่เห็นรอยพับแม้แต่น้อย
ตู้อวี๋กล่าว “วัตถุชิ้นนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง คือของที่ข้าได้มาโดยบังเอิญจากใต้ดินของ วัดร้างที่ผุพังแห่งหนึ่งหลังจากต่อสู้กับคนอื่นในอดีต ท่านพ่อท่านแม่ของข้ากำชับ ข้าว่าต้องเก็บรักษามันเอาไว้ให้ดี
บอกว่ามีมูลค่าควรเมือง การค้าขายของชิ้นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เงินร้อนน้อย ถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่อาจกักเก็คัมภีร์พุทธเก่าแก่หน้านี้เอาไว้ได้”
เฉินผิงอันรับหน้าหนังสือแผ่นนั้นมา แล้วก็เห็นว่าด้านบนคือพระคัมภีร์สีทอง
เฉินผิงอันยิ้มรับเอาไว้ แล้วส่งมอบเม็ดเสื้อเกราะกับโอสถปีศาจให้ตู้อวี๋
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันตัวกลับไปเผชิญหน้ากับ ทะเลสาบชางอวิ๋น มือสองข้างค้ำยันอยู่บนไม้เท้าเดินป่า
ตู้อวี๋ก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวตามจิตใต้สำนึก
สีหน้าของตู้อวี๋เผยความดุร้าย แต่ก็ยังคงไม่กล้าพูดอะไรออกมา
แต่ไหนแต่ไรมาการกำหนดความเป็นความตายของคนอื่นก็ไม่เคยเป็นเรื่องที่ ผ่อนคลายง่ายดาย แล้วก็เพราะเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงไม่ได้จงใจปิดบังสภาพจิตใจที่ คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นไปทั้งหมด
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ หลังจากที่ฟู่ไห่หยวนจวินได้รับคำรับรองจากเฉินผิงอันไปแล้วก็ยังคงหันหน้าไปขอร้องบัณฑิตที่เห็นได้ชัดว่าพูดจา ไม่น่าเชื่อถือยิ่งกว่า ยืนกรานจะให้บัณฑิตเอ่ยคำสาบานนางถึงจะยอมไปเปิดตราผนึกใต้ทะเลสาบ
นั่นคงเพราะนาทีนั้นนางสัมผัสได้ว่า แท้จริงแล้วความเป็นความตายของตนถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
และตู้อวี๋ในเวลานี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน
เมื่อเจอเส้นแบ่งระหว่างความเป็นความตาย ลางสังหรณ์ของผู้ฝึกตนมักจะแม่นยำเสมอ
ตู้อวี๋แบมือสองข้าง จ้องเป๋งไปยังสมบัติหนักสองชิ้นที่หายไปและได้กลับคืนมา แล้วเพียงชั่วพริบตาก็จะต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่นอีกครั้ง แล้วเขาก็ถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสยังบอกว่าจะทำการค้ากับข้า นี่ไม่เท่ากับว่าถอดกางเกงออกเพื่อผายลมหรอกหรือ? ยังจงใจบีบให้ข้าเป็นฝ่าย ลงมือก่อน ต้องการให้ข้าตู้อวี๋สวมเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้าง ขว้างโอสถทองออกไป ผู้อาวุโสจะได้ฆ่าข้าได้อย่างสมเหตุสมผล เวรกรรมที่ติดตัวก็จะได้น้อยลง? ไม่เสียทีที่ ผู้อาวุโสเป็นคนบนยอดเขา ช่างเป็นแผนการที่ดีนัก หากรู้แต่แรกว่าการลงภูเขามาท่องในยุทธภพที่น้ำตื้นเขินเหมือนบ่อน้ำครั้งนี้จะได้พบกับยอดฝีมืออย่างผู้อาวุโส ข้าจะต้องไม่มีทางประมาท มองไม่เห็นหัวใครอย่างนี้แน่นอน”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปไกล ถามว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นบอกว่าเจ้าก็คือบุตรของคู่รักเทพเซียน?”
ตู้อวี๋พยักหน้ารับ “คนหนึ่งแซ่ตู้ คนหนึ่งแซ่อวี๋ ข้าจึงชื่อตู้อวี๋”
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “เป็นชื่อที่ไม่เลว”
แล้วเขาก็ยกมือขึ้นโบก “เจ้าไปซะเถอะ วันหน้าอย่าให้ข้าได้พบเจอเจ้าอีก”
ตู้อวี๋ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ข้ากลัวว่าหากหมุนตัวกลับแล้วจะต้องตาย ผู้อาวุโส ข้าไม่อยากตายอยู่ที่นี่จริงๆ มันน่าอึดอัดเกินไป”
เฉินผิงอันจึงกล่าว “ก็ถูกของเจ้า ถ้าอย่างนั้นเดินไปกับข้าอีกช่วงระยะทางหนึ่ง? ข้าจะไปหาเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี เจ้ารู้ทางไหม?”
ตู้อวี๋พยักหน้า
คนทั้งสองจึงขึ้นเขาลงห้วยมุ่งหน้าไปยังอาณาเขตของลำธารจ่าวซีด้วยกันเช่นนี้จริงๆ
ตลอดทางที่เดินกันไป เฉินผิงอันถามถึงเรื่องสถานการณ์บนภูเขาล่างภูเขาของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิงเป็นหนึ่งในนั้นกับเขา
ตู้อวี๋ย่อมตอบทุกคำถาม
ผู้อาวุโสคนนั้นบินทะยานอยู่ท่ามกลางสันเขา ประหนึ่งกบกระโดดแตะผิวน้ำ ไปครั้งแล้วครั้งเล่า เรือนกายว่องไวดุจสายฟ้า จนแทบจะมองเห็นเป็นเพียงแค่เงาร่างสีเขียวจางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น ส่วนเขาที่บังคับลมบินทะยานกลับค่อนข้างจะเปลืองแรง
แต่ระหว่างที่คนผู้นั้นเอ่ยถามจะเลือกใช้วิธีการเดิน มอบโอกาสให้เขาตู้อวี๋ได้ตอบอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยมากนัก
คนทั้งสองเดินกันอยู่ท่ามกลางป่าเขา เฉินผิงอันได้ยินเรื่องเล่าของกุมารทองกุมารีหยกคู่นั้นแล้วก็ยิ้มถามว่า “ทำไมเรื่องราวของเด็กหนุ่มเหอลู่ของนครหวงเยว่กับ เทพธิดาเยี่ยนชิงจากดินแดนเซียนเป่าต้งคู่นี้ ถึงฟังดูคล้ายคู่บุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญในนิยายจอมยุทธเลยละ เพียงแค่เพราะภูเขาทั้งสองเป็นศัตรูกัน เนื่องจากความแค้นร้อยปีของสำนัก ถึงทำให้พวกเขาไม่อาจกลายมาเป็นคู่รัก เทพเซียนได้?”
ตู้อวี๋กล่าว “ในสายตาของผู้อาวุโสอาจจะรู้สึกว่าน่าขัน แต่ต่อให้เป็นข้าตู้อวี๋ ยามที่ได้เห็นพวกเขาทั้งสองก็ยังรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้ เห็นพวกเขาแล้วถึงได้เข้าใจว่าหยกงามบนมหามรรคาที่แท้จริงนั้นคืออะไรกันแน่”
เฉินผิงอันไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ
คนทั้งสองมาถึงยอดเขาแห่งหนึ่ง ทอดสายตามองไกลไปทางทิศตะวันตกก็คืออาณาเขตของลำธารจ่าวซีแล้ว ศาลเทพวารีก็อยู่ห่างไปอีกไม่ไกล
เฉินผิงอันถาม “สมบัติหนักของศาลเทพอภิบาลเมืองจะเผยกายบนโลก เจ้ามาที่นี่ก็เพราะเรื่องนี้หรือ?”
