Skip to content

Sword of Coming 521

บทที่ 521 เลื่อมใสมานาน เลื่อมใสมานาน

ม่านรัตติกาลมืดดำ เมื่อผ่านช่วงเวลาที่ง่วงที่สุดไปแล้ว สุยจิ่งเฉิงกลับไม่เหลือความง่วงงุนอีก ในนิยายจอมยุทธมีคำกล่าวถึงนกเค้าแมว นางรู้สึกว่าก็คือตน ในเวลานี้

วิชาเข้าฌานทำสมาธิที่บันทึกไว้ในสมุดเล่มเล็กล้วนระบุถึงแค่เวลาตอนกลางวัน ช่วงฤดูกาลแตกต่างกันไป และช่วงเวลาที่ฝึกตนในตอนกลางวันก็มีความแตกต่าง ช่วงท้ายของบันทึกมีตัวอักษรสี่ตัวที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้มากที่สุดระบุไว้ว่า บินทะยานยามกลางวัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่จากลากันบนถนนทางหลวง รองเจ้ากรมผู้เฒ่าถอดชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ที่บางราวปีกจักจั่นคืนให้บุตรสาวอย่างสุยจิ่งเฉิงด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์ และยังตักเตือนบุตรสาวเป็นการส่วนตัวว่า ตอนนี้โชคดีได้ติดตามเซียนกระบี่ไปฝึกตนบนภูเขาแล้ว ก็ถือว่าได้บรรพบุรุษของสกุลสุยช่วยปกปักษ์คุ้มครอง ดังนั้นจะต้องวางตัวให้ดี อย่าได้วางมาดเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่อะไรอีก ไม่อย่างนั้นจะเป็นการย่ำยีผลบุญที่บรรพบุรุษสร้างมาให้เสียเปล่า

คนผู้นั้นเอาแต่ฝึกวิชาหมัดที่น่าเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลา

สุยจิ่งเฉิงลุกขึ้นเดินไปเก็บกิ่งไม้แห้งจากรอบด้านมาเพิ่มเติม นางทำเลียนแบบ คนผู้นั้นด้วยการเอากิ่งไม้อังไฟเพื่อสลายความชื้นออกไปก่อน ไม่ได้โยนเข้าไปใน กองไฟโดยตรง

หลายปีมานี้นางฝึกตนอย่างติดๆ ขัดๆ ไม่ราบรื่นอย่างยิ่ง เนื่องจากไม่มีอาจารย์คอยช่วยชี้แนะ บวกกับที่เนื้อหาในสมุดเล่มเล็กที่นอกจากวิชาอภินิหารซึ่งใช้ได้จริงอย่างบังคับปิ่นทองให้เป็นเหมือนกระบี่บินที่สุยจิ่งเฉิงพอจะศึกษาจนเรียนเป็น เจ็ดแปดส่วนแล้ว ตัวอักษรในจุดอื่นๆ ล้วนเป็นเหมือนจุดประสงค์ในการเปิดสำนัก ซึ่งเป็นจุดสาระสำคัญที่เลื่อนลอยเกินไป ทำให้นางไม่อาจทำความเข้าใจได้เสียที ก็เหมือนที่คนผู้นั้นกล่าวว่า ‘หลักการเหตุผลสูงส่งและเลื่อนลอย’ อีกทั้งยังไม่มี คนคอยช่วยทบทวน ไขข้อข้องใจให้แก่นาง ดังนั้นนับตั้งแต่ที่อ่านหนังสือออก สุยจิ่งเฉิงจึงมานะตรากตรำศึกษาตำราเล่มเล็กมาโดยตลอด ทว่าก็ยังคงไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของมัน ดังนั้นอายุสามสิบกว่าปีแล้วก็ยังคงเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณที่ค้างอยู่ คอขวดของขอบเขตสองคนหนึ่ง

อันที่จริงสุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่นานว่าควรจะหยิบเอาเสื้อไผ่ ปิ่นทองและสมุดซึ่งเป็นวัตถุตระเซียนสามชิ้นนี้ออกมาด้วยตัวเองดีหรือไม่ หากผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่มี วิชาคาถายิ่งใหญ่หมายตาของชิ้นใด อันที่จริงนางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่นางกลัวว่าคนผู้นั้นจะเข้าใจผิดคิดว่าตนกำลังอวดฉลาด และตัวนางเองก็อวดฉลาดมาไม่ใช่แค่ครั้งเดียวแล้ว

เฉินผิงอันหยุดท่าหมัด กลับมานั่งข้างกองไฟแล้วยื่นมือออกมา “จะช่วยเจ้าลดเรื่องกังวลใจเรื่องหนึ่ง เอาออกมาเถอะ”

สุยจิ่งเฉิงจึงหยิบปิ่นทองสามชิ้น สมุดเล่มเล็กที่ยังคงแวววาวใหม่เอี่ยมราวกับ ไม่เคยผ่านกาลเวลาใดๆ มา ซึ่งด้านบนสลักตัวอักษรเป็นชื่อตำราว่า ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ ออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

สุ่ยจิ่งเฉิงเอ่ยเสียงเบาว่า “ผู้อาวุโส ปิ่นค่อนข้างจะประหลาดสักหน่อย มันผูกพันกับข้ามาตั้งแต่ข้ายังเด็ก ใครก็ตามที่จับมันจะโดนลวกมือ ในอดีตเคยมีสาวใช้พยายามจะขโมยปิ่นทองไปจากข้า ผลกลับกลายเป็นว่ามือทั้งมือถูกลวกเนื้อทะลุ เจ็บปวด จนนางดิ้นทุรนทุรายอยู่บนพื้น เป็นเหตุให้คนทั้งจวนจับได้ ภายหลังต่อให้บาดแผล บนมือจะได้รับการรักษาจนหายดีแล้ว แต่ตัวนางกลับเป็นโรคสติเลอะเลือน บางครั้ง ก็มีสติ บางครั้งก็เหมือนคนปัญญาอ่อน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด”

“ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันใช้มือหนึ่งรับสมุดมา อีกมือหนึ่งแบออก สุยจิ่งเฉิงจึงปล่อยมือออกเบาๆ ปิ่นทองสามชิ้นที่มีประกายแสงหลากสีไหลเวียนวนก็หล่นลงบนฝ่ามือของเฉินผิงอัน ปิ่นทองสั่นเล็กน้อย แต่ฝ่ามือของเฉินผิงอันกลับยังคงปลอดภัยดี เฉินผิงอันพิศดูอยู่ ครู่หนึ่งก็เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “ปิ่นทองถือเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเจ้าแล้ว บนโลกใบนี้การหลอมวัตถุแบ่งออกเป็นสามระดับ หลอมเล็กจำแลงเป็นภาพมายา พอจะเอาไปเก็บไว้ในช่องโพรงลมปราณของผู้ฝึกตนได้ แต่ใครก็ล้วนสามารถแย่งชิง ไปได้ หลังจากผ่านการหลอมกลางจะมีประโยชน์ที่มหัศจรรย์หลากหลายดั่ง สมบัติอาคมตระกูลเซียนที่ถูกเปิดใช้ ก็เหมือนกับ…ภูเขาไร้ชื่อไร้นามแห่งนี้ที่มี เทพภูเขาและศาลคอยพิทักษ์ปกป้อง หลอมใหญ่ก็คือวัตถุแห่งชะตาชีวิต ยอดฝีมือนอกโลกที่มอบวาสนาสามอย่างนี้ให้เจ้าคือยอดฝีมือที่แท้จริง ไม่พูดไม่ได้ว่ามรรคกถาลี้ลับมหัศจรรย์ อย่างน้อยก็ต้องเป็นเซียนดินอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่แน่ว่าอาจจะเป็น ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งก็ได้ ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดคนผู้นี้มอบโชควาสนาในการเดิน ขึ้นเขาให้เจ้าแล้ว แต่กลับละเลยไม่สนใจเจ้านานถึงสามสิบสี่ปี…”

สุยจิ่งเฉิงที่เงี่ยหูตั้งใจฟังมาโดยตลอดเอ่ยเบาๆ “แค่สามสิบสองปีเท่านั้น”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “อยากบอกด้วยไหมว่ากี่เดือน?”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้ากระอักกระอ่วน

เฉินผิงอันเอาสมุดเล่มนั้นวางไว้บนหัวเข่า สองนิ้วคีบปิ่นทองชิ้นหนึ่งขึ้นมา เคาะลงบนอีกชิ้นที่อยู่กลางฝ่ามืออีกข้างหนึ่ง เสียงใสกังวานเหมือนเสียงโลหะ ทุกครั้งที่ตีจะต้องมีรัศมีแสงกระเพื่อมแผ่เป็นชั้นๆ เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้นกล่าวว่า “ปิ่นทองสามชิ้นนี้คือ สมบัติอาคมชุดหนึ่ง มองดูเหมือนไม่แตกต่างกัน แต่ความจริงแล้ว กลับไม่ใช่ ชื่อของพวกมันแบ่งออกเป็น ‘หลิงซูชิงเวย’ ‘เหวินชิงเสินเซียว’ และ ‘ไท่เสียอี้กุ่ย’ มีความเป็นไปได้ว่าจะเกี่ยวข้องกับวิชาอสนีอันเป็นผู้นำของหมื่นคาถา”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเหลือเชื่อ นางทอดถอนใจเอ่ยว่า “ผู้อาวุโสช่างมีความรู้กว้างขวาง ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้จริงๆ!”

นี่คือคำพูดที่ออกมาจากใจจริงของนาง

ปิ่นทองสามชิ้นที่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่แตกต่าง เขากลับสามารถบอกได้แม้กระทั่งชื่อของพวกมัน?

เฉินผิงอันเหลือบตามองนางแวบหนึ่ง “บนปิ่นทองมีตัวอักษรสลักอยู่ ตัวอักษรเล็กมาก เพราะตบะของเจ้าต่ำเกินไป แน่นอนว่าย่อมมองไม่เห็น”

สีหน้าของสุยจิ่งเฉิงแข็งทื่อ

เฉินผิงอันโยนปิ่นทองสามชิ้นคืนให้สุยจิ่งเฉิงเบาๆ แล้วเริ่มเปิดสมุดเล่มเล็กที่มีชื่อประหลาดนั้นออกอ่าน แล้วเขาก็ต้องขมวดคิ้ว อ่านไปได้เพียงสองหน้าก็ปิดมันลงทันที

พอเขาเปิดตำราที่มีชื่อหน้าปกว่า ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนี้ออกอ่าน ก็มีแสงสว่างเปล่งวาบหนึ่งครั้ง ต่อให้จะเป็นสายตาและความจำของเฉินผิงอันก็ยัง ไม่สามารถจำเนื้อหาคร่าวๆ ของตัวอักษรในหน้าแรกได้ ก็เหมือนกับขบวนรบ บนสมรภูมิที่เดิมทีถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ แต่ชั่วพริบตากลับแตกกระจายกลายเป็นยุ่งเหยิงวุ่นวาย ไม่ต้องคิดก็รู้ได้ว่า นี่ต้องเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของสุยจิ่งเฉิง อีกชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน มีความเป็นไปได้มากว่าไม่ใช่แค่มีเพียงสุยจิ่งเฉิงที่เปิดออกแล้วมองเห็นตัวอักษรเท่านั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะให้นางเป็นคนถือหนังสือแล้ว พลิกเปิดแต่ละหน้า เนื้อหาที่ทั้งสองคนเห็นก็ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว

เฉินผิงอันกวักมือเรียกให้สุยจิ่งเฉิงมานั่งข้างกาย ให้นางลองพลิกเปิดดู สุยจิ่งเฉิงทำตามคำสั่งอย่างมึนงง และไม่นานเฉินผิงอันก็บอกให้นางเก็บสมุดเล่มเล็กไป เขากล่าวว่า “วิชาตระกูลเซียนนี้ระดับขั้นไม่ต่ำ เพียงแต่ว่าไม่สมบูรณ์ คนที่มอบหนังสือให้เจ้าในปีนั้นน่าจะตั้งความหวังกับเจ้าไว้สูง แต่ก็ไม่สามารถให้คนที่ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเป็นผู้ปกป้องมรรคาของเจ้าได้ ดังนั้นพอจากไปทีหนึ่งจึงนานถึง สามสิบกว่าปี”

สุ่ยจิ่งเฉิงมือหนึ่งถือปิ่นทอง อีกมือหนึ่งถือตำรา ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ในใจ ปิติยินดีมากยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็น ‘สาวงามตระกูลสุย’ อะไรนั่นเสียอีก

เฉินผิงอันเริ่มหลับตาทำสมาธิ มือทั้งสองข้างกุมแส้สายฟ้าสีทองที่ผ่านการ หลอมเล็กจนมีลักษณะเป็นไม้ไผ่เขียวเอาไว้หลวมๆ

