บทที่ 513 ออกกระบี่หรือไม่
ติงถงใช้สองมือจับประคองราวระเบียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าตัวเองมานั่งอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เขาถามอย่างเหม่อลอยว่า “ข้าต้องตายแล้วใช่ไหม?”
บัณฑิตชุดขาวหยิบพัดพับออกมา ยืดแขนออก ใช้พัดตีไปทั่วราวระเบียง
ติงถงหันหน้าไปมอง ตรงระเบียงชมทัศนียภาพบนชั้นสองของเรือข้ามฟาก เว่ยป๋ายแห่งจวนเถี่ยชาง เทพธิดาชิงชิงจากสวนน้ำค้างวสันต์ หญิงชราที่หน้าตาอัปลักษณ์จนทำให้คนขวัญผวา เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลทั้งหลายที่เวลาปกติ ไม่เคยถือสาในสถานะผู้ฝึกยุทธของเขา ยินดีร่ำสุราร่วมกับเขา แต่ละคนมีสีหน้า เฉยเมยเย็นชา
ทางชั้นหนึ่งของเรือ บางคนกำลังรอดูเรื่องสนุก และยังมีบางคนที่แอบหัวเราะ ใส่เขา โดยเฉพาะคนหนึ่งในนั้นยังยกนิ้วโป้งให้เขาด้วย
ติงถงหันหน้ากลับมาด้วยความสิ้นหวัง จากนั้นก็รู้สึกเฉยชา ก้มหน้าลงมอง ทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้า
บัณฑิตชุดขาวยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากหน้าต่าง จากนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เขายิ้มกล่าว “รู้หรือไม่ว่า ทำไมทั้งๆ ที่เจ้าคือเศษสวะ อีกทั้งยังเป็นตัวการชั่วร้าย แต่ข้ากลับไม่เคยลงมือกับเจ้า ทว่าผู้เฒ่าขอบเขตโอสถทองคนนั้น ทั้งๆ ที่สามารถวางตัวอยู่นอกเรื่องราว แต่ข้ากลับเลือกจะสังหารเขา?”
ติงถงส่ายหน้า พูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไร”
หลังจากเรียกกระบี่ออกมาแล้ว บัณฑิตชุดขาวก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก เขาแหงนหน้ามองไปยังทิศไกล “การกระทำความเลวอย่างง่ายๆ ของผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดคนหนึ่ง กับการตั้งใจกระทำความเลวอย่างเต็มความสามารถของ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าอย่างเจ้า ผลกระทบที่ส่งต่อฟ้าดินแห่งนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน ยิ่งเขตอิทธิพลเล็กเท่าไร ในสายตาของคนอ่อนแอ พวกเจ้าก็ยิ่งเหมือนเทพเทวดา ที่ในมือกุมอำนาจตัดสินความเป็นความตายของคนอื่นมากเท่านั้น แล้วนับ ประสาอะไรกับที่ร่างทองกระดาษเปียกผู้นั้นปากพูดว่าไร้ความแค้นต่อกัน ไม่คิดจะ ฆ่าคน ทว่าหมัดแรกเขาก็ฆ่าคนต่างถิ่นในสายตาของเขาคนนั้นไปแล้ว ทว่าเรื่องนี้ ข้าสามารถยอมรับได้ ดังนั้นจึงยินยอมให้เขาปล่อยหมัดที่สองจากใจจริง ทว่า หมัดที่สามเขากลับรนหาที่ตายแล้ว ส่วนเจ้า เจ้าต้องขอบคุณคนหนุ่มที่เรียกข้าว่าเซียนกระบี่ผู้นั้น ตอนนั้นที่เจ้าจะกระโดดลงมาจากระเบียงเพื่อขอความรู้วิชาหมัด จากข้าแล้วเขาห้ามเจ้าเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคนที่ตายจะไม่ใช่ผู้เฒ่าที่ช่วยต้านรับหายนะแทนเจ้า แต่เป็นตัวเจ้าเอง ว่ากันตามจริงแล้ว โทษของเจ้าไม่ถึงตาย แล้วนับประสาอะไรกับที่เกาเฉิงยังจงใจเก็บเจ้าไว้เพื่อทำให้ข้าสะอิดสะเอียน ไม่เป็นไร ข้าก็จะคิด ซะว่าเจ้าเองก็เป็นเหมือนข้าในปีนั้นที่ถูกคนอื่นร่ายมรรคกถาไว้ในผืนนาหัวใจ เป็นเหตุให้อารมณ์ถูกชักนำ ถึงได้ทำเรื่องที่ ‘ใจหวังเพียงความตาย’ พวกนั้น”
“เหตุผล ไม่ใช่สิ่งที่มีเพียงคนอ่อนแอเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ร้องทุกข์ระบายความไม่เป็นธรรม ไม่ใช่ถ้อยคำที่จำเป็นต้องลงไปคุกเข่าโขกหัวคำนับถึงจะเปิดปากเอ่ยได้”
สมองของติงถงขาวโพลน ฟังไม่เข้าหัวสักเท่าใด เขาแค่กำลังคิดว่า จะรอให้ กระบี่เล่มนั้นตวัดลงมาแล้วตนก็ตายไป หรือตนควรจะมีมาดของวีรบุรุษสักหน่อย กระโดดลงจากเรือ ทำตัวเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปดที่ทะยานลมดูสักครั้งดี
บัณฑิตชุดขาวไม่เอ่ยอะไรอีก
คนอย่างพวกเจ้าก็คือพวกจอมยุทธขี่ม้าที่พาตัวไปตายบนภูเขา ระหว่างทาง ก็ถือโอกาสพุ่งชนคนเดินเท้าที่เกะกะสายตาพวกเจ้าให้ตายไปคนสองคน บนเส้นทางของชีวิตคน ทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นดั่งป่าร้างชานเมืองที่ไม่มีใครรู้จัก ล้วนเป็นสถานที่ที่ดีที่จะสามารถกระทำความเลวได้
ในชนบท ในหมู่บ้าน ในยุทธภพ ในวงการขุนนาง บนภูเขา
คนแบบนี้มีมากมายจนนับไม่หวาดไม่ไหว