ตู้อวี๋ไม่กล้าปิดบัง จึงกล่าวว่า “นอกจากข้ายังมีอาจารย์อาหนึ่งท่านและ ศิษย์น้องชายหญิงอีกสามคนเดินทางมาที่เมืองสุยเจี้ยพร้อมกัน เพียงแต่ว่าสมบัติ ชิ้นนั้นได้ถูกนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งหมายตาไว้เป็นการภายในนานแล้ว ตำหนักขวานผีของพวกเราก็แค่มาช่วยชูธงร้องให้กำลังใจ เพิ่มพลังอำนาจให้แก่ดินแดนเซียนเป่าต้งที่สนิทสนมกันก็เท่านั้น ส่วนข้า ไม่กลัวว่าผู้อาวุโสจะหัวเราะเยาะ ก็แค่คิดว่าระหว่างที่นครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งตีกันจนสมองไหล ก็อยากจะดูสิว่าเหอลู่และเยี่ยนชิงสองคนนั้น เมื่อเจอหน้ากันแล้วจะต้องฆ่ากันทั้งที่รักกันหรือไม่ คาดว่าไม่ว่าใครก็ต้องมีสีหน้าเหมือนกินอาจมกระมัง แค่คิดถึงข้อนี้ ข้าก็อารมณ์ ไม่เลวแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้ม “อย่างเจ้าต้องเรียกว่าคนถ่อยตัวจริงหรือไม่?”
ตู้อวี๋ยิ้มประจบ “ผู้อาวุโสชมกันเกินไปแล้ว ผู้น้อยมิกล้ารับ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คำว่า ‘จริง’ นี้ มีน้ำหนักมากเกินไปจริงๆ”
ตู้อวี๋เอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกจากใจจริงว่า “ถ้อยคำของผู้อาวุโสมองดูเหมือนเรียบง่าย แต่หากใคร่ครวญอย่างละเอียดจะรู้ว่าแต่ละคำล้วนลี้ลับมหัศจรรย์ ทำให้คนต้องทบทวนตัวเองอย่างจริงจัง”
สีหน้าของเฉินผิงอันแปลกพิกล “คิดจะแย่งอาชีพกับข้างั้นหรือ?”
ตู้อวี๋มึนงงไม่เข้าใจ เขาที่ตัวสั่นขวัญผวาจึงได้แต่เงียบเสียงเหมือนจักจั่นในหน้าหนาว
คนทั้งสองออกเดินทางกันต่อ
เมื่อเทียบกับศาลสุ่ยเซียนที่แทบจะเรียกได้ว่ารกร้าง แม้แต่ร่างทองก็ยังไม่อยู่ในศาลแล้ว ศาลของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีนับว่าโอ่อ่ามีหน้ามีตา ควันธูปเข้มข้นมากยิ่งกว่า
แค่มองก็รู้ว่าเป็นเจ้าแม่เทพวารีที่เข้าใจจัดการกับกิจการของตัวเองเป็นอย่างดี
แต่ในเมื่อนางสามารถกดข่มให้เจ้าแห่งคูน้ำอีกคนหนึ่งไม่อาจลืมตาอ้าปากได้ เป็นเหตุให้ศาลถูกทิ้งร้าง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ตะเกียงที่ประหยัดน้ำมันอย่างแน่นอน
ตอนที่ลงมาจากภูเขา เฉินผิงอันก็เล่าคดีโศกนาฎกรรมในเมืองสุยเจี้ยให้ตู้อวี๋ฟัง ด้วยต้องการให้ตู้อวี๋ไปถามเรื่องจดหมายลับฉบับนั้น
ตู้อวี๋รู้สึกว่าวันนี้ข้าผู้อาวุโสคือคนที่ถือว่าตายมาสองรอบแล้ว ยังจะต้องกลัวว่า จะล่วงเกินเจ้าแห่งคูน้ำเล็กๆ คนหนึ่งอีกหรือ? ดังนั้นตู้อวี๋จึงไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่เจ้าแห่งคูน้ำที่เป็นแม่ย่าลำคลองเล็กๆ คนหนึ่งเลย เวลานี้ต่อให้เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นมายืนอยู่ตรงหน้าตน ทำให้ตนอารมณ์เสีย เขาก็ยังจะชักดาบฟัน อีกฝ่ายอยู่ดี หากไม่เป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนี้บอกว่าให้พูดคุยกันดีๆ เขาตู้อวี๋ก็คง ชักดาบถีบประตู ฟันให้อีกฝ่ายร่อแร่ใกล้ตายเสียก่อนแล้วค่อยให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี ผู้นั้นมาพูดคุยเรื่องเป็นการเป็นงานกับนายท่านตู้อวี๋ หลังจากคุยจบก็ยกดาบปลิดชีพ ถึงจะระบายความเคียดแค้นที่อยู่ในใจได้ มารดามันเถอะ ล้วนเป็นเพราะฮวงจุ้ยของทะเลสาบชางอวิ๋นพวกเจ้าที่เส็งเคร็ง ถึงได้ทำร้ายให้ข้าผู้อาวุโสต้องมาคอยเดินตามก้นคนอื่นต้อยๆ ทำตัวเป็นหมาที่ได้แต่ส่ายหางขอความเมตตาอย่างว่าง่าย ที่น่าแค้นที่สุดก็คือ ส่ายหางขอความสงสารอย่างเดียวก็ช่างเถิด นี่ยังต้องคอยเป็นกังวลว่า หากส่ายหางได้ไม่ดีพอ อยู่ดีไม่ว่าดีอาจจะต้องถูกคนเขาตบให้ตายด้วยฝ่ามือเดียวหรือไม่
คนทั้งสองต่างก็เก็บลมปราณแล้วเดินเท้าลงภูเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
เฉินผิงอันถามชวนคุย “หากเจ้ารู้คดีโศกนาฎกรรมของเมืองสุยเจี้ยตั้งแต่เนิ่น ๆ เจ้าจะทำอย่างไร? พูดออกมาตามความรู้สึกก็พอ”
ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนก็ปล่อยให้มันแขวนลอยเติ่ง อยู่อย่างนั้น ท่านเทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่งไม่ใช่บรรดาศักดิ์ที่ได้รับจาก ราชสำนักเหมือนพวกแม่ย่าลำคลองทั่วไป ยังไม่ต้องพูดว่าจะฆ่าเขาได้หรือไม่ ต่อให้ฆ่าได้ ผลกรรมก็หนักหนาเกินไป อีกอย่างบุญคุณความแค้นในยุทธภพ ความถูกความผิดในวงการขุนนางก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าสนใจจริงๆ พลิกค้นกลับไปกลับมาก็เป็นแค่เรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งเท่านั้น แต่จะว่าไปแล้ว บนภูเขาของพวกเรา ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ คนที่ตั้งใจฝึกตนอย่างแท้จริงก็มีอยู่ คนที่ทั้งไม่ทำร้าย คนอื่นและไม่ช่วยเหลือใคร อยู่อย่างสงบของตัวเองก็ไม่ถือว่าน้อย ข้าก็แค่นิสัยใจร้อน อีกทั้งการฝึกตนยังมาเจอกับคอขวด ถึงได้มาท่องยุทธภพเพื่อหาความบันเทิงให้ตัวเอง”
ตู้อวี๋รู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย จึงเอ่ยถามไปอีกหนึ่งประโยค “ถ้อยคำที่มาจากใจจริงเหล่านี้ของผู้น้อยคงไม่ทำให้ท่านผู้อาวุโสไม่สบอารมณ์หรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่หรอก เห็นมาบ่อยแล้วก็ยากที่จะเกิดริ้วคลื่นอะไรขึ้นมาได้”
