บทที่ 501 การพบเจอในบางครั้ง
เฉินผิงอันเก็บตำราพิชัยยุทธ หันมาเปิดตำราเล่มหนึ่งที่คล้ายคลึงกับ ‘รวมเล่มวางใจ’ ของสำนักพีหมา มีชื่อว่า ‘น้ำค้างวสันต์คงเหมันต์’ คือตำราเล็กๆ เล่มหนึ่งที่ภูเขาเจ้าของเรือข้ามฟากแนะนำเกี่ยวกับรากฐานของตัวเองเอาไว้ ค่อนข้างน่าสนใจ มีเซียนกระบี่ท่านใดของอุตรกุรุทวีปมาหยุดพักอยู่บนภูเขาบ้าง มีเซียนดินท่านใดเคยดื่มชาถกปัญหาในสถานที่สำคัญที่ใดบ้าง นักประพันธ์คนใดเขียนบทกวี บทไหน ทิ้งผลงานอันยอดเยี่ยมชิ้นไหนไว้บนภูเขาลูกใดบ้าง ล้วนมีบรรยายไว้ ตามบทความน้อยใหญ่ในตำรา
ใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอันในเวลานี้ก็คือเรือข้ามฟากที่มาจากสวนน้ำค้างวสันต์ รายรับหลักๆ ของพวกเขาจะมาจากพืชพรรณประหลาดหายากที่ทางภูเขาปลูกไว้แล้วนำไปขายให้กับผู้คนรายทาง ในบรรดานั้นมีดอกไม้ของตระกูลเซียนสามชนิดที่ถูกภูเขามู่อีของสำนักพีหมากว้านซื้อไว้จนแทบจะเรียกได้ว่าผูกขาด คือรายรับก้อนใหญ่ของสวนน้ำค้างวสันต์ ดังนั้นเส้นทางการเดินเรือจึงเป็นการเดินทางไปกลับ ระหว่างชายหาดโครงกระดูกกับเทือกเขาเจียมู่อันเป็นที่ตั้งของสวนน้ำค้างวสันต์ สวนน้ำค้างวสันต์ถือเป็นสายของสำนักกสิกรรมหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก ส่วนใหญ่แล้ว จะมีแต่ผู้ฝึกตนหญิง อีกทั้งนิสัยยังอ่อนโยน และบนภูเขาเจียมู่ก็มีต้นไม้ประหลาดและภูตบุปผาเป็นจำนวนมาก ในแถบตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปก็ถือเป็นกองกำลังลำดับสองที่พอจะมีรากฐานอยู่บ้าง บวกกับที่มีสหายกว้างขวาง ไม่ค่อยผูกปมแค้นเข่นฆ่ากับใคร เทือกเขาเจียมู่จึงกลายมาเป็นสถานที่ที่เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหนุ่มสาวหลายคนของทางใต้เลือกมาท่องเที่ยวฝึกประสบการณ์
การที่เฉินผิงอันเลือกเรือข้ามฟากลำนี้มีเหตุผลอยู่สามข้อ หนึ่งเพราะสามารถอ้อมออกมาจากชายหาดโครงกระดูกได้ไกล สองเพราะสวนน้ำค้างวสันต์มี สมบัติประหลาดสามชิ้นที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ หนึ่งในนั้นก็คือต้นไหวโบราณ พันปีที่เติบโตขึ้นมาท่ามกลางเทือกเขาเจียมู่ สูงหลายพันจั้ง
เฉินผิงอันจึงอยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามีอะไรที่ไม่เหมือนกับต้นไหวโบราณใน บ้านเกิดของปีนั้น นอกจากนี้ทุกๆ ครั้งที่ถึงช่วงปลายปี สวนน้ำค้างวสันต์ก็จะมีการ จัดงานเลี้ยงบอกลาปีเก่าขึ้นมา ซึ่งจะมีร้านผ้าห่อบุญนับพันร้านไปทำการค้าขายกันอยู่ที่นั่น คืองานเฉลิมฉลองที่เงินเทพเซียนวิ่งพล่านไปทั่ว เฉินผิงอันจึงคิดจะไปทำการค้าเล็กๆ น้อยๆ ที่นั่น
อันที่จริงตำราเล่มเล็กของสวนน้ำค้างวสันต์เล่มนี้ไม่บางเลย เพียงแต่เมื่อเทียบกับการบรรยายอย่างละเอียดในทุกเรื่องเหมือนคำพร่ำบ่นของผู้อาวุโสในตระกูลของ ‘รวมเล่มวางใจ’ แล้ว ในด้านจำนวนหน้าจึงเป็นรองอยู่เล็กน้อย
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ไม่ได้รวบรวมตำราประเภทนี้มาจากภูเขาอย่างพวกสำนักฝูจีในใบถงทวีป
เฉินผิงอันอ่านตำราเล่มเล็กจบแล้วก็เริ่มฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว จนถึงท้ายที่สุด ก็แทบจะฝึกหมัดด้วยสภาวะกึ่งหลับกึ่งตื่น เขาเดินไปกลับระหว่างประตูห้องกับหน้าต่าง ระยะก้าวที่เดินไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย
ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันก็ลืมตาขึ้น หยุดกระบวนท่าหมัด กลับไปนั่งข้างโต๊ะ รออยู่ครู่หนึ่งจนกระทั่งมีคนมาเคาะประตู ถึงได้ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตู คือ ผู้ดูแลคนหนึ่งของเรือข้ามฟาก ผู้ฝึกตนชายที่หาได้ค่อนข้างยากในสวนน้ำค้างวสันต์ คือผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่งที่มีกลิ่นอายของความแก่ชราหนักอึ้ง อยู่ไกลเกินกว่า จะเทียบเคียงกับตู้เหวินซือ หยางหลินแห่งสำนักพีหมาได้ มีขอบเขตเดียวกัน แต่ความสูงต่ำกลับต่างกันราวฟ้ากับดิน มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าหากเปิดฉากเข่นฆ่ากันขึ้นมาจะมีจุดจบที่สามารถตัดสินแพ้ชนะได้ในทันที แต่นี่กลับไม่ใช่เพราะ ผู้ฝึกตนสวนน้ำค้างวสันต์เป็นดั่งหมอนปักลายบุปผา แต่เป็นเพราะว่าผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาไม่เหมือนที่อื่น การเข่นฆ่าเอาชีวิตสำหรับพวกเขาแล้วก็คือเรื่องปกติที่เหมือนการดื่มน้ำกินข้าว
