Skip to content

Sword of Coming 526

บทที่ 526 ตีมือ

กู้โม่ขอบเขตประตูมังกร หรงช่างจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง พากันหันไปมอง คนหนุ่มที่เพิ่งออกจากด่านคนนั้น

กู้โม่รู้สึกตกตะลึงระคนประหลาดใจเล็กน้อย การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของ ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป ภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่เกินไป นี่ไม่สมเหตุสมผล

หรงช่างที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดยืนอยู่สูงกว่า มองได้ไกลกว่า เขาไม่เพียงแต่ประหลาดใจเท่านั้น ยังรู้สึกตื่นตะลึงอีกด้วย

ฉีจิ่งหลงไม่ได้หันกลับมา เขาเก็บฟ้าดินขนาดเล็กที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสร้างขึ้นลงไป ยามที่ลงมือไม่เห็นกระบี่บิน ยามที่หยุดมือก็ยังคงมองไม่เห็นกระบี่บิน

ฉีจิ่งหลงหันไปพูดกับหรงช่างว่า “เสียมารยาทแล้ว”

หรงช่างมีชาติกำเนิดจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิง มีเซียนกระบี่อย่างลี่ไฉ่เป็นอาจารย์ หากลูกศิษย์ในสำนักคิดจะไม่มีนิสัยโผงผางตรงไปตรงมาเสียเลยก็นับว่าเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดติดใจอะไร ยิ้มกล่าวว่า “ได้สัมผัสกับกระบี่บินของท่านหลิวกับตัวเอง นับเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด วันหน้าหากมีโอกาส ควรจะหาสถานที่เหมาะๆ มาประมือกันให้เต็มที่สักครั้ง”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ใช่ที่ภูเขาตี่ลี่ก็พอ”

เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง ตอนที่เดินสวนไหล่กับสุยจิ่งเฉิง เขาเอ่ยเบาๆ ว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง”

จิตใจสุยจิ่งเฉิงพลันสงบลงได้

ดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของผู้อาวุโสจะทำให้จิตใจของนางสงบได้มากกว่า การออกกระบี่ของท่านหลิวเสียอีก

ต่อให้ตอนนี้นางจะรู้แล้วว่า อันที่จริงผู้อาวุโสเป็นแค่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง ตบะและขอบเขตต่างก็ล้วนสู้ฉีจิ่งหลงไม่ได้ก็ตาม

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างกายฉีจิ่งหลง “ขอบคุณมาก”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “หากจะขอบคุณข้าจริงๆ แค่อย่าเกลี้ยกล่อมให้ข้าดื่มเหล้าก็พอ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ได้เลย”

จากนั้นฉีจิ่งหลงก็เล่าต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวอย่างคร่าวๆ ไปรอบหนึ่ง เรื่องวงในที่รู้ได้แต่ไม่อาจพูดออกมาได้ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีทางพูด การหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันจำเป็นต้องมุ่งมั่นตั้งใจ ไม่อาจวอกแวกเสียสมาธิ ดังนั้นบทสนทนาระหว่างพวกฉีจิ่งหลงสี่คน เฉินผิงอันจึงไม่รู้ชัดเจนสักเท่าไร แต่แสงกระบี่ ที่พุ่งทะยานอยู่ริมบ่อบัวนี้ เขายังพอจะรับสัมผัสได้อย่างพร่าเลือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนาทีที่ฉีจิ่งหลงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา เวลานั้นต่อให้จิตใจของเฉินผิงอันจะจมจ่อมอยู่กับการหล่อหลอม แต่ก็ยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่ามันใกล้ชิดสนิทสนมกับสภาพจิตใจของเขา ไม่เพียงแต่ไม่ส่งผลกระทบต่อการหลอมวัตถุของเขา กลับกันยังคล้ายกับว่าเป็นการช่วยคุมหลังอย่างหนึ่งที่ฉีจิ่งหลงมีต่อเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันหันหน้ามาพูดกับสุยจิ่งเฉิง “เจ้ากลับเข้าห้องไปก่อน เรื่องบางอย่าง หากเจ้ารู้ก่อนเวลากลับจะไม่ใช่เรื่องดี ข้ากับท่านหลิวจำเป็นต้องพูดคุยกับเทพธิดากู้และเซียนกระบี่หรงอีกสักหน่อย จำไว้ว่าอย่าแอบฟัง นี่เกี่ยวพันกับทิศทางการดำเนินไปของมหามรรคาเจ้า อย่าทำเป็นเล่น”

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ แล้วเดินดิ่งกลับเข้าห้องตัวเองไป

พอมองเห็นภาพนี้ อารมณ์ของหรงช่างก็หนักอึ้งเล็กน้อย

หลังจากที่สุยจิ่งเฉิงปิดประตูลงเบาๆ ไม่ต้องรอให้เฉินผิงอันพูดอะไร ฉีจิ่งหลง ก็จัดวางค่ายกลยันต์แห่งหนึ่งอย่างเงียบเชียบ เพื่อตัดขาดเสียงและภาพในบริเวณใกล้เคียงกับห้องของสุยจิ่งเฉิง

เป็นการช่วยอำนวยความสะดวกที่คล่องแคล่วดุจเมฆคล้อยน้ำไหล

ทั้งรวดเร็วและมั่นคงอย่างถึงที่สุด

ดูเหมือนว่าเฉินผิงอันเองก็ไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยเตือนฉีจิ่งหลง ตอนที่เสียงปิดประตูดังขึ้นและฉีจิ่งหลงกำลังวาดยันต์ เฉินผิงอันได้หันมาเอ่ยถามเซียนซือบนภูเขาสองคนที่จับมือกันเดินทางมาตามหาสุยจิ่งเฉิงแล้ว “ข้ากับท่านหลิวสามารถนั่งคุยกับพวกเจ้าได้หรือไม่ เรื่องนี้อาจจะไม่ได้คำตอบในทันทีทันใด”

กู้โม่พยักหน้ารับ “ตามใจ”

เฉินผิงอันนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวที่อยู่ด้านหลังฉีจิ่งหลง ฉีจิ่งหลงเองก็นั่งลงตามไปด้วย แต่ขยับออกมาเล็กน้อย ไม่ได้นั่งอยู่ตรงกลางเหมือนอย่างก่อนหน้านี้

ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉีจิ่งหลงก็แค่ลุกขึ้นยืนแล้วพูดคุยด้วยเหตุผลดีๆ ออกกระบี่แล้วก็เก็บกระบี่

เมื่อคนทั้งสองนั่งลง อารมณ์ของหรงช่างก็ดิ่งวูบลงอีก บุรุษชุดเขียวสองคนนี้ เหตุใดถึงมีจิตใจที่สอดประสานเชื่อมโยงถึงกันได้ดีเพียงนี้? คนทั้งสองนั่งลงบนม้านั่งตัวยาว เพียงแค่ดูจากตำแหน่งที่นั่งก็มีความหมายประมาณว่า ‘เจ้าคือกฎ ข้าคือระเบียบ’ แล้ว