ตู้อวี๋เงียบงันไปนาน แล้วจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “แต่หากข้าเป็นคนบนยอดเขาอย่างแท้จริงอย่างที่ท่านพ่อท่านแม่ของข้าเล่าให้ฟัง บางทีหากอารมณ์ดีก็อาจจะทำตัว มีคุณธรรมน้ำใจสักครั้ง หรือไม่หากเห็นเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาก็อาจจะยกดาบฟันให้อีกฝ่ายตายไปอย่างง่ายๆ ส่วนคดีอยุติธรรมของเจ้าเมืองผู้นั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า ข้าก็ไม่ไปยุ่งเกี่ยวด้วย เรื่องประเภทนี้ เนื้อไม่ได้กิน หนังไม่ได้รองนั่ง แถมยังเอากระดูกมาแขวนคอ และเมื่อสังหารเทพอภิบาลเมือง ไปแล้ว ข้าก็ไม่หวังชื่อเสียง หวังแต่ผลประโยชน์ ร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูเขาแม่น้ำ ที่แหลกสลายมีค่านักล่ะ ส่วนตอนนี้ หากไม่มีเรื่องที่สมบัติหนักจะเผยกายบนโลก ข้าเข้ามาในเมืองสุยเจี้ยแล้วก็คงแค่กินดื่มเที่ยวเล่นของตัวเองให้หนำใจ แล้วค่อย ปัดก้นเดินจากไปก็เท่านั้น”
เฉินผิงอันกล่าว “รอจนเจ้าได้กลายเป็นคนบนยอดเขาจริงๆ ก็จะค้นพบว่า เทพอภิบาลเมืองของเมืองแห่งหนึ่งไม่อาจทำให้เจ้าเกิดความสนใจที่จะหวังผลประโยชน์จากเขาได้เลย ความคิดมากมายที่เกิดในวันนี้ก็จะกลายเป็นเรื่องตลก ในอนาคตเท่านั้น”
ตู้อวี๋ขบคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “พรสวรรค์ของข้าพอใช้ได้ แต่กลับไม่ได้มีฐานกระดูกในการฝึกตนที่ดีอย่างเจ้านครหวงเยว่และ บรรพจารย์ของดินแดนเซียนเป่าต้ง ไม่พูดถึงผู้อาวุโสใหญ่ที่บรรลุมรรคาแล้ว สองท่านนี้ ลำพังเพียงแค่เหอลู่และเยี่ยนชิงก็เป็นภูเขาใหญ่ที่ถูกกำหนดมาแล้วว่า ชีวิตนี้ข้าจะไม่อาจข้ามผ่านไปได้ บางครั้งเวลาอยู่ในยุทธภพและดื่มเหล้ากับตัวเอง ก็จะรู้สึกว่า คำพูดที่กล่าวว่าดื่มเหล้าดับทุกข์นั้นไม่ได้หลอกลวงคนจริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพมานานหลายปี เคยได้เห็นพวก…คนใน ยุทธภพที่เจ้ารู้สึกว่าโง่มากบ้างหรือไม่?”
ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องมี แต่ส่วนใหญ่ล้วนตายไปหมดแล้ว คนที่ไม่ตาย ก็ยากที่จะเป็นคนดี คนที่ตายไปแล้วก็มีดีอยู่แค่นั้นแหละ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เวลาที่หัวใจของเจ้าไม่บีบรัดตัวด้วยความตึงเครียด คำพูดคำจาก็ไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรจริงๆ”
ตู้อวี๋บื้อใบ้พูดต่อไม่ออก
ฟังแล้วแปลกพิกล แต่ทำไมตนถึงยังรู้สึกว่าตัวเองโชคดีได้นะ?
คนทั้งสองลงจากภูเขาแล้วก็เดินเลียบธารน้ำที่กว้างขวางสายน้ำไหลริกๆ ไปอีกสิบกว่าลี้ ตู้อวี๋เห็นศาลที่แสงไฟสว่างไสว ขนาดของศาลเกินสถานะไปมาก เหมือนจวนของเหล่าอ๋องเหล่ากง เขาก็กดด้ามดาบ พูดเสียงแผ่วต่ำว่า “ผู้อาวุโส ไม่ค่อยปกติดแล้ว คงไม่ใช่ว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นมาเยือนด้วยตัวเอง รอให้ พวกเราพาตัวมาติดกับหรอกกระมัง?”
ตลอดทางที่เดินกันมานี้ เฉินผิงอันเห็นว่าตู้อวี๋ไม่มีท่าผิดปกติ ก่อนหน้านี้เขาจึง ดูดดึงหยดแก่นน้ำที่น่าจะไม่ผ่านการเล่นตุกติกใดๆ เข้าไป แต่กลับไม่ได้หล่อหลอมมันด้วยตัวเอง ทว่าโยนเข้าไปในจวนน้ำให้พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวช่วยกันดูดซับ และเมื่อ พาจิตวิญญาณจมจ่อมเข้าไปในฟ้าดินขนาดเล็ก ใช้วิธีการมองภายในมองไป จิตหยินกระชับตัวหดเล็กจนเหมือนเมล็ดงาที่ไปเยือนจวนน้ำด้วยตัวเอง อยู่ในฟ้าดินขนาดใหญ่นอกเรือนกาย หยดน้ำหยดนั้นมีขนาดเล็ก แต่เมื่ออยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายตนเอง จิตหยินของเฉินผิงกลับเหมือนใช้สองมือแบกวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์ พอพวกเด็กๆ ชุดเขียวได้ไข่มุกแก่นชะตาน้ำไปแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่รู้ว่าพวกเขาตรวจสอบกันอย่างไร แต่ละคนถึงได้ลิงโลดร่าเริง เป็นครั้งแรกที่เผยสีหน้าชื่นชม ปลาบปลื้มให้เฉินผิงอันได้เห็น
เฉินผิงอันจึงเข้าใจทันทีว่า ของสิ่งนี้มีประโยชน์มหาศาล
ดังนั้นจึงต้องมาเยือนศาลเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีเองสักครั้ง
หากไม่เป็นเพราะไม่ค่อยกล้าบุกเข้าไปในวังมังกรทะเลสาบชางอวิ๋นโดยพลการ เฉินผิงอันก็อยากจะทำ ‘การค้า’ กับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นผู้นั้นอยู่เหมือนกัน
เป็นการทำการค้าเหมือนกัน แต่กลับใช้วิธีการต่างกัน
คัมภีร์การทำการค้าที่ใช้กับพวกตู้อวี๋ เจ้าแห่งคูน้ำทะเลสาบชางอวิ๋น แน่นอนว่าย่อมต่างไปจากการค้าที่เฉินผิงอันทำร่วมกับผู้ฝึกตนสำนักพีหมา
หนึ่งคือตระหนี่ถี่เหนียว ให้เงินเหรียญทองแดงข้าน้อยไปหนึ่งเหรียญก็ยังต้องพิจารณาว่าควรจะฆ่าเจ้าให้ตายดีหรือไม่
หนึ่งคือยินดีที่จะได้กำไรน้อย ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เสียเปรียบก็ยังไม่เป็นไร
ได้ยินคำเตือนของตู้อวี๋ เฉินผิงอันก็เอ่ยสัพยอกว่า “ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลสุ่ยเซียน เจ้าไม่ได้โหวกเหวกว่าขอแค่เจ้าแห่งทะเลสาบขึ้นมาบนฝั่ง ก็จะประลองฝีมือกับเขาหรอกหรือ?”