หลังจากที่เฉินผิงอันเปิดประตู ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เอ่ยขออภัยว่า “รบกวนการฝึกตนของสหายแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “ผู้อาวุโสซ่งเกรงใจกันเกินไปแล้ว ข้าเองก็เพิ่งตื่น ตามคำแนะนำที่บอกไว้ในตำราเล่มเล็ก นี่น่าจะขยับเข้าใกล้ภูเขาคู่รักสองลูกอย่างยอดเขาแสงทองกับภูเขาแสงจันทร์แล้วกระมัง ข้าคิดว่าจะออกไปเสี่ยงดวงดูสักหน่อย ดูสิว่าจะได้เจอกับห่านหลังทองและกบตีกลองหรือไม่”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่ก็ด้วยเรื่องนี้ เดิมทีก็อยากจะมาเตือนคุณชายเฉินสักคำว่าอีกประมาณสองชั่วยามก็จะเข้าสู่อาณาเขตของยอดเขาแสงทองแล้ว”
เซียนดินโอสถทองท่านนี้เปลี่ยนคำเรียกขานที่ค่อนข้างฟังดูแล้วสนิทสนม
มอบผลท้อให้ไปก็มอบผลหลีกลับคืน
เฉินผิงอันจึงรีบเปิดทางให้อีกฝ่าย “เชิญผู้อาวุโสซ่งเข้ามาข้างในก่อน”
ผู้ฝึกตนเฒ่ายิ้มอย่างเข้าใจ ระหว่างผู้ฝึกตนบนภูเขา หากขอบเขตต่างกันมากเกินไป ยกตัวอย่างเช่นข้าคือชมมหาสมุทร เจ้าคือประตูมังกร ต่างฝ่ายต่างเรียกกันว่าสหายก็พอ แต่หากเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่เจอกับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลาง หรือสามขอบเขตอย่างถ้ำสถิต ชมมหาสมุทรและประตูมังกรเจอกับเซียนดินอย่างโอสถทอง ก่อกำเนิดก็ควรจะเรียกอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่าเซียนซือหรือผู้อาวุโส เพราะขอบเขตโอสถทองก็คือธรณีประตูอย่างหนึ่ง และถึงอย่างไรกฎบนภูเขาข้อที่ว่า ‘ผู้ที่สร้างโอสถทองได้สำเร็จก็คือคนรุ่นเดียวกับข้า’ ก็ล้วนสามารถใช้ได้ทั่วทั้งสี่สมุทร
แน่นอนว่าหากความกล้ามากพอ ห้าขอบเขตล่างเจอกับเซียนดินหรือผู้ฝึกตนขอบเขตยอดเขาของห้าขอบเขตบน แล้วยังคงเรียกอีกฝ่ายว่าสหายอย่างเต็มปาก ก็ไม่เป็นไรเหมือนกัน ขอแค่ไม่กลัวว่าจะโดนตบให้ร่อแร่ใกล้ตายด้วยฝ่ามือเดียวก็พอ
ในฐานะผู้เฒ่าโอสถทองคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนเฒ่าเรียกแขกหนุ่มผู้นี้ว่าสหาย ก็เห็นได้ชัดว่ามีส่วนที่พิถีพิถันอย่างมากแล้ว
ตอนนั้นคนที่มาขึ้นเรือข้ามฟากเป็นเพื่อนคนหนุ่มผู้นี้ก็คือผังหลันซีลูกศิษย์ ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา คือเด็กหนุ่มผู้เป็นลูกรักแห่งสวรรค์ที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง เล่าลือกันว่าภายในเวลาหกสิบปี ไม่แน่ว่าเขาอาจจะได้ติดอันดับคนหนุ่มสิบคนกลุ่มถัดไปของอุตรกุรุทวีป หากเป็นลูกศิษย์ของสำนักอื่นที่ได้รับการป่าวประกาศเช่นนี้ ก็มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นอุบายที่ใช้สร้างชื่อเสียง ให้กับภูเขา แค่ฟังเป็นเรื่องตลกก็พอ ยามที่เจอกันก็แค่พูดจาเออออคล้อยตามไปด้วยเท่านั้น แต่ในใจน่าจะด่าว่าไอ้คนหน้าไม่อายรีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าเสียที แต่สวนน้ำค้างวสันต์คือแขกที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีของชายหาดโครงกระดูก รู้ว่าผู้ฝึกตน สำนักพีหมาไม่เหมือนที่อื่น ผู้ฝึกตนเหล่านี้ไม่พูดจาวางตัวโอ้อวด จะทำแค่เรื่องที่อำมหิตไร้ปราณีเท่านั้น
หากผังหลันซีเป็นตัวแทนของสำนักพีหมาที่แค่มาส่งแขกก็แล้วไปเถิด แน่นอนว่าไม่ได้น่าตกใจเท่าเจ้าสำนักจู๋เฉวียนหรือหยางหลินแห่งนครปี้ฮว่าปรากฎตัวด้วยตัวเอง แต่ผู้เฒ่าโอสถทองวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกตลอดทั้งปี ไม่ใช่เทพเซียนรักสงบประเภทที่ อยู่ดีไม่ว่าดีก็ปิดด่านทีสิบปีหลายสิบปี เขาจึงฝึกฝนจนมีทิพย์จักษุคู่หนึ่งมานานแล้ว ทั้งคำพูดและสีหน้าท่าทางของผังหลันซีตอนที่อยู่ท่าเรือ ล้วนเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใสที่มีต่อจอมยุทธต่างถิ่นที่แม้แต่ผู้เฒ่าโอสถทองก็ยังมองตื้นลึกไม่ออกผู้นี้ อีกทั้งนั่นยังเป็นความรู้สึกที่มาจากใจจริง บวกกับที่ก่อนหน้านี้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นที่หุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูก เกาเฉิงแห่งนครจิงกวานเผยร่างกายธรรมกระดูกขาวลงมือไล่ล่าแสงสีทองที่บังคับกระบี่หนีไปทางศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อี ด้วยตัวเอง ผู้ฝึกตนเฒ่าไม่ใช่คนโง่ ย่อมใคร่ครวญจนพอจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