บิดามารดา ครูบาอาจารย์เป็นเช่นนี้ ตัวพวกเขาเองก็เป็นเช่นนี้ ลูกหลานของพวกเขาก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะขวางอย่างไรก็ขวางไว้ไม่อยู่
ตอนนั้นที่อยู่ในวัดจินตั๋วของแคว้นไหวหวง เหตุใดแม่นางน้อยถึงได้เสียใจและผิดหวัง
เพราะตอนนั้นเฉินผิงอันที่จงใจใช้สถานะบัณฑิตชุดขาว หากไม่พูดถึงตัวตนที่แท้จริงและตบะของเขา พูดถึงแค่การกระทำที่เขาแสดงออกมาบนเส้นทางสายนั้น อันที่จริงก็เหมือนกับพวกคนที่พาตัวเองไปตายบนภูเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
สิ่งที่ทำให้นางเสียใจที่สุด หาใช่ความคร่ำครึหัวโบราณของบัณฑิตอ่อนแอผู้นี้ ไม่ แต่เป็นประโยค ‘หากข้าถูกตีสลบแล้วมีคนมาขโมยหีบหนังสือของข้าไป เจ้าจะชดใช้ให้หรือ?’ คำพูดและความคิดเช่นนี้คือสิ่งที่ทำให้แม่นางน้อยคนนั้น เสียใจที่สุด ข้ามอบความปรารถนาดีให้แก่โลกและคนอื่น แต่เหตุใดคนผู้นั้นไม่เพียงแต่ไม่รับน้ำใจ กลับกันยังมอบความชั่วร้ายกลับคืนมาให้แก่นาง ความดีของแม่นางน้อยในวัดจินตั๋วดีตรงที่ ต่อให้นางจะเสียใจมากขนาดนั้น ทว่าก็ยังคงเป็นห่วง ความปลอดภัยของเจ้าคนที่ทั้งโง่และเลวผู้นั้นจากใจจริง และตอนนี้สิ่งที่เฉินผิงอันสามารถทำได้ก็มีเพียงแค่บอกกับตัวเองว่า ‘การทำดีทำเลว เป็นเรื่องในบ้านของตัวเอง’ ดังนั้นเฉินผิงอันจึงรู้สึกว่านางดีกว่าตนเยอะมาก และยิ่งสมควรถูกเรียกว่า คนดี
บัณฑิตชุดขาวเงียบงันไม่เอ่ยคำใด ทั้งกำลังรอให้ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาที่จากไปย้อนกลับคืนมา แล้วก็กำลังรับฟังเสียงในหัวใจของตัวเอง
แผนการถามหัวใจของเกาเฉิงไม่ถือว่าสูงส่งนัก
ทว่าแผนการที่โจ่งแจ้งของเขากลับทำให้คนต้องหันมามองเขาเสียใหม่
บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับยันไว้ที่หัวใจ พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ครั้งนี้ที่ไม่ทันได้ตั้งตัว เกี่ยวอะไรกับสำนักพีหมาด้วย? แม้แต่ข้าก็ยังรู้ว่าการพานโกรธสำนักพีหมาเช่นนี้ ไม่ใช่นิสัยของข้า ทำไม จะยอมให้แค่พวกมดตัวน้อยใช้ลูกไม้ที่เจ้ามองออกทะลุ ปรุโปร่งฝ่ายเดียวเท่านั้น แต่พอเกาเฉิงอยู่เหนือการควบคุมของเจ้าไปเล็กน้อย เจ้าก็รับความอึดอัดใจแค่นี้ไม่ไหวแล้ว? ผู้ฝึกตนที่เป็นอย่างเจ้า การฝึกตนฝึกจิตใจอย่างเจ้า ข้าว่าก็ไม่ได้ดีไปกว่าคนอื่นสักเท่าไร จงเป็นมือกระบี่ของเจ้าไปเสียดีๆ เถอะ เซียนกระบี่นั้นก็อย่าหวังเลย”
จู๋เฉวียนใช้ริ้วคลื่นในใจบอกกับเขาว่าให้ขี่กระบี่ไปพบกันในจุดลึกของทะเลเมฆ หากร่ายวิชาอภินิหารตัดขาดฟ้าดินบนเรือข้ามฟากอีกครั้ง พลังต้นกำเนิดของ คนธรรมดาที่อยู่บนเรือคงถูกลดทอนจนสลายหายไปหมด เมื่อลงจากเรือข้ามฟาก ก็เพียงขี่กระบี่ตรงไปทางทิศใต้สิบลี้
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืน ก้าวออกไปหนึ่งก้าว แสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งก็พุ่งดิ่งลงมาจากฟากฟ้า แล้วมาหยุดลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาพอดี ทั้งคนและกระบี่หายวับไปพร้อมกันในชั่วพริบตา
ท่ามกลางทะเลเมฆ นอกจากจู๋เฉวียนและบรรพจารย์สองท่านของสำนักพีหมาแล้ว ยังมีนักพรตเฒ่าแปลกหน้าอีกหนึ่งคน รูปแบบชุดคลุมเต๋าที่เขาสวมใส่เป็นแบบที่ เฉินผิงอันไม่เคยเห็นมาก่อน น่าจะไม่อยู่ในสามสาย แล้วก็ไม่ใช่นักพรตของ จวนเทียนซือตำหนักมังกรพยัคฆ์ด้วย
ในขณะที่เฉินผิงอันขี่กระบี่มาหยุดลอยตัว นักพรตวัยกลางคนผู้หนึ่งก็แหวกทะเลเมฆจากทิศไกล ก้าวยาวๆ มาถึง หดย่อขุนเขาสายน้ำ ระยะทางบนทะเลเมฆหลายลี้ แค่สองก้าวก็มาถึง
นักพรตวัยกลางคนพูดเสียงหนัก “จัดวางค่ายกลเรียบร้อยแล้ว ขอแค่เกาเฉิง กล้าใช้วิชาอภินิหารมองผ่านฝ่ามือมาลอบฟังพวกเรา ก็คงต้องเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ กันบ้าง”
สีหน้าจู๋เฉวียนกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ยังคงเอ่ยว่า “ไม่สามารถค้นพบเบาะแสที่เกาเฉิงทิ้งไว้บนร่างของผู้ฝึกยุทธคนนั้น คือความผิดของข้าเอง”
นักพรตเฒ่าลังเลเล็กน้อย เห็นว่าบรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านหนึ่งของสำนักพีหมา ที่ยืนอยู่ข้างกายส่ายหน้า นักพรตเฒ่าจึงไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวว่า “เป็นข้าที่แพ้ให้เกาเฉิงเอง ถูกเขาปั่นหัวครั้งหนึ่ง จะโทษคนอื่นไม่ได้”
จู๋เฉวียนยังคงอุ้มแม่นางน้อยชุดดำไว้ในอ้อมอก เพียงแต่ว่าเวลานี้แม่นางน้อยชุดดำหลับสนิทไปแล้ว