เกี่ยวกับ ‘เซียนกระบี่โอสถทอง’ แซ่เฉินผู้นั้น ตลอดทางที่ตามหาสุยจิ่งเฉิงนี้ นอกจากข่าวคราวที่หลุดรอดมาจากรายงานภูเขาแม่น้ำ หรงช่างกับกู้โม่ยังเคย สืบเสาะหาข้อมูลอย่างลึกซึ้งมาก่อนรอบหนึ่ง ทว่าเบาะแสส่วนใหญ่ล้วนซับซ้อน ยุ่งเหยิง กลับยิ่งชวนให้สับสนมึนงงเข้าไปอีก

ส่วนหลิวจิ่งหลง ไม่จำเป็นต้องให้คนทั้งสองไปตรวจสอบอะไรให้มากความเลย

เจียวหลงบนบกที่อยู่ติดอันดับสามของคนหนุ่มสาวสิบคนของอุตรกุรุทวีป หลิวจิ่งหลง คือลูกรักแห่งสวรรค์ที่ลุกผงาดอย่างรวดเร็วของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแห่งทิศเหนือ

ตอนนี้เซียนกระบี่สองคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยได้ไปอยู่ไกลถึงภูเขาห้อยหัวแล้ว สำหรับตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่มีอักษรจงอยู่ในชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังอยู่ใน อุตรกุรุทวีปที่แค่พูดจาไม่เข้าหูกันก็พร้อมจะต่อสู้เอาเป็นเอาตายแห่งนี้ นี่เป็นเรื่อง ที่อันตรายอย่างมาก ภูเขาใหญ่ที่มีผู้ฝึกกระบี่เป็นรากฐานในการหยัดยืนย่อมมี ศัตรูคู่อาฆาตอยู่ไม่น้อย

แต่ไม่มีใครกล้าดูแคลนสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ไม่มีผู้ฝึกกระบี่เฝ้าพิทักษ์ พวกที่ตบะ ไม่สูงพอ คือไม่กล้า ส่วนพวกที่ตบะสูงพอ ก็ไม่ยินดี

เซียนกระบี่ทั้งสองท่านที่เดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนหนึ่งในนั้นคือเจ้าสำนักไท่ฮุย ไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลิวจิ่งหลง ส่วนอีกคนหนึ่งมีอาวุโสมากกว่า แล้วก็ไม่ใช่ผู้ปกป้องมรรคาของหลิวจิ่งหลงเช่นกัน ผู้ที่ได้รับโชควาสนานี้คือศิษย์พี่หญิงคนหนึ่งของหลิวจิ่งหลง แต่ในอันดับสิบคนของอุตรกุรุทวีปกลับไม่มีนางเป็นหนึ่งในนั้น เพราะตอนที่หลิวจิ่งหลงขึ้นภูเขามา นางก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่คอขวดโอสถทองแล้ว หลังจากที่หลิวจิ่งหลงมีชื่อเสียงขึ้นมา นางกลับยังไม่สามารถฝ่าทะลุ คอขวดได้ ต่อให้สำนักกระบี่ไท่ฮุยจะปิดข่าวไว้อย่างแน่นหนา แต่ก็ยังคงมีข่าวลือเล็กๆ แพร่ออกไป บอกว่าผู้ฝึกกระบี่หญิงที่ทางสำนักฝากความหวังไว้สูงผู้นี้เกือบจะธาตุไฟเข้าแทรก และยังคงเป็นหลิวจิ่งหลงที่ลงมือด้วยตัวเอง ใช้อาการบาดเจ็บสาหัสของตัวเองเป็นค่าตอบแทน จึงช่วยให้นางรอดพ้นหายนะครั้งนั้นมาได้

หันกลับมามองผู้ถ่ายทอดมรรคาของหลิวจิ่งหลง เขาเป็นเพียงแค่ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าขอบเขตประตูมังกรคนหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุย เนื่องจากมีขีดจำกัดด้านพรสวรรค์ จึงตกอยู่ในสภาพการณ์น่าสงสารที่มหามรรคาเสื่อมสลายก่อนเวลาอันควร จึงจาก โลกนี้ไปนานแล้ว

ตอนนี้มาย้อนนึกดู เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องประหลาดใหญ่เทียมฟ้าเรื่องหนึ่ง แต่ปีนั้นหากย้อนกลับมาดู กลับกลายเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอย่างมาก เพราะหลิวจิ่งหลงไม่ได้เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดตามความหมายที่แท้จริง ช่วงแรกเริ่มของการ ฝึกตนหลังจากที่หลิวจิ่งหลงขึ้นเขามา ภูเขาแห่งอื่นๆ ที่นอกเหนือจากสำนักกระบี่ ไท่ฮุย หรือแม้กระทั่งในสำนักของตัวเองก็แทบไม่มีใครที่คาดคิดได้ว่าเส้นทาง การฝึกตนของหลิวจิ่งหลงจะสามารถก้าวหน้าได้อย่างพรวดพราดเช่นนี้ หลังจาก ที่หลิวจิ่งหลงเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต ได้เลื่อนขั้นเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ ศาลบรรพจารย์กลางทางอย่างที่หาได้ยากเหมือนขนหงส์เขากิเลน มีเซียนกระบี่ คนหนึ่งที่สนิทสนมกับทางสำนักกระบี่ไท่ฮุยมานานหลายปีเคยเกิดความกังวลใจ กลัวว่านิสัยของหลิวจิ่งหลงจะนุ่มนวลเกินไป เรียกได้ว่าขัดกับจุดประสงค์แห่ง วิถีกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุยโดยสิ้นเชิง ยากที่จะประสบความสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลายเป็นบุคคลที่เป็นเสาหลักของสำนัก แน่นอนว่าเรื่องจริงได้พิสูจน์ ให้เห็นแล้วว่า การที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยยอมแหกกฎรับหลิวจิ่งหลงเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องจนถูกต้องไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว

เฉินผิงอันมองไปทางผู้ฝึกตนหญิงสายของไท่เสียผู้นั้นแล้วกล่าวว่า “ข้าเป็นคนต่างถิ่น พวกเจ้าน่าจะตรวจสอบจนรู้แน่ชัดแล้ว แต่ในความจริงแล้วข้ามาจาก แจกันสมบัติทวีป เรื่องที่ได้ช่วยเหลือสุยจิ่งเฉิงไว้เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น”