ผู้ฝึกตนบนภูเขาสองคนที่พบเจอกันโดยบังเอิญ ฝ่ายหนึ่งถึงขนาดเปิดประตู เชื้อเชิญให้แขกเข้ามานั่งในห้องได้ก็ถือว่ามีความจริงใจอย่างถึงที่สุดแล้ว
ผู้ฝึกตนไม่ยินดีสัมผัสกับธุลีแห่งโลกีย์ นี่ไม่ใช่ประโยคที่เอ่ยเล่นๆ
ผู้เฒ่าโอสถทองแซ่ซ่งนามหลันเฉียว ตามการสืบทอดของทำเนียบวงศ์ตระกูล ศาลบรรพจารย์ ถือเป็นผู้ฝึกตนรุ่นตัวอักษรหลันของสวนน้ำค้างวสันต์ เนื่องจาก สวนน้ำค้างวสันต์คือผู้ฝึกตนหญิงแทบทั้งหมด ในชื่อมีอักษรว่าหลันนี้จึงไม่นับว่าเป็นอะไรได้ แต่ลูกศิษย์ชายที่ใช้ชื่อนี้กลับค่อนข้างจะประหลาดไปสักหน่อย ดังนั้น อาจารย์ของซ่งหลันเฉียวถึงได้เอาคำว่าเฉียวมาเสริม เพื่อช่วยสะกดกลิ่นอายความอ้อนแอ้นเอาไว้ (หลันแปลว่าดอกกล้วยไม้ ส่วนใหญ่จะใช้กับชื่อของผู้หญิง เฉียวหมายถึงฟืนหรือคนหาฟืน)
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันแค่เคยได้ยินผังหลันซีเล่าให้ฟังว่ายอดเขาแสงทองกับ ภูเขาแสงจันทร์คือภูเขาคู่รัก ซึ่งมีรายละเอียดที่ค่อนข้างจะน่าสนใจ เพราะหากโชคดี ยามที่นั่งเรือข้ามฟากผ่านก็จะสามารถมองเห็นสัตว์ปีกลักษณะแปลกประหลาด ไม่เหมือนที่อื่น ดังนั้นตลอดทางมานี้เขาจึงค่อนข้างให้ความสนใจกับเรื่องนี้
พอดีกับที่ซ่งหลันเฉียวมาเตือนเขาด้วยเรื่องนี้ จึงได้มาช่วยไขข้อข้องใจให้ เฉินผิงอันฟังพอดี
ที่แท้แถบของยอดเขาแสงทอง บางครั้งก็จะมีห่านหลังทองปรากฏตัว สัตว์ชนิดนี้มีความเร็วในการบินเหมือนกระบี่บินของเซียนกระบี่ พวกมันจะมาบินล้อมวนอยู่รอบยอดเขาแสงทองที่มีคุณลักษณะทางธรรมชาติที่พิเศษเท่านั้น เว้นเสียจากว่า เป็นขอบเขตก่อกำเนิด ผู้ฝึกตนทั่วไปก็แทบจะไม่ต้องหวังว่าจะจับพวกมันได้เลย อีกทั้งนิสัยของห่านหลังทองก็ดุร้าย หากถูกจับก็จะเผาตัวเองให้ตาย ทำให้คนไม่ได้รับผลเก็บเกี่ยวเลยแม้แต่น้อย
ห่านหลังทองชอบบินอยู่สูงเหนือทะเลเมฆที่กว้างใหญ่ไพศาล และจะชอบอาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงอาทิตย์เป็นพิเศษ เนื่องจากแผ่นหลังของพวกมันตากแสงแดดที่ แผดเผาอยู่ตลอดทั้งปี อีกทั้งยังชอบดึงเอาแก่นดวงอาทิตย์มาตั้งแต่เกิด จึงเป็นเหตุให้ห่านหลังทองที่โตเต็มวัยจะมีขนสีทองเส้นหนึ่งงอกขึ้นมา หากมีสองเส้นก็ถือว่า พบเห็นได้น้อยแล้ว สามเส้นก็ยิ่งหาได้ยาก ทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีปมีผู้ฝึกตนอิสระก่อกำเนิดคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน เนื่องจากโชควาสนามาถึง
ตอนที่อยู่ห้าขอบเขตล่างก็สามารถจับบรรพบุรุษห่านหลังทองที่มีขนทอง ทั่วทั้งตัวได้ตัวหนึ่ง อีกทั้งมันยังยอมรับเขาเป็นนาย พลังการต่อสู้ของสัตว์เดรัจฉาน ตัวนั้นเทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่ง ยามที่สะบัดปีกโบยบินก็เหมือน ดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่ลอยขึ้นกลางอากาศสูง อีกทั้งผู้ฝึกตนอิสระคนนี้ยังชอบ ลอบโจมตี ควักดวงตาของผู้ฝึกตนเซียนดินและผู้ฝึกตนที่ต่ำกว่าห้าขอบเขตห้ามาแล้วไม่รู้กี่มากน้อย พอได้เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดก็ชอบอยู่เฉยๆ ไม่ชอบเคลื่อนไหว ทำตัวเป็นตะพาบพันปีที่ตั้งใจฝึกตน นี่ถึงทำให้ร่องรอยของห่านหลังทองตัวนั้นหายไปด้วย
ส่วนภูเขาแสงจันทร์นั้น ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือนจะมีกบยักษ์ตัวใหญ่เท่าภูเขาที่ตลอดทั้งร่างเป็นสีขาวหิมะปลอดพาลูกหลานไต่ขึ้นมาบนยอดเขา แล้วส่งเสียงร้องไม่หยุด เพื่อดูดซับแสงจันทราเหมือนการเข้าฌานของผู้ฝึกลมปราณ ช่วงก่อนและหลังคืนไหว้พระจันทร์ก็จะยิ่งมีเสียงกบร้องเต็มภูเขาดังระงม สะเทือน ไปทั้งแผ่นฟ้า ดังนั้นภูเขาแสงจันทร์จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าภูเขาฟ้าผ่า ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้ฝึกตนอยากกำราบกบยักษ์ตัวนี้ แต่เป็นเพราะกบยักษ์มีพรสวรรค์อันเลิศล้ำ เชี่ยวชาญ วิชาดำดินหนี สามารถหดร่างที่ใหญ่โตมโหฬารให้เหลือเล็กเท่าเมล็ดงาได้ จากนั้นก็ไปซ่อนตัวอยู่ตามรากภูเขาหรือเส้นสายของภูเขา ขณะเดียวกันภูเขาแสงจันทร์ก็จะเปลี่ยนมามีน้ำหนักเหมือนห้าขุนเขาของแคว้นใหญ่ ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็ไม่สามารถใช้วิชาอภินิหารย้ายภูเขาที่เป็นกลยุทธถอนฟืนใต้กระทะกับมันได้ ดังนั้น ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่ไปเยือนภูเขาแสงจันทร์จึงแค่พยายามจับกบหิมะอายุร้อยปีเท่านั้น และหากจับมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เพราะบรรพบุรุษกบหิมะตัวนั้นปกป้องลูกหลานของตัวเองอย่างมาก ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตกลางจำนวนไม่น้อยต่างก็ต้องพาตัวไปตายอยู่บนภูเขาแสงจันทร์
