Skip to content

Sword of Coming 518

บทที่ 518 บัณฑิต คนในยุทธภพและสาวงาม

น้ำชุ่มชื้นดินอบอ้าว เรือนกายท่วมไปด้วยเม็ดเหงื่อ ฟ้าดินดั่งซึ้งนึ่งที่ทำให้อารมณ์ของคนอัดอั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้

บนเส้นทางชาม้าโบราณที่ถูกทิ้งร้างมานานหลายปีเส้นหนึ่งของแคว้นอู่หลิง ม้าห้าตัวขยับเคลื่อนหน้าไปอย่างเนิบช้า

อยู่ดีๆ ก็มีฝนตกลงมา ต่อให้สวมเสื้อกันฝน ทว่าฝนที่เม็ดใหญ่เท่าเมล็ดถั่วเหลืองก็ยังคงตกกระทบจนใบหน้าปวดแสบปวดร้อน ทุกคนรีบพากันควบม้าหาที่หลบฝน ในที่สุดก็เจอกับศาลาพักเท้ากึ่งกลางภูเขาแห่งหนึ่ง จึงพากันหยุดม้าลง

ผลคือเห็นคนหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาวในศาลา ข้างเท้าวางหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ไว้หนึ่งใบ ด้านหน้าวางกระดานหมากล้อมและโถกระเบื้องเคลือบใส่เม็ดหมากขนาดเล็กสองใบ บนกระดานจัดวางตัวหมากสีขาวดำไว้ยี่สิบกว่าตัว พอเห็นพวกเขาก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดกลัวใดๆ เพียงเงยหน้าส่งยิ้มบางๆ มาให้ จากนั้น ก็คีบหมากวางบนกระดานต่อ

ชายฉกรรจ์พกดาบคนหนึ่งชำเลืองตามองชุดสีเขียวและพื้นรองเท้าของอีกฝ่าย ล้วนไม่มีคราบน้ำ น่าจะมาพักเท้าอยู่ที่นี่นานแล้ว จึงหลบฝนกระหน่ำครั้งนี้มาได้ ก็เลยจะรอให้ฝนหยุดก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง ดังนั้นถึงได้มานั่งเล่นหมากล้อมกับตัวเองอยู่ที่นี่

ผู้เฒ่าที่บุคลิกไม่ธรรมดาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าทางเข้าศาลา ดูท่าแล้วฝนคง ไม่หยุดตกง่ายๆ จึงหันหน้ามายิ้มถามว่า “อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ คุณชายจะถือสาหรือไม่หากข้าขอเล่นด้วยสักตา?”

คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะยื่นฝ่ามือออกมารวบเม็ดหมาก สีขาวดำบนกระดานเข้าไว้มุมเดียวกัน แต่กลับไม่ได้ใส่กลับเข้าไปในโถเก็บเม็ดหมาก แต่วางกองไว้ระหว่างตนเองกับกระดานหมาก แล้วจึงพยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “ได้สิ”

เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งหันหน้ามายิ้มให้กัน

และยังมีสตรีโตเต็มวัยสวมหมวกคลุมใบหน้าคนหนึ่งที่นั่งลงบนม้านั่งยาวฝั่ง ตรงข้าม ก่อนจะนั่งลง นางได้ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งวางรองไว้ก่อน

ผู้เฒ่าคว้าเม็ดหมากสีขาวกำหนึ่งขึ้นมา ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อข้าผู้อาวุโส อายุมากกว่าอยู่หลายปี คุณชายเชิญเดาก่อนได้เลย”

เฉินผิงอันคีบเม็ดหมากสีดำขึ้นมาหนึ่งเม็ด ผู้เฒ่าวางหมากขาวไว้บนกระดานหมาก มีทั้งหมดเจ็ดเม็ด ผู้เฒ่าจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญคุณชายเดินก่อนได้เลย”

โดยไม่ทันรู้ตัว เฉินผิงอันก็เปลี่ยนท่านั่งใหม่ ไม่ได้นั่งขัดสมาธิแล้ว แต่นั่งเบี่ยงตัวหันข้างไม่ต่างจากผู้เฒ่า มือข้างหนึ่งจับประคองชายแขนเสื้อ อีกมือหนึ่งคีบ เม็ดหมากวางลงบนกระดาน

เด็กหนุ่มกระซิบกระซาบเบาๆ ข้างหูเด็กสาว “ดูจากท่าทาง มองดูแล้วคล้าย ยอดฝีมือที่เชี่ยวชาญการเล่นหมากล้อมคนหนึ่ง”

เด็กสาวยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ต่อให้ฝีมือในการเล่นหมากล้อมจะสูงแค่ไหน แต่จะสามารถทัดเทียมกับท่านปู่ของพวกเราได้หรือ?”

เด็กหนุ่มชอบที่จะเถียงกับเด็กสาวจึงกล่าวว่า “ข้าว่าคนผู้นี้รับมือได้ไม่ง่าย ท่านปู่เคยบอกเองว่า ยอดฝีมือด้านการเล่นหมากล้อม ขอแค่เล่นมาตั้งแต่ยังเด็ก นอกจากเซียนบนภูเขาที่ไม่ต้องไปพูดถึงแล้ว อายุประมาณยี่สิบปีคือช่วงอายุที่สามารถเล่นได้เก่งที่สุด ส่วนผ่านอายุสามสิบปีไป ยิ่งอายุมากเท่าไรก็ยิ่งลำบากมากเท่านั้น”

เด็กสาวหลุดหัวเราะพรืด “คนที่ท่านปู่พูดถึง หมายถึงแค่คนอายุน้อยที่มีพรสวรรค์ซึ่งถูกกำหนดมาแล้วว่าจะได้กลายเป็นฉีไต้จ้าว คนทั่วไปไม่ได้อยู่ในกรณีนี้”

ผู้เฒ่าใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ต่อให้ความสามารถในการเล่นหมากล้อมของตัวเอง จะสูงมากจนมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วแคว้น แต่ก็ยังไม่รีบร้อนจะวางหมาก การเล่นหมากล้อมกับคนแปลกหน้า มักจะกลัวความใหม่และความแปลกประหลาดอยู่เสมอ ผู้เฒ่าเงยหน้ามองไปยังเด็กรุ่นหลังทั้งสองคนแล้วขมวดคิ้ว

เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “รู้แล้วขอรับ ไม่พูดเวลาเล่นหมากล้อม”

บนกระดานมาก หลังจากวางเม็ดหมากกันไปไม่ถึงสามสิบครั้ง เด็กหนุ่มเด็กสาว ก็หันมามองหน้ากันเอง

ที่แท้ก็เป็นคนฝีมือห่วยที่ผิดต่อทุกรูปแบบที่เล่นไปก่อนหน้านี้

อย่าว่าแต่ท่านปู่ที่เป็นนักเล่นระดับแคว้นเลย ต่อให้เป็นพวกเขาสองคนลงสนามรบ ยอมให้อีกฝ่ายสักสองสามเม็ดก็สามารถพิฆาตให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้อย่างราบคาบได้

ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม

อันที่จริงผู้เฒ่าไม่ค่อยสนใจว่าอีกฝ่ายจะมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมสูงหรือต่ำ ยังคงประชันฝีมือกับคนหนุ่มชุดเขียวอย่างอดทนต่อไป

ในช่วงฤดูฝน ได้มาเจอกับสหายบนกระดานหมากล้อมในต่างบ้านต่างเมือง ถือเป็นเรื่องโชคดีแล้ว

คนหนุ่มผู้นั้นเงยหน้ามองม่านฝนที่อยู่นอกศาลาแวบหนึ่ง ก่อนจะโยนเม็ดหมากแสดงถึงการยอมแพ้

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ ช่วยเขาย้อนทวนกระดาน อันที่จริงคนชุดเขียวต่างถิ่น ที่สะพายหีบไม้ไผ่ทัศนาจรผู้นี้พอจะมีฝีมือในการเล่นหมากล้อมอยู่บ้าง ขนาดผู้เฒ่า ก็ยังมองเขาสูงกว่าคนอื่น เกือบจะเข้าใจผิดคิดว่าเจอเข้ากับยอดฝีมือนอกโลก ที่แท้จริง เพียงแต่ว่าภายหลังไม่นานเรี่ยวแรงก็เหือดหาย กองทัพพ่ายแพ้ดุจภูเขา ล้มครืน น่าเสียดายอย่างยิ่ง

ตอนที่ทบทวนกระดานกัน คนทั้งสองก็พูดคุยกันไปด้วย คนหนุ่มผู้นั้นบอกว่าตัวเองแซ่เฉิน มาจากทิศใต้ การเดินทางมายังทิศเหนือครั้งนี้ ก็เพราะอยากจะไปเยือนแคว้นลวี่อิงที่เป็นทางเข้าสู่มหาสมุทรของแม่น้ำสายใหญ่ทางทิศตะวันออก จากนั้น ก็ขึ้นไปดูทางตอนบนของแม่น้ำใหญ่ ส่วนผู้เฒ่าแซ่สุย ลาออกจากงานราชการกลับคืนสู่บ้านเกิด ครั้งนี้เดินทางไปเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน เพราะฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนจะจัดงานชุมนุมพืชหญ้าที่จะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี ยอดฝีมือวงการหมากล้อมหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงแคว้นอู่หลิงและแคว้นจินเฟยล้วนสามารถไปเที่ยวชมที่เมืองหลวงต้าจ้วนดูได้ นอกจากฮ่องเต้สกุลโจวต้าจ้วนจะเอาของตกแต่งในห้องหนังสือเลื่อมร้อยอัญมณี ที่มีมูลค่าควรเมืองหนึ่งชุด ซึ่งรวมทั้งสิ้นเก้าชิ้นมามอบให้กับคนเก้าคนแล้ว ยังมี ตำราหมากล้อมอีกเล่มหนึ่งที่นักเล่นหมากล้อมปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน ซึ่งจะให้เป็นของรางวัลสำหรับผู้ที่ช่วงชิงอันดับหนึ่งได้

เฉินผิงอันเอ่ยถาม “งามชุมนุมพืชหญ้านี้เริ่มต้นและสิ้นสุดลงเมื่อไหร่?”

หลานชายของผู้เฒ่าแซ่สุย เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้นแย่งตอบว่า “เริ่มจัดขึ้น ในวันลี่ชิวช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วง ถึงเวลานั้นฉีไต้จ้าวและยอดฝีมือที่มีชื่อเสียงของ แต่ละแคว้นจะต้องมารวมตัวกันที่เมืองหลวง ภายใต้การจัดการของอริยะเหวย แห่งวงการหมากล้อมต้าจ้วนกับลูกศิษย์อีกสามคน จะมีการคัดเลือกเมล็ดพันธ์ นักเล่นหมากล้อมของแต่ละแคว้นออกมาแข่งกันสามรอบแรกก่อน ส่วนนักเล่น คนอื่นๆ ก็จะจับฉลากแล้วจับคู่กัน เพื่อคัดเลือกคนออกมาอีกหนึ่งร้อยคน บวกกับเมล็ดพันธ์การเล่นหมากล้อมยี่สิบคนของแต่ละแคว้นที่แข่งไปสามรอบแรก พอถึง วันลี่ตงเข้าสู่ช่วงหน้าหนาวถึงจะเป็นการงัดข้อของยอดฝีมืออย่างแท้จริง ช่วงเวลาที่หิมะตกหนักของปีจะเป็นช่วงที่หิมะแรกตกในเมืองหลวงต้าจ้วน ถึงเวลานั้นก็จะเหลือผู้เล่นแค่สิบคนเท่านั้น ของตกแต่งเลื่อมร้อยอัญมณีและตำราหมากล้อมเล่มนั้น ที่ฮ่องเต้สกุลโจวจะเอาออกมาก็คือของในกระเป๋าของคนพวกนี้แล้ว เพียงแต่ว่ายังจำเป็นต้องมีการแบ่งลำดับ คนที่ชนะห้าคน จะมีคนหนึ่งที่สามารถเล่นหมากล้อมกับอริยะเหวยได้หนึ่งตา คนผู้นั้นนับว่าโชคดีมาก ไม่เพียงแต่ได้รับเกียรติแข่งขันกับ อริยะหมากล้อม อีกทั้งต่อให้แพ้ก็ยังสามารถไปเล่นรอบต่อไปได้”

เฉินผิงอันถาม “ฝีมือของอริยะเหวยผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าสูงส่งกว่าทุกคนระดับขั้นใหญ่ เลยทีเดียวสินะ?”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพยักหน้ารับ “แน่นอนอยู่แล้ว อริยะเหวยคือเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นของราชวงศ์ต้าจ้วน ฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเขาไร้ศัตรูทัดเทียม เมื่อสิบปีก่อนท่านปู่ของข้าเคยโชคดีได้เล่นหมากล้อมกับอริยะเหวยหนึ่งตา ทว่า น่าเสียดายที่พ่ายหลังแพ้ให้กับลูกศิษย์อายุน้อยคนหนึ่งของอริยะเหวย ไม่สามารถเลื่อนขั้นสู่สามอันดับแรกได้ แต่ไม่ใช่เพราะฝีมือของท่านปู่ข้าไม่สูง แต่เป็นเพราะ ฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเด็กคนนั้นแข็งแกร่งเกินไป อายุสิบสามสิบสี่ปีก็สามารถสืบทอดฝีมือของอริยะเหวยมาได้ถึงเจ็ดส่วนแล้ว งานชุมนุมพืชหญ้าของต้าจ้วน เมื่อสิบปีก่อน หากไม่เป็นเพราะลูกศิษย์ของราชครูต้าจ้วนผู้นี้ปิดด่าน ไม่อาจมา เข้าร่วมได้ ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางปล่อยให้ฉู่เหยาแห่งแคว้นหลันฝางได้อันดับหนึ่ง ไปครอง งานชุมนุมพืชหญ้าของเมื่อสิบปีก่อนเป็นครั้งที่น่าเบื่อหน่ายที่สุด พวกฉีไต้จ้าวที่มีฝีมือในระดับต้นๆ หลายคนก็ไม่ได้ไปร่วม ท่านปู่ของข้าก็เช่นกัน”

เฉินผิงอันถาม “ผู้ฝึกตนบนภูเขาสามารถเข้าร่วมได้ด้วยหรือ?”

