บทที่ 502 หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
ช่วงปลายฤดูหนาว ท้องฟ้าเป็นสีครามกระจ่างใส ขุนเขาถูกผนึกด้วยน้ำแข็ง ไร้เมฆเคลื่อนคล้อย เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน เห็นเพียงความเงียบสงัด แห้งเหี่ยว
นี่ก็คือสีสันของโลกมนุษย์ ตอนอยู่บนเรือข้ามฟากตระกูลเซียน ก้มหน้าลงมองภูเขาแม่น้ำหมื่นลี้ จะไม่มีทางมีความรู้สึกเช่นนี้ได้แน่นอน นี่จึงเป็นเหตุให้การฝึกตนบนภูเขายิ่งไม่อาจรับรู้ถึงความร้อนหนาวบนโลกมนุษย์
ไม้เท้าเดินป่าที่หลอมขึ้นด้วยคาถาเซียนของตำหนักปี้โหยวซึ่งอยู่ในมือเฉินผิงอันชิ้นนั้นมีรูปลักษณ์เป็นสีเขียวปลั่งแวววาว เป็นเหตุให้เส้นสายจากบ่อสายฟ้าเส้นนี้ ดูคล้ายกับวัสดุที่ใช้ทำแส้ไผ่มากกว่า ไม่อย่างนั้นหากเป็นสีทองอาจจะสะดุดตา มากเกินไป แต่ขอแค่คลายตราผนึกหนึ่งชั้นออกได้ แส้โบยผีอย่างหยาบๆ ที่ถือว่าหลอมเล็กสำเร็จได้ชั่วคราวชิ้นนี้ก็จะสามารถกลับคืนมามีรูปลักษณ์ดังเดิม
อุตรกุรุทวีปมีดีอยู่อย่างหนึ่ง ขอแค่พูดภาษากลางของทวีปได้ก็ไม่ต้องกังวลว่า จะเป็นไก่ที่คุยกับเป็ด ทว่าแจกันสมบัติทวีปกับใบถงทวีปต่างก็มีภาษาทางการและภาษาท้องถิ่นของแต่ละแคว้นแตกต่างกันไปหลากหลาย เวลาเดินทางท่องเที่ยวไป ทั่วทิศจะลำบากอย่างมาก
เฉินผิงอันเดินมาถึงตีนเขา รอบกายยังคงไร้ผู้คน เขาจึงคีบเอายันต์ปราณหยางส่องไฟแผ่นหนึ่งออกมาเบาๆ ความเร็วในการเผาไหม้ของยันต์เป็นปกติ นี่หมายความว่าความเป็นไปได้ที่จะมีปีศาจออกอาละวาดในเมืองนั้นมีน้อยกว่า มีความเป็นไปได้ อย่างยิ่งว่าจะเป็นสถานการณ์อย่างที่สองที่ซ่งหลันเฉียวโอสถทองพูดถึง นั่นคือ หายนะใหญ่มาเยือนองค์เทพภูเขาแม่น้ำบางท่านที่อยู่แถวนครแห่งนั้น ทำให้ร่างทองใกล้จะแหลกสลาย นี่จึงส่งผลกระทบต่อโชคชะตาของน้ำและลม ภัยธรรมชาติ จึงเกิดขึ้นตามมา
เพียงแต่ว่าไม่มีเรื่องราวใดที่ตายตัว เฉินผิงอันคิดว่าจะค่อยๆ ดูไปก่อน ในมือของเขาถือยันต์ เดินหน้าไปช้าๆ จนกระทั่งเจอกับรถลากเทียมวัวที่บรรทุกถ่านไม้มาเต็มลำจากไกลๆ ชายฉกรรจ์ร่างกายบึกบึนสวมเสื้อผ้าเก่าขาดคนหนึ่งพาบุตรชายบุตรสาว คู่หนึ่งที่หนาวจนมือขึ้นตุ่มน้ำพองมุ่งหน้าไปทางเมืองด้วยกัน เฉินผิงอันถึงได้ดับไฟ บนยันต์ สาวเท้าก้าวเร็วๆ ไปหา ในดวงตาของเด็กน้อยทั้งสองเต็มไปด้วยความ สงสัยใคร่รู้ เพียงแต่ว่าเด็กชนบทส่วนใหญ่มักจะขี้อาย จึงขยับซุกตัวเข้าหาบิดา ชายฉกรรจ์เห็นคนหนุ่มที่สะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่าผู้นี้แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร
อากาศหนาวเหน็บจนน้ำแข็งเกาะตัวบนพื้น ทางเดินจึงยิ่งแข็งกระด้าง รถเทียมวัวโคลงเคลงไม่หยุด ชายฉกรรจ์จึงยิ่งไม่กล้าจูงวัวให้วิ่งเร็วเกินไปนัก เพราะหากถ่านไม้แตกหักก็จะขายได้ราคาไม่สูง พวกผู้ดูแลน้อยใหญ่ในตระกูลคน มีเงินของในเมือง แต่ละคนสายตาอำมหิต ช่างเลือกเป็นที่สุด คำพูดเวลาใช้หั่นราคาทำให้จิตใจคนเยียบเย็นได้ยิ่งกว่าลมหนาวที่มีอยู่ทั่วทุกหนแห่งเสียอีก เพียงแต่เมื่อ จูงวัวช้าเช่นนี้ก็พานให้ลูกน้อยทั้งสองของเขาต้องเหน็บหนาวไปด้วย นี่ทำให้ ชายฉกรรจ์รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย บอกพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วว่าไม่ต้องมา ในเมือง มีอะไรให้น่าดูกัน ก็แค่สิงโตหินหน้าประตูเรือนมองดูแล้วน่าตกใจ ภาพเทพทวารบาลหลากสีใหญ่กว่านิดหน่อย มองนานไปก็มีอยู่แค่นั้น หากถ่านไม้ทั้งรถนี้สามารถขายได้ราคาดีจริงๆ ตนย่อมซื้อขนมของกินเล่นกลับไปฝากพวกเขาอยู่แล้ว ของอะไรที่ไม่ควรขาดในวันปีใหม่ก็ไม่มีทางลืมซื้อไปด้วย
พอจะมองเห็นเค้าโครงของกำแพงสูงได้รางๆ ชายฉกรรจ์ก็ผ่อนลมหายใจโล่งอก ในเมืองคึกคัก มีกลิ่นอายของผู้คนเต็มเปี่ยม อบอุ่นกว่านอกเมืองอยู่มาก ขอแค่ลูก ทั้งสองอารมณ์ดี คาดว่าคงลืมเรื่องว่าหนาวหรือไม่หนาวไปเอง
เพียงแต่ว่าคนหนุ่มสวมงอบผู้นั้นเดินไม่ช้าไม่เร็ว ตามมาด้านหลังรถเทียมวัว นี่ทำให้ชายฉกรรจ์เป็นกังวลเล็กน้อย
เฉินผิงอันเพิ่มความเร็วฝีเท้า ยิ้มถามว่า “พี่ชายท่านนี้ ข้าเป็นคนต่างถิ่นที่เดินทางมาจากแดนไกล ไม่ทราบว่าเมืองแห่งนี้ชื่อว่าอะไร? มีสถานที่ใดที่ควรไปเที่ยวชมบ้าง?”
ชายฉกรรจ์เป็นคนพูดไม่เก่ง เพียงแต่ว่าไม่กล้าแสร้งทำเป็นหูหนวกบื้อใบ้ จึงคลี่ยิ้มส่งมาให้แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ตอบนายท่าน ด้านหน้านั้นชื่อว่าเมืองสุยเจี้ย (ตามขบวน) ว่ากันว่าปีนั้นฮ่องเต้เดินทางลงใต้ ไม่ทันระวังถูกลมหนาวจึงมาพักอาศัยอยู่ที่เมืองแห่งนี้ระยะเวลาหนึ่ง แล้วก็ได้ตั้งชื่อนี้ให้ ข้ารู้แค่ว่า ศาลเทพอภิบาลเมืองทางทิศเหนือและศาลเทพอัคคีทางทิศใต้ เวลาปกติคนจะไปเยือนเยอะที่สุด นายท่านสามารถลองไปดูได้”
“ตกลง ถ้าอย่างนั้นเมื่อข้าเข้าเมืองแล้วจะไปเยือนสองสถานที่นี้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะยื่นมือไปช่วยจับรถลากเทียมวัวเบาๆ “ต้องผ่านทางไปพอดี ข้าเองก็ไม่ได้รีบร้อน เข้าเมืองไปด้วยกันเถอะ จะได้ถือโอกาสนี้สอบถามถึงเรื่องราวต่างๆ ของเมืองสุยเจี้ยจากพี่ชายด้วย”
แม้ว่าชายฉกรรจ์จะรู้สึกกระวนกระวายใจ แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นแล้วเห็นว่า รถเทียมวัวขยับเข้าไปใกล้ประตูเมืองของเมืองสุยเจี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว น่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันอะไรเกิดขึ้นได้ ถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย จึงเลียนแบบการพูดจาของคนในเมือง สรรหาถ้อยคำน่าฟังมาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าบางเรื่องที่ข้า พอจะรู้แล้วกัน สามารถช่วยนายท่านในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ได้ย่อมดีที่สุดแล้ว ข้าไม่เคยเรียนหนังสือ พูดไม่เก่ง บางเรื่องหากพูดไม่ถูกก็ขอนายท่านอย่าได้ถือสา”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือไม้เท้าเดินป่า มือหนึ่งช่วยจูงรถเทียมวัว “ดียิ่งนัก เชิญพี่ชายพูดได้ตามสบาย”
ภายใต้การแนะนำของชายฉกรรจ์ที่คิดถึงเรื่องไหนได้ก็พูดถึงเรื่องนั้น เฉินผิงอันจึงรู้ว่าเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ไม่ถือว่าเป็นเมืองเล็กในแคว้นอิ๋นผิง ในประวัติศาสตร์เคยมีอัครเสนาบดีท่านหนึ่งถือกำเนิด ดังนั้นควันธูปของหอขุยซิงที่ศาลเทพอภิบาลเมือง จึงโชติช่วง ศาลเทพอัคคีก็มีชื่อเสียง ว่ากันว่าศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอพรด้านโชคลาภเงินทอง คนมีเงินที่ทำการค้าใหญ่ของเมืองต่างก็ชอบไปจุดธูปที่นั่น
ดังนั้นชายฉกรรจ์จึงจะจูงรถไปยังตลาดที่อยู่ใกล้กับศาลเทพอัคคี เมื่อขายถ่านไม้ทั้งคันรถได้แล้วก็สามารถซื้อของที่ใช้ในวันปีใหม่จากร้านแถวนั้นเอากลับบ้านไปได้
เด็กสองคนลอบมองประเมินเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา แต่พอเฉินผิงอันหันไปยิ้มให้พวกเขา พวกเขากลับหันหน้าหนีทันที ท่าทางเขินอายเล็กน้อย
โดยไม่ทันรู้ตัว รถเทียมวัวก็มาถึงหน้าประตูเมือง เนื่องจากยังเช้าอยู่มาก จึงจำเป็นต้องเข้าแถวเดินเข้าเมือง บริเวณใกล้เคียงมีร้านขายอาหารเช้าอยู่บางส่วน เฉินผิงอันจึงซื้อโจ๊กถ้วยเล็กหนึ่งถ้วยและแป้งม้วนยัดไส้หนึ่งชิ้น ปลดงอบลง นั่งลง ข้างโต๊ะแล้วเริ่มกินอาหาร เด็กสองคนที่อยู่ห่างไปไม่ไกลกลืนน้ำลาย ชายฉกรรจ์ ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะควักเงินเหรียญทองแดงหยิบมือเล็กๆ มอบให้กับบุตรสาว พอได้เงิน เด็กทั้งสองก็วิ่งฉิวมาที่ร้าน ซื้อโจ๊กชามเล็กหนึ่งชามและแป้งม้วนไส้ผัก ที่มีกลิ่นไข่ไก่หอมๆ ชิ้นหนึ่งเช่นกัน เด็กหญิงเอาแป้งม้วนประคองส่งให้พ่อของนาง ชายฉกรรจ์กัดไปแค่คำเดียวแล้วแบ่งแป้งม้วนที่เหลือออกเป็นสองส่วน มอบคืนให้กับเด็กหญิง เด็กหญิงตัวน้อยวิ่งกลับมาที่ข้างโต๊ะ ยื่นส่งให้น้องชายครึ่งหนึ่ง จากนั้น สองพี่น้องก็กินโจ๊กถ้วยเดียวกัน ชายฉกรรจ์เฝ้ารถลากเอาไว้ ยกมือเช็ดปาก คลี่ยิ้มกว้าง
กิจการของร้านค้าไม่เลว เด็กทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน
เวลากินเฉินผิงอันเคยชินกับการเคี้ยวอาหารอย่างละเอียดพลางครุ่นคิดอะไรไปด้วย
การเดินทางไปเยือนหุบเขาผีร้ายก่อนหน้านี้ การประลองปัญญาปัดแข้งปัดขากับบัณฑิต และการประลองพละกำลังกับภูตอินทรีทองแห่งยอดเขาจีเซียว อันที่จริง ไม่ถือว่าอันตรายสักเท่าไหร่
แต่ระยะทางระหว่างที่เดินทางจากนครถงโช่วมาถึงเมืองชิงหลู หรือควรจะพูดให้ถูก ก็คือนับตั้งแต่ที่เดินลงจากเรือข้ามฟากของสำนักพีหมา จนกระทั่งไปถึงการใช้ เจี้ยนเซียนแหวกผ่าม่านฟ้าหนีไปที่ภูเขามู่อี
ทำให้จนถึงตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังหวาดผวาไม่คลาย หลังจบเรื่องเขาก็ทบทวนกระดานหมากซ้ำอยู่หลายครั้ง ทุกครั้งล้วนรู้สึกว่ามีเพียงเส้นบางๆ ที่กั้นระหว่าง ความเป็นความตายเท่านั้น เพียงแต่พอคิดถึงผลเก็บเกี่ยวในท้ายที่สุดที่อุดมสมบูรณ์ หาเงินเทพเซียนมาเพิ่มได้ไม่น้อย ของล้ำค่าหายากก็ได้มาอยู่หลายชิ้น จึงไม่มีอะไรให้เขาต้องโทษคนบ่นฟ้าอีก ความเสียดายเพียงอย่างเดียวก็คือต่อยตีกับคนอื่น น้อยเกินไป ไม่เจ็บไม่คัน ถึงขนาดที่ว่าสู้ตอนถูกป้อนหมัดบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ไม่สาแก่ใจมากพอ หากปีศาจของภูเขาจีเซียวกับอริยะใหญ่ปานซานตนนั้นร่วมมือกัน และสมมติว่าไม่มีวิญญาณวีรบุรุษห้าขอบเขตบนอย่างเกาเฉิง คอยลอบมองอยู่ทางทิศเหนือ บางทีอาจจะได้ต่อสู้อย่างเต็มคราบมากกว่านี้
ภายหลังมาพักผ่อนอยู่ในจวนบนภูเขามู่อี อาศัยการอ่านรายงานข่าวจวนตระกูลเซียนปึกหนึ่งที่ขอให้คนนำมาให้ จึงได้รู้เรื่องราวใหม่ๆ ของอุตรกุรุทวีปอีกไม่น้อย