เรื่องน่าอายมากมายของยอดเขาแสงทองกับภูเขาแสงจันทร์ ซ่งหลันเฉียวเอามาเล่าอย่างแฝงอารมณ์ขัน เฉินผิงอันก็รับฟังอย่างเพลิดเพลิน
เคยมีคนใช้ตาข่ายจับห่านหลังทองตัวหนึ่งได้ ผลกลับกลายเป็นว่าถูกห่าน หลังทองหลายตัวคาบตาข่ายพาบินขึ้นสูง
ผู้ฝึกตนคนนั้นให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ สุดท้ายก็ถูกกระชากเข้าไปยังทะเลเมฆที่สูงมาก รอจนเขาปล่อยมือก็ถูกห่านหลังทองจิกจนบาดแผลเหวอะเหวอะไปทั้งร่าง แทบไม่เหลือชิ้นเนื้อที่สมบูรณ์แบบ เรือนกายเปลือยโล่งโจ้ง อีกทั้งบนร่างยังไม่มี อาวุธหนักประเภทเนินฟางชุ่น สภาพจึงกระเซอะกระเซิงอย่างมาก ผู้ฝึกตนที่ดู เรื่องสนุกอยู่บนยอดเขาแสงทองต่างก็พากันทอดถอนใจ เพราะนั่นคือผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตชมมหาสมุทรของภูเขาใหญ่ท่านหนึ่ง หลังจากนั้นมา ผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น ก็ไม่เคยลงจากเขามาฝึกประสบการณ์อีกเลย
เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “บนยอดเขาแสงทองและภูเขาแสงจันทร์ไม่มีผู้ฝึกตนมาสร้างถ้ำสถิตอยู่เลยหรือ?”
ซ่งหลันเฉียวลูบหนวดยิ้มกล่าว “แก่นดวงอาทิตย์บนยอดเขาแสงทองร้อน แผดเผาเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่นดวงอาทิตย์ที่รวมตัวกันอยู่บนยอดเขาซึ่งจะไหลวนเวียนไม่หยุดนิ่งตลอดทั้งปี ช่วยไม่ได้ นี่จึงไม่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ดีอะไร เว้นเสียจากผู้ฝึกตนเซียนดินเท่านั้นที่ถึงพอจะมาปักหลักอยู่นานๆ ได้ ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป หากมาสร้างกระท่อมฝึกตนก็มีแต่ต้องเผชิญกับความยากลำบาก เผาผลาญปราณวิญญาณให้เสียเปล่าเท่านั้น ส่วนภูเขาแสงจันทร์กลับเป็นพื้นที่วิเศษที่มีห้าธาตุครบถ้วน เพียงแต่ว่าน่าเสียดายที่กบยักษ์มายึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา มีลูกมีหลานหลายพันตัว กบยักษ์ที่มีสติปัญญามานานแล้วเกลียดแค้นพวกผู้ฝึกลมปราณ อย่างเราๆ มากที่สุด ไม่ยอมให้มีผู้ฝึกลมปราณขึ้นเขาไปฝึกตนได้เลย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ภูตประหลาดตามภูเขาแม่น้ำมีมากมาย ต่างฝ่ายต่างก็มีหนทางในการดำรงชีพของตัวเอง”
ซ่งหลันเฉียวคล้ายจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ครั้นจึงคลี่ยิ้มขอตัวลาจากไป
ความกระตือรือร้นและความเกรงใจ สมควรต้องมี แต่หากมีมากเกินไปอาจทำให้ตัวเองตกเป็นรองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความสัมพันธ์ที่ต้องประจบเอาใจผู้อื่น ต้องก้มหัวให้ผู้อื่นเช่นนั้น จะดีจะชั่วเขาก็เป็นโอสถทองท่านหนึ่ง หน้าตาในส่วนนี้ยังต้องรักษาไว้บ้าง หากไปขอร้องให้คนอื่นช่วยเหลือ แน่นอนว่าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
หลังออกมาจากห้องแล้ว ซ่งหลันเฉียวก็ส่ายหน้า ผู้ฝึกตนหนุ่มผู้นี้ยังมองอะไร ตื้นเขินเกินไปหน่อย ห่านหลังทองของยอดเขาแสงทองกับกบยักษ์ของภูเขาแสงจันทร์ที่ไม่ต้องรับกับความทุกข์ทรมานอยู่ในกรงขัง ถึงอย่างไรก็เป็นส่วนน้อย ภูตประหลาดตามป่าเขาส่วนใหญ่ที่พอตายไปแล้วเอามาแลกเป็นเงิน มีมากน้อยเท่าไหร่? เอาแค่พวกภูตต้นไม้ในเทือกขาเจียมู่ มีกี่มากน้อยที่ถูกนำไปขายทอดต่อ ต้องตายไป ระหว่างทาง หากถูกชนชั้นสูงของราชวงศ์ในโลกมนุษย์รับไปเลี้ยงดูไว้ก็ถือว่าเป็น ความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว
ตอนที่เรือข้ามฟากลอยผ่านยอดเขาแสงทองก็จอดลอยตัวอยู่กลางอากาศ หนึ่งชั่วยาม แต่กลับไม่เห็นเงาร่างของห่านหลังทองแม้แต่ตัวเดียว
ตอนนั้นซ่งหลันเฉียวยืนอยู่ข้างกายผู้ฝึกตนหนุ่ม ช่วยอธิบายให้เขาฟังสองสามประโยค บอกว่าผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่หวังจะจับสัตว์ปีกประเภทนี้มานั่งเฝ้าอยู่หลายปี ก็ยังได้เห็นแค่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
การพบเจอในบางครั้ง