หรงช่างถาม “ช่วยเล่าให้ละเอียดได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงเล่าเหตุการณ์ในศาลาให้ฟังอย่างคร่าวๆ ส่วนในเรื่องของการดูคนฝึกฝนจิตใจนั้น แน่นอนว่าย่อมไม่พูดถึงแม้แต่ครึ่งคำ ยิ่งไม่พูดถึงความดีความเลวของคน แค่บอกการกระทำในท้ายที่สุดของทุกคน

ไม่พูดถึงหรงช่างแห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ขนาดกู้โม่ที่เป็นคนอารมณ์ร้อนก็ยัง ไม่กังวลว่าคนผู้นี้จะโกหก

เพราะว่าข้างกายของคนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้มีหลิวจิ่งหลงนั่งอยู่

ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็ยังสามารถเล่าเรื่องโป้ปดมดเท็จได้เป็นฉากๆ จริงเท็จไม่แน่นอน วางแผนฆ่าคนตายโดยไม่ต้องชดใช้ด้วยชีวิต

แต่หลิวจิ่งหลงถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางทำเช่นนั้น

เป็นเหตุให้คนที่สามารถกลายมาเป็นเพื่อนของหลิวจิ่งหลงได้ก็น่าจะไม่ใช่คน แบบนั้นเช่นกัน

นี่ก็คือเหตุผลที่มองไม่เห็น คือกฎเกณฑ์ที่ไร้รูปลักษณ์

ขอแค่หลิวจิ่งหลงนั่งอยู่ตรงนั้น ต่อให้เขาจะไม่เอ่ยอะไรเลยก็ตาม

“ก่อนหน้านี้ข้าเคยคาดเดาไปในทางที่เลวร้ายที่สุด นั่นก็คือเจ้าหลอกสุยจิ่งเฉิง ขณะเดียวกันก็ทำให้นางยอมมอบใจติดตามเจ้าไปฝึกตน เพราะถึงอย่างไรประสบการณ์ทางโลกของสุยจิ่งเฉิงก็ยังตื้นเขินนัก อีกทั้งบนร่างยังมีสมบัติหนัก จึงคิดจะใช้วิธีชั้นต่ำที่ย่ำยีวัตถุสวรรค์อย่างตำหนักเกล็ดทอง แต่อันที่จริงพอพวกเรามารู้เรื่องในภายหลัง กลับไม่รู้สึกว่ามีปัญหาเลยแม้แต่น้อย กลับกลายเป็นว่าดูเหมือนภาพเหตุการณ์ที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ต่างหากที่ทำให้ปวดหัวได้มากที่สุด”

หรงช่างฟังจบแล้วก็เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “คิดไม่ถึงว่าท่านเฉินจะเดา โชควาสนาของการสืบทอดมรรคาที่อยู่เบื้องหลังสุยจิ่งเฉิงออกมาตั้งแต่แรกแล้ว และยังมอบทางเลือกที่โน้มเอียงมาทางพวกเราให้แก่นาง ดูท่าข้าคงใช้ใจของคนถ่อยไปวัดใจของวิญญูชนเสียแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าว “เล่าสถานการณ์ทางฝั่งข้าจบแล้ว พวกเจ้าสามารถพูดเรื่องทางฝั่งของพวกเจ้าได้แล้วหรือไม่?”

หรงช่างสบตากับกู้โม่ ต่างก็รู้สึกลำบากใจกันไม่น้อย

กู้โม่พลิ้วกายลงบนเรือลำน้อยแล้วนั่งขัดสมาธิ ไม่มีใครคาดคิดได้ว่านางจะปัดความรับผิดชอบด้วยการเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หรง เจ้าเล่าให้พวกเขาฟังก็แล้วกัน ข้าไม่ถนัดเรื่องที่วกวนอ้อมค้อมพวกนี้ น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว”

หรงช่างจนใจ อันที่จริงกู้โม่ทำอย่างนี้ก็ไม่อาจพูดได้ว่านางไร้คุณธรรม เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรื่องของสุยจิ่งเฉิงนั้น เดิมทีก็เป็นไท่เสียหยวนจวินหลี่อวี๋เซียนซือ ที่กำลังช่วยเหลือเซียนกระบี่ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ของเขา หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือ กำลังช่วยเจ้าของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงในอนาคต เพราะลี่ไฉ่จะต้องออกเดินทางไกล ไปเยือนภูเขาห้อยหัวอย่างแน่นอน การที่นางยังอยู่ต่อในอุตรกุรุทวีปก็เพื่อรอให้ ไท่เสียหยวนจวินออกจากด่าน แล้วจะจับมือกันเดินทางไปสังหารปีศาจใหญ่ที่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยกัน ตอนนี้หลี่อวี๋เซียนซือโชคร้ายจากโลกนี้ไปแล้ว อาจารย์ก็คงจะยังต้องไปภูเขาห้อยหัวเพียงลำพัง และอาจารย์ก็ได้ข้อสรุปมานานแล้วว่า ผู้ที่จะเฝ้าพิทักษ์ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงในอนาคต ไม่ใช่เขาหรงช่าง ต่อให้เขา จะเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนได้ก็ยังคงไม่ใช่เขา แล้วก็ไม่ใช่ผู้เฒ่าคนอื่นๆ ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มีพรสวรรค์และตบะที่ไม่เลวเหล่านั้น เป็นได้แค่ศิษย์น้องหญิงเล็กของหรงช่างที่ ‘ปิดด่านมาแล้วสามสิบปี’ คนนั้น

ซึ่งก็คือ ‘สาวงามตระกูลสุย’ ของแคว้นอู่หลิง

สำหรับเรื่องนี้หรงช่างไม่มีปมในใจใดๆ ยิ่งไม่มีความเห็นต่าง

เชื่อว่าผู้ฝึกกระบี่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงทุกคนก็ล้วนเป็นเช่นนี้ เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ก็กลัวว่าจะถูกเจ้าสำนักลี่ไฉ่ตบตายด้วยฝ่ามือเดียวอย่างไรล่ะ

สายของไท่เสีย หลี่อวี๋เชี่ยวชาญวิชาคาถาที่มหัศจรรย์อยู่หลายอย่าง ว่ากันว่า นางได้รับการสืบทอดมรรกถาที่แท้จริงมาจากฮว่อหลงเจินเหริน

ร่างจริงของศิษย์น้องหญิงเล็กปิดด่านเพื่อบรรลุมรรคาอยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงจริงๆ แต่ภายใต้การร่ายวิชาอภินิหารของไท่เสียหยวนจวิน ศิษย์น้องหญิงเล็กได้ใช้ลักษณะที่คล้ายคลึงกับจิตหยินออกนอกร่างเดินทางไกลไป ‘จุติ’ ครึ่งตัวกลายเป็น สุยจิ่งเฉิง อีกทั้งยังไม่ทำลายจิตวิญญาณดั้งเดิมของสุยจิ่งเฉิงแม้แต่น้อย สามารถพูด ได้ว่าสุยจิ่งเฉิงที่อยู่ในห้องยังคงเป็นทายาทของรองเจ้ากรมผู้เฒ่าสุยซินอวี่ แต่กลับไม่ใช่ทั้งหมด สรุปก็คือนี่เป็นขอบเขตที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างหนึ่งที่หรงช่างแค่ครุ่นคิดให้ลึกซึ้งเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกปวดหัวแล้ว ส่วนผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ศิษย์น้องหญิงเล็กจะอาศัยสิ่งนี้มาฝึกปรือวิชากระบี่ได้อย่างไร หรงช่างก็คร้านจะคิด ให้มากความแล้ว