เรื่องของการเล่นหมากล้อมนั้น

บนภูเขากับล่างภูเขาต่างกันราวฟ้ากับดิน

นักเล่นระดับแคว้นและฉีไต้จ้าวของราชวงศ์โลกมนุษย์ เมื่อมาเจอกับ ผู้ฝึกลมปราณบนภูเขาที่เชี่ยวชาญศาสตร์การเล่นหมากล้อมก็แทบจะไม่มีโอกาส ชนะได้ จุดที่น่ากลัวที่สุดนั้นอยู่ที่ว่ารูปแบบการเล่นอันมหัศจรรย์บางอย่างของ ล่างภูเขา แทบจะไม่เคยได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนบนภูเขาเลย อีกทั้งการ คลายปัญหาเป็นตายบนกระดานหมากของผู้ฝึกตนบนภูเขาก็มักจะทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาดยากจะเข้าใจอยู่เสมอ

ผู้เฒ่าแซ่สุยยิ้มกล่าว “หนึ่งเพราะเทพเซียนบนภูเขาต่างก็เป็นบุคคลที่อยู่อาศัยท่ามกลางเมฆหมอก สำหรับคนธรรมดาอย่างพวกเราแล้ว นับว่าพบเห็นได้ยาก อย่างถึงที่สุด นอกจากนี้ผู้ฝึกตนที่ชอบเล่นหมากล้อมก็ยิ่งหาได้ยาก ดังนั้นงานชุมนุมพืชหญ้าของเมืองต้าจ้วนที่จัดขึ้นในแต่ละครั้งจึงมีผู้ฝึกตนเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น ส่วนลูกศิษย์ที่เป็นที่ภาคภูมิใจของอริยะเหวยท่านนั้น แม้จะเป็นผู้ฝึกตนเหมือนกัน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่วางเม็ดหมากจะวางอย่างรวดเร็ว น่าจะเป็นเพราะไม่อยาก จะยึดครองความได้เปรียบมากเกินไปนัก ข้าเคยโชคดีได้ประลองกับเขามาก่อน ทุกครั้งที่ข้าวางหมากหนึ่งเม็ด เด็กคนนั้นก็แทบจะวางตามมาติดๆ ทันที รวดเร็ว ฉับไวมาก ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ข้าก็ยังยอมรับความพ่ายแพ้ได้อย่างจริงใจ”

เฉินผิงอันถาม “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าสุยเคยได้ยินหรือไม่ว่าช่วงนี้ทาง เมืองหลวงต้าจ้วนมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้น?”

ผู้เฒ่ามีสีหน้าสงสัย ก่อนจะส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ยินดีรับฟังอย่างละเอียด”

เฉินผิงอันจึงยิ้มตอบ “เป็นแค่ข่าวเล็กๆ ที่ได้ยินมาจากในยุทธภพเท่านั้น บอกว่าด้านนอกเมืองหลวงต้าจ้วนมีแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง เกิดอุทกภัยไม่หยุด”

เด็กหนุ่มมีสีหน้าไม่ยี่หระ “พูดถึงแม่น้ำอวี้ซีนั่นกระมัง? นี่มีอะไรให้ต้องกังวลกัน มีเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นอย่างอริยะเหวยคอยบัญชาการณ์ แม้ว่าจะมีน้ำท่วมผิดปกติเกิดขึ้นบ้าง แต่จะท่วมกลบทับเมืองหลวงได้จริงๆ เลยหรือ? ต่อให้มีภูตน้ำก่อกวน อยู่จริงๆ ข้าว่าก็คงไม่ต้องให้อริยะเหวยลงมือเองหรอก ปรมาจารย์ที่มีวิชากระบี่ดุจดั่งฝีมือของเทพเจ้าคนนั้นแค่ไปเยือนแม่น้ำอวี้ซีครั้งหนึ่ง ใต้หล้าก็สงบสุขแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้ม “ยังต้องระวังสักหน่อย ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าสุยจะไปเยือนเพราะ ชื่นชอบวัตถุชิ้นใดของเลื่อมร้อยอัญมณีชุดนั้นหรือ?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “งานชุมนุมพืชหญ้าครั้งนี้มียอดฝีมือรวมตัวกันมากมายเหมือนก้อนเมฆ ไม่เป็นรองจากสองครั้งก่อนเลย แม้ว่าข้าจะพอมีชื่อเสียงอยู่ในแคว้นของตัวเองอยู่บ้าง แต่กลับรู้ดีว่าไม่อาจติดสิบอันดับแรกได้ ดังนั้นการไปเยือน เมืองหลวงต้าจ้วนครั้งนี้จึงหวังแค่ว่าจะได้เจอกับสหายในวงการหมากล้อม ได้ดื่มชากับมิตรเก่าจากแคว้นอื่นบ้างก็เท่านั้น นอกจากนี้ก็ถือโอกาสซื้อตำราหมากล้อมจัดพิมพ์ใหม่มาสักหลายๆ เล่ม แค่นี้ก็พึ่งพอใจแล้ว”

สตรีโตเต็มวัยสวมหมวกม่านคลุมหน้าที่เงียบงันมาโดยตลอดคนนั้นเอ่ยเบาๆ “ท่านพ่อ ข้ารู้สึกว่าคุณชายคนนี้กล่าวได้ถูกต้อง อุทกภัยของแม่น้ำอวี้ซีครั้งนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาด อยู่ภายใต้เปลือกตาของคนเมืองหลวงต้าสุย หากอริยะหมากล้อมเหวยและเทพีแห่งการต่อสู้สามารถคลี่คลายได้อย่างง่ายดายจริงๆ มีหรือจะถ่วงเวลารั้งรอมาถึงตอนนี้ กลัวก็แต่ว่าปัญหาของแม่น้ำอวี้ซีจะไม่น้อย แต่เพราะฮ่องเต้ สกุลโจวกลัวจะขายหน้าก็เลยไม่ยอมล้มเลิกงานชุมนุมพืชหญ้าครั้งนี้ ถึงเวลานั้น หากมีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น…”

สตรีไม่ได้เอ่ยต่อ เพราะหากบิดายืนกรานจะเดินทางต่อ คำพูดของนาง ก็จะกลายเป็นคำพูดอัปมงคล

อันที่จริงการเดินทางมาร่วมงานชุมนุมพืชหญ้าของราชวงศ์ต้าจ้วนครั้งนี้ แรกเริ่มนางก็ไม่ค่อยเห็นด้วยนัก แน่นอนว่าผู้เฒ่าไม่อยากพลาดงานเลี้ยง เพื่อให้เด็กรุ่นหลังในครอบครัวสบายใจ จึงยอมถอยหนึ่งก้าว โดยผู้เฒ่าไปเชิญปรมาจารย์ในยุทธภพ ที่สนิทสนมกันท่านหนึ่งให้มาช่วยคุ้มครอง อีกฝ่ายคือปรมาจารย์ในยุทธภพที่มีชื่อเสียงเลื่องลือของแคว้นอู่หลิง และยังเป็นสหายต่างวัยของเขา ตลอดทางมานี้ ก็คอยดูแลพวกเขาทุกเรื่องจริงๆ ชายฉกรรจ์ที่พกดาบคนนั้นมีนามว่าหูซินเหวย คิดว่าหลังจากคุ้มกันพวกเขาไปส่งถึงเมืองหลวงต้าจ้วนแล้ว ระหว่างการจัดงาน ชุมนุมพืชหญ้า เขาก็จะไปเยี่ยมเยือนสหายในยุทธภพที่แคว้นจินเฟยสักรอบ

งานชุมนุมพืชหญ้าที่จัดขึ้นในเมืองหลวงต้าจ้วนคืองานเลี้ยงฉลองใหญ่ที่จะจัดขึ้นทุกๆ สิบปี นอกจากจะมีการประลองของนักเล่นหมากล้อมระดับแคว้นจากพื้นที่ต่างๆ ที่ดึงดูดให้ผู้คนพากันมาเยือนแล้ว ภาพบรรยากาศของการเดิมพันหมากล้อมในตรอกและถนนใหญ่ของเมืองก็ยิ่งมีให้เห็นทั่วทุกหนแห่ง เหล่าเสนาบดี ขุนนางใหญ่ ชนชั้นสูงทั้งหลายล้วนชื่นชอบในการวางเดิมพันกับตัวของยอดฝีมือที่เข้าร่วมงานชุมนุมพืชหญ้า ส่วนคนมีเงินที่ร่ำรวยแต่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์กลับจะชอบวางเดิมพันไว้กับนักเล่นอิสระที่อยู่นอกงานชุมนุม และจำนวนเงินที่ลงเดิมพันไปก็ไม่น้อย เล่าลือกันว่างานชุมนุมพืชหญ้าในแต่ละครั้งของเมืองหลวงต้าจ้วนจะต้องมีรายรับที่น่าตะลึงซึ่งเป็นจำนวนเงินมากหลายล้านเงินขาว ชาวบ้านของเมืองหลวงที่ได้รับอิทธิพลจากคนระดับสูงก็ชอบที่จะเดิมพันเล็กๆ เช่นกัน พวกเขาจะโยนเงินสองสามตำลึงไว้ที่ หัวถนนท้ายตรอก ครอบครัวระดับกลางที่พอมีอันจะกิน หากเดิมพันหลายร้อยตำลึงเงินก็ไม่ใช่เรื่องแปลก วัดวาอารามน้อยใหญ่ในเมืองหลวงต้าจ้วน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นปัญญาชนคนสูงศักดิ์จากแคว้นใต้อาณัติที่เดินทางมาไกล ไม่สะดวกจะทุ่มเงินโดยตรง ก็จะใช้สิ่งของที่สร้างขึ้นอย่างประณีตมาวางเดิมพันแทน หลังจบงานหากเอาไปขายเปลี่ยนมือก็จะยิ่งได้เงินก้อนใหญ่อีกก้อนหนึ่ง

เด็กสาวกล่าวอย่างได้รับความไม่เป็นธรรม “ท่านอา หากพวกเราไม่ไป เมืองหลวงต้าจ้วน ก็ไม่เท่ากับว่าที่เดินทางกันมาไกลขนาดนี้ล้วนเสียเที่ยวเปล่า หรอกหรือ ตั้งพันกว่าลี้เชียวนะ”

เด็กสาวมีใจที่เห็นแก่ตัว เพราะนางอยากจะไปพบหน้าลูกศิษย์คนสุดท้ายของราชครูต้าจ้วนที่เอาชนะท่านปู่ของตนได้ในปีนั้น ตอนนี้คนในกลุ่มเทพเซียนที่ติดตามราชครูฝึกบำเพ็ญตนผู้นี้เพิ่งจะมีอายุได้แค่ยี่สิบต้นๆ เป็นสตรีเหมือนกัน ว่ากันว่า รูปโฉมของนางงามล่มเมือง องค์ชายสกุลโจวสองพระองค์ยังเปิดศึกทะเลาะกัน เพราะหึงหวงนาง สหายของนางที่ชอบเล่นหมากล้อมต่างก็หวังว่านางจะได้เห็นเทพธิดาสาวผู้นั้นกับตาตัวเอง ด้วยอยากรู้ว่าสรุปแล้วนางเป็นโฉมสะคราญ มีมาดแห่งเทพเซียนอย่างที่เล่าลือกันจริงหรือไม่ และนางก็ป่าวประกาศไปแล้วว่า

เมื่อไปถึงงานชุมนุมพืชหญ้าของเมืองหลวงต้าจ้วน จะต้องหาโอกาสไปพูดคุยกับเทพธิดาผู้นั้นให้ได้

ชายฉกรรจ์พกดาบที่เฝ้าอยู่หน้าประตูศาลา การที่ปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่งยอมทำงานหนักโดยไม่บ่นสักคำ ยอมมาทำหน้าที่เป็นผู้ติดตามผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ไม่มีตำแหน่งขุนนางติดตัวนานแล้ว เดินทางไปกลับใช้เวลานานเกือบครึ่งปีเช่นนี้ คนทั่วไปย่อมไม่อาจทำได้ หูซินเหวยหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “แม่น้ำอวี้ซีนอกเมืองหลวงต้าจ้วนสายนั้นมีคำกล่าวถึงภูตประหลาดที่ทำตัวลึกลับอยู่จริง ช่วงหลายปีที่ผ่านมาก็มี ข่าวเล่าลืออยู่ในยุทธภพมาโดยตลอด แม้จะบอกว่าอาจไม่แน่เสมอไป แต่คุณหนูสุย ก็พูดไม่ผิด พี่ใหญ่สุย การเดินทางครั้งนี้ของพวกเราต้องระวังตัวให้มากจริงๆ”

ผู้เฒ่ารู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

แม้แต่จอมยุทธในยุทธภพอย่างหูซินเหวยก็ยังพูดแบบนี้ ผู้เฒ่าจึงอดเป็นกังวลใจไม่ได้ แต่หากจะให้เดินทางกลับตอนนี้ เขาก็ไม่อยากยินยอม

สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้ามวยผมอย่างสตรีที่แต่งงานแล้วถอนหายใจเบาๆ จิตใจนางรู้สึกไม่เป็นสุขเท่าใดนัก เกี่ยวกับการเดินทางไกลมาเยือนเมืองหลวง ต้าจ้วนพร้อมกับบิดาและหลานชายหลานสาวครั้งนี้ นางเคยทำนายเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง ล้วนได้คำทำนายที่แปลกประหลาดทั้งสิ้น ท่ามกลางความอันตราย อย่างใหญ่หลวงกลับมีโชควาสนาล้อมวน สรุปก็คือไม่แน่นอนว่าเป็นโชคหรือเคราะห์ นี่ทำให้นางยากจะคาดเดาความหมายอันลึกซึ้งที่ซุกซ่อนอยู่ภายในได้ อันที่จริง หากอิงตามหลักทั่วไป ราชวงศ์ต้าจ้วนสงบสุขมาเนิ่นนาน กองกำลังแคว้นก็รุ่งเรือง เมื่อเทียบกับกองกำลังของราชวงศ์ต้ากวานที่อยู่ทางใต้แล้วก็เรียกได้ว่าสูสีใกล้เคียงกัน อีกทั้งเชื้อพระวงศ์ของสองฝ่ายยังมีการแต่งงานเชื่อมความสัมพันธ์กัน และ ราชวงศ์ต้าจ้วนก็ยังมีเทพีแห่งการต่อสู้และเจินเหรินผู้พิทักษ์แคว้นคอยปกปักษ์รักษาเมืองหลวง ข่าวลือประหลาดที่ส่งมาจากแม่น้ำอวี้ซี ต่อให้เป็นความจริงก็ไม่น่าจะเป็นปัญหาใหญ่อะไร