จากนั้นเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ออกเดินทางต่อช้าๆ และได้ลอยผ่านภูเขาแสงจันทร์ยามค่ำคืนพอดี ไม่กล้าขยับเข้าใกล้ตัวภูเขามากนัก แต่ลอยวนรอบภูเขาแสงจันทร์หนึ่งรอบโดยทิ้งระยะห่างประมาณเจ็ดแปดลี้ เนื่องจากไม่ใช่วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน กบยักษ์ตัวนั้นจึงไม่ได้เผยกาย ซ่งหลันเฉียวรู้สึก กระอักกระอ่วนเล็กน้อย เพราะบางครั้งกบยักษ์ก็จะเผยตัวในเวลาปกติอยู่บ้าง มันจะนั่งดูดซับแสงจันทร์อยู่บนยอดเขา ดังนั้นคราวนี้ซ่งหลันเฉียวจึงไม่ปรากฏตัวเสียเลย
เห็นว่าผู้ฝึกตนหนุ่มที่สวมงอบไว้บนศีรษะผู้นั้นยืนอยู่จนกระทั่งเรือข้ามฟาก ขับออกจากภูเขาแสงจันทร์ถึงได้กลับห้องตัวเองไป
ซ่งหลันเฉียวได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน โชคของคนผู้นี้ช่างธรรมดายิ่งนัก
เรือข้ามฟากทั่วไปเวลาที่บินผ่านภูเขาคู่รักนี้ ห่านหลังทองนั้นไม่ต้องคาดหวังว่าจะได้เห็น ซ่งหลันเฉียวดูแลเรือลำนี้มาสองร้อยปีแล้ว จำนวนครั้งที่ได้เห็นมันก็มีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่กบยักษ์ของภูเขาแสงจันทร์ ผู้โดยสารบนเรือข้ามฟากจะได้เห็นหรือไม่ก็มีโอกาสห้าต่อห้าส่วน
ผ่านไปอีกสองวัน เรือข้ามฟากก็ค่อยๆ ลอยตัวขึ้นสูง
ผู้ฝึกตนหนุ่มคนนั้นเป็นฝ่ายมาหาซ่งหลันเฉียวด้วยตัวเองเพื่อถามถึงสาเหตุ ซ่งหลันเฉียวก็ไม่ได้ปิดบัง เดิมทีนี่ก็เป็นความลับที่กึ่งเปิดเผยของเรือข้ามฟากอยู่แล้ว ไม่ถือว่าเป็นข้อห้ามบนภูเขาอะไร ทุกเส้นทางการเดินเรือที่มั่นคงซึ่งบุกเบิกมานานหลายปีล้วนต้องมีเคล็ดวิชากันอยู่ไม่น้อย หากผ่านสถานที่ที่มีภูเขาสวยน้ำใส เรือข้ามฟากที่ลอยตัวอยู่สูงมักจะลดระดับลงต่ำ นี่ก็เพื่อรับเอาปราณวิญญาณของ ฟ้าดินมา ลดทอนการเผาผลาญเงินเทพเซียนของเรือข้ามฟากให้น้อยลง แต่เวลาผ่าน ‘สถานที่ไร้อาคม’ ที่ปราณวิญญาณเบาบางแร้นแค้น ยิ่งแนบติดพื้นเท่าไหร่ การเผาผลาญเงินเทพเซียนก็ยิ่งมากเท่านั้น ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลอยตัวขึ้นสูงสักนิด ส่วนเวลาอยู่ในอาณาเขตของตระกูลเซียน จะดึงเอาปราณวิญญาณมาอย่างไรโดยที่ทั้งไม่ละเมิดกฎที่มีเฉพาะในถ้ำสถิตของสำนัก อีกทั้งยังสามารถได้ ‘กำไร’ เล็กๆ น้อยๆ นี่ก็ต้องดูที่ความสามารถของผู้ดูแลเรือ และยิ่งต้องพิถีพิถันในด้านการกะน้ำหนักความสัมพันธ์ของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ
ซ่งหลันเฉียวเล่าเรื่องลับที่ไม่ละเมิดกฎข้อต้องห้ามเหล่านี้ให้ผู้ฝึกตนหนุ่มฟังทั้งหมดอย่างไม่มีหมกเม็ด
ก็ถือว่าเป็นการผูกความสัมพันธ์ควันธูปเล็กๆ กันครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ต้องใช้เงิน
ด้วยเหตุนี้ซ่งหลันเฉียวจึงพอจะเดาออกว่า คนต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวผู้นี้ น่าจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของบรรพจารย์สำนักใหญ่ที่มีใจในการฝึกตน แต่ก็ ไม่ละเลยกิจธุระในสำนัก อีกทั้งยังเดินทางท่องเที่ยวมาไม่มาก ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ถึงขั้นไม่รู้เรื่องวงในที่ค่อนข้างตื้นเขินเหล่านี้เลย เพราะถึงอย่างไรการที่เรือข้ามฟากสามารถไปได้ไกลเท่าไหร่ จะเป็นระยะทางสั้นๆ แค่ไม่กี่หมื่นลี้ หรือสามารถล่องผ่านสถานที่ครึ่งหนึ่งของทวีป หรืออาจจะข้ามทวีปไปได้เลยนั้น ก็เป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้สามารถสังเกตได้โดยตรงว่ารากฐานในการฝึกตนของสำนักหนึ่งเป็นอย่างไร
เมื่อมาขอความรู้จากผู้อื่น เฉินผิงอันจึงหยิบเอาเหล้าหมักเซียนกาหนึ่งที่ซื้อมาจากชายหาดโครงกระดูกออกมา ชื่อเสียงของมันเทียบกับชาอินเฉินไม่ได้ มีชื่อว่า เหล้าเฟิงเป๋า รสสุราร้อนแรง
วันนี้จู่ๆ ซ่งหลันเฉียวก็ออกมาจากห้อง ออกคำสั่งให้ลดระดับเรือลงต่ำ ครึ่งก้านธูปต่อมา ซ่งหลันเฉียวก็มาที่หัวเรือ ยืนพิงราวรั้ว หรี่ตามองภูเขาแม่น้ำที่อยู่เบื้องล่าง จึงพอจะมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดอย่างหนึ่งได้ นี่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าอดไม่ไหว จุ๊ปากชื่นชม