ปีนั้นลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังมาก ราวกับว่ายังมีเรื่องมากกว่านั้นที่ถูกเก็บงำไว้ แต่สรุปก็คือสิ่งที่หรงช่างจำเป็นต้องทำก็แค่ลบเลือนเหตุไม่คาดฝันเล็กๆ ที่เกิดขึ้นกับสุยจิ่งเฉิงซึ่งถูกชักนำมาจากเหตุไม่คาดฝันใหญ่ที่เกิดจากการจากไปของ ไท่เสียหยวนจวินนั้นทิ้งไป รั้งสุยจิ่งเฉิงไว้ที่อุตรกุรุทวีป รอให้ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์เดินทางข้ามทวีปกลับมายังบ้านเกิด เขาหรงช่างก็จะได้รับกระบี่จากอาจารย์หลังจากที่ท่านกลับคืนมายังสำนักน้อยลงหนึ่งครั้ง ส่วนตำหนักเกล็ดทอง เฉาฟู่อะไรนั่น เมื่อก่อนข้าผู้อาวุโสไม่เคยได้ยินชื่อพวกมันมาก่อน ข้าหรงช่างรังเกียจด้วยซ้ำว่า หากตัวเองออกกระบี่แล้วจะทำให้มือสกปรก

หลังจากหรงช่างใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งก็ยังไม่ยินดีจะพูดให้มากความ บุรุษชุดเขียวสองคนตรงหน้านี้ชอบใช้เหตุผล แล้วก็เชี่ยวชาญการใช้เหตุผล แต่หากจะมองพวกเขาเป็นคนโง่เพราะเรื่องนี้ นั่นก็เป็นเขาหรงช่างที่โง่เสียเอง บางทีหากตนเปิดเผยเบาะแสบางส่วนออกไป อาจจะทำให้พวกเขาคว้าจับเส้นสายเอาไว้ได้ แล้วกระตุกดึงความจริงที่มากกว่าเดิมออกมา ไม่แน่ว่าคนนอกสองคนนี้อาจจะมองได้ยาวไกลและลึกซึ้งยิ่งกว่าหรงช่างก็ได้ ไม่แน่เสมอไปว่าอีกฝ่ายจะใช้สิ่งนี้มาข่มขู่เอาอะไร แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเลย

ที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมีอยู่สองเรื่องที่สำคัญอย่างถึงที่สุด หากฝึกกระบี่ไม่ได้ ก็เป็นเพราะโง่เง่าเกินไป

แต่ถึงอย่างไรลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์มองใครก็เห็นว่าเป็นคนทึ่มที่เรียนกระบี่ได้ไม่เป็นโล้เป็นพายอยู่แล้ว

ทุกครั้งขอแค่อาจารย์ตีคนด้วยโทสะก็มักจะอดหลุดคำพูดติดปากประโยคหนึ่งออกมาไม่ได้ว่า “สมองทึบขนาดนี้ก็ควรต้องฝึกกระบี่อย่างเอาเป็นเอาตายเข้าสิ ยังจะกล้ามีหน้ามาขี้เกียจอีกหรือ?”

เหตุผลแบบนี้จะพูดคุยกันได้อย่างไร?

ดังนั้นหลังจากที่ใคร่ครวญหาถ้อยคำอย่างระมัดระวังแล้ว หรงช่างถึงได้เอ่ยว่า “สถานการณ์เป็นเช่นนี้ ควรจะฝ่าสถานการณ์นี้ออกไปได้อย่างไรจึงจะเป็น กุญแจสำคัญ เห็นได้ชัดว่าสุยจิ่งเฉิงมีจิตใจเอนเอียงเข้าหาท่านเฉิน กระบี่แห่งปัญญาสะบั้นสายใยความรู้สึก (ศาสนาพุทธเปรียบเปรยสติปัญญาเป็นดั่งกระบี่ที่สามารถ ตัดสะบั้นความหงุดหงิดวุ่นวายใจทั้งหลายได้) แต่ไหนแต่ไรมาก็ล้วนพูดง่ายแต่ กระทำได้ยาก ผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้ด่านแห่งความรักมาเป็นหินขัดเกลากระบี่ ไม่อาจพูด ได้ว่าไม่มีคนที่ประสบความสำเร็จ แต่กลับมีน้อยมาก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”

ตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว โจวเฝยแห่งตำหนักคลื่นวสันต์ หรือควรจะเรียก อีกอย่างว่าเจียงซ่างเจิน เพื่อช่วยให้สหายรักอย่างลู่ฝ่างคลายปมในใจของด่าน ความรัก ก็เรียกได้ว่าใช้ทุกวิธีการที่มี แต่ละการกระทำไม่เพียงแต่ทำให้คนโกรธจน ผมชี้ชัน อีกทั้งยังถือว่าเป็นวิธีการที่อำมหิตไร้ปราณีอย่างถึงที่สุดในโลกมนุษย์ แต่กระนั้นก็ยังได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก สุดท้ายลู่ฝ่างก็ไม่สามารถเลื่อนสู่อันดับสิบคน ไม่เพียงแต่พ่ายแพ้ให้แก่เฉินผิงอัน ในความเป็นจริงแล้วสาเหตุที่สำคัญยิ่งกว่านั้นยังเป็นเพราะสภาพจิตใจของลู่ฝ่างยังไม่สมบูรณ์แบบ

ต่อให้จะสามารถ ‘บินทะยาน’ ออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนี่เท่ากับว่าต้องเสียเวลาไปเปล่าๆ ถึงหกสิบปี

หรงช่างถาม “หาใช่จะกล่าวโทษท่านเฉินไม่ เพียงแต่พูดถึงสถานการณ์ปัจจุบัน ท่านเฉินเป็นคนผูกปมเชือกนี้แล้ว แล้วยินดีจะเป็นคนแก้ปมหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยาก”

หรงช่างขมวดคิ้ว

กู้โม่ที่คิดว่าจะฝึกวิชาปิดปากเงียบอดไม่ไหวจนต้องเปิดปากพูด “ท่าทีนี้ของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? เป็นผู้ฝึกตนแต่กลับมัวเมาในสาวงาม ก็เลยใช้วิธีต่ำช้า หรือจะบอกว่าเจ้ามีแผนการที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น คิดจะผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับสุยจิ่งเฉิงเสียเลย? ดีนักนะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้ตีสนิทกับสายไท่เสียของ พวกเราและทะเลสาบกระบี่ฝูผิง เจ้าช่างดีดลูกคิดรางแก้วได้ดีนัก!”