นางเชื่อว่าแม่น้ำอวี้ซีที่ไม่เคยมีการแต่งตั้งเทพวารีและสร้างศาลเจ้าขึ้นมาอาจจะมีเจียวดำตัวหนึ่งซ่อนตัวอยู่จริง แต่หากจะบอกว่าเจียวน้ำสามารถสร้างความวุ่นวายให้แก่เมืองหลวงต้าจ้วนได้ นางกลับไม่เชื่อ

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว นางก็ยังคงรู้สึกเสียดายนิดๆ ที่ตลอดหลายปีมานี้ตนได้แค่อาศัยสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งที่ยอดฝีมือทิ้งเอาไว้ อาศัยการใคร่ครวญคาดเดาของตัวเองมาฝึกวิชาตระกูลเซียนอย่างส่งเดช ไม่เคยมีวิสุทธิอาจารย์ ไม่มีเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่ได้รับการสืบทอดอย่างเป็นระบบที่แท้จริงคนหนึ่งคอยชี้นำ สั่งสอน ไม่อย่างนั้นนางคงมั่นใจมาตั้งแต่แรกแล้วว่าควรจะไปหรือไม่ไป เมืองหลวงต้าจ้วนดี

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง

อาหญิงของตนเป็นคนมหัศจรรย์คนหนึ่ง เล่าลือกันว่ามีวันหนึ่งหลังจากที่ท่านย่าตั้งครรภ์ได้สิบเดือน นางฝันเห็นว่ามีเทพองค์หนึ่งอุ้มเด็กเดินเข้ามาในศาลบรรพชนแล้วส่งมอบให้ท่านย่าด้วยมือของตัวเอง ภายหลังก็ได้ให้กำเนิดอาหญิง ทว่า อาหญิงกลับมีชะตาแข็ง นับตั้งแต่เด็กมานางก็เชี่ยวชาญวิชาพิณ หมากล้อม วาดภาพและพู่กันอย่างครบถ้วน ในอดีตมียอดฝีมือที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมาเยือนตระกูลมอบปิ่นทองสามชิ้นกับชุดผ้าโปร่งบางที่มีชื่อว่า ‘เสื้อไผ่’ อีกตัวหนึ่งไว้ให้ บอกว่านี่คือโชควาสนา หลังจากยอดฝีมือจากไป ภายหลังยิ่งอาหญิงโดดเด่นมากเท่าไรก็ยิ่ง มีชื่อเสียงอยู่ในราชสำนักแคว้นอู่หลิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการการประพันธ์ มากเท่านั้น ทว่าในเรื่องการแต่งงานของอาหญิงกลับมีอุปสรรค ท่านปู่ช่วยหาสามี มาให้นางสองคน คนแรกคือถั่นฮวาแห่งแคว้นอู่หลิงที่ฐานะเหมาะสมคู่ควรกัน ในช่วงเวลาที่กำลังรุ่งโรจน์ชื่อเสียงของเขาเลื่องลือไปทั่วเมืองหลวงอู่หลิง คิดไม่ถึงว่าภายหลังจะไปพัวพันกับคดีเคอจวี่ ท่านปู่จึงไม่กล้าหาคนที่เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต มาให้นางอีก ตอนหลังได้เจอกับบุรุษหนุ่มหล่อเหลามากความสามารถในยุทธภพ ที่อักษรแปดตัวแข็งยิ่งกว่า ทว่าในขณะที่อาหญิงใกล้จะได้แต่งงาน ทางครอบครัว ของอีกฝ่ายกลับเกิดเรื่องขึ้นมาอีก

จอมยุทธหนุ่มตกอับผู้นั้นจึงออกเดินทางไกล เล่าลือกันว่าเขาไปท่องอยู่ แถวแคว้นหลันฝาง แคว้นชิงสือ และได้กลายเป็นวีรบุรุษของพื้นที่แถบหนึ่งแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แต่งงาน และยังคงอาลัยอาวรณ์ต่ออาหญิง

อาหญิงอายุสามสิบกว่าปีแล้ว แต่กลับยังมีหน้าตางดงามชวนให้คนหลงใหล ประดุจเทพธิดาที่เดินออกมาจากภาพวาดฝาผนัง

หากไม่เป็นเพราะตลอดหลายปีมานี้อาหญิงเก็บตัวเงียบ แทบไม่เคยปรากฏตัว บางครั้งที่ไปจุดธูปไหว้พระตามวัดวาอารามก็จะไม่เลือกไปในวันที่มีผู้คนเยอะอย่างวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน เวลาปกติก็แค่แต่งกลอนร่ายกวีกับปัญญาชนจำนวนน้อยนิดเพียงแค่หยิบมือ อย่างมากสุดก็มีแค่ยามเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมานานมาเยี่ยมเยือนถึงบ้าน ถึงจะเล่นหมากล้อมด้วยกันบ้าง ไม่อย่างนั้นเด็กหนุ่มก็เชื่อว่าต่อให้อาหญิงจะเป็น ‘หญิงแก่’ ที่อายุปูนนี้แล้ว ก็ยังต้องมีคนมาสู่ขอจนธรณีประตูบ้านสึกอย่างแน่นอน

สำหรับการเดินทางมาเยือนเมืองหลวงต้าจ้วน เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ก็มีความคาดฝันในแบบที่แตกต่างไปจากพี่สาวของตน นอกจากฮ่องเต้สกุลโจวจะจัดงามชุมนุมพืชหญ้าแล้ว ราชวงศ์ต้าจ้วนยังจะมีการคัดเลือกยอดฝีมือในยุทธภพสิบคนและสาวงามสี่คน ขอแค่คนที่ติดอันดับอยู่ในเมืองหลวงต้าจ้วนก็ล้วนสามารถถูก ฮ่องเต้สกุลโจวเรียกเข้าเฝ้าแล้วมอบของขวัญชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งให้ ไม่แน่ว่า เมืองหลวงต้าจ้วนในตอนนี้อาจมีปรมาจารย์อายุน้อยที่เพิ่งติดอันดับใหม่มารวมตัวกันมากมายแล้ว การแสดงความคิดเห็นให้คำวิจารณ์ต่อยุทธภพซึ่งจะมีขึ้นสิบปีครั้งนี้ คนแก่คนใดต้องถูกคัดออก คนหน้าใหม่คนใดจะได้ขึ้นตำแหน่ง เมืองหลวงต้าจ้วน ก็มีการวางเดิมพันด้วยเม็ดเงินมหาศาลเช่นกัน

แม้ว่าเด็กหนุ่มแซ่สุยแห่งแคว้นอู่หลิงจะมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลของปัญญาชนผู้มีความรู้ ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะต้องเดินไปบนเส้นทางที่ท่านปู่ คนรุ่นพ่อและรุ่นพี่ของเขาเดินผ่านมา เดินอิงตามลำดับขั้นตอนทีละก้าวจนกลายไปเป็นขุนนางบุ๋นของแคว้นอู่หลิง

ทว่าส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มกลับเลื่อมใสวีรบุรุษและจอมยุทธผู้องอาจใน ยุทธภพมากที่สุด นิยายต่อสู้ในยุทธภพหลายสิบเล่มที่เก็บไว้ในห้องหนังสือถูกเขา พลิกเปิดอ่านจนเปื่อยทุกเล่ม ต่อให้ท่องย้อนกลับหลังก็ยังท่องได้คล่องราวสายน้ำไหล สำหรับคนในยุทธจักรที่ใช้ความสามารถของตนสร้างชื่อเสียงขึ้นมาอย่างท่านอาหูผู้นี้ เขาก็ยิ่งเลื่อมใสอย่างสุดจิตสุดใจ หากไม่เป็นเพราะจอมยุทธใหญ่หูมีภรรยาและ ลูกสาวอยู่แล้ว เด็กหนุ่มก็อยากจะจับคู่เขากับอาหญิงของตัวเองจริงๆ

เฉินผิงอันมองสีหน้าของผู้เฒ่าแซ่สุย ดูแล้วน่าจะยังอยากไปเยือน เมืองหลวงต้าจ้วนมากกว่า เขาจึงไม่พูดอะไรให้มากความอีก

ก่อนหน้านี้ตอนที่ทบทวนกระดานหมากล้อมสิ้นสุด ฝนก็หยุดตกพอดี

เพียงแต่ว่าทางดินโคลนด้านนอกนั้น นอกจากเฉินผิงอันแล้ว คนอื่นๆ ในศาลาต่างก็คล้ายมีเรื่องในใจจึงไม่คิดจะรีบร้อนออกเดินทางต่อ

เฉินผิงอันเก็บกระดานหมากและโถเก็บเม็ดหมากใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่เแล้ว เขาจับไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา สวมงอบให้เรียบร้อย แล้วจึงบอกลาจากไป

ก่อนหน้านี้ชำเลืองมองม่านฝนแวบหนึ่ง โยนเม็ดหมากแสดงถึงการยอมแพ้ ทบทวนกระดานสิ้นสุดลง ก็เป็นช่วงเวลาที่ฝนหยุดตกและท้องฟ้าสีครามใสกระจ่างพอดี

เดิมทีนี่ก็เป็นการเตือนโดยไร้เสียงอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน ส่วนข้อที่ว่าสตรี สวมหมวกม่านผู้นั้นจะสังเกตเห็นเบาะแสข้อนี้ได้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของนางแล้ว

บุรุษพกดาบคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าคนหนึ่ง อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็น่าจะ ถือว่าเป็นปรมาจารย์ที่ได้ยึดครองพื้นที่แถบหนึ่งในยุทธภพแล้ว

ส่วนสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าดูคล้ายกับผู้ฝึกลมปราณครึ่งตัว ขอบเขตไม่สูง น่าจะประมาณขอบเขตสองหรือสามเท่านั้น

เฉินผิงอันเพิ่งจะเดินออกมานอกศาลา เขาก็ต้องขมวดคิ้ว

บังเอิญขนาดนี้เชียว?

บนถนนเส้นเล็กในป่าเขาของชานเมืองแห่งนี้ เหตุใดถึงได้มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งควบม้าผ่านมา ด้วยสถานะของผู้เฒ่าแซ่สุย ก็น่าจะไม่มีศัตรูคู่อาฆาตใน ราชสำนักหรือในยุทธภพที่เป็นเช่นนี้

อาณาบริเวณอันกว้างขวางของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมถึงราชวงศ์ต้าจ้วน เป็นหนึ่งในนั้น แคว้นเล็กๆ อย่างหลันฝาง อู่หลิงนี้ บางทีอาจไม่แน่เสมอไปว่า จะต้องมีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองคนหนึ่งช่วยสยบโชคชะตาบู๊ ก็เหมือนกับแคว้นไฉ่อี แคว้นซูสุ่ยที่อยู่ภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปที่ส่วนใหญ่แล้วจะมีแต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกยอดเขาอย่างผู้อาวุโสซ่ง แค่ความสามารถในการต่อสู้ของพวกเขา ก็สามารถควบคุมดูแลยุทธภพของแคว้นหนึ่งได้แล้ว เพียงแต่คนล่างภูเขาพบเจอ เทพเซียนกลับไม่รู้ตัว ส่วนคนบนภูเขาก็ยิ่งพบเจอผู้ฝึกตนได้ง่าย แล้วก็เพราะตบะของเฉินผิงอันสูงพอ อีกทั้งสายตายังดีเยี่ยม ถึงได้พบเห็นผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ภูตประหลาดตามป่าเขาและภูตผีตามหมู่ชาวบ้านได้มากกว่าเดิม ไม่อย่างนั้น ก็จะเหมือนปีนั้นที่อยู่ในเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด เฉินผิงอันยังเป็นลูกศิษย์ของ เตาเผามังกร เวลาพบเจอใครก็รู้แค่ความต่างว่ามีเงินหรือไม่มีเงินเท่านั้น

ทว่าท่องเที่ยวเดินทางไกลไปทั่วทิศมานานหลายปีขนาดนี้ นอกจากสถานที่ อย่างภูเขาห้อยหัว เรือข้ามฟากแล้ว ถึงอย่างไรก็ยังพบเห็นคนธรรมดาได้มากกว่า เพียงแต่ว่าเรื่องราวกลับมีน้อยกว่าก็เท่านั้น

แต่เพียงไม่นานผู้ฝึกยุทธคนนั้นก็หยุดม้ารออยู่ห่างไปไกล คล้ายกำลังรอคอใคร

ข้างกายเขาน่าจะยังมีม้าอีกตัวซึ่งเป็นของผู้ฝึกตน

จากนั้นบนเส้นทางชาม้าโบราณอีกทิศทางหนึ่งของศาลาก็มีเสียงฝีเท้าที่เดินอย่างสะเปะสะปะดังขึ้นมา น่าจะเป็นคนประมาณสิบกว่าคน ฝีเท้ามีทั้งหนักและเบา แน่นอนว่าตบะก็ย่อมมีทั้งสูงและต่ำ

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไปเหยียบดินโคลน จากนั้นก็ชักเท้าขึ้นมาแล้วเอาพื้นรองเท้าที่เปื้อนโคลนมาถูบนขั้นบันได ถอนหายใจหนึ่งครั้ง เดินกลับเข้ามาในศาลา กล่าวอย่างจนใจว่า “นั่งต่ออีกหน่อยก็แล้วกัน รอให้มีแสงแดดส่องทางก่อนค่อยว่ากัน ไม่อย่างนั้นหากเดินไปทั้งแบบนี้ต้องลำบากมากแน่”

เด็กหนุ่มมีนิสัยไร้พันธนาการ เป็นคนร่าเริงมองโลกในแง่ดี อีกทั้งยังเพิ่งมาท่องยุทธภพเป็นครั้งแรก คำพูดคำจาจึงไร้ความยำเกรง เขายิ้มกล่าวว่า “ฉลาด!”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

หูซินเหวยรู้สึกจนใจเล็กน้อย เดี๋ยววันหน้าต้องบอกเจ้าเด็กผู้นี้เสียหน่อยแล้วว่าอยู่ในยุทธภพจะทำตัวกำเริบเสิบสานแบบนี้ไม่ได้

คิดไม่ถึงว่าสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้ากลับเปิดปากสั่งสอนเสียแล้ว “เป็นบัณฑิตแต่กลับไร้มารยาทถึงเพียงนี้ ยังไม่รีบขอโทษคุณชายเฉินอีก!”