เรื่องหนึ่งในนั้นที่อยู่เหนือการคาดการณ์มากที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็น นักพรตหญิงหวงถิงแห่งภูเขาไท่ซานที่พ่ายแพ้ให้แก่คนหนุ่มผู้หล่อเหลาบนภูเขาซึ่งมีนามว่าหลิวจิ่งหลงในศึกตัดสินเป็นตายบนภูเขาตี่ลี่ ต้องรู้ว่าหวงถิงมาที่อุตรกุรุทวีปเพื่อฝ่าคอขวดก่อกำเนิด แม้จะบอกว่านางเป็นก่อกำเนิดที่เพิ่งเลื่อนขั้นใหม่ ทว่า วิชากระบี่ของหวงถิงนั้นสูงส่งเลิศล้ำอย่างไม่ต้องสงสัย และเหนือหลิวจิ่งหลงที่อายุกับตบะพอๆ กับหวงถิงขึ้นไป ยังมี ‘ผู้ฝึกตนหนุ่ม’ ที่ทั้งตบะ พรสวรรค์ ภูมิหลังและ โชควาสนาล้วนโดดเด่นยิ่งกว่าฝูงชนอีกสองคน ส่วนลูกรักแห่งสวรรค์อีกเจ็ดคนที่อยู่ตามหลังหลิวจิ่งหลง ลำพังดูแค่จากสภาพจิตใจและวิธีการของหยางหนิงซิ่งแห่งตำหนักนภากาศแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่กล้าดูแคลนพวกเขาแม้แต่น้อย
นอกจากนี้ภูเขาตี่ลี่ยังมีอีกสถานที่หนึ่งที่เฉินผิงอันสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง
เหนือภูเขามีภูเขา บริเวณใกล้เคียงกับภูเขาตี่ลี่ที่มีศึกสงครามเปิดฉากขึ้นอย่างต่อเนื่องยังมีภูเขาร้อยน้ำพุที่เหมาะแก่การชมศึกอยู่อีกลูกหนึ่ง บนภูเขามีน้ำพุวิเศษ อยู่ร้อยกว่าแห่ง ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น
คือสถานที่วิเศษก่อนกำเนิดแห่งหนึ่ง บนภูเขาสร้างจวนตระกูลเซียนน้อยใหญ่ ไว้พันกว่าหลัง ระหว่างภูเขาเขียวน้ำใสนั้นมีเรือนลึกหลายชั้นตั้งอยู่ ทัศนียภาพชวนให้ผู้คนสบายตาสบายใจ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ฝึกตนอันดับหนึ่ง จวนบนภูเขาร้อยน้ำพุแห่งนี้มีไว้ให้เช่าเท่านั้น ไม่มีสำหรับขาย ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตด้วยฝีมือของช่างสำนักโม่และผ่านการเลือกสรรสถานที่ตั้งจากยอดฝีมือสำนักหยินหยางซึ่งทางสำนักฉงหลินเป็นผู้เชื้อเชิญมา สามารถเช่าในระยะยาว แต่ยิ่งระยะเวลานานเท่าไหร่ ค่าเช่าก็ยิ่งแพงมากเท่านั้น
อาศัยการค้าอันยาวนานที่มีเงินทองไหลมาเทมานี้ สำนักฉงหลิน (ภาษาจีนคือ ฉงหลินจง) ที่เก่งในด้านการหาเงินจึงสามารถอาศัยการทุ่มเงินเทพเซียนจ้าง ผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบครึ่งตัวมาได้ และสำนักก็ได้อักษรตัวจงมาเพิ่มในชื่อ
สำนักแห่งนี้มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนักในอุตรกุรุทวีป เห็นแต่เงินอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เคยเห็นแก่ความสัมพันธ์ใดๆ แต่กระนั้นก็ไม่ถ่วงความเจริญรุ่งเรืองและ เงินทองที่มากองอยู่ตรงหน้าพวกเขา
ดังนั้นสำนักฉงหลินจึงทั้งทำให้ผู้ฝึกตนอิจฉาตาร้อน แล้วก็ทั้งทำให้คนบนภูเขาดูแคลน มีคำเหน็บแนมที่เป็นประโยคติดปากประโยคหนึ่งแพร่ไปทั่วทั้งเหนือและ ใต้ หมอนปักลายบุปผาห้าขอบเขตบน สองแขนเสื้อมีลมเย็นสำนักฉงหลิน (สองแขนเสื้อมีลมเย็นเปรียบเปรยถึงขุนนางที่มือสะอาดซื่อสัตย์)
เฉินผิงอันวางตะเกียบลง มองไปทางประตูเมือง ห่างออกไปในเมืองมีเสียงกีบเท้าม้าดังมาเป็นระลอก ดังสนั่นสะเทือนพื้นดิน น่าจะเป็นขบวนของม้าสูงใหญ่แปดตัว ที่พากันออกมาจากเมือง พอขยับเข้ามาใกล้ประตูเมืองที่มีคนยืนออกันอยู่ก็ไม่เพียงแต่ไม่ชะลอฝีเท้าม้าให้ช้าลง กลับกันยังโบยแส้เพิ่มความเร็ว เป็นเหตุให้ตรงประตูเมืองวุ่นวายอลหม่าน พวกชาวบ้านที่เข้าออกเมืองสุยเจี้ยพากันเอาตัวแนบติดกำแพง ส่วนชาวบ้านที่อยู่นอกเมืองก็คล้ายจะเห็นมาจนชินแล้ว แม้แต่รถเทียมวัวของ ชายฉกรรจ์ก็ยังรีบขยับแนบชิดสองข้างฝั่งของถนนอย่างเร่งร้อนแต่ไม่วุ่นวาย พริบตาเดียวก็เปิดทางที่โล่งกว้างเส้นหนึ่ง
นี่คือเหตุการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นที่ใดก็ล้วนมีให้เห็นได้เสมอ
ลูกหลานคนรวยที่สวมอาภรณ์สีสันฉูดฉาด แต่ละคนนั่งอยู่บนหลังม้าสูง ควบม้าออกจากเมืองอย่างรีบร้อน เสียงกีบเท้าม้าที่รัวเร็วประหนึ่งเสียงประทัด ทายาท ชนชั้นสูงที่มีสีหน้าหยิ่งทระนงเหล่านั้นควบม้าทะยานผ่านไปอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคย แต่ละคนสวมห่มชุดคลุมหนังจิ้งจอกราคาแพง ในมือถือแส้ม้าหุ้มด้วยผ้าแพรปักลาย สะพายธนูไว้บนหลัง และยังมีพวกข้ารับใช้ร่างกายแข็งแรงกำยำถือกรงนกตามมา มองดูแล้วช่างมากบารมีเปี่ยมอำนาจเสียจริง
แต่ความสนใจของเฉินผิงอันกลับอยู่ที่หนุ่มสาวสองคนที่นั่งอยู่ในร้านแห่งหนึ่งซึ่งห่างไปไม่ไกลมากกว่า หนึ่งชายหนึ่งหญิงคู่นั้นสวมชุดเรียบง่าย แต่สะอาดสะอ้าน ต่างก็สะพายกระบี่ยาว หน้าตาไม่ถือว่าโดดเด่น แต่กลับมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พวกเขากินเกี๊ยวน้ำกันคนละถ้วย สีหน้าเฉยชา เมื่อบุรุษเห็นกลุ่มลูกหลานชนชั้นสูง ที่ควบม้าห้อตะบึงออกจากเมืองสุยเจี้ยไปนั้นก็ขมวดคิ้ว สตรีวางตะเกียบลง ส่ายหน้าให้บุรุษเบาๆ
เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง
น่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่มาเยือนเพราะภาพเหตุการณ์ประหลาดในเมืองสุยเจี้ย
เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตนชายหญิงมีตบะไม่สูง เฉินผิงอันสังเกตจากภาพการไหลเวียนของปราณวิญญาณบนตัวพวกเขา คือผู้ฝึกลมปราณสองคนที่ยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขต ถ้ำสถิต แม้คนทั้งสองจะสะพายกระบี่ แต่ต้องไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่อย่างแน่นอน
เมื่อสตรีสะพายกระบี่หันหน้ามามองก็เห็นเพียงคนหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังจ่ายเงินกับเจ้าของร้าน ในมือของเขาถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกต บนศีรษะสวมงอบที่ สานจากไม้ไผ่ สีหน้าของบุรุษเป็นปกติ อีกทั้งลักษณะท่าทางยังดูธรรมดา ไม่ต่างจากพวกจอมยุทธพเนจรที่ชอบท่องอยู่ในยุทธภพสักเท่าไหร่ สตรีถอนหายใจ หากเป็น คนในยุทธภพที่จับผลัดจับผลูเข้ามาในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ก็ถือว่าโชคไม่ดีเลย
แต่หากเหมือนกับพวกเขาที่ตั้งใจมาเยือนเมืองสุยเจี้ยเพราะที่นี่กำลังจะมีหายนะบังเกิด และขณะเดียวกันสมบัติวิเศษก็จะเผยตัวบนโลก ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเรียกว่า ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำแล้ว เขาไม่รู้เลยหรือว่าสมบัติชิ้นนั้นถูกสองตระกูลเซียนใหญ่ที่มีรากฐานลึกล้ำที่สุดบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นหมายตาไว้นานแล้ว นอกจาก พวกผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่รู้จักกลัวตายแล้ว คนอื่นมีใครกล้าอาจเอื้อมไปแตะต้องบ้าง? อย่างนางกับศิษย์น้องร่วมสำนักข้างกายผู้นี้ นอกจากจะต้องทำภารกิจลับที่สำนักมอบหมายให้สำเร็จแล้ว ที่มากกว่านั้นคือถือเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตรายรายล้อมอีกด้วย
การต่อสู้ของเทพเซียนที่จริงแท้แน่นอนครั้งนี้ หากคนธรรมดาเข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ทันระวังขวางทางของเซียนซือใหญ่คนใดก็อาจต้องพบจุดจบที่ร่างแหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลี
หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
ความคิดของหญิงสาวล่องลอยไปไกล
ตัวนางเองถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่โดดเด่นในกลุ่มของคนหนุ่มสาวจากหลายแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิงเป็นหนึ่งในนั้น แต่เมื่อเทียบกับสองคนนั้นแล้ว นางรู้ดีว่าตัวเอง ยังห่างชั้นอีกไกลนัก คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่อายุแค่สิบห้าปี เมื่อปีก่อนก็ได้เลื่อนขั้น เป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งคือสตรีที่อายุยี่สิบต้นๆ และยิ่งมีโชควาสนามาเยือนไม่ขาดสาย ตลอดเส้นทางของการฝึกตนล้วนพบเจอแต่ความราบรื่น นอกจากนี้ยังมีสมบัติหนักติดกาย หากไม่เป็นเพราะสำนักลำดับต้นๆ ทั้งสองเป็นศัตรูคู่อาฆาตกัน พวกเขาก็ต้องถือว่าเป็นคู่กุมารทองกุมารีหยกที่ฟ้าดินสร้างให้มาคู่กันแล้ว
อาณาเขตของหลายสิบแคว้น ตลอดทั้งบนและล่างภูเขา ดูเหมือนว่าต่างก็กำลังจับตามองการเติบโตและการงัดข้อกันระหว่างพวกเขาสองคน
ทุกครั้งที่พวกเขาสองคนได้พบเจอกันล้วนจะต้องกลายมาเป็นเรื่องเล่าอันงดงามที่ผู้คนฟังกันอย่างเพลิดเพลิน
อันที่จริงนางเองก็อิจฉาเหมือนกัน
เพราะเด็กหนุ่มผู้ฉลาดเฉลียวที่เกิดมาก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นที่จับตามองของคนมากมายผู้นั้นมีเนื้อหนังมังสาดุจดั่งเจ๋อเซียน นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน อีกทั้ง ยังเชี่ยวชาญสี่ศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นพิณ หมากล้อม พู่กันจีนหรือวาดภาพ นางคิดแล้ว ก็ไม่เข้าใจ เหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีเด็กหนุ่มที่ทำให้สตรีแค่พบเห็นก็ลืมเลือนบุรุษธรรมดาสามัญที่เคยพานพบมาทั้งหมดเช่นนี้ได้?
บุรุษหนุ่มเห็นว่าศิษย์พี่หญิงของตนเหม่อลอยก็เข้าใจว่านางเป็นกังวลกับ การเดินทางหลังจากนี้ จึงเอ่ยปลอบใจว่า “ศิษย์พี่หญิง หากไม่มั่นใจ พวกเราหา เด็กคนนั้นเจอแล้วก็กลับเถอะ ไม่จำเป็นต้องสนใจภัยพิบัติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงครั้งนี้ อาจารย์เคยบอกไว้ว่า ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ คล้อยไปตามสถานการณ์ ในเมื่อเมืองสุยเจี้ยเสวยสุขกับการถูกปกป้องจากทวยเทพมานานหลายร้อยปี ก็ควรถึงเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติที่ถูกกำหนดมาแล้วครั้งนี้”
สตรีพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยเตือน “ระวังกำแพงมีหู”
บุรุษยิ้มกล่าว “หากจะบอกว่าในเมืองมีปลาและมังกรปะปนกัน คนแปลกประหลาดรวมตัวกันอยู่มากมาย ข้าก็เชื่อ แต่หากจะบอกว่าสามารถพบเจอยอดฝีมือนอกโลกได้ตั้งแต่หน้าประตูเมืองแห่งนี้…ข้าไม่เชื่อหรอก สำนักของพวกเราก็ไม่ถือว่าเล็กแล้ว เซียนซือผู้เฒ่า เซียนซือน้อยทั้งหลายบนภูเขา มีใครบ้างที่พวกเราไม่คุ้นหน้าคุ้นตา? หรือเจ้าคนเล่นละครลิงผู้นั้นจะเป็นเทพเซียนที่อำพรางตัวตนอย่างลึกลับ? หรือจะเป็นจอมยุทธหนุ่มสวมงอบผู้นั้นที่แท้จริงแล้วก็คือปรมาจารย์ใหญ่แห่งยุทธภพ คนหนึ่ง?”
สตรีหน้าเปลี่ยนสีน้อยๆ “เจ้าลืมคำสั่งสอนของอาจารย์ไปแล้วหรือ ลงจากเขามาหาประสบการณ์ต้องระวังการกระทำและคำพูด!”