จู๋เฉวียนบอกไปตามตรงอย่างไม่ปิดบัง นางกล่าวอย่างชัดเจนว่า “ก่อนหน้านี้หลังจากที่พวกเราจากไป อันที่จริงก็คอยจับตามองความเคลื่อนไหวบนเรือข้ามฟากอยู่ตลอดเวลา เพราะกลัวจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น ผลคือกลัวอะไรก็เจออย่างนั้นจริงๆ บทสนทนาระหว่างเจ้ากับเกาเฉิง พวกเราล้วนได้ยินแล้ว ตอนที่เกาเฉิง สลายเศษซากดวงวิญญาณออกไป แม่นางน้อยก็เรอออกมาครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มี ควันเขียวกลุ่มหนึ่งลอยออกมาจากปากของนาง ไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธคนนั้น น่าจะเป็นเพราะเขาเล่นตุกติกกับกุยหลิงเกา ยังดีที่ครั้งนี้ข้าสามารถรับรองกับเจ้าได้ว่า นอกจากเกาเฉิงที่อยู่ในนครจิงกวานอาจจะมองพวกเราผ่านฝ่ามือแล้ว
เรื่องอื่นๆ ข้าจู๋เฉวียนรับประกันกับเจ้าได้เลยว่า อย่างน้อยที่สุดบนร่างของ แม่นางน้อยก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ อีกแล้ว”
นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ทว่ากลับทำให้คนสัมผัสถึงนัยเยาะหยันได้มากกว่าเดิม “เพื่อคนคนเดียว ถึงขั้นไม่สนใจชายหาดโครงกระดูกและตลอดทั้งแถบทิศใต้ของอุตรกุรุทวีป หากเจ้าเฉินผิงอันชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสีย ผ่านการใคร่ครวญมาเนิ่นนาน จากนั้นก็ทำตามแผนที่วางไว้ ข้าผู้เป็นนักพรตที่เป็น คนนอกก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก แต่เจ้ากลับดีนัก ไม่มีหยุดยั้งลังเลเลยแม้แต่น้อย”
คำพูดของเฉินผิงอันกลับเกือบจะทำให้ทะเลสาบในหัวใจของนักพรตวัยกลางคนผู้นั้นเกิดคลื่นโถมตัว “มรรคกถาของเจ้าไม่ค่อยลึกล้ำสักเท่าไร”
นักพรตวัยกลางคนหลุดหัวเราะพรืด “ในเมื่อเจ้ามีน้ำใจมีคุณธรรมมากขนาดนี้ อยู่ดีไม่ว่าดีก็เก็บภูตน้ำน้อยมาจากข้างทาง อีกทั้งยังตัดใจมอบสมบัติหนักให้นางได้ หากข้าเป็นคนเลว ได้มาเจอกับเจ้า ก็ถือเป็นโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเลยจริงๆ”
นักพรตเห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวที่สวมชุดคลุมอาคมสองชิ้นผู้นั้นหยิบพัดพับออกมาตีศีรษะตัวเองเบาๆ “เจ้ามีขอบเขตสูงกว่าตู้เม่าหรือ?”
นักพรตวัยกลางคนหัวเราะหยันเสียงเย็นชา “แม้ข้าจะไม่รู้เรื่องวงในอย่างละเอียดที่แท้จริง แต่ตอนนี้เจ้าเพิ่งจะมีขอบเขตเท่าไรเอง คิดดูแล้วปีนั้นคงจะยิ่งแย่กว่านี้ เผชิญหน้ากับขอบเขตบินทะยานคนหนึ่ง เจ้าเฉินผิงอันสามารถรอดพ้นหายนะมาได้ ก็ไม่ใช่เพราะอาศัยที่พึ่งที่อยู่ในมุมมืดนั่นหรอกหรือ? มิน่าเล่าถึงกล้าข่มขู่เกาเฉิง ป่าวประกาศว่าจะมอบความประหลาดใจให้แก่นครจิงกวานหุบเขาผีร้าย ต้องให้ข้า ผู้เป็นนักพรตช่วยปล่อยกระบี่บินส่งข่าวข้ามทวีปไปให้เจ้าหรือไม่?”
บัณฑิตชุดขาวยิ้มตาหยี “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคนอย่างเจ้า ที่พึ่งของข้าไม่คิดจะมองให้เต็มๆ ตาเลยด้วยซ้ำ? เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่เล่า?”
นักพรตวัยกลางคนสีหน้ามืดทะมึน แต่จากนั้นก็คลี่ยิ้มอย่างสง่างาม “ไม่โมโห ก็แค่เห็นหน้าเด็กอย่างเจ้าแล้วไม่ถูกชะตาเท่านั้น ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งๆ กลางๆ ที่ถูกเกาเฉิงมองเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน ที่พึ่งก็คงร้ายกาจไม่เบา บวกกับที่เจ้าอายุยังน้อยแค่นี้ก็มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีกลอุบายลึกล้ำ เกาเฉิงสายตาไม่เลว มองคนถูกจริงๆ เจ้าเองก็ไม่แย่ สามารถพูดคุยแย้มยิ้มกับวิญญาณวีรบุรุษที่เป็นประมุขร่วมแห่งหุบเขาผีร้ายอย่างเกาเฉิงได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไปว่ามีคนที่มอบเหล้าให้เกาเฉิงหนึ่งกา แล้วเกาเฉิงยังยอมดื่มจนหมด ชื่อเสียงของเจ้าเฉินผิงอันที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปคง แพร่สะพัดไปทั่วสำนักบนภูเขาทุกหนแห่งภายในค่ำคืนเดียว”
บัณฑิตชุดขาวร้องอ้อหนึ่งที ใช้พัดพับตีฝ่ามือตัวเอง “เจ้าหุบปากได้แล้ว ข้าก็แค่เห็นแก่หน้าเจ้าสำนักจู๋ ถึงได้มีมารยาทกับเจ้า ตอนนี้เจ้าใช้สิทธิ์ที่จะพูดคุยกับข้าหมดแล้ว”
นักพรตวัยกลางคนยิ้มบางๆ “มาประลองฝีมือกันดีหรือไม่เล่า? เจ้าคิดว่าตัวเองต่อสู้เก่งนักไม่ใช่หรือ?”
บัณฑิตชุดขาวเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเห็นแก่น้ำชาดอกท้อพันปีถ้วยนั้นของอาจารย์เจ้า ข้าจะพูดกับเจ้าเพิ่มอีกหนึ่งประโยค”
นักพรตวัยกลางคนรออยู่ครู่หนึ่ง
ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นไม่เอ่ยอะไร มีเพียงสายตาเวทนาที่มองมายังเขา
นักพรตพลันกระจ่างแจ้ง คำที่บอกว่าจะพูดเพิ่มอีกหนึ่งประโยค ก็คือแค่ หนึ่งประโยคนั้นจริงๆ
จู๋เฉวียนรู้สึกเป็นกังวลเล็กน้อย
นางกลัวจริงๆ ว่าสองคนนี้คุยกันต่อไปแล้วจะเริ่มม้วนชายแขนเสื้อต่อยตีกัน ถึงเวลานั้นไม่ว่าตนจะช่วยใครก็ล้วนไม่ดี แต่หากไม่ช่วยใครเลยก็ไม่ใช่นิสัยของนางอีก หรือว่าจะทำเป็นพูดเกลี้ยกล่อม จากนั้นก็ซัดพวกเขากันคนละทีสองที? เรื่องต่อยตีนั้นนางจู๋เฉวียนถนัด แต่หากจะให้ห้ามทัพกลับไม่ถนัดเอาเสียเลย หากจะพลั้งมือทำให้ใครเจ็บตัวไปบ้างก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
นักพรตเฒ่าเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่เป็นไร สำหรับเฉินผิงอันผู้นั้นและลูกศิษย์ของข้า คนนี้ ล้วนถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น”
จู๋เฉวียนถอนหายใจ เอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ในเมื่อเจ้าพอจะเดาออกแล้ว ข้าก็คง ไม่แนะนำให้มากความแล้ว ยอดฝีมือลัทธิเต๋าทั้งสองท่านนี้ล้วนมาจากอาราม เสวียนตูเล็กแห่งหุบเขาผีร้าย ครั้งนี้ถูกพวกเราเชื้อเชิญให้ออกมาจากภูเขา เจ้าเอง ก็รู้ว่าสำนักพีหมาของพวกเรานั้น เรื่องรบราฆ่าฟันยังถือว่าพอใช้ได้ แต่หากจะให้รับมือกับแผนการชั่วร้ายของเกาเฉิง ยังจำเป็นต้องขอให้ยอดฝีมือลัทธิเต๋าอย่าง เจ้าอารามคอยช่วยจับตาให้”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เอ่ยอะไร
นักพรตเฒ่าจากอารามเสวียนตูเล็กผู้นี้ หากอิงตามคำบอกของเจียงซ่างเจิ น ก็น่าจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาชั่วคราวให้แก่หยางหนิงซิ่ง
คืนนั้นที่ริมหน้าผาสะพานเหล็ก เจ้าอารามที่มีหวังว่าจะได้ครองตำแหน่งเทียนจวินผู้นี้คอยเฝ้าอยู่ทั้งคืน นั่นก็เพราะกลัวว่าตนจะสังหารหยางหนิงซิ่งไปโดยตรง
ส่วนน้ำชาดอกท้อพันปีที่ฝากให้เทพเกราะทององค์หนึ่งนำความมาบอกนั้น สรุปแล้วเป็นเพราะความสนใจที่เกิดขึ้นชั่วครู่ชั่วยามของเจินจวินลัทธิเต๋าท่านนี้ หรือเป็น วิถีการรับรองแขกที่ไม่ต่างจากเกาเฉิงสักเท่าไร เนื่องจากเฉินผิงอันไม่ค่อยรู้เรื่องของอารามเสวียนตูเล็กมากนัก เส้นสายที่มีน้อยเกินไป จึงยังเดาจุดประสงค์ที่แท้จริงของอีกฝ่ายไม่ออกไปชั่วขณะ
เฉินผิงอันมองแม่นางน้อยที่อยู่ในอ้อมอกของจู๋เฉวียน แล้วเอ่ยกับจู๋เฉวียนว่า “อาจต้องรบกวนเจ้าสำนักจู๋อีกเรื่อง ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจสำนักพีหมาและเจ้าอาราม แต่เป็นเพราะข้าไม่เชื่อใจเกาเฉิง ดังนั้นหลังจากสำนักพีหมาใช้เรือข้ามฟากนำ แม่นางน้อยไปส่งที่เขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ยังต้องรบกวนให้ช่วยแจ้งแก่ เว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นสักคำว่า ให้เขาช่วยข้าตามหาคนที่ชื่อชุยตงซาน บอกว่า ข้าสั่งให้ชุยตงซานกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วทันที ให้เขามาตรวจสอบดวงวิญญาณของ แม่นางน้อยอย่างละเอียด”
เฉินผิงอันเชื่อใจผู้ฝึกตนสำนักพีหมา แต่เจ้าอารามเสวียนตูน้อยที่อบรมสั่งสอน ลูกศิษย์ให้ออกมาเป็นคนอย่างสวีส่ง บวกกับลูกศิษย์อย่างก่อกำเนิดที่นิสัยไม่ค่อยดีและสมองก็ยิ่งไม่ดีตรงหน้านี้ เขาไม่ค่อยเชื่อใจสักเท่าไรจริงๆ
นักพรตวัยกลางคนขมวดคิ้ว
เขาเคยได้ยินชื่อของเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นมาก่อน เขาคือองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือ มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ตอนนี้ในอาณาเขตขุนเขาเหนือของต้าหลีก็ได้เริ่มมีลางของความมงคลบางอย่างปรากฏขึ้นแล้ว