เรือข้ามฟากลอยพ้นจากพื้นดินมาไม่สูงเท่าไหร่นัก บวกกับที่อากาศปลอดโปร่ง การมองเห็นจึงโปร่งโล่ง นี่ถือเป็นการเบียดบังของส่วนร่วมมาเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว แต่เวลาครึ่งก้านธูปนี้ก็เผาผลาญเงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่สิบเหรียญเท่านั้น ต่อให้บรรพจารย์ผู้ที่มีอำนาจดูแลเงินทองของสวนน้ำค้างวสันต์รู้เข้าก็มีแต่จะถาม ซ่งหลันเฉียวว่ามองเห็นเรื่องอะไรแปลกใหม่ ไหนเลยจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับ เงินเกล็ดหิมะแค่ไม่กี่เหรียญ ผู้ฝึกตนโอสถทองคนหนึ่ง สามารถใช้เวลาอย่างเปล่าประโยชน์บนเรือข้ามฟากได้ นี่แสดงว่าต้องเป็นคนน่าสงสารที่เส้นทางอนาคตบน มหามรรคาขาดสะบั้นลงแล้ว คนทั่วไปจึงไม่ค่อยกล้าหาเรื่องผู้ดูแลเรือข้ามฟาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ดูแลคนนั้นยังเป็นเซียนดินท่านหนึ่ง
เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่าโอสถทอง มองไปยังนครที่ถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกสีดำ ถามว่า “ผู้อาวุโสซ่ง หมอกดำปกคลุมเมือง นี่เป็นเพราะสาเหตุใด?”
“คุณชายเฉินสายตาดียิ่ง ต่อให้เป็นข้าก็ยังมองเห็นได้ค่อนข้างลำบาก”
ซ่งหลันเฉียวลูบหนวดยิ้ม “นั่นคือนครแห่งหนึ่งของแคว้นอิ๋นผิง คงกำลังจะเจอกับหายนะ ภาพปรากฎการณ์ที่แสดงออกภายนอกถึงได้ชัดเจนขนาดนี้ น่าจะหนีไม่พ้นสถานการณ์สองอย่าง อย่างหนึ่งคือมีปีศาจออกอาละวาด ส่วนอย่างที่สองก็คือ ร่างทองของพวกสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาหรือพวกเทพอภิบาลเมืองในพื้นที่ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องจากทางราชสำนักกำลังเดินไปสู่สภาวะเสื่อมโทรม ใกล้ดับสูญ แคว้นอิ๋นผิงแห่งนี้มองดูเหมือนมีอาณาบริเวณกว้างขวาง แต่เมื่ออยู่ ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีปเรากลับถือว่าเป็นแคว้นเล็กอย่างสมชื่อ นี่ก็เพราะว่าปราณวิญญาณในอาณาเขตของแคว้นอิ๋นผิงไม่โชติช่วง ไม่มีผู้ฝึกลมปราณปรากฏตัว ต่อให้มีก็ได้แต่ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่น ดังนั้นแคว้นที่ห่างไกลแร้นแค้นอย่างแคว้นอิ๋นผิงนี้จึงมีแต่เค้าโครงที่ว่างเปล่า ผู้ฝึกลมปราณต่างก็ไม่ชอบไปเดินเที่ยวที่นั่น”
นี่เห็นได้ชัดว่ามองผู้ฝึกตนหนุ่มคนนี้เป็นเพียงลูกนกหัดบินที่เพิ่งออกมาเผชิญโลกกว้าง เพียงไม่นานซ่งหลันเฉียวก็ตระหนักได้ว่าคำพูดของตัวเองไม่เหมาะสม เพียงแต่ เมื่อเขามองประเมินสีหน้าของคนผู้นั้นอย่างละเอียด เห็นว่าอีกฝ่ายยังคงเงี่ยหูตั้งใจฟังเป็นพิเศษ ซ่งหลันเฉียวถึงได้ถอนหายใจโล่งอก เป็นผู้สูงศักดิ์ในศาลบรรพจารย์ของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อของทวีปอื่นจริงๆ ด้วย ก็ถือว่าโชคดีที่ตนมีชาติกำเนิดมาจากภูเขาที่เชี่ยวชาญการผูกมิตรกับผู้อื่นอย่างสวนน้ำค้างวสันต์ หากเปลี่ยนไปเป็นเรือข้ามฟากของภูเขาใหญ่แห่งอื่นที่อยู่ในภาคกลางและภาคเหนือของอุตรกุรุทวีป แล้วมองตัวตนของอีกฝ่ายออก ไม่แน่ว่าอาจจะคิดปั่นหัวเล่น และถ้าสองฝ่าย เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา ต่างคนต่างเกิดโทสะ เวลานี้ย่อมไม่มีทางลงมือเอาให้ ถึงตาย แต่ก็ต้องหาโอกาสปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระแล้วทำลายศพและร่องรอย ของอีกฝ่าย นี่ถือเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ่อยมาก
ซ่งหลันเฉียวลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังกลืนคำเตือนที่มารออยู่ตรงปากแล้วลงไป
ลูกศิษย์สำนักใหญ่ล้วนรักในศักดิ์ศรีหน้าตา ตนอย่าวาดงูเติมขาจะดีกว่า หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายไม่เห็นความหวังดีแล้วยังอาฆาตแค้นอีกต่างหาก
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้านแล้วก็ประคองงอบ ยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสซ่ง ถึงอย่างไรข้าก็อยู่ว่างๆ รู้สึกอุดอู้ไม่น้อย จะลงไปหาอะไรทำข้างล่างสักหน่อย อาจจะกลับมาถึงสวนน้ำค้างวสันต์ดึกหน่อย ถึงเวลานั้นจะมาขอดื่มเหล้ากับผู้อาวุโสซ่ง อีกเดี๋ยวพอข้าออกไปจากเรืออาจจะส่งผลกระทบต่อค่ายกลของเรือข้ามฟากเล็กน้อย”
ซ่งหลันเฉียวอึ้งตะลึงไป รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่การกระทำของผู้ฝึกตน แต่ไหนแต่ไรมาก็มักจะทำตามอำเภอใจอยู่แล้ว ผู้เฒ่าโอสถทองจึงไม่ได้พูดอะไร ให้มากความ เพียงแค่เอ่ยประโยคอวยพรที่เป็นมงคลสองสามคำ
จากนั้นผู้ฝึกตนเฒ่าก็เห็นว่าดูเหมือนผู้ฝึกตนต่างถิ่นแซ่เฉินจะกระอักกระอ่วนเล็กน้อย
เหตุใดถึงไม่ขี่กระบี่? ต่อให้รู้สึกว่าจะสะดุดตาเกินไป แต่บังคับลมบินทะยาน จะไปยากตรงไหน?