เด็กหนุ่มรีบมองไปทางท่านปู่ของตน ผู้เฒ่าจึงยิ้มกล่าวว่า “บัณฑิตขอโทษคนอื่นยากนักหรือ? เป็นหลักการอริยะปราชญ์ในตำราที่แพงกว่าหรือเป็นหน้าของเด็ก อย่างเจ้าที่มีราคามากกว่ากันแน่?”

เด็กหนุ่มเองก็เป็นคนจิตใจกว้างขวาง เขาคลี่ยิ้มกว้างอย่างสดใส ยอมประสานมือคำนับขอโทษคนหนุ่มชุดเขียวสวมงอบจริงๆ คนที่ทัศนาจรไกลผู้นั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงยืนยิ้มอยู่ที่เดิม ไม่ได้พูดถ้อยคำเกรงใจทำนองว่าไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไร พวกนั้น

เด็กสาวปิดปากหัวเราะ ได้เห็นน้องชายผู้ดื้อรั้นถูกต้อนให้จนมุม คือเรื่องที่ น่าอารมณ์ดีอย่างหนึ่ง

ผู้เฒ่าแซ่สุยยิ้มกล่าว “คุณชาย พวกเราจะออกเดินทางกันต่อแล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “หากมีวาสนาคงได้พบเจอกันอีก”

เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเขาคิดจะเดินออกจากศาลาไปจูงม้า กลับเห็นคนในยุทธภพ ที่กรูกันมาจากอีกฝั่งหนึ่งเสียก่อน พวกเขาเดินก้าวยาวๆ มาเบื้องหน้าจนโคลนกระเด็นเปรอะเปื้อน

หูซินเหวยยืนจับดาบ ไม่ได้ขึ้นม้า ขณะเดียวกันก็ส่งสัญญาณมืออย่างเงียบๆ บอกเป็นนัยแก่คนทั้งสี่ข้างกายว่าไม่ต้องรีบร้อนขึ้นม้า หลีกเลี่ยงไม่ให้ตกเป็น ผู้ต้องสงสัยว่าหลุบตาลงต่ำมองเหยียดผู้อื่น

ชาวยุทธกลุ่มนั้นครึ่งหนึ่งเดินผ่านศาลาไปได้ก็เดินหน้าต่อ แต่จู่ๆ ชายร่างกำยำคนหนึ่งที่คอเสื้อแหวกอ้าก็ดวงตาเป็นประกาย หยุดฝีเท้า ตะโกนพูดเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราหยุดพักผ่อนกันสักครู่”

สตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าขมวดคิ้ว

หูซินเหวยพูดเบาๆ “หลีกทางให้พวกเขาก็พอ พยายามอย่าให้มีเรื่อง”

ผู้เฒ่าแซ่สุยพยักหน้ารับ เด็กหนุ่มเด็กสาวต่างก็พยายามขยับเข้าใกล้ผู้เฒ่า

คนชุดเขียวสวมงอบผู้นั้นก็คล้ายจะคิดแบบเดียวกัน ไม่กล้าปักหลักอยู่ในศาลาต่อ แต่เดินเบี่ยงตัวหลบไปอีกฝั่งหนึ่งของขั้นบันได ความคิดไม่แตกต่างจากพวกเขา นั่นคือ ยกศาลาให้กับชาวยุทธที่มองดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนจิตใจดีมีเมตตาอะไรกลุ่มนี้

ทว่าต่อให้คนหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยผู้นั้นจะระมัดระวังมากพอแล้ว แต่ก็ยังถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งในบรรดาคนสี่ห้าคนที่จงใจเดินเข้ามาในศาลาพร้อมกันชนกระแทกไหล่จนร่างไหวเอน

คนหนุ่มชุดเขียวเซถอยหลัง เอ่ยขออภัยหนึ่งคำ ทว่าชายฉกรรจ์ผู้นั้นกลับ นวดคลึงไหล่ของตัวเอง พูดอย่างเดือดดาลว่า “ทางกว้างขวางขนาดนี้ อย่าว่าแต่ เดินสองขาเลย ต่อให้เจ้ามียี่สิบข้า พวกเราเดินทางใครทางมันก็ยังได้ แต่เจ้ากลับ ไม่มีตา ยังจะมาเดินชนร่างข้าให้ได้? หรือจะบอกว่าเห็นข้ารังแกได้ง่าย รู้สึกว่าที่นี่ มีสตรีก็เลยอยากจะโอ้อวดความองอาจกล้าหาญของตัวเองเสียหน่อย?”

เสียงโถเก็บเม็ดหมากและกระดานหมากที่อยู่ในหีบของคนหนุ่มสะพายหีบไม้ไผ่ออกทัศนาจรไกลผู้นั้นกระทบกันจนเกิดเสียงดัง คนหนุ่มสีหน้าซีดขาว แต่ก็ยังพูด ขออภัยไม่หยุด ขยับเท้าเบี่ยงหลบออกจากประตูใหญ่ของศาลาอีกครั้ง

ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาดุดันผู้นั้นเดินหน้าตามไป เขายื่นมือออกไปผลักไหล่ ของบัณฑิตชุดเขียว ทำเอาฝ่ายหลังล้มแปะลงบนดินโคลนด้านนอกศาลาพักเท้า

สีหน้าของบัณฑิตหนุ่มหวาดกลัว ชำเลืองตามองกลุ่มคนที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของศาลา ทว่าผู้เฒ่าแซ่สุยกลับถอนหายใจ แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวก็ยิ่ง มีสีหน้าซีดขาวไร้เลือด หูซินเหวยเพียงแค่ขมวดคิ้ว มีเพียงสตรีสวมหมวกคลุมหน้า ที่ทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด เพราะถูกผู้เฒ่าแซ่สุยส่งสายตาบอกเป็นนัยว่า ห้ามสร้างเรื่อง เพราะถึงอย่างไรตลอดหลายปีมานี้หูซินเหวยก็ต้องลำบากตรากตรำ มามากกว่าจะได้ตีสนิทขุนนางคนหนึ่ง และได้ทำการค้าเส้นทางสายขาวที่มีเงินทองไหลมาเทมา หากอยู่ดีไม่ว่าดีไปสร้างคดีติดตัว จะยุ่งยากอย่างมาก กลุ่มคนป่าเถื่อนกลุ่มนี้ ฟังจากน้ำเสียงก็น่าจะไม่ใช่คนแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของหูซินเหวยที่เดิมที อยู่ระหว่างวิถีขาวและวิถีดำของแคว้นก็อาจจะไม่มีประโยชน์เสมอไป

อันที่จริงอารมณ์ของหูซินเหวยหนักอึ้งเคร่งเครียด ไม่ได้สงบมั่นคงอย่างที่แสดงออกมาทางใบหน้าเลยแม้แต่น้อย

เพราะในบรรดาคนกลุ่มนี้ มองดูเหมือนจะเป็นแค่พวกที่มีฝีมือการต่อสู้ ระดับล่างสุดของยุทธภพที่ชอบเอะอะโวยวายเท่านั้น แต่ในความจริงแล้วกลับไม่ใช่ เพราะนี่เป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาเอาไว้หลอกพวกลูกนกหัดบินทั่วไปในยุทธภพ หากไปมีเรื่องกับพวกเขาย่อมต้องหนังลอกไปชั้นหนึ่ง พูดถึงแค่ผู้เฒ่าคนหนึ่งในนั้น ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น เขาอาจจะจำหูซินเหวยไม่ได้ แต่หูซินเหวย กลับจดจำเขาได้อย่างแม่นยำ อีกฝ่ายคือปรมาจารย์วิถีมารที่สร้างคดีใหญ่ไว้ใน แคว้นจินเฟยหลายคดี มีนามว่าหยางหยวน ฉายาคือเจียวแม่น้ำขุ่น ฝึกวิชาเหิงเลี่ยน (การฝึกโดยใช้ฝ่ามือฟันผ่าวัตถุแข็งๆ อย่างต่อเนื่อง) ได้อย่างเชี่ยวชาญ วิชาหมัดดุร้ายอย่างถึงที่สุด ในอดีตเคยเป็นคนชั่วร้ายที่ได้ยึดครองเก้าอี้ลำดับต้นๆ ของกองโจรแคว้นจินเฟย หนีตายมาได้หลายสิบปีแล้ว ว่ากันว่าไปแอบซ่อนตัวอยู่ในแถบชายแดนแคว้นชิงสือและแคว้นหลันฝาง รวบรวมพวกคนชั่วร้ายกลุ่มใหญ่ให้มาเป็นลูกศิษย์ จากมารร้ายในยุทธภพที่อยู่เพียงลำพังตัวคนเดียว กลับสามารถสร้างพรรคมารที่มี คนมากอำนาจมากขึ้นมาได้ หลินซูเจ้าประมุขพรรคเจิงหริงหนึ่งในสี่ยอดฝีมือ ฝ่ายธรรมะของแคว้นจินเฟย ในอดีตก็เคยพาคนของฝ่ายธรรมะหลายสิบคนมาล้อมฆ่าคนผู้นี้ แต่เขาที่บาดเจ็บก็ยังหนีเอาชีวิตรอดไปได้

หากเป็นมารเฒ่าหยางหยวนผู้นั้นจริงๆ ต่อให้ปีนั้นอีกฝ่ายจะบาดเจ็บสาหัส ทิ้งโรคร้ายไว้เบื้องหลัง หลายปีที่ผ่านมานี้ก็อายุมากขึ้น เลือดลมเสื่อมโทรมลง วรยุทธไม่รุดหน้ากลับยังถอยหลัง และทุกวันนี้ก็อาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหูซินเหวย แต่ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็มีคนมากกว่า หากหลายปีมานี้อีกฝ่ายพักรักษาตัวได้ดีพอ วรยุทธยังคงยอดเยี่ยมอยู่ดังเดิม แบบนั้นหูซินเหวยก็จะยิ่งหนักใจมากกว่าเดิม ทางชาม้าโบราณสายนี้ เวลาปกติไร้เงาผู้คน หูซินเหวยถึงขั้นรู้สึกว่าการเดินทางมาคุ้มครองที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรครั้งนี้จะกลายเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะที่ตนจำต้องสู้สุดชีวิตเพื่อคนตระกูลสุยเสียแล้ว

เดิมทีหูซินเหวยยังกังวลว่าพี่ใหญ่สุยจะมีปณิธานของบัณฑิต ยืนกรานจะสอดมือเข้ายุ่งเรื่องนี้ให้จงได้ แต่ตอนนี้ดูท่าแล้วเขาคงจะคิดมากเกินไป ต่อให้ตนจะไม่ได้บอกถึงความร้ายกาจของตัวตนหยางหยวนผู้นั้น แต่พี่ใหญ่สุยก็ยังไม่คิดจะหาเรื่องใส่ตัว

เป็นหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้นจริงๆ ด้วย!

ผู้เฒ่าที่ท่าทางแข็งแรงกระปรี้กระเปร่าคนนั้นหันมามองหูซินเหวย หูซินเหวยลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนกุมหมัดคารวะ “เจ้าประมุขพรรคเหิงตู้แห่งแคว้นอู่หลิง หูซินเหวยคารวะสหายในยุทธภพทุกท่าน”

หยางหยวนคิดแล้วก็พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ไม่เคยได้ยินมาก่อน”

ทุกคนพากันหัวเราะครืน

หยางหยวนชำเลืองตามองสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า ดวงตาที่เดิมทีขุ่นมัว พลันส่องประกายเจิดจ้า ทว่าเพียงชั่วพริบตาก็หายวับไป หันหน้าไปมองอีกฝั่งหนึ่ง พูดกับชายฉกรรจ์ที่ใบหน้าดุดันผู้นั้นว่า “ยากนักกว่าที่พวกเราจะได้มาท่องในยุทธภพสักครั้ง อย่าเอาแต่ตีรันฟันแทงกับผู้อื่น บางครั้งที่กระทบกระทั่งกันโดยไม่ทันระวัง ให้อีกฝ่ายจ่ายเงินชดใช้ก็พอ”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย คนหนุ่มสะพายกระบี่ในมือถือพัดผู้หนึ่ง ที่ยืนอยู่ข้างกายหยางหยวนจึงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จ่ายเงินชดใช้มาห้าสิบหกสิบตำลึง ก็พอ อย่าทำตัวเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง ทำให้บัณฑิตตกอับคนหนึ่งต้องลำบากใจ”

บัณฑิตหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้นเพราะไม่กล้าลุกพูดด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม “ข้ามีเงิน มากขนาดนั้นเสียที่ไหน ในหีบไม้ไผ่มีแค่กระดานหมากกับโถเก็บเม็ดหมาก มีค่าแค่ สิบกว่าตำลึงเงินเท่านั้น”

มือกระบี่หนุ่มโบกพัดในมือ “แบบนี้ก็จัดการได้ยากแล้ว”

เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาอยากจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกผู้เฒ่าแซ่สุยดึงแขนเอาไว้ แล้วถลึงตาใส่อย่างดุดัน

เด็กหนุ่มตกใจกับสายตาที่ไม่คุ้นเคยของท่านปู่ จึงเงียบกริบราวจักจั่นในหน้าหนาว

ผู้เฒ่าแซ่สุยตวัดตามองบัณฑิตที่น่าสงสารเร็วๆ ครั้งหนึ่ง ยังดีที่เขาไม่มีท่าทีว่า จะขอยืมเงินจากตน ไม่อย่างนั้นหายนะจะถูกชักนำมา ตนคงต้องเปิดปากด่าอีกฝ่ายเพื่อตัดความสัมพันธ์อย่างเลี่ยงไม่ได้ แบบนั้นจะเป็นการทำลายความสุภาพสง่างามมากเกินไป และจะทำลายภาพลักษณ์ผู้มีเมตตาปราณีในสายตาของเด็กรุ่นหลังทั้งหลาย