บน ‘ไผ่เขียว’ ไม่มีตัวอักษรใดๆ มีเพียงรอยสลักเป็นเส้นๆ ที่เรียงติดกันแน่นขนัด

สุยจิ่งเฉิงพลันถามขึ้นว่า “ผู้อาวุโสอยากจะดูชุดคลุมอาคมที่ชื่อว่าเสื้อไผ่ตัวนั้นด้วยหรือไม่?”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าปั้นยาก พอเห็นว่านางมีสีหน้าจริงใจ ท่าทาง อยากรู้อยากลองเต็มที่ เฉินผิงอันก็กล่าวอย่างจนใจว่า “ไม่ต้องดูแล้ว ต้องเป็น สมบัติหนักตระกูลเซียนที่ไม่เลวชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน วัตถุอย่างเสื้อคลุมอาคมนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนล้ำค่ามาโดยตลอด ฝึกตนอยู่บนภูเขา ต้องเจอกับการเข่นฆ่าสังหารมากมาย โดยทั่วไปแล้ว ผู้ฝึกตนล้วนจะต้องมีวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่สองชิ้น หนึ่งโจมตีหนึ่งป้องกัน ในเมื่อยอดฝีมือคนนั้นมอบปิ่นทองให้เจ้าสามชิ้น ก็มี ความเป็นไปได้มากว่าเสื้อคลุมอาคมจะมีระดับขั้นพอๆ กับพวกมัน”

สุยจิ่งเฉิงที่รู้สึกตัวช้าหน้าแดงน้อยๆ แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก

เงียบกันไปครู่หนึ่ง คนผู้นั้นไม่ฝึกท่าหมัดอีก แต่กลับเริ่มเพ่งสมาธิเข้าฌาน เหมือนผู้ฝึกตน ลมหายใจของเขาทอดยาวเลือนราง สุยจิ่งเฉิงรู้สึกแค่ว่าบนร่างเขาคล้ายจะมีรัศมีแสงเป็นชั้นๆ ไหลเวียนวน หนึ่งสว่างไสวเหมือนแสงไฟ อีกหนึ่งนุ่มนวลอ่อนโยนเหมือนแสงจันทร์ สุยจิ่งเฉิงคิดแค่ว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ตรงหน้าผู้นี้เป็น ผู้ที่บรรลุมรรคา จึงสามารถสร้างภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ขึ้นได้ ต่อให้นาง จะมีตบะน้อยนิด แต่ก็ยังพอจะมองเบาะแสออกบ้าง ทว่าความจริงนั้นเป็นเพราะ สุยจิ่งเชิงคือตัวอ่อนของผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมอย่างแท้จริง นางมองไม่เห็น ตัวอักษรบนปิ่นทองก็เพียงแค่เพราะขีดจำกัดทางสายตา

ตอนนี้เห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดบนร่างเฉินผิงอันได้ก็เพราะพรสวรรค์ ที่โดดเด่นของนาง การรับสัมผัสที่มีต่อปราณวิญญาณในฟ้าดินจึงเหนือกว่าผู้ฝึกตน ห้าขอบเขตล่างทั่วไปอยู่มาก

สุยจิ่งเฉิงพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นางลังเลอยู่นาน แต่ก็ยังรู้สึกว่าเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องเล็ก จึงได้แต่เปิดปากถาม “ผู้อาวุโส การลงมือของเฉาฟู่กับเซียวซูเย่ครั้งนี้เลือกใช้วิธีที่อ้อมค้อมวกวน ลงมืออย่างลับๆ นอกจากไม่อยากดึงดูดความสนใจของราชวงศ์ต้าจ้วนและฮ่องเต้ของแคว้นเล็กบางแห่งทางแถบเหนือแล้ว ยังเป็นเพราะว่าพวกเขาเองก็กริ่งเกรงในตัวของยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้ข้ามากด้วยใช่หรือไม่? ไม่แน่ว่าการที่อาจารย์ของเฉาฟู่ เซียนดินโอสถทองอะไรนั่น และยังมีบรรพจารย์อาจารย์อาที่เป็นเจ้าตำหนักเกล็ดทองไม่ยินดีจะปรากฎตัว ก็คงเหมือนกับตอนที่ มาดักกลางทางแล้วเฉาฟู่ให้จอมยุทธถือดาบคนนั้นเผยตัวก่อน ก็เพื่อหยั่งเชิงว่า ผู้อาวุโสซ่อนตัวอยู่ตรงใดหรือไม่ ใช่หลักการเดียวกันหรือเปล่า?”

เฉินผิงอันลืมตาขึ้นอีกครั้ง เพียงยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยอะไร

สุยจิ่งเฉิงผู้นี้มีจิตใจที่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ

จากนั้นเขาก็อธิบายอย่างอดทนว่า “ผู้ฝึกตนบนภูเขา หากผูกปมแค้นกันแล้ว ก็ง่ายที่จะพัวพันยาวนานเป็นร้อยปี นี่ก็คือคำกล่าวที่ว่าบนภูเขามีกฎเกณฑ์ของ บนภูเขา ยุทธภพมีกฎเกณฑ์ของยุทธภพ เฉาฟู่และเซียวซูเย่ดูแคลนยุทธภพเกินไป รู้สึกว่าแค่เท้าเหยียบลงด้านล่างภูเขาก็สามารถเหยียบไปถึงก้นบึ้งของยุทธภพได้ พวกคนที่อยู่ในนั้นมีแต่กุ้งหอยปูปลา ทว่าพวกเขากลับไม่เคยรู้ถึงข้อห้ามของ การฝึกตนและสถานการณ์อันซับซ้อนของบนภูเขา แต่ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังพวกเขากลับรู้ชัดเจนดี ถึงได้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขากริ่งเกรงข้า เฉาฟู่ กริ่งเกรงแค่กระบี่บินของข้าเท่านั้น ทว่าคนเบื้องหลังกลับยังมีเรื่องใหญ่ให้ต้องกังวลมากกว่า นั่นก็คือยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาซึ่งเจ้าคิดได้ถึงผู้นั้น หากผู้ถ่ายทอดมรรคาของเจ้าเป็นเซียนดินต่างถิ่นคนหนึ่ง หลังจากพวกเขาชั่งน้ำหนักแล้วก็คงจะไม่ถือสาหากต้องลงมือทำการค้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

แต่หากผู้ปกป้องมรรคาที่ผู้ถ่ายทอดมรรคาคนนี้ส่งตัวมาให้เจ้าเป็นผู้ฝึก กระบี่โอสถทองคนหนึ่ง คนเบื้องหลังก็ต้องชั่งน้ำหนักความสามารถและรากฐานของตัวเองให้ดีว่าจะสามารถแบกรับการร่วมมือกันแก้แค้นของ ‘ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด’ สองคนได้หรือไม่”

ขนตาของสุยจิ่งเฉิงขยับกระพือเบาๆ

คนผู้นั้นพูดได้อย่างตรงไปตรงมาและตื้นเขิน แต่กลับ ‘ซุกซ่อนปราณสังหาร’ เอาไว้ เดิมทีสุยจิ่งเฉิงก็เป็นสตรีที่เฉลียวฉลาดและความคิดความอ่านรอบคอบอยู่แล้ว ยิ่งนางขบคิดก็ยิ่งได้รับผลเก็บเกี่ยว รู้สึกเพียงว่าม้วนภาพบนภูเขาที่ทัศนียภาพยิ่งใหญ่ตระการตาม้วนนั้น ในที่สุดก็มีมุมหนึ่งที่ถูกแหวกออกแล้ว

สุยจิ่งเฉิงพลันถามคำถามที่ไม่สอดคล้องกับนิสัยที่ผ่านๆ มาของนางอย่างยิ่ง “ผู้อาวุโส สมบัติตระกูลเซียนสามชิ้น ท่านไม่ต้องการสักชิ้นจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องการทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ” (มาจากประโยค คนมีความสามารถชื่นชอบทรัพย์สินที่ได้มาโดยชอบธรรม ไม่ต้องการทรัพย์สินที่ได้มาโดยมิชอบ)

สุยจิ่งเฉิงคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “มีความคิดที่มากกว่านี้หรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่มีแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “ก่อนหน้านี้เฉาฟู่ใช้เซียวซูเย่ล่อข้าออกไปตามแผนล่อเสือ ออกจากภูเขา แล้วก็เข้าใจผิดคิดว่าสามารถกุมชัยชนะไว้ในมือแล้ว เขามา ดักขวางทางเจ้าแล้วบอกกับเจ้าตามตรงถึงสิ่งที่เจ้าต้องเผชิญเมื่อติดตามเขาขึ้นไป บนภูเขา เจ้าไม่รู้สึกกลัวบ้างเลยหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงยังหวาดผวาอยู่มากจริงๆ จะถูกอาจารย์ของเฉาฟู่จับมาหลอมเป็นเตาที่มีชีวิต หลังจากได้รับการถ่ายทอดมรรคาแล้วจะต้องฝึกตนคู่กับบรรพจารย์ ตำหนักเกล็ดทองอะไรนั่น…

แม้ว่าจิตใจของสุยจิ่งเฉิงจะมุ่งเข้าหามรรคามาโดยตลอด แต่กลับไม่ต้องการ เป็นหุ่นเชิดน่าสงสารที่ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นนี้

เฉินผิงอันถอนหายใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ความตั้งใจเดิมของ ยอดฝีมือที่มอบโชควาสนาให้เจ้าคืออะไร? เคยคิดถึงความเป็นไปได้อีกอย่างหนึ่งหรือไม่ว่า หากคนผู้นี้มีตบะสูงยิ่งกว่า มีจิตใจชั่วร้ายและอันตรายยิ่งกว่า และวางแผนได้ยาวไกลยิ่งกว่าคนที่อยู่เบื้องหลังเฉาฟู่เล่า จะทำอย่างไร?”

เหงื่อเย็นๆ ผุดซึมจากทั่วทั้งร่างของสุยจิ่งเฉิง

เฉินผิงอันยื่นมือมากดลงบนความว่างเปล่าสองครั้ง บอกเป็นนัยแก่สุยจิ่งเฉิงว่า ไม่ต้องหวาดกลัวมากเกินไป แล้วถึงเอ่ยเสียงเบา “ก็แค่ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเท่านั้น เหตุใดเขาถึงได้กล้ามอบสมบัติหนักสามชิ้นให้แก่เจ้า ทั้งเป็นการมอบ โชควาสนาด้านการฝึกตนที่ใหญ่เทียมฟ้าให้แก่เจ้า แต่ก็ยังผลักเจ้าไปอยู่ในอันตราย ที่มองไม่เห็น เหตุใดเขาถึงไม่พาเจ้าไปอยู่พรรคตระกูลเซียนของตัวเองโดยตรง? เหตุใดไม่จัดหาผู้ปกป้องมรรคามาอยู่ข้างกายเจ้า? เหตุใดถึงแน่ใจว่าเจ้าจะสามารถอาศัยพละกำลังของตัวเองจนกลายเป็นผู้ฝึกตนได้? ปีนั้นเรื่องประหลาดที่แม่ของเจ้าฝันว่ามีเทพอุ้มเด็กผู้หญิงมามอบให้ มีความลี้ลับซับซ้อนอะไรหรือไม่?”

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก จากนั้นก็ใช้หลังมือยันหน้าผากเอาไว้ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “คิดแล้วแต่ก็ไม่เข้าใจ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เรื่องราวทางโลกส่วนใหญ่มักจะเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะคิดอย่างไรก็คิดไม่เข้าใจ แต่คิดได้อย่างกระจ่างแจ้งจริงๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป”

สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าเลื่อนลอย

ช่วงเวลาที่ผ่านมาต้องระหกระเหเร่ร่อนดั่งสุนัขไร้บ้าน เหตุการณ์พลิกผันขึ้นลง เรื่องในค่ำคืนนี้ ถ้อยคำไม่ประติดประต่อที่คนผู้นี้เอ่ยออกมาก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของนางเดี๋ยวพุ่งสูงเดี๋ยวดิ่งฮวบลงต่ำไม่หยุดนิ่ง

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หลังจากที่เจ้าตัดสินใจว่าจะไปแจกันสมบัติทวีปแล้ว ข้าถึงได้พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า นี่ก็เพราะต้องการให้เจ้าเลือกและละทิ้งสิ่งที่อยู่ในใจอีกครั้งหนึ่ง ควรจะรับมือกับยอดฝีมือที่เดินทางผ่านมาในปีนั้นซึ่งชั่วชีวิตนี้อาจจะไม่ปรากฎตัว หรืออาจจะปรากฏตัวในคืนนี้เลยก็ได้อย่างไร สมมติว่ายอดฝีมือคนนั้นมีเจตนาดี ต่อเจ้า เพียงแต่ว่าหากดูแลเจ้าในช่วงแรกเริ่มของการฝึกตนมากเกินไปจะเป็นการ ดึงหญ้าช่วยให้เติบโต และตอนนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องราวในแคว้นอู่หลิงและตระกูลสุย เพราะถึงอย่างไรผู้ฝึกตนยิ่งขอบเขตสูงเท่าไร พอปิดด่านก็ยิ่งไม่สนใจความร้อน ความหนาวในโลกมนุษย์มากเท่านั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สามารถไปเยือนแจกันสมบัติทวีปก่อนได้ชั่วคราว แต่กลับไม่สามารถรีบร้อนกราบชุยตงซานเป็นอาจารย์ แต่หากว่าคนผู้นั้นมีเจตนาร้ายกับเจ้า เจ้าก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้แล้ว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจแน่ใจในความจริงของเรื่องราวได้ ทีนี้จะทำอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงถามย้อนกลับอย่างมึนงง “ทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันหัวเราะขันอย่างฉุนๆ “ทำอย่างไรอะไร?”