เฉินผิงอันได้แต่ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งที เอามือข้างหนึ่งค้ำยันบนราวรั้ว พลิกกายลงไปเบื้องล่าง จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบค่ายกลของเรือข้ามฟากให้แยกออกเบาๆ แล้วลอดตัวผ่านออกไป เรือนกายเหมือนลูกธนูที่แล่นฉิวออกจากแล่ง จากนั้น สองเท้าก็คล้ายเหยียบอยู่บนยอดของแสงสีเขียวเส้นหนึ่ง งอเข่าน้อยๆ พลันเพิ่มพละกำลังกะทันหัน ร่างจึงโน้มเอียงพุ่งดิ่งลงไป อากาศรอบด้านเกิดริ้วกระเพื่อมรุนแรงพร้อมกับเสียงสะเทือนเลือนลั่น ทำเอาผู้ฝึกตนโอสถทองที่มองดูอยู่ หนังตากระตุก เจ้าตัวดี เป็นเซียนกระบี่อายุน้อยก็แล้วไปเถิด เรือนกายที่แข็งแกร่งปานนี้เหมือนจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแล้วกระมัง?
ผู้ฝึกกระบี่ชาติสุนัข!
เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง แล้วจึงหันมาโบกมืออำลา
ต่อให้ซ่งหลันเฉียวจะคิดเช่นนี้ แต่ก็ยังโบกมือตอบกลับอย่างมีมารยาท รังเกียจอีกฝ่ายไม่ลง
ผู้ฝึกตนบนภูเขา พบเจอกันด้วยดีและจากลากันด้วยดี จะมีอะไรยาก
เฉินผิงอันหยิบเอาหีบไม้ไผ่ใบหนึ่งมาสะพายไว้ด้านหลัง
เจี้ยนเซียนไม่เต็มใจจะออกจากฝัก เห็นได้ชัดว่าเกิดอาการแง่งอนเพราะศึกที่ หุบเขาผีร้ายครั้งนั้นยังไม่สาแก่ใจมากพอ
ส่วนกระบี่บินชูอีที่ชื่อเดิมคือ ‘เสี่ยวเฟิงตู’ นั้น เฉินผิงอันไม่กล้าให้มันออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ง่ายๆ อีกแล้ว
เฉินผิงอันหยิบเอาประคำแกนท้อมาสวมไว้บนข้อมือ จากนั้นก็หยิบยันต์สามแผ่นของตำหนักนภากาศมาใส่ไว้ในชายแขนเสื้อข้างซ้าย
ไม่ได้เจอกับห่านหลังทองบนยอดเขาแสงทองและกบยักษ์บนภูเขาแสงจันทร์ ถือเป็นเรื่องดี
การที่เขาเลือกเรือข้ามฟากของสวนน้ำค้างวสันต์ลำนี้มีเหตุผลหนึ่งที่แอบซ่อนไว้ ก็คือเรื่องนี้
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แล้วก็ไม่ได้รีบร้อนออกเดินทาง แต่หาสถานที่เงียบสงบแห่งหนึ่งเริ่มหลอมยันต์สายฟ้าสีทองของภูเขาจีเซียวเส้นที่ยาวที่สุด ประมาณ สองชั่วยามต่อมาเขาก็พอจะหลอมให้เป็นรูปเป็นร่างได้คร่าวๆ ในมือถือไม้เท้าเดินป่าแล้วเริ่มเดินเท้าตรงไปยังนครของแคว้นอิ๋นผิงที่อยู่ห่างไปประมาณห้าสิบหกสิบลี้
ก่อนหน้านี้จากลากับผังหลันซีที่ท่าเรือ เด็กหนุ่มมอบภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มสองชุดมาให้เขา เป็นผลงานที่ท่านปู่ทวดของเขาภาคภูมิใจมากที่สุด เรียกได้ว่า มีมูลค่าควรเมือง ภาพเทพหญิงหนึ่งชุดมีราคาประมาณหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช เป็นราคาที่สูงมาก
เพียงแต่ผังหลันซีบอกว่าเฉินผิงอันไม่ต้องจ่ายเงินซื้อ เพราะท่านปู่ทวดของเขาบอกแล้วว่า คำพูดจากใจจริงที่เจ้าเฉินผิงอันพูดในจวนก่อนหน้านี้กระจ่างชัด มีเอกลักษณ์อย่างถึงที่สุด ประหนึ่งดอกกล้วยไม้ท่ามกลางหุบเขาที่ว่างเปล่า (เปรียบเปรยว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก มักใช้บรรยายถึงลักษณะบุคลิกของคนที่สง่างาม) ไม่เหมือนคำประจบสอพลอเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันจึงทำหน้าหนารับภาพเทพหญิงสองชุดนั้นไว้ ยิ้มพูดกับผังหลันซีว่าคราวหน้าที่ย้อนกลับมายังชายหาดโครงกระดูกจะต้องมาดื่มเหล้าพูดคุยกับ ท่านปู่ทวดของเจ้าอย่างถูกคอแน่นอน
ผังหลันซีเป็นคนซื่อ บอกว่าภาพเทพหญิงสามชุดสุดท้ายที่อยู่ในมือของท่านปู่ทวดข้าล้วนไม่เหลืออยู่แล้ว สองชุดยกให้เจ้า อีกชุดหนึ่งยกให้กับบรรพจารย์ผู้คุมกฎของ ศาลบรรพจารย์ หากคิดจะใช้ถ้อยคำประจบเยินยอมาแลกเป็นสมุดภาพเติมเต็มก็คงทำให้ท่านปู่ทวดของเขาลำบากใจแล้ว