แม้ปากนางจะเอ่ยสั่งสอนเช่นนี้ ทว่าสายตาของหญิงสาวกลับเหลือบมองไปยัง ผู้เฒ่าที่มีลิงนั่งอยู่บนไหล่กับคนหนุ่มที่เดินเข้าไปใกล้รถเทียมวัวคันหนึ่งอย่างว่องไว แล้วใจนางก็สั่นเยือก ฝ่ายหลังนั้นไม่มีอะไร เพราะยังคงไม่รู้เรื่องรู้ราวว่าศิษย์น้อง ของตนพูดจาล่วงเกิน แต่ผู้เฒ่าที่เดิมทียื่นมือไปป้อนอาหารลิงน้อยบนไหล่กลับหันมามองนาง กระตุกมุมปาก สีหน้าไม่เป็นมิตร สตรีจึงลุกขึ้นยืนกุมหมัดคารวะขออภัย
แต่ผู้เฒ่ากลับไม่รับน้ำใจ สายตาของเขาไล่มองตั้งแต่หัวจรดเท้าของนางหนึ่งรอบ จากนั้นก็กระตุกยิ้มเย็นชามุมปาก แล้วก็ไม่มองต่ออีก ราวกับว่ารังเกียจเรือนร่าง ของนางอย่างไรอย่างนั้น
สตรีไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไร ทว่าศิษย์น้องของนางโมโหจนอกแทบจะระเบิด ตาแก่หนังเหนียวผู้นั้นบังอาจหยามเกียรติคนอื่นถึงขนาดนี้เชียวหรือ! เขาทำท่า จะเดินออกไป แต่กลับถูกศิษย์พี่หญิงกระตุกชายแขนเสื้อไว้เบาๆ แล้วส่ายหน้าให้ “เป็นพวกเราที่เสียมารยาทก่อน”
บุรุษหนุ่มจึงหันไปถลึงตามองผู้เฒ่าเลี้ยงลิงอย่างดุร้าย จดจำใบหน้าของอีกฝ่ายไว้ให้ขึ้นใจ หากเข้าไปในเมืองเมื่อไร ถึงเวลานั้นหากการช่วงชิงสมบัติเปิดฉากขึ้น กองกำลังของแต่ละฝ่ายปะปนกันจนไม่อาจแยกแยะได้แน่ชัด ต้องเกิดความวุ่นวายโกลาหลอย่างแน่นอน หากมีโอกาส ตนจะทำให้ตาแก่หนังเหนียวผู้นี้ได้เห็นดีกันแน่
อันที่จริงเฉินผิงอันล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา เขารู้สึกสะท้อนใจเล็กน้อย สองฝ่ายที่อยู่ดีไม่ว่าดีก็ผูกปมแค้นกันเสียอย่างนั้น นับว่านิสัยไม่ค่อยดีสักเท่าไรเลยจริงๆ
ในความเป็นจริงแล้วหลายสิบแคว้นโดยรอบแคว้นอิ๋นผิงนี้เป็นอาณาเขตแร้นแค้นที่ปราณวิญญาณบางเบา ไม่เหมาะแก่การฝึกตน ส่วนใหญ่มีแต่ผู้ฝึกยุทธที่กระทำการกำเริบเสิบสาน ซ่งหลันเฉียวแห่งเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์บอกว่า
ผู้ฝึกลมปราณของที่นี่ก็คือกบใต้บ่อกลุ่มหนึ่งที่ดีแต่จะเก่งอยู่ในบ่อน้ำเล็กๆ ของตัวเอง ผู้ฝึกตนด้านนอกที่เดินอยู่บนมรรคาอย่างแท้จริงล้วนไม่สนใจผลกำไรเล็กน้อยเท่าหัวแมลงวันนั่น ผู้ฝึกตนที่อยู่ภายในก็ยินดีที่ไม่มีมังกรข้ามแม่น้ำมาสร้าง ความวุ่นวาย ปิดประตูแล้วก็สามารถวางอำนาจกันได้ตามสบาย มีผู้ฝึกตนโอสถทองขอบเขตเละเทะสองคนของสองสำนักใหญ่ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกันเป็นผู้นำ ต่างคนต่างนำพาลูกสมุนของตัวเองตีกันไปตีกันมา ได้ยินมาว่าคุมเชิงกันมาหลายร้อยปีแล้ว
ถึงแม้ซ่งหลันเฉียวจะพูดจาง่ายๆ สบายๆ แต่เฉินผิงอันก็ยังเคยชินที่จะท่องอยู่ในยุทธภพด้วยความระมัดระวัง เพราะระมัดระวังย่อมขับเรือได้นานหมื่นปี
ผู้ฝึกตนบนภูเขามีวิชาอาคมนับพันนับหมื่นที่แปลกประหลาดอัศจรรย์ หากเปิดฉากเข่นฆ่ากันขึ้นมา ขอบเขตสูงต่ำ หรือแม้แต่ระดับขั้นของสมบัติอาคมดีหรือเลว ล้วนไม่อาจเป็นตัวตัดสินได้ การข่มกันของห้าธาตุ ฟ้าอำนวยดินอวยพร โชควาสนา ที่แปรเปลี่ยน แผนในที่มืดแผนที่โจ่งแจ้ง ล้วนเป็นตัวแปรได้ทั้งสิ้น
เข้ามาในเมืองแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ชายฉกรรจ์ขายถ่านเข้าใจผิดคิดว่าตน มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ เฉินผิงอันจึงไม่ได้ติดตามเขาไปที่ตลาดของศาลเทพอัคคีด้วย แต่ไปที่ศาลเทพอภิบาลเมืองก่อน
อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกว่าชายฉกรรจ์คนนี้คือผู้ฝึกยุทธบริสุทธิ์คนหนึ่ง อยู่ที่ประมาณจุดสูงสุดของขอบเขตสาม พอเห็นว่าตนเผยกาย ชายฉกรรจ์ถึงได้จงใจเปลี่ยนลมหายใจเข้าออกให้ขุ่นมัว ฝีเท้าก็เบาและล่องลอย คิดดูแล้วเมื่ออยู่ในยุทธภพของแคว้นอิ๋นผิงก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามคนหนึ่งที่พื้นฐานไม่เลว เดิมทีควรจะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่เหตุใดถึงกลายมาเป็นคนตัดฟืนขายถ่าน หาเลี้ยงชีพ อย่างยากลำบากพาให้คนในครอบครัวเดือดร้อน คิดดูแล้วคงจะมีเหตุผลของ ตัวเขาเอง เรื่องพวกนี้เฉินผิงอันไม่คิดจะไปสืบเสาะ เพราะท่านไม่ใช่ปลา ไหนเลย จะรู้ความสุขของปลา (เป็นประโยคที่จวงจื่อนักปราชญ์ชาวจีนพูดกับฮุ่ยจื่อ นักปกครองและนักปรัชญาชาวจีน)
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกทางกันแล้ว
ชายฉกรรจ์ก็จูงรถเทียมวัวเดินต่อไป เด็กน้อยทั้งสองคนยังคงไร้ทุกข์ไร้กังวล เหลียวซ้ายแลขวามองไปรอบด้าน ชายฉกรรจ์คลี่ยิ้ม หันหน้าไปมองแผ่นหลังของ จอมยุทธพเนจรหนุ่มที่จากไปไกลคนนั้นแล้วพึมพำกับตัวเองว่า “ขนาดข้าเป็นคน ในยุทธภพก็ยังมองไม่ออก นั่นก็น่าจะเป็นเด็กรุ่นหลังขอบเขตสองสามแล้ว เฮ้อ เหตุใดถึงต้องมาเหยียบน้ำขุ่นบ่อนี้ด้วยนะ ไม่รู้หรือว่าเทพเซียนที่ฝึกวิชาเซียนอยู่บนภูเขาพวกนั้นไม่ต่างอะไรจากเจียวหลงที่สะบัดหางง่ายๆ หนึ่งครั้ง ก็ทำให้ชาวบ้านมากมายจมน้ำตายแล้ว?”
ทางฝั่งนั้น
เฉินผิงอันหัวเราะ
ชายฉกรรจ์คนนั้นจิตใจดี จงใจเอ่ยเตือนเขาว่า เมืองหลิงเป่าที่อยู่ทางทิศเหนือ มีสถานที่ที่คู่ควรแก่การไปเยี่ยมเยือนมากกว่า น่าจะเป็นเพราะต้องการให้ตน รีบออกไปจากสถานที่อันตรายอย่างเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้
บังเอิญยิ่งนัก ทั้งผู้เฒ่าเลี้ยงลิงและชายหญิงสะพายกระบี่ต่างก็ไปทางเดียวกับ เฉินผิงอัน มุ่งหน้าไปยังศาลเทพอภิบาลเมืองก่อน
เฉินผิงอันจึงจงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลง ทิ้งระยะห่างจากพวกเขา จากนั้นก็ไป ยืนปักหลักอยู่ในร้านขายภาพวาดกลางทางร้านหนึ่ง เขาดูตัวอักษรภาพอยู่ในร้านประมาณหนึ่งก้านธูป ไม่ได้ซื้อภาพใดมา แต่กลับจ่ายเงินสองสามตำลึงซื้อสมุดที่เดิมทีทางร้านมีไว้มอบให้เป็นของแถมมาสองสามเล่ม เนื้อหาด้านในแนะนำผลงานที่มีชื่อเสียงของจิตรกรมือเอกแต่ละยุคแต่ละรัชสมัยของแถบแคว้นอิ๋นผิง การจัดพิมพ์ของตำราเหล่านี้นับว่าประณีตงดงาม เพียงแต่ว่าไม่ถือเป็นตำราหายากอะไร ก็แค่เนื้อหาชวนอ่านเท่านั้น
หลังเก็บตำราใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่แล้วก็ออกมาจากร้าน ไม่เห็นเงาร่างของผู้เฒ่าและชายหญิงคู่นั้นแล้ว
พอเข้ามาใกล้ศาลเทพอภิบาลเมือง สีหน้าของเฉินผิงอันก็ค่อนข้างเคร่งเครียด ควันธูปลอยกรุ่นอ้อยอิ่งอยู่กลางอากาศ อยู่บนถนนใหญ่นอกศาลก็สามารถได้ กลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ของควันธูปแล้ว แต่ไปเยือนศาลเทพภูเขาเทพแม่น้ำมา มากแล้ว ทำให้รู้ได้ว่าควันธูปหนาหรือเบาบางล้วนไม่สำคัญ แต่สำคัญที่คำว่าบริสุทธิ์ ศาลที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากราชสำนักก็ดี หรือศาลเถื่อนที่ชาวบ้านหรือไม่ก็พวกภูตสร้างขึ้นกันเองก็ช่าง ล้วนต้องดูว่าแก่นบริสุทธิ์ของควันธูปมีกี่ชั่งกี่ตำลึง เมื่อเฉินผิงอันเพ่งสายตามองไปก็เห็นเพียงว่าศาลเทพอภิบาลเมืองที่ใหญ่โตโอ่อ่า แห่งนี้มีควันธูปล้อมวนเวียน คล้ายกับถูกเทพอภิบาลเมืองใช้เวทลับมากักกันเอาไว้จึงไม่หลุดออกมาข้างนอกแม้แต่น้อย นี่ถือเป็นการกระทำที่ล้ำเส้นแล้ว ศาลที่ได้รับ การแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากราชสำนัก องค์เทพภูเขาแม่น้ำซึ่งรวมไปถึง เทพอภิบาลเมืองและศาลบุ๋นบู๊ต่างก็ต้องหวนกลับมาเป็นฝ่ายหล่อเลี้ยงภูเขาแม่น้ำ ของหนึ่งพื้นที่ จะต้องดึงเอาแก่นควันธูปส่วนหนึ่งออกมาแล้วปล่อยให้แทรกซอน เข้าไปในฟ้าดินรอบด้าน เพื่อใช้สิ่งนี้มาบำรุงหล่อเลี้ยงปวงประชา ปกป้องชาวบ้านแบบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า นี่ต่างหากจึงจะสามารถสร้างวงจรอย่างหนึ่งได้ ไม่ใช่ว่าเก็บเอาไปไว้ในกระเป๋าของตัวเองทั้งหมด ไม่ปล่อยให้น้ำสักหยดเล็ดรอดออกมาเหมือนอย่างที่เทพอภิบาลเมืองตรงหน้าทำ
เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ อันที่จริงเขาก็พอจะเข้าใจได้ นี่คือการเอาตัวรอด ที่องค์เทพร่างทองในศาลนำมาใช้ต่อชีวิตของตน ตอนนี้ไม่มีเวลามามัวสนใจ อย่างอื่นแล้ว นี่คล้ายคลึงกับการดื่มยาพิษดับกระหาย หากปล่อยไปนานวันเข้า หายนะมีแต่จะสะสมพอกพูนจนขยายใหญ่อย่างต่อเนื่อง
เข้าใจเส้นสายต่างๆ ของเรื่องราวและผู้คนบนโลกมนุษย์ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเห็นด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้เดินเข้าไปในศาลเทพอภิบาลเมืองที่ตามกฎแล้วมีหน้าที่ปกปักษ์รักษาเมืองแห่งนี้ แม้ว่าก่อนหน้านั้นเป็นเพราะชายฉกรรจ์ขายถ่านต้องการจะปิดบังสถานะของตัวเอง จึงจงใจไม่พูดให้ชัดเจนมากนัก แต่ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่า เขาเคยมาที่นี่เพื่อขอพรอย่างจริงใจ จึงไม่กล้าพูดจาส่งเดช ดังนั้นเฉินผิงอันจึงพอจะฟังออกคร่าวๆ ว่า กฎของศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนี้ไม่เหมือนกับสถานที่แห่งอื่น นอกจากตำหนักหน้าหลังและหอขุยซิงแล้ว ยังสร้างตำหนักเทพเจ้าแห่งโชคลาภ ตำหนักเทพหยวนเฉินขึ้นมาตามความชื่นชอบและขนบธรรมเนียมของผู้คนในท้องถิ่น แต่เฉินผิงอันก็ยังสอบถามเถ้าแก่ร้านขายธูปที่อยู่นอกศาลอย่างละเอียดอีกรอบหนึ่ง เถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นคนกระตือรือร้นคุยเก่ง จึงพูดจ้อเรื่องประวัติความเป็นมาของศาลเทพอภิบาลเมืองให้ฟัง ที่แท้แม่ทัพบู๊ยุคบรรพกาลที่มีชีวิตอยู่ เมื่อหนึ่งพันปีก่อนซึ่งเทวรูปตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหน้า คือบุคคลผู้มีคุณูปการคนหนึ่ง ที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์ใหญ่แห่งหนึ่ง ร่างทองในศาลเดิมของวิญญาณวีรบุรุษผู้นี้ แน่นอนว่าต้องตั้งอยู่ที่อื่น เทพอภิบาลเมืองตัวจริงที่ ‘บำบัดทุกข์บำรุงสุข ตรวจตราโลกมืดโลกสว่าง ปกครองวิญญาณที่ตายดับ’ ของที่แห่งนี้ คือ ขุนนางบุ๋นที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งซึ่งถูกตั้งบูชาอยู่ในตำหนักหลัง คือท่านโหวลำดับสามที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ของแคว้นอิ๋นผิง
ตอนที่พูดถึงบรรดาศักดิ์นี้ เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็ยิ้มตาหยีถามว่า “เจ้าหนุ่ม เจ้าคง ไม่เข้าใจสินะว่าเหตุใดถึงเป็นแค่ท่านโหวลำดับสาม ตอนมีชีวิตอยู่นายท่านขุนนางบุ๋นผู้นี้เป็นถึงเจ้ากรมระดับสองชั้นเอกเชียวนะ”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะแปลกใจ กำลังอยากจะถามเถ้าแก่ผู้เฒ่าพอดี มันเป็นมาอย่างไรหรือ?”