สุยจิ่งเฉิงยื่นมือมาลูบใบหน้า แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา “หากเป็นก่อนหน้า ที่จะได้พบกับผู้อาวุโส หรือหากเปลี่ยนเป็นคนอื่นที่ช่วยเหลือข้าไว้ ข้าก็คงไม่สนใจอะไรอีก ยิ่งหนีไปไกลได้เท่าไรก็ยิ่งดี ต่อให้จะรู้สึกผิดต่อยอดฝีมือที่มีพระคุณยิ่งใหญ่กับข้าผู้นั้น ข้าก็จะพยายามสั่งตัวเองให้ไม่ไปคิดถึงเขาอีก แต่ตอนนี้ข้ารู้สึกว่ายังคง เป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่พูดได้ถูกต้อง บัณฑิตล่างภูเขาเจอหายนะยากจะรักษา ตัวรอดได้ก็จริง แต่ถึงอย่างไรก็ควรจะต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นบ้าง ถ้าอย่างนั้น ผู้ฝึกตนบนภูเขา เจอหายนะยากจะหลีกเลี่ยง แต่ก็ควรต้องรักษาจิตใจที่รู้สำนึก ในบุญคุณเอาไว้ ดังนั้นผู้อาวุโสก็ดี ผู้อาวุโสชุยตงซานคนนั้นก็ช่าง

ต่อให้ข้าโชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ของคนใดคนหนึ่ง ต่อให้เป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ หากชีวิตนี้ได้พบเจอยอดฝีมือท่านนั้นอีกครั้ง ต่อให้ขอบเขตของเขา จะไม่สูงเท่าพวกท่านทั้งสอง ข้าก็จะยังขอร้องท่านทั้งสองให้อนุญาตให้ข้า ได้เปลี่ยนสำนัก กราบยอดฝีมือท่านนั้นเป็นอาจารย์!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ควรจะเป็นเช่นนี้”

ที่ยิ่งหาได้ยากก็คือ อันที่จริงเฉินผิงอันมองออกว่าสุยจิ่งเฉิงกล่าวด้วยความจริงใจหรือไม่

คำพูดบางอย่าง จำเป็นต้องมองไม่ใช่ฟัง

นี่ก็คือข้อดีของการฝึกตนบนภูเขา

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงกล่าวอย่างสะท้อนใจว่า “หวังว่าการคาดเดาก่อนหน้านี้ จะเป็นเพียงแค่เพราะความคิดของข้าดำมืดเกินไป ข้ายังคงหวังให้ในอนาคตเจ้า กับยอดฝีมือคนนั้นกลายเป็นอาจารย์และศิษย์ จับมือกันเดินขึ้นเขา ชื่นชมภูเขาแม่น้ำไปด้วยกัน”

สุยจิ่งเฉิงแอบหัวเราะ หรี่ตามองเขา

คราวนี้เฉินผิงอันเข้าใจถ้อยคำไร้เสียงในดวงตาของนางได้ทันที เขาจึงถลึงตาใส่นาง “ข้าและเจ้าแค่มีท่าทีในการมองโลกเหมือนกันเท่านั้น แต่สภาพจิตใจของเจ้าและข้ากลับไม่เหมือนกัน”

สุยจิ่งเฉิงหลุดส่งเสียงหัวเราะอย่างอดไม่ได้ นางเริ่มกวาดตามองไปรอบด้าน ทำท่าเหมือนเด็กๆ อย่างที่หาได้ยาก “อาจารย์ ท่านอยู่ไหน?”

สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเขาจะทำเหมือนผู้อาวุโสเซียนกระบี่ชุดเขียวที่สะพายหีบไม้ไผ่ในตอนแรกหรือไม่ บางทีเขาอาจจะอยู่ใกล้สุดขอบฟ้า หรืออาจจะอยู่ใกล้แค่ ตรงหน้าก็ได้?

เฉินผิงอันหัวเราะตามไปด้วย

แน่นอนว่า ‘อาจารย์’ คนนั้นของสุยจิ่งเฉิงไม่ได้ปรากฏตัว

หลังจากนั้นคนทั้งสองก็ไม่ได้จงใจอำพรางร่องรอย แต่เนื่องจากสุยจิ่งเฉิงต้องฝึกตนตามเวลาที่แน่นอนในตอนกลางวัน ระหว่างเดินทางไปเยือนเมืองหลวงแคว้นอู่หลิง เฉินผิงอันจึงเช่ารถม้าหนึ่งคัน ตัวเองทำหน้าที่เป็นสารถี สุยจิ่งเฉิงเป็นฝ่ายพูดถึง กุญแจสำคัญในการฝึกตนที่อยู่ใน ‘ตำราซ่างซ่างเสวียนเสวียน’ เล่มนั้น อธิบายถึงวิธีการเข้าฌาน บอกว่าในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน ภาพปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นก็จะ ไม่เหมือนกัน อย่างเช่นว่าบางครั้งดวงตาของนางจะชุ่มชื้นเหมือนมีไอหมอกลอยอวล บางครั้งดวงตาก็จะเจ็บแปลบเหมือนมีสายฟ้าล้อมวน หรือไม่ในอวัยวะภายในก็เกิดแรงสั่นสะเทือนและมีเสียงดังสนั่นไม่หยุด อันที่จริงเฉินผิงอันก็ให้คำแนะนำอะไรไม่ได้ นอกจากนี้สุยจิ่งเฉิงที่ไม่มีความชำนาญ แต่กลับอาศัยตัวเองจนฝึกตนมาได้นาน เกือบสามสิบปีโดยที่ไม่ทิ้งโรคร้ายใดๆ ไว้ กลับกันผิวพรรณยังนุ่มเนียน ดวงตาสองข้างใสกระจ่าง ก็น่าจะไม่มีความผิดพลาดใหญ่ใดๆ แล้ว

ตลอดทางมานี้เดินทางกันอย่างราบรื่น ไม่หยุดพักทั้งวันทั้งคืน

ก็เหมือนปีนั้นที่ส่งพวกหลี่ไหวเดินทางไปยังสำนักศึกษาต้าสุยที่ไม่เพียงแต่ มีการกระทบกระทั่ง มีความกลมเกลียวสามัคคี แต่อันที่จริงสิ่งที่มากกว่านั้น กลับเป็นเรื่องหยุมหยิมเหมือนบรรยากาศในหมู่ชาวบ้าน

อย่างเช่นว่าทุกครั้งที่หลี่ไหวจะไปอึไปฉี่ก็จะต้องลากเฉินผิงอันไปด้วยถึงจะกล้าไป โดยเฉพาะกลางดึกที่ต่อให้เป็นครึ่งคืนหลังที่อวี๋ลู่เป็นผู้เฝ้ายาม เฉินผิงอันที่เฝ้ายาม ครึ่งคืนแรกหลับสนิทไปนานแล้ว แต่ก็ยังถูกหลี่ไหวเขย่าปลุกให้ตื่น จากนั้นเฉินผิงอันที่งัวเงียก็ต้องเดินไปไกลๆ เป็นเพื่อนเจ้าคนที่เอาสองมือกุมเป้ากางเกงหรือไม่ก็จับก้น ตลอดการเดินทางครั้งนั้นเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด เฉินผิงอันไม่เคยว่ากล่าวอะไรหลี่ไหว ส่วนหลี่ไหวเองก็ไม่เคยพูดคำขอบคุณอะไร

แต่เด็กในชนบทก็ไม่ค่อยเคยชินกับการพูดคำว่าขอบคุณกับคนอื่นจริงๆ ก็เหมือนกับบัณฑิตผู้นั้นที่ไม่ค่อยเต็มใจอยากจะพูดว่าข้าทำพลาดไป

แต่ถึงอย่างไรหลี่ไหวก็เก็บเอาไปใส่ใจ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ล้วนมองออกว่าในกลุ่มเดินทางปีนั้น หลี่ไหวใส่ใจเฉินผิงอันที่สุด ต่อให้ผ่านมานานหลายปี เล่าเรียนศึกษา อยู่ในสำนักศึกษามานาน หลี่ไหวเองก็มีเพื่อนเป็นของตัวเองแล้ว แต่กับเฉินผิงอัน เขาก็ยังคงมีสภาพจิตใจของเจ้าเด็กขี้ขลาดที่เก่งเฉพาะในโปงผ้าห่มของตัวเอง อย่างในปีนั้น หากเกิดเรื่องเข้าจริงๆ คนแรกที่คิดถึงก็คือเฉินผิงอัน ถึงขั้นคิดถึง เฉินผิงอันก่อนพ่อแม่และพี่สาวที่อยู่ห่างไกลไปคนละทวีปด้วยซ้ำ เพียงแต่ว่า หนึ่งเป็นความรู้สึกพึ่งพา อีกหนึ่งเป็นความรู้สึกคิดถึงพะวงหา ความรู้สึกแตกต่าง ทว่ากลับลึกซึ้งเหมือนกัน

ส่วนสุยจิ่งเฉิงที่ถึงแม้จะถือว่าเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่เลี่ยงธัญพืชทั้งห้า อีกทั้งยังเป็นสตรี ดังนั้นปัญหาจึงไม่ได้น้อยไปกว่ากัน

ก่อนหน้านี้ตอนที่เฉินผิงอันซื้อรถม้าคันหนึ่งจากอำเภอที่เจริญรุ่งเรืองจึงจงใจ อยู่นานขึ้นอีกหนึ่งวัน ค้างแรมในโรงเตี๊ยม ตอนนั้นสุยจิ่งเฉินที่รู้สึกว่านอนกลางดิน กินกลางทรายจนตัวเองน้ำหนักหนึ่งร้อยหกสิบจิน (ประมาณแปดสิบกิโลกรัม) เหมือนยกภูเขาออกจากอก นางขอยืมเงินส่วนหนึ่งมาจากเฉินผิงอัน บอกว่าจะไป ซื้อของใช้บางอย่าง จากนั้นก็เปลี่ยนมาสวมชุดกระโปรงตัวใหม่เอี่ยม และยังซื้อ หมวกคลุมหน้าบดบังใบหน้าของตนอีกหนึ่งใบ

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันจงใจดูแลสุยจิ่งเฉิงเป็นพิเศษ แต่เป็นเพราะตัวเขาเองไม่ได้ รีบร้อนเดินทาง เขารู้เส้นทางอยู่ในใจตัวเองคร่าวๆ แล้ว ขอแค่ไม่ถ่วงเวลาการไปถึงแคว้นลวี่อิงช่วงเข้าฤดูใบไม้ร่วงก็พอ

ดังนั้นท่ามกลางแสงสนธยาของวันนี้ ริมหินก้อนใหญ่ที่มีน้ำเซาะไหลผ่าน เฉินผิงอันจึงหยิบเอาเบ็ดตกปลาออกมา ทรายไหลเคลื่อนเปลี่ยนแต่หินใหญ่อยู่นิ่งกับที่ อยู่ดีๆ เขาก็สามารถตกปลาหลัวซือชิงหนักสิบกว่าจินตัวหนึ่งขึ้นมาได้ ตอนที่คนทั้งสอง ดื่มแกงปลา เฉินผิงอันเล่าให้ฟังว่าใบถงทวีปมีปลาหลัวซือชิงอยู่ในทะเลสาบบนภูเขาแห่งหนึ่งที่มหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ขอแค่มีชีวิตอยู่มาเกินร้อยปี ในปากก็จะอมหิน สีเขียวขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันเอาไว้ เป็นหินที่บริสุทธิ์อย่างมาก หากใช้เวทลับ บดให้ละเอียดแล้วตากแดดก็จะกลายมาเป็นวัตถุดิบในการวาดยันต์ที่ผู้ฝึกตน พรรคมหายันต์ปรารถนาอยากครอบครองแม้ในยามหลับฝัน

สุยจิ่งเฉิงรับฟังด้วยความตกตะลึง

บางครั้งคนทั้งสองก็จะประลองหมากล้อมกัน ในที่สุดสุยจิ่งเฉิงก็แน่ใจแล้วว่า ผู้อาวุโสเซียนกระบี่คนนี้เป็นคนที่เล่นหมากล้อมได้ห่วยจริงๆ เม็ดหมากช่วงแรกๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง มหัศจรรย์ไร้ข้อบกพร่อง แต่จากนั้นยิ่งเล่นก็ยิ่งห่วย

ครั้งแรกที่เล่นด้วยกัน สุยจิ่งเฉิงเอาจริงเอาจังอย่างมาก เพราะนางรู้สึกว่า การประลองฝีมือในศาลาครานั้น ผู้อาวุโสต้องเก็บงำฝีมือของตัวเองอย่างแน่นอน