ตู้อวี๋ยิ้มกล่าว “ได้ผู้อาวุโสสั่งสอนว่าควรวางตัวเป็นคนอย่างไร เวลานี้แค่ข้าได้ยินเสียงนกร้องก็หวาดผวา ต้นไม้ใบหญ้าส่ายไหวไปตามสายลมก็หวั่นกลัวไปหมด ทำให้ผู้อาวุโสได้เห็นเรื่องตลกแล้ว”
เฉินผิงอันตบไหล่ของเขา “หากยังมีการเข่นฆ่ากันเกิดขึ้น คราวนี้อย่าพูดว่า จะยอมให้ก่อนหนึ่งกระบวนท่าอะไรอีกล่ะ”
ตู้อวี๋แอบขุ่นเคืองในใจ
คิดว่าหากมีโอกาสควรจะสังหารคนหนุ่มชาวบ้านพวกนั้นดีไหม? ไม่อย่างนั้น หากข่าวนี้แพร่ออกไปจะไม่กลายเป็นเรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?
ทว่าเจ้าคนผู้นั้นกลับยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “คนที่แม้แต่ข้าก็ยังไม่สังหาร หากเจ้ากลับไปฆ่า ก็คือการมอบผลหลีตอบแทนผลท้อ สอนให้ข้ารู้ว่าควรเป็นคนอย่างไรงั้นหรือ? หรือจะบอกว่า รู้สึกว่าตัวเองโชคดี ชีวิตนี้จะไม่ต้องมาเจอกับคนอย่างข้าอีกแล้ว?”
ตู้อวี๋ขนลุกขนพองอยู่ในใจ พูดอย่างหนักแน่นว่า “คำสั่งสอนอันมีค่าของผู้อาวุโส ผู้น้อยจะต้องจดจำไว้ให้ขึ้นใจแน่นอน!”
เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ยิ้มเอ่ยว่า “การจะทำดีกับคนอื่นนั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก แต่แค่ไม่ย่ำยีคนธรรมดา ไม่กระทำเรื่องชั่วร้าย มันจะยาก ขนาดนั้นเลยหรือ? แต่ก็ถูกนะ ทำทุกอย่างตามใจปรารถนา ไร้พันธนาการ ใครบ้าง จะไม่วาดหวังให้เป็นเช่นนี้ เล่าเรียนวิชาตระกูลเซียนสำเร็จก็ไม่ใช่คนในโลกมนุษย์ อีกแล้ว ยังคิดจะอยากมีจิตใจแห่งความเมตตาสงสารที่เป็นดั่งภาระกดทับอยู่บนกายไปไย นั่นช่างเป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น ก็เหมือนชาวบ้านกินเนื้อหมูเนื้อไก่ อยู่ดีๆ จะให้หันไปกินเจ ก็เป็นการสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นมากเกินไปจริงๆ”
ตู้อวี๋ไม่กล้าแน่ใจเลยว่าคำพูดประโยคนี้ของอีกฝ่ายเป็นคำที่ออกมาจากใจจริงหรือไม่ ดังนั้นให้ตายเขาก็จะไม่ยอมเปิดปากพูดให้เปลืองน้ำลายแม้แต่คำเดียว
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ หนึ่งครั้ง
ต่อให้กดเส้นหนึ่งในนั้นลงไปแล้วกดทับซ้ำเอาไว้อีก
แต่มันจะได้ผลจริงๆ หรือ?
เขาจับประคองงอบ เดินหน้าต่อไป
ไปถึงด้านนอกของศาล
เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า “ไปเถอะ ไปสืบหาความจริงมา หากตาย ข้าจะต้องช่วยเก็บศพให้เจ้าแน่นอน ไม่แน่ว่าจะยังช่วยแก้แค้นแทนเจ้าด้วย”
ตู้อวี๋อดทนข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็เอ่ยอย่างจนใจว่า “ท่านผู้อาวุโสช่าง…ทำตัวสนิทสนมกับผู้น้อยยิ่งนัก”
ตู้อวี๋กำเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารไว้แน่น ทันใดนั้นก็เหมือนมีปรอทสีเงินไหลวนไปทั่วร่างของเขา แล้วบนร่างก็กลายเป็นว่าสวมห่มเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างซึ่งเป็นสมบัติหนักชิ้นหนึ่งของสำนัก
ตู้อวี๋ก้าวยาวๆ เข้าไปในศาลที่ประตูใหญ่เปิดอ้า
ไม่ถึงครึ่งก้านธูป ตู้อวี๋ที่มีสีหน้าเหมือนคนกินอาจมก็เดินกลับมาที่ประตูใหญ่ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วพูดเบาๆ ว่า “เยี่ยนชิงผู้นั้นดันมาเป็นแขกอยู่ที่นี่พอดี ข้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาแทรกซ้อนก็เลยไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องธุระที่ท่านมอบหมายให้”
เฉินผิงอันไม่ถือสา เพียงกล่าวอย่างสงสัยว่า “เทพธิดาของดินแดนเซียนเป่าต้ง คนนั้นน่ะหรือ?”
ตู้อวี๋พยักหน้ารับหนักๆ “ผู้ฝึกตนของดินแดนเซียนเป่าต้งเพิ่งจะมาถึงทะเลสาบชางอวิ๋นแห่งนี้พอดี เยี่ยนชิงมีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบความคึกคักของที่วังมังกรนั่น ก็เลยมาหาความเงียบสงบจากที่นี่”
เฉินผิงอันถาม “เหอลู่ผู้นั้นไม่อยู่หรือ?”
ตู้อวี๋อึ้งตะลึง จากนั้นก็ส่ายหน้า “ผู้อาวุโส พวกเขาสองคนคงไม่ได้ใจกล้าขนาดนั้นกระมัง? อีกไม่นานสองสำนักก็ต้องต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันที่เมืองสุยเจี้ยแล้ว พวกเขาจะกล้านัดหมายเวลาและสถานที่แอบมาลอบพบกันที่นี่ภายใต้เปลือกตาของผู้อาวุโสในสำนักตัวเองเลยหรือ? เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นั้นอาจจะปิดปากสนิท ช่วยปิดบังเรื่องนี้ให้ก็จริง แต่ทั้งสองคนก็ไม่น่าจะใจร้อนขนาดนี้ถึงจะถูก คนหนึ่งนิสัยเย็นชา ส่วนเหอลู่ก็ถือว่าจิตใจมุ่งมั่นอยู่กับมรรคา”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดินแดนเซียนเป่าต้งมาเยือนวังมังกรใต้ทะเลสาบอย่างเปิดเผย เยี่ยนชิงนิสัยเป็นอย่างไร เจ้าเองยังรู้ดี แล้วเหอลู่จะไม่รู้ได้หรือ? เยี่ยนชิงจะไม่รู้หรือว่าเหอลู่จะเข้าใจความต้องการของนางหรือไม่? เรื่องแบบนี้จำเป็นต้องให้คนทั้งสองนัดหมายกันมาก่อนหรือ? ศึกใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น หากทั้งสองฝ่ายต้องทำ เพื่อส่วนรวม ลงสนามรบเปิดฉากสังหารกันจริงๆ การพบกันในคืนนี้จะไม่ใช่ โอกาสสุดท้ายแล้วหรอกหรือ? แต่พวกเราสร้างความครึกโครมขึ้นที่ศาลสุ่ยเซียน เจ้าแห่งคูน้ำรีบไปแจ้งข่าวที่วังมังกร นี่ก็น่าจะเป็นการทำให้จิตที่สื่อถึงกันของทั้งสองวุ่นวายตามไปด้วย ไม่แน่ว่าเวลานี้เหอลู่อาจจะซ่อนตัวอยู่ที่ใดที่หนึ่ง และกำลังกล่าวโทษที่เจ้าทำลายเรื่องดีๆ ของเขา ตอนอยู่ในศาล เยี่ยนชิงผู้นั้นเห็นเจ้าแล้วรู้สึกขวางหูขวางตาใช่ไหม? สายตาและถ้อยคำที่เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีใช้ล่ะเป็นอย่างไร? สามารถนำมาพิสูจน์การคาดเดาของข้าได้หรือไม่?”