หากจะพูดถึงกฎเกณฑ์และข้อพิถีพิถันในศาลมากมายของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ อันที่จริงเฉินผิงอันเข้าใจอย่างกระจ่างชัดมานานแล้ว เพียงแต่ว่าอยากจะเข้าเมือง ตาหลิ่วหลิ่วตาตาม และการทำตามที่ว่านั้น แน่นอนว่าเมื่อเข้าเมืองมาก็ต้องถามหาขนบธรรมเนียมของที่นั้นๆ ก่อน
เถ้าแก่ผู้เฒ่าเพียงยิ้ม แต่ไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันจึงรีบเชิญธูปกระบอกหนึ่งของทางร้าน
ติดกับแล้ว
เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะร่าเสียงดัง แล้วถึงได้เริ่มเล่าเรื่องวงในให้ฟัง “เจ้าหนุ่ม แค่มองก็รู้ว่าเจ้าเป็นคนในยุทธภพ การที่เจ้าจะไม่รู้เรื่องในวงการขุนนางก็เป็น เรื่องปกติ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์และตำแหน่งขุนนางในวงการขุนนางนั้นไม่ค่อยเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับขั้นของเหล่านายท่านเทพเซียนที่ได้รับการตั้งบูชาเสวยควันธูปเหล่านี้เลย เป็นไง ฟังไม่เข้าใจแล้วล่ะสิ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าว “ค่อนข้างจะซับซ้อนไปสักหน่อย”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าจึงเริ่มโอ้อวดความรู้ของตน เขาโคลงศีรษะเอ่ยว่า “ท่านเทพอภิบาลเมืองท่านนี้ของพวกเรา ในอดีตเคยเป็นแค่ท่านป๋อลำดับสี่ในยุคของฮ่องเต้ผู้บุกเบิกแคว้นเท่านั้น เพียงแต่ว่าควันธูปของเขาศักดิ์สิทธิ์มากเป็นพิเศษ เมื่อหลายปีก่อนหลังจาก ที่ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ก็ได้ออกพระราชโองการแต่งตั้งท่านเทพอภิบาลเมืองของเราย้อนหลังให้เป็นท่านโหวลำดับสาม (ตำแหน่งบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณเรียงจากใหญ่มาเล็กได้แต่ อ๋อง (หวัง) กง โหว ป๋อ จื่อ หนัน) ตอนนั้นจัดงานยิ่งใหญ่เอิกเกริกนักล่ะ นายท่านเจ้ากรมพิธีการออกจากเมืองหลวงมาด้วยตัวเอง ขุนนางใหญ่ขนาดนั้นนำพระราชโองการมาที่เมืองสุยเจี้ยของพวกเรา พอเข้าเมืองมาก็เลือก วันฤกษ์งามยามดี ถนนที่อยู่ด้านนอกร้านสายนี้ เจ้าเห็นหรือยัง วันนั้นฟ้าไม่ทันสว่าง ก็มีพวกนักการกลุ่มใหญ่พากันมาชำระล้างทำความสะอาดตั้งแต่หัวจรดท้ายถนน หนึ่งรอบ แล้วยังไม่อนุญาตให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องมามุงดู แล้วก็เพราะอยากร่วม ความครึกครื้นครั้งนี้ คืนก่อนหน้านั้นข้าก็เลยมานอนในร้านเสียเลย นี่ถึงได้พบหน้านายท่านเจ้ากรมผู้นั้น จุ๊ๆ ไม่เสียแรงที่เป็นดาวเหวินชวี (ดาวมงคลที่ส่งผลในด้านการศึกษา คล้ายดาวประจำตัวของครูบาอาจารย์ คนที่รับราชการ ฯลฯ) ลงมาจุติ ต่อให้ได้เห็นไกลๆ แค่แวบเดียวก็ยังรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของความสูงศักดิ์”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าพูดอย่างภาคภูมิใจ “ที่แห่งนี้ของพวกเรา อย่าเห็นว่าเป็นแค่ เมืองแห่งหนึ่ง ทว่าการปฏิบัติที่ท่านเทพอภิบาลเมืองตำหนักหน้าท่านนั้นของพวกเราได้รับกลับเทียบเท่าได้กับเทพอภิบาลเมืองของเขตการปกครองแล้ว นอกจาก ศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงกับศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองหลวงแห่งที่สองแล้ว ก็ไม่มีที่ใดได้รับบรรดาศักดิ์สูงไปมากกว่านี้อีกแล้ว เจ้าหนุ่ม ในเมื่อเจ้าเชิญธูปแล้วก็ต้องไปกราบไหว้ในศาล ไปโขกหัวคำนับให้มากๆ หน่อย แม้จะบอกว่าแต่ไหนแต่ไรมาการขอพรในศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนี้ล้วนเป็นบัณฑิตที่ขอโชค ด้านการศึกษาจะศักดิ์สิทธิ์มากกว่า แต่ท่านเทพอภิบาลเมืองของพวกเรามีตำแหน่งสูง ความสามารถยิ่งใหญ่ คิดดูแล้วหากเจ้ามีความจริงใจมากสักหน่อย ท่านก็ต้องช่วยปกป้องเจ้าอย่างแน่นอน”
หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
เฉินผิงอันสอบถามเกี่ยวกับขุนนางบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาที่อยู่ในศาลเทพอภิบาลเมืองอีกเล็กน้อย แล้วก็ได้ยินว่ามีขุนนางผู้พิพากษาสองคน หกกองของเทพอภิบาลเมือง รวมไปถึงเทพท่องทิวาราตรีสององค์ และแม่ทัพถือโซ่ตรวนอีกหนึ่งคนจริงดังคาด ขุนนางใต้บังคับบัญชาที่ให้ความช่วยเหลือเทพอภิบาลเมืองเหล่านี้ต่างก็มีประวัติ ความเป็นมาแตกต่างกันออกไป เถ้าแก่ผู้เฒ่าล้วนคุ้นเคยเป็นอย่างดี เขาเล่าได้ เป็นเรื่องเป็นราวน่าเชื่อถือ เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันถามว่าเคยเห็นท่านเทพอภิบาลเมืองแสดงอิทธิฤทธิ์เผยตัวให้เห็นหรือไม่ เถ้าแก่ผู้เฒ่ากลับบื้อใบ้พูดไม่ออก สีหน้า ไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ ตอบมาประโยคหนึ่งว่าชาวบ้านอย่างเราๆ จะสามารถเห็น ร่างจริงของท่านเทพอภิบาลเมืองได้อย่างไร ต่อให้มายืนอยู่ตรงหน้าก็คงจะไม่รู้ว่า เป็นท่าน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามหลักแล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้ คำโบราณบอกไว้ว่า ยอดฝีมือที่แท้จริงไม่เปิดเผยตัว ผู้ที่เปิดเผยตัวไม่ใช่ยอดฝีมือที่แท้จริง คิดดูแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็คงจะเป็นเหมือนกัน”
สีหน้าของเถ้าแก่ผู้เฒ่าถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย
ระเบียบพิธีการของเทพอภิบาลเมืองแคว้นอิ๋นผิง โดยภาพรวมแล้วก็เหมือนกับแจกันสมบัติทวีป แต่ก็ยังมีความแตกต่างกันเล็กน้อย นั่นก็คือในเรื่องของระดับขั้นและการตั้งบูชา
ทว่าในเรื่องการแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ย้อนหลังของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันแคว้นอิ๋นผิงนี้ ไม่ค่อยเหมือนกับปกติทั่วไปสักเท่าไร น่าจะเพราะสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของ ร่างทองเทพอภิบาลเมืองของที่แห่งนี้ เป็นเหตุให้จำต้องแต่งตั้งบรรดาศักดิ์ที่เกินขอบเขตให้แก่เทพอภิบาลเมืองในเมืองเล็กๆ ท่านหนึ่ง
หลังจากที่เฉินผิงอันออกจากร้านขายธูปก็มายืนอยู่บนถนนใหญ่ที่ผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ มองไปทางศาลเทพอภิบาลเมือง
ยอมนอนอยู่ในสุสานอย่างสงบ ดีกว่านอนอยู่ในวัดร้างผุพัง
ก็คือหลักการนี้
หากปราณวิญญาณระหว่างภูเขาแม่น้ำบนโลกหมุนเวียนผันเปลี่ยนก็ง่ายที่จะทำให้เกิดสถานการณ์ที่โชคและเคราะห์พลิกกลับสลับตำแหน่ง
เฉินผิงอันเลือกจะเดินไปทางศาลเทพอัคคี ภาพปรากฎการณ์ของศาล เทพอภิบาลเมืองยังไม่มีลางว่าจะพังทลาย น่าจะยังสามารถประคับประคองตัวไปได้อีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง
ทางฝั่งของศาลเทพอัคคีก็มีควันธูปโชติช่วงเช่นกัน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับ ภาพปรากฎการณ์อันวุ่นวายของศาลเทพอภิบาลเมืองแล้ว ควันธูปของที่แห่งนี้ดู ใสสะอาดมั่นคงมากกว่า การรวมตัวและการแยกสลายล้วนเป็นระบบระเบียบ
แต่เฉินผิงอันก็ไม่ได้เดินเข้าไปด้านในเหมือนกัน ตอนนี้เขาสามารถใช้ ปณิธานหมัดสยบเรื่องประหลาดที่อาจจะเกิดขึ้นกับตัวเองได้แล้ว แต่หากก้าวเข้าไปในวัดในศาลเมื่อไหร่
จะชักนำสายตาของผู้อื่นให้จับจ้องมองมาโดยที่ไม่จำเป็นหรือไม่ เฉินผิงอัน ไม่แน่ใจนัก หากไม่เป็นเพราะการเดินทางมาเยือนทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ อุตรกุรุทวีปครั้งนี้ฉุกละหุกเกินไป ตามแผนการเดิมที่เฉินผิงอันวางเอาไว้ก็คือ จะต้องไปเยือนศาลเทพวารีลำคลองเหยาเย่บนชายหาดโครงกระดูกก่อน แล้วค่อยไปเยือนศาลใหญ่แห่งต่างๆ ของราชวงศ์ในโลกมนุษย์ เพื่อตรวจสอบสำรวจด้วยตัวเอง เพราะถึงอย่างไรศาลอย่างศาลเทพลำคลองเหยาเย่นี้ เจ้าของก็คือองค์เทพแห่ง ภูเขาแม่น้ำที่เป็นเพื่อนบ้านกับสำนักพีหมา สายตาของพวกเขาย่อมสูง หากตน เดินเข้าไปจุดธูปกราบไหว้ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าคนเขาจะเห็นเป็นสำคัญ คนเขา จะออกมาพบหน้าหรือไม่ ไม่อาจอธิบายอะไรได้ แต่สุดท้ายแล้วเทพลำคลองที่ ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของทวีปท่านนั้นไม่ได้เผยกายในศาล แต่กลับปลอมตัวเป็นคน ถ่อเรือมาพบหน้า หมายจะช่วยเตือนให้ตนได้รับโชควาสนา
เฉินผิงอันเดินเข้าออกร้านธูปแถวศาลเทพอัคคีหนึ่งรอบเพื่อสอบถามถึงประวัติความเป็นมาของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในศาล
มีอยู่ข้อหนึ่งที่ไม่ค่อยต่างจากคำบอกเล่าของเถ้าแก่ผู้เฒ่าศาลเทพอภิบาลเมือง สักเท่าไหร่ องค์เทพที่เฝ้าพิทักษ์เมืองทิศใต้แห่งนี้ไม่เคยเผยร่างที่แท้จริงในตลาด มาก่อน ทว่าเรื่องราวของเขาที่ถูกเล่าสืบต่อกันมากลับมีมากกว่าเทพอภิบาลเมืองทางทิศเหนือเล็กน้อย อีกทั้งฟังดูแล้วน่าจะใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกชาวบ้านมากกว่า เทพอภิบาลเมือง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับการตกรางวัล การทำโทษ การหยอกเย้าคนบนโลกเล่น อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ยาวไกล เพียงแต่ว่าสืบทอดต่อกันมาหลายยุคหลายสมัย ถึงยังแพร่มาถึงคนรุ่นหลัง หนึ่งในนั้นมีเรื่องเล่าที่บอกว่าท่านเทพแห่งศาลอัคคีท่านนี้เคยมีความขัดแย้งกับ ‘เจ้าแห่งทะเลสาบ’ ของทะเลสาบฉางอวิ๋นที่เกิดน้ำล้นน้ำท่วมอย่างต่อเนื่อง มีฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำของศาลสุ่ยเซียน ท่านหนึ่งเคยทำให้ท่านเทพอัคคีโมโห ทั้งสองฝ่ายจึงลงไม้ลงมือต่อกัน เจ้าแห่งคูน้ำของสายน้ำใหญ่ท่านนั้นมิใช่คู่ต่อกรของเทพอัคคีจึงไปขอความช่วยเหลือจาก เจ้าแห่งทะเลสาบ
ส่วนผลลัพธ์ในท้ายที่สุดกลับกลายเป็นว่ามีเซียนกระบี่ที่ไม่เคยเอ่ยนามท่านหนึ่งเดินทางผ่านมาช่วยเกลี้ยกล่อมองค์เทพทั้งสอง ถึงทำให้เจ้าแห่งทะเลสาบไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารเรียกให้น้ำท่วมกลบทับเมืองสุยเจี้ย
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ออกจากเมืองสุยเจี้ยไปโดยตรง แล้วเลือกทางเส้นเล็กของ สันเขาเส้นหนึ่งไปเยือนศาลสุ่ยเซียนที่อยู่ในอาณาเขตของทะเลสาบฉางอวิ๋นอย่างลับๆ หากองค์เทพที่แต่งตั้งตัวเองว่าเป็น ‘เจ้าแห่งคูน้ำ’ แต่แท้จริงแล้วระดับขั้นแค่เทียบได้แค่แม่ย่าลำคลองผู้นั้นยังอยู่จริงๆ เขาก็สามารถลองเลียบๆ เคียงๆ ถามดูได้ ดูสิว่า จะสืบเอาเรื่องวงในของเมืองสุยเจี้ยออกมาจากปากนางได้หรือไม่ หากเป็นหายนะ ที่จะทำให้คนทั้งเมืองเดือดร้อน เขาคงต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยสักหน่อย แต่หากเป็นแค่การตีกันของเทพเซียนในสถานที่เล็กๆ ก็ดูไปก่อนค่อยว่ากัน