จู๋เฉวียนเป็นคนโผงผาง นางกล่าวไปตามตรงว่า “ชุยตงซานผู้นี้ใช้ได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดเนิบช้า “หากเขาใช้ไม่ได้ ก็ไม่มีใครที่ใช้ได้แล้ว”
ผู้เฒ่าลัทธิเต๋าเจ้าอารามยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำอะไรต้องให้มั่นคงสักหน่อย ข้าผู้เป็นนักพรตกล้าพูดแค่ว่า หลังจากทำอย่างสุดความสามารถแล้วก็ยังไม่พบเบาะแสใดๆ บนร่างของแม่นางน้อยคนนี้ แต่หากเกิดความผิดพลาดเสี้ยวหนึ่งท่ามกลางความระมัดระวังรอบคอบอย่างเต็มที่แล้ว ถ้าอย่างนั้นผลลัพธ์ที่ตามมา ย่อมร้ายแรง มีคนมาช่วยกันตรวจสอบเพิ่มก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ท่านเจ้าอารามมีจิตใจกว้างขวาง”
นักพรตเฒ่าเพียงยิ้มรับ
จู๋เฉวียนเห็นว่าพูดคุยกันไปได้พอสมควรแล้ว จู่ๆ นางก็พลันเอ่ยว่า “ท่านเจ้าอาราม พวกท่านกลับไปกันก่อนได้เลย ข้าขออยู่พูดคุยกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวสักหน่อย”
นักพรตวัยกลางคนเก็บค่ายกลทะเลเมฆกลับคืนมา
อย่างอื่นไม่พูดถึง ลำพังเพียงแค่ฝีมือของนักพรตผู้นี้ก็ได้ทำให้เฉินผิงอันตระหนักถึงความลี้ลับและความอำมหิตของเวทคาถาบนภูเขาอีกครั้งหนึ่งแล้ว
ที่แท้การที่คนผู้หนึ่งร่ายวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือก็อาจเป็นการชักนำ เปลวเพลิงมาไหม้ตัวได้
สองอาจารย์และศิษย์จากอารามเสวียนตูเล็ก และบรรพจารย์สองท่านของ สำนักพีหมาต่างก็ทะยานลมลงใต้จากไปก่อน
จู๋เฉวียนพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “ลูกศิษย์ใหญ่คนนั้นของเจ้าอาราม เป็นคนชอบพูดจาระคายหูคนฟังมาโดยตลอด ข้ารำคาญเขาไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว แต่ก็ไม่อาจลงมือ กับเขาได้ ทว่าคนผู้นี้เชี่ยวชาญการประลองเวทอย่างมาก ความสามารถที่เป็น สมบัติก้นกรุของอารามเสวียนตูเล็ก ว่ากันว่าเขาเรียนรู้ไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปสนใจเขา วันใดที่ขอบเขตสูงขึ้นแล้วค่อยซ้อมเขาให้ปางตายก็พอ”
เฉินผิงอันเก็บพัดพับลงไป ขี่กระบี่บินมาหยุดข้างกายจู๋เฉวียนแล้วยื่นมือออกมา จู๋เฉวียนจึงส่งตัวแม่นางน้อยให้กับเซียนกระบี่หนุ่ม พูดสัพยอกว่า “ผู้ชายตัวโตๆ คนหนึ่งอย่างเจ้าก็อุ้มเด็กเป็นด้วยหรือ? ทำไม เรียนรู้มาจากเจียงซ่างเจินงั้นรึ คิดว่าวันหน้าเมื่ออยู่ในยุทธภพ อยู่บนภูเขา จะอาศัยกลยุทธเดินบนคมกระบี่นี้มาหลอกพวกสตรี?”
เฉินผิงอันทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิ อุ้มแม่นางน้อยไว้ในอ้อมอก มีเสียงกรนน้อยๆ ดังมาให้ได้ยิน เฉินผิงอันหัวเราะ บนใบหน้ามีรอยยิ้ม และในดวงตาก็มีความอาดูรนิดๆ “ตอนที่ข้าอายุยังไม่มาก ต้องอุ้มเด็ก หยอกเด็ก เลี้ยงเด็กอยู่ทุกวัน”
จู๋เฉวียนชำเลืองตามองคนหนุ่ม ดูจากท่าทางแล้ว น่าจะเป็นเรื่องจริง
จู๋เฉวียนนั่งอยู่บนทะเลเมฆ ดูเหมือนว่ากำลังลังเลว่าจะเปิดปากพูดดีหรือไม่ นี่เป็นเรื่องที่แทบไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้าขึ้น แต่กลับพูดเนิบช้าราวกับเดาความคิดในใจของนางออก “ข้ารู้สึกมาโดยตลอดว่าเจ้าสำนักจู๋ถึงจะเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในชายหาดโครงกระดูก เพียงแต่เจ้าคร้านจะคิดคร้านจะทำก็เท่านั้น”
จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็เข้าใจแล้ว ข้าเชื่อเจ้า”
จากนั้นจู๋เฉวียนก็ยิ้มกล่าวว่า “แต่บทสนทนาที่บ้างก็จริงบ้างก็เท็จระหว่างเจ้า กับเกาเฉิง แม้แต่ข้าที่คุ้นเคยกับเจ้าก็ยังเกิดความเคลือบแคลง แล้วนับประสาอะไร กับเจ้าอารามผู้เฒ่าที่ไม่สนิทกับเจ้า กับลูกศิษย์ใหญ่ของเขาที่ฝึกแต่พละกำลัง แต่ไม่ฝึกฝนจิตใจผู้นั้น”