ตู้อวี๋รู้สึกอับอายนิดๆ “ก่อนหน้านี้มัวแต่คิดว่าจะบุกจวนยกดาบขึ้นฟันคน จะได้สร้างความชอบเล็กๆ น้อยๆ ให้กับท่านผู้อาวุโส ผู้น้อยจึงไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลยจริงๆ”
เฉินผิงอันไม่รีบร้อนเข้าไปในศาล เขาชำเลืองตามองตู้อวี๋ที่กระวนกระวายใจ จากนั้นก็กวาดตามองไปรอบด้าน ถามชวนคุยว่า “เจ้าท่องอยู่ในยุทธภพอย่างไร? มีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร? หรือจะบอกว่าประเพณีพื้นบ้านของ แต่ละถิ่นในหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นอิ๋นผิงเป็นหนึ่งในนั้นล้วนบริสุทธิ์เรียบง่าย? แต่ตอนอยู่ศาลสุ่ยเซียนแห่งนั้น ข้าว่าผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้า องค์เทพและ ชาวบ้านธรรมดา ทั้งสามฝ่ายนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้บริสุทธิ์เรียบง่ายกันสักเท่าไร เลยนะ”
ตู้อวี๋ได้แต่กล่าวว่า “เมื่อเทียบกับผู้อาวุโสที่คิดคำนวณทั้งด้านคน เรื่องราวและจิตใจได้อย่างรอบคอบรัดกุมแล้ว ผู้น้อยย่อมมีแต่จะกลายเป็นตัวตลก”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คิดคำนวณทั้งด้านคน เรื่องราวและจิตใจได้อย่างรอบคอบรัดกุม อืม ประโยคนี้ไม่เลวเลย ข้าจำเอาไว้แล้ว”
ตู้อวี๋อัดอั้นอยู่ในใจ เจ้าจะจดจำประโยคนี้ไปทำไม?
เฉินผิงอันเริ่มขยับเท้าเดินข้ามธรณีประตูใหญ่ของศาลนำไปก่อน
จวนโอ่อ่ามลังเมลืองไม่เหมือนศาลเลยแม้แต่น้อย
มาถึงหน้าประตูของเรือนในแห่งหนึ่งที่แขวนกรอบป้ายลงรักสีทองคำว่า ‘น้ำเขียวไหลยาว’ เอาไว้
สตรีโตเต็มวัยสวมชุดชาววังห่มผ้าคลุมไหล่สวมมงกุฎหงส์ บุคลิกท่าทางสง่างามเรียบร้อย ดวงตาดอกท้อที่ค่อนข้างเรียวยาวคู่นั้นมีรอยยิ้มอยู่จางๆ
หญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างกายนางสวมชุดสีขาว บนศีรษะสวมมงกฎปีกหงส์สีทอง ที่ทำขึ้นอย่างประณีตดุจสวรรค์รังสรรค์ ยามที่ลมพัดโชยผ่านเบาๆ หางหงส์สีทอง ก็จะส่ายไหวตามไปด้วย และคล้ายจะมีเสียงลูกหงส์ร้องยาวดังมาให้ได้ยินแว่วๆ
เฉินผิงอันกวาดตามองสตรีทั้งสองแค่ปราดเดียว แต่จับจ้องไปที่มงกุฎสีทองอยู่หลายที
น่าจะเป็นสมบัติอาคมที่ระดับขั้นไม่เลว
ตู้อวี๋ยืนเคียงไหล่กับเฉินผิงอันตามที่เขากำชับมาไว้ก่อนหน้านี้ คนทั้งสองคือสหายที่รู้จักกันในยุทธภพมานานหลายปี ผู้อาวุโสมีนามว่า ‘เฉินฮ่าวเหริน’ (เฉินคนดี) คือผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่ออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ
ก่อนจะเข้ามาในศาล เฉินผิงอันถามเขาว่าสองคนที่อยู่ด้านหน้าเป็นวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือหรือไม่
ตู้อวี๋เกือบจะกระอักเลือดเก่าที่คั่งค้างออกมา แม้แต่บรรพจารย์ตำหนักขวานผีของเขายังต้องใช้อาวุธหนักของสำนักถึงจะโคจรวิชาอภินิหารประเภทนี้ได้
นอกจากสิ่งมีชีวิตจำนวนน้อยนิดอย่างเจ้านครหวงเยว่ อาจารย์ผู้มีพระคุณของเยี่ยนชิงท่านนั้น เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น หรือไม่ก็สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งห้าขุนเขาซึ่งอยู่บนภูเขาที่เป็นบ้านของตัวเองแล้ว จะมีใครที่กล้าพูดว่าตัวเองสามารถมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือได้?
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้ากับพี่น้องตู้อวี๋บุ่มบ่ามมาเยี่ยมเยือนในครั้งนี้ เพราะอยากจะถามเรื่องเล็กๆ เรื่องหนึ่งจากฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นยิ้มบางๆ ตอบรับ “ในเมื่อตัวเจ้าเองยังบอกว่าเป็น เรื่องเล็ก ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องรีบร้อน คืนนี้การดื่มชาระหว่างข้ากับเทพธิดาเยี่ยนเป็นเรื่องใหญ่ ไม่สู้เจ้ากับตู้เซียนซือค่อยมาใหม่วันพรุ่งนี้ ดีไหม?”
ตู้อวี๋ไม่กล้าแสดงสีหน้าใดๆ ออกไป ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องยกนิ้วโป้งให้เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้เสียหน่อยแล้ว
มารดามันเถอะ นี่มันวีรสตรีโดยแท้ ความองอาจห้าวหาญนี้ไม่แพ้ให้กับประโยค ‘จะยอมให้เจ้าก่อนหนึ่งกระบวนท่า’ ของตนเลย
แต่ว่านี่ก็คือหลักการต้อนรับแขกที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
เยี่ยนชิงคือใคร?
อีกทั้งศาลนี้ยังตั้งอยู่ริมทะเลสาบชางอวิ๋น
และยังมีเหล่าเซียนซือของดินแดนเซียนเป่าต้งมาเป็นแขกที่วังมังกร
ผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่งที่เรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับตู้อวี้จะมีหน้ามีตาได้สักเท่าไร?