ไม่รู้ว่าเหตุใดมารเฒ่าหยางหยวนที่กลับคืนสู่ยุทธภพอีกครั้งถึงได้โบกมือ ยิ้มกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ยังคงแหบพร่าเหมือนเสียงยามที่ใช้หินลับมีด “ช่างเถิด แค่ข่มขู่เล็กๆ น้อยๆ ก็พอ ให้บัณฑิตรีบไสหัวไปซะ เจ้าเด็กนี่ยังถือว่าพอจะมีปณิธาน มีความ กล้าหาญอยู่บ้าง เทียบกับพวกบัณฑิตที่นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แล้วกลับดีกว่ามาก อย่าว่าแต่เอ่ยถ้อยคำผดุงคุณธรรมก็กลัวว่าจะหาเรื่องใส่ตัวอะไรเลย ต่อให้ในมือมีมีดก็ยัง ไม่กล้า ไม่อย่างนั้นเกรงว่าคงต้องยกมีดฟันให้บัณฑิตหนุ่มคนนั้นตายไปก่อนถึงจะ สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป”

ชายฉกรรจ์ที่ใบหน้าดุร้ายรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ทำท่าจะยกเท้าเตะ บัณฑิตหนุ่ม ก็รีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน วิ่งอ้อมผ่านทุกคนออกไปจากทางเส้นเล็กจนดินโคลนกระเซ็นเปรอะเปื้อน

ผู้เฒ่าแซ่สุยสีหน้าผ่อนคลายเป็นปกติ

ทว่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลากลับใบหน้าแดงก่ำ เพราะฟังความนัยในถ้อยคำของตาเฒ่าผู้นั้นออก เขาจึงหงุดหงิดไม่สบอารมณ์

สตรีสวมหมวกคลุมหน้าเห็นว่าตรงสุดปลายทางสายเล็ก คนหนุ่มชุดเขียว หยุดฝีเท้าลง หันหน้ากลับมามองแล้วคลี่ยิ้มมีเลศนัยที่นางไม่แน่ใจว่าตัวเองตาฝาดไปหรือไม่ ก่อนจะก้าวยาวๆ จากไป

ทางฝั่งของหน้าประตูศาลา หยางหยวนชี้ไปยังคนหนุ่มถือพัดที่อยู่ข้างกาย สายตามองไปทางสตรีสวมหมวกคลุมหน้า “นี่คือศิษย์รักของข้า จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้แต่งภรรยา แม้ว่าเจ้าจะมีหมวกคลุมหน้าบดบังรูปโฉม อีกทั้งยังมวยผมทรงสตรีที่ ออกเรือนแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร ลูกศิษย์ของข้าไม่ถือสาเรื่องพวกนี้ เลือกวันดีไม่สู้ เลือกวันสะดวก พวกเราสองครอบครัวมาดองเป็นทองแผ่นเดียวกันดีไหม? อาจารย์ ผู้เฒ่าท่านนี้วางใจได้ แม้ว่าพวกเราจะเป็นคนในยุทธภพ แต่พื้นฐานครอบครัวไม่เลว สินสอดทองหมั้นมีแต่จะสมบูรณ์ยิ่งกว่ายามที่ลูกหลานอัครเสนาบดีของหนึ่งแคว้น สู่ขอภรรยา หากไม่เชื่อก็ลองถามองค์รักษ์พกดาบผู้นี้ของเจ้าดู มีฝีมือดีขนาดนี้ เขาก็น่าจะมองตัวตนของข้าผู้อาวุโสออกแล้ว”

ผู้เฒ่าแซ่สุยสีหน้าเขียวคล้ำ

หูซินเหวยมีสีหน้ากระอักกระอ่วน หลังจากใคร่ครวญหาถ้อยคำอยู่พักหนึ่งก็พูดกับผู้เฒ่าว่า “พี่ใหญ่สุย ท่านผู้นี้คือผู้อาวุโสหยาง หยางหยวน มีฉายาว่าเจียวแม่น้ำขุ่น คือปรมาจารย์ในยุทธภพท่านหนึ่งที่มีชื่อเสียงของแคว้นจินเฟยในอดีต”

เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ เสียงที่สั่นสะท้านเบาเหมือนเสียงยุง “หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นไม่ใช่ว่าถูกเจ้าประมุขหลินของพรรคเจิงหรง จอมยุทธใหญ่หลินฆ่าตายไปแล้วหรอกหรือ?”

ต่อให้เสียงของเด็กหนุ่มจะเบาแค่ไหน ตัวเขาเองอาจจะนึกว่าคนอื่นไม่ได้ยิน แต่เมื่อดังเข้าหูยอดฝีมือในยุทธภพอย่างพวกหูซินเหวยและหยางหยวนแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็น ‘ถ้อยคำรุนแรง’ ที่ได้ยินอย่างชัดเจน

หูซินเหวยหันหน้ามาตะคอกอย่างเดือดดาล “สุยเหวินฝ่า ห้ามพูดจาเหลวไหล! รีบขอโทษผู้อาวุโสหยางเดี๋ยวนี้!”

เด็กหนุ่มจึงประสานมือคารวะขออภัยอีกครั้ง

วันนี้เขาต้องขอโทษคนอื่นเป็นครั้งที่สองแล้ว

หยางหยวนผายมือข้างหนึ่งออกมา ยิ้มกล่าวว่า “ไปคุยกันข้างในเถอะ หน้าตาเล็กน้อยเพียงเท่านี้ หวังว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยแห่งแคว้นอู่หลิงจะยังมีมอบ ให้กันบ้าง”

ผู้เฒ่าแซ่สุยผ่อนลมหายใจโล่งอกเบาๆ ไม่ได้เปิดฉากเข่นฆ่ากันทันทีก็ดีแล้ว ภาพเหตุการณ์นองเลือดนั้น ในตำรามักจะกล่าวถึงเป็นประจำ ทว่าผู้เฒ่าไม่เคยเห็นเองกับตาจริงๆ มาก่อน

ในเมื่ออีกฝ่ายรู้จักตน เรียกตนว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่า ไม่แน่ว่าเหตุการณ์ครั้งนี้อาจจะมีโอกาสพลิกเปลี่ยน

ทั้งสองฝ่ายนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวด้านใต้ผนังของศาลาตรงข้ามกัน มีเพียงผู้เฒ่า หยางหยวนกับลูกศิษย์สะพายกระบี่คนนั้นที่นั่งอยู่บนม้านั่งยาวซึ่งหันหน้า เข้าหาประตู ร่างของผู้เฒ่าโน้มเอียงมาด้านหน้าเล็กน้อย ค้อมเอวกำหมัดไว้หลวมๆ ไม่มีท่าทางดุร้ายอย่างที่มารร้ายในยุทธภพสมควรมีแม้แต่น้อย เขายิ้มมองไปยัง สตรีสวมหมวกคลุมหน้าที่ยังไม่เคยเอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว รวมไปถึงเด็กสาวที่อยู่ ข้างกายของนาง แล้วผู้เฒ่าก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยไม่ถือสา สามารถดองเป็นทองแผ่นเดียวกันได้ถึงสองต่อ ในบ้านของข้ายังมีหลานชายที่เป็น เด็กดีอยู่อีกคนหนึ่ง ปีนี้เพิ่งจะเต็มสิบหกพอดี เขาไม่ได้ติดตามข้ามาท่องอยู่ในยุทธภพด้วย แต่เล่าเรียนจนมีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่แท้จริง หาใช่ว่า ข้าโป้ปดไม่ การสอบเคอจวี่ของแคว้นหลันฝางในปีนี้ หลานชายคนนั้นของข้าก็สอบติดเป็นจิ้นซื่อระดับสอง แซ่หยางนามรุ่ย ไม่แน่ว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยอาจจะเคย ได้ยินชื่อของหลานชายข้ามาก่อน”

จากนั้นผู้เฒ่าก็หันไปยิ้มเอ่ยกับลูกศิษย์ของตน “ไม่รู้ว่ารุ่ยเอ๋อร์ของข้าจะถูกใจสตรีคนใด ฟู่เจิน เจ้าคิดว่ารุ่ยเอ๋อร์จะเลือกใคร จะทะเลาะกับเจ้าหรือไม่?”

ลูกศิษย์ที่สะพายกระบี่รีบเอ่ยว่า “ไม่สู้รับคนที่อายุมากหน่อยเป็นภรรยาเอก คนที่อายุน้อยกว่ารับเป็นอนุภรรยา”

ผู้เฒ่าขมวดคิ้ว “แต่มันไม่ถูกต้องตามหลักมารยาทน่ะสิ”

ลูกศิษย์คนนั้นยิ้มกล่าวว่า “คนในยุทธภพอย่างพวกเราไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก หากไม่ได้จริงๆ ก็คงต้องให้แม่นางน้อยใหญ่ทั้งสองนี้ทนรับความอยุติธรรมสักหน่อย เปลี่ยนชื่อเปลี่ยนแซ่ไปเสียเลย แต่งให้กับหยางรุ่ยที่มีทั้งความสามารถ หน้าตา หล่อเหลา แถมยังชาติตระกูลดี หากไม่เป็นเพราะแคว้นหลันฝางไม่มีองค์หญิงหรือเสี้ยนจู่ที่อายุเหมาะสม ป่านนี้เขาก็คงได้เป็นราชบุตรเขยไปนานแล้ว แม่นางทั้งสองแต่งให้กับหยางรุ่ยของพวกเรา นับเป็นความโชคดีที่ใหญ่เพียงใด แค่นี้ก็น่าจะรู้จักพอได้แล้ว”

หูซินเหวยสะกดกลั้นไฟโทสะที่สุมแน่นอยู่เต็มทรวง “ผู้อาวุโสหยาง อย่าลืมล่ะว่าที่นี่คือแคว้นอู่หลิงของพวกเรา!”

หยางหยวนยิ้มกล่าว “หากเป็นหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงที่มานั่งอยู่ที่นี่ ข้าก็คงไม่เข้ามาในศาลาหลังนี้แล้ว บังเอิญยิ่งนัก ตอนนี้หวังตุ้นน่าจะอยู่ในเมืองหลวงต้าจ้วน แน่นอนว่าพวกเราคนกลุ่มใหญ่ที่เดินอาดๆ ข้ามอาณาเขตเข้ามา หากต้องมีคนตายจริงๆ พวกมือปราบที่ประสบการณ์โชกโชนทั้งหลายของแคว้นอู่หลิงย่อมต้องสืบเสาะจนหาเบาะแสพบอย่างแน่นอน แต่ก็ไม่เป็นไร ถึงเวลานั้นรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยจะต้องช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้เอง บัณฑิตให้ความสำคัญ กับชื่อเสียงเป็นที่สุดแล้ว เรื่องน่าเกลียดในบ้านย่อมไม่เอาไปแพร่งพรายข้างนอก”

หูซินเหวยถอนหายใจหนึ่งที หันหน้าไปมองผู้เฒ่าแซ่สุย “พี่ใหญ่สุย เอาอย่างไร?”

ผู้เฒ่าแซ่สุยมองไปยังผู้เฒ่าอีกคนที่แข็งแรงกระปรี้กระเปร่าแล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าหยางหยวนจะทำตัวไร้ขื่อไร้แปในแคว้นอู่หลิงของพวกเรา ได้จริงๆ”

หยางหยวนเพียงยิ้มรับ จากนั้นหันมาถามหูซินเหวยว่า “จอมยุทธใหญ่หูล่ะ ว่าอย่างไร? ไม่เพียงแต่ต้องเอาชีวิตของตัวเองมาเสี่ยง อาจจะยังต้องลากสำนักและ คนในครอบครัวมาซวยด้วย เพียงแค่เพื่อปกป้องสตรีสองคน ขัดขวางไม่ให้พวกเราสองบ้านแต่งงานเป็นทองแผ่นเดียวกัน? หรือว่าจะรู้อะไรควรไม่ควรเสียหน่อย วันหน้าที่รุ่ยเอ๋อร์ของข้าได้แต่งงาน เจ้าในฐานะแขกผู้มีเกียรติอันดับหนึ่งมาส่งมอบของขวัญอวยพรให้ถึงบ้าน จากนั้นข้าก็มอบของขวัญชิ้นใหญ่กลับคืนไปให้?”

ลูกศิษย์ที่สะพายกระบี่คนนั้นหัวเราะหึหึ “เมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก สตรีก็ย่อมว่านอนสอนง่ายกว่าเดิม”

หยางหยวนยิ้มพลางพยักหน้ารับ “คำพูดไม่น่าฟัง แต่เหตุผลนั้นถูกต้อง”

ผู้เฒ่าแซ่สุยเอ่ยอ้อนวอน “จอมยุทธใหญ่หู! ในช่วงวิกฤตอันตรายเช่นนี้ อย่าทอดทิ้งพวกเราเลยนะ!”