เฉินผิงอันเอ่ย “คำพูดช่วงแรกเริ่มสุดล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ข้าได้เตรียมใจสำหรับผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว นั่นคือแม่นางน้อยตายอยู่บนเรือ ข้าปกป้องนางไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ได้แต่แก้แค้น ง่ายดายเท่านี้เอง ส่วนช่วงหลังนั้น ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ก็แค่หยั่งเชิงกันไปมา ทั้งสองฝ่ายต่างก็พยายามมองให้เห็นเส้นทางในหัวใจของฝ่ายตรงข้ามให้มากขึ้นอีกหน่อย เกาเฉิงเองก็เป็นกังวลเหมือนกัน เขามองดูข้า มาตลอดทาง ผลกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เขาเห็นล้วนเป็นสิ่งที่ข้าจงใจทำให้เขาดู เขากลัวว่าแพ้มาสองครั้งแล้วจะยังต้องแพ้อีก แม้แต่ความคิดที่จะแย่งชิงเสี่ยวเฟิงตูเล่มนั้นไปก็ยังไม่เหลืออยู่แล้ว จะว่าไปแล้ว อันที่จริงนี่ก็เป็นแค่การแข่งขันชะคักเย่อเล็กๆ บนหัวใจเท่านั้น”
เฉินผิงอันเอามือข้างหนึ่งออกมา ใช้นิ้วดีดลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอวเบาๆ กระบี่บินชูอีค่อยๆ บินออกมาด้านนอก แล้วหยุดลอยนิ่งอยู่บนไหล่ของเฉินผิงอัน หาได้ยากที่มันจะเชื่องและอ่อนโยนถึงเพียงนี้ เฉินผิงอันกล่าวเสียงเรียบเฉยว่า “คำพูดบางอย่างของเกาเฉิงก็ย่อมต้องเป็นความจริง ยกตัวอย่างเช่นที่บอกว่ารู้สึกว่าข้าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกับเขา คงเป็นเพราะคิดว่าพวกเราต่างก็อาศัยการเดิมพันครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องค่อยๆ เหยียดกระดูกสันหลังที่เกือบจะถูกทับให้งอถูกทับให้แตกขึ้นมาทีละนิด จากนั้นยิ่งเดินก็ยิ่งขึ้นสู่จุดสูง ก็เหมือนที่เจ้าเคารพนับถือเกาเฉิง แต่หากจะฆ่าเขากลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ต่อให้เกาเฉิงสูญเสียแค่หนึ่งจิต หนึ่งวิญญาณ เจ้าสำนักจู๋ก็ยังรู้สึกว่าติดค้างน้ำใจที่ใหญ่เทียมฟ้ากับข้าเฉินผิงอัน ส่วนข้าเองก็ใช่ว่าจะมองไม่เห็นความแข็งแกร่งในด้านต่างๆ ของเขาเพียงเพราะเขาเป็นศัตรูคู่อาฆาตของตัวเอง”
จู๋เฉวียนอืมรับหนึ่งที “ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แยกแยะแต่ละเรื่องออกจากกัน จากนั้นควรทำอย่างไรก็ทำไปอย่างนั้น เรื่องลับหลายอย่างของสำนัก ข้าไม่อาจ นำมาบอกแก่คนนอกอย่างเจ้าได้ แต่สรุปก็คือผีอย่างเกาเฉิงผู้นี้ ไม่ธรรมดา ยกตัวอย่างเช่นว่าหากวันใดข้าจู๋เฉวียนสามารถสังหารเกาเฉิงได้อย่างสิ้นซาก ย่ำนคร จิงกวานจนแหลกเละ ข้าเองก็จะต้องเอาสุราดีๆ กาหนึ่งมาดื่มคารวะเกาเฉิงที่อดีตคือพลทหารราบ แล้วค่อยคารวะเจ้านครจิงกวานคนปัจจุบัน สุดท้ายคารวะเขาเกาเฉิง ที่ช่วยขัดเกลาจิตแห่งการฝึกตนให้แก่สำนักพีหมาของพวกเรา”
เฉินผิงอันกล่าว “ไม่รู้ว่าทำไม วิถีทางโลกใบนี้มักจะมีคนที่รู้สึกว่าการแยกเขี้ยวกางเล็บใส่คนเลวทุกคนคือเรื่องที่ดีมากๆ เรื่องหนึ่ง แล้วก็ยังมีคนมากมายขนาดนั้นที่เวลาควรถามใจตัวเองกลับไปพิจารณาปัญหา และเวลาที่ควรพิจารณาปัญหากลับ ถามใจตัวเอง”
จู๋เฉวียนคิดแล้วก็ตบบ่าเฉินผิงอันหนักๆ “เอาเหล้ามา ต้องสองกา ต้องมากกว่าเกาเฉิงถึงจะได้! ดื่มเหล้าแล้ว ข้าจะพูดถ้อยคำจากใจจริงที่มหัศจรรย์จนเกินบรรยายกับเจ้าสองสามประโยค!”
เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา ล้วนยกให้จู๋เฉวียนทั้งหมด ก่อนเอ่ยเตือนเบาๆ ว่า “เวลาดื่มเหล้า จำไว้ว่าต้องสลายกลิ่นเหล้าให้หมด ไม่อย่างนั้นนางอาจตื่นขึ้นมา ถึงเวลานั้นหากเห็นข้าก็คงต้องเกลี้ยกล่อมกันอีกนานกว่านางจะยอมไปที่ ชายหาดโครงกระดูก แม่นางน้อยคนนี้อยากดื่มเหล้าของข้ามานานแล้ว เรื่องของ กุยหลิงเกานั่น เจ้าสำนักจู๋บอกกับนางตรงๆ เลยก็ได้ อันที่จริงแม่นางน้อยใจกล้ามาก ไม่มีความคิดชั่วร้ายซ่อนอยู่แม้แต่น้อย”
จู๋เฉวียนกระดกเหล้าหนึ่งกาดื่มรวดเดียวหมด เหล้าในกาไม่เหลือสักหยด
เพียงแต่ว่านางแหงนหน้าดื่มเหล้า ท่วงท่าองอาจผึ่งผาย ไม่มีความพิถีพิถันเลยแม้แต่น้อย สุราที่หกเสียไปอย่างน้อยก็ต้องมีสองส่วน
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้าสำนักจู๋ นิสัยการดื่มเหล้าเช่นนี้ของเจ้า ต้องเปลี่ยนเสียหน่อยแล้วจริงๆ นะ ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าต้องเคารพฟ้าดินแบบนี้ ด้วยหรือ?”