ตู้อวี๋ทำเพียงแค่ก้มหน้าตามองจมูก จมูกมองใจ ทว่าดวงตาก็แอบกลอกไปมองม่านฟ้าเบาๆ
ตอนนี้เขากลัวว่าฟ้าจะถล่มลงมา
แต่ว่าหากถล่มลงมาก็ดีเหมือนกัน
หากผู้อาวุโสข้างกายคนนี้ลงมือทำร้ายเยี่ยนชิงเบาๆ สักสองครั้งโดยไม่รู้จัก หนักเบาจริงๆ ด้วยชื่อเสียงที่เลื่องลือด้านการปกป้องคนของตัวเองของบรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้ง จะต้องไม่มีทางยอมเลิกราง่ายๆ แน่นอน และมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นจะไม่กล้านิ่งดูดายอยู่เฉยๆ …
ถึงเวลานั้นจะต้องเป็นการล้อมโจมตีที่สมบัติอาคมถูกขว้างมาอย่างพร้อมเพรียงจนมืดฟ้ามัวดิน
แต่การที่ตู้อวี๋อารมณ์หนักอึ้ง ไม่ได้รู้สึกลอบยินดีสักเท่าไหร่ ก็เพราะว่า ดินแดนเซียนเป่าต้งของพวกเจ้ากับทะเลสาบชางอวิ๋นร่วมมือกันล้อมโจมตีผู้ฝึกตนอิสระคนหนึ่ง แต่พอถึงเวลากลับกลายเป็นว่าถูกคนเขาใช้กำลังของคนคนเดียว ทลายสองรังใหญ่ของพวกเจ้าแทน
อันที่จริงขนาดตู้อวี๋ก็ยังรู้สึกว่าความคิดนี้ของตนเหลวไหลจนน่าขันเกินไป
ต่อให้คนข้างกายจะร้ายกาจแค่ไหน ตามหลักแล้วเมื่อเจอกับบรรพจารย์คนหนึ่งของดินแดนเซียนเป่าต้ง บางทีอาจจะเปลืองแรงอย่างมาก แต่หากตกอยู่ท่ามกลาง วงล้อม จะสามารถหนีรอดไปได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
แต่ตู้อวี๋กลับดันมีลางสังหรณ์เช่นนี้ เขาบอกตัวเองว่า สิ่งที่เป็นไปไม่ได้มากที่สุด บางทีนั่นต่างหากถึงจะเป็นความจริงในท้ายที่สุด
เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันที “ข้ารู้มาจากทางเมืองสุยเจี้ย ว่าจดหมายลับ ฉบับนั้นที่เจ้าเมืองส่งไปก่อนจะตายอย่างกะทันหัน เจ้าไม่เพียงแต่เปิดมันออกอ่านด้วยตัวเอง ยังเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอิ๋นผิงพร้อมกับคนส่งจดหมายด้วย ถูกไหม?”
สีหน้าของเทพธิดาเยี่ยนชิงเย็นชา สำหรับเรื่องราวในหมู่ชาวบ้านเหล่านี้ นางเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเท่านั้น
ตู้อวี๋เชื่อว่าต่อให้นางได้ยินแล้วก็เท่ากับว่ายังไม่ได้ยินอยู่ดี
เพราะท่านพ่อท่านแม่เคยบอกว่า ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่แท้จริงอย่าง เยี่ยนชิง เหอลู่นี้ เรื่องราวบนโลกก็เหมือนยันต์รอยหิมะ จิตใจเหมือนกระจก ผ่านไปแล้วก็ไม่เหลือร่องรอยทิ้งไว้
สีหน้าของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซียังคงผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ นางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถามคำถามไปแล้ว ข้าเองก็ได้ยินแล้ว เจ้ากับตู้เซียนซือสามารถจากไปได้แล้วหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “การกระทำของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำในปีนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการทำไปตามหน้าที่ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้มาเพื่อจะซักไซ้เอาความผิดแต่อย่างใด แค่รู้สึกว่าถึงอย่างไรเมื่อเรื่องดำเนินมาถึงตอนนี้ และต่อให้เมืองสุยเจี้ยเกิด ความโกลาหลวุ่นวายยิ่งกว่าเก่า เรื่องเก่าแก่…เล็กน้อยประเภทนี้ ต่อให้ถูกหยิบออกมาตากแดดก็ไม่ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่แม้แต่น้อย หวังว่าฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ…”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพลันเดือดดาล ก้าวเดินมาข้างหน้าหนึ่งก้าวด้วยท่วงท่า มากบารมี ตัดบทคำพูดของผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นโดยตรง “ออกไป!”
สีหน้าเฉินผิงอันเป็นปกติ “เอาเรื่องเก่ามาพูดใหม่ ข้าที่เป็นคนต่างถิ่นและเป็น คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องคนหนึ่ง ถือว่าสร้างความลำบากใจให้กับฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ มากจริงๆ แต่หากฮูหยินกังวลกับทางด้านของเจ้าแห่งทะเลสาบ ข้าสามารถ…”
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีพลันสะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ชี้นิ้วไปที่ประตูจวน ตวาดกร้าว “ไสหัวออกไป! เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้? กล้าบังอาจมาพูดจาไร้สาระ อยู่ที่นี่ ไม่กลัวว่าจะระคายหูเทพธิดาเยี่ยนบ้างเลยหรือ?! หากไม่เป็นเพราะเห็น แก่หน้าของตู้เซียนซือ ผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่ต่างจากโคลนเละๆ ที่ไม่ติดกำแพงอย่างเจ้า แม้แต่ประตูใหญ่บานนี้ก็ไม่อาจเข้ามาได้! เจ้าเห็นว่าศาลเทพวารีของข้าเป็นสถานที่แบบใด?”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองตู้อวี๋ “พี่น้องตู้อวี๋ ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาเยือนจวนแห่งนี้ เอาแต่มองเทพธิดาเยี่ยนอย่างเดียวงั้นหรือ?”