เฉินผิงอันยังคงส่ายหน้า “หาใช่เป็นเช่นนี้ไม่”

คำพูดบางอย่าง ไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร

ทว่าหากยังยินดีที่จะพูดออกมาต่อหน้าผู้อื่น อันที่จริงกลับยังนับว่าดี

ถ้อยคำที่ไม่น่าฟังอย่างแท้จริงมักจะอยู่ในท้องของคนอื่นหรือไม่ก็หลบอยู่ใน มุมมืดไปตลอดกาล ถ้อยคำที่ฟังเหมือนดีแต่กลับแฝงนัยเหน็บแนมเสียดสีที่พูด อย่างง่ายๆ สบายๆ นั่นต่างหากถึงจะทำให้คนสะอิดสะเอียนได้อย่างแท้จริง

ฉีจิ่งหลงเองก็พยักหน้ารับ “ยากมาก”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้าจะพูดถึงความเป็นไปได้บางอย่างก่อนก็แล้วกัน พูดถึงสถานการณ์สุดโต่งสองอย่างแรกก่อน การเดินทางสู่บูรพาทิศของลัทธิพุทธทำให้เริ่มค่อยๆ มีการแบ่งแยกหีนยานและมหายาน ทำลายความยึดมั่นถือมั่นของตัวเองได้ ไม่สู้ไร้ความยึดมั่นถือมั่นเสียเลย เมื่อสุยจิ่งเฉิงฝึกฝนจิตใจจนประสบความสำเร็จ ความรักชอบในวันนี้ย่อมกลายมาเป็นความเฉยชาในวันหน้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นการสะบั้นความรู้สึกอย่างแท้จริง แน่นอนว่ายังมีอีกสถานการณ์หนึ่งนั่นคือเมล็ดพันธ์ความรักของสุยจิ่งเฉิงฝังรากหยั่งลึก ต่อให้อยู่ห่างไกลจากข้าเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ความรู้สึกนั้นก็ยังคงล้อมวนอยู่ในหัวใจ ต่อให้นางจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบน กลายเป็นเซียนกระบี่ ออกกระบี่ก็ยังยากจะตัดสะบั้นได้ แล้วมาพูดถึงความเป็นไปได้ที่อยู่ระหว่างสองขั้ว พวกเจ้าทั้งสองคนต่างก็เป็นยอดฝีมือในตระกูลเซียนที่มีอักษรจง บนภูเขา ก็น่าจะมีวิชาอภินิหารบางอย่างที่เอาไว้สยบด่านความรัก เอาไว้ฝ่าด่าน ความรักโดยเฉพาะ แต่ข้ารู้สึกว่าพวกเจ้าเองก็ควรดูแลสภาพจิตใจของสุยจิ่งเฉิงด้วยเช่นกัน…”

กู้โม่เริ่มปวดหัวอีกครั้ง “เจ้าช่วยพูดตรงๆ เลยได้ไหม ควรทำอย่างไร ต้องพูดพล่ามยาวขนาดนี้ด้วยหรือ?!”

เฉินผิงอันมองนาง ถามว่า “สำหรับเจ้าแล้ว นี่เป็นเรื่องของการลงมือครั้งสองครั้ง แต่สำหรับสุยจิ่งเฉิงแล้วก็คือทิศทางและระดับความสูงต่ำของมหามรรคาตลอดชีวิตของนาง พวกเราพูดคุยกันให้มากหน่อยจะนับเป็นอะไรได้ จะอดทนพูดคุยกันให้นานหลายวันหน่อยจะเป็นไรไป? ฝึกตนอยู่บนภูเขา ไม่สัมผัสถึงความร้อนหนาว ในโลกมนุษย์ เวลาน้อยนิดแค่นี้ นับว่าเสียเวลามากเลยหรือ?! หากวันนี้คนที่นั่งอยู่ ตรงนี้ไม่ใช่ข้ากับท่านหลิว เปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกตนอีกสองคนที่ขอบเขตพอๆ กัน ไม่แน่ว่าพวกเจ้าสองคนอาจบาดเจ็บสาหัสจนต้องถอยหนีไปแล้วก็ได้”

ฉีจิ่งหลงพูดอย่างเฉยเมย “คงตายไปแล้ว”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “เจ้ารู้จักพูดบ้างได้ไหม?”

ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที “เจ้าพูดต่อเลย”

เฉินผิงอันหยิบกาเหล้าออกมาสองกา โยนกาหนึ่งให้ฉีจิ่งหลง ตัวเองเปิดออกหนึ่งกา กระดกดื่มหนึ่งอึก ฉีจิ่งหลงเพียงแค่หิ้วกาเหล้าเอาไว้ แต่กลับไม่ดื่ม เขาไม่ชอบดื่มจริงๆ

หรงช่างหัวเราะ

คำพูดไม่น่าฟัง

แต่เหตุผลก็คือเหตุผลนี้

อันที่จริงเขายังพอจะรับได้

แต่คาดว่ากู้โม่คงไม่ค่อยสบอารมณ์สักเท่าไร

แล้วก็จริงดังคาด กู้โม่ลุกขึ้นยืน หัวเราะเสียงหยันเอ่ยว่า “รักตัวกลัวตาย ยังจะเข้ามาอยู่ในสายไท่เสียได้อีกหรือ?! ยังจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมารอะไรได้อีก?! หลบอยู่บนภูเขาๆ แล้วค่อยๆ เดินขึ้นเขาไป แบบนั้นจะไม่ประหยัดแรงกว่าหรือไร? จะได้ไม่ต้องมาเจอกับคนแบบเจ้า! หากข้ากู้โม่ตายไป ก็แค่ขอบเขตประตูมังกร คนหนึ่งที่ตายไป แต่อุตรกุรุทวีปกลับต้องเสียตะพาบเฒ่าสองคนที่ขอบเขตสูง ยิ่งกว่าไป การค้าครั้งนี้ ใครได้กำไรใครขาดทุนกันแน่?!”

เฉินผิงอันลังเลเล็กเน้อย “ตัวเจ้าเองไม่ขาดทุนหรือ?”

กู้โม่สบถด่า “ขาดทุนกับปู่เจ้าน่ะสิ!”