จู๋เฉวียนหัวเราะฉุนๆ “ยกเหล้าให้ข้าแล้ว ยังจะมาคอยควบคุมข้าอีกหรือ?”
เฉินผิงอันมองไปยังทิศไกล ยิ้มกล่าวว่า “หากสามารถเป็นเพื่อนกับเจ้าสำนักจู๋ได้ ย่อมดีมาก แต่หากจะต้องทำการค้าร่วมกัน คงต้องร้องไห้จนตายแน่”
สีหน้าจู๋เฉวียนกลับคืนมาเป็นปกติ พูดอย่างค่อนข้างจริงจังว่า “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่ใช่การอยู่ร่วมกับโลกใบนี้ได้อย่างมีความสุข ต่อให้เขาจะสามารถเป็นดั่งนกกระเรียนในฝูงไก่ที่โดดเด่นเหนือใครก็ตาม แต่เป็นว่า นอกจากการพิสูจน์มรรคามีชีวิตที่เป็นอมตะแล้ว เขาได้เปลี่ยนแปลงวิถีแห่งโลกใบนี้ไปมากน้อยเท่าไร…หรือหากจะให้เอ่ยถ้อยคำแล้งน้ำใจของบนภูเขา ไม่ว่าผลลัพธ์ จะดีหรือเลว ไม่ว่าจะเกี่ยวข้องกับจิตใจที่ดีหรือชั่วของมนุษย์ ขอแค่สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีทางโลกได้มากมาย เขาก็คือผู้แข็งแกร่ง ข้อนี้ พวกเราต้องยอมรับ!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หลังจากยอมรับว่าพวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งแล้ว ยังต้องกล้าออกหมัดใส่พวกเขา นั่นต่างหากจึงจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง”
จู๋เฉวียนพยักหน้ารับ นางเปิดผนึกดินออก การดื่มเหล้าครั้งนี้นางเริ่มมัธยัสถ์ อดออมแล้ว เพียงแค่ดื่มคำเล็กๆ เท่านั้น หาใช่ว่านางเปลี่ยนนิสัยได้จริง แต่นางเป็นอย่างนี้มาโดยตลอด
ยามที่มีสุรามาก ก็ดื่มอย่างเต็มคราบ แต่ยามที่สุราน้อย ต้องค่อยๆ จิบ
เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มให้จู๋เฉวียน “อันที่จริงลูกศิษย์คนหนึ่งของข้าก็เคยพูดประโยคที่มีความหมายใกล้เคียงกับเจ้าสำนักจู๋ เขาบอกว่า ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงของหนึ่งแคว้น ไม่ใช่ว่าต้องมีความสามารถในการปกปิดความผิด แต่ต้องมีความสามารถในการแก้ไขความผิด”
จู๋เฉวียนยิ้มกล่าว “เรื่องของด้านล่างภูเขา ข้าไม่สนใจ ชีวิตนี้แค่รับมือกับเกาเฉิงของหุบเขาผีร้ายคนเดียวก็มากพอให้ข้าดื่มเหล้าหนึ่งกาแล้ว แต่วันหน้าตู้เหวินซือและผังหลันซีที่อยู่ในสำนักพีหมาจะต้องทำได้ดีกว่าข้าแน่นอน เจ้าสามารถตั้งตารอ ได้เลย”
จู๋เฉวียนพ่นลมหายใจออกมาหนักๆ ถามว่า “คำพูดบางอย่างพูดออกมา แล้วจะทำให้คนฟังรู้สึกแย่ แต่ข้าก็ยังจะถามอยู่ดี ไม่อย่างนั้นเก็บกลั้นไว้ในใจย่อม อึดอัด แทนที่จะให้ข้าอึดอัดอยู่คนเดียว ก็ไม่สู้ให้เจ้าอึดอัดไปด้วยกัน ไม่อย่างนั้น ต่อให้ข้าดื่มเหล้าไปมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์กับผายลมอะไรเลย เจ้าบอกว่า เจ้าสามารถมอบความประหลาดใจให้แก่นครจิงกวานได้ เรื่องนี้เจ้าพูดในช่วงต้นๆ แสดงว่าเป็นความจริง แน่นอนว่าข้าเดาไม่ออกว่าเจ้าจะทำอย่างไร แล้วข้าก็ไม่สนใจด้วย ถึงอย่างไรหากเป็นเจ้า อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่เรื่องของการลงมือทำอะไร สักอย่างนั้น กลับทำได้มั่นคงอย่างมาก อำมหิตต่อคนอื่น แต่กลับอำมหิตต่อตัวเองมากที่สุด เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าจะไปโทษที่นักพรตแห่งอารามเสวียนตูผู้นั้นกังวลว่า เจ้าจะกลายเป็นเกาเฉิงคนที่สองหรือจะกลายเป็นพันธมิตรกับเกาเฉิงไม่ได้หรอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “สามารถเข้าใจความคิดที่เหมือนอารมณ์ความรู้สึกทั่วไปของมนุษย์เช่นนี้ได้ แต่ข้าไม่อาจยอมรับได้”
จู๋เฉวียนถามอย่างตรงไปตรงมา “ถ้าอย่างนั้นตอนนั้นที่เกาเฉิงใช้เรื่องของกุยหลิงเกามาขู่ให้เจ้าเอากระบี่บินเล่มนี้ออกมา เขาก็หลอกเจ้าได้จริงๆ สินะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ใช่แล้ว ดังนั้นวันหน้านอกจากเรื่องของ วิชาอภินิหารในด้านการเข่นฆ่าของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบแล้ว ข้ายังต้องคิดให้มากขึ้นอีกหน่อย”
จู๋เฉวียนซักถาม “ถ้าอย่างนั้นระหว่างชูอีกับแม่นางน้อย เจ้าสามารถตัดสินใจเด็ดขาดได้ในทันทีว่าจะสละทิ้งชูอี แล้วเลือกช่วยแม่นางน้อย?”