ภายหลังสุยจิ่งเฉิงก็ยอมรับชะตากรรม

ผู้อาวุโสท่านนี้ได้แต่ท่องจำรูปแบบวิธีการเล่นแบบตายตัวบางอย่างได้เท่านั้น

โชคดีที่ผู้อาวุโสก็ไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าขายหน้าสักเท่าไร เล่นสิบครั้งแพ้สิบครั้ง ตอนที่ทบทวนกระดานยังขอความรู้วิธีการวางหมากที่ยอดเยี่ยมบางอย่างจาก สุยจิ่งเฉิงด้วย แน่นอนว่าสุยจิ่งเฉิงไม่กล้าปิดบัง สุดท้ายตอนที่เดินเล่นในร้านหนังสือของเมืองแห่งหนึ่ง นางยังเลือกตำราหมากล้อมมาสองเล่ม เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘ตำราต้ากวานจื่อ’ เป็นตำราที่ใช้หัวข้อตายตัวเป็นหลัก อีกเล่มหนึ่งบันทึกรูปแบบ การเล่นที่แน่นอนโดยเฉพาะ ตอนนั้นที่อยู่ในอำเภอผู้อาวุโสได้มอบเงินทองให้นาง ส่วนหนึ่ง แล้วบอกว่าให้นางเก็บเอาไว้ ดังนั้นซื้อตำราสองเล่มจึงมากพอเหลือแหล่

คืนนี้ระหว่างที่เดินทาง ตอนที่ผ่านสุสานร้างชานเมืองแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสพลันหยุดรถม้าแล้วเรียกให้สุยจิ่งเฉิงออกมานอกรถ จากนั้นก็ใช้สองนิ้วเคาะลงบนหว่างคิ้วของนางเบาๆ บอกให้นางเพ่งสมาธิมองไปยังจุดหนึ่ง สุยจิ่งเฉิงเลิกผ้าโปร่งบางขึ้น เห็นเพียงว่าบนหลุมศพแห่งหนึ่งมีจิ้งจอกขาวแบกโครงกระดูกกำลังกราบไหว้ ดวงจันทร์ นางถามว่านี่เป็นเพราะอะไร ผู้อาวุโสบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน เห็นปีศาจจิ้งจอกจำแลงร่างเป็นสาวงามล่อลวงบัณฑิตมามาก แต่จิ้งจอกที่แบก โครงกระดูกกราบไหว้ดวงจันทร์เช่นนี้ เขาเองก็เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก

รถม้าออกเดินทางต่ออีกครั้ง

จิ้งจอกแบกกระดูกขาวที่ได้ยินความเคลื่อนไหวร่างหายวูบไป ครู่หนึ่งต่อมา ข้างทางก็มีสตรีเรือนกายอรชรอ้อนแอ้นคนหนึ่งมายืนชม้อยชม้ายชายตา เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่สุยจิ่งเฉิงที่นั่งอยู่ด้านนอกห้องโดยสารกลับมีโทสะเล็กน้อย นางปลดหมวกคลุมหน้าลง เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง สตรีผู้นั้นเหมือนถูกฟ้าผ่า สบถพึมพำบางอย่างกับตัวเองแล้วหมุนตัวจากไปทันที สุยจิ่งเฉิงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง สวมหมวกกลับคืนไปอีกครั้ง ขาสองข้างที่ห้อยอยู่นอกตัวรถแกว่งส่ายเบาๆ

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เจ้าจะโมโหปีศาจจิ้งจอกตัวหนึ่งไปทำไม?”

สุยจิ่งเฉิงตอบ “จำแลงร่างเป็นสตรีมาล่อลวงบุรุษ มิน่าเล่าพวกชาวบ้านถึง ชอบด่าคนด้วยคำว่าปีศาจจิ้งจอก วันหน้ารอให้ข้าฝึกวิชาเซียนสำเร็จเมื่อไหร่จะต้องสั่งสอนพวกมันให้ดีๆ สักหน่อย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ปีศาจจิ้งจอกไม่ได้เป็นแบบนี้ไปเสียทั้งหมด มีบางส่วนที่แม้จะซุกซนแต่ก็จิตใจดี ข้ายังเคยได้ยินว่าจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์ในทวีป แดนเทพแผ่นดินกลางมีผู้ถวายงานเป็นจิ้งจอกฟ้าอยู่ตัวหนึ่ง เพื่อแสดงความซาบซึ้ง ที่ปีนั้นเทียนซือผู้เฒ่าใช้ตราประทับเทียนซือประทับลงบนหนังของมัน ช่วยให้มัน รอดพ้นทัณฑ์สวรรค์จากการเลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบนมาได้

ภายหลังจึงคอยปกป้องคุ้มครองลูกศิษย์ของจวนเทียนซืออยู่ตลอดเวลา ถึงขั้น ยังช่วยขัดเกลาจิตแห่งเต๋าให้พวกเขาด้วย”

สุยจิ่งเฉิงจดจำเรื่องราวบนภูเขาที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่าเรื่องเล่าพิสดารในนิยายเหล่านี้ไว้ในใจเงียบๆ เพียงแต่ความคิดสุดท้ายของนางคือ ปีศาจจิ้งจอกตนนั้นอาจจะไม่ได้งดงามมากกว่านางเสมอไป

ยามสนธยาของวันนี้ได้เดินทางผ่านศาลเก่าแก่โบราณในพื้นที่แห่งนี้ เล่าลือกันว่าในอดีตมักจะมีคลื่นลูกยักษ์ถาโถม ทำให้เรือของพวกชาวบ้านไม่อาจข้ามแม่น้ำได้ จึงมีเซียนบรรพกาลวาดยันต์ลงบนกระดาษ แรดหินก็พุ่งออกจากกระดาษขาว กระโดดลงไปสยบภูตน้ำที่อยู่ในน้ำ นับแต่นั้นมาคลื่นลมก็นิ่งสงบ สุยจิ่งเฉิงเข้าไป จุดธูปในศาลพร้อมกับเฉินผิงอัน เถ้าแก่ร้านขายธูปที่จุดเชิญธูปคือคู่สามีภรรยา หนุ่มสาว ภายหลังพอไปถึงท่าเรือ สุยจิ่งเฉิงพบว่าสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นั้นขึ้นรถม้ามาด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใดพวกเขาถึงได้นั่งคุกเข่าก้มกราบ บอกว่าขอร้องให้ท่านเซียน พาพวกเขาข้ามแม่น้ำไปด้วย

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบตกลง สุดท้ายเฉินผิงอันและสุยจิ่งเฉิงกับสามีภรรยาคู่นั้น รวมไปถึงรถม้าก็โดยสารเรือข้ามฟากลำใหญ่ยักษ์ข้ามแม่น้ำไปด้วยกัน พอขึ้นมาบนฝั่ง รถม้าขับออกมาได้หลายลี้แล้ว สามีภรรยาหนุ่มสาวก็เปิดปากขอลงจากรถ สุยจิ่งเฉิง ที่นั่งอยู่ในห้องโดยสารกับสามีภรรยาหนุ่มสาวค่อนข้างจะเบียดเสียด และนาง ก็สังเกตเห็นเรื่องประหลาดอีกหลายเรื่อง ตอนที่รถม้าข้ามแม่น้ำมา สามีภรรยาคู่นั้นเหงื่อแตกท่วมตัวราวกับกลัวว่าเรืออาจล่มได้ทุกเมื่อ คนทั้งสองนั่งตัวแนบชิดติดกัน จับมือกันไว้ ท่าทางราวกับมองความตายเป็นดั่งมาตุภูมิ ทำเอาสุยจิ่งเฉิงเป็นกังวล ไปด้วย เข้าใจผิดคิดว่าในแม่น้ำใหญ่จะมีภูตออกอาละวาดและอาจคว่ำเรือให้จมได้ ทุกเมื่อ แต่พอคิดว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่นั่งอยู่ด้านนอก จิตใจนางก็สงบลงได้มาก

หลังจากสามีภรรยาลงจากรถก็คุกเข่าก้มกราบอีกครั้ง ถึงขั้นเป็นการกราบ ด้วยพิธีใหญ่สามโขกเก้าคำนับ

สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าผู้อาวุโสไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิมรับพิธีการใหญ่นี้ เพียงแต่ว่าพอสามีภรรยาหนุ่มสาวที่น้ำตาคลอคู่นั้นลุกขึ้นยืน ผู้อาวุโสกลับพูดว่า “ภูตผีปีศาจทำความดีสะสมบุญ มรรคาไร้ความลำเอียง ย่อมต้องได้รับการปกป้อง”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเพียงว่ามีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นมากมาย เพราะพอคู่สามีภรรยา ได้ยินประโยคนี้กลับทำท่าเหมือนได้รับอภัยโทษ แล้วก็คล้ายว่าได้รับการกรอกเทสติปัญญา ถึงขั้นทำท่าจะลงไปคุกเข่าอย่างจริงใจอีกครั้ง

เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้อาวุโสกลับยื่นมือมาประคองบุรุษหนุ่มเอาไว้ “ไปเถิด ภูเขาสายน้ำยาวไกล มหามรรคายากลำบาก จงรักษาตัวให้ดี”

สามีภรรยาหนุ่มสาวไม่ได้เดินไปบนทางหลวง แต่เดินออกจากเส้นทางไป พอห่างไปไกลคู่สามีภรรยาก็หยุดเดินแล้วหันกลับมา คนหนึ่งค้อมเอวประสานมือคารวะ อีกคนหนึ่งยอบตัวถอนสายบัว

จากนั้นรถม้าก็ขับเข้าไปในทางสายเล็กเส้นหนึ่ง สุยจิ่งเฉิงที่กำลังจะถามถึง เรื่องสามีภรรยาคู่นั้นพลันเบิกตากว้าง เห็นเพียงว่ามีริ้วคลื่นกระเพื่อม ก่อนที่ เทพเกราะทองในมือถือทวนเหล็กจะมาปรากฏตัวอยู่บนถนน

เฉินผิงอันหยุดรถม้า พลิ้วกายลงบนพื้น กุมหมัดสองข้าง จากนั้นจึงถามว่า “พวกเรากระทำการไปโดยพลการ ได้ทำให้เทพวารีลำบากใจหรือไม่?”

เทพเกราะทองที่มีสีหน้าเคร่งขรึมส่ายหน้ายิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้มีกฎเกณฑ์พันธนาการ ข้ามีภาระหน้าที่ติดตัว จึงไม่อาจปล่อยพวกเขาไปได้ สามีภรรยาคู่นั้น ควรได้รับโชควาสนานี้ เพราะทำความดีจึงได้รับการปกป้องจากท่าน แม้ตรากตรำลำบากมาร้อยปี แต่สุดท้ายก็ข้ามผ่านมหานทีนี้ไปได้”

องค์เทพเกราะทองเปิดทางให้ด้วยการขยับตัวเบี่ยงข้าง ทวนเหล็กในมือทิ่มลงบนพื้นดินเบาๆ “เทพน้อยน้อมส่งท่านเดินทางไกล”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะอีกครั้ง คลี่ยิ้มเอ่ยอำลา แล้วย้อนกลับไปที่รถม้า บังคับรถขับเคลื่อนผ่านองค์เทพเกราะทองที่เฝ้าพิทักษ์แม่น้ำสายนี้ไปช้าๆ

สุยจิ่งเฉิงเงียบงันไปนาน สุดท้ายถามเบาๆ ว่า “ผู้อาวุโส นี่ก็คือการฝึกตน จนประสบความสำเร็จกระมัง? สามารถทำให้เทพเกราะทองที่มีอายุขัยยาวนาน ท่านหนึ่งเป็นฝ่ายเปิดทางน้อมส่งผู้อาวุโสด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันกลับตอบไม่ตรงคำถาม เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าควรต้องรู้ว่า บนภูเขาไม่ได้มีแค่พวกคนอย่างเฉาฟู่ และในยุทธภพก็ไม่ได้มีแค่คนอย่างเซียวซูเย่ เรื่องบางเรื่องต่อให้ข้าบอกกับเจ้ามากแค่ไหน ก็ไม่สู้ให้เจ้าไปประสบพบเจอ ด้วยตัวเอง”

ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ รถม้ามาจอดอยู่ในจุดที่เงียบสงัดไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง ผู้อาวุโสยอมสิ้นเปลืองแรงกายและเวลาอย่างที่หาได้ยากเพื่อต้มเนื้อตุ๋นหน่อไม้อ่อนหม้อหนึ่ง

สำหรับข้อที่ว่าเหตุใดหน่อไม้แรกฤดูใบไม้ผลิถึงยังคงสามารถสดใหม่ได้ในช่วง ฤดูร้อนที่อากาศร้อนที่สุดเช่นนี้ แล้วเหตุใดถึงไม่ได้หยิบออกมาจากหีบไม้ไผ่ สุยจิ่งเฉิงคร้านที่จะคิดแล้ว

แต่สุยจิ่งเฉิงก็ยังรู้สึกได้ว่าการข้ามแม่น้ำคราวนั้น ทำให้ผู้อาวุโสที่อายุยังน้อยอารมณ์ดีอยู่มาก

เกี่ยวกับอายุของผู้อาวุโสเซียนกระบี่ ก่อนหน้านี้สุยจิ่งเฉิงเคยเอ่ยถาม แรกเริ่ม ผู้อาวุโสไม่ได้สนใจ ภายหลังนางทนความอยากรู้ในใจไม่ไหว จึงลองหลอกถามอีก สองครั้ง เขาถึงได้บอกว่าตนอายุประมาณสามร้อยกว่าปีแล้วกระมัง

สุยจิ่งเฉิงจึงมีใจมุ่งมั่นต่อการฝึกตนมากขึ้น

วันนี้เดินทางผ่านเมืองที่ครึกครื้นซึ่งอยู่ใกล้กับหมู่บ้านภูเขาซ่าส่าวแห่งหนึ่ง ก็ได้เจอเข้ากับงานวัดพอดี

ทุกๆ ระยะทางช่วงหนึ่งจะมีร้านที่ลักษณะคล้ายคลึงกันปูผ้าวางตุ๊กตาดินเผา และคนจิ๋วเครื่องกระเบื้องไว้เต็มพื้น เงินหนึ่งอีแปะก็สามารถแลกเอาห่วงไม้ไผ่สานห่วงเล็กมาจากเจ้าของร้าน หรือไม่เงินสองอีแปะก็สามารถแลกมงกฎกิ่งหลิวอันใหญ่มาได้ ผู้คนเบียดเสียดกันเนืองแน่น แล้วก็มีผู้ใหญ่ที่คอยช่วยเด็กๆ โยนห่วงไม้ไผ่ มงกฎหลิว พอมีผู้ใหญ่ที่สามารถโยนห่วงครอบตุ๊กตาดินเผาหรือคนจิ๋วเครื่องกระเบื้องเหล่านั้นได้ พวกเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายก็จะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ

ตอนนั้นเฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “คนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงของพวกเจ้าน้อยแค่นี้เองหรือ?”

แรกเริ่มสุยจิ่งเฉิงยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงถามเช่นนี้ จึงตอบพาซื่อไปว่า “แคว้นอู่หลิงของพวกเราฝ่ายบุ๋นรุ่งโรจน์กว่า ดังนั้นพอมีผู้อาวุโสหวังตุ้นปรากฎตัว คนทั้งราชสำนัก ต่อให้เป็นขุนนางบุ๋นอย่างบิดาข้าก็ยังรู้สึกเป็นเกียรติ หวังว่าจะอาศัยหูซินเหวยไปทำความรู้จักกับผู้อาวุโสหวังตุ้นให้ได้”

รอจนรถม้าขับออกมาได้ระยะทางช่วงหนึ่งแล้ว สุยจิ่งเฉิงถึงได้คิดจนกระจ่างถึงสาเหตุที่ผู้อาวุโสถามคำถามนั้น

หากผู้ฝึกยุทธมีเยอะ ร้านแผงลอยในงานวัดก็อาจจะยังมี แต่ไม่มีทางมีมากขนาดนั้น เพราะหากโชคไม่ดีก็เท่ากับว่าทำการค้าที่ขาดทุน ไม่เหมือนพ่อค้าในงานวัดตอนนี้ ที่แต่ละคนได้กำไร เพียงแค่ต่างกันที่ว่าได้กำไรมากหรือน้อยเท่านั้น

สุยจิ่งเฉิงสะทกสะท้อนใจ

บางทีนี่ก็คงเป็นหนึ่งในเส้นสายที่ถูกอำพรางไว้ของโลกใบนี้กระมัง?

หากไม่เป็นเพราะได้เจอกับผู้อาวุโส บางทีชั่วชีวิตนี้ตนก็อาจจะไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้

ไม่คิด ก็ไม่มีความเสียหายใดๆ ชีวิตยังคงดำเนินต่อ คิดแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีผลประโยชน์ที่เห็นผลในทันตาอะไร

มีครั้งหนึ่งผ่านสวนแตง รถม้าหยุดลง เฉินผิงอันไปนั่งยองอยู่ข้างคันดินของสวน เหม่อมองผลแตงที่เป็นสีเขียวสดปลั่งน่ารักเหล่านั้น

หวนนึกไปถึงในอดีต ใต้ต้นไหวโบราณจะต้องมีคนหลายคนยกตะกร้าสานไม้ไผ่ออกมาจากในบ่อโซ่เหล็ก พวกคนเฒ่าคนแก่เล่าเรื่องเก่าแก่ พวกเด็กๆ ก็กินแตงโม ที่เย็นฉ่ำ ร่มเงาต้นไหวครึ้มเย็น จิตใจคนก็ปลอดโปร่งเย็นสบายตามไปด้วย

สุยจิ่งเฉิงกระโดดลงจากรถม้า ถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนบนภูเขาอย่าง ผู้อาวุโสก็อยากกินแตงโมด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันเงียบไปนาน สุดท้ายกล่าวว่า “หากวันใดข้าสามารถทำทุกอย่าง ได้ตามใจปรารถนา สามารถขโมยแตงโมลูกหนึ่งแล้ววิ่งหนีไป นั่นก็หมายความว่า ข้าสามารถฝึกจิตใจได้สำเร็จอย่างแท้จริงแล้ว ผลกระทบด้านจิตใจที่ถังหูลู่ไม้นั้น มีต่อข้าในอดีตถึงจะถือว่าหายไปอย่างสิ้นเชิง”

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่านี่คือคำพูดประหลาดที่ประหลาดยิ่งกว่าเรื่องประหลาด คิดร้อยตลบก็ยังไม่เข้าใจ

บนเส้นทางริมภูเขาสายน้ำที่ใกล้จะไปถึงเมืองหลวง พวกเขาได้เจอกับคนกลุ่มหนึ่งที่มาดักปล้นกลางทาง ขนาดสุยจิ่งเฉิงก็ยังรู้สึกว่าเจ้าพวกคนที่โอ้อวดตัวอย่างโอหังพวกนี้ช่างโชคดีจริงๆ …

เฉินผิงอันให้สุยจิ่งเฉิงลงมือได้ตามสบาย ปิ่นทองชิ้นหนึ่งจึงพุ่งออกไปราว กระบี่บิน ทำเอาพวกเขาตกใจจนขี้หดตดหาย

ภายหลังผู้อาวุโสพาสุยจิ่งเฉิงแอบลอบเข้าไปยังบริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านรังโจร ก็เห็นว่าที่นั่นมีกระท่อมที่สร้างง่ายๆ ตั้งกระจาย เสียงหมาเห่าไก่ขันดังระงม กลิ่นควันไฟจากการหุงหาอาหารลอยโชยกรุ่น มีเด็กผอมแห้งกำลังเล่นว่าวกระดาษ ที่เก่าขาด โจรที่มาดักปล้นกลางทางคนหนึ่งในนั้นนั่งยิ้มกว้างมองดูอยู่ด้านข้าง ข้างกายเขายังมีผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยสวมชุดสีเขียวขาดวิ่นกำลังด่าเสียงดังว่า ชายฉกรรจ์ไม่ได้เรื่อง หากยังไม่มีรายรับเข้ามา คนในหมู่บ้านก็จะต้องอดตายกันแล้ว เจ้าพวกลูกกระต่ายหลายคนยังต้องเรียนหนังสือกะผายลมอะไรนั่นอีก เวลาท่องหนังสืออยู่ในโรงเรียน แต่ละคนท้องร้องดังโครกคราก เสียงดังเสียยิ่งกว่าเสียงท่องหนังสือ ชายฉกรรจ์เกาหัว บอกว่าสตรีผู้นั้นร้ายกาจยิ่งนัก มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเทพเซียนในตำรา วันนี้หากไม่เพราะพวกเราวิ่งได้เร็วก็คงไม่ได้หิวตาย แต่เป็นถูกตีตายแทน

เฉินผิงอันพาสุยจิ่งเฉิงจากมาเงียบๆ พวกเขาย้อนกลับมาที่รถม้าแล้วออกเดินทางกันต่อ

ยามค่ำคืน สุยจิ่งเฉิงไม่รู้สึกง่วงนอน นางมานั่งอยู่ด้านนอกห้องโดยสาร เอียงตัวหันข้างมองป่าข้างทาง

สุยจิ่งเฉิงพึมพำกับตัวเองว่า “ก่อนหน้านี้เห็นพวกเขามาดักปล้นสะดม ก็นึกอยากจะฆ่าพวกเขาให้สิ้นซาก ผู้อาวุโส หากข้าทำแบบนั้นจริงๆ ก็คงจะผิด ใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ผิดหรอก”

สุยจิ่งเฉิงถามอีก “แต่หากข้าได้เห็นการใช้ชีวิตของพวกเขาแล้ว แล้วได้มาเจอกับพวกเขาบนถนนอีกครั้ง ข้าเลือกจะโยนเงินทองถุงหนึ่งให้พวกเขา จะผิดอีกหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่ผิด แต่ก็ไม่ถูก”

สุยจิ่งเฉิงพลันรู้สึกใจฝ่อขึ้นมานิดๆ

เฉินผิงอันเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้บอกแล้วว่าข้าแค่ให้เจ้ายืมเงินทองพวกนั้นเท่านั้น เจ้าจะเอาไปทำอะไร ข้าไม่สนใจ ดังนั้นเจ้าแอบทิ้งพวกมันไว้ด้านนอกหมู่บ้านก็ไม่ต้องกังวลว่าข้าจะตำหนิ”

สุดท้ายเฉินผิงอันเอ่ยว่า “เรื่องราวทางโลกซับซ้อน ไม่ใช่แค่พูดง่ายๆ แต่ปากเท่านั้น เรื่องของเส้นสายที่ข้าพูดกับเจ้า การมองเส้นสายแต่ละเส้นในใจคน หากประสบความสำเร็จแม้เพียงน้อยนิด อาจมองดูเหมือนซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วกลับง่ายดายมาก การทำตามขั้นตอน มองดูเหมือนง่ายแต่ความจริงกลับซับซ้อน เพราะไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับผิดถูก ยังเกี่ยวพันไปถึงความดีเลวของใจคนด้วย ดังนั้นข้าพูดถึงเรื่องเส้นสายในทุกสถานการณ์ สุดท้ายก็ยังคงเพื่อเดินไปตามลำดับขั้นตอน แต่สุดท้ายแล้วควรจะเดินอย่างไร ไม่มีใครสอนข้า ตอนนี้ข้าแค่พอจะบรรลุถึงวิธีการตัดแบ่งและวาดเส้นจำกัดซึ่งเป็นวิธีของจิตแห่งกระบี่ได้ชั่วคราว สิ่งเหล่านี้ล้วนอธิบายให้เจ้าฟังคร่าวๆ แล้ว ถึงอย่างไรเจ้าเองก็อยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ก็สามารถใช้วิธีการสามอย่างนี้มาลองเรียบเรียงสิ่งที่พบเจอในวันนี้ดูได้”

วันนี้เดิมทีพระอาทิตย์ลอยสูงเหนือศีรษะ อากาศร้อนอบอ้าว ต่อให้สุยจิ่งเฉิง สวมชุดคลุมอาคมเสื้อไผ่ นั่งอยู่ในห้องโดยสารรถม้าก็ยังคงรู้สึกหงุดหงิดใจอยู่ดี คิดไม่ถึงว่าชั่วเวลาไม่นานเมฆทะมึนจะมารวมตัวกัน จากนั้นฝนก็เทกระหน่ำลงมา ทางเล็กบนภูเขาเฉอะแฉะไปด้วยดินโคลนยากจะเดินทาง

ยังดีที่บริเวณใกล้เคียงมีจวนที่ปัญญาชนมาสร้างไว้กลางป่าเขาที่พอจะให้หลบฝนได้

สุยจิ่งเฉิงรู้จักเจ้าของเรือนหลังนี้ เพราะในอดีตเคยไปมาหาสู่กับตระกูลสุย เขาเองก็เป็นปรมาจารย์วงการหมากล้อมเหมือนกับบิดาของนาง เพียงแต่ว่า ตำแหน่งขุนนางของเขาไม่ใหญ่ ได้เลื่อนขั้นเป็นหลางจงของกรมกลาโหมก็ลาออก กลับบ้านเกิด ทว่าในบรรดาลูกศิษย์ของเขากลับมีผู้มีความสามารถอยู่มากมาย มีทั้งฉีไต้จ้าวที่ฝีมือการเล่นหมากล้อมเหนือกว่าครู และยังมีลูกศิษย์อายุน้อยอีก สองคนที่สอบติดเป็นจิ้นซื่อ ตอนนี้ได้เข้ารับตำแหน่งขุนนางที่ว่างอยู่อย่างเป็นทางการแล้ว