เฉินผิงอันไม่โมโหแม้แต่น้อย เขาหันหน้าไปยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตบะสูงกว่า เจ้าเป็นคนอธิบายเหตุผล”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “นิสัยเจ้าดีกว่า เจ้าเป็นคนพูดนั่นแหละดีแล้ว”

ชายแขนเสื้อสองข้างของชุดคลุมอาคม ‘ไท่เสีย’ ของกู้โม่สะบัดโบกไม่หยุด นางโมโหจนหน้าเขียวคล้ำ “พวกเจ้าสองคน อย่ามัวแต่สำบัดสำนวน รีบไสหัวออกมาสักคนหนึ่ง มาสู้กับข้าสักตั้ง!”

เฉินผิงอันกล่าว “สำนักของเจ้าร้ายกาจเกินไป ข้าไม่กล้าต่อสู้กับเจ้า”

กู้โม่โมโหจัดจนกลายเป็นขำ “ข้าไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย ก็แค่ประลองฝีมือกับเจ้า ไม่ใช่จะแบ่งแยกเป็นตาย!”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “หยิบมะพลับนิ่มมาบีบ ไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”

กู้โม่ไม่รู้สึกลำบากใจสักเท่าไร นางพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “ในเมื่อเจ้าแสร้งทำเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมาตลอดทางแล้ว แถมยังปะทะกับคนอื่นซึ่งๆ หน้ามาหลายครั้ง แม้แต่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของราชวงศ์ต้ากวานก็ยังต้องพ่ายแพ้ให้เจ้า มือดาบเซียวซูเย่อะไรนั่นก็ยิ่งถูกเจ้าฆ่า ข้าว่าเจ้าเองก็ไม่ใช่มะพลับนิ่มอะไรหรอก เจ้าประมือกับข้า ไม่เกี่ยวพันไปถึงสำนัก”

จากนั้นกู้โม่ก็ถามอย่างสงสัยว่า “พวกเจ้าสองคนกำลังพึมพำอะไรอยู่ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กำลังถามท่านหลิวว่า ชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นของเจ้าสามารถต้านทานการโจมตีสุดกำลังของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินได้ใช่หรือไม่ เจ้าถึงได้ดู มั่นอกมั่นใจขนาดนี้ ท่านหลิวบอกว่าต้องใช่แน่นอน”

กู้โม่เดือดดาลอย่างหนัก “เจ้าคนหน้าไม่อาย!”

หรงช่างนวดคลึงหว่างคิ้ว

นี่อะไรมาเจอกับอะไรกัน?

หากรู้แต่แรกว่าจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากขนาดนี้ ออกจากทะเลสาบกระบี่ฝูผิงคราวนี้ ตนก็น่าจะให้คนอื่นมาร่วมวงด้วย

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน

กู้โม่ยิ้มกล่าว “ยังไง ก่อนจะสู้กันยังจะต้องพูดพล่ามกับข้าอีกสักหน่อยไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ระหว่างที่ต่อสู้ ข้าไม่ค่อยชอบพูด ต้องดูว่าตัวเจ้าเองมีความสามารถพอจะให้ข้าเปิดปาก เพื่อที่ตัวเองจะแอบผลัดเปลี่ยนลมปราณหรือไม่”

เฉินผิงอันกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง บนผนังของเรือนหลังนี้ก็มีเจียวสีขาวหิมะผลุบๆ โผล่ๆ เส้นหนึ่ง เส้นแสงนั้นพลันระเบิดออก ส่องประกายเจิดจ้าอย่างถึงที่สุด ราวกับ คนธรรมดาที่เงยหน้ามองดวงตะวันกะทันหัน แน่นอนว่าย่อมแสบตา

หรงช่างก็แค่หรี่ตาลงเล็กน้อยเท่านั้น

ทว่ากู้โม่กลับหลับตาลงตามจิตใต้สำนึก แต่แล้วในใจนางก็รู้ได้ว่าท่าไม่ดี จึงพลันลืมตาโพลง

นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในเสี้ยววินาที

แสงกระบี่สีขาวหิมะกับแสงกระบี่สีเขียวมรกตพากันบินออกมา

แล้วเงาร่างชุดเขียวก็หายวับไป ก่อนจะมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายกู้โม่ จากนั้น ก็ย้อนกลับไปจุดเดิมอย่างระมัดระวัง แล้วนั่งลงเบาๆ

กู้โม่ยืนอยู่ที่เดิม นางอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนเรือลำเล็ก “ก็ได้ ข้าแพ้แล้ว เจ้าอธิบายเหตุผลของเจ้าต่อไปเถอะ ต่อให้จะหงุดหงิดแค่ไหน ข้าก็จะทนฟัง”

นี่ก็คือเหตุผลที่หรงช่างยินดีติดตามกู้โม่มาตลอดทาง อีกทั้งความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายยังถือว่าไม่เลว

กู้โม่คล้ายจะเพิ่งมารู้สึกตัวทีหลัง นางกล่าวอย่างเดือดดาลว่า “ไม่ถูกสิ! เป็นหลิวจิ่งหลงที่ช่วยวาดยันต์ให้เจ้า เจ้าถึงได้ชิงโอกาสลงมือก่อนได้?!”

ฉีจิ่งหลงโบกมือ “ไม่เกี่ยวอะไรกับข้า”

หรงช่างกล่าว “ไม่เกี่ยวกับท่านหลิวจริงๆ”

กู้โม่มองประเมินคนต่างถิ่นชุดเขียวแวบหนึ่ง แล้วถามอย่างประหลาดใจว่า “เหตุใดเจ้าถึงได้มีกระบี่บินที่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถึงสองเล่ม?”

เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ายังมีหน้ามาถามข้า?”

กู้โม่แสยะปากยิ้ม “น่าเสียดายที่ออกกระบี่ได้ไม่ไวเหมือนเจ้า แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นศึกตัดสินเป็นตาย แล้วดันใช้ชีวิตแลกกับอาการบาดเจ็บ ข้าไม่ได้ประสาทเสียหน่อย ไม่มีทางทำหรอก”

เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ

บนร่างของกู้โม่นอกจากชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นแล้ว อันที่จริงยังซ่อนกระบี่บิน ไว้ อย่างน้อยที่สุดก็สองเล่ม ซึ่งไม่ต่างจากของของตนสักเท่าไร นั่นคือต่างก็ไม่ใช่ วัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ มีอยู่เล่มหนึ่งที่น่าจะเป็นสมบัติของสายไท่เสีย เล่มที่สอง มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าเป็นของที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมอบให้ ดังนั้น เมื่อขอบเขตของกู้โม่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลื่อนเป็นเซียนดินแล้ว คู่ต่อสู้ของนางก็มีแต่จะยิ่งปวดหัวมากขึ้น ส่วนเมื่อได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ก็จะเป็นสภาพการณ์อีกอย่างหนึ่ง ของนอกกายทุกอย่างล้วนต้องแสวงหาขั้นสูงสุด พลังพิฆาตยิ่งใหญ่ที่สุด การป้องกันแข็งแกร่งที่สุด วิชาคาถาแปลกประหลาดที่สุด ยิ่งความสามารถของสมบัติก้นกรุที่แท้จริงน่ากลัวมากเท่าไร โอกาสชนะก็มีมากขึ้นเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทุกอย่างจะเป็นเพียงแค่หมอนปักลายบุปผา ยกตัวอย่างเช่น เจียงซ่างเจินที่มีสมบัติมากมายขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์ อีกทั้งยัง มีประโยชน์มาก