หูซินเหวยมีสีหน้าซับซ้อน ความคิดในหัวตีกันวุ่นวาย

หยางหยวนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “น่าเสียดายที่บัณฑิตหนุ่มคนนั้นไม่อยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเขาคงจะต้องใช้ถ้อยคำของบัณฑิตอย่างพวกเจ้ามาด่าบ้านญาติดอง อย่างพวกเจ้าสองสามคำแล้ว แต่ก็ดีแล้วล่ะที่เขาไม่อยู่ ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่ทาง ปล่อยให้บ้านญาติดองต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน ฆ่าได้ก็คงต้องฆ่า นิสัยของข้านี้ ถึงอย่างไรก็ดีกว่าในอดีตเยอะมากแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อที่บ้านมีรุ่ยเอ๋อร์ เพิ่มเข้ามา สำหรับบัณฑิตอย่างพวกเจ้า ไม่ว่าในท้องจะมีตำราอริยะปราชญ์เข้าไปอยู่สักกี่เล่ม ข้าก็ล้วนเคารพนับถืออย่างมาก”

สตรีสวมหมวกม่านพลันเปิดปากเอ่ยว่า “ข้าสามารถอยู่ต่อได้ ปล่อยพวกเขาไป จากนั้นพวกเราก็รีบเดินทางไปที่แคว้นหลันฝางทันที ต่อให้จะมีใครไปแจ้งทางการ แต่ขอแค่พวกเราข้ามชายแดน เข้าไปในแคว้นจินเฟยแล้ว ก็ไม่มีความหมาย อะไรแล้ว”

หยางหยวนส่ายหน้า “ปัญหาก็อยู่ตรงนี้นี่แหละ ครั้งนี้ที่พวกเรามาเยือนแคว้นอู่หลิงของพวกเจ้า การหาสะใภ้ให้รุ่ยเอ๋อร์เป็นเพียงผลพลอยได้ ยังมีธุระบางอย่าง ที่จำเป็นต้องทำอีก ดังนั้นการตัดสินใจของจอมยุทธใหญ่หูจึงสำคัญอย่างมาก”

หูซินเหวยพลันถามว่า “ต่อให้ข้าพยักหน้าตกลงอยู่ในศาลาแห่งนี้จริง แต่พวกเจ้าจะวางใจได้จริงหรือ?”

หยางหยวนยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องไม่วางใจ”

หูซินเหวยสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง บิดเอวแล้วปล่อยหมัดต่อยเข้าแสกหน้า ผู้เฒ่าแซ่สุย

อย่าว่าแต่ผู้เฒ่าที่อ่อนแอคนหนึ่งเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือในยุทธภพก็ไม่อาจ ทนรับหมัดที่ปล่อยอย่างเต็มแรงของหูซินเหวยได้

แต่นาทีถัดมา หูซินเหวยกลับถูกแสงกระบี่เส้นหนึ่งมาขัดขวางการออกหมัด เขาพลันหดมือกลับเข้ามาทันที

ที่แท้เบื้องหน้าผู้เฒ่าแซ่สุยมีกระบี่วางพาดขวางอยู่

คนที่ออกกระบี่ก็คือลูกศิษย์ที่เป็นผู้ภาคภูมิใจของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นผู้นั้น มือกระบี่หนุ่มเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือกระบี่ ใบหน้าประดับรอยยิ้มบางๆ “ยอดฝีมือของแคว้นอู่หลิงช่างทำให้คนผิดหวังจริงๆ ก็มีแค่หวังตุ้นคนเดียวเท่านั้น ที่พอจะถือว่าเป็นนกกระเรียนในฝูงไก่ เลื่อนสู่อันดับสิบคนใหม่ล่าสุดของต้าจ้วน แม้จะบอกว่าหวังตุ้นอยู่อันดับรั้งท้ายสุด แต่แน่นอนว่าต้องสามารถเอาชนะผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ในแคว้นอู่หลิงได้แน่นอน”

หยางหยวนขมวดคิ้ว “มัวพูดจาเหลวไหลอยู่ทำไม”

คนหนุ่มรู้ดีว่าตัวเองกระทำในสิ่งที่ไม่สมควร บนใบหน้าจึงมีปราณดุร้ายเสี้ยวหนึ่งวูบผ่าน เขาก้าวออกไปหนึ่งก้าว ประกายแสงกระบี่เปล่งวาบ ในศาลาหลังเล็ก เมื่อฝนใหญ่ตกผ่านไป เดิมทีไอร้อนก็ลดหายไปได้หลายส่วน และเมื่อมือกระบี่หนุ่มออกกระบี่ก็ยิ่งมีไอเยือกเย็นเข้าเกาะกุมหัวใจและผิวหนังผู้คน

หูซินเหวยถอยร่นไปหลายก้าว คำรามอย่างเดือดดาล “ผู้อาวุโสหยางคิดจะทำอะไร?!”

เผชิญหน้ากับแสงกระบี่เฉียบคมที่ประกายแสงเจิดจ้าตัดสลับอยู่เต็มศาลา หูซินเหวยยังเปิดปากเอ่ยถามได้ ก็เห็นได้ชัดว่าฝีมือของเขาสูงกว่าลูกศิษย์ของ หยางหยวนหนึ่งระดับ

มือกระบี่หนุ่มที่ต้องสูญเสียสาวงามที่แม้ไม่เห็นหน้าแต่ก็มีเรือนร่างอรชรอ้อนแอ้น ลำพังเพียงแค่ได้ยินนางพูดหนึ่งประโยคก็รู้สึกว่ากระดูกทั้งร่างคล้ายเป็นเหน็บชา แน่นอนว่าแล้วว่าต้องเป็นโฉมสะคราญคนหนึ่ง ต่อให้หน้าตาสู้รูปร่าง และเสียง ที่มีเสน่ห์ไม่ได้ แต่ก็คงไม่แย่ไปกว่ากันสักเท่าไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งนางยังเป็นคุณหนูของตระกูลปัญญาชนแห่งแคว้นอู่หลิง คิดดูแล้วคงมีท่วงทำนองที่แตกต่างไปจาก คนอื่นๆ คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะกลับกลายเป็นว่าได้ดีเจ้าเด็กหยางรุ่ยผู้นั้นไป เดิมที มือกระบี่หนุ่มก็สะสมโทสะไว้เต็มท้องอยู่แล้ว เวลานี้หูซินเหวยยังกล้าแบ่งสมาธิมาเอ่ยคำถาม ยามที่เขาออกกระบี่ใส่อีกฝ่ายจึงยิ่งดุดันรวดเร็วกว่าเดิม

สุยเหวินฝ่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาหลบอยู่ข้างกายของผู้เฒ่าแซ่สุย เด็กสาว สุยเหวินอี๋ที่ตัวสั่นก็อิงแอบอยู่ในอ้อมอกของอาหญิงนาง

สตรีสวมหมวกผ้าคลุมใบหน้าเอ่ยปลอบใจเสียงเบา “ไม่ต้องกลัว”

หยางหยวนค้อมเอวลงต่ำจนเรือนกายเหมือนวานร เขาดีดปลายเท้า แล้วเรือนร่าง ที่ปราดเปรียวก็พุ่งทะยานออกมา สบจังหวะช่องว่างปล่อยสองหมัดต่อยลงบนหน้าอกของหูซินเหวยที่หลบหนึ่งกระบี่มาได้อย่างหวุดหวิดเต็มแรง

ทำให้หูซินเหวยกระเด็นออกไปนอกศาลาแล้วตกกระแทกลงบนพื้นอย่างจัง เขากระอักเลือดไม่หยุด ดิ้นรนอยู่สองทีก็ยังลุกไม่ขึ้น

หยางหยวนหัวเราะเสียงเย็นอยู่ในใจ เมื่อยี่สิบปีก่อนเป็นเช่นนี้ ยี่สิบปีให้หลัง ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม มารดามันเถอะ ไอ้พวกจอมยุทธใหญ่ฝ่ายธรรมะในยุทธภพที่ชอบสร้างชื่อเสียงจอมปลอม แต่ละคนฉลาดไม่แพ้กัน ปีนั้นเป็นตนที่โง่เกินไป ถึงได้ไม่มี ที่หยัดยืนในยุทธภพแคว้นจินเฟยทั้งๆ ที่มีความสามารถอยู่เต็มตัว แต่ก็ดีเหมือนกัน เพราะได้รับโชคหลังเจอกับเคราะห์ ไม่เพียงแต่สามารถสร้างพรรคแห่งใหม่ ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในทุกๆ วันที่ชายแดนของสองแคว้นได้ ยังได้ไปผูกมิตรรู้จักกับ ยอดฝีมือที่แท้จริงสองคนในวงการขุนนางแคว้นหลันฝางและบนภูเขาแคว้นชิงสือด้วย

มือกระบี่หนุ่มกำลังจะพุ่งตัวออกไปจ้วงแทงหัวใจและศีรษะของจอมยุทธใหญ่หูซ้ำหลายๆ ที ทว่ากลับถูกหยางหยวนยื่นมือมาขัดขวางเอาไว้ ตอนที่หูซินเหวย เบี่ยงหน้าไปเช็ดคราบเลือด ริมฝีปากของเขาขยับเบาๆ หยางหยวนเองก็เป็นเช่นเดียวกัน

และเวลานี้เอง บนทางสายเล็กก็มีม้าสองตัวมุ่งหน้ามาช้าๆ เมื่อเจอกับ ‘ความขัดแย้งในยุทธภพ’ ครั้งนี้กลับไม่มีท่าทีว่าจะชะลอม้าให้หยุดลง

บนม้าตัวหนึ่งคือผู้เฒ่าพกดาบสวมชุดสีดำ บนม้าอีกตัวคือบุรุษอายุประมาณสามสิบกว่าปี

ทว่ายามที่ม้าทั้งสองควบผ่านศาลา ผู้เฒ่าไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองกลุ่มคน เพียงแค่ควบม้าผ่านไปอย่างเดียว

ผู้เฒ่าแซ่สุยกลับตะโกนขึ้นว่า “จอมยุทธทั้งสองท่านช่วยด้วย! ข้าคือสุยซินอวี่อดีตรองเจ้ากรมโยธาธิการของแคว้นอู่หลิง คนชั่วพวกนี้คิดจะชิงทรัพย์เอาชีวิตข้า!”

บุรุษที่อ่อนวัยกว่าผู้นั้นพลันบังคับหัวม้าให้หันกลับ ถามอย่างตกตะลึงระคนแปลกใจ “ใช่ท่านลุงสุยหรือไม่?”

สุยซินอวี่แคว้นอู่หลิงผู้มีชื่อเสียงด้านการปกครองและการเล่นหมากล้อมมากกว่าการเป็นขุนนางอึ้งตะลึง จากนั้นก็พยักหน้ารับอย่างแรง

หยางหยวนยิ้มกล่าว “ญาติบ้านดอง เจ้าก็ช่างไม่กลัวว่าจะทำให้คนบริสุทธิ์ ที่ผ่านทางมาต้องตายเปล่าเลยจริงๆ ตอนนี้ข้าเริ่มเสียใจที่เสนอเรื่องการแต่งงาน ทั้งสองครั้งนี้แล้ว สวรรค์เท่านั้นกระมังที่จะรู้ว่าวันใดจะถูกญาติบ้านดองอย่างเจ้า ขายหรือไม่”

บุรุษพลิกตัวลงจากหลังม้า ประสานมือคารวะ พูดด้วยเสียงสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “ผู้น้อยเฉาฟู่คาวระท่านลุงสุย! ปีนั้นเพื่อหลบเลี่ยงเคราะห์ภัย กลัวว่าจะเดือดร้อน ไปถึงท่านลุงสุย ผู้น้อยจึงได้แต่จากไปโดยไม่ลา แต่สุดท้ายก็ยังทำให้แม่นางสุยต้องเดือดร้อนอยู่ดี”

นอกจากหยางหยวน คนทั้งกลุ่มซึ่งรวมถึงลูกศิษย์ของเขาที่ชื่อว่าฟู่เจินต่างก็ หน้าเปลี่ยนสี แต่ละคนเริ่มอกสั่นขวัญแขวน

เฉาฟู่ผู้นี้คือบุคคลที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่อยู่ในแคว้นหลันฝางและแคว้นชิงสือ อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนจากผู้ฝึกยุทธปลายแถวที่ซัดเซพเนจรมาถึงแคว้นหลันฝาง กลายมาเป็น ลูกศิษย์เอกของเทพเซียนบนภูเขาแคว้นชิงสือท่านหนึ่ง แม้จะบอกว่าบนอาณาเขตของหลายสิบแคว้น ชื่อเสียงของผู้ฝึกตนไม่อาจข่มขวัญผู้คนได้มากพอ พวกชาวบ้าน ก็อาจจะไม่เคยได้ยินเสมอไป ทว่าถึงอย่างไรพวกพรรคทั้งหลายที่พอจะมีรากฐาน อยู่ในยุทธภพต่างก็รู้ชัดเจนดี ผู้ฝึกตนที่สามารถหยัดยืนไม่ล้มลงอยู่บนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นได้นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มีจวนตระกูลเซียนมีศาลบรรพจารย์ด้วยแล้ว ล้วนไม่มีใครที่รับมือได้ง่าย

เวลาหลายสิบปีมานี้ เฉาฟู่ลงจากเขามาฝึกประสบการณ์อยู่ในยุทธภพหลายครั้ง ว่ากันว่าข้างกายจะต้องมีผู้ปกป้องมรรคาติดตามมาด้วย เฉาฟู่แทบไม่เคยลงมือด้วยตัวเอง

ทว่าชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของเฉาฟู่กลับเลื่องลือไปทั่วทั้งแคว้นหลันฝางและ แคว้นชิงสือ ว่ากันว่าฮองเฮาที่มีความงามระบือไกลของแคว้นหลันฝางผู้นั้น ในอดีต ยังเคยเป็นศิษย์พี่หญิงของเขา

ด้วยเหตุนี้สิบปรมาจารย์ใหญ่และสี่สาวงามที่ราชวงศ์ต้าจ้วนคัดเลือกออกมา จึงมีสองคนที่มีความเกี่ยวข้องกับเฉาฟู่ คนหนึ่งก็คือศิษย์พี่หญิงที่เป็น ‘สาวงาม ดอกกล้วยไม้’ เป็นหนึ่งในสี่สาวงาม คนที่เหลืออีกสามสาม สองคนได้เป็นสาวงาม มานานแล้ว ลูกศิษย์คนสุดท้ายของราชครูต้าจ้วน เด็กสาวที่มีชาติกำเนิดจาก หมู่ชาวบ้านของแคว้นชิงหลิ่วที่อยู่ทางเหนือสุด ถูกแม่ทัพใหญ่ชายแดนคนหนึ่ง เก็บซ่อนเลี้ยงดูไว้ ด้วยเหตุนี้แคว้นใกล้เคียงยังเคยท้ารบกับชายแดนของแคว้นชิงหลิ่ว ว่ากันว่าก็เพื่อจะลักพาตัวเอาสาวงามที่เป็นภัยล่มเมืองผู้นี้ไป

อีกคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับลูกรักแห่งสวรรค์ซึ่งมีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างเฉาฟู่ผู้นี้ ก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่อยู่อันดับนำหน้าหวังตุ้นบนรายชื่อใหม่ของต้าจ้วน มือดาบที่มีนามว่าเซียวซูเย่ ทั้งเป็นปรมาจารย์ใหญ่ที่เลื่อนสู่ขอบเขตหลอมจิตในตำนาน แล้วก็ ยังเคยร่ำเรียนแก่นของวิชาอสนีที่ใช้เพียงมือเดียวก็สามารถกำราบปีศาจกำจัดมารร้ายมาจากอาจารย์ของเฉาฟู่ ดาบพกประจำกายที่ห้อยอยู่ตรงเอวซึ่งมีนามว่า ‘เมฆหมอก’ เล่มนั้นก็ยิ่งเป็นดาบอาคมตระกูลเซียนที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดโคลน สยบกำราบภูตผีได้ถ้วนทั่ว หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผู้เฒ่าชุดดำที่หยุดม้าหันหน้ากลับมาตามเฉาฟู่ก็คือ เซียวซูเย่แล้ว

เด็กสาวเงยหน้าขึ้น กอดแขนอาหญิงของนางพลางกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “ท่านอา คือท่านอาเฉาฟู่ที่เหวินฝ่าชอบพูดถึงคนนั้นจริงๆ หรือ?”