ตู้อวี๋รู้สึกเสียใจเหมือนบิดาตาย ในใจเกิดคลื่นยักษ์โถมกระหน่ำ แต่ก็ยังไม่กล้าเผยพิรุธ ได้แต่ตีหน้าเคร่งอย่างยากลำบาก ใบหน้าของเขาจึงดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย
สิ่งปลูกสร้างในศาลมีมากมายหลายหลัง
และเวลานี้เอง บนชายคาตวัดงอนของเรือนหลังหนึ่งก็มีเด็กหนุ่มหน้าตา หล่อเหลาที่เอาสองมือไพล่หลังคนหนึ่งปรากฎตัว ชายแขนเสื้อกว้างของเขาโบกสะบัดไปตามสายลม ตรงเอวผูกขลุ่ยไม้ไผ่ที่เป็นสีออกเหลืองไว้หนึ่งเลา มองดูแล้วล่องลอยประดุจเซียน
เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ อภัยคนได้ก็พึงให้อภัย”
ดวงตาของเยี่ยนชิงเปล่งประกายสุกใส แต่เพียงไม่นานก็กลับคืนมามีสีหน้าเย็นชาดังเดิม
ตู้อวี๋ตาแหลม พอเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้าเหมือนคนกินอาจม อีกทั้งยังเป็นอาจมร้อนๆ สดใหม่อีกด้วย
เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสข้างกายสันนิษฐานไว้จริงๆ
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ศาลสุ่ยเซียน มีความเป็นไปได้มากว่าเหอลู่เตร็ดเตร่อยู่ในภูเขาใกล้เคียงเพื่อหาโอกาสมาลอบพบเยี่ยนชิง และจากนั้นเหอลู่ก็ค้นพบเบาะแสอะไรบางอย่าง เพียงแต่ว่าคนผู้นี้ไม่กล้าขยับเข้ามาใกล้มากเกินไปนัก
เพราะถึงอย่างไรศึกใหญ่ก็กำลังจะเปิดฉากขึ้น ได้พบหน้าสตรีในดวงใจ นั่นต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุดสำหรับเขา
ส่วนเรื่องอื่นๆ ด้วยนิสัยของเหอลู่ หากอยู่ใกล้ก็มองดูดายเฉยๆ หากอยู่ไกลก็ชมไฟชายฝั่ง แค่นี้เท่านั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เขาปิดบังร่องรอยได้ดีกว่าเจ้าเยอะเลย”
พอฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเห็นเด็กหนุ่มผู้สูงส่งคนนั้นแล้วก็รีบเปลี่ยนท่าทีเสียใหม่ นางยอบตัวคารวะอย่างอ่อนช้อย พูดเสียงนุ่มนวล “คารวะเหอเซียนซือ”
เฉินผิงอันตบไหล่ตู้อวี๋ “พี่น้องตู้อวี๋ คืนนี้ไม่มีธุระของเจ้าแล้ว คนเราทำอะไรไว้ ก็ต้องรับผิดชอบ เจ้าอย่าสอดมือเข้ามายุ่งเลย”
ตู้อวี๋ถึงขั้นมีใจนึกอยากตายแล้ว
ตอนนี้ดินเหลืองเปื้อนเต็มกางเกงข้าผู้อาวุโส กระโดดลงทะเลสาบชางอวิ๋นก็ยังล้างได้ไม่สะอาด ไม่ว่าคืนนี้เจ้าจะหนีรอดหรือรบตายอยู่ที่นี่ เขาตู้อวี๋ก็ต้องโดน ถลกหนังออกหนึ่งชั้นอยู่ดี ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นหนูวิ่งผ่านถนนในสายตาของผู้ฝึกตนบนภูเขาหลายสิบแคว้น ไม่ว่าใครเห็นก็อยากจะขว้างหินซ้ำเติม
ตู้อวี๋พยายามตีหน้าให้เคร่งขรึม “พี่เฉิน ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น เรื่องของเจ้า ก็คือ…เรื่องของข้าตู้อวี๋!”
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นั้นกระตุกมุมปากคล้ายยิ้มเย้ยหยัน
แต่เมื่อเขาหันหน้าไปมองเยี่ยนชิงที่เรือนกายสูงเพรียวดุจต้นไม้หยก สายตา กลับอ่อนโยนลง
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นมองกรอบป้าย ‘น้ำเขียวไหลยาว’ นั้นอีกครั้ง
ตัวอักษรธรรมดา ความหมายดี มีส่วนให้ต้องขบคิดใคร่ครวญ
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ข้าจะใช้เงินเทพเซียนซื้อเรื่องเก่าเรื่องนั้น ของเจ้า ตกลงไหม? แน่นอนว่าสามารถรวมราคาที่หลังจากเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น ทราบเรื่องแล้วจะพานโกรธเจ้าไว้ด้วยได้”
ตู้อวี๋หนังตากระตุกยิกๆ
เอาแล้วๆ
ตอนนี้สิ่งที่เขากลัวที่สุดก็คือคัมภีร์การค้าเทพเซียนยากจะคาดเดาเล่มที่ผู้อาวุโสตรงหน้านี้ใช้เล่นงานเขานี่แหละ
บางทีประโยคนั้นของเหอลู่อาจจะมีประโยชน์อยู่มาก
แม้ว่าสีหน้าของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีจะยังคงไม่สบอารมณ์ แต่ก็ไม่ได้พูดจาเกรี้ยวกราดใส่ นางโบกมือเอ่ยว่า “วันหน้าค่อยว่ากัน คืนนี้ที่นี่ปิดประตูไม่ต้อนรับแขก”
ตู้อวี๋เงียบงันไม่เอ่ยคำใด
เฉินผิงอันคิดแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นพรุ่งนี้พวกเราค่อยมาเยือนใหม่”
ได้ยินคำว่า ‘พวก’
อารมณ์ของตู้อวี๋ก็หดหู่เหมือนขี้เถ้ามอด
เฉินผิงอันที่ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือหมุนตัวจากไปจริงๆ
ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยยังพอมีเวลา เฉินผิงอันจึงไม่อยากจะสร้างความเคลื่อนไหวอะไรที่รุนแรงเกินไปนัก
แต่เฉินผิงอันก็ยังรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เหตุใดจนถึงตอนนี้ เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น บรรพจารย์ดินแดนเซียนเป่าต้ง ที่อยู่ทางฝั่งของวังมังกรใต้ทะเลสาบถึงยังไม่ร่ายใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่าน ฝ่ามือลอบมองมายังที่นี่เสียที?
ทั้งสองคนนี้น่าจะไม่มีวิชาอภินิหารเหนือกว่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎของสำนักพีหมาถึงจะถูก
แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า
ตู้อวี๋รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง
เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีแสร้งทำเป็นขมวดคิ้วอย่างกังขา ถามว่า “เจ้าจะเอายังไงอีก? จะเล่นแง่ไม่ยอมจากไปจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันหัวเราะ
หากเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีผู้นี้เป็นแค่ผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่ใช่เทพวารีในศาล เกรงว่าการที่นางใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบในหัวใจพูดกับตนคงจะถูกเหอลู่และเยี่ยนชิงที่มีขอบเขตสูงยิ่งกว่าจับพิรุธได้อย่างแน่นอน
และเมื่อครู่นี้นางก็เอ่ยประโยคหนึ่งด้วยน้ำเสียงหวานหยดย้อย
“ผู้ฝึกตนอิสระพันธ์ผสม (คำด่าภาษาจีน หมายถึงสตรีที่มีความสัมพันธ์กับ บุรุษมากหน้าหลายตา ลูกที่ออกมาจึงเป็นพันธ์ผสม) อย่างเจ้า ตลอดทางที่เดินมาถึงตรงนี้ทำให้พื้นดินของจวนข้าสกปรกไปหมด พรุ่งนี้หิ้วถังน้ำเข้ามาด้วยล่ะ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้เข้ามาที่นี่อีก”
เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกโกรธสักเท่าไหร่ แค่รู้สึกเอียนเล็กน้อย
เพราะนี่เป็นประโยคที่คล้ายคลึงกับคำว่า ‘ลมพัดโชยค่ำคืนวสันต์’ ที่ตู้อวี๋เอ่ยอย่างไม่ตั้งใจ