แต่สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว หากเป็นการเข่นฆ่าตัดสินเป็นตายที่ความสามารถสูสีกัน ต่อให้หลังจากรู้แพ้ชนะแล้ว ก็ยังต้องดูที่ระดับการหล่อหลอมของใบหลิวใบนั้น แล้วนำมาใช้เป็นตัวตัดสิน ตัดสินเป็นตายของทั้งสองฝ่าย

อีกทั้งกู้โม่ยังสามารถมองออกในปราดเดียวว่าชูอีสืออู่ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ บางทีนี่ก็อาจจะเป็นสายตาที่ลูกศิษย์ของสำนักใหญ่สมควรมี

หรงช่างเปิดปากเอ่ยว่า “เมื่อได้วิธีการที่ค่อนข้างมั่นคงเหมาะสม ก็แค่ต้องรอให้อาจารย์ของข้ามาถึงที่นี่ รอให้นางได้พบกับสุยจิ่งเฉิงแล้วค่อยว่ากัน ไม่ทราบว่า ท่านเฉินกับท่านหลิวจะยินดีรออีกสักช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือไม่?”

อันที่จริงนี่เป็นการสร้างความลำบากใจให้ผู้อื่นแล้ว

คำว่ามั่นคงเหมาะสมนั้นก็แค่ใช้กับหรงช่างและกู้โม่เท่านั้น

เพราะสำหรับคนต่างถิ่นสองคนที่อยู่ตรงหน้านี้ หากไม่ทันระวังก็จะกลายเป็นทัณฑ์หายนะที่ร้ายแรงถึงเป็นถึงตาย อีกทั้งยังมีภัยแฝงนับไม่ถ้วนที่อาจตามมาเบื้องหลัง หากวันนี้เขาจากไป ทิ้งสุยจิ่งเฉิงไว้ อันที่จริงกลับกลายเป็นว่าจะยิ่งประหยัดแรงกายแรงใจ หากสามารถทำได้ถึงขั้นนั้น ต่อให้ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์เดินทางมาถึงแคว้นลวี่อิงก็ยังหาข้อตำหนิอะไรเขาไม่ได้ ‘ลูกศิษย์ที่ปิดด่าน’ ของตัวเอง ไปชอบคนอื่นเข้า หรือจะให้ตบหน้าบุรุษคนนั้นเพื่อปลุกให้ศิษย์น้องหญิงเล็กคืนสติ? นางจะคืนสติได้หรือ? สตรีทั่วไปอาจจะได้ แต่จากการสังเกตทุกคำพูดและการกระทำของสุยจิ่งเฉิง ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าความคิดความอ่านของนางรอบคอบและยังทะลุปรุโปร่ง คิดวกวนร้อยรอบพันตลบ เทียบกับความตรงไปตรงมาบนเส้นทาง การฝึกตนของศิษย์น้องหญิงในปีนั้นแล้ว เรียกว่าแตกต่างราวฟ้ากับดิน

ดังนั้นยิ่งสุยจิ่งเฉิงเป็นคนที่ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงให้ความสำคัญมากเท่าไร ตบะของอาจารย์เขาหรงช่างสูงเท่าไร ถ้าเช่นนั้นคนหนุ่มต่างถิ่นผู้นี้ก็อันตรายมากขึ้นเท่านั้น เพราะเรื่องไม่คาดฝันมีแต่จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ

การที่หรงช่างไม่ได้เสนอแนะเช่นนี้ตั้งแต่แรก ก็เพราะว่าคำพูดเช่นนี้ ง่ายที่จะทำให้สถานการณ์ที่มีโอกาสจะพูดคุยกันดีๆ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากัน กลายเป็นการเข่นฆ่าปลิดชีวิตที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน

ถึงเวลานั้นคนทั้งสองไปหลบอยู่ในสำนักกระบี่ไท่ฮุย

ต่อให้เป็นลี่ไฉ่อาจารย์ของเขาก็ไม่มีทางไปหาพวกเขาถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุย

ทั้งไม่มีเหตุผล แล้วก็ไร้ความหมาย

ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปใช่ว่าจะไร้เหตุผลไปเสียทั้งหมด แต่เป็นเพราะทุกคนล้วนมีหลักการเหตุผลที่สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมแคว้นเป็นของตัวเอง เพียงแต่ว่าเหตุผลของที่นี่ไม่ค่อยเหมือนกับเหตุผลของทวีปอื่นก็เท่านั้น

ดังนั้นถึงได้มีผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่มีภูมิหลังยิ่งใหญ่เทียมฟ้ามากมายต้องมาตายโดย ไร้ที่ฝังร่างอยู่ที่นี่ ถึงขั้นที่ว่าสุดท้ายแล้วตายด้วยน้ำมือใครก็ยังตรวจสอบไม่พบ นอกจากน้องชายแท้ๆ ของเทพเจ้าแห่งโชคลาภของธวัลทวีป ผู้สูงศักดิ์หวงจื่อ ผู้สืบทอดของจวนเทียนซือภูเขามังกรพยัคฆ์ อันที่จริงยังมีอีกหลายคนที่สถานะ น่าตกใจมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าถูกปิดข่าวเอาไว้ นอกจากตระกูลเซียนที่มีอักษรจง อยู่ในชื่อแล้ว ก็ไม่มีใครรู้จักอีกก็เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นหนึ่งในนั้นก็มีลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจของรองเจ้าลัทธิศาลบุ๋นคนหนึ่งรวมอยู่ด้วย

คนตัวเป็นๆ เทพเซียนผู้เฒ่าที่อยู่เบื้องหลังคนตายเหล่านี้ มีใครบ้างที่ทรัพย์สมบัติไม่มหาศาล หมัดไม่แข็งพอ?

แต่พวกเจ้ามีปัญญามาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้วลองม้วนชายเสื้อเผยหมัดออกมาหรือไม่?

อย่างอื่นในอุตรกุรุทวีปนั้นมีไม่มาก ที่มากก็คือผู้ฝึกกระบี่ เซียนกระบี่!