ฝ่ายเด็กหนุ่มสุยเหวินฝ่าก็ยิ่งมีน้ำตาร้อนๆ มาเอ่อคลอดวงตา เกี่ยวกับเรื่องราวในยุทธภพของท่านอาเฉาผู้นี้ เขาเลื่อมใสมานานมากแล้ว เพียงแต่ว่าไม่เคยแน่ใจว่าจะใช่บุรุษที่ปีนั้นจะได้แต่งงานกับอาหญิงของตนแต่ทางตระกูลกลับตกอับไปก่อนหรือไม่ ทว่าแม้แต่ในความฝันเด็กหนุ่มก็ยังคาดหวังให้เฉาฟู่เจ๋อเซียนจากแคว้นหลันฝางผู้นั้น ก็คือ จอมยุทธน้อยแห่งยุทธภพที่ในอดีตเกือบจะได้แต่งงานกับอาหญิงของตน

เฉาฟู่ยืดเอวขึ้นตรงแล้วก็ไปประคองจอมยุทธใหญ่หูผู้นั้นให้ลุกขึ้น

หูซินเหวยยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “คุณชายเฉา ต้องโทษข้าหูซินเหวย หากไม่เป็นเพราะพวกเจ้ามาถึงทันเวลา ต่อให้ต้องมอบชีวิตนี้ออกไป ข้าก็ยังไม่อาจปกป้องพี่ใหญ่สุยได้ หากกลายเป็นหายนะใหญ่ ต่อให้ตายร้อยรอบก็ยากจะชดใช้”

เฉาฟู่รีบก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ประสานมือคารวะอีกครั้ง “จอมยุทธใหญ่หู มีคุณธรรมน้ำใจ โปรดรับการคารวะจากผู้น้อยเฉาฟู่”

สุยซินอวี่แค่นเสียงหึในลำคอ โบกชายแขนเสื้อหนึ่งที “เฉาฟู่ คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ เมื่อครู่นี้ตอนที่จอมยุทธใหญ่หูประมือกับศัตรู อีกนิดเดียวก็เกือบจะไม่ทันระวังฆ่า ท่านลุงสุยของเจ้าแล้ว”

เฉาฟู่ตะลึงพรึงเพริด

สุยซินอวี่ถอนหายใจ “เฉาฟู่ เจ้ายังคงใจกว้างและมีคุณธรรมมากเกินไป ไม่รู้ถึงความอันตรายของยุทธภพ แต่ก็ช่างเถิด ยามประสบภัยจึงจะเห็นน้ำใจของมิตรแท้ ถือเสียว่าเมื่อก่อนข้าสุยซินอวี่ตาบอด ถึงได้รับจอมยุทธใหญ่หูเป็นสหาย หูซินเหวย เจ้าไปซะเถอะ วันหน้าตระกูลสุยของข้าไม่อาจปีนป่ายไปตีสนิทกับจอมยุทธใหญ่หูได้ อย่าได้คบค้าไปมาหาสู่กันอีกเลย”

หูซินเหวยหันหน้าไปถ่มเลือดสดคำหนึ่งลงพื้น ก่อนกุมหมัดก้มหน้าลงต่ำ “วันหน้าหูซินเหวยจะต้องไปเยือนจวนของพี่ใหญ่สุยเพื่อขออภัยอย่างแน่นอน”

บุรุษพกดาบใช้มือหนึ่งประคองหน้าอก อีกมือหนึ่งกดดาบ เดินโซซัดโซเซจากไป แผ่นหลังของเขาให้ความรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย

หยางหยวนยืนอยู่ตรงหน้าประตูศาลา สีหน้ามืดทะมึน กล่าวเสียงทุ้มหนัก “เฉาฟู่ อย่าคิดว่าอาศัยความสัมพันธ์กับทางสำนักแล้วจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ที่นี่คือแคว้นอู่หลิง ไม่ใช่แคว้นหลันฝาง ยิ่งไม่ใช่แคว้นชิงสือ”

สุยซินอวี่ลูบหนวดยิ้ม “คำพูดเช่นนี้ ทำไมข้าผู้อาวุโสฟังแล้วถึงได้รู้สึกคุ้นหูนักนะ”

สีหน้าของหยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นยิ่งกระด้างเย็นชา คล้ายกำลังสะกดกลั้นไฟโทสะเอาไว้ แต่กลับไม่กล้าลงมือทำอะไร นี่ยิ่งทำให้รองเจ้ากรมผู้เฒ่าของแคว้นอู่หลิงรู้สึกสาแก่ใจ สมกับคำว่าชีวิตคนไม่มีอะไรแน่นอน หลิวเขียวบุปผาบานสะพรั่ง พลันพบเจอหมู่บ้านกลางขุนเขาเสียจริง (เปรียบเปรยถึงสถานการณ์ที่พลิกผันกลับไปในทางที่ดี)

เด็กสาวสุยเหวินอี๋ที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของอาหญิงปิดปากหัวเราะ ดวงตาคู่นั้นหยีลงจนเป็นพระจันทร์เสี้ยว มองไปยังบุรุษที่ชื่อว่าเฉาฟู่ผู้นั้น หัวใจของนางแกว่งไกว ทว่าต่อมาสีหน้าของเด็กสาวก็หม่นหมองลง

สุยเหวินฝ่าเบิกตากว้างจ้องมองเฉาฟู่ที่ถือว่าเป็นอาเขยของตนครึ่งตัว เด็กหนุ่มรู้สึกว่าจะต้องจ้องมองจอมยุทธใหญ่แห่งยุทธภพที่เหมือนเดินออกมาจากตำราผู้นี้ไว้ให้มากๆ น่าเสียดายที่ท่านอาเฉาซึ่งลักษณะสุภาพคล้ายปัญญาชนไม่ได้พกดาบ พกกระบี่มาด้วย ไม่อย่างนั้นจะยิ่งสมบูรณ์แบบมากกว่านี้

เฉาฟู่เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้ตรงหน้าท้องยืนอยู่บนถนน แสดงถึงบุคลิกของคนมีชื่อเสียงออกมาอย่างเต็มที่ ทำเอารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยที่มองอยู่แอบพยักหน้ากับตัวเอง ไม่เสียแรงที่เป็นบุตรเขยซึ่งตนคัดเลือกมาให้บุตรสาว ในอดีต สมกับเป็นมังกรและหงส์ในหมู่คนจริงๆ

เฉาฟู่มองไปทางสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้าก่อน สายตาของเขาอ่อนโยนดุจสายน้ำ ความคิดถึงอาลัยอาวรณ์ที่อธิบายได้ไม่หมดสิ้นฉายชัดในแววตา จากนั้นจึงหันหน้า มามองหยางหยวน ทว่าบุคลิกท่าทางกลับกลายมาเป็นความสง่างามที่ถูกขัดเกลา มาจากในยุทธภพ เขาชักเท้าข้างหนึ่งไปไว้ด้านหลัง เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย ผายฝ่ามือข้างหนึ่งมาด้านหน้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยางหยวน หลายปีมานี้ตามหาเจ้าอย่างไรก็ไม่พบ ในเมื่อได้บังเอิญมาเจอกันแล้ว ก็ไม่สู้ลองประมือกันสักสองสามกระบวนท่าดีหรือไม่?”

หยางหยวนแค่นเสียงเย็น “ลำดับศักดิ์ของเจ้ายังห่างจากข้ามากนัก ให้ฟู่เจิน ลูกศิษย์ของข้าไปประมือกับเจ้าเถอะ เป็นตายรับผิดชอบเอาเอง ไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์และสำนักของแต่ละฝ่าย ตกลงไหม?”

ฟู่เจินมุมปากกระตุก

ทว่าหยางหยวนกลับกล่าวเสียงหนักขึ้นมาก่อนว่า “ฟู่เจิน ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ออกกระบี่แค่สามครั้งก็พอ”

ฟู่เจินถอนหายใจโล่งอก ยังดี อาจารย์ไม่ได้บีบให้ตนขึ้นไปบนเส้นทางแห่งความตาย

ฟู่เจินสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอความรู้จากเซียนซือใหญ่เฉาสักสามกระบวนท่าแล้ว”

ฟู่เจินที่ใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งส่งกระบี่ออกไปตรงๆ ก้าวเท้าไปด้านหน้า ประหนึ่งกบแตะผิวน้ำ พลิ้วไหวแผ่วเบา

กระบี่ที่มองดูเหมือนพลังอำนาจน่าพรั่นพรึงนี้ แท้จริงแล้วกลับยั้งพละกำลังเอาไว้ค่อนข้างมาก

ด้วยคิดว่าอย่างมากก็แค่ยอมเจ็บตัวเล็กๆ น้อยๆ ด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย แต่สามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้

ทว่าเพียงไม่นานฟู่เจินก็ต้องเสียใจจนไส้เขียว

คนผู้นั้นก้าวออกมาหนึ่งก้าว เอียงศีรษะเบี่ยงหลบ และในขณะที่ฟู่เจินกำลังลังเลว่าควรจะปาดกระบี่ออกไปให้พอเป็นพิธีดีหรือไม่นั้นเอง คนผู้นั้นก็พุ่งมาถึงด้านหน้า ฟู่เจินในเสี้ยววินาที ใช้ฝ่ามือข้างหนึ่งดันหน้าฟู่เจินเอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อักขระแห่ง ห้าอสนี จงออกมาจากตำหนักเจี้ยงกง”

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

ประหนึ่งมีสายฟ้ามาระเบิดอยู่บนหน้าของฟู่เจิน

ร่างของฟู่เจินที่เลือดสดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ตายคาที่พุ่งกระแทกผนังของศาลาที่หันเข้าหาประตูออกไป พริบตาเดียวร่างก็หายวับไปไม่เห็นเงา

กระบี่ที่หลุดออกจากมือเล่มนั้นถูกเฉาฟู่คว้าเอาไว้ เขาโยนไปง่ายๆ มันก็ไป ปักตรึงอยู่ในต้นไม้ใหญ่

สุยเหวินฝ่าเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาชมการต่อสู้ด้วยจิตใจอันฮึกเหิม เขายกมือเช็ดหน้าตัวเอง น้ำตาไหลร้องไห้ออกมาจริงๆ อย่าเรียกว่าอาเขยครึ่งตัวอะไรอยู่เลย เขาก็คืออาเขยในดวงใจของตน! เขาจะต้องขอเรียนวรยุทธมาจากอาเขยท่านนี้สักครึ่งหรือหนึ่งกระบวนท่า วันหน้าที่ตนแบกหีบตำราออกทัศนาจร…อย่างน้อยก็ไม่ต้องมีสภาพน่าเวทนาอย่างคนชุดเขียวที่ฝีมือเล่นหมากล้อมห่วยแตกก่อนหน้านี้ไม่ใช่หรือ? ถูกคนอื่นชนแล้วยังต้องเอ่ยขออภัย ถูกคนผลักจนล้มลงไปบนโคลนแล้วยังไม่กล้า พูดแรงๆ แม้สักคำ ทว่าตอนที่เผ่นหนีฝีเท้านั่นกลับไม่ช้าเลย แถมยังแบกหีบไม้ไผ่ สีเขียวใบใหญ่ขนาดนั้น น่าตลกจะตายไป

หยางหยวนเจียวแม่น้ำขุ่นรีบพาคนออกจากศาลาอย่างรวดเร็ว เฉาฟู่ยิ้มถามว่า “ท่านลุงสุย อยากให้ข้าขวางพวกเขาหรือไม่?”