เฉินผิงอันยังคงพยักหน้า “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? แม่นางน้อยตายไป ข้าจะไปหานางได้จากที่ไหนอีก? ส่วนชูอี ต่อให้เกาเฉิงไม่ได้หลอกข้า แต่มีความสามารถจะแย่งกระบี่บินแล้วโยนไปยังนครจิงกวานโดยตรงได้จริงๆ แล้วจะอย่างไรเล่า?”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง ยกยิ้มแปลกตา “รู้หรือไม่ ตอนนั้นข้าหวังให้เกาเฉิงเอา กระบี่บินไปได้มากแค่ไหน? เพื่อที่ข้าจะได้ทำเรื่องเรื่องหนึ่งที่ตลอดหลายปีมานี้ ข้าผ่านความเป็นความตายมามากมาย แต่ก็ยังไม่เคยได้ทำเลยสักครั้ง เรื่องที่ข้า ไม่เคยทำ แต่กลับเป็นเรื่องที่คนทั้งบนและล่างภูเขาต่างก็ชอบกันมาก แล้วก็คิดว่า เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินมากด้วย!”
เฉินผิงอันใช้นิ้วคลึงหว่างคิ้ว พอหัวคิ้วคลายตัวออกแล้ว เขาก็มอบแม่นางน้อยที่อยู่ในอ้อมอกคืนให้กับจู๋เฉวียนด้วยท่วงท่าอ่อนโยน แล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ สะบัดข้อมือ ชายแขนเสื้อสองข้างก็ม้วนขึ้นอย่างรวดเร็ว
เฉินผิงอันยืนอยู่บนเจี้ยนเซียน ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆกว้างใหญ่ไพศาล
สายตาของเฉินผิงอันฉายประกายเร่าร้อน “หากเกาเฉิงใช้ทุกวิธีการทั้งหมดที่มี จนกระทั่งเขาเอากระบี่บินชูอีไปได้จริงๆ ข้าเฉินผิงอันก็ไม่มีทางเลือกใดๆ อีกแล้ว นี่เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมากเรื่องหนึ่ง เจ้าสำนักจู๋ เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าจะทำอย่างไร?”
จู๋เฉวียนอุ้มแม่นางน้อยลุกขึ้นยืนแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเดาไม่ออกหรอก”
เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นพูดเจื้อยแจ้วว่า “อันดับแรกข้าจะบอกให้คน คนหนึ่งที่ชื่อหลี่เอ้อร์ เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง ให้เขาคืนน้ำใจที่ติดค้างข้า เร่งเดินทางมายังชายหาดโครงกระดูก ข้าจะให้ลูกศิษย์ที่ตอนนี้ยังเป็นแค่ก่อกำเนิด คนนั้นของข้าข้ามทวีปเร่งเดินทางมายังชายหาดโครงกระดูก มาช่วยคลายทุกข์ให้แก่อาจารย์ของเขา ข้าจะไปขอร้องคนอื่น เป็นครั้งแรกที่ข้าเฉินผิงอันขอร้องคนอื่น ในรอบหลายปีที่ผ่านมานี้! ข้าจะขอร้องให้ผู้เฒ่าที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบซึ่งยืนอยู่บนยอดเขาของวิถีวรยุทธคนนั้นออกมาจากภูเขา ออกมาจากเรือนไม้ไผ่ ช่วยออกหมัดให้แก่เฉินผิงอันที่ถือว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาครึ่งตัว ในเมื่อขอร้อง คนอื่นแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเก้อเขินอีก สุดท้ายข้าจะไปขอร้องผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง ที่มีชื่อว่าจั่วโย่ว บอกว่าศิษย์น้องเล็กของเขามีภัยใกล้จะตาย ขอร้องให้ศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยออกกระบี่! ถึงเวลานั้นเขาอยากจะพลิกฟ้าคว่ำดินอย่างไรก็ตามใจเขา!”
จู๋เฉวียนที่เป็นถึงเจ้าสำนักพีหมาผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ที่กล้าออกดาบใส่เกาเฉิงไม่หยุด กลับสัมผัสได้ถึง…ความหวาดกลัวเสี้ยวหนึ่ง
บนร่างของคนหนุ่มผู้นี้มีพลังอำนาจอันบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความดีความเลว
คนผู้นั้นยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นสูง กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง เจี้ยนเซียนอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้น ก็ร่วงดิ่งลงไปเบื้องล่าง ได้ยินเพียงเขาเอ่ยอย่างเฉยเมยว่า “หากขนาดนี้แล้วเกาเฉิง ยังไม่ตาย หรืออาจถึงขั้นมีที่พึ่งอย่างขอบเขตบินทะยานอะไรมาเพิ่มอีกคนสองคน ก็ไม่เป็นไร ข้าไม่ต้องขอร้องใครแล้ว ใครก็ไม่ขอร้องทั้งนั้น”
จู๋เฉวียนเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นแผดเสียงหัวเราะดังลั่น สุดท้ายเอ่ยเบาๆ คล้ายกำลังกระซิบอยู่กับใครบางคน “ข้ามีหนึ่งกระบี่ที่ติดตามอยู่ข้างกายข้า”
เดิมทีเจี้ยนเซียนที่เป็นอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นอยากจะบินย้อนกลับมา แต่เวลานี้กลับไม่กล้าขยับเข้าใกล้เขาแม้แต่น้อย ทำเพียงหยุดลอยอยู่ตรงขอบฟ้าของทะเลเมฆนิ่งๆ
แต่สุดท้ายแล้วจู๋เฉวียนกลับเห็นคนผู้นั้นก้มหน้าลง มองชายแขนเสื้อสองข้าง ที่ม้วนขึ้นแล้วหลั่งน้ำตาเงียบๆ จากนั้นเขาก็ยกมือซ้ายขึ้นช้าๆ คว้าจับชายแขนเสื้อข้างหนึ่งไว้แน่น พูดเสียงสะอื้นว่า “อาจารย์ฉีต้องตายเพราะข้า ใต้หล้านี้คนที่ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังมากที่สุดก็ไม่ควรเป็นข้าเฉินผิงอันหรอกหรือ? ข้าจะทำอย่างนั้น ได้อย่างไร ใครก็ล้วนทำได้ทั้งนั้น แต่ข้าเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ทำไม่ได้”