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันเดินเลียบลำธารที่กว้างใหญ่สายหนึ่งจนมาถึงด้านข้างของศาลแห่งหนึ่ง ระหว่างทางเต็มไปด้วยกอหญ้ารกชัฏ ไร้เงาผู้คน นี่แสดงให้เห็นว่าควันธูปของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้เบาบางมากเพียงใด
ซึ่งในความเป็นจริงแล้วศาลแห่งนี้อยู่ห่างจากตลาดเมืองเล็กมาแค่ไม่กี่สิบลี้เท่านั้น
แต่ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันอยู่บนภูเขาลูกหนึ่งที่เป็นจุดตัดระหว่างลำธารกับทะเลสาบก็ได้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งกำลังถือคบไฟเดินมุ่งหน้าไปยังศาลแห่งนั้น
เฉินผิงอันจึงสะกดรอยตามอีกฝ่ายไป แอบฟังพวกเขาคุยกันแล้วก็ไม่รู้ว่า ควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เด็กหนุ่มและหนุ่มฉกรรจ์ที่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำ พวกนี้กำลังแข่งกันว่าใครมีความกล้าหาญมากกว่ากัน ดูสิว่าใครที่เข้าไปในศาลแล้วกล้าเกี้ยวพาเหนียงเนียงเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้น อันที่จริงเรื่องแบบนี้พบเห็นได้บ่อยใน หมู่ชาวบ้านร้านตลาด ปีนั้นในเมืองเล็กบ้านเกิดเฉินผิงอันก็มี หากมีเด็กของบ้านใดกล้าไปนอนที่สุสานเทพเซียนหนึ่งคืน นั่นก็แสดงว่าเขาคือชายชาตรีวีรบุรุษที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้
ในตรอกซิ่งฮวาเคยมีคนวัยเดียวกันบอกว่าเขาไปนอนที่สุสานเทพเซียนมาหนึ่งคืน ผลคือตอนที่เขาเล่าเรื่องนี้อยู่ใต้ต้นไหวโบราณอย่างห้าวเหิม ก็ทำให้ได้รับ ความเลื่อมใสจากคนวัยเดียวกันมากมายที่มานั่งฟัง ‘เมื่อผ่านศึกนี้มา’ เขาก็ได้กลายเป็นราชันย์ของกลุ่มเด็กในแถบตรอกซิ่งฮวา ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาก็เห็น การรังแกเฉินผิงอันและซ่งจี๋ซินที่เป็นเพื่อนบ้านกันในตรอกหนีผิงเป็นความบันเทิง แน่นอนว่าตอนที่เล่นพ่อแม่ลูก เขาก็ยิ่งอยากให้จื้อกุยที่มีชื่อแปลกผู้นั้นแสดงเป็นภรรยาตัวน้อยของเขา น่าเสียดายที่ถูกซ่งจี๋ซินด่ากราด ส่วนจื้อกุยก็ตีหน้าเคร่งขรึม สายตาเย็นชาตลอดมา นางวิ่งกลับมาที่เมืองเล็กพร้อมกับซ่งจี๋ซิน ส่วนคนวัยเดียวกัน ผู้นั้นก็นำพาลูกสมุนวิ่งตามหลังขว้างก้อนดินใส่คู่นายบ่าวอย่างพวกเขา
อันที่จริงคืนนั้นเฉินผิงอันไปขอพรพระที่สุสานร้างพอดี เขาเห็นไกลๆว่า คนวัยเดียวกันผู้นั้นแค่เดินวนอยู่ด้านนอกศาลเทพเซียนไม่กี่ก้าวก็วิ่งปรู๊ดกลับบ้านตัวเองไป
คนเจ็ดแปดคนกลุ่มนั้นที่เฉินผิงอันเห็นในคืนนี้ไม่ทำให้ตัวเองต้องลำบากเลยแม้แต่น้อย พวกเขาพกทั้งเนื้อทั้งสุรามาครบถ้วน เมื่อพวกเขาเข้าไปในศาลสุ่ยเซียนที่เป็นเพียงเรือนสองชั้น กรอบป้ายเอียงกะเท่เร่ ในศาลถูกทิ้งร้างมานานจนมีสภาพ เก่าโทรม อีกทั้งบนผนังยังเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเขียวอี๋ เฉินผิงอันก็ไปนั่งอยู่บน ต้นไม้ใหญ่ที่ห่างจากศาลไปไกล การมองเห็นของเขาเปิดกว้าง วางไม้เท้าเดินป่า พาดไว้บนหัวเข่า มือสองข้างสอดประสานกันอยู่ในชายแขนเสื้อ ทอดสายตามองไป คอยดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ
เฉินผิงอันหยิบอาหารแห้งออกมา ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่บรรจุน้ำในลำธารลึกของภูเขากระจกวิเศษ แล้วเริ่มกินอาหารมื้อดึก ตลอดทางมานี้เขาใช้วิธีทะยานตัวอย่างรีบร้อน ไม่ใช่การเดินเล่นอย่างผ่อนคลายอะไรเลย
ด้านในของศาลเล็ก กองไฟหลายกองถูกก่อขึ้นมาแล้ว ดื่มเหล้ากินเนื้อ ช่างสุขสำราญ ถ้อยคำหยาบโลนดังให้ได้ยินเป็นระยะ
เทวรูปสามองค์ที่หนึ่งสูงสองเตี้ย เดิมทีเป็นเทวรูปที่มีสีสันสดใส เพียงแต่ว่ากาลเวลาไร้ปราณี สีสันที่เคยทาทับไว้จึงหลุดลอกออก ตรงกลางคือฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ส่วนซ้ายขวาก็น่าจะเป็นสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายนาง
คิ้วตาของทั้งสามล้วนมองดูมีชีวิตชีวาเหมือนจริง โดยเฉพาะเจ้าแห่งคูน้ำท่านนั้นที่เรือนกายสูงเพรียว สวมใส่เสื้อผ้าอาภรณ์เพริศพริ้ง โฉมสะคราญดุจไข่มุกเม็ดงาม
เฉินผิงอันกวาดตามองครั้งหนึ่งแล้วก็ให้รู้สึกประหลาดใจ เทวรูปทั้งสามนี้ ไม่เหมือนกับว่าจะสามารถกักเก็บร่างทองที่มีแสงเทพดำรงอยู่ได้เลย
นี่ก็ถือว่าเป็นโชคดีของพวกอันธพาลเหล่านั้น
เฉินผิงอันคิดว่าเมื่อกินอาหารแห้งหมดแล้วจะไปที่ทะเลสาบฉางอวิ๋นสักครั้ง เพียงแต่ว่าบนฝั่งของเจ้าแห่งทะเลสาบท่านนี้ไม่มีศาลอยู่ เขาจึงรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย หากไม่ได้จริงๆ คงต้องเปิดเผยตัว ออกไปถามเจ้าพวกคนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้าเหล่านั้นว่าแถวนี้ยังมีศาลเทพวารีอะไรอยู่อีกหรือไม่
เฉินผิงอันเริ่มหลับตาพักผ่อน หลอมน้ำที่เยียบเย็นหนักอึ้งของลำธารลึกบน ภูเขากระจกวิเศษหลายอึกที่ดื่มเข้าไป
ขณะเดียวกันจิตใจก็ค่อยๆ จมจ่อมลงสู่เบื้องล่าง ใช้วิธีการมองภายในอันเป็น วิชาพื้นฐานของบนภูเขาพาจิตหยินไปสำรวจฟ้าดินขนาดเล็กในร่างกายตัวเอง
เนื้อหาในตำราโบราณบางเล่มของปัจจุบันนี้ ง่ายที่จะทำให้คนรุ่นหลังที่เปิดหนังสืออ่านรู้สึกสงสัยเคลือบแคลง
ยกตัวอย่างเช่นคำบอกที่ว่านำพาขุนนางและชาวบ้าน โยนม้าขาวลงน้ำ เพื่อเซ่นสังเวยเทพวารีพ่อปู่ลำคลอง เหตุใดต้องเป็นม้าขาว ในตำรากลับไม่เคยมีอธิบายเอาไว้
ส่วนประโยคที่ว่าไม่อาจพบหน้าเทพวารี ปลาใหญ่กุ้งใหญ่เป็นผู้รับรองนั้น ก็ยิ่งทำให้คนฉงนฉงายไม่เข้าใจ สถานที่ที่มีชื่อเสียงในทวีปต่างๆ ของใต้หล้าไพศาล สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำและร่างทองในศาล แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ถือว่าพบเห็นได้น้อยเลย
เฉินผิงอันพลันลืมตาขึ้น เก็บลมปราณทั้งหมดไว้ในร่างเพียงชั่วพริบตา นั่งนิ่ง ไม่กระดุกกระดิก
มีเพียงสายตาเท่านั้นที่มองไปยังจุดที่ลำธารไหลลงสู่ทะเลสาบ ตรงนั้นมีริ้วคลื่นกระเพื่อมเนื่องจากถูกชักนำจากปราณวิญญาณในฟ้าดินที่เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย และเพียงไม่นานเฉินผิงอันก็ได้เห็นว่าผิวน้ำแถบนั้นเปล่งแสงวาบเจิดจ้า ก่อนที่ สตรีสามคนจะเดินนวยนาดตามหลังกันมา สตรีที่เป็นผู้นำสวมชุดสีสันสดใส สายรัดเอวพลิ้วไสว ไอน้ำปกคลุมขมุกขมัว สาวใช้สองคนที่เดินตามมาด้านหลัง ก็มีลักษณะเหมือนในศาลสุ่ยเซียน เพียงแต่ว่ารูปโฉมงดงามกว่าเทวรูปอยู่มาก กลับเป็นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นที่แท้จริงแล้วรูปโฉมอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับ เทวรูปได้ ไม่รู้ว่าทุกครั้งที่ช่างฝีมือที่ปั้นสลักใบหน้าให้กับเทวรูปของเจ้าแห่งคูน้ำลงมีด ในหัวคิดอะไรอยู่
เมื่อย้ายสายตากลับมาอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เริ่มรู้สึกนับถือในความใจกล้าของกลุ่มคน ที่อยู่ในศาลบ้างแล้ว เด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นปีนขึ้นไปบนแท่นบูชา กอดเทวรูปของ เจ้าแห่งคูน้ำแล้วขบกัดไปทั่ว ปากก็พร่ำถ้อยคำสัปดนหยาบโลน เรียกเสียงหัวเราะครืนจากคนในห้องโถง เสียงร้องให้กำลังใจ เสียงร้องตะโกนยุยงดังไม่ขาดสาย
คนเราตอนอายุยังน้อยก็คงจะเป็นกันเช่นนี้กระมัง มักจะรู้สึกว่าการไม่รักษากฎ ก็คือการแสดงถึงความสามารถอย่างหนึ่ง
และตอนยังเยาว์ เมื่อเจอกับเด็กสาวที่แท้จริงแล้วตัวเองชื่นชอบ แต่กลับรังแกนาง ให้นางด่า ให้นางมองค้อนใส่ ก็จะคิดว่าต่างคนต่างชอบกันแล้ว
พอสตรีสามคนนั้นที่ออกมาจากทะเลสาบฉางอวิ๋นขยับเข้ามาใกล้ศาลแล้ว ก็ร่ายเวทอำพรางตา ทำให้ตัวเองกลายเป็นหญิงชราผมขาวคนหนึ่งและเด็กสาว อายุน้อยสองคน
มุมปากหญิงชรากระตุกยิ้มหยันเย็นชา แต่พอเข้ามาในศาลแล้วกลับเปลี่ยนมามี สีหน้าเมตตาปราณี
เหล่าเด็กหนุ่มและชายฉกรรจ์ทั้งหลายที่พอเห็นหญิงชราที่มีเส้นผมเหมือนสี ขนนกกระเรียน มีผิวหนังเหมือนหนังไก่ กับเด็กสาวงามพิสุทธิ์อรชรอ้อนแอ้นสองคนด้านหลังนางก็พากันอึ้งตะลึงไป
ทันใดนั้นในศาลก็เงียบสนิท มีเพียงเสียงกิ่งไม้ในกองไฟเท่านั้นที่ปะทุแตกขึ้นในบางครั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหนุ่มคนที่คล้องสองแขนไว้กับลำคอ สองขาเกี่ยวเอวของเทวรูปเจ้าแห่งคูน้ำที่พอหันหน้ามาก็ยิ่งตกใจทำอะไรไม่ถูก
เด็กหนุ่มคนหนึ่งในนั้นใช้ข้อศอกกระทุ้งชายฉกรรจ์ข้างกายเบาๆ พูดเสียงสั่นว่า คงไม่ใช่ว่าเจ้าแม่เทพวารีมาเอาเรื่องพวกเราจริงๆ หรอกกระมัง?”
บุรุษผู้นั้นส่ายหน้า เปลี่ยนจากความตกตะลึงมาเป็นดีใจ หัวเราะหึหึเอ่ยว่า “เบิกตาของเจ้าดูให้ดี พวกนางเหมือนตรงไหน ก็แค่หญิงชราที่พาหลานสาวสองคนเดินทางยามค่ำคืน มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคนในหมู่บ้านใกล้เคียงที่พวกเราไม่รู้จัก พวกเรามีโชคด้านสาวงามไม่น้อยเลย”
เด็กหนุ่มคนนั้นแอบเช็ดคราบน้ำมันตรงมุมปาก เนื่องจากรู้นิสัยของบุรุษผู้นี้ดี กลัวจริงๆ ว่าพอดื่มเหล้าจนเมามายแล้วเขาจะทำเรื่องชั่วช้าประเภทนั้น จึงพูด เกลี้ยกล่อมอย่างระมัดระวังว่า “พี่ พวกเราอย่าวู่วามเลย หากก่อเรื่องใหญ่ขึ้นมาจะต้องเข้าไปนอนในคุกเลยนะ”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นหลุดหัวเราะพรืด “ก่อเรื่องใหญ่? ต้องเป็นเรื่องใหญ่สิถึงจะดี ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็ได้แต่งเมียเข้าบ้านพอดี พวกเจ้าห้ามมาแย่งข้าล่ะ เด็กสาวสองคนนั้นถูกใจข้านัก แต่ข้าเป็นคนมีคุณธรรม จะเอาแค่คนทางซ้าย ส่วนคนทางขวามือ พวกเจ้าก็ค่อยๆ ปรึกษากันเอาเองแล้วกัน”
หญิงชราแสร้งทำท่าตื่นตระหนก เตรียมจะพาเด็กสาวทั้งสองจากไป แต่กลับถูกบุรุษคนนั้นพาพวกมารุมล้อมไว้แล้ว
เด็กหนุ่มที่ใจกล้าที่สุดที่กระโดดขึ้นไปบนแท่นบูชาคนนั้นได้ไถลตัวลงมาตามเรือนร่างของเทวรูปฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำแล้ว เขาเอามือสองข้างเท้าเอว มองภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงประตูแล้วยิ้มหน้าเป็น “เป็นอย่างที่คนต่างถิ่นพกดาบผู้นั้นบอกไว้จริงๆ ตอนนี้ชะตาดอกท้อของข้ากำลังรุ่งโรจน์ หลิวซาน ของเจ้าคนหนึ่ง ของข้าคนหนึ่ง!”
หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
เฉินผิงอันพลันขมวดคิ้ว
มองไปยังเสาคานอันหนึ่งที่อยู่ในศาล
บนนั้นมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นนั่ง คือชายฉกรรจ์คิ้วหนาดก ห้อยดาบไว้ตรงเอว ห้อยเท้าสองข้างลงมาจากคาน เขาอ้าปากหาว ฉีกยันต์กระดาษเหลืองแผ่นหนึ่ง ที่ติดอยู่บนร่างออกอย่างเกียจคร้าน ครั้นแล้วยันต์ก็แตกสลายกลายเป็นเศษผง
หญิงชรามีสีหน้าตื่นตะลึง
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นยิ้มกล่าว “ไม่ใช้เหยื่อล่อสักหน่อยก็ตกปลามาไม่ได้”
ชายฉกรรจ์ยืดเส้นยืดสายบิดขี้เกียจ ขณะเดียวกันก็สะบัดชายแขนเสื้อ ปราณวิญญาณกลุ่มหนึ่งเหมือนงูวิเศษที่เลื้อยไปบนผนังสี่ด้าน จากนั้นพอเขา ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง บนกำแพงทั้งในและนอกศาลก็พลันมียันต์แสงสีทองหลายแผ่น ปรากฏขึ้นมา ภาพในยันต์ดุจนกที่โบยบิน
ก่อนกลุ่มคนโง่ในหมู่ชาวบ้านกลุ่มนั้นจะออกเดินทาง เขาก็แอบแฝงตัวเข้ามาในศาลสุ่ยเซียนแห่งนี้ก่อนแล้ว หลังจากวาดยันต์เรียบร้อยก็ใช้วิชาเฉพาะของยันต์และเวทคาถาลับหลบซ่อนตัวตนเหมือนวิชาลมหายใจเต่า ถึงได้สามารถเก็บซ่อนลมปราณทั้งร่างของตัวเองเอาไว้ได้ ไม่อย่างนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้คงตกใจเผ่นหนีไปแล้ว ส่วนยันต์กักบริเวณพวกนั้นก็ยิ่งเป็นวิชายอดเยี่ยมที่ขึ้นชื่อของสำนัก มีชื่อว่า ยันต์ดินหิมะ หรืออีกชื่อว่ายันต์นกบิน เมื่อวาดยันต์สำเร็จ จะสามารถอำพรางตัว ได้อย่างดีเยี่ยม ยากที่จะจับสังเกตได้ เหมือนห่านหงส์บินโฉบหิมะ แม้บางครั้ง จะทิ้งรอยกรงเล็บเอาไว้ แต่ไม่นานก็บินทะยานขึ้นสูงอีกครั้ง ไหนเลยจะจำได้ว่าตนเองทิ้งร่องรอยไว้ตรงไหน
แต่นอกจากสุดยอดวิชาการเขียนยันต์นี้แล้ว ถึงอย่างไรสำนักของตนก็เป็น สำนักการทหารที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญการลอบสังหาร แล้วยัง ไม่เหมือนกับกองกำลังสำนักการทหารทั่วไป เป็นเหตุให้ศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก ส่วนใหญ่ล้วนไปทำหน้าที่เป็นองค์รักษ์อยู่ข้างกายพวกแม่ทัพอัครเสนาบดีใน ราชวงศ์โลกมนุษย์ทั้งหลาย แม้ว่าบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นนี้ สำนักของเขา จะไม่ถือว่าเป็นกองกำลังตระกูลเซียนลำดับสูงสุด แต่ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลน เพียงแต่ว่าเขานิสัยพยศบ้าระห่ำ ไม่ชอบพันธนาการ เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาจึงมักจะชอบ ลงจากภูเขามาอยู่ในยุทธภพเพียงลำพัง ยินดีเป็นหัวไก่แต่ไม่ยอมเป็นหางหงส์ เวลาไม่มีอะไรทำก็มักจะไปหยอกเย้าพวกจอมยุทธผู้ห้าวหาญในยุทธภพทั้งหลายที่เหมือนปลาหนีชิวในน้ำ เหมือนไส้เดือนบนภูเขา เป็นตายขึ้นอยู่กับข้า นับว่าสะใจ อยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับจอมยุทธหญิงที่ยิ่งมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์แตกต่างออกไป
เวลานี้ชายฉกรรจ์มองหญิงชราและเด็กสาวสองคนเป็นดั่งของในกระเป๋าของตัวเองแล้ว
หญิงชราถามเนิบช้าว่า “ไม่ทราบว่าเหตุใดเซียนซือท่านนี้ถึงต้องวางแผนล่อข้าออกมาจากทะเลสาบ? อีกทั้งยังกระทำการเช่นนี้ในบ้านของข้า นี่ไม่ค่อยดีเท่าไรกระมัง?”
ชายฉกรรจ์ยื่นมือออกมาคว้าจับ กาเหล้าใบหนึ่งก็ลอยจากข้างกองไฟไปอยู่ในมือ เขาแหงนหน้ากระดกเหล้าอึกใหญ่ จากนั้นก็ขว้างทิ้งอย่างแรง พูดอย่างรังเกียจว่า “เจ้าพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ซื้อของเส็งเคร็งอะไรมา กลิ่นเยี่ยวเหม็นฉุนขนาดนี้ ก็เพราะดื่มเหล้าแบบนี้นี่เอง ก็ไม่แปลกที่สมองจะไม่ค่อยสมประดีสักเท่าไหร่”
ดูเหมือนชายฉกรรจ์จะไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง เขาจ้องเขม็งไปที่หญิงชรา “ศิษย์น้องของข้าไม่ค่อยถูกกับเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นของเจ้าสักเท่าไร พอดีกับที่ครั้งนี้ข้าได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มาเยือนเมืองสุยเจี้ย เจ้าแห่งทะเลสาบหลบอยู่ใน วังมังกรใต้ทะเลสาบของเขา หาตัวได้ยาก แต่ข้ารู้ดีว่าสตรีอย่างเจ้าเป็นพวกเจ้าคิด เจ้าแค้นที่อดทนข่มกลั้นต่อความเปลี่ยวเหงาไม่ไหว ปีนั้นความแค้นระหว่างศิษย์น้องโง่ของข้ากับทะเลสาบชางอวิ๋น สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็มีต้นกำเนิดมาจากเจ้า ดังนั้นจึงจะเอาเจ้ามาเซ่นคมดาบ เมื่อเจ้าแห่งทะเลสาบตามมาถึงก็พอดีเลย ขอแค่ เขาขึ้นฝั่งมา ข้าก็ไม่กลัวเขาสักนิด ต่างก็พูดกันว่าฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำคือของรัก ของหวงของเขาไม่ใช่หรือ เดี๋ยวพอข้าเล่นเจ้าจนตายแล้วค่อยโยนศพเจ้าไปไว้ที่ข้างทะเลสาบชางอวิ๋น ดูสิว่าเขาจะทนได้ไหวหรือไม่”
หญิงชราสีหน้าซีดขาว
สาวใช้สองคนก็ยิ่งมีท่าทางน่าสงสารชวนเวทนา ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยังสามารถรักษาเวทอำพรางตาเอาไว้ได้ แต่ปราณวิญญาณของพวกนั้นเริ่มสลายไปแล้ว รูปโฉม ที่แท้จริงจึงพอจะปรากฎให้เห็นได้อย่างเลือนราง
พวกอันธพาลในหมู่ชาวบ้านเหล่านั้นก็ยิ่งตกใจจนหน้าซีดเผือดไร้สี
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กหนุ่มนิสัยเหลาะแหละที่ยืนอยู่บนแท่นบูชาที่ต้องเอาหลังพิงเทวรูปถึงจะยืนอยู่ได้ ไม่ล้มลงไปกองกับพื้น
แม้เฉินผิงอันจะไม่รู้ว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นอำพรางลมปราณของตนได้อย่าง น่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ชัดเจนอย่างมาก นั่นคือคนทั้งสามฝ่าย ที่อยู่ในศาลต่างก็ไม่ใช่คนดีอะไร
เด็กหนุ่มเพียงคนเดียวที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟถือว่ายังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง เพียงแต่เวลานี้เขาตกใจจนฉี่ราดกางเกงแล้ว
หญิงชราถอนเวทอำพรางตาออกทันที เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “เซียนซือใหญ่ท่านนี้น่าจะมาจากตำหนักขวานผีของแค้นจินตั๋วกระมัง?”
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นอึ้งตะลึงไปก่อน จากนั้นก็เริ่มผรุสวาทเสียงดัง “มารดามันเถอะ ผ่านค่ำคืนวสันต์มาด้วยกันเพียงครั้งเดียว สารรูปอย่างเจ้าก็สามารถทำให้ศิษย์น้องของข้าอาลัยอาวรณ์มาได้ตั้งหลายปีด้วยหรือ? ในอดีตข้าเคยพาเขามาท่องยุทธภพด้วยกันครั้งหนึ่ง หวังจะช่วยเขาผ่อนคลายอารมณ์ ก็ถือว่าให้เขาได้ลิ้มรสทั้งสตรี โตเต็มวัยชนชั้นสูงและจอมยุทธหญิงที่งดงามมาหมดแล้ว แต่ศิษย์น้องคนนั้นของข้า ก็ยังรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทำไม ฝีมือบนเตียงของเจ้าร้ายกาจนักหรือ?”
เฉินผิงอันที่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนกิ่งไม้ห่างไปไกลหรี่ตาลง
สีหน้าของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่น่ามอง แต่กระนั้นก็ยังพูดด้วยน้ำเสียงประจบเอาใจ “ปีนั้นข้ากับศิษย์น้องของเซียนซือต่างก็มีใจให้กัน ไม่ได้ต้องการจะมีความสัมพันธ์เพียงแค่ชั่วครั้งชั่วคราว ตัดสินใจว่าจะเป็นคู่บำเพ็ญเพียรที่ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์กันแล้วด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่าถูกนังแพศยาจ่าวซีเจ้าแห่งคูน้ำผู้นั้นวางแผนเล่นงาน แอบนำเรื่องนี้ไปรายงานให้ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบทราบ ภายหลังต่อให้ข้าจะพยายาม โน้มน้าวเจ้าแห่งทะเลสาบสักเท่าไร เขาก็ยังคงยืนกรานจะลงมือทำร้ายคน ถึงได้ มีความเข้าใจผิดครั้งนั้นเกิดขึ้น ขอใต้เท้าเซียนซือโปรดตรวจสอบให้กระจ่างด้วย”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเห็นว่าชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนคานเริ่มเอามือกดด้ามดาบแล้ว นางจึงยื่นมือไปคว้าสาวใช้ไว้มือละคนแล้วผลักไปด้านหน้า พูดพร้อมคลี่ยิ้มหวาน “ใต้เท้าเซียนซือ สาวใช้สองคนนี้ของข้าหน้าตานับว่างดงาม ข้าขอมอบพวกนางให้เป็นสาวใช้อุ่นเตียงแก่ใต้เท้าเซียนซือก็แล้วกัน เพียงแต่หวังว่าท่านจะเมตตา ทะนุถนอมพวกนางเสียหน่อย หากวันใดเบื่อหน่ายพวกนางแล้วก็ค่อยส่งพวกนางกลับมาที่ทะเลสาบชางอวิ๋น”
ชายฉกรรจ์ถาม “แล้วเจ้าล่ะ?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยิ้มเอ่ย “หากใต้เท้าเซียนซือมองแล้วถูกตา ไม่รังเกียจรูปโฉม ที่โรยราของข้า จะให้ข้าปรนนิบัติรับใช้ท่านด้วยจะเป็นไรไป?”
ชายฉกรรจ์ไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ กระดกคางชี้ไปสองที “เจ้าพวกต่ำช้าพวกนี้ เจ้าจะจัดการอย่างไร?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำยิ้มหวานหยดย้อย “ล่วงเกินองค์เทพ เดิมทีก็สมควรตายอยู่แล้ว ขวางหูขวางตาใต้เท้าเซียนซือก็ยิ่งสมควรตายเป็นหมื่นครั้ง ข้าจะเก็บกวาดเจ้าคน พวกนี้ให้สะอาด ในชายแขนเสื้อของข้ามีถ้วยเลี่ยนเยี่ยนอยู่ใบหนึ่ง บรรจุสุราที่ทำมาจากแก่นโชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋น พอดีกับที่สามารถใช้โอกาสนี้เชื้อเชิญ ให้ท่านได้ร่ำสุราอย่างสบายอารมณ์ ข้าจะรินเหล้าให้ใต้เท้าเซียนซือเอง ส่วนสาวใช้สองคนนี้ตอนมีชีวิตอยู่เคยเป็นนางระบำในวัง เดี๋ยวก็จะให้พวกนางแต่งกายงดงาม ร่ายรำเพิ่มความสำราญให้แก่ท่าน”
ชายฉกรรจ์ยังคงคลี่ยิ้มมีเลศนัย ไม่เอ่ยอะไรอยู่ดังเดิม
นี่ยิ่งทำให้ใจของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำเต้นระรัว
พริบตานั้น
อยู่ดีๆ ชายฉกรรจ์ก็ชักดาบออกมาฟันอย่างไม่มีลางบอกเหตุ
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำตกใจหดหัว แต่โชคดีที่แสงดาบนั้นไม่ได้ผ่าลงบนหัวของนาง แต่พุ่งไปนอกศาล
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำหน้าเผือดสี หันหน้ามองตามไป
เห็นเพียงว่าตรงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่พอถูกสาดสะท้อนด้วยแสงดาบ จอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมงอบคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้ก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย มือข้างหนึ่งยังคงสอดอยู่ในชายแขนเสื้อ ใช้แค่มือข้างเดียวมาคว้าจับแสงดาบเส้นนั้นเอาไว้ แสงดาบปะทะกับพายุลมกรดที่รวมตัวอยู่ใกล้กับฝ่ามือเขา ยิ่งขับให้ คนแปลกหน้าผู้นั้นดุจดั่งเทพเซียนที่ถือดวงจันทร์สว่างไสวไว้ในมือ
ชายฉกรรจ์ตกตะลึงอยู่ในใจ แต่กระนั้นหน้าก็ไม่เปลี่ยนสี เปลี่ยนจากท่าห้อยขามาเป็นนั่งยองอยู่บนคาน มือถือดาบ คมดาบแวววาวคมกริบ เขาจุ๊ปากเอ่ยว่า “โอ้โห ช่างมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมนัก พายุลมกรดบริสุทธิ์ หลอมกระชับแน่นจนกลมดิก แคว้นอิ๋นผิงมีปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่ยังหนุ่มแน่นแบบเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่? ข้าเคยประมือกับอันดับหนึ่งในยุทธภพของแคว้นอิ๋นผิงมาก่อน มีพละกำลังเยอะนักล่ะ เขาเองก็สามารถต้านทานหนึ่งดาบของข้าได้เหมือนกัน แต่กลับไม่ได้ผ่อนคลาย เช่นเจ้า”
เฉินผิงอันเก็บฝ่ามือมาเบาๆ พอแสงดาบสุดท้ายสลายจนสิ้นก็ถามว่า “ยันต์ที่เจ้าแปะติดตัวและที่วาดไว้บนกำแพงก่อนหน้านี้ เป็นวิชาลับที่สืบทอดมาจากสำนักหรือ? มีเพียงผู้ฝึกตนของตำหนักขวานผีอย่างพวกเจ้าเท่านั้นถึงจะใช้ได้?”
ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “อาศัยว่ารับมือกับดาบเบาๆ ที่ข้าใช้ทักทายเจ้าได้ ตอนนี้เลยแสร้งทำตัวเป็นนายท่านใหญ่กับข้าผู้อาวุโสแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ชายฉกรรจ์พลิ้วกายจากคานลงสู่พื้น เมื่อเขาก้าวยาวๆ มาถึงหน้าประตูศาล ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำและสาวใช้ทั้งสอง รวมไปถึงบุรุษชาวบ้านที่วงแตกไปนานแล้ว ก็พากันขยับหลบไปไกลยิ่งกว่าเดิม
ชายฉกรรจ์ใช้ดาบยันพื้น หัวเราะหยันเอ่ยว่า “จงรีบบอกชื่อของเจ้ามา! หากเป็นภูเขาที่สนิทสนมกับตำหนักขวานผีของพวกเรา ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นสหาย เมื่อเป็นสหายก็สามารถมีสุขร่วมเสพ สาวงามที่ได้พบในคืนนี้ ผู้ที่มาเจอล้วนมี ส่วนแบ่ง แต่หากเจ้าคิดจะทำตัวเป็นวีรบุรุษในยุทธภพผู้มีจิตใจกล้าหาญ หวังจะ ผดุงคุณธรรมอยู่ที่นี่คืนนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าตู้อวี๋คงต้องสอนเจ้าสักหน่อยแล้วว่าเป็นคนควรวางตัวเช่นไร”
เด็กหนุ่มและหนุ่มฉกรรจ์ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาเหล่านั้นรู้สึกแค่ว่าเซียนซือผู้นี้พูดจาน่าตกใจนัก
แต่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำกลับรู้สึกประหลาดใจอย่างมาก คำพูดประโยคนี้ของคนแซ่ตู้ อันที่จริงแล้วพูดอย่างแฝงความนัยที่ลี้ลับ ไม่ถึงขั้นแสดงความอ่อนแอ แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าโอหังจองหองอย่างแน่นอน
ภาพเหตุการณ์ต่อมาก็ยิ่งทำให้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำผู้นี้ตื่นตะลึงเป็นเท่าทวี
จอมยุทธพเนจรหนุ่มคนนั้นพุ่งตัววูบเดียวก็มายืนอยู่นอกประตูใหญ่ของศาล ที่เปิดอ้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอให้เจ้าสั่งสอนดูสักหน่อย”
ตู้อวี๋ใช้มือข้างหนึ่งดันด้ามดาบ มืออีกข้างกำเป็นหมัดบิดหมุนเบาๆ พูดด้วยสีหน้าดุร้าย “แบ่งแพ้ชนะสูงต่ำ หรือจะให้รู้เป็นรู้ตายกันไปเลย?!”