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงใจว่า ใจของท่านปู่ทวดเจ้ากว้างขวางดุจสายน้ำ คุ้นเคยกับท่วงทำนองของความศักดิ์สิทธิ์มีชีวิตชีวาของเหล่าเทพหญิงบนฝาผนัง มานานแล้ว ยามจรดพู่กันดุจมีเทพมีผีมาช่วยเหลือ นับตั้งแต่จิตใจไปถึงพู่กัน จากพู่กันไปถึงกระดาษ เทพหญิงบนกระดาษจึงมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ราวกับว่า จิตวิญญาณเชื่อมอยู่กับท่านปู่ทวดของเจ้า ทุกอย่างจึงสำเร็จราบรื่นดุจน้ำมา ลำคลองเกิด ฝีมือเลิศล้ำดั่งผลงานจากสรวงสวรรค์…
ทำเอาผังหลันซีที่ได้ฟังปากอ้าตาค้าง
แต่ตอนที่เฉินผิงอันนั่งโดยสารเรือข้ามฟากจากมาไกล เด็กหนุ่มกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์เล็กน้อย
เด็กหนุ่มอยากฟังหลักการเหตุผลที่เจ้าหมอนั่นได้มาจากการดื่มเหล้าให้มากขึ้นอีกหน่อย
ตอนนั้นที่เรือข้ามฝากจากไปไกล บรรพจารย์สำนักพีหมากำลังจ้องฝ่ามือของตัวเองนิ่ง
ผังซานหลิ่งที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะยิ้มบางๆ “สอดคล้องตรงใจข้ายิ่งนัก”
บรรพจารย์ผู้เฒ่าอดทนอยู่นานก็ยังไม่อาจสรรหาถ้อยคำที่น่าฟังอะไรออกมาได้ จึงได้แต่ถอดใจ ถามว่า “คำพูดตามมารยาทที่หาฟังได้ง่ายเช่นนี้ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ?”
ผังซานหลิ่งเลิกคิ้วข้างหนึ่ง “อยู่ในสำนักพีหมาของพวกเจ้า ข้าก็ได้ยินคำพูด พวกนี้ด้วยหรือ?”
บรรพจารย์เดือดดาลอย่างหนัก สบถด่าจอมยุทธหนุ่มผู้นั้นว่าหน้าด้านหน้าทน หากไม่เป็นเพราะท่าทีที่มีต่อสตรียังนับว่าซื่อสัตย์เที่ยงตรงอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นเขาก็คงด่าอีกฝ่ายเป็นเจียงซ่างเจินคนที่สองไปแล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันรู้แค่ว่าบรรพจารย์สำนักพีหมาและผังซานหลิ่งจะต้องใช้ วิชาอภินิหารมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือมาจับตาดูตนกับผังหลันซีอย่างแน่นอน ส่วนการที่บรรพจารย์ผู้เฒ่าจะอับอายจนพานเป็นความโกรธ เขาไม่มีทางรู้เลย
ในมือของจอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมชุดเขียวสะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่งมีเพียงไม้เท้าเดินป่า เดินอยู่บนทางเส้นเล็กของสันเขาที่เงียบสงัดในฤดูหนาว
หวังให้ภูตหนูน้อยที่เฝ้าประตูใหญ่ของตำหนักหยางฉางมีหนังสือที่อ่านได้ไม่หมดไปทั้งชีวิต สามารถไปกลับระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกได้ อย่างปลอดภัย สะพายหีบหนังสือกลับไปพร้อมผลเก็บเกี่ยวเต็มไม้เต็มมือทุกครั้ง
หวังให้ปีศาจสองตัวที่อยู่บนสะพานเหล็กแขวนตั้งใจฝึกตน อย่ากระทำความชั่ว บรรลุมรรคาของความเป็นอมตะ
หวังให้ตะพาบเฒ่าที่ได้กลับไปฟังพระธรรมในวัดอีกครั้งสามารถทำความดีชดใช้ความผิด ฝึกตนจนบรรลุผล
ไม่รู้ว่าเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกของภูเขากระจกวิเศษที่ปิดบังใบหน้าไว้หลังร่มสีเขียวมรกตจะหาชายคนรักที่จะมาช่วยถือร่มบังฝนให้นางเจอหรือไม่?
มือกระบี่โครงกระดูกขาวที่ชื่อว่าผูหรางตนนั้น นอกจากจะสวมชุดเขียว สะพายกระบี่แล้ว จะมีวันใดที่สามารถปรากฎกายในฟ้าดินด้วยรูปลักษณ์ของสตรี แล้วหัวคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันเพราะความกลัดกลุ้มจะคลายออกด้วยความสบายใจ ได้หรือไม่?
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเรื่องเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือเปล่า
ก็เหมือนกับที่เขาไม่รู้ว่า ในสายตาของผังหลันซีที่ยังไม่รู้ประสา ในสายตาของ ภูตหนูน้อย รวมไปถึงในสายตาของเฉาฉิงหล่างบัณฑิตที่อยู่ห่างไกลไปในพื้นที่มงคลดอกบัว เมื่อได้พบเจอกับเขาเฉินผิงอัน ก็เหมือนกับปีนั้นที่เฉินผิงอันยังเป็นเด็กหนุ่มแล้วได้พบเจอกับอาเหลียง ได้พบเจอกับอาจารย์ฉี