ในใจของเฉินผิงอันตัดสินใจได้แล้ว แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่หันหน้ามามองทางฉีจิ่งหลง

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “ข้ายังคงว่างไม่มีอะไรทำอยู่ดี”

เฉินผิงอันทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ข้ายังพูดเหตุผลได้ไม่มากพอเลย ต่อให้ข้าพูดจบแล้ว สำนักกระบี่ไท่ฮุยก็มีเหตุผลที่ต้องพูดเหมือนกัน”

เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

จากนั้นเฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน เดินไปเคาะประตู

ฝ่ายฉีจิ่งหลงก็ได้ถอนค่ายกลยันต์ออกไปแล้ว

เฉินผิงอันพาสุยจิ่งเฉิงเดินมาถึงริมขอบสระบัว ขอแค่เป็นเรื่องที่พูดได้ เขาล้วนเล่าให้นางฟังทั้งสิ้น

สุดท้ายเฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปคิดถึงอะไรทั้งนั้น ภายใต้เงื่อนไขเช่นนี้ เจ้าคิดจะทำอย่างไร?”

สุยจิ่งเฉิงถามเบาๆ ว่า “จะสร้างปัญหาให้กับผู้อาวุโสกับท่านหลิวหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “บนเส้นทางของการฝึกตน ขอแค่ตนเองไม่ไปหาเรื่องมาใส่ตัว ก็ไม่ต้องกลัวว่าปัญหาจะมาเยือนถึงบ้าน”

กู้โม่นั่งอยู่บนเรือลำเล็ก นางว่างงานยิ่งกว่าฉีจิ่งหลงเสียอีก มองดูเหมือนกำลังเพ่งมองใบบัวที่อยู่นอกตัวเรือ แต่ความจริงกลับเงี่ยหูรับฟังอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ อดกลอกตามองบนได้

ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคนผู้นั้นพูดจาไม่ถูกใจ ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะนาง กู้โม่รู้สึกว่าอีกฝ่ายพูดจามีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่กับเจ้าคนแซ่เฉินผู้นี้ นางไม่เคยปฏิเสธว่ามีอคติต่อเขาอย่างมาก ดังนั้นถึงได้มีการกระทำเช่นนี้

สุยจิ่งเฉิงพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ข้าได้พบกับยอดฝีมือ ท่านนั้นก่อนค่อยว่ากัน?”

เฉินผิงอันตอบ “ย่อมได้”

สีหน้าของสุยจิ่งเฉิงหม่นหมองเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความละอายใจ นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูด

เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าวว่า “หากมัวแต่คิดมากกับทุกเรื่อง ก็มีแต่จะยิ่งทำให้เจ้าชักช้าอืดอาด แล้วจะยังต้องคิดอีกทำไม? รังเกียจว่าการฝึกตนของตัวเองพัฒนาเร็วเกินไป? หรือว่าเรื่องของการฝึกจิตใจนั้นง่ายดายเกินไป?”

สุยจิ่งเฉิงร้องอ้อรับหนึ่งที

ทั้งไม่โต้เถียง แต่ก็ดูเหมือนไม่คิดจะเอากลับไปทบทวนตัวเอง

หากเปลี่ยนมาเป็นลูกศิษย์บุกเบิกขุนเขาของตน ป่านนี้เฉินผิงอันคงเขกมะเหงกลงไปนานแล้ว

ฉีจิ่งหลงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ไม่มองในสิ่งที่ไม่ควรมอง ไม่ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟัง

แต่ด้วยตบะที่สูงส่ง ถ้อยคำทั้งหลายจึงดังเข้าหูอย่างแจ่มชัด จะขวางก็ขวางไม่อยู่

กลับกลายเป็นว่าหรงช่างคือคนที่อัดอั้นตันใจมากที่สุด

สถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาแล้ว กู้โม่ที่ตอนแรกรีบร้อนลุกลน กลับกลายมาเป็นคนที่สบายอารมณ์มากที่สุด นางมองดูคู่ชายหญิงที่ความสัมพันธ์ประหลาดคู่นั้นแล้วถึงขั้นรู้สึกว่ามีบางอย่างชวนให้น่าขบคิด

หลังจากนั้นกู้โม่และหรงช่างก็เข้าพักในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของท่าเรือหัวมังกรแห่งนี้ เรือนทั้งสองหลังล้วนไม่เล็ก

อยู่ห่างจากเรือนสระบัวมาค่อนข้างไกล และนี่ก็ถือว่าเป็นความจริงใจเล็กๆ อย่างหนึ่ง หลีกเลี่ยงไม่ให้บุรุษชุดเขียวสองคนนั้นเข้าใจผิดคิดว่าไม่ไว้ใจพวกเขา

กู้โม่และหรงช่างนั่งอยู่ตรงข้ามกันในลานบ้านขนาดเล็กของเรือน

กู้โม่เอ่ยถาม “หรงช่าง ข้าแค่ถามชวนคุยนะ เจ้าเอาชนะหลิวจิ่งหลงผู้นั้นไม่ได้จริงๆ หรือ? กระบวนท่าเดียวก็แพ้เลย?”

หรงช่างยิ้มกล่าว “หากจะเข่นฆ่ากันจริงๆ แน่นอนว่าไม่มีทางแพ้ยับเยินขนาดนั้น แต่โอกาสที่จะเอาชนะได้ก็มีน้อยมากจริงๆ ศึกบนภูเขาตี่ลี่ระหว่างฉีจิ่งหลงกับ นักพรตหญิงต่างถิ่นครั้งนั้น หากพวกเขาไม่หยุดมือก็ต้องหาโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขตจนเจอ”

กู้โม่กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “หลิวจิ่งหลงผู้นี้เป็นคนประหลาดจริงๆ! มีใครที่สามารถฝ่าทะลุขอบเขตได้ตลอดทางอย่างง่ายดายแบบนี้บ้าง นี่ต้องเรียกว่าพุ่งทะยานดุจผ่าลำปล้องไม้ไผ่แล้ว คนเปรียบเทียบกับคน ทำให้คนโมโหตายได้จริงๆ”

หรงช่างยิ้มกล่าว “หากหันไปมองสองคนที่อยู่เบื้องหน้าหลิวจิ่งหลง พวกเรา จะไม่ต้องเอาหัวโหม่งตายให้จบๆ เรื่องไปเลยหรอกหรือ?”

กู้โม่ส่ายหน้า “สองคนนั้นน่ะหรือ ข้าไม่คิดจะเอาตัวไปเปรียบเทียบด้วยซ้ำ ไม่มีความคิดนั้นเลย หลิวจิ่งหลงมีความหวังสูงสุดที่จะได้เลื่อนขั้นเป็นคนบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปในอนาคต

แต่สองคนนั้นน่ะ ต้องได้เลื่อนขั้นแน่นอนอยู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่าอาจารย์อาท่านหนึ่งในสายอื่นของสำนักข้ายังเคยวิเคราะห์ไว้ว่า คนหนึ่งในนั้น ในอนาคตต่อให้ไปอยู่ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ก็ยังมีโอกาสเลื่อนขั้นติดอันดับสิบคนอยู่ดี”

กู้โม่พลันถามว่า “