ผลคือคนผู้นั้นตอบกลับด้วยประโยคหนึ่งว่า “เจ้าไม่ตีข้าให้ตายก็เกือบจะทำให้ข้าตกใจตายอยู่แล้ว”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไม่กล้าพอที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมา ไม่อย่างนั้นนางคง กุมท้องหัวเราะก๊ากไปแล้ว
ทันใดนั้นความคิดของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็แล่นอย่างฉับไว ถอยไปหนึ่งก้าว “ตู้อวี๋ ตู้อวี๋แห่งตำหนักขวานผี! เจ้าคือทายาทของคู่บำเพ็ญเพียรใหญ่บนภูเขาแคว้นจินตั๋ว?!”
ตู้อวี๋กระตุกมุมปาก ดีนักนะ นับว่ารู้กาลเทศะ สตรีผู้นี้สามารถมีชีวิตรอดได้
เพียงแต่บุรุษที่อยู่นอกประตูกลับเอ่ยอีกว่า “คู่บำเพ็ญเพียรที่ใหญ่แค่ไหน? ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสองท่านไหม?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำลอบยินดีในใจ เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า! ตนอุตส่าห์ยกตัวตนของตู้อวี๋มาข่ม อีกฝ่ายกลับยังไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ดูท่าคืนนี้ต่อให้แย่แค่ไหน ก็คงเป็นสถานการณ์ที่ไล่หมาป่าไปเขมือบเสือแล้ว (หลอกใช้อีกฝ่ายหนึ่งไปจัดการ อีกฝ่ายหนึ่งเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดปลอดภัย) หากบาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่ายก็ย่อมดีที่สุด แต่ถ้าเจ้าบื้อที่จู่ๆ ก็โผล่มาผู้นี้เป็นฝ่ายชนะก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก รับมือกับจอมยุทธพเนจรคนหนึ่งที่ไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกัน ถึงอย่างไรก็คุยกันได้ง่ายกว่า ดีกว่ารับมือกับ มารร้ายอย่างตู้อวี๋ที่ตั้งใจมาเพราะหวังเล่นงานตนโดยเฉพาะผู้นี้ แต่ต่อให้ตู้อวี๋สับ จอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ท่าดีทีเหลวผู้นั้นกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่งก็ควรจะเห็นแก่น้ำใจของตนเมื่อสักครู่นี้ เพราะถึงอย่างไรก็ดูไม่เหมือนว่าตู้อวี๋จะต่อสู้เอาชีวิตกับ คนอื่นจริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยนิสัยร้ายกาจของผู้ฝึกตนตำหนักขวานผี ป่านนี้คงชักดาบฟันคนไปนานแล้ว
ตู้อวี๋งอนิ้วกระตุกดาบขึ้นมาแกว่งส่าย ยิ้มเอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสามารถฝ่าค่ายกลของยันต์เข้ามาในวัดแห่งนี้ได้ นายท่านใหญ่อย่างข้าก็จะยอมให้เจ้าหนึ่งกระบวนท่า”
พริบตานั้นกำแพงที่โอบล้อมรอบศาลก็มีแสงสีทองระเบิดจ้าพร่าตา
ต่อมาก็เห็นว่าจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายตู้อวี๋โดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น แล้วยกแขนขึ้นปาดฟาดเข้าที่คอของฝ่ายหลัง ทำให้ ช่องโพรงลมปราณในร่างของตู้อวี๋กระเพื่อมแรง สลบเหมือดคาที่ จากนั้นร่างก็ลอยไปกระแทกกับแท่นบูชาเทวรูปของศาล ไม่เพียงแต่กระแทกให้เทวรูปของฮูหยิน เจ้าแห่งคูน้ำหักออกเป็นสองท่อน ร่างของตู้อวี๋ยังจมเข้าไปในผนัง ส่วนดาบเล่มนั้น ก็หล่นอยู่บนพื้นส่งเสียงดังเคร้ง
แสงดาบบนพื้นเหมือนผิวน้ำ น่าจะเป็นดาบที่ไม่เลวเล่มหนึ่ง
เฉินผิงอันถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ยืนอยู่ที่เดิม มือข้างหนึ่งเปลี่ยนเป็นท่า ม้าเหล็กทะลวงขบวนรบผสานรวมกับยันต์ฟางชุ่นแผ่นหนึ่งที่ใช้ฝ่าค่ายกลเข้ามาในวัด แน่นอนว่าออมกำลังเอาไว้ ไม่อย่างนั้นเจ้าคนที่ป่าวประกาศว่าจะยอมให้ตัวเอง หนึ่งกระบวนท่าผู้นี้ก็น่าจะต้องกลายเป็นลูกอกตัญญู ทำให้คู่บำเพ็ญตนใหญ่ ตำหนักขวานผีคู่นั้นต้องเป็นคนผมขาวที่ส่งคนผมดำ แน่นอนว่าผู้ฝึกตนบนภูเขา ต่อให้อายุร้อยปีหรือพันปีแต่ยังคงโฉมหน้าเป็นเด็กเอาไว้ได้ นี่ก็ไม่ใช่เรื่องประหลาดอะไร
การที่เขาออมแรง แน่นอนว่ายังเป็นเพราะต้องการ ‘ขอความรู้อย่างนอบน้อม’ เรื่องยันต์เฉพาะสองชนิดจากคนผู้นั้น
ส่วนกลุ่มบุรุษชาวบ้านธรรมดาที่อกสั่นขวัญกระเจิงก็ถูกริ้วคลื่นลมปราณ ที่กระเพื่อมออกมาจากพายุหมัดสะเทือนให้หมดสติไปได้อย่างพอดิบพอดี
เด็กหนุ่มขวัญกล้าที่อยู่บนแท่นบูชาก็ถูกเท้าข้างหนึ่งของตู้อวี๋เกี่ยวลากออกไป จึงสลบตามไปด้วย เมื่อเทียบกับบุรุษที่อยู่ในลานกว้างแล้ว สภาพของเด็กหนุ่มคนนั้นนับว่าน่าอนาถยิ่งกว่า
ทุกอย่างนี้ล้วนผ่านการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุม
ก็แค่เรื่องของหมัดเดียวเท่านั้น
เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่ออยู่ข้างกองไฟ
เฉินผิงอันจึงชำเลืองตามองเขา “แกล้งตายไม่เป็นหรือ?”
เด็กหนุ่มรีบทิ้งตัวผลึ่งไปด้านหลัง เอียงศีรษะ แถมยังไม่ลืมเหลือกตาขึ้น แลบลิ้นห้อยออกมา
หลักการเหตุผลบางอย่างถูกต้องตามหลักฟ้าดิน
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำ ทำให้รูปปั้นของเจ้าพัง คงจะไม่ถือสากระมัง?”
ระหว่างที่พูดก็โบกชายแขนเสื้อกวาดเอาชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งในนั้น ให้ไปกระแทกกับผนังเหมือนกวาดเศษขยะ ร่างของคนกระแทกกับกำแพงดังตึง และยังมีเสียงกระดูกแตกเบาๆ ดังแว่วมาให้ได้ยิน
เจ้าแห่งคูน้ำที่เฝ้าพิทักษ์โชคชะตาน้ำของลำธารลำคลองแถบหนึ่งผู้นั้นรู้สึก เพียงว่ากระดูกทั่วร่างชาดิกไปหมด
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบพูดเสียงสั่นว่า “ไม่เป็นไรๆ ขอแค่เซียนซืออารมณ์ดีก็พอ อย่าว่าแต่รูปปั้นหักเป็นสองท่อนเลย ต่อให้แตกละเอียดก็ไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันถาม “ทางฝั่งของเมืองสุยเจี้ยนั่น เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำค้อมเอวลงเล็กน้อย ใช้สองมือประคองวัตถุตระกูลเซียนที่เป็นลักษณะของถ้วยมีประกายแสงแวววาวใบหนึ่งขึ้นมา “เซียนซือสามารถดื่มเหล้าพลางฟังบ่าวค่อยๆ เล่าไปด้วยได้”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลูกไม้นี้ของเจ้า ขนาดเจ้าคนแซ่ตู้ยังไม่หลงกล แล้วเจ้าคิดว่าจะเอามาใช้กับข้าได้ผลหรือ? อีกอย่างเหตุใดศิษย์น้องคนนั้นของเขาถึงได้อาลัยอาวรณ์มิอาจลืมเลือนเจ้าได้เสียที ในใจฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอย่างเจ้าจะไม่รู้เลยหรือ? หากเจ้าอยากจะรนหาที่ตายจริงๆ ก็ควรจะใช้วิธีที่มันฉลาดกว่านี้หน่อยกระมัง เห็นว่าวิชาหมัดของข้าต่ำต้อย ไม่มีประสบการณ์ทางโลก เป็นคนหลอกง่ายอย่างนั้นหรือ?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรีบเก็บถ้วยเหล้าใบนั้นมา แต่กลางกระหม่อมกลับมีไอเย็นเยียบ ผุดขึ้นมาระลอกหนึ่ง จากนั้นความเจ็บปวดก็แล่นปราดเข้าสู่หัวใจ ร่างทั้งร่างของนางถูกตบจนเข่าสองข้างจมหายเข้าไปในดิน
จิตวิญญาณสะท้านไหวประหนึ่งตกอยู่ท่ามกลางหม้อน้ำมันเดือด ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำข่มกลั้นความเจ็บปวด ฟันของนางกระทบกัน เสียงที่พูดก็ยิ่งสั่นเครือ “เซียนซือ โปรดเมตตา เซียนซือโปรดเมตตา บ่าวไม่กล้ารนหาที่ตายอีกแล้ว”
เฉินผิงอันโบกมือ “ข้าไม่ใช่เจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ ไม่เคยมีความบาดหมางอะไรกับทะเลสาบชางอวิ๋นของพวกเจ้า เพียงแค่ผ่านทางมาเท่านั้น หากไม่เป็นเพราะ เจ้าคนแซ่ตู้ดึงดันจะให้ข้าออกกระบวนท่าให้ได้ ข้าก็ไม่เต็มใจจะเข้ามาที่นี่ บอกเรื่องวงในของเมืองสุยเจี้ยที่เจ้ารู้มาตามตรง หากมีเรื่องใดที่ข้ารู้ว่าเจ้ารู้ แต่เจ้าที่รู้กลับแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องชำระบัญชีทั้งหมดของฮูหยิน เจ้าแห่งคูน้ำแล้ว ถ้วยเลี่ยนเยี่ยนที่ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจงใจเก็บไว้ในชายแขนเสื้อใบนั้น อันที่จริงคือวัตถุแห่งชะตาชีวิตที่เอาไว้ใช้บรรจุน้ำแกงลวงวิญญาณและโชคชะตา ดอกท้อกระมัง?”
รอยยิ้มของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้
ไอ้หมอนี่ ชัดเจนแล้วว่ารับมือได้ยากยิ่งกว่าตู้อวี๋เป็นร้อยเท่า!