คำกล่าวว่าพันธ์ผสมนี้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในใต้หล้าไพศาล ก็คงไม่ใช่ถ้อยคำที่น่าฟังสักเท่าไร
เหอลู่เริ่มขมวดคิ้ว
เยี่ยนชิงเองก็เริ่มมีสีหน้ารำคาญใจ
ทันใดนั้น
ตลอดทั้งศาลเทพวารีก็พลันโยกคลอน
ลานกว้างด้านนอกประตูจวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘น้ำเขียวไหลยาว’ พลันระเบิดแตกจนพื้นผิวกลายเป็นรอยร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดยักษ์
เฉินผิงอันมาอยู่บนขั้นบันไดแล้ว ยังคงถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ มือหนึ่งบีบคอของเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซี ยกตัวนางลอยขึ้นกลางอากาศช้าๆ
เขาแหงนหน้าขึ้นมองฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ไม่เหลือท่วงท่าสง่างามใดๆ อีกต่อไป ร่างทองของนางสั่นสะเทือนเหมือนถูกฟ้าผ่า แสงเทพศักดิ์สิทธิ์แหลกสลายจนมิอาจกลับมารวมตัวกันได้อีก ได้แต่ใช้สองมือทุบตีแขนของบุรุษสวมงอบผู้นั้นอย่างแรง
เยี่ยนชิงทะยานตัวออกไปในแนวขวาง
นางสะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง แถบผ้าหลากสีส่องแสงเรืองรองเส้นหนึ่งก็ไหลออกมาจากชายแขนเสื้อ ก่อนที่ในมือจะมีกระบี่สั้นไร้ฝักเล่มหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
เหอลู่เอามือกำขลุ่ยหยกที่ห้อยไว้ตรงเอว พูดเสียงหนักว่า “ข้ายังยืนยันคำเดิม อภัยคนได้ก็จงให้อภัย”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง พวกเขาสองคนยืนอยู่สองจุดที่หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ ทว่า กลับหันหน้ามาในทิศทางเดียวกัน เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าว “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ ไม่ใช่คนสักหน่อย อีกอย่างผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้ายิ่งแตะต้องฝุ่นผงในโลกีย์น้อยเท่าไหร่ก็ยิ่งดีไม่ใช่หรือ? พวกเจ้ามาพบกันที่นี่ สำนักของแต่ละฝ่ายต่างก็ไม่รู้ ศาลเทพวารีของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็เป็นแค่บันไดเชื่อมต่อแห่งหนึ่งที่ทั้งนครหวงเยว่และดินแดนเซียนเป่าต้งให้การยอมรับโดยปริยาย ทำไม คิดจะขัดขวางข้า? ระวังเถอะว่าเมื่อบันไดขั้นนี้พังลงไป สำนักที่อยู่เบื้องหลังพวกเจ้าทั้งสองจะไม่มีบันไดให้เดินลงอีก”
ฮูเจ้าแห่งคูน้ำดิ้นรนไม่หยุด สภาพท่าทางเรียกได้ว่าน่าเวทนา
ตู้อวี๋กลับรู้สึกปรีดานิดๆ
ราวกับว่าหลังจากที่ใช้เหตุผลกับทุกเรื่องโดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีเหตุผลจริงๆ หรือไม่แล้ว ถึงอย่างไรการออกหมัดหลังจากนั้นก็สาแก่ใจได้ยิ่งกว่า?
เหอลู่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แนะนำเจ้าว่าอย่ารนหาที่ตาย…”
เยี่ยนชิงรู้สึกตาพร่าลาย
คิดจะลงมือเงื้อกระบี่ฟันออกไป
แต่หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อยก็เลือกจะถอยกรูดไปด้านหลัง
นางเรียกสมบัติป้องกันกายที่เป็นอาวุธหนักชิ้นหนึ่งของสำนักมาปกป้องอยู่รอบกาย
ส่วนฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ถูกโยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจผู้นั้น หลังจากเก็บกระบี่มาแล้ว นางก็คร้านที่จะเหลือบแล
การเข่นฆ่าของผู้ฝึกตน เมื่อเจอกับเส้นแบ่งความเป็นความตาย ใครวอกแวก คนนั้นก็ตายก่อน
แต่จู่ๆ หัวใจของเยี่ยนชิงก็หดรัดตัว นางหันหน้าไปมอง
เงาร่างสีเขียวเส้นหนึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้กับชายคาที่ตวัดงอน ดูเหมือนว่าจะใช้ สันมือสับเข้าที่ลำคอของเหอลู่ จนร่างเหอลู่ปลิวกระเด็นออกไป จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็เหมือนเงาตามติดที่ยกฝ่ามือกดหน้าเหอลู่ไว้แล้วกดลงเบื้องล่าง ร่างเหอลู่กระแทกทะลุหลังคาเสียงดังโครม ก่อนจะตกลงสู่พื้นอย่างแรง ฟังจากเสียงความเคลื่อนไหวนั้นแล้วร่างน่าจะกระดอนขึ้นจากพื้นหนึ่งทีแล้วถึงได้พังพาบแน่นิ่งไป
ไม่มีทางตาย ต้องไม่มีทางตายแน่นอน
จิตใจของเยี่ยนชิงสับสนวุ่นวาย
ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นคล้ายจะใช้วิชาย่อพื้นที่จึงมาถึงข้างกายนางได้ ในเสี้ยววินาที
เยี่ยนชิงกำลังจะออกกระบี่
กลับถูกคนผู้นั้นดีดนิ้วหนึ่งครั้งโจมตีเข้าที่ตัวกระบี่พอดิบพอดี เยี่ยนชิงหน้าซีดขาวน้อยๆ กำลังจะลงมือทำอะไรบางอย่าง
กลับสังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นพุ่งสวนไหล่นางไป เท้าเหยียบอยู่บนหน้าผากของ ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่เพิ่งฟื้นคืนสติขึ้นมาพอดี แล้วพลันเพิ่มพละกำลังเกิดเป็น พายุลมกรดที่ราวกับหอบเอาเสียงฟ้าร้องมาด้วย
แล้วก็กระทืบซ้ำอีกครั้ง
ทั้งศีรษะและร่างท่อนบนของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีล้วนจมลึกลงไปในหลุม
เฉินผิงอันยังคงถือไม้เท้าเดินป่า ยืนอยู่ริมขอบของหลุมใหญ่ พูดกับเยี่ยนชิงว่า “ไม่ไปดูคนรักของเจ้าหน่อยรึ?”
เยี่ยนชิงกำลังจะลุกขึ้นทะยานตัวออกไป แต่พอนางเห็นท่าทางกุมไม้เท้าอย่างคาดหวังของคนผู้นั้นก็พลันหยุดชะงัก ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ฉวยโอกาสนี้หลบหนี ไปทันที ขอแค่ตนหนีไปถึงทะเลสาบชางอวิ๋น จะต้องร่วมมือกับคนในสำนักมา ล้อมปราบ สังหารคนผู้นี้ให้หายแค้นอย่างแน่นอน!
เฉินผิงอันมองไปทางตู้อวี๋ แล้วยิ้มกล่าวว่า “เจ้าตาบอดหรือไง นี่ถือว่าเป็น กุมารทองกุมารีหยก คู่รักเทพเซียนแต่กำเนิดกะผายลมสุนัขอะไรกัน?”
สีหน้าของเยี่ยนชิงเย็นชาดุจน้ำค้างแข็ง ในดวงตาที่งดงามสองข้างนั้นเผย ความเคียดแค้นและจิตสังหารที่เข้มข้นเป็นครั้งแรก
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนอิสระหนุ่มสวมงอบคนนั้นกลับแค่กระทืบเท้าเบาๆ ดีด ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำออกมาจากหลุม หลังจากนั้นก็เตะอีกฝ่ายไปทางประตูใหญ่ มือถือไม้เท้า ก้าวยาวๆ ตามไป หันหลังให้นางกับกระบี่ของนางอย่างใจกว้าง จากนั้นคนชุดเขียวก็ยกมือขึ้นโบก “ไปดูเถอะ”
สุดท้ายคนผู้นั้นก็กระชากตัวฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำออกไปจากจวน น่าจะมุ่งหน้าไปยังทะเลสาบชางอวิ๋น?
ตู้อวี๋ค้อมเอววิ่งตุปัดตุเป๋ตามหลังคนผู้นั้นไป
เยี่ยนชิงยืนอึ้งตะลึงอยู่กับที่