ดังนั้นภูเขาลูกนี้ที่เดิมทีไม่มีชื่อเสียงมากนักจึงเริ่มมีความหมายทำนองว่า ต่อให้ภูเขาไม่สูง แต่เมื่อมีเซียนอาศัยก็ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาบ้างแล้ว ต่อให้จวนหลังนั้น จะตั้งอยู่ลึกในป่าเขา แต่ก็ยังคงมีแขกไปมาหาสู่อยู่ตลอดทั้งปี

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูของเรือนหลังนี้ได้ยินว่าสตรีสวมหมวกคือสายรองของสกุลสุยที่แต่งงานไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ครั้งนี้เดินทางกลับบ้านเกิดมาเยี่ยมญาติก็ปฏิบัติ ต่อนางอย่างมีมารยาท พอได้ยินว่านางไม่ต้องการพักค้างแรมก็ให้รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะถึงอย่างไรรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยก็เป็นเสาหลักมือสะอาดของแคว้นอู่หลิง อีกทั้งยังเป็นเทพเซียนในวงการหมากล้อมเหมือนกับเจ้านายของตน เป็นเหตุให้สถานะคนตระกูลสุยของสตรีไม่ใช่สิ่งที่เหล่าสตรีในครอบครัวขุนนางทั่วไป สามารถทัดเทียมได้

ระหว่างที่เฉินผิงอันหลบฝนอยู่กับสุยจิ่งเฉิง ต่อให้สุยจิ่งเฉิงไม่ได้ถอดหมวกคลุมหน้าออก คนเฝ้าประตูก็ยังสั่งให้คนยกน้ำชามาให้

ไม่รู้ว่าสาวใช้เอาข่าวไปบอกหรืออย่างไร เพียงไม่นานก็มีคุณชายท่วงท่าสง่างามคนหนึ่งเร่งรุดมาถึง เอ่ยถ้อยคำเกรงอกเกรงใจตามมารยาท และยังถามว่า นางเชี่ยวชาญด้านการเล่นหมากล้อมบ้างหรือไม่ สุยจิ่งเฉิงรับมือได้อย่างเหมาะสม ไร้ข้อตำหนิ คุณชายคนนั้นก็นั่งได้ทนนัก ทั้งๆ ที่ไม่มีเรื่องอะไรให้พูดคุยกันแล้วก็ยัง หาเรื่องมาชวนคุย ไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่น้อย ขนาดสารถีหนุ่มชุดเขียว เขาก็ยังชวนคุยด้วยสองสามคำ พอได้ยินว่าเป็นรุ่นหลานของคนในตระกูลที่เอาจดหมายจากทางบ้านไปส่งมอบให้ฮูหยินผู้นี้ก็กระตือรือร้นอย่างยิ่ง มองดูแล้ว ไม่มีมาดของลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงเลยแม้แต่น้อย

พอฝนหยุดตก คุณชายคนนั้นก็มาส่งคนทั้งสองถึงหน้าประตูจวนด้วยตัวเอง พอมองส่งพวกเขาจากไปแล้วก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะต้องเป็นโฉมสะคราญแห่งยุค คนหนึ่งอย่างแน่นอน ท่ามกลางป่าเขา ดอกกล้วยไม้ในหุบเขาร้าง น่าเสียดายที่ ไม่มีใครได้ยลได้ดมกลิ่นหอม”

ผู้เฒ่าคนเฝ้าประตูคล้ายจะเคยชินกับนิสัยของคนหนุ่มแล้ว จึงพูดหยอกล้อว่า “เหตุใดคุณชายรองไม่เดินทางไปส่งพวกเขาสักช่วงระยะทางหนึ่งเล่าขอรับ?”

คนหนุ่มโคลงศีรษะเดินกลับเข้าไปในจวน ไปเล่นหมากล้อมกับสาวใช้คนงาม ผู้หนึ่งต่อ

บนถนน สุยจิ่งเฉิงนั่งอยู่ข้างม่านหน้าต่างของรถม้า ปลดผ้าคลุมหน้าลง เลิกผ้าม่านขึ้นเบาๆ ถามว่า “ผู้อาวุโส หากอีกฝ่ายเห็นความงามแล้วเกิดเจตนาร้าย จนก่อหายนะ ข้ามีความผิดหรือไม่? สุดท้ายแล้วข้าก็จะยังมีความผิดอยู่นิดๆ ใช่ไหม เพราะถึงอย่างไรข้าก็หน้าตางดงามเอง คนอื่นจับจ้องปรารถนาแล้วเกิดความคิด ชั่วร้ายก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายหลัง”

เฉินผิงอันถอนหายใจ นี่ก็คือความยุ่งยากของการใช้เส้นสายและลำดับขั้น ตอน แรกเริ่มคือง่ายที่จะทำให้คนตกสู่สภาพการณ์ที่วุ่นวายยุ่งเหยิง ราวกับว่า ทุกที่ล้วนมีแต่คนเลว จิตใจทุกคนล้วนชั่วร้าย แต่ก็คล้ายว่าคนเลวที่ทำเลวจะยัง พอมีเหตุผลอยู่บ้าง

หากเฉินผิงอันเป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาหรือผู้ปกป้องมรรคาของนางจริงๆ โดยทั่วไปแล้วจะไม่มีทางบอกคำตอบไปโดยตรง แต่จะปล่อยให้นางใช้ความคิดใคร่ครวญ เอาเอง แต่ในเมื่อไม่ใช่ อีกทั้งเดิมทีตัวนางเองก็ฉลาดเฉลียว จึงไม่มีความกังวลใน ข้อนี้อีก เขาบอกไปตามตรงกว่า “ลำดับก่อนหลังไม่ได้ใช้อย่างที่เจ้าพูด ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้มีถูกผิดอยู่มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งแคว้นหนึ่งทวีปสร้างขนบธรรมเนียมที่เห็นพ้องต้องกันขึ้นมา นั่นก็จะกลายเป็นสิ่งที่ตายตัวแล้ว เห็นทรัพย์สินแล้วเกิดความโลภ กระทำการชั่วร้าย เห็นความงามแล้วเกิดความคิด ไม่ดี อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น ล้วนเป็นความผิดอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเงิน ก็คือผิด แล้วก็ไม่ใช่ว่าสตรีหน้าตางดงามแล้วจะผิด หลังจากเข้าใจสิ่งเหล่านี้ อย่างชัดเจนแล้วถึงจะสามารถไปพูดถึงลำดับก่อนหลังและผิดถูกน้อยใหญ่ได้ ไม่อย่างนั้นต่อให้สตรีในหมู่ชาวบ้านจะแต่งกายงดงามเฉิดฉันออกมาเดินตามตลาด ก็ไม่ใช่เหตุผลให้ฉุดคร่าสตรี

คำกล่าวที่บอกว่าเด็กถือทองในตลาด เพราะมีหยกติดตัวจึงมีความผิดอะไรนั่น เจ้าคิดว่าเด็กผิดจริงๆ หรือ? เป็นคนที่มีหยกติดตัวที่ผิดหรือ? ไม่ใช่อย่างนี้ แต่เป็นเพราะวิถีทางโลกเป็นอย่างนี้ก็เท่านั้นเอง ถึงได้มีคำโบร่ำโบราณที่ชวนให้คน จนใจเช่นนี้ นี่ก็เพื่อเตือนคนดีและคนอ่อนแอว่าควรต้องระวังตัวให้มาก”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มถามว่า “เรื่องราวในโลกเป็นเช่นนี้ เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด ก็แปลว่าถูกต้องงั้นหรือ? ข้าว่าไม่ใช่”

ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงฉายประกายระยิบระยับ “ผู้อาวุโสช่างปราดเปรื่อง!”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไป ยิ้มกล่าวว่า “นี่ก็เรียกว่าปราดเปรื่องด้วยหรือ! หากหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์ในตำรามีชีวิตขึ้นมาได้ ข้าว่าในท้องของ บัณฑิตจำนวนนับไม่ถ้วนในใต้หล้าจะต้องมีคนจิ๋วจำนวนนับไม่ถ้วนที่ถูกทำให้โมโห จนตาย หรือไม่ก็แค้นเคืองจนอยากฉีกหนังหน้าท้อง หวังให้ตัวเองมีขาวิ่งกลับเข้าไปในหนังสืออีกครั้ง”

สุยจิ่งเฉิงถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสมีอคติต่อการเรียนหนังสือหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าอ่านตำรามามากมายก็จะเป็นบัณฑิตได้ แล้วก็ไม่ใช่ว่า คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือ อ่านหนังสือไม่ออกจะไม่ใช่บัณฑิต”

สุยจิ่งเฉิงกำลังจะทอดถอนใจ

เฉินผิงอันก็พูดขึ้นมาก่อนแล้วว่า “อย่าได้พูดประจบยกยออะไรเลย”

สุยจิ่งเฉิงอดพูดอย่างเขินอายไม่ได้ “ผู้อาวุโสล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าจริงๆ”

เฉินผิงอันหันหน้ามา

สุยจิ่งเฉิงกะพริบตาปริบๆ ปล่อยม่านรถม้าลงเบาๆ หลังจากกลับไปนั่งเรียบร้อยแล้ว นางอดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ให้รอยยิ้มค่อยๆ กระเพื่อมแผ่ไปบนใบหน้าไม่ไหว

จากนั้นก็เข้าสู่พื้นที่อันเป็นเมืองหลวงของแคว้นอู่หลิง ไม่ว่าจะผ่านโบราณสถานหรือสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งใด ผู้อาวุโสล้วนจะต้องหยุดม้าลงไปเที่ยวชม บางครั้ง ยังจะสลักตัวอักษรที่อยู่บนกรอบป้าย กลอนคู่และป้ายศิลาของสถานที่เหล่านั้นลงบนแผ่นไม้ไผ่ด้วย

ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ก็เคยเจอกับจอมยุทธหนุ่มสาวที่ออกมาท่องยุทธภพอยู่ไม่น้อย พวกเขาควบม้าตะบึงสวนทางไปกับรถม้า

ชายแขนเสื้อของหนุ่มสาวและแผงขนหน้าผากม้าต่างก็โบกสะบัดไปตามสายลม

แล้วก็เคยเดินทางผ่านหมู่บ้านในชนบท เคยมีกลุ่มเด็กที่เล่นกันอย่างสนุกสนานพากันกระโดดข้ามลำธารหนึ่งสาย ต่อให้เป็นเด็กหญิงท่าทางอ่อนแอก็ยังถอยหลัง ไปหลายก้าวแล้วกระโจนพุ่งตัวไปด้านหน้า

มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินอาดๆ มายืนอยู่ข้างลำธารสายเล็ก แต่กลับไม่ได้วิ่งตะบึงกระโดดข้ามไป เขาเพียงแกว่งแขน พยายามจะออกแรงอยู่ที่เดิมเพื่อดีดร่างข้ามไป อีกฝั่ง ผลคือร่วงจ๋อมลงไปในธารน้ำโดยตรง

ตอนนั้นรถม้าหยุดอยู่ห่างมาไม่ไกล สุยจิ่งเฉิงมองใบหน้าด้านข้างของผู้อาวุโส พอเขาเห็นภาพนี้ดวงตาก็หรี่ลง รอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า

รถม้าอ้อมผ่านเมืองหลวงแคว้นอู่หลิงมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ

ตรงดิ่งไปยังหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวของหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งแห่งยุทธภพแคว้นอู่หลิง

ตลอดทางมานี้เนื่องจากไม่ได้จงใจอ้อมผ่านเมืองและอำเภอต่างๆ ส่วนใหญ่ ล้วนจะเข้าไปด้านในทั้งสิ้น ดังนั้นข่าวคราวบางส่วนที่แพร่ไปทั่วยุทธภพจึงล้วนได้ยินมาหมด

หวังตุ้นเลื่อนขั้นเป็นสิบคนในอันดับใหม่ล่าสุด แม้ว่าจะอยู่รั้งท้ายสุด แต่กระนั้น ก็ยังคงทำให้แคว้นอู่หลิงมีบรรยากาศของการเฉลิมฉลองแห่งแคว้นได้

เพราะลำพังเพียงแค่ราชวงศ์ต้าจ้วนก็มีมากถึงห้าคนแล้ว ว่ากันว่ายังมีปรมาจารย์อายุมากที่ไม่เผยโฉมมานานอีกหลายคน แคว้นชิงสือมีเพียงเซียวซูเย่คนเดียวที่อยู่ในอันดับเก้า แคว้นจินเฟยที่ผู้คนกล้าแกร่ง กองกำลังแคว้นรุ่งเรืองกลับไม่มีใครติดอันดับสักคน แคว้นหลันฝางก็ยิ่งไม่ต้องคิด ดังนั้นต่อให้จะอยู่รั้งท้ายสุด แต่นี่ก็ยังถือว่า เป็นเกียรติยศอันใหญ่หลวงของผู้อาวุโสหวังตุ้น และยิ่งทำให้บนใบหน้าของคน แคว้นอู่หลิงที่เป็นแคว้น ‘ขนบธรรมเนียมบุ๋นอ่อนแอไร้ผู้กล้า’ ทุกคนรู้สึกมีหน้ามีตา