แล้วฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำก็เริ่มเล่าเรื่องหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นในเมืองสุยเจี้ยที่อยู่ติดกันอย่างกล้าๆ กลัวๆ
เฉินผิงอันฟังคำอธิบายของนางพลางใช้หางตาเหลือบมองสีหน้าของสาวใช้ สองคนนั้นเงียบๆ
ร่างทองของเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยกำลังจะแหลกสลายจริงๆ เดินมา สุดปลายทางของมหามรรคาควันธูปแล้ว คำว่าอับจนหนทางก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง แต่ก็เหมือนกับคนที่กลัวตาย เทพอภิบาลเมืองท่านนั้นก็ไม่ต่างกัน เขาเองก็ใช้ ทุกวิธีการที่มี อันดับแรกคือพยายามหาเส้นสาย เผาผลาญทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่มี ไปขอบรรดาศักดิ์ที่ล้ำสถานะของตัวเองมาจากราชสำนัก แต่ผลที่ได้ก็ยังไม่ดีพอ นี่มีสาเหตุมาจากเรื่องเก่าแก่ที่ตอนนั้นไม่ค่อยมีใครให้ความสนใจ
แต่กลับส่งผลกระทบอย่างลึกล้ำยาวไกล เมื่อหนึ่งร้อยปีก่อน เมืองสุยเจี้ยเคยเกิดคดีอยุติธรรมที่คนตระกูลบัณฑิตทั้งตระกูลถูกฆ่าตาย สุดท้ายในสายตาของขุนนางในราชสำนักและของชาวบ้านก็ถือว่ากลายเป็นคดีที่ไม่ได้ถูกคลี่คลายให้ได้รับความเป็นธรรมมาอย่างยาวนาน ทว่าความจริงกลับอยู่ห่างไปคนละโยชน์ ตอนนั้นนักการทุกคนในศาลเทพอภิบาลเมืองก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะร้ายแรงขนาดนี้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าเหตุการณ์ในวันนี้คงแตกต่างออกไปแล้ว
ทะเลสาบชางอวิ๋นเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงกับเมืองสุยเจี้ย ใต้เท้าเจ้าแห่งทะเลสาบที่ปกครองหนึ่งทะเลสาบสามลำคลองสองคูน้ำหยั่งรากฐานไว้อย่างลึกล้ำ เป็นเหตุให้ได้รู้เรื่องวงในมามากมาย ว่าตระกูลบัณฑิตตระกูลนั้นสั่งสมบุญทำความดีกันมาหลายยุคหลายสมัย
ในกรอบป้ายเหนือศาลบรรพชนของตระกูลก็ใกล้จะสามารถฟูมฟักคนจิ๋วควันธูปคนหนึ่งได้แล้ว ทว่ากลับต้องเจอพิบัติภัยภายในค่ำคืนเดียว ไก่หมาวุ่นวายอลหม่าน ท่านเทพอภิบาลเมืองพิโรธหนัก จึงออกคำสั่งให้เหล่าเสมียนในศาลตรวจสอบเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าเมื่อตรวจสอบไปถึงท้ายที่สุดกลับตรวจสอบมาถึงหัวของศาลเทพอภิบาลเมืองเอง ที่แท้ขุนนางหลักกองหยินหยางซึ่งเป็นผู้นำของหกกองในศาลเทพอภิบาลเมือง ในฐานะขุนนางผู้ช่วยอันดับหนึ่งของเทพอภิบาลเมือง กลับสมคบคิดกับแม่ทัพถือตรวนที่ทำหน้าที่คล้ายขุนนางผู้ช่วยหัวหน้ามือปราบของหนึ่งอำเภอ คนหนึ่ง จำแลงกายเป็นคนโดยพลการ แล้วจึงสวมเนื้อหนังมังสาของเด็กหนุ่มหน้าตา หล่อเหลาคนหนึ่งไปหลอกลวงย่ำยีสตรีของครอบครัวนั้น ส่วนแม่ทัพถือตรวนก็ หมายตาอยากครอบครองคนจิ๋วควันธูปที่ยังก่อตัวไม่สมบูรณ์ หวังว่าจะไปจับเอามาเป็นสินบนให้แก่ผู้ฝึกตนตระกูลเซียนคนหนึ่ง พยายามจะเลื่อนขั้นให้ตัวเองได้เป็น ขุนนางบู๊ผู้พิพากษาที่ดำรงหน้าที่ในศาลเทพอภิบาลเมืองประจำเขตการปกครอง ซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียว แต่อยู่เหนือขุนนางอีกมากมาย แม่ทัพถือตรวนผู้นั้นจึงไป บีบบังคับขุนนางหลักกองหยินหยาง ขุนนางใหญ่สองคนในศาลเทพอภิบาลเมืองที่เดิมทีควรจะช่วยดูแลลมฝนให้ราบรื่น ปกครองหยินหยางให้มีระเบียบกลับสมรู้ร่วมคิดกันไปจ้างโจรในยุทธภพที่ก่อคดีมาอย่างโชกโชนกลุ่มหนึ่งให้เข้ามาในเมือง
ใช้เลือดล้างตระกูลนักปราชญ์ตระกูลนั้น และขุนนางหลักกองหยินหยางก็ยังแอบเลี้ยงดูสตรีโตเต็มวัยหน้าตางดงามสองคนไว้ในจวนที่เงียบสงัดอยู่ห่างไกลไปในแถบป่านอกเมือง
หากมีเพียงเท่านี้ ต่อให้ท่านเทพอภิบาลเมืองจะแค่ไต่สวนกันเป็นการส่วนตัว แล้วลงโทษขุนนางผู้ช่วยทั้งสองในสถานเบา ก็คงไม่ต้องตกมาอยู่ในสภาพนี้ แต่เทพอภิบาลเมืองที่ตอนมีชีวิตอยู่ก็เชี่ยวชาญด้านการสร้างชื่อเสียงจอมปลอมผู้นั้น ภายนอกก็สั่งให้ขุนพลผีจำนวนมากช่วยทางการตามหาตัวโจรกลุ่มนั้นแล้วสังหารทิ้งจนสิ้น ไม่เหลือคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว แต่ความจริงแล้วแอบปล่อยตัวขุนนางหลักกองหยินหยางไป สังหารแม่ทัพถือตรวนที่เห็นดีเห็นงามเข้าข้างผู้อื่นคนนั้นทิ้ง ส่วนสตรีสองคนแน่นอนว่าย่อมหนีพ้นหายนะรอดตายมาได้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าคืนนั้นจะมีเด็กคนหนึ่งของตระกูลบัณฑิตกำลังเล่นซ่อนแอบกับสาวใช้อยู่พอดี เขาไปแอบอยู่ระหว่างซอกกำแพง และสาวใช้คนนั้นก็ภักดีมีใจอยากปกป้องเจ้านาย ตอนที่ใกล้ จะตายจึงตั้งใจพาตัวไปตายอยู่ใกล้กับซอกกำแพงนั้น เพื่อใช้ศพของตัวเองปิดทางเข้า และสุดท้ายเด็กคนนั้นก็โชคดีหนีออกจากเมืองสุยเจี้ยไปได้สำเร็จ หลายสิบปีต่อมา ภายใต้ความช่วยเหลือของผู้อาวุโสที่สนิทสนมกับตระกูลคนหนึ่ง จึงได้เปลี่ยนชื่อแซ่สำมะโนครัว สอบติดขุนนางตำแหน่งสูง ผ่านไปอีกสิบปี อนาคตการงานราบรื่นรุ่งเรือง ได้กลายเป็นขุนนางผู้เป็นดั่งพ่อแม่ของปวงประชา เขาจึงเริ่มลงมือพลิกคดีนี้ สืบสาวเบาะแสไปจนกระทั่งพบว่ามีสาเหตุมาจากศาลเทพอภิบาลเมือง แน่นอนว่าย่อมต้องเกิดโศกนาฎกรรมขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่เมื่อเทียบกับปีนั้นที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่วแล้ว คราวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบกลับเงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ข่าวที่ทางราชสำนัก ได้รับมาก็มีแค่ว่าเจ้าเมืองผู้ซื่อสัตย์จงรักภักดีท่านหนึ่งได้ป่วยตายในขณะดำรงหน้าที่เท่านั้น
บัณฑิตที่เดิมทีควรมีอนาคตสดใสผู้นั้นไม่เคยแต่งงานเลยตลอดชีวิต ข้างกาย ก็ไร้เด็กรับใช้หรือสาวใช้ เขาใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังมาโดยตลอด แล้วก็ปิดฉากชีวิตของตัวเองลงด้วยการกระโจนเข้าสู่ความตายเพียงลำพัง ดูเหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงอันตรายที่ซ่อนอยู่ในเมืองมานานแล้ว
ก่อนหน้าที่จะแอบส่งจดหมายไปให้เพื่อนสนิทในราชสำนัก เขาก็ได้มองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ และวันสุดท้ายนั้นเขาก็ไปเยือนจวนที่กลายเป็นจวนร้างเป็นที่พักพิงของภูตผีมานานหลายปีแห่งนั้น ท่ามกลางม่านราตรี คนผู้นั้นถอดชุดขุนนาง สวมชุดผ้าป่านไว้ทุกข์ จุดธูปโขกศีรษะคำนับ จากนั้นก็…ตายไป
ในความเป็นจริงแล้วนับตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเดินออกมาจากจวนเจ้าเมือง ขุนพลผีมากมายของศาลเทพอภิบาลเมืองก็ได้มาล้อมจวนเอาไว้แล้ว เทพท่องทิวาราตรี รับหน้าที่เป็น ‘เทพทวารบาล’ ให้ด้วยตัวเอง ในจวนก็ยิ่งมีขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ อำพรางตัวอยู่ข้างกายคนผู้นี้ จับตาจ้องมองเขาไว้เขม็ง
ดังนั้นกลางดึกของคืนนั้นที่คนผู้นี้เดินออกจากจวนเจ้าเมืองไปยังบ้านหลังเดิม อย่าว่าแต่คนเดินเท้าบนถนนเลย แม้แต่คนตีฆ้องบอกเวลาก็ยังไม่เห็นแม้เงา
หลังจากที่เทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยได้ถอนรากถอนโคนจนสิ้นแล้ว สามปีต่อมาเขาก็ค้นพบว่าร่างทองของตนเริ่มปรากฎรอยร้าวหนึ่งเส้น
ผลบุญที่สั่งสมมากลับไม่อาจซ่อมแซมรอยร้าวนี้ได้ ได้แต่มองดูมันขยายลุกลาม ไปทั่วร่างทองอย่างต่อเนื่องคาตาตัวเอง
ดังนั้นจึงมีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองสุยเจี้ยตอนนี้
เฉินผิงอันรับฟังอย่างสงบอยู่ตลอดเวลา จากนั้นฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่เล่า ด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิด ฝาโลงแก่ศาลเทพอภิบาลเมืองเมืองสุยเจี้ยว่า “ก่อกรรมทำชั่วไม่สมควรมีชีวิตอยู่ คือถ้อยคำที่ศาลเทพอภิบาลเมืองอย่างพวกเขาคุ้นเคยกันที่สุดแล้ว ช่างน่าขันจริงๆ ศาลเทพอภิบาลเมืองในเมืองสุยเจี้ยแห่งนั้นยังมีรางลูกคิดขนาดใหญ่ที่แกะสลัก จากก้อนหินอันหนึ่งวางอยู่ เพื่อใช้ตักเตือนคนบนโลกว่า คนกระทำ เทพคำนวณ”
ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากถาม “จดหมายลับที่ส่งไปยังเมืองหลวงถูกศาล เทพอภิบาลเมืองดักเอาไว้ได้?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำส่ายหน้า “เรียนเซียนซือ ตามคำบอกของเจ้าทะเลสาบข้า เจ้าเมืองผู้นั้นทำอะไรรอบคอบระมัดระวังอย่างยิ่ง จดหมายนั้นเดิมทีควรจะต้องส่งไปถึงมือสหายของเขาในเมืองหลวงถึงจะถูก เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นดั่งวัวปั้นดินที่ จมลงสู่ทะเล ตลอดหลายปีมานี้ทางราชสำนักไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย กลับเป็นคนที่ รับจดหมายผู้นั้นที่มีชีวิตราบรื่นอยู่ในวงการขุนนาง ขนาดในอดีตปีนั้นก็ยังได้เป็นถึงเจ้ากรมอาญาแล้ว ภายหลังตระกูลก็ยิ่งเจริญรุ่งเรือง โชคชะตาบุ๋นและการสอบเคอจวี่ของพวกลูกหลานล้วนดีเยี่ยม ลำพังเพียงแค่จิ้นซื่อก็มีมากถึงหกคนแล้ว เจ้าประมุข คนปัจจุบันก็ยิ่งเป็นขุนนางใหญ่ในพื้นที่ศักดินาที่ได้ปกครองพื้นที่แถบหนึ่ง”
เฉินผิงอันถามอีก “เหตุใดผู้ฝึกตนมากมาย รวมถึงเจ้าคนแซ่ตู้ผู้นี้ถึงได้พร้อมใจกันไปเยือนเมืองสุยเจี้ย? หรือว่าเทพอภิบาลเมืองของเมืองสุยเจี้ยที่มีจิตใจกว้างขวางผู้นั้นคบหาสหายบนภูเขาไว้มากมาย พวกเขาก็เลยคิดจะมาช่วยเขา?”
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำที่ยืนก้มหน้าตัวตรงพูดเสียงเบาอยู่ที่เดิมอย่างว่าง่ายมาโดยตลอด เวลานี้แหงนหน้าขึ้นกล่าว “ฮวงจุ้ยของเมืองสุยเจี้ยค่อนข้างประหลาด หลังจากที่เกิดแรงกระเทือนขึ้นในศาลเทพอภิบาลเมือง ก็เหมือนว่าจะรั้งสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่งไว้ไม่อยู่ ทุกๆ ครั้งที่เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง ฝนตกกระหน่ำหรือหิมะใหญ่ตก ในเมืองก็จะมีแสงเรืองรองเส้นหนึ่งผุดมาจากคุกแห่งหนึ่งแล้วทะยานขึ้นฟ้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมาจึงมียอดฝีมือบนภูเขาหลายคนที่ไปตรวจสอบสืบหา เพียงแต่ว่ายังไม่อาจจับต้นตอที่มาของสมบัติประหลาดได้ แต่ก็มียอดฝีมือ ด้านภูมิศาสตร์คนหนึ่งอนุมานไว้ว่า นั่นคือวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดินที่ถูกโชคชะตาน้ำและภูเขาของหนึ่งเขตการปกครองฟูมฟักมานานหลายพันปีแล้ว เมื่อกลิ่นอายความแค้นความชั่วร้ายที่ล้อมวนอยู่แถวศาลเทพอภิบาลเมืองเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ มันจึง ไม่อยากอยู่ในเมืองสุยเจี้ยอีกต่อไป ถึงได้มีลางว่าสมบัติหนักจะเผยกายบนโลก”
เฉินผิงอันหรี่ตาถามอีกครั้งว่า “ข้าก็แค่ถามฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำไปอย่างนั้นเอง แต่กลับทำให้รู้ความจริงมากมายที่น่าตะลึงพรึงเพริดเช่นนี้ ในเมื่อมีคนต่างถิ่นมากความสามารถทะยานลมทะยานหมอกบินไปบินมาอยู่ในเมืองสุยเจี้ยมาตั้งนานหลายปีขนาดนั้น ไม่แน่ว่าอาจจะมีผู้ฝึกตนไม่น้อยมาปักหลักอยู่ในเมืองหลายปีแล้วด้วย แต่กลับไม่มีเทพเซียนท่านใดที่อยากจะลองพลิกคดีคนตระกูลนั้นขึ้นมาบ้างเลยหรือ?”
อาการตกตะลึงของฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำในครานี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หาใช่การเสแสร้งแกล้งทำ จากนั้นนางก็พึมพำว่า “พลิกคดีทำไม? หากแตกหักกับศาล เทพอภิบาลเมืองแล้ว ก็จะยิ่งไม่มีทางได้แตะต้องสมบัติประหลาดชิ้นนั้นไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันปลดงอบลง เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรี เกาหัวเอ่ยว่า “แบบนี้เองหรือ ก็ถือว่าเป็นคำพูดที่มีเหตุผลดี”
มีเสียงบางอย่างดังมาจากกำแพงที่อยู่ด้านหลังแท่นบูชาเทวรูปของศาล
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำรู้สึกเพียงว่ามีลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า จากนั้นนางก็หันขวับไปมอง
แท่นบูชาเทพถูกคนผู้นั้นชนจนหักออกเป็นสองท่อน ฝุ่นผงปลิวคละคลุ้ง ตู้อวี๋ แห่งตำหนักขวานผีที่ฟื้นคืนสติและกำลังจะแอบลงมือทำอะไรบางอย่างถูกคนผู้นั้น ใช้มือข้างเดียวกุมลำคอแล้วเหวี่ยงลงกระแทกกับพื้นอย่างแรง
เมื่อคนผู้นั้นลุกขึ้นมาอีกครั้ง ลมปราณของตู้อวี๋ก็ขาดสะบั้น ตายจนตายไปมากกว่านั้นไม่ได้อีกแล้ว
นาทีนี้ แม้ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำจะเป็นเหนียงเนียงเทพวารีผู้หนึ่ง แต่กลับยังรู้สึกว่าร่างทั้งร่างเยียบเย็นเหมือนตกอยู่ในหลุมน้ำแข็ง
คนผู้นั้นเบี่ยงตัวหันหน้ามามองนาง
สีหน้าของเขาไร้อารมณ์
สายตามืดลึกดุจบ่อน้ำที่ราวกับว่าจุดลึกของบ่อมีเจียวหลงตัวหนึ่งกำลังแหวกว่าย ทำท่าจะป่ายปีนผนังบ่อ โผล่หัวออกมามองโลกมนุษย์และฟ้าดินที่อยู่ด้านนอก
ฮูหยินเจ้าแห่งคูน้ำอยากจะก้าวถอยหลัง ยิ่งอยากจะหลบหนีไปให้ไกล เพียงแต่ว่า สองเท้าปักตรึงอยู่ลึกในใต้ดิน จึงได้แต่เอนตัวไปด้านหลัง ราวกับว่าทำแบบนี้แล้ว ถึงจะไม่ถูกคนผู้นั้นทำให้ตกใจตาย
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเหตุใด นาทีถัดมาคนผู้นั้นกลับคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน ปัดมือ หยิบงอบมาสวมอีกครั้ง แล้วยื่นสองนิ้วออกมาประคองงอบ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่แตะต้องฝุ่นธุลีในโลกีย์ ไม่สัมผัสผลกรรม คือเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน”