บทที่ 522 สุราในยุทธภพ กระดกดื่มหมดรวดเดียว
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกปรับตัวไม่ค่อยทันอยู่บ้าง
ผู้อาวุโสหวังตุ้นในความทรงจำของนาง คือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวรยุทธนับตั้งแต่แคว้นอู่หลิงก่อตั้งมา ได้ฉายาว่าเป็นปรมาจารย์ที่ใช้เพียงแค่มือข้างเดียวก็สามารถเอาชนะคนทั่วทั้งยุทธภพแคว้นอู่หลิง ชื่อเสียงของเขาในราชสำนักล้วนดีงามมา โดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธในยุทธภพหรือปัญญาชนในวงการนักประพันธ์ หรือแม้แต่พ่อค้าหาบเร่ก็ยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นคือผู้เฒ่าสวม ชุดเขียวคนหนึ่งที่มีบุคลิกสุภาพสง่างาม เชี่ยวชาญศาสตร์ทั้งสี่อย่างพิณ หมากล้อม พู่กันและวาดภาพ นอกจากทักษะของทั้งร่างที่เชี่ยวชาญและชำนาญแล้ว ยังช่วยบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่แคว้นและชาวประชา เคยเป็นหนึ่งบุรุษที่ทำหน้าที่เป็น หน้าด่านสกัดขวางกองทัพทหารม้าของแคว้นศัตรูที่มาโจมตีทางชายแดนทิศใต้ เพื่อช่วงชิงเวลาที่มากพอในการจัดขบวนทัพให้แก่กองทัพชายแดนของแคว้นอู่หลิง…
เฉินผิงอันทรุดตัวนั่งลงไปก่อน สุยจิ่งเฉิงจึงนั่งตาม
หวังตุ้นลุกขึ้นยืนอีกครั้ง เดินไปหยิบเหล้าสามกามาจากทางโต๊ะคิดเงิน แจกจ่ายคนละหนึ่งกาแล้วพูดอย่างใจกว้างว่า “ข้าเลี้ยงเอง”
ตอนที่หวังตุ้นวางกาเหล้าไว้ตรงหน้าสุยจิ่งเฉิงได้พูดเบาๆ ว่า “บุตรสาวของ รองเจ้ากรมเฒ่าสุยซินอวี่สินะ? หน้าตางดงามจริงๆ สาวงามทั้งสี่คนทัดเทียมกัน ต่างคนต่างก็มีความงามไปคนและแบบ ไม่มีใครสูงหรือต่ำกว่าใคร ช่วยเพิ่มความ มีหน้ามีตาให้แก่สตรีแคว้นอู่หลิงของพวกเรา เทียบกับตาเฒ่าที่อยู่อันดับล่างสุด ในยุทธภพอย่างข้าแล้วคู่ควรจะได้รับกรอบป้ายจากตาเฒ่าฮ่องเต้มากกว่าเสียอีก แต่ข้าก็ต้องเอ่ยประโยคที่เป็นธรรมสักหน่อย เซียนกระบี่ผู้นี้ของเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นอาจารย์หรือสามีของเจ้า ก็ค่อนข้างจะขี้เหนียวไปหน่อย ถึงได้ยอมแบ่งเหล้าให้เจ้า แค่ถ้วยเดียว”
สุยจิ่งเฉิงมองเฉินผิงอันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามซึ่งเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเปิดผนึกดิน แล้วเทเหล้าลงในถ้วยขาวใบใหญ่ ก่อนที่จะหันมาพูดกับผู้เฒ่าที่บอกว่าตัวเอง สวมหน้ากากด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าหวัง…”
หวังตุ้นได้ยินแล้วก็ไม่ใคร่จะสบอารมณ์นัก เขาโบกมือทันที “ไม่เฒ่าๆ คนแก่ แต่ใจไม่แก่ เรียกข้าว่าเจ้าหมู่บ้านหวังก็พอ หรือจะเรียกชื่อข้าตรงๆ ว่าหวังตุ้นก็ยังได้”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ “เจ้าหมู่บ้านหวัง ตอนนี้เซียวซูเย่มือดาบแห่งแคว้นชิงสือได้ตายไปแล้ว”
หวังตุ้นถอนหายใจ ฟังออกถึงความนัยในถ้อยคำของ ‘สาวงามตระกูลสุย’ ผู้นี้ เขายกเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ “แต่ข้าก็ยังเป็นอันดับสุดท้ายอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ราชวงศ์ ต้าจ้วนเลือกตาเฒ่าสักคนมา ฝีมือก็ยังสูงกว่าข้าอยู่ดี”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่าตนไม่มีอะไรให้พูดอีกแล้ว
หวังตุ้นหัวเราะร่าหันไปมองคนหนุ่มชุดเขียว อีกฝ่ายคือเซียนกระบี่แซ่เฉิน ที่มีเรื่องราวปรากฎอยู่ในรายงานภูเขาแม่น้ำติดต่อกันหลายฉบับ บันทึกช่วงแรกเริ่มสุดน่าจะเป็นบนเรือข้ามฟากลำหนึ่งที่มุ่งหน้าไปยังสวนน้ำค้างวสันต์ ไม่ยอมเอา กระบี่บินออกมาใช้ ใช้เพียงหมัดปะทะหมัดก็สามารถต่อให้ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองแซ่เลี่ยวของจวนเถี่ยชางราชวงศ์ต้ากวานหล่นร่วงลงไปจากเรือข้ามฟาก ภายหลัง หลิ่วจื้อชิงเซียนกระบี่แห่งตำหนักจินอูขี่กระบี่ผ่านมา บอกว่าเขาใช้หนึ่งกระบี่ฟันผ่าเมฆสายฟ้าที่พิทักษ์ตำหนักจินอู่ ภายหลังคนบนเส้นทางเดียวกันที่เดิมทีควรกลายเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่เปิดฉากสังหารกันคู่นี้ กลับไปดื่มชาร่วมกันที่หน้าผาอวี้อิ๋งแห่ง สวนน้ำค้างวสันต์ เล่าลือกันว่าพวกเขายังกลายมาเป็นสหายกันด้วย ส่วนตอนนี้ เขาก็มาตัดหัวของเซียวซูเย่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นอู่หลิง
หวังตุ้นเอ่ยถาม “เซียนกระบี่ต่างถิ่นเช่นเจ้าคงจะไม่ฟันข้าให้ตายด้วยหนึ่งกระบี่เพียงเพราะข้าพูดว่าเจ้าไม่ใจกว้างมากพอหรอกกระมัง?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างระอาใจ “แน่นอนว่าไม่”
หวังตุ้นยกถ้วยเหล้าขึ้น เฉินผิงอันก็ยกตาม คนทั้งสองชนถ้วยกันเบาๆ หวังตุ้น ดื่มเหล้าไปแล้วก็ถามเบาๆ ว่า “อายุเท่าไรแล้ว?”
เฉินผิงอันตอบ “ประมาณสามร้อยปี”
หวังตุ้นวางถ้วยเหล้าลง ยกมือลูบคลำหัวใจ “คราวนี้ค่อยรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย ไม่อย่างนั้นคงต้องรู้สึกว่าตัวเองอายุมากปูนนี้ล้วนเอาเวลาไปใช้บนร่างสุนัขหมดแล้ว”
สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ
แม้จะบอกว่าไม่คล้ายคลึงกับผู้อาวุโสหวังตุ้นในความทรงจำของตนเลยแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนว่าเจ้าหมู่บ้านผู้เฒ่าของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวที่นั่งอยู่บนโต๊ะสุราคนนี้ จะให้ความรู้สึกที่ดียิ่งกว่า
หวังตุ้นกดเสียงลงถามเบาๆ “ใช้หมัดปะทะหมัดต่อยให้เจ้าคนแซ่เลี่ยวผู้นั้น ร่วงลงจากเรือข้ามฟากจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ประมาทไปหน่อย อันตรายอย่างมากเลยล่ะ”
หวังตุ้นยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราสองคนมาประลองฝีมือกันหน่อยดีไหม? เอาแบบที่ว่าหยุดเมื่อพอสมควร วางใจเถอะ ล้วนเป็นเพราะข้าดื่มเหล้าเข้าไป เห็นยอดฝีมือนอกโลกที่แท้จริงก็เลยเกิดคันไม้คันมือขึ้นมาเท่านั้น”
เฉินผิงอันส่ายหน้า
หวังตุ้นกล่าว “กินเหล้าสองกาของคนอื่นเขาเปล่าๆ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ไม่ยินดีจะทำหรือ?”
หวังตุ้นเห็นว่าคนผู้นั้นไม่มีแววจะเปลี่ยนใจก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้า ขอร้องเจ้า?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็พยักหน้ารับ “เอาตามคำบอกของผู้อาวุโสหวัง ใช้หมัดปะทะหมัด หยุดเมื่อพอสมควร”
หวังตุ้นลุกขึ้นยืน กวาดตามองไปรอบด้าน แล้วก็คล้ายจะเลือกโต๊ะตัวหนึ่งที่อยู่ด้านข้างได้ เขาจึงยื่นฝ่ามือออกไปกดลงเบาๆ ขาโต๊ะทั้งสี่ก็แหลกสลายกลายเป็นผุยผง แต่กลับเงียบเชียบไร้เสียง ผิวหน้าโต๊ะร่วงลงบนพื้นเบาๆ
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “หากรู้สึกว่าสองคนกระโดดขึ้นไปประมือกันบนโต๊ะจะดูเหมือนเล่นกายกรรมในสายตาของคนอื่นมากเกินไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็แค่ย้ายโต๊ะตัวนี้ออกไปก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
หวังตุ้นอึ้งตะลึง “ข้าก็อยากจะทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ที่ทำแบบนี้ก็ไม่ใช่เพราะกลัวว่าจะเป็นการลดสถานะของเซียนกระบี่อย่างเจ้าหรอกหรือ?”
คนทั้งสองเดินขึ้นไปบนหน้าโต๊ะแทบจะเวลาเดียวกัน
สุยจิ่งเฉิงอยากจะลุกขึ้นเดินออกไปจากร้าน แต่เฉินผิงอันผายมือออกมาบอก เป็นนัยแก่นางว่าไม่ต้องลุกขึ้น
หวังตุ้นยืนได้มั่นคงแล้วก็กุมหมัดกล่าวว่า “หวังตุ้นแห่งหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว แคว้นอู่หลิง ฝึกวิชาหมัดจนพอจะประสบความสำเร็จ หวังขอคำชี้แนะ”
เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะกลับคืน แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงผายฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “เชิญ”
บอกชื่อแซ่และสำมะโนครัวที่แท้จริงคงไม่เหมาะสมสักเท่าไร
ให้บอกไปว่าตนเองชื่อเฉินคนดีอะไรนั่น เขาก็ไม่เต็มใจ
พวกคนดูที่อยู่ห่างออกไปไกลพากันร้องฮือฮา เหตุใดตาเฒ่าขายเหล้าถึงกลายเป็นผู้อาวุโสหวังตุ้นไปได้?
เพียงแต่ว่าเมื่อผู้เฒ่าคนนั้นลอกหน้ากากออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริง กลุ่มผู้คนก็เกิดอารมณ์ตื่นเต้นฮึกเหิม เป็นผู้อาวุโสหวังตุ้นที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นหัว ไม่เห็นหางจริงๆ ด้วย!
หวังตุ้นออกหมัดรวดเร็วดุจสายฟ้า พลังอำนาจดุดันน่าครั่นคร้าม แต่กลับ ไม่มีปราณสังหาร
ส่วนคนชุดเขียวกลับเน้นป้องกันมากกว่าโจมตี
ตอนที่คนทั้งสองสลับตำแหน่งยืนกัน หวังตุ้นยิ้มกล่าว “พอจะรู้รากฐานกันคร่าวๆ แล้ว ถึงเวลาที่พวกเราควรจะปลดปล่อยฝีมือกันได้แล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
พวกผู้ฝึกยุทธในยุทธภพที่นั่งอยู่บนหลังคาเรือน หัวกำแพงและบนต้นไม้ ของตรอกที่อยู่ห่างไปไกลรู้สึกฮึกเหิมเป็นกำลัง ศึกบนยอดเขาที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันในพื้นที่จำกัดเช่นนี้ ร้อยปีก็ไม่อาจได้พานพบจริงๆ
ไม่เสียแรงที่ผู้อาวุโสหวังตุ้นคือบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงพวกเรา เจอกับเซียนกระบี่คนหนึ่ง ไม่เพียงแต่กล้าออกหมัด ยังไม่ตกเป็นรองอีกด้วย
แม้จะบอกว่าเซียนกระบี่ผู้นั้นไม่ได้เรียกกระบี่บินออกมา แต่เพียงแค่เท่านี้ พูดประโยคที่มีมโนธรรมสักหน่อย ก็ถือว่าผู้อาวุโสหวังตุ้นสู้สุดชีวิต เอาเกียรติยศของ ผู้ฝึกยุทธที่ไม่เคยได้รับความพ่ายแพ้มาตลอดชีวิตไปเดิมพัน เพื่อช่วงชิงเกียรติและศักดิ์ศรีที่ใหญ่เทียมฟ้ามาให้แก่คนในยุทธภพแคว้นอู่หลิงทุกคน! ผู้อาวุโสหวังตุ้น ช่างเป็นจิตบู๊ของแคว้นอู่หลิงพวกเราจริงๆ!
เหล่าชายชาตรีในยุทธภพที่ได้แต่กล้าชมศึกอยู่ไกลๆ หนึ่งเป็นเพราะไม่มีใคร ที่เป็นปรมาจารย์ด้านวรยุทธที่แท้จริง สองเป็นเพราะอยู่ห่างจากร้านเหล้ามา ค่อนข้างไกล แน่นอนว่าเห็นได้ไม่ชัดเจนเท่ากับสุยจิ่งเฉิง
ยกตัวอย่างเช่นนางเห็นว่าตอนที่ผู้อาวุโสคิดจะยุติการประลองครั้งนี้ เขาพลัน ลงมืออย่างรวดเร็ว เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ทั้งปัดหมัดหนึ่งของหวังตุ้นทิ้งไปได้ หนึ่งฝ่ามือพุ่งไปด้านหน้าต่อ แล้วก็ทั้งคิดจะตบลงบนใบหน้า ของหวังตุ้น น่าจะสามารถใช้ฝ่ามือตบให้ร่างหวังตุ้นพ้นออกไปจากหน้าโต๊ะที่อยู่ใต้ ฝ่าเท้าของคนทั้งสองได้ คิดไม่ถึงว่าหวังตุ้นจะรีบขยิบตา ส่วนผู้อาวุโสก็พยักหน้า รับเบาๆ หมัดของหวังตุ้นที่เดิมทีช้ากว่าหนึ่งระดับจึงปะทะกับฝ่ามือของผู้อาวุโส แทบจะเวลาเดียวกัน คนทั้งสองถอยกรูดไปด้านหลังสองก้าว ทั้งสองฝ่ายมีจิตใจสื่อ ถึงกันเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็พลิ้วกายลงบนขอบโต๊ะเหมือนกัน
สุยจิ่งเฉิงเห็นว่าหวังตุ้นเริ่มขยิบตาอีกครั้ง ผู้อาวุโสชุดเขียวก็เริ่มขยิบตาเหมือนกัน คราวนี้สุยจิ่งเฉิงมึนงงไปหมด ทำไมถึงได้รู้สึกว่าคนทั้งสองกำลังหั่นราคากันอยู่นะ? แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นการต่อรองราคา การออกหมัดของคนทั้งสองกลับรวดเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ละครั้งล้วนเป็นเจ้าส่งมาข้าปล่อยกลับ แทบจะได้ผลลัพธ์ที่สูสีกัน ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ได้เปรียบใคร คนนอกมองมา นี่ก็คือศึกแห่งปรมาจารย์ที่ไม่แบ่งสูงต่ำ อย่างแท้จริง
สุดท้ายคนทั้งสองน่าจะตกลง ‘ราคา’ กันได้พอใจแล้ว หนึ่งคนหนึ่งหมัด จึงกระแทกลงบนหน้าอกของฝั่งตรงข้าม ผิวโต๊ะใต้ฝ่าเท้าแตกออกเป็นสอง ต่างคนต่างกระทืบเท้าหยุดยืนนิ่ง จากนั้นก็กุมหมัดคารวะกัน
การต่อสู้สิ้นเสร็จ ปิดงาน
หวังตุ้นหัวเราะเสียงดัง “คิดไม่ถึงว่าเซียนกระบี่คนหนึ่งจะมีวิชาหมัดที่ดีขนาดนี้”
อีกฝ่ายพูดเสียงดังกังวานว่า “ปณิธานหมัดของเจ้าหวังตุ้นกลับเข้มข้นยิ่งกว่า ขัดเกลามาได้อย่างไร้ข้อตำหนิยิ่งกว่า นานหน่อยคือสิบปี สั้นหน่อยคือห้าปี ข้าจะยังต้องมาเยือนหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวแห่งนี้เพื่อประลองวิชาหมัดกับเจ้าหวังตุ้นอีกครั้ง เป็นแน่”
สุยจิ่งเฉิงนวดคลึงขมับ ก้มหน้าดื่มเหล้า เพราะรู้สึกว่าทนมองตรงๆ ไม่ไหว สำหรับการที่คนทั้งสองยกยอปอปั้นกันเองนั้นก็ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่ายุทธภพที่แท้จริง เหตุใดจึงเหมือนสุราที่ผสมปนด้วยน้ำเปล่าอย่างนี้เล่า?
หากเป็นพวกหูซินเหวย เซียวซูเย่ที่มีการกระทำเช่นนนี้ นางสุยจิ่งก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่เขากับผู้อาวุโสหวังตุ้นกลับหน้าหนาไร้ความละอายกันเช่นนี้ ทำให้สุยจิ่งเฉิงเกือบจะรู้สึกว่าฟ้าถล่มดินทลาย ชีวิตนี้ไม่อยากจะไปแตะต้องนิยายต่อสู้ในยุทธภพ อีกแล้ว
หวังตุ้นเดินมาที่หน้าร้านแล้วชูหมัดขึ้นสูง ถือเป็นการคารวะทักทายทุกคนแล้ว จากนั้นก็โบกมือ “แยกย้ายกันไปเถอะ”
เสียงไชโยโห่ร้องและเสียงให้กำลังใจดังขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นก็ค่อยๆ แว่วหายไป
ผู้อาวุโสหวังตุ้นเอ่ยขนาดนี้แล้ว ทุกคนจึงไม่สะดวกใจจะอยู่ต่ออีก
ตอนที่หวังตุ้นย้อนกลับมานั่งที่เดิม เซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้นก็ได้ไปเก็บหน้าโต๊ะ ที่แบ่งครึ่งเป็นสองแผ่นอยู่บนพื้นกลับมาวางทับซ้อนบนโต๊ะเหล้าอีกตัวหนึ่งแล้ว
หวังตุ้นนั่งลงแล้วก็ดื่มเหล้าหนึ่งคำ เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ในเมื่อเจ้ามีตบะสูงเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องเป็นฝ่ายมาหาข้าหวังตุ้นที่เป็นเพียงแค่นักสู้ในยุทธภพคนหนึ่ง? เพื่อตระกูลที่อยู่เบื้องหลังสตรีสกุลสุยผู้นี้น่ะหรือ? หวังว่าเมื่อพวกเจ้าทั้งสองไปจากแคว้นอู่หลิง มุ่งหน้าขึ้นเขาไปฝึกตนแล้ว ข้าหวังตุ้นจะช่วยดูแลพวกเขาบ้าง?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ได้มีข้อเรียกร้องเช่นนี้ ข้าเพียงหวังว่าเมื่อข้ามาปรากฏตัวที่นี่จะเป็นการตักเตือนคนบางคนที่อยู่ในมุมมืดว่า หากคิดจะลงมือกับตระกูลสุย ก็จะต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่ตามมาจากการถูกข้าไปทวงแค้นดูบ้าง”
หวังตุ้นอืมรับหนึ่งคำพลางผงกศีรษะ “การวางอุบายหลอกลวงกันเองของพวก ผู้ฝึกตนบนภูเขา อันที่จริงก็เป็นเพียงแค่บุญคุณความแค้นในยุทธภพที่ทั้งสองฝ่าย มีอายุขัยยืนนานก็เท่านั้น แก่นแท้ไม่มีอะไรแตกต่างกัน ต่างก็ไม่มีความหมายใดๆ กลับเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าจะถือว่าอายุน้อยอย่างเจ้าที่ไม่เหมือนเทพเซียนบนภูเขา ซึ่งข้าเคยพบเจอมาในอดีต ดังนั้นเลี้ยงเหล้าเจ้า ข้าจึงไม่รู้สึกว่าเป็นการย่ำยีสุราพวกนี้ให้เสียเปล่า ข้าพูดแบบนี้ ฟังดูวางโตไปหน่อยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ผู้ฝึกยุทธฝึกตนเน้นย้ำในเรื่องของการเหยียบยืนบนพื้น ได้อย่างมั่นคงมากที่สุด ไม่มีทางลัดให้เดิน หากจิตใจและปณิธานไม่สูงสักหน่อย ไม่มองให้ไกลสักหน่อย จะค่อยๆ เดินทีละก้าวไปจนถึงยอดเขาได้อย่างไร”
แม้ว่าหวังตุ้นจะขายเหล้า แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ชื่นชอบดื่มเหล้าสักเท่าไร ส่วนใหญ่แล้วจึงมักจะจิบเหล้าคำเล็กดื่มช้าๆ ไม่เคยมีท่วงท่ากระดกดื่มอย่างผึ่งผาย เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ร้านเหล้าแห่งนี้คงเปิดต่ออีกไม่ได้แล้ว คำพูดจริงใจมากมายของคนในยุทธภพก็คงไม่ได้ยินอีกแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เจ้าหมู่บ้านหวังไม่ชอบฟังถ้อยคำดีๆ ขนาดนี้เชียวหรือ?”
หวังตุ้นเบ้ปาก “ก็ชอบอยู่หรอก ตอนเป็นหนุ่มชอบฟังมากเป็นพิเศษ ตอนนี้ ก็ยิ่งรักเลย เพียงแต่ชอบฟังถ้อยคำดีๆ เช่นนี้ หากไม่ยอมรับฟังถ้อยคำจริงใจ และถ้อยคำที่ไม่น่าฟังให้มากๆ หน่อย ข้ากลัวว่าข้าหวังตุ้นจะลอยเข้าไปในทะเลเมฆ ถึงเวลานั้นตัวลอยไปแล้ว อีกทั้งยังไม่มีวิชาอภินิหารของเซียนอะไรอีก จะไม่ร่วง ตกลงมาตายหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันมองสีท้องฟ้า
หวังตุ้นยิ้มถามว่า “ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ นอกจากสุราดีสิบกว่าไหแล้ว ยังต้องการให้ทางหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวควักอะไรอีกหรือไม่?”
เฉินผิงอันตอบ “ม้าเร็วสองตัว รวมไปถึงที่อยู่ของท่าเรือตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นลวี่อิ๋ง”
หวังตุ้นกังขา “เพียงแค่นี้เองหรือ?”
เฉินผิงอันกล่าว “แค่นี้ก็มากพอแล้ว”
หวังตุ้นชี้ไปทางโต๊ะคิดเงิน “เหล้าที่อยู่ด้านล่างโต๊ะมีรสชาติกลมกล่อมเข้มข้น ยิ่งกว่า เซียนกระบี่เชิญเอาไปได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันจึงลุกขึ้นยืนเดินไปที่โต๊ะคิดเงินแล้วเริ่มเทเหล้าใส่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เปิดไหหนึ่งแล้วก็ตามด้วยอีกไหหนึ่ง
หลังจากเหล้าหมักเก่าแก่ห้าไหถูกเปิดผนึกดินออก หวังตุ้นก็นั่งไม่ติดอีกต่อไป เขาที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงินเอ่ยโน้มน้าวเบาๆ ว่า “เดินทางอยู่ในยุทธภพ ดื่มเหล้าอาจทำให้เกิดเรื่อง น่าจะพอได้แล้วล่ะ”
เซียนกระบี่ชุดเขียวที่มองดูแล้วยังหนุ่มอยู่มากผู้นั้นหันหลังให้หวังตุ้น แต่มือที่ เทเหล้ากลับไม่ได้หยุดนิ่ง “ไม่เป็นไร บรรจุเหล้าไปมากๆ หน่อยก็สามารถดื่ม อย่างประหยัดได้เหมือนกัน”
หวังตุ้นลังเลเล็กน้อย ก่อนเอ่ยเตือนว่า “ข้าสามารถเปลี่ยนหน้ากากใหม่ เปลี่ยนสถานที่ใหม่มาขายเหล้าต่อ”
เซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขออวยพรล่วงหน้า ให้กิจการของเจ้าภูเขาหวังเจริญรุ่งเรือง มีเงินทองไหลมาเทมา”
หวังตุ้นเห็นว่าเขาไม่หลงกลก็ได้แต่เอ่ยต่อว่า “เหล้าเก่าแก่หลายไหที่อยู่ด้านล่างนั้นฤทธิ์แรงเกินไป มีชื่อว่าเหล้าโซ่วเหมย อันที่จริงเป็นเหล้าเก่าเก็บอยู่ใต้ดินของ หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวข้า โดยทั่วไปแล้วคนในยุทธภพที่ชอบดื่มเหล้าไม่รู้จักชื่อของเหล้าชนิดนี้ ต่อให้ควักเงินจ่ายได้ไหวก็ไม่กล้ากินเกินสองชาม นั่นเป็นเพราะออกฤทธิ์ แรงเกินไป ดังนั้นจึงถูกเรียกว่าสองถ้วยเซหรือไม่ก็สามถ้วยล้ม ไม่สู้เจ้าลองเปลี่ยนเป็นเหล้าธรรมดา รสชาติดีกว่ากันมาก”
คนหนุ่มส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ดื่มเหล้าไม่ใช่ดื่มชา ไม่จำเป็นต้องพิถีพิถันในเรื่องรสชาติที่คงค้างอยู่ยาวนาน ดื่มเหล้าก็หวังให้เมามาย นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ตามหลักฟ้าดิน”
หวังตุ้นทนไม่ไหวอีกต่อไป “ตอนนี้ในหมู่บ้านมีแขกสูงศักดิ์มาเยือนมากมาย ดุจก้อนเมฆ ขุนนาง สหายในยุทธภพ ผู้มีชื่อเสียงในวงการนักประพันธ์ ต่างก็ไม่อาจเพิกเฉยละเลยได้ เหล้าโซ่วเหมยสามสิบกว่าไหที่เก็บไว้ในหมู่บ้าน คาดว่าคงต้อง หมดสิ้นแน่แล้ว การที่ข้ามาหลบหาความสงบอยู่ที่นี่ก็เพราะคิดว่า จะดีจะชั่วก็ยังสามารถเก็บเหล้าโซ่วเหมยไว้ได้สักสองสามไห เจ้าจะไม่เข้าใจกันสักหน่อยหรือ?”
คนหนุ่มเปิดเหล้าโซ่วเหมยไหสุดท้ายแล้ว เขาพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เหตุใด ผู้อาวุโสไม่พูดแต่เนิ่นๆ พอผนึกดินถูกเปิดออกก็ไม่อาจรั้งรสชาติเอาไว้ได้แล้ว ก่อนหน้านี้พวกเรานั่งอยู่ที่โต๊ะก็ดื่มเหล้ากันไปพอสมควร ไม่อย่างนั้นก็คงจะลองชิมรสชาติของเหล้าโซ่วเหมยนี่ดูได้ เวลานี้กลับไม่อาจบรรจุไว้ในกาเหล้าของข้าได้ ช่างน่าเสียดายจริงๆ น่าเสียดายยิ่งนัก ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าหมู่บ้านอยากจะเก็บไว้ ดื่มเองหนึ่งไห ทำตัวเป็นคนขี้เหนียวที่ยินดีแบ่งเหล้าให้คนอื่นดื่มแค่หนึ่งถ้วย เหมือนข้า ข้าก็คงไม่เอาไปแล้วล่ะ จะเก็บไหนี้ไว้ให้เจ้าภูเขาหวังก็แล้วกัน”
หวังตุ้นโบกมือ หัวเราะร่าเอ่ยว่า “ที่ไหนกันๆ เชิญเจ้าเทเหล้าไปได้ตามสบาย ข้าหวังตุ้นไม่ใช่คนประเภทนั้น มอบเหล้าให้แก่เซียนกระบี่บรรจุไว้ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ ถือเป็นเรื่องงดงามในโลกมนุษย์ เป็นเรื่องที่ดีงามเรื่องหนึ่ง”
ดังนั้นถึงท้ายที่สุด เหล้าโซ่วเหมยจึงไม่เหลืออยู่แม้แต่ไหเดียว
หวังตุ้นหมุนตัวกลับ ไม่อยากมองเห็นอีก ท่าทางเสียใจอาลัยอาวรณ์คล้ายสตรี ที่ต้องแต่งงานจากบ้านไปไกล
หวังตุ้นที่หันหลังให้โต๊ะคิดเงินถอนหายใจ “จะไปจากที่นี่เมื่อไหร่? หาใช่ว่าข้า ไม่กระตือรือร้นอยากรับรองแขก แต่พวกเจ้าอย่าไปที่หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวเลยจะดีกว่า ที่นั่นมีแต่การรับรองที่น่าเบื่อหน่าย”
จากนั้นหวังตุ้นก็บอกที่อยู่ของท่าเรือตระกูลเซียนแคว้นลวี่อิงโดยละเอียด
เฉินผิงอันเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะคิดเงิน ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างั้นก็รบกวน เจ้าหมู่บ้านหวังให้คนจูงม้ามาให้สองตัว พวกเราคงไม่ค้างแรมที่เมืองเล็กแล้ว แต่จะออกเดินทางทันที”
หวังตุ้นโบกมือหนึ่งครั้ง ลูกศิษย์ในหมู่บ้านคนหนึ่งที่ตามมาเพราะได้ข่าว ก็ถูกเรียกตัวจากมุมของตรอกที่ห่างไปไกลให้มาอยู่ข้างกายเขา เป็นมือกระบี่ วัยกลางคนหน้าตาหล่อเหลาปานหยกคนหนึ่ง หวังตุ้นฝึกวรยุทธปะปนกันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัดวิชาตัวเบา หรือวิชาดาบ กระบี่ ทวนก็ล้วนเป็นบุคคลอันดับหนึ่งอย่างสมศักดิ์ศรีของแคว้นอู่หลิง ดังนั้นในบรรดาลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเขาจึงเชี่ยวชาญกันไปคนละอย่าง คนที่มายังร้านเหล้าผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจที่ได้รับการ สืบทอดวิชากระบี่จากหวังตุ้น อยู่ในแคว้นอู่หลิงก็สามารถยึดครองตำแหน่งยอดฝีมือสามอันดับแรกด้านวิชากระบี่ได้อย่างมั่นคง พอได้พบกับเฉินผิงอันและรับคำสั่งจากอาจารย์แล้ว ก่อนจะไปจากร้านเหล้าก็ไม่ลืมกุมหมัดคารวะเซียนกระบี่ชุดเขียวผู้นั้น “หวังจิ้งซานลูกศิษย์หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวคารวะเซียนกระบี่ วันหน้าหากเซียนกระบี่เดินทางผ่านหมู่บ้าน ขอเซียนกระบี่โปรดชี้แนะวิชากระบี่แก่ผู้น้อยสักหน่อยเถิด”
เฉินผิงอันยิ้มพลางพยักหน้ารับ “ได้เลย”
หวังตุ้นยิ้มกล่าว “ชี้แนะวิชากระบี่อะไรกัน กระบี่บินบนภูเขาบินไปบินกลับ เจ้าหวังจิ้งซานก็แพ้แล้ว บอกไปตามตรงเถอะว่าอยากเห็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่กับตาตัวเอง จะหาข้ออ้างส่งเดชทำไม ไม่อายคนเขาบ้างหรือ”
เห็นได้ชัดว่าหวังจิ้งซานคุ้นเคยกับนิสัยของอาจารย์ตัวเองดี จึงไม่รู้สึก กระอักกระอ่วนใดๆ เพียงบอกลาจากไปด้วยใบหน้าแต้มยิ้ม
เพียงไม่นานหวังจิ้งซานก็จูงม้าสองตัวมาจากทางหมู่บ้านภูเขา นอกจาก หวังจิ้งซานแล้วยังมีม้าอีกสองตัว ผู้ขี่คือเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่ง ล้วนเป็นศิษย์น้อง ชายหญิงของหวังจิ้งซาน
สามคนห้าม้ามาเยือนอำเภอที่ห่างจากหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวไม่ไกลแห่งนี้
คนในหมู่บ้านทั่วไปไม่กล้าเปิดปากขอหวังจิ้งซานว่าจะไปรบกวนอาจารย์ที่ ร้านเหล้าเพื่อชมมาดของเซียนกระบี่ในตำนาน ก็มีเพียงลูกศิษย์ที่อาจารย์รักและเอ็นดูที่สุดสองคนนี้เท่านั้นที่สามารถตามตื๊อจนหวังจิ้งซานจำต้องแข็งใจพามาด้วย
หวังตุ้นกับคนต่างถิ่นสองคนนั้นไม่ได้อยู่ที่ร้านเหล้า แต่ยืนอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมซึ่งห่างจากร้านเหล้าไปไม่ใกล้
ไม่ได้มีคำพูดจาปราศรัยอย่างมีมารยาทอะไร เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วก็ควบม้าจากไปไกลทันที
เด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่เหมือนกับหวังจิ้งซานกำสองมือเป็นหมัด จุ๊ปากพูดว่า “ไม่เสียแรงที่เป็นเซียนกระบี่อย่างที่กล่าวถึงในตำรา!”
หวังตุ้นยิ้มถาม “ดวงตาสุนัขข้างไหนของเจ้ามองออกเสียล่ะ?”
เด็กหนุ่มไม่กลัวอาจารย์อย่างหวังตุ้นแม้แต่น้อย เขางอนิ้วสองข้างชี้ไปที่ดวงตาของตัวเอง “ล้วนมองออกทั้งคู่!”
ท่าทางเช่นนี้ แน่นอนว่าเรียนรู้มาจากอาจารย์ของเขา
เด็กสาวพกดาบพูดอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญว่า “ข้าไม่เห็นจะมองอะไรออกเลย”
เด็กหนุ่มหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าเรียนดาบ ไม่เหมือนข้า แน่นอนว่าไม่อาจสัมผัสได้ถึงปณิธานกระบี่ที่มากมายไร้ที่สิ้นสุดบนร่างของเซียนกระบี่คนนั้น พูดไปแล้ว ก็ไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้าตกใจ ข้าแค่มองไม่กี่ครั้งก็ได้รับผลประโยชน์มหาศาล คราวหน้าที่เจ้าและข้าประลองฝีมือกัน ต่อให้ข้าเพียงแค่ยืมใช้ปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งของเซียนกระบี่ เจ้าก็ยังต้องพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย!”
หวังตุ้นตบศีรษะเด็กหนุ่ม “เจ้าเด็กโง่ เมื่อครู่ตอนที่เซียนกระบี่ผู้นั้นอยู่ ทำไมเจ้าไม่พูดแบบนี้เล่า?”
เด็กหนุ่มพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พลังอำนาจของเซียนกระบี่เปี่ยมล้นเกินไป ข้าถูกปณิธานกระบี่ที่สะท้านฟ้าสะเทือนดินขุมนั้นสยบกำราบเอาไว้ เลยเปิดปากไม่ออก”
หวังตุ้นเงื้อฝ่ามือตบไปอีกครั้ง ทำเอาเด็กหนุ่มหัวสั่น “ไสหัวไปไกลๆ เลย”
เด็กหนุ่มเดินอาดๆ ก้าวออกไป ก่อนจะหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ตอนที่เดินทางมา ได้ยินศิษย์พี่จิ้งซานเล่าว่าหลูต้าหย่งเจียวพลิกแม่น้ำผู้นั้นได้ลิ้มรสกระบี่บินของ เซียนกระบี่ ข้าจะไปถามดูเสียหน่อย หากไม่ทันระวังให้ข้าได้สัมผัสกับปณิธานที่แท้จริงของกระบี่บินอีกเสี้ยวหนึ่ง เฮอะๆ อย่าว่าแต่ศิษย์พี่หญิงเลย ต่อให้เป็น ศิษย์พี่จิ้งซาน วันหน้าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้าอีกต่อไป สำหรับข้าแล้ว นั่นจะเป็นเรื่อง ที่น่ายินดี แต่สำหรับศิษย์พี่จิ้งซาน กลับเป็นเรื่องที่น่าเศร้าเสียนี่กระไร”
กล่าวจบเด็กหนุ่มที่สะพายกระบี่ก็ก้าวเท้าเผ่นแน่บไปอย่างรวดเร็วราวกับบิน
หวังจิ้งซานกลั้นยิ้ม “อาจารย์ นิสัยกวนๆ นี้ของศิษย์น้องเหมือนใครกันแน่นะ?”
เพื่อปัดเรื่องให้พ้นตัว หวังตุ้นจึงเริ่มสาดโคลนส่งเดช “น่าจะเหมือนศิษย์พี่หญิงใหญ่ของพวกเจ้ากระมัง”
ฟู่โหลวไถลูกศิษย์ใหญ่ของหวังตุ้น ใช้ดาบ แล้วก็เป็นปรมาจารย์วิชาดาบ สามอันดับแรกของแคว้นอู่หลิง อีกทั้งฟู่โหลวไถยังแตกฉานในวิชากระบี่ เพียงแต่ว่าเมื่อหลายปีก่อนแม่นางเฒ่าผู้นั้นแต่งงานออกเรือนไปแล้ว คอยช่วยเหลือสามี อบรมบุตร แล้วก็เลือกที่จะออกจากยุทธภพไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนคนที่นางแต่งงานด้วยกลับไม่ใช่จอมยุทธใหญ่ในยุทธภพที่เหมาะสมคู่ควรกัน แล้วก็ไม่ใช่ลูกหลานชนชั้นสูง ที่คนในตระกูลเป็นขุนนางสืบทอดต่อกันมาหลายสมัย เป็นเพียงแค่บุรุษธรรมดา ที่พอมีฐานะ อีกทั้งยังเด็กกว่านางตั้งเจ็ดแปดปี ที่น่าประหลาดก็คือคนทั้งหมู่บ้าน ภูเขาส่าส่าว นับตั้งแต่หวังตุ้นไปจนถึงเหล่าศิษย์น้องชายหญิงของฟู่โหลวไถกลับไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม แล้วก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับคำซุบซิบนินทาใน ยุทธภพ ในอดีตตอนที่หวังตุ้นไม่อยู่ในหมู่บ้าน อันที่จริงก็เป็นฟู่โหลวไถที่ทำหน้าถ่ายทอดวิชาความรู้ ต่อให้หวังจิ้งซานจะมีอายุมากกว่าฟู่โหลวไถ แต่ก็ยังเคารพนับถือศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างมาก
ดังนั้นเด็กสาวจึงพูดบ่นอย่างคนไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “อาจารย์ ไม่ใช่ว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ในหมู่บ้านแล้วแล้วท่านผู้อาวุโสจะฆ่าลาเมื่อเสร็จงานโม่แป้ง ได้นะ แบบนี้ออกจะไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเกินไปหน่อยแล้ว”
หวังตุ้นแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พาลูกศิษย์ทั้งสองเดินไปทางร้านเหล้า
หลังจากปิดร้านเหล้าแห่งนี้แล้ว แน่นอนว่าก็ต้องย้ายรังใหม่
หวังตุ้นนั่งอยู่ข้างโต๊ะสุรา หวังจิ้งซานจึงเริ่มอาศัยโอกาสนี้รายงานสถานการณ์ล่าสุดของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวให้ผู้เฒ่าฟัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องรายรับรายจ่าย การไปมาหาสู่กับผู้อื่น ฤกษ์ดีในการแขวนกรอบป้ายที่ฮ่องเต้ประทานให้ควรเป็นวันใด จอมยุทธใหญ่คนใดของพรรคใดมอบเทียบเชิญและของขวัญมาให้ แต่กลับไม่ได้ เข้ามาพักในหมู่บ้าน หรือมีใครที่ตอนมาพักแรมได้มาร้องทุกข์กับเขาหวังจิ้งซาน ต้องการให้หวังตุ้นช่วยนำความไปบอกต่อแก่คนอื่นเมื่อไหร่ แล้วมีงานเลี้ยงฉลองครบรอบวันเกิดของผู้เฒ่าในยุทธภพคนใดของพรรคใด หมู่บ้านภูเขาส่าส่าวจำเป็นต้องให้ใครไปมอบของขวัญ
รองเจ้ากรมท่านหนึ่งของที่ว่าการกรมอาญาส่งจดหมายมาที่หมู่บ้าน ต้องการให้หมู่บ้านส่งคนไปช่วยทางการคลี่คลายคดีคนตายในเมืองหลวง…
หวังตุ้นหยิบกาเหล้าที่อยู่บนโต๊ะเทเหล้าลงในถ้วยขาวใบใหญ่แล้วดื่มเหล้าคำแล้วคำเล่า เรื่องบางอย่างที่หวังจิ้งซานตัดสินใจมาเรียบร้อยแล้ว ส่วนใหญ่หากผู้เฒ่า พยักหน้ารับก็จะถือว่าผ่านไปได้ แต่หากรู้สึกว่ายังไม่เหมาะสมมากพอก็จะเปิดปากชี้แนะสองสามคำ เรื่องบางอย่างที่หวังตุ้นคิดว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญก็จะพูด อย่างละเอียด หวังจิ้งซานก็จะจดจำไปทีละเรื่อง
เด็กสาวพกดาบที่นั่งอยู่ด้านข้างฟังจนหาว แต่ก็ไม่กล้าขอสุราดื่ม ได้แต่นอนฟุบตัว อยู่บนโต๊ะ มองไปทางถนนของโรงเตี๊ยม แอบคิดในใจว่าสตรีที่สวมหมวกคลุมหน้า ผู้นั้นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ จะเป็นสาวงามคนหนึ่งหรือไม่? หรือว่าพอปลดหมวกมาแล้ว หน้าตาจะงั้นๆ เอง ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกตื่นตะลึงได้สักเท่าไร? แต่เด็กสาว ก็ยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เซียนกระบี่ที่เดิมทีคิดว่าชั่วชีวิตนี้อาจไม่มีโอกาสได้พบเจอ สักครั้ง นอกจากความอ่อนเยาว์ที่ทำให้คนตกตะลึงแล้ว อย่างอื่นๆ ก็ดูเหมือนว่า จะไม่มีอะไรสอดคล้องกับภาพลักษณ์ของเซียนกระบี่ที่อยู่ในใจนางสักเท่าไร
หวังจิ้งซานพูดอยู่นานเกือบครึ่งชั่วยามถึงจะรายงานเรื่องความครึกครื้นที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านช่วงที่ผ่านมาได้จบ
หวังจิ้งซานไม่เคยดื่มสุรา ยึดติดลุ่มหลงอยู่กับวิชากระบี่ ยิ่งไม่เคยใกล้ชิดสตรี แล้วยังเป็นมังสวิรัติ แต่พอศิษย์พี่หญิงใหญ่อย่างฟู่โหลวไถถอยออกจากยุทธภพ กิจธุระต่างๆ ในหมู่บ้าน ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเขากับผู้ดูแลผู้เฒ่าคนหนึ่งที่คอยจัดการ ฝ่ายหลังจะรับผิดชอบเรื่องภายในเป็นหลัก ส่วนหวังจิ้งซานรับผิดชอบเรื่องภายนอก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ดูแลเฒ่าอายุมากแล้ว มีต้นตอโรคมากมายถูกทิ้งไว้ยาม ท่องอยู่ในยุทธภพในอดีต เรี่ยวแรงจึงเริ่มหดหาย ดังนั้นส่วนมากจึงเป็นหน้าที่รับผิดชอบของหวังจิ้งซาน ก็เหมือนอย่างครั้งนี้ที่หลังจากหวังตุ้นผู้เป็นอาจารย์ได้เลื่อนสู่อันดับสิบคน ผู้ดูแลเฒ่าก็เริ่มยุ่งวุ่นวายหัวไม่วางหางไม่เว้น ต้องให้หวังจิ้งซานออกหน้าไปสานสัมพันธ์กับผู้อื่น
เพราะถึงอย่างไรคนในยุทธภพจำนวนไม่น้อยที่พอจะมีชื่อเสียง แม้แต่ลูกศิษย์ของหมู่บ้านภูเขาส่าส่าวที่มาต้อนรับตนมีสถานะอะไร ตบะเท่าไรก็ยังคิดเล็กคิดน้อยยิบย่อย หากหวังจิ้งซานออกหน้าด้วยตัวเอง แน่นอนว่าพวกเขาต้องรู้สึกว่ามีหน้ามีตา แต่หากเป็นลู่จัวที่พรสวรรค์ในการฝึกตนย่ำแย่ที่สุดในบรรดาลูกศิษย์มากมายของ ผู้อาวุโสหวังตุ้นรับผิดชอบเป็นผู้รับรอง แขกเหล่านั้นก็จะพากันบ่นพึมพำ
หวังตุ้นยกถ้วยเหล้าขึ้นดื่ม พอวางลงแล้วจึงกล่าวว่า “จิ้งซาน เจ้าขุ่นเคือง ศิษย์พี่หญิงฟู่ของเจ้าไหม? หากนางยังอยู่ในหมู่บ้าน กิจธุระวุ่นวายเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าแบกไว้บนบ่าเพียงลำพัง ไม่แน่ว่าเจ้าอาจจะเลื่อนเป็น ขอบเขตเจ็ดได้เร็วกว่านี้”
หวังจิ้งซานยิ้มกล่าว “หากจะบอกว่าไม่นึกตำหนินางเลย ขนาดตัวข้าเองก็ยังไม่เชื่อ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจสักเท่าไร หากจะบอกว่าไม่พอใจจริงๆ ก็คงจะเป็นข้อที่ว่า เหตุใดศิษย์พี่หญิงฟู่ถึงได้ออกเรือนไปกับบุรุษธรรมดาสามัญเช่นนั้น เพราะคิดเสมอมาว่าศิษย์พี่หญิงจะต้องหาคนที่ดีกว่านี้ได้”
หวังตุ้นยิ้มกล่าว “เรื่องความรักของชายหญิง หากสามารถใช้เหตุผลได้ คาดว่า คงไม่มีนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญมากมายจนเหมือนน้ำท่วมเอ่อกลายเป็นอุทกภัยพวกนั้นแล้ว”
หัวข้อประเภทนี้ หวังจิ้งซานไม่เคยสนใจอยากมีส่วนร่วมด้วย
ในความเป็นจริงแล้วต่อให้จะไม่ค่อยชอบบุรุษที่บางครั้งจะติดตามศิษย์พี่หญิงฟู่มาปรากฏตัวในหมู่บ้านภูเขา และทุกครั้งจะต้องทำท่าทางขลาดกลัวไม่ชวนให้ชื่นชอบผู้นั้นสักเท่าไร แต่หวังจิ้งซานก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างมีมารยาทเสมอ มารยาทเรื่องใด ที่ควรมีก็ไม่เคยขาดไปแม้แต่น้อย ไม่เพียงเท่านี้ ยังพยายามสั่งห้ามพวกศิษย์น้อง ชายหญิงทั้งหลาย เพราะกังวลว่าหากพวกเขาไม่ระวังเปิดเผยอารมณ์ความรู้สึกใดๆ ออกไป สุดท้ายคนที่ลำบากใจก็ยังคงเป็นศิษย์พี่หญิงฟู่
หวังตุ้นหยุดชะงักไปชั่วครู่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียใจว่า “ถ่วงเวลาการฝึกกระบี่ของเจ้า ในใจอาจารย์ก็รู้สึกผิด แต่พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ได้เห็นเจ้าคอยยุ่งวุ่นวาย ไม่หยุดหย่อน ในใจของอาจารย์ก็ให้รู้สึกปลาบปลื้ม รู้สึกว่าปีนั้นรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ สืบทอดวิชากระบี่ให้เจ้าเป็นเรื่องที่ทำให้สบายใจอย่างยิ่ง แต่ไม่ว่าจะอย่างไร อาจารย์ก็ยังต้องเอ่ยประโยคจากใจจริงกับเจ้าสักคำ”
หวังจิ้งซานขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “อาจารย์เชิญกล่าว ศิษย์รับฟังอยู่”
หวังตุ้นคลี่ยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “จิ้งซาน หากวันได้รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยแล้ว เบื่อหน่ายกิจธุระในหมู่บ้านพวกนี้จริงๆ อยากจะพกกระบี่ออกท่องยุทธภพเพียงลำพัง ก็ไม่ต้องรู้สึกผิด ไม่ต้องรู้สึกละอายใจแม้แต่น้อย เจ้ามาหาอาจารย์ได้อย่างเปิดเผย ถือสุราดีๆ มาสักกาหนึ่ง เมื่ออาจารย์ดื่มเหล้าของเจ้าแล้วก็จะไปส่งเจ้าเอง ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่อยากกลับบ้านก็กลับมา พักผ่อนจนหายเหนื่อยแล้วก็ค่อยออกไป ท่องยุทธภพใหม่ ตามหลักแล้วควรเป็นเช่นนี้ แล้วก็ควรจะเป็นเช่นนี้จริงๆ”
หวังจิ้งซานอืมรับหนึ่งที
เด็กสาวพกดาบที่นั่งอยู่โต๊ะติดกันน้ำตาเอ่อคลอ
พอคิดถึงว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่อยู่ในหมู่บ้านแล้ว หากศิษย์พี่ใหญ่หวังจิ้งซาน ก็จากไปอีกคน นั่นก็จะต้องเป็นเรื่องที่น่าเสียใจอย่างมากแน่นอน
แต่ที่ทำให้เด็กสาวยิ่งรู้สึกเสียใจ เป็นเพราะดูเหมือนว่าอาจารย์จะแก่แล้ว
หวังจิ้งซานพลันเอ่ยว่า “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกไปท่องยุทธภพเดี๋ยวนี้ เลยนะ?”
หวังตุ้นอึ้งตะลึง จากนั้นก็หัวเราะร่า “อย่าเพิ่งๆ วันนี้อาจารย์ดื่มเหล้าไปเยอะแล้ว ที่พูดกับเจ้าก็เป็นแค่ถ้อยคำของคนเมาที่ไม่ต้องจ่ายเงินเท่านั้น อย่าได้คิดเป็นจริง เป็นจังสิ ต่อให้คิดเป็นจริงเป็นจังก็รออีกสักหน่อย ตอนนี้หมู่บ้านยังต้องพึ่งพาเจ้า ให้เป็นเสาคานสำคัญ…”
เด็กสาวกลอกตามองบน หันหน้าไปทางอื่นแล้วฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ
อาจารย์ที่ยามอยู่ต่อหน้าคนกันเองจะไม่เคยมีมาดของปรมาจารย์เลยแม้แต่น้อยผู้นี้ ช่างน่าเบื่อจริงๆ
แต่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ฟู่ก็ดี หรือศิษย์พี่หวังจิ้งซานก็ช่าง ล้วนรู้ดีว่ายามที่เป็น หวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของยุทธภพแคว้นอู่หลิง และยามที่เป็นอาจารย์ที่ขี้เกียจ ไปเสียทุกเรื่องเมื่ออยู่ในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว คือคนสองคน
นางและศิษย์น้องเล็กคนนั้นก็เชื่อในเรื่องนี้เหมือนกัน
เพราะฟู่โหลวไถและหวังจิ้งซานต่างก็เคยท่องยุทธภพกับอาจารย์มาก่อน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมานี้อาจารย์เคยมีความขัดแย้งกับผู้ฝึกตนบนภูเขาอยู่หลายครั้ง และยังเคยมีการเข่นฆ่าหลายครั้งที่เกือบจะต้องเอาชีวิตไปแลก
และเหตุผลที่อาจารย์ลงมือ คำบอกเล่าของศิษย์พี่หญิงใหญ่ฟู่โหลวไถและศิษย์พี่หวังจิ้งซานล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน นั่นก็คืออาจารย์ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนที่เอ่ยประโยคนี้ ฟู่โหลวไถและหวังจิ้งซาน กลับไม่เพียงแต่ไม่นึกตำหนิอาจารย์แม้แต่น้อย กลับกันในดวงตาของพวกเขายัง คล้ายจะเต็มไปด้วยประกายเจิดจ้า
เด็กหนุ่มสะพายกระบี่คนนั้นวิ่งมาถึงร้านเหล้าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม แล้วนั่งแปะลงบนม้านั่งตัวยาวที่อาจารย์หวังตุ้นเป็นผู้นั่ง เบียดแนบชิดกับเขา
ในเรื่องของเคารพครูบาอาจารย์นี้ ในบรรดาลูกศิษย์ของหวังตุ้นก็มีเพียงเด็กหนุ่มนี่แหละที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ อีกทั้งยังไม่มีความหวาดเกรงเลยแม้แต่น้อย
หวังตุ้นยิ้มถาม “เป็นอย่างไร ได้รับผลเก็บเกี่ยวบ้างหรือไม่?”
เด็กหนุ่มทอดถอนใจเอ่ยว่า “หลูต้าหย่งเจียวพลิกแม่น้ำผู้นั้นคุยโวเกินจริง ฝอยจนน้ำลายกระเด็นเต็มหน้าข้า ทำให้ข้าต้องคอยป้องกันอาวุธลับอย่างน้ำลาย ของเขาอย่างระมัดระวัง อีกอย่างจอมยุทธใหญ่หลูผู้นี้พูดไปพูดมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่คำเท่านั้น ข้าไม่ใช่เทพเซียนจริงๆ เสียหน่อย ไม่อาจใคร่ครวญถึงปณิธานของกระบี่บินออกมาได้มากนัก ดังนั้นศิษย์พี่ใหญ่หวังโชคดีกว่าศิษย์พี่หญิงเล็กอยู่มาก ไม่อย่างนั้นตอนนี้ข้าคงได้กลายเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของอาจารย์แล้ว”
หวังจิ้งซานยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยววันหน้าข้าก็ควรไปขอบคุณจอมยุทธใหญ่หลู ที่ออมปากออมคำสินะ?”
เด็กหนุ่มโบกมือ “ไม่ต้องหรอก ถึงอย่างไรวิชากระบี่ของข้าจะเหนือกว่าศิษย์พี่อย่างท่าน หากไม่ใช่วันนี้ก็เป็นพรุ่งนี้”
หวังจิ้งซานยิ้มกล่าว “อ้อ?”
เด็กหนุ่มรีบเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่ “ไม่ใช่ปีนี้ก็เป็นปีหน้า!”
หวังจิ้งซานไม่เอ่ยอะไรอีก
แม้จะบอกว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้พูดจาส่งเดชไร้กฎเกณฑ์
แต่ในเรื่องของการฝึกกระบี่นั้น
เด็กหนุ่มกลับเป็นคนที่มีกฎเกณฑ์ที่สุดในหมู่บ้านภูเขาส่าส่าว
แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
หวังตุ้นกวาดสายตามองลูกศิษย์สามคนที่นิสัยแตกต่าง แต่กลับดีมากทุกคน แล้วก็พลันรู้สึกว่าวันนี้สามารถดื่มเหล้าได้มากอีกหน่อย จึงลุกขึ้นเดินไปทาง โต๊ะคิดเงิน ผลกลับกลายเป็นว่าต้องอึ้งตะลึงไป
เหตุใดถึงมีเหล้าใหม่ไม่คุ้นหน้าเพิ่มมาสามกาเล่า?
พอเปิดกาหนึ่งในนั้นออก กลิ่นหอมของสุราสดชื่นก็ลอยกรุ่นโชยไกล จนลูกศิษย์ทั้งสามคนของเขาต่างก็ได้กลิ่น
หวังตุ้นหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก่อนจะนั่งลงได้บอกให้เด็กสาวหยิบถ้วยมาหนึ่งใบแล้วมานั่งด้วยกัน แม้แต่หวังจิ้งซานก็ถูกเขาบังคับให้หยิบถ้วยมาเติมเหล้าด้วย บอกว่าให้เขาลองจิบคำเล็กๆ ลิ้มรสชาติสุราของเทพเซียนบนภูเขาว่าเป็นอย่างไร จากนั้น ผู้เฒ่าก็รินเหล้าหมักตระกูลเซียนให้กับพวกเขาด้วยระดับมากน้อยไม่เท่ากัน
เด็กหนุ่มดื่มไปหนึ่งคำก็พูดอย่างตกตะลึงว่า “มารดาข้า สุรานี้รสชาติดีนัก อร่อยกว่าเหล้าโซ่วเหมยของหมู่บ้านเราเยอะเลย! ไม่เสียแรงที่เซียนกระบี่มอบให้ ร้ายกาจๆ!”
หวังจิ้งซานเองก็ดื่มไปหนึ่งคำ รู้สึกว่าไม่เหมือนกับสุราของที่อื่นจริงๆ แต่ก็ยัง ไม่ยินดีจะดื่มมาก
เด็กสาวชิมไปหนึ่งคำแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ยังคงยากจะกลืนลงคออยู่เหมือนเดิม สุราใต้หล้านี้จะอร่อยได้อย่างไรกันเล่า?
ผู้เฒ่ายิ้มถามเด็กหนุ่มว่า “เจ้าเป็นคนเรียนกระบี่ อาจารย์ไม่ใช่เซียนกระบี่ เจ้าคงรู้สึกเสียดายมากเลยใช่ไหม?”
เด็กหนุ่มดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนไปอีกหนึ่งอึกแล้วพูดอย่างผึ่งผายว่า “ศิษย์ก็ไม่ใช่เซียนกระบี่เหมือนกันนี่นา”
ผู้เฒ่าพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม มือข้างที่เดิมทีเตรียมจะเขกมะเหงกใส่ท้ายทอยของเด็กหนุ่มเปลี่ยนเป็นฝ่ามืออย่างเงียบเชียบ แล้วยกมือข้างนั้นลูบศีรษะของ เด็กหนุ่ม พูดด้วยใบหน้าเมตตาปราณี “นับว่ายังพอมีมโนธรรมในใจอยู่บ้าง”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างแรง จากนั้นก็ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ก้มหน้าดื่มสุราหันไปยักคิ้วหลิ่วตาให้เด็กสาว คงจะอยากถามว่าข้าฉลาดหรือไม่ ร้ายกาจหรือไม่ เห็นไหมว่าข้ารอดหายนะมาได้ ไม่ต้องกินมะเหงก
เด็กสาวจึงหันมาฟ้องอาจารย์
หวังจิ้งซานก็เริ่มซ้ำเติม
ส่วนเด็กหนุ่มก็ทำเป็นแสร้งโง่ไม่รับรู้
หวังตุ้นไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่เอาเหล้าในชามของพวกเขาทั้งสามคนเทลงในชามของตัวเอง แล้วแหงนหน้ากระดกดื่มรวดเดียวหมด
……
มุ่งหน้าไปยังแคว้นลวี่อิงที่ตั้งอยู่บนชายหาดตะวันออกของอุตรกุรุทวีป เดินขึ้นเหนือไปตลอดทางจากแคว้นอู่หลิง ยังจำเป็นต้องผ่านสองแคว้นอย่าง แคว้นจิ่งหนันและแคว้นเป่ยเยี่ยน
ทั้งสองแคว้นต่างก็ไม่ใช่แคว้นใหญ่ แต่กลับไม่ใช่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ใหญ่ใดๆ
ทว่าความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นจิ่งหนันกับแคว้นอู่หลิงนั้นไม่ค่อยดีมาโดยตลอด ชายแดนมักจะมีปัญหาขัดแย้งเกิดขึ้นเป็นประจำ เพียงแต่ว่าร้อยปีที่ผ่านมากลับมี ศึกสงครามใหญ่ที่ต้องระดมผู้คนนับหมื่นลงสู่สนามรบเกิดขึ้นน้อยมาก
กองทัพชายแดนของแคว้นอู่หลิงส่วนใหญ่จะอาศัยหน้าด่านทางทิศเหนือที่อันตราย ส่วนแคว้นจิ่งหนันก็มีกองทัพทางน้ำที่แข็งแกร่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ยากที่จะรุกรานเข้าไปถึงใจกลางของแคว้นศัตรูได้ ดังนั้นหากไปเจอกับแม่ทัพใหญ่ ประจำชายแดนที่ชอบเฝ้าพิทักษ์เมือง ชายแดนของสองแคว้นก็จะสงบสุข การค้าชายแดนก็จะรุ่งเรืองตามไปด้วย แต่หากเปลี่ยนไปเป็นแม่ทัพบู๊ที่ชอบสะสม คุณความชอบทางการทหารเล็กๆ น้อยๆ เพื่อหวังชื่อเสียงในราชสำนักที่มาประจำ อยู่ชายแดน ก็จะมีศึกเล็กๆ ดุจขนวัวเกิดขึ้น ถึงอย่างไรก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางเกิดศึกใหญ่ที่ต้องทุ่มเทกองกำลังของทั้งแคว้น ไม่ว่ากองทัพชายแดนจะก่อเรื่องแค่ไหนก็ไม่มีเรื่องให้ต้องคอยกังวล ฮ่องเต้ของสองแคว้นในแต่ละสมัยเองก็มี ความเห็นพ้องต้องกันไปโดยปริยาย พวกเขาจะพยายามไม่ส่งนักสู้ที่ชื่นชอบการ เข่นฆ่าให้มาประจำอยู่ที่ชายแดนในเวลาเดียวกัน เพียงแต่ว่าตอนนี้พระญาติฝั่ง ภรรยาของฮ่องเต้แคว้นจิ่งหนันมีอำนาจยิ่งใหญ่ เมื่อหลายสิบปีก่อนก็มีพระญาติ ที่เป็นขุนนางผู้มีคุณูปการซึ่งกำลังอยู่ในวัยฉกรรจ์เป็นฝ่ายเรียกร้องขอให้ส่งตัวมา อยู่ชายแดนใต้ เขาเตรียมพร้อมในการทำสงครามอยู่ทุกเมื่อ ทั้งยังสร้างกองทัพ ทหารม้าขึ้นมา คอยมาท้าทายอยู่หลายครั้ง ส่วนแคว้นอู่หลิงก็มีแม่ทัพปัญญาชนที่เกิดและเติบโตในท้องถิ่นซึ่งเชี่ยวชาญกลศึกลุกผงาดขึ้นมาทางชายแดนอย่างที่หาได้ยาก เมื่อหลายปีก่อนก็มีเขาที่รับผิดชอบดูแลเส้นแนวป้องกันทางแถบทิศเหนือ ดังนั้น ช่วงหลายปีมานี้จึงมีการเข่นฆ่าขนาดเล็กเกิดขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง เมื่อสิบปีก่อน หากไม่เป็นเพราะหวังตุ้นเดินทางไปเยือนชายแดนและได้สกัดกั้นกองทัพม้าทหารกล้าของแคว้นจิ่งหนันที่บุกเข้ามายังหน้าด่านอย่างไม่มีลางบอกเหตุเอาไว้พอดี ไม่แน่ว่าเมืองหน้าด่านแคว้นอู่หลิงหนึ่งถึงสองเมืองก็คงต้องถูกยึดไปแล้ว แน่นอนว่า สามารถช่วงชิงกลับมาได้ เพียงแต่ว่าพลทหารที่จะรบตายบนสนามรบของทั้งสองฝ่ายจะต้องมีจำนวนมากที่สุดในช่วงร้อยปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ม้าสองตัวของเฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงมอบเอกสารผ่านทางเข้ามาในหน้าด่าน ขนาดเล็กของแคว้นอู่หลิงที่ไม่มีกองทัพใหญ่เฝ้าพิทักษ์ เดินผ่านชายแดนมาแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้ไปเดินอยู่บนถนนทางหลวงของแคว้นจิ่งหนัน
แต่ยังคงเดินไปตามเส้นทางที่เฉินผิงอันกำหนดไว้ซึ่งจะเลือกเป็นเส้นทางเล็กๆ ข้ามภูเขาผ่านแม่น้ำ แสวงหาการผจญภัยและความสงบเงียบของธรรมชาติ
ผลคือพอผ่านด่านมาได้ไม่นานเท่าไรก็เห็นการเข่นฆ่าบนเส้นทางสายเล็กมาแต่ไกล
เป็นกองทหารลาดตระเวนสองกอง จำนวนม้าหลายสิบตัว
กองทัพม้าของทางฝั่งทิศใต้เป็นของแคว้นอู่หลิง ส่วนทหารลาดตระเวนที่จะกลับไปยังทางทิศเหนือก็คือทหารม้าฝีมือดีของแคว้นจิ่งหนัน
สุยจิ่งเฉิงกล่าวอย่างประหลาดใจ “แต่ไหนแต่ไรมาล้วนเป็นคนเถื่อน แคว้นจิ่งหนันที่ลงใต้มาก่อกวนหน้าด่าน เหตุใดทหารลาดตระเวนของพวกเรา ถึงเป็นฝ่ายเข้ามาในอาณาเขตของแคว้นศัตรูเสียได้?”
เฉินผิงอันเอ่ย “นี่หมายความว่าแม่ทัพปัญญาชนอายุน้อยที่มีชื่อเสียงไปทั่ว ราชสำนักแคว้นอู่หลิงของพวกเจ้าคนนั้นมีปณิธานไม่เล็ก อายุน้อยๆ ก็เข้าร่วมกองทัพ ไม่ถึงสิบปีก็สามารถกลายเป็นแม่ทัพใหญ่ระดับสามชั้นเอกของชายแดนแคว้นหนึ่งได้ บุคคลที่เป็นเช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดา”
ม้าทั้งสองออกจากเส้นทางสายเล็กไปนานแล้ว พวกเขาไปหยุดม้าอยู่ในป่าริมทาง หลังจากผูกม้าเรียบร้อย เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงก็ขึ้นไปยืนอยู่บนกิ่งไม้ หลุบตาลงมองมายังสนามรบ
แต่ไหนแต่ไรมาแคว้นจิ่งหนันก็มีพลังการต่อสู้ทางน้ำที่โดดเด่นมาโดยตลอด เป็นกองกำลังที่แข็งแกร่งรองจากราชวงศ์ต้าจ้วนและราชวงศ์ต้ากวานที่อยู่ทางใต้เท่านั้น แต่แทบจะไม่เคยมีกองทัพทหารม้าที่ก่อตั้งอย่างเป็นจริงเป็นจังเพื่อ เข้าสู่สมรภูมิรบอย่างแท้จริงมาก่อน เวลาหลายสิบปีที่ผ่านมานี้ แม่ทัพบู๊ที่เป็น พระประยูรญาติผู้นั้นได้กว้านซื้อม้าศึกมาจากแคว้นโฮ่วเหลียงที่มีชายแดนติดต่อกันทางทิศตะวันตก ถึงได้สามารถก่อตั้งกองทัพม้าที่มีจำนวนประมาณสี่พันนายขึ้นมาได้ น่าเสียดายก็แต่การกรีฑาทัพกลับไร้ชัยชนะ
ไปเจอเข้ากับหวังตุ้นบุคคลอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิงเข้า เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธที่เป็นเช่นนี้ ต่อให้ขี่ม้าแล้วมีหกขาก็ยังไล่ตามไม่ทัน ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่อาจสังหารอีกฝ่ายได้สำเร็จ เมื่อมีรายงานทางการทหาร หลุดรอดมา ปีนั้นถึงได้ยกทัพถอยกลับไป
หันกลับมามองทหารม้าและพลเดินเท้าของแคว้นอู่หลิงที่เมื่ออยู่บนอาณาเขตของหลายสิบแคว้นกลับไม่โดดเด่น ถึงขั้นพูดได้ว่าค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพม้าแคว้นจิ่งหนันที่ให้ความสำคัญเฉพาะกับการรบทางน้ำมาโดยตลอดก็ถือว่าได้เปรียบเสมอมา
ดังนั้นในฐานะที่สุยจิ่งเฉิงเป็นคนของแคว้นอู่หลิงจึงรู้สึกว่าเมื่อกองทหารลาดตระเวนสองกลุ่มนี้มาเจอกัน ต้องเป็นทหารฝ่ายของตนที่คว้าชัยชนะอย่างแน่นอน
ทว่าสถานการณ์บนสนามรบกลับเกิดจุดจบที่เอนเอียงไปข้างหนึ่ง หลังจากที่ทหารลาดตระเวนทั้งสองฝ่ายมาพบเจอกันบนเส้นทางที่ทอดยาว ก็ไม่เหลือพื้นที่ว่างใดๆ ให้พวกเขาย้อนกลับหลัง ผู้นำของทหารลาดตระเวนทั้งสองฝ่ายเองก็ไม่มี ความลังเลใจใดๆ
พวกเขาไม่ได้แผดเสียงร้องตะโกน เพียงแต่ควบม้าพุ่งบุกไปด้านหน้าด้วย ความเงียบงัน
หลังจากผลัดยิงธนูเข้าใส่กันอยู่หลายรอบ ต่างฝ่ายต่างบาดเจ็บล้มตาย ทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันก็พอจะคว้าชัยชนะเล็กๆ ไว้ได้ สามารถยิงธนู ให้ทหารลาดตระเวนห้าคนของแคว้นอู่หลิงบาดเจ็บและล้มตายไปได้ ส่วนทางฝ่ายทหารม้าของแคว้นจิ่งหนันกลับมีคนตายแค่สองและบาดเจ็บหนึ่งเท่านั้น
พวกเขาชักดาบต่อสู้กันอีกครั้ง
ทั้งสองพุ่งสวนผ่านไหล่กันไป
ทหารลาดตระเวนของแคว้นอู่หลิงที่แอบลอบเข้าไปในแคว้นศัตรูมีคนบาดเจ็บล้มตายเพิ่มขึ้นอีก
หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายสลับตำแหน่งกันบนสนามรบแล้ว ทหารลาดตระเวน แคว้นอู่หลิงสองคนที่บาดเจ็บจนผลัดตกจากหลังม้าก็พยายามจะหนีออกไปจากเส้นทาง แต่กลับถูกทหารลาดตระเวนหลายคนของแคว้นจิ่งหนันที่ในมือถือคันธนู ยิงเข้าใส่ศีรษะและลำคอ
ทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันที่พลัดร่วงตกจากหลังม้าซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสนามรบมีจุดจบที่อนาถยิ่งกว่า เพราะถูกลูกธนูหลายดอกปักตรึงเข้าที่ใบหน้า หน้าอก และยังถูกทหารม้าคนหนึ่งที่หันตัวเบี่ยงข้างค้อมเอวตวัดดาบฟันเข้าที่ลำคอ อย่างแม่นยำ เลือดสดไหลนองอาบพื้น
ทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงที่สนามรบอยู่ทางทิศใต้มีเพียงทหารม้าคนหนึ่ง ที่ขี่ม้าสองตัวควบทะยานลงใต้ไปต่อ
อันที่จริงทหารลาดตระเวนของทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้แค่ขี่ม้ากันคนและตัว เพียงแต่การเปิดฉากเข่นฆ่าบนเส้นทางคับแคบ เมื่อต้องเร่งร้อนพุ่งทะยานออกไป ม้าศึกที่พยายามจะติดตามเจ้านายข้ามเข้าไปยังขบวนรบของฝ่ายตรงข้ามก็มักจะถูกการทะลวงขบวนของอีกฝ่ายยิงหรือฟันตายให้ได้มากที่สุด
ดังนั้นทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงหนึ่งคนสองม้าผู้นั้นจึงได้ม้ามาจากสหาย อีกคนที่ยอมยกพาหนะให้อย่างเด็ดเดี่ยว
ไม่อย่างนั้นหนึ่งคนหนึ่งม้าก็ไม่มีทางไปได้ไกล
ส่วนทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงคนอื่นๆ ก็พากันหันหัวม้ากลับ เป้าหมายของพวกเขานั้นง่ายดายมาก นั่นคือเอาชีวิตมาสกัดกั้นการไล่ฆ่าของทหารลาดตระเวน ฝั่งศัตรู
แน่นอนว่ายังมีทหารลาดตระเวนที่ไม่มีม้าศึกผู้นั้นอีกคนที่สูดลมหายใจเข้าลึก ถือดาบยืนปักหลักนิ่ง
บนสนามรบ ในเรื่องของการทั้งรบทั้งถอยร่นนั้น ทหารม้ากองใหญ่ไม่กล้าทำ ทว่าทหารลาดตระเวนที่เชี่ยวชาญและมีฝีมือแกร่งกล้าที่สุดในกองทัพม้าอย่างพวกเขากลับพอจะทำได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทั้งพวกเขาเองและทหารม้าคนนั้นก็ยากที่จะทิ้งระยะห่างจากพวกคนเถื่อนแคว้นจิ่งหนันได้
กองกำลังของทั้งสองฝ่ายสูสีกัน เพียงแต่ว่าเดิมทีศักยภาพก็มีความแตกต่าง หลังจากทะลวงขบวนรบมาได้หนึ่งครั้ง บวกกับที่ฝั่งของแคว้นอู่หลิงมีหนึ่งคนสองม้าหนีรอดไปจากสนามรบได้ ดังนั้นพลังการต่อสู้จึงยิ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ครู่หนึ่งต่อมา
ก็คือศพที่นอนเกลื่อนพื้น
ทหารลาดตระเวนแคว้นจิ่งหนันมีหกม้าสามคนที่ไล่ตามไปเงียบๆ
ส่วนคนอื่นๆ เมื่อพลทหารอายุน้อยคนหนึ่งออกคำสั่งก็พลิกตัวลงจากหลังม้า ใช้ธนูเบาปักลงไปบนหน้าผากของทหารลาดตระเวนบาดเจ็บที่นอนอยู่บนพื้น เสียงปึกดังหนึ่งครั้ง ลูกธนูก็ปักตรึงเข้าไปในศีรษะ
แล้วก็มีทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังทหารม้า ฝั่งศัตรูคนหนึ่งที่บาดเจ็บสาหัส แล้วก็เริ่มแข่งกันยิงธนูโดยมีเป้าเป็นศีรษะของศัตรู ฝ่ายที่พ่ายแพ้อับอายจนกลายเป็นความโกรธ จึงชักดาบออกมา ก้าวเดินเร็วๆ ไปข้างหน้าฟันศีรษะทหารผู้นั้นดังฉับ หัวกระเด็นหล่นร่วงพื้น
ทหารหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าไร้อารมณ์อยู่ตลอดเวลา เพียงแค่ยกเท้ากระทืบลงบนศพ ศพหนึ่งของทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิง ใช้ใบหน้าของศพที่อยู่บนพื้นมาเช็ดคราบเลือดบนดาบศึกในมือตัวเองช้าๆ
ทหารลาดตระเวนแคว้นอู่หลิงที่นอนอยู่บนพื้นคนหนึ่งซึ่งเดิมทีควรจะบาดเจ็บหนักแล้วตายไป อยู่ดีๆ ก็หันหน้าไม้ยิงใส่ศัตรูคนหนึ่งที่เดินมาใกล้เขาเพื่อตัดหัวนำไปรับความดีความชอบ ฝ่ายหลังไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงจึงเตรียมจะยกมือขึ้นบังใบหน้าตัวเองตามจิตใต้สำนึก
ทหารบู๊หนุ่มผู้นั้นคล้ายจะคาดเดาได้นานแล้ว เขาไม่แม้แต่จะหันหลังกลับ เพียงโยนดาบศึกที่อยู่ในมือออกไป คมดาบก็ตัดเข้าที่แขนข้างที่ถือหน้าไม้ของคนผู้นั้นพอดี ทหารลาดตระเวนแคว้นจิ่งหนันที่เพิ่งถูกช่วยชีวิตคนนั้นเดือดดาลอย่างหนัก ดวงตาที่ถลึงกว้างเริ่มมีเส้นเลือดฝอยปรากฎ เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า หมายจะสับทหารลาดตระเวนที่แขนขาดให้เละ คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่มที่อยู่ห่างไปไกลจะเอ่ยว่า “อย่าฆ่าคนระบายความแค้น ให้เขาตายไปเร็วๆ หน่อย ไม่แน่ว่าวันใดพวกเรา ก็อาจจะต้องมีจุดจบเช่นนี้”
แม้ว่าไฟโทสะในใจของทหารลาดตระเวนแคว้นจิ่งหนันผู้นั้นจะสูงเทียมฟ้า แต่ก็ยังพยักหน้ารับ เดินไปข้างหน้าเงียบๆ แล้วเอาดาบแทงเข้าที่ลำคอของคนที่อยู่บนพื้น พอบิดข้อมือหนึ่งครั้งก็ชักดาบออกอย่างรวดเร็ว
ผ่านไปไม่นานเท่าไร ทหารลาดตระเวนสามคนที่จากไปก็ย้อนกลับมา ในมือ มีศีรษะของทหารม้าแคว้นอู่หลิงที่ยากจะหนีพ้นหายนะผู้นั้นเพิ่มมาด้วย ศพที่ไร้หัวของเขาถูกวางไว้บนหลังของม้าตัวหนึ่ง
ทหารบู๊หนุ่มรับดาบศึกมาจากมือของทหารลาดตระเวนคนหนึ่งที่เป็นผู้ใต้บังคับบัญชา สอดดาบกลับเข้าฝักเบาๆ แล้วเดินไปยังข้างศพที่ไร้ศีรษะ ค้นจนเจอรายงานทางการทหารปึกหนึ่งที่อีกฝ่ายรวบรวมมาได้
ทหารบู๊หนุ่มยืนพิงม้าศึก อ่านรายงานเหล่านั้นอย่างละเอียด พอคิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็เงยหน้าสั่งความว่า “ไปเก็บศพพี่น้องตัวเองให้ดี ส่วนทหารลาดตระเวน ฝ่ายศัตรูก็ตัดหัวแล้วรวบรวมศพมาไว้ ขุดหลุมหาที่ฝังพวกเขาให้เรียบร้อย”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งพูดบ่นอย่างไม่พอใจว่า “กู้เปียวจ่าง งานสกปรกที่เหน็ดเหนื่อยแบบนี้ เดี๋ยวพวกกองทัพที่ปักหลักอยู่บริเวณใกล้เคียงก็มาทำเอง นั่นแหละ”
พลทหารหนุ่มคลี่ยิ้ม “ไม่ได้ให้พวกเจ้าเหนื่อยเปล่าหรอก ศีรษะของผู้นำสองหัวนั้น พวกเจ้าปรึกษากันเองแล้วกันว่าครั้งนี้จะมอบให้ใคร”
เสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นทันใด
สุดท้ายทหารลาดตระเวนของแคว้นจิ่งหนันที่พลังการต่อสู้น่าตะลึงกลุ่มนี้ ก็ห้อทะยานจากไป
บนต้นไม้กลางป่าลึกข้างทาง สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าซีดขาว นางไม่เอ่ยอะไรสักคำมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้
เฉินผิงอันถาม “เหตุใดถึงไม่ขอให้ข้าลงมือช่วยคนเหล่านั้น?”
สุยจิ่งเฉิงทำเพียงแค่ส่ายหน้า
คนทั้งสองจูงม้าออกมาจากป่าลึก เฉินผิงอันพลิกตัวขึ้นหลังม้าแล้วก็หันหน้าไปมองยังสุดปลายทางของถนน ทหารบู๊หนุ่มผู้นั้นมาปรากฎตัวอยู่ไกลๆ แต่เขาไม่ได้ ควบม้าตรงมาด้านหน้า ครู่หนึ่งต่อมา คนผู้นั้นก็ยิ้มกว้าง ผงกศีรษะให้กับคนชุดเขียว จากนั้นก็ชักหัวม้าหันกลับจากไปอย่างเงียบเชียบ
สุยจิ่งเฉิงเอ่ยถาม “คือยอดฝีมือยุทธภพที่ซ่อนตัวอยู่ในกองทัพหรือ?”
เฉินผิงอันกระทุ้งสีข้างม้าเบาๆ หนึ่งคนหนึ่งม้าเหยาะย่างไปเบื้องหน้าอย่างเชื่องช้า เขาส่ายหน้าตอบว่า “เพิ่งจะเลื่อนสู่ขอบเขตสามได้ไม่นานเท่าไร น่าจะเป็นขอบเขตที่เขาขัดเกลามาจากการเข่นฆ่าบนสนามรบ ร้ายกาจอย่างมาก”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกคลางแคลงใจเล็กน้อย
เพราะสำหรับเซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่สามารถสังหารเซียวซูเย่ได้อย่างง่ายดายแล้ว เหตุใดทหารบู๊ชายแดนที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามคนหนึ่งถึงคู่ควรกับคำว่า ‘ร้ายกาจมาก’ จากเขาด้วย?
เฉินผิงอันเอ่ยว่า “คนที่อยู่บนยอดเขาทุกคนในใต้หล้านี้ ส่วนใหญ่แล้วล้วนต้องเดินมาทีละก้าวเช่นนี้”
ม้าสองตัวเดินเคียงข้างกันไป เพราะไม่รีบร้อนเดินทาง ดังนั้นฝีเท้าม้าจึงเหยาะย่างเบาๆ ไม่ได้ถี่กระชั้น สุยจิ่งเฉิงถามอย่างใคร่รู้ “แล้วพวกคนที่เหลือรอดล่ะ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “มีชะตาชีวิตที่ดี”
สุยจิ่งเฉิงหาคำพูดมาตอบโต้ไม่ถูก
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “บางสิ่งบางอย่าง ตอนที่เจ้าเกิดมานั้นไม่มี และชั่วชีวิตนี้ ก็อาจจะไม่มีทางมีได้ นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ต้องยอมรับชะตากรรม”
ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะยังมีอีก หลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถช่วงชิงมาได้ด้วยตัวเอง หากพวกเราเอาแต่จับจ้องวัตถุหรือเรื่องราวที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางมีได้อย่างไม่วางตาอยู่ตลอดเวลา ถ้าอย่างนั้นก็จะไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกว่ามีเหตุผล
แต่พอคิดถึงสภาพการณ์ในชีวิตของตัวเอง นางก็รู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะนิดๆ
เฉินผิงอันยิ้มเอ่ย “เกิดมาก็มี จะไม่ใช่เรื่องที่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ? มีอะไรให้ต้องลำบากใจกัน”
สุยจิ่งเฉิงคงจะรู้สึกว่าตนเองได้รับประโยชน์จากคำพูดประโยคนี้ไม่น้อย หลังจากเงียบงันไปชั่วครู่นางจึงหันหน้ามายิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโส ท่านให้ข้าได้พูดความในใจ สักสองสามคำได้ไหม?”
เฉินผิงอันตอบ “หุบปาก”
เบื้องหลังหมวกคลุมหน้า สุยจิ่งเฉิงมีสีหน้าไม่พอใจ เม้มปากแน่น
ม้าทั้งสองมุ่งหน้าขึ้นเหนือไปต่อ
พบเจอกับการเข่นฆ่าอันน่าอนาถของศัตรูที่มาเจอกันบนทางแคบ หลังจากนั้น ก็ได้เจอภาพเหตุการณ์งดงามที่เด็กน้อยวิ่งไล่จับผีเสื้อสีสดใสซึ่งบินเข้าไปในทุ่ง ดอกน้ำมัน และยังมีภาพความวุ่นวายที่พวกเด็กๆ ในชนบทกลุ่มหนึ่งวิ่งไล่ตามม้าของพวกเขา
บนยอดเขาของภูเขาที่มีชื่อว่าซานต้าเฟิงแห่งหนึ่ง พวกเขาที่ขึ้นไปบนยอดเขายามสนธยาได้เจอกับผู้ฝึกตนคนหนึ่งโดยบังเอิญ อีกฝ่ายทะยานลมหยุดลอยตัวอยู่ใกล้กับต้นสนโบราณริมหน้าผาที่ลำต้นขดงอพัวพันกันต้นหนึ่ง กระดาษเสวียนจื่อถูก คลี่ออก เขากำลังวาดรูปช้าๆ พอเห็นพวกเขาก็เพียงแค่คลี่ยิ้มแล้วผงกศีรษะให้ จากนั้นจิตรกรบนภูเขาท่านนั้นก็ง่วนอยู่กับการวาดต้นสนโบราณของตัวเองไป สุดท้ายจึงจากไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางม่านราตรี
สุยจิ่งเฉิงทอดสายตามองเงาร่างของผู้ฝึกลมปราณที่จากไปไกลผู้นั้น
ส่วนเฉินผิงอันก็เริ่มฝึกท่าเดินนิ่ง
หลังจากถอนสายตากลับมาแล้ว สุยจิ่งเฉิงก็ถามอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโส หากข้าฝึกวิชาเซียนประสบความสำเร็จแล้วได้เจอกับการเข่นฆ่าริมชายแดนแบบนั้นอีกครั้ง อยากจะช่วยคนก็สามารถช่วยได้แล้วใช่หรือไม่?”
เฉินผิงอันกล่าว “แน่นอนว่าย่อมได้ แต่เจ้าก็ต้องคิดให้ดีว่าจะสามารถแบกรับ ผลกรรมที่เจ้ามิอาจคาดคิดได้ถึงได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นทหารลาดตระเวนผู้นั้น ถูกเจ้าช่วยเหลือ แล้วหนีรอดกลับไปถึงแคว้นอู่หลิง สามารถมอบรายงานทางการทหารปึกนั้นให้แก่แม่ทัพใหญ่ในกองทัพชายแดนได้สำเร็จ รายงานข่าวนั้นอาจจะถูกวางไว้เฉยๆ ไม่มีประโยชน์ใดๆ แต่ก็อาจเป็นไปได้ว่านี่จะนำมาสู่การท้ารบ ทำให้มี คนตายเพิ่มอีกหลายร้อยหลายพันคน หรืออาจถึงขั้นกระตุกผมเส้นเดียวสะเทือน ทั้งร่าง สองแคว้นเปิดศึกใหญ่กัน สรรพสิ่งพินาศมอดม้วย สุดท้ายคนอดอยากหิวโหยเดินขบวนไกลพันลี้ เสียงร้องไห้น่าเวทนาดังระงมไปทั่วทุกหนแห่ง”
สุยจิ่งเฉิงเงียบงัน
เฉินผิงอันเดินนิ่งไม่หยุด แต่ก็ยังเอ่ยเนิบช้าว่า “ดังนั้นผู้ฝึกตนจึงไม่แตะต้องฝุ่นผงในโลกโลกีย์ อยู่ห่างไกลจากโลกมนุษย์ หาใช่ว่าพวกเขาจะเย็นชาแล้งน้ำใจ ใจดำอำมหิตไปเสียทั้งหมด ตอนนี้เจ้ายังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ก็ไม่เป็นไร ข้าเองก็เพิ่งจะค่อยๆ เข้าใจหลังจากที่เริ่มฝึกตนอย่างแท้จริงแล้วทดลองใช้สายตาอีกอย่างหนึ่ง ไปมองคนบนโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าทบทวนกระดานหมาก ของเมืองเล็กยอดเขาเจิงหรง เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ในกระดานหมากนั้น เจ้าคิดว่า ใครควรถูกช่วย? ควรจะช่วยเหลือใคร? หลินซูที่จงรักภักดีต่อฮ่องเต้ราชวงศ์ก่อน อย่างโง่งม? หรือว่าบัณฑิตที่วางแผนให้ตัวเองได้มีชีวิตรอดคนนั้น? หรือจะเป็น พวกคนหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็ต้องไปตายอยู่ในห้องโถงใหญ่ของพรรคเจิงหรง? ดูเหมือนว่าจะเป็นคนประเภทหลังที่สมควรถูกช่วยเหลือมากที่สุด แต่เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า ช่วยเหลือพวกเขามาแล้ว หลินซูจะทำอย่างไร การกู้คืนกิจการใหญ่แห่งแคว้นของบัณฑิตจะทำอย่างไร มองไปไกลอีกหน่อย ฮ่องเต้แคว้นจินเฟยและฮ่องเต้ของ ราชวงศ์ก่อน ยังไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาเป็นคนดีหรือเลว สองฝ่ายนี้ใครกันแน่ ที่มีคุณูปการต่อชาวประชาของหนึ่งแคว้นมากที่สุด เจ้าอยากรู้หรือไม่? คนในยุทธภพรู้ความจริงอยู่แก่ใจ แต่ก็ยังยินดีที่จะกระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญเพื่อ องค์ชายราชวงศ์ก่อนผู้นั้นล่ะ ควรจะทำอย่างไร? เจ้าเป็นคนดี จิตใจฮึกเหิม ปล่อยกระบี่รวดเร็วดุจสายรุ้งออกไปแล้ว สาแก่ใจมากนักหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับเบาๆ นางนั่งขัดสมาธิอยู่ริมหน้าผา ปล่อยให้ลมเย็นๆ พัดใส่ใบหน้า นางปลดหมวกคลุมหน้าลง เส้นผมสีนิลตรงหน้าผากและจอนหูจึง ส่ายสะบัดไม่หยุดนิ่ง
เฉินผิงอันเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่ได้นั่งลง “เป็นคนดี ไม่ใช่ความรู้สึกของข้า ทำความดี ไม่ใช่ความคิดของข้า ดังนั้นการเป็นผู้ฝึกตนคนหนึ่ง ไม่มีอะไรที่ไม่ดี แต่ควรจะมองให้มากและมองให้ไกลยิ่งกว่าเดิม”
เฉินผิงอันเอาไม้เท้าเดินป่าที่ไม่ได้ปรากฏตัวมานานออกมา มือทั้งสองค้ำยัน ไม้เท้าแล้วโยกเบาๆ “แต่เมื่อมีผู้ฝึกตนมากขึ้นก็ยุ่งยากอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะผู้แข็งแกร่งที่แสวงหาอิสระเสรีอย่างสัมบูรณ์ก็จะยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ และ คนประเภทนี้ต่อให้ลงมือเบาๆ แค่ครั้งสองครั้ง สำหรับคนบนโลกมนุษย์ก็ล้วนเป็นเรื่องรุนแรงพลิกฟ้าคว่ำดินทั้งสิ้น สุยจิ่งเฉิง ข้าถามเจ้า ม้านั่งตัวหนึ่งนั่งนานไป จะโยกคลอนหรือไม่?”
สุยจิ่งเฉิงคิดแล้วก็ตอบว่า “ก็น่าจะ…เป็นไปได้มากกระมัง?”
เฉินผิงอันหันหน้ามามอง “ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเก้าอี้ที่โยกได้เลยหรือ?”
สุยจิ่งเฉิงไม่เอ่ยอะไร กะพริบตาปริบๆ สีหน้าไร้เดียงสา
เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “ไม่เคยเห็นเลยสักครั้ง?”
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
สกุลสุยคือตระกูลคนรวยอันดับหนึ่งของแคว้นอู่หลิง
เฉินผิงอันลูบคลำปลายคาง ยิ้มกล่าวว่า “แล้วแบบนี้จะให้ข้าพูดอย่างไรต่อเล่า?”
ดังนั้นเขาจึงเก็บไม้เท้าแล้วกลับไปเดินนิ่งต่ออีกครั้ง
สุยจิ่งเฉิงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ก็รู้สึกดีใจอย่างไม่มีสาเหตุด้วย
นางคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ แต่มันจะเป็นอะไรไปเล่า
ถึงอย่างไรก็ยังอยู่ห่างจากท่าเรือตระกูลเซียนแคว้นลวี่อิงแห่งนั้นอีกตั้งไกล แล้วพวกเขาก็ไม่ได้เดินทางกันเร็วสักหน่อย
นางพลันหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ข้าอยากดื่มเหล้า!”
คนผู้นั้นเอ่ย “หากจ่ายเงินซื้อก็สามารถพูดคุยกันได้ แต่ถ้าไม่ก็อย่าหวัง”
นางยิ้มตอบ “ต่อให้แพงแค่ไหนก็ซื้อ!”
ผลกลับกลายเป็นว่าคนผู้นั้นส่ายหน้า “แค่ดูก็รู้แล้วว่าจะให้เชื่อไว้ก่อน อย่าหวังเลย”
สุยจิ่งเฉิงทอดถอนใจหนึ่งที แล้วก็ทิ้งตัวนอนหงายทั้งอย่างนั้น ดวงดาวดารดาษบนม่านฟ้าประหนึ่งเลื่อมร้อยอัญมณีที่งดงามที่สุดซึ่งแขวนอยู่ด้านบนเหนือ แสงตะเกียงในหมื่นครัวเรือนของโลกมนุษย์