ฮ่องเต้แคว้นอู่หลิงยังตั้งใจส่งทูตคนหนึ่งออกจากเมืองหลวงเพื่อนำกรอบป้าย หนึ่งกรอบมามอบให้

เพราะฉะนั้นสุยจิ่งเฉิงจึงเดาได้เลยว่า หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวในเวลานี้จะต้องมี มิตรสหายนั่งกันอยู่เต็มห้องโถง มีผู้คนที่มาแสดงความยินดีไม่ขาดสาย

เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นเคยได้เข้าเฝ้าฮ่องเต้สกุลโจวแคว้นต้าจ้วนแล้วหรือไม่ แล้วได้นั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนกลับมาจากเมืองหลวงต้าจ้วนหรือยัง

ส่วนข่าวที่เกี่ยวกับสุยจิ่งเฉิงก็ยิ่งไม่น้อยไปกว่าการติดอันดับของหวังตุ้น ผู้คนพูดคุยกันอย่างออกรส โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในยุทธภพที่พอพูดถึงเรื่องนี้ แต่ละคนน้ำลายแตกฟอง พวกสตรีข้างกายพวกเขาที่ออกมาท่องยุทธภพด้วยกัน ส่วนใหญ่ล้วนมีสีหน้าไม่สบอารมณ์

ทุกครั้งสุยจิ่งเฉิงจะต้องแอบลอบมองเขา แต่หากเขาไม่ได้ดื่มเหล้ากินข้าวอยู่ในเหลาสุราเงียบๆ ก็จะทำเพียงแค่ดื่มน้ำชาคุณภาพแย่ตามร้านน้ำชาข้างทาง เพื่อดับกระหายเท่านั้น

นี่ทำให้นางรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

แล้วก็มีบางครั้งที่พบเจอกับกลุ่มปัญญาชนที่มาร่ำสุรากันตามภูเขาแม่น้ำที่มีชื่อเสียง

มีคนชูจอกเหล้าขึ้นสูงร้องตะโกนว่า ‘อยู่ในป่าคือต้นไม้ยักษ์ ออกจากภูเขาคือหญ้าต้นเล็ก’ ด้วยน้ำตาที่อาบใบหน้า ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็อารมณ์โศกเศร้า ตามกันไป แล้วก็มีคนลุกขึ้นรำกระบี่ นี่คงจะพอถือว่าเกิดจิตใจอันฮึกเหิมได้บ้างแล้ว

รถม้าค่อยๆ ขับผ่านมา

สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าว “หากผู้มีชื่อเสียงจับกลุ่มชุมนุมกันตามภูเขาเขียวสายน้ำไหล ผู้อาวุโสรู้หรือไม่ว่าจะไม่ขาดคนสองประเภทไหนมากที่สุด?”

เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน ไหนเจ้าลองเล่าให้ฟังสิ”

สุยจิ่งเฉิงยิ้มกล่าวว่า “งานชุมนุมของปัญญาชนเหล่านี้จะต้องมีคนที่สามารถเขียนบทกวีที่เป็นที่นิยม ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะมีจิตรกรเอกที่สามารถวาดภาพ ซึ่งหน้าตาโดดเด่นอีกสักคนหนึ่ง หากมีเพียงหนึ่งในสองก็สามารถทิ้งชื่อเสียงไว้ ในประวัติศาสตร์ แต่หากมีครบทั้งสองก็จะกลายเป็นเรื่องเล่างดงามที่เล่าสืบขาน ต่อกันไปเป็นพันปี”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเหตุผลมาก วันหน้าข้าจะต้องเอาคำกล่าวนี้ไปบอกสหายคนหนึ่ง ไม่แน่ว่าเขาอาจจะเขียนมันลงไปในบันทึกภูเขาแม่น้ำ”

สุยจิ่งเฉิงที่สวมหมวกคลุมใบหน้าปิดปากหัวเราะ นางนั่งเบี่ยงตัวอยู่นอกห้องโดยสาร สองขาแกว่งเบาๆ

ขยับเข้ามาใกล้หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแล้ว เฉินผิงอันจึงขายรถม้าในราคาถูกกว่าที่ซื้อมาในอำเภอแห่งหนึ่ง

ขอห้องสองห้องจากในโรงเตี๊ยม เมื่อขยับเข้าใกล้เมืองก็เห็นได้ชัดว่ามีคนในยุทธภพเพิ่มมากขึ้น น่าจะเป็นพวกคนที่มาแสดงความยินดีที่หมู่บ้านภูเขาเพราะได้ยินข่าว

จำต้องยอมรับว่าความสัมพันธ์ควันธูปในยุทธภพสามารถสร้างได้ด้วยการวิ่ง ไปเยือน ก็เหมือนกับความสัมพันธ์ของสหายหลายคนที่สามารถสร้างได้ด้วยการ ดื่มเหล้าบนโต๊ะสุรา

การที่ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพจนกลายเป็นพวกผู้อาวุโส หากไม่เป็นเพราะมี วรยุทธเลิศล้ำ ต่อให้นิสัยแย่แค่ไหนก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นนิสัยของ ผู้กล้า ไม่อย่างนั้นก็จะต้องเป็นพวกจิ้งจอกเฒ่าที่วรยุทธไม่เก่งกาจ แต่กลับเจ้าเล่ห์ มากกลอุบาย ชื่อเสียงของคนกลุ่มนี้ก็จะดีมากเหมือนกัน ส่วนพวกเด็กรุ่นหลังที่เข้าใจวิธีการในยุทธภพก็จะอาศัยการอดทน อดทนให้พวกผู้อาวุโสระดับสองเหล่านี้ พากันตายไป เก้าอี้แต่ละตัวว่างลง พวกเขาก็จะถือโอกาสคล้อยตามสถานการณ์กลายไปเป็นผู้อาวุโสแห่งยุทธภพที่ได้นั่งบนเก้าอี้ เพียงแต่ว่าการลืมตาอ้าปากด้วยวิธีนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ ดังนั้นพวกคนหนุ่มสาวที่พอจะมีประกายจึงมักจะไม่เป็นที่ชื่นชอบของคนเก่าแก่ในยุทธภพสักเท่าไร

แต่ฟังจากคำกล่าวของสุยจิ่งเฉิง ผู้อาวุโสหวังตุ้นกลับเป็นคนที่มีชื่อเสียงและคุณธรรมอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองถนนที่ผู้คนเบียดเสียดจอแจอยู่พักหนึ่ง

จากนั้นเขาก็ไปเคาะประตูห้องด้านข้าง บอกว่าจะไปนั่งในร้านสุราของอำเภอ สักหน่อย อยากจะดื่มเหล้าสักสองสามกา

สุยจิ่งเฉิงนำหมวกมาสวมใหม่อีกครั้ง นางเดินออกมาจากธรณีประตู ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย บอกว่าอยากจะไปนั่งดื่มเหล้าข้างทางด้วย ในอดีตนางแค่เคยอ่านเจอมาจากนิยายในยุทธภพเท่านั้น ในนิยายบอกว่าเวลาถึง งานเลี้ยงฉลองของยุทธจักร เหล่าผู้กล้าจะมารวมตัวกันกินเนื้อชิ้นใหญ่ดื่มเหล้าชามโต นางจึงใคร่รู้เป็นอย่างยิ่ง อยากจะไปลองดูสักหน่อย

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ขัดขวางนาง

คนทั้งสองไปถึงร้านเหล้าที่คึกคักซึ่งตั้งอยู่ตรงหัวมุมถนน เพราะคนของโต๊ะหนึ่งคิดเงินจากไปถึงได้มีที่นั่ง เฉินผิงอันสั่งเหล้ามาหนึ่งกาแล้วรินให้นางหนึ่งถ้วย

สุยจิ่งเฉิงสวมหมวกคลุมหน้า ดังนั้นเวลาดื่มเหล้าจึงได้แต่ก้มหน้าลงไป แล้วเลิกมุมหนึ่งของม่านคลุมหน้าขึ้น

โต๊ะในร้านเหล้าตั้งอยู่ห่างกันไม่มาก ผู้คนส่วนใหญ่ส่งเสียงพูดคุยครึกครื้น บ้างก็เล่นทายหมัด (เป่ายิงฉุบ) บนโต๊ะสุรา บ้างก็พูดคุยถึงเรื่องน่าสนใจในยุทธภพ โต๊ะยาวที่อยู่ด้านหลังสุยจิ่งเฉิงเป็นชายฉกรรจ์คนหนึ่ง เขามองหน้าและยิ้มให้กับ สหายที่นั่งอยู่โต๊ะเดียวกัน จากนั้นก็จงใจยื่นมือออกมาเล่นทายหมัด แต่แสร้งทำเป็นเหวี่ยงมือมาด้านหลังหวังให้ปัดหมวกของสุยจิ่งเฉิงร่วงลง เพียงแต่สุยจิ่งเฉิง กลับโน้มตัวมาด้านหน้า หลบมาได้พอดี ชายฉกรรจ์คนนั้นอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แต่ก็ ไม่คิดได้คืบจะเอาศอก ทว่าสุดท้ายแล้วก็อดทนข่มกลั้นไว้ไม่ไหว สตรีผู้นี้มองดูแล้วเรือนร่างงดงามมากจริงๆ หากไม่ได้เห็นสักครั้งจะไม่เท่ากับว่าเสียเปรียบครั้งใหญ่ เลยหรือ เพียงแต่ว่าไม่รอให้พวกเขาได้ลงมือทำอะไรก็มีกลุ่มคนในยุทธภพกลุ่มใหม่มาถึง พวกเขาแต่งตัวอย่างหรูหราควบม้ากันมาเป็นกลุ่ม พอพลิกตัวลงจากหลังม้า ก็ไม่คิดจะผูกม้าให้เรียบร้อย แต่กวาดตามองไปรอบด้าน พอเห็นคู่ชายหญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันและยังมีโต๊ะยาวสองตัวว่างอยู่ อีกทั้งดูจากท่านั่งหันข้างของสตรีผู้นั้น ที่ราวกับว่านางก็คือสุราเลิศรสที่สุดของอำเภอแห่งนี้แล้ว บุรุษร่างกำยำผู้หนึ่ง ก็เดินตรงไปนั่งแปะลงบนโต๊ะยาวระหว่างสตรีสวมหมวกม่านกับบุรุษสวมชุดเขียว แล้วจึงกุมหมัดยิ้มกล่าวว่า “ข้าน้อยหลูต้าหย่งแห่งพรรคห้าทะเลสาบ เหล่าสหาย ให้เกียรติตั้งฉายาให้ว่า ‘เจียวพลิกแม่น้ำ’!”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เลื่อมใสมานานๆ ยินดีที่ได้พบๆ”

จอมยุทธใหญ่หลูผู้นี้ยังมีสหายมาด้วยกันอีกสามคน เขายิ้มกว้างเอ่ยว่า “ไม่ถือสาหากจะนั่งด้วยกันกระมัง? คนในยุทธภพไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์เล็กๆ น้อยๆ นั่งเบียดๆ กันหน่อยก็ได้…”

เพียงแต่ว่าเขากำลังจะกวักมือเรียกคนอีกสามคนใหม่มานั่ง แน่นอนว่าต้องมีคน ที่ได้นั่งม้านั่งยาวตัวเดียวกับสตรีสวมหมวก ยกตัวอย่างเช่นเขาที่ลุกขึ้นยืนเรียบร้อยแล้ว กะว่าจะยกม้านั่งที่ตนนั่งอยู่ตอนนี้ให้สหาย ส่วนตัวเองจะไปนั่งเบียดกับนาง คนในยุทธภพล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา ไม่ยึดหลักกฎเกณฑ์คร่ำครึที่ว่าชายหญิง ไม่ใกล้ชิดกันอะไรนั่น

คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มผู้นั้นจะยิ้มตอบว่า “ถือสิ”

แต่เห็นได้ชัดว่าจอมยุทธใหญ่หลูคาดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ เขาจึงลุกขึ้นยืนเรียบร้อย ชายร่างกำยำได้กลิ่นหอมเย็นที่ยั่วยวนใจคนยิ่งกว่ากลิ่นหอมของสุราลอยมาก็เตรียมจะนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวนั้นอย่างผึ่งผาย

เพียงแต่ว่านาทีถัดมา ไม่เพียงแต่จอมยุทธใหญ่ผู้นี้ที่หยุดการกระทำลง พวกคน ที่มุงดูเหตุการณ์ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ยินคำว่า ‘ถือสิ’ อย่างชัดเจนก็ไม่ได้หัวเราะครืน เสียงดัง แต่ละคนลอบกลืนน้ำลาย และยังมีบางคนที่กระดกก้นขึ้นเตรียมจะเผ่นหนีเพื่อความปลอดภัยแล้ว

เพราะว่ามีกระบี่บินสีเขียวมรกตขนาดเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งลอยห่างอยู่จากหว่างคิ้วของชายร่างกำยำผู้นั้นเพียงไม่กี่ชุ่น

คนชุดเขียวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แล้วตอนนี้เจ้าถือสาที่จะนั่งเบียดกับข้า ดื่มเหล้าด้วยกันหรือไม่?”