ใบหน้าที่อยู่เบื้องหลังผ้าโปร่งบางของสตรีที่สวมหมวกคลุมใบหน้าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก

ผู้เฒ่าแซ่สุยคิดแล้วก็รู้สึกว่าอย่าให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนจะดีกว่า เขาจึงส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ช่างเถิด ถือว่าได้สั่งสอนพวกเขาแล้ว พวกเรารีบไปจากที่นี่กันเถอะ เพราะถึงอย่างไรด้านหลังศาลาก็ยังมีศพอยู่ศพหนึ่ง”

ส่วนพวกคนชั่วร้ายในยุทธภพที่เห็นท่าไม่ดีก็พากันจากไปกลุ่มนั้นจะไปทำร้ายคนที่เดินทางอีกหรือไม่

ทั้งสองฝ่ายที่ในอดีตเกือบจะได้เป็นพ่อตาลูกเขยกันอาจจะรู้กันดีอยู่ในใจ หรืออาจจะไม่ทันได้คิดถึง สรุปก็คือไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาต้องไปสนใจแล้ว

หลังจากได้พูดคุยกันพักหนึ่งก็รู้ว่าคราวนี้เฉาฟู่เพิ่งเดินทางมาจากแคว้นหลันฝาง ชิงสือและจินเฟย อันที่จริงเคยไปเยือนที่จวนตระกูลสุยในแคว้นอู่หลิงมาแล้ว แต่พอได้ยินว่ารองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยกำลังเดินทางไปเยือนราชวงศ์ต้าจ้วน ก็เร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืน สอบถามร่องรอยของพวกเขาไปตลอดทาง ถึงได้มาเจอกันที่ศาลาของถนนชาม้าโบราณแห่งนี้โดยบังเอิญ เฉาฟู่ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย เอาแต่พูดว่า ตนมาช้าเกินไป รองเจ้ากรมผู้เฒ่าหัวเราะเสียงดังไม่หยุด บอกไปตามตรงว่ามาเร็วไม่สู้มาถูกเวลา ไม่ช้าๆ ตอนที่เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ ผู้เฒ่าที่บุคลิกสุภาพสง่างามก็หันไปมองลูกสาวของตน น่าเสียดายที่สตรีสวมหมวกคลุมหน้าไม่เอ่ยอะไรสักคำ รอยยิ้มของ ผู้เฒ่ายิ่งกดลึก ดูท่าลูกสาวของตนจะเขินอายเสียแล้ว บุตรเขยดีๆ ที่มีเพียงหนึ่ง ไม่มีสองอย่างเฉาฟู่นี้ หากพลาดไปจะเป็นความเสียดายที่ใหญ่เทียมฟ้า ตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเฉาฟู่สวมชุดแพรกลับคืนบ้านเกิดแล้ว และยังไม่ลืมสัญญาหมั้นหมาย ในปีนั้น นี่เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกว่า เขาจะไม่มีทางยอมพลาดโอกาสนี้ไปอีกเด็ดขาด งานชุมนุมพืชหญ้าของราชวงศ์ต้าจ้วนนั่นไม่ต้องไปแล้วก็ได้ กลับไปบ้านเกิด จัดการเรื่องงานแต่งงานนี้ให้เรียบร้อยเสียก่อนจึงจะเป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง

ก่อนหน้านี้คำเรียกขานว่า ‘เซียนซือใหญ่เฉา’ ที่ลูกศิษย์ของหยางหยวน หัวหน้ามารร้ายกลุ่มนั้นเอ่ยเรียก

สุยซินอวี่จดจำได้ขึ้นใจ

เดิมทีเฉาฟู่คิดจะคุ้มกันผู้เฒ่าไปส่งที่เมืองหลวงต้าจ้วน บอกว่ายินดีจะติดตามไปด้วยตลอดทาง เพียงแต่พอได้ยินผู้เฒ่าบอกว่าจะกลับบ้านเกิด งานชุมนุมพืชหญ้า อยู่ไกลเกินไป กระดูกของเขาอาจจะทนรับการโยกคลอนเช่นนั้นไม่ไหว เฉาฟู่ จึงเปลี่ยนใจตามไปด้วย บอกว่าทุกวันนี้เมืองหลวงต้าจ้วนมีเจียวน้ำออกอาละวาด ไม่ไปก็ดีเหมือนกัน

คนทั้งกลุ่มเดินออกมาจากศาลา ต่างคนต่างขี่ม้าของตัวเอง เดินเลียบเส้นทางชาม้าโบราณสายนั้นลงเขาไปช้าๆ กลับไปยังเมืองอันเป็นที่ตั้งของจวนตระกูลสุยใน แคว้นอู่หลิง ยังเหลือระยะทางอีกไม่น้อย อีกทั้งยังต้องเดินทางผ่านเมืองหลวง อันที่จริงนี่ทำให้สุยซินอวี่อารมณ์ดีอย่างมาก คิดว่าเดินทางอ้อมไปสักเล็กน้อย ได้ไปเจอกับสหายเก่าที่เมืองหลวงก็ดีเหมือนกัน

ตอนที่สตรีสวมหมวกคลุมหน้าพลิกตัวขึ้นหลังม้า หางตาของนางชำเลืองมองไปยังสุดปลายทางถนนเส้นเล็กแล้วทำท่าครุ่นคิด

คนชั่วแห่งยุทธภพกลุ่มของหยางหยวนย้อนกลับไปทางเดิม หากไม่หนีไปบนทางสายเล็กที่แยกออกไปก็คงวิ่งตะบึงเผ่นหนีไปตามเส้นทาง ไม่อย่างนั้นหากพวกตนเลือกจะเดินทางไปเมืองหลวงต้าจ้วนต่อก็คงจะต้องพบเจอกันอีกเป็นแน่

ระหว่างเส้นทางลงเขา

ก่อนหน้านี้หลังจากที่หูซินเหวยเดินพ้นออกมาจากการมองเห็นของทุกคนแล้ว ก็เริ่มก้าวยาวๆ วิ่งตะบึงออกไปทันใด ผลกลับเห็นคนชุดเขียวสวมงอบผู้นั้น หูซินเหวยเห็นเจ้าเศษสวะผู้นี้แล้วก็ให้โมโห ด้วยรู้สึกว่าความซวยทั้งหมดในวันนี้ล้วนมีสาเหตุ มาจากคนผู้นี้ทั้งสิ้น หากไม่เป็นเพราะเขาดึงดันจะเล่นหมากล้อมอย่างอืดอาดยืดยาดอยู่กับตาเฒ่าแซ่สุยในศาลา ออกเดินทางจากศาลาเร็วกว่านั้นสักหน่อย หรือออกมาช้ากว่านี้อีกสักนิด ไม่แน่ว่าสถานการณ์ในวันนี้ เขาหูซินเหวยจะไม่เพียงแต่ยังมีสัมพันธ์ที่กลมเกลียวกับตระกูลสุยอยู่เหมือนเดิม ไม่แน่ว่าอาจจะถือโอกาสนี้ได้ตีสนิทกับเฉาฟู่ที่สูงส่งเหนือผู้ใดได้อีกด้วย ผลกลับกลายเป็นว่าเขาไม่เพียงทำให้สุยซินอวี่โกรธเคือง แม้แต่โอกาสที่จะพาตัวไปให้เฉาฟู่คุ้นหน้าคุ้นตาก็ยังไม่มี ไม่แน่ว่าเมื่อสตรี ที่มีรูปโฉมงดงามจนเขาไม่กล้าคิดชั่วด้วยผู้นั้นได้กลับมาเจอกับเฉาฟู่สามีครึ่งตัว ที่จากกันไปนาน ความสัมพันธ์ย่อมหวานชื่นยิ่งกว่าแต่งงานใหม่ แค่นางกระซิบ อยู่ข้างหมอนคำสองคำ หูซินเหวยก็กลัวว่าวันใดอยู่ดีๆ ตนจะบ้านแตกสาแหรกขาด กิจการล่มจมเอาได้!

ไปๆ มาๆ นั่นจะเป็นความเสียหายที่ใหญ่ถึงเพียงใด?

พอคิดถึงเรื่องพวกนี้

หูซินเหวยก็วาดเท้าเตะฟาดเข้าที่ศีรษะของบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้น ทำเอาร่างของฝ่ายหลังผลุบหายเข้าไปในป่าครึ้มนอกเส้นทาง พริบตาเดียวร่างก็หายวับไป ไม่เหลือเงา

อารมณ์ของหูซินเหวยถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย

จิตใจของหูซินเหวยปลอดโปร่งขึ้นบ้างแล้ว เขาจึงถ่มน้ำลายที่ปนด้วยเลือดออกมาแรงๆ ก่อนหน้านี้ถูกหยางหยวนใช้สองหมัดทุบลงมาบนหน้าอก มองดูเหมือน น่ากลัว แต่แท้จริงแล้วกลับบาดเจ็บไม่หนักนัก

ทว่าเมื่อหูซินเหวยเดินมาได้อีกประมาณครึ่งลี้ เขากลับพลันเบิกตากว้าง เหตุใดเบื้องหน้าถึงได้มีบัณฑิตหนุ่มในมือถือไม้เท้าเดินป่าคนนั้นปรากฎตัวอีกแล้วเล่า?

นี่ข้าผู้อาวุโสเจอผีกลางวันแสกๆ หรือไร?

หูซินเหวยเก็บหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอย่างระมัดระวังแล้วโยนออกไปเบาๆ

กระแทกเข้าที่ท้ายทอยของคนผู้นั้นพอดี คนผู้นั้นยื่นมือมากดศีรษะ หันหน้า มาด่าด้วยสีหน้าเป็นเดือดเป็นแค้น “ไม่จบไม่สิ้นสักทีรึ?”

หูซินเหวยอยากหัวเราะ แต่จู่ๆ กลับไม่กล้าหัวเราะ

หัวใจของหูซินเหวยบีบรัดตัวแน่น อยากจะพุ่งตัวออกไปจากเส้นทางชาม้าโบราณที่ทำให้เขารู้สึกเยือกเย็นขนหัวลุกสายนี้ เพียงแต่ว่าคนผู้นั้นกลับเดินกะเผลกตรงมา หาเขา ภาพเหตุการณ์ประหลาดนี้ทำให้หูซินเหวยได้แต่ยืนนิ่งไม่กระดุกกระดิก

สีหน้าของหูซินเหวยแข็งทื่อ

คนผู้นั้นจับประคองงอบ พูดกลั้วหัวเราะถามว่า “ทำไม มีทางสายใหญ่แต่ดันไม่เดิน? ไม่กลัวว่าจะถูกผีบังตาจริงๆ หรือ?”

หูซินเหวยกลืนน้ำลาย พยักหน้ารับ “เดินบนทางสายใหญ่ ต้องเดินบนทางสายใหญ่”

คนทั้งสองจึงเดินไปด้วยกันช้าๆ

หูซินเหวยชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง สังเกตเห็นว่าดูเหมือนฝีเท้าของคนผู้นี้จะไม่มั่นคง สีหน้าซีดขาวน้อยๆ หน้าผากมีเม็ดเหงื่อผุดซึม เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รีบกดลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน ปล่อยหมัดต่อยเข้าที่จุดไท่หยางข้างหนึ่งของอีกฝ่าย

เสียงปังดังหนึ่งครั้ง

คนผู้นั้นปลิวกระเด็นออกไปจากเส้นทางชาม้าโบราณอีกรอบ

หูซินเหวยใช้ฝ่ามือนวดคลึงหมัด เจ็บจริงๆ ทว่าคราวนี้อีกฝ่ายน่าจะตาย จนตายไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เพียงแต่ว่าเดินออกมาได้อีกหนึ่งลี้ คนชุดเขียวผู้นั้นก็มาปรากฏตัวอยู่ในการมองเห็นอีกครั้ง

คราวนี้เหงื่อเย็นๆ ไหลมาตามสันหลังของหูซินเหวย ทำให้เขาเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง

โชคดีที่คนผู้นั้นยังคงทำเพียงแค่เดินเข้ามาหาตน แล้วเดินเคียงบ่าลงจากเขา ไปช้าๆ พร้อมกับเขา

หูซินเหวยเหงื่อท่วมตัวราวกับตากฝน

แล้วด้านหลังก็มีเสียงฝีเท้าม้าระลอกหนึ่งดังขึ้นมา

หูซินเหวยพลันถอยหลังกรูด ตะโกนเสียงดังลั่น “พี่ใหญ่สุย คุณชายเฉา คนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับหยางหยวน!”

เพียงแต่ว่าม้าเหล่านั้นเพียงควบผ่านไป ไม่มีใครหันมาสนใจเขา

หูซินเหวยรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า

บัณฑิตหนุ่มยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แบบนี้ออกจะน่ากระอักกระอ่วนไปหน่อยนะ”

ทว่าจู่ๆ บัณฑิตหนุ่มก็ขมวดคิ้วแน่น

ในกลุ่มขบวนม้า สตรีที่สวมหมวกม่านใช้ริ้วคลื่นในหัวใจพูดกับเขาด้วยน้ำเสียงร้อนรน “คุณชายเฉินช่วยข้าด้วย!”

เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาทอดฝีเท้าให้ช้าลง พอเขาเดินช้า หูซินเหวยก็ต้องเดินช้าตามไปด้วย

ทว่าสตรีผู้นั้นคล้ายจะไม่ยอมถอดใจง่ายๆ พริบตานั้นนางพลันชักหัวม้าหันหลังกลับ ควบม้าตะบึงออกมาจากกลุ่มเพียงลำพัง หันหลังให้กับทุกคน พุ่งตรงเข้าหา คนชุดเขียวสวมงอบราวกับเสียสติ

ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังปากอ้าตาค้าง เห็นคนหน้าไม่อายมาเยอะแล้ว แต่กลับ ไม่เคยเจอใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน สตรีสวมหมวกคลุมหน้าผู้นั้น พลิกตัวลงจากหลังม้า มาหยุดยืนอยู่ข้างกายเขา จากนั้นก็หลบอยู่ด้านหลังเขาและ หีบไม้ไผ่ พูดเสียงเบาว่า “คุณชายเฉิน ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ฝึกตน ช่วยข้าด้วย”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมาถาม “ข้าเป็นพ่อเจ้าหรือเป็นปู่ของเจ้าล่ะ?”

สตรีผู้นั้นพลันปลดหมวกที่สวมอยู่ลง เผยให้เห็นดวงหน้าของนาง นางพูดอ้อนวอนอย่างเศร้าสลด “ขอแค่เจ้าช่วยเหลือข้าได้ เจ้าก็คือผู้มีพระคุณของข้าสุยจิ่งเฉิง ข้ายินดีจะตอบแทนด้วยร่าง…”

คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะยกฝ่ามือตบฉาดจนร่างของนางหมุนคว้างอยู่ที่เดิมหลายตลบ ก่อนจะล้มแปะลงไปกองอยู่กับพื้น นางที่นั่งอยู่บนพื้นถูกตบจนมึนงงไปหมด

คนผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้าอดทนกับคนตระกูลใหญ่อย่างเจ้ามานานแล้ว”

ทว่านาทีถัดมา คนผู้นั้นก็ถอนหายใจหนึ่งที ในมือของบัณฑิตอ่อนแอที่หันหน้าเข้าหานางกับหูซินเหวยพลันมีพัดไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งโผล่มาจากความว่างเปล่า เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ล่วงเกินคนงามแล้ว ล่วงเกินคนงามแล้ว”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version