ไม่ถือ?

ถือ?

เหตุใดหลูต้าหย่งถึงรู้สึกว่าไม่ว่าตนจะตอบอย่างไรก็ล้วนไม่ถูกต้องนะ?

สหายในยุทธภพอีกสามคนที่อยู่ด้านหลังหลูต้าหย่ง แต่ละคนยืนนิ่งอยู่กับที่ ตามองจมูกจมูกมองใจ ดูท่าแล้วคงไม่ค่อยสนิทกับจอมยุทธใหญ่หลูเจียวพลิกแม่น้ำ ผู้นี้สักเท่าไร

เฉินผิงอันโบกมือ หลูต้าหย่งและสามคนที่อยู่ด้านหลังก็เผ่นแน่บทันที

ลูกค้าคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าหวาดผวาพรั่นพรึง เตรียมจะชักเท้าเผ่นหนีเช่นกัน

คิดไม่ถึงว่า ‘เซียนกระบี่’ ที่ร้อยปีก็ยากจะพานพบสักครั้งผู้นั้นจะเอ่ยขึ้นมา อีกประโยคว่า “คิดเงินก่อนค่อยไปก็ยังไม่สาย”

ผลคือลูกค้าหลายโต๊ะพากันโยนเงินก้อนไปที่โต๊ะคิดเงินโดยตรง แล้วจึงก้าวเร็วๆ จากไป

นอกจากเฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงแล้วก็ไม่มีลูกค้าเหลืออยู่อีก

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นว่าพละกำลังไม่เพียงพอ หลังจากกวาดตามองรอบด้านแล้ว กระบี่บินที่ลอยอยู่กลางอากาศจึงโงนเงนร่วงลงมาบนผิวโต๊ะ และถูกเขาเก็บไปไว้ ในชายแขนเสื้ออย่างรวดเร็ว

สุยจิ่งเฉิงกระตุกมุมปาก

เถ้าแก่ผู้เฒ่าที่อยู่ดีๆ ก็ได้เงินก้อนใหญ่มาโดยไม่คาดฝัน อีกทั้งยังได้เห็น ภาพเหตุการณ์นี้ก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่บนภูเขาอย่างเจ้าไม่กลัวว่าจะสร้างปัญหาที่ใหญ่กว่าเดิมเลยหรือ? พวกจอมยุทธในยุทธภพล้วนจดจำแค้นได้ดีที่สุด อีกทั้งยังเชี่ยวชาญเรื่องจับกลุ่มสามัคคีกัน ช่วยคนสนิทไม่ช่วยคนมีเหตุผล ช่วยคนอ่อนแอไม่ช่วยคนแข็งแกร่ง”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “มียอดฝีมือนอกโลกอย่างเถ้าแก่เฝ้าอยู่ในร้านเหล้า ก็น่าจะไม่มีปัญหาใหญ่มากนัก”

เถ้าแก่ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “เจ้านี่ก็ช่างสายตาดีซะจริงๆ”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “เช่นกันๆ”

สุยจิ่งเฉิงเอ่ยเบาๆ ว่า “ข้าปลดหมวกลงได้ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

สุยจิ่งเฉิงจึงปลดหมวกคลุมหน้าลง ในที่สุดก็สามารถดื่มเหล้าได้อย่างสงบเสียที

ผู้เฒ่าร้องโอ้โหขึ้นมา “ช่างเป็นสตรีที่งดงามนัก ชั่วชีวิตนี้ข้ายังไม่เคยพบเจอ สตรีที่งดงามกว่าเจ้ามาก่อน พวกเจ้าสองคนคงจะเป็นคู่รักเทพเซียนบนภูเขาสินะ? มิน่าเล่าถึงกล้ามาท่องในยุทธภพเช่นนี้ เอาเถอะ วันนี้พวกเจ้าดื่มเหล้าได้ตามสบาย ไม่ต้องควักเงินจ่าย ถึงอย่างไรวันนี้ข้าก็อาศัยใบบุญของพวกเจ้าได้กำไรมาเป็นกอบเป็นกำอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันกำลังจะยกถ้วยขึ้นดื่มเหล้า พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของเถ้าแก่มือ ก็ชะงักค้าง ลังเลอยู่เล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังไม่พูดอะไร เพียงกระดกเหล้าดื่มคำใหญ่

ดวงตาเรียวยาวทอประกายน้ำคู่นั้นของสุยจิ่งเฉิงมีรอยยิ้มแฝงอยู่

ผู้เฒ่าชำเลืองตามองจุดที่ห่างไปไกลแล้วถอนหายใจ มองแผ่นหลังของคนชุดเชียวแล้วกล่าวว่า “แนะนำเจ้าว่าควรบอกให้เมียเจ้าสวมหมวกเสียเถอะ วันนี้ตาเฒ่าหวัง ไม่อยู่ในหมู่บ้าน หากเกิดเรื่องขึ้นมาจริงๆ ต่อให้ข้าจะช่วยพวกเจ้าได้ช่วงระยะ เวลาหนึ่ง แต่ไม่อาจช่วยพวกเจ้าไปได้ตลอดทาง หรือพวกเจ้าจะรอให้ตาเฒ่าหวังกลับมาจากเมืองหลวงต้าจ้วน แล้วไปตีสนิทกับเขาก่อน ถึงจะกล้าจากไป? ข้าจะบอกกับพวกเจ้าตามตรงแล้วกัน ตาเฒ่าหวังชอบมาดื่มเหล้าที่ร้านข้าเป็นประจำ ข้าจึงรู้นิสัยของเขาดีที่สุด ทัศนคติที่เขามีต่อเทพเซียนบนภูเขาอย่างพวกเจ้าย่ำแย่ มาโดยตลอด ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมพบหน้าพวกเจ้าหรอก”

สุยจิ่งเฉิงมองสีหน้าของผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วกลั้นยิ้ม ก่อนจะอธิบายกับเถ้าแก่ผู้เฒ่าว่า “ข้าเป็นแค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ พวกเราไม่ใช่คู่รักเทพเซียนอะไรทั้งนั้น”

ผู้เฒ่างอสองนิ้วเคาะเข้าที่ดวงตาของตัวเอง “คิดว่าข้าตาบอดหรือไง?”

สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปมองฝั่งตรงข้ามด้วยท่าทางน่าสงสารประมาณว่าข้าเองก็ จนใจมากเหมือนกัน

แต่ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันจะไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย เขาเพียงแค่หันหน้าไปมอง ผู้เฒ่าแล้วยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านถึงออกจากยุทธภพมาแฝงตัวอยู่ใน หมู่ชาวบ้านล่ะ?”

ทั่วทุกมุมของถนนเริ่มมีคนมารวมตัวกันอย่างต่อเนื่องแล้วชี้ไม้ชี้มือใส่ทางร้านเหล้า

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “แน่นอนว่าอยู่ในยุทธภพไม่รอดน่ะสิ ถึงได้หอบเสื่อไสหัวจากมา คนบนภูเขาอย่างเจ้าก็คือเทพเซียนมีชีวิตที่ไม่รู้จักความทุกข์ยากของชาวบ้านจริงๆ”

เฉินผิงอันถามอีกว่า “หากข้าเป็นเพียงบัณฑิตที่อ่อนแอคนหนึ่ง อีกทั้งยังไม่ได้ มาเจอผู้อาวุโสในร้านแห่งนี้ ถ้าเช่นนั้นหากเจอกับเรื่องในวันนี้แล้วลุกขึ้นอย่าง เดือดดาล ผลคือถูกซ้อมจนร่อแร่ปางตาย ข้าควรจะข่มกลั้นทนรับความอัปยศ ปล่อยให้อีกฝ่ายรังแกหรือไม่?”

ผู้เฒ่านอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน จิบเหล้าหนึ่งคำแล้วเกาหัว ก่อนจะวางถ้วยเหล้า ลงเบาๆ “ก็ต้องอดทนน่ะสิ ขอแค่มีชีวิตอยู่ ถึงอย่างไรก็ต้องมีโอกาสทวงคืนกลับมาจากคนอื่นและสถานที่แห่งอื่นไม่ใช่หรือ?”

เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง ชูถ้วยเหล้าขึ้นสูงแล้วกระดกดื่มจนหมด

ผู้เฒ่ายังคงจิบเหล้าคำเล็กอยู่เหมือนเดิม “แต่ว่า ถึงอย่างไรก็ยังเป็นสิ่งที่ผิด”

เพียงไม่นานบนหลังคาเรือนต่างๆ ที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้าก็มีคนมานั่งดูจนเต็ม

เซียนกระบี่ในตำนาน มามองสักหน่อยก็ถือเป็นประสบการณ์ในยุทธภพที่สามารถเอาไปคุยกับคนอื่นได้ทั้งชีวิตแล้ว

แต่ว่าถึงแม้คนที่มามุงดูจะมีมาก แต่ก็ไม่มีใครที่กล้าเดินเข้ามาใกล้ๆ เพื่อหา เรื่องซวยใส่ตัว ส่วนจอมยุทธใหญ่หลูผู้นั้นที่แม้ว่าจะเรียกพรรคพวกมาแล้วหลบซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มคน แต่กลับไม่ได้เสียสติ กลับกันยังดีอกดีใจ พูดกับคนอื่นว่าตนได้เห็นมาดของเซียนกระบี่กับตาตัวเองมาก่อน คุยโม้จนน้ำลายแตกฟอง บอกว่ากระบี่บินเล่มนั้นลอยห่างจากหว่างคิ้วของตนไม่ถึงหนึ่งชุ่น! อันตรายยิ่งนัก ชีวิตแขวนอยู่ บนเส้นด้ายอย่างแท้จริง

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดแล้ว ผู้อาวุโสเกรงใจ แต่เขากลับไม่เกรงใจ จึงไม่มีท่าทีว่าจะจ่ายเงิน

เพียงแค่ลุกขึ้นยืนกุมหมัดเอ่ยเบาๆ ว่า “คารวะผู้อาวุโสหวังตุ้น”

ผู้อาวุโสยิ้มกล่าว “ข้าก็บอกแล้วว่าเจ้าสายตาดี ทำไม ไม่ถามข้าสักหน่อยหรือว่าเหตุใดถึงได้ชอบสวมหน้ากากมาแสร้งทำเป็นตาแก่ขายเหล้าอยู่ที่นี่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบคนแต่กลับอยู่อันดับรั้งท้าย หากไม่มาซ่อนตัว ดื่มเหล้าดับทุกข์เสียบ้าง แล้วจะให้วันๆ ต้องคอยพบเจอกับคน ที่มาเอ่ยคำอวยพร แล้วยังต้องแสร้งยิ้มแย้มพูดว่าที่ไหนกันๆ แค่บังเอิญโชคดีๆ อย่างนั้นหรือ?”

สุยจิ่งเฉิงรีบลุกขึ้นยืน แล้วยอบตัวคารวะผู้อาวุโสหวังตุ้นที่ตนเลื่อมใสมานาน

ผู้เฒ่าโบกมือ “แม้จะบอกว่าบุรุษของเจ้ามองดูแล้วไม่เลว แต่ตัวเจ้าเองก็ยังต้องตั้งใจฝึกตนให้มาก บุรุษในใต้หล้าล้วนไม่มีใครที่ดีสักคน ขอแค่เกิดเรื่องก็ล้วนชอบด่าพวกเจ้าว่ามีความงามเป็นหายนะ”

สุยจิ่งเฉิงหันหน้าไปมองผู้อาวุโส

เฉินผิงอันเพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การฝึกใจของข้าประสบผลสำเร็จ วันนี้ไม่ใช่ เมื่อวาน”

เพียงแต่เขาชำเลืองตามองหมวกม่านบนโต๊ะแวบหนึ่ง

สุยจิ่งเฉิงจึงรีบหยิบมาสวม

หวังตุ้นพลันเอ่ยว่า “พวกเจ้าสองคนคงไม่ใช่เซียนกระบี่ต่างถิ่นกับสุยจิ่งเฉิงกระมัง? ข้าได้ยินมาว่าเพราะเรื่องของสาวงามตระกูลสุย เซียวซูเย่ที่อยู่ในอันดับเก้าถึงได้ตายด้วยน้ำมือเซียนกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่ง ศีรษะของเขาถูกคนพาไปที่แคว้นชิงสือแล้ว โชคดีที่ต่อให้ข้าต้องทุบหม้อขายเหล็กก็ต้องหาซื้อรายงานตระกูลเซียนฉบับหนึ่งมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นจะไม่ขาดทุนก้อนใหญ่หรอกหรือ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้อาวุโสช่างสายตาดี”

หวังตุ้นร้องโอ้โหหนึ่งที แล้วเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมานั่งแปะลงบนม้านั่งยาวของโต๊ะคนทั้งสอง “นั่งๆๆ อย่าเพิ่งรีบร้อนไปไหน ข้าหวังตุ้นเลื่อมใสผู้ฝึกตนบนภูเขามานานมากแล้ว โชคดีที่ได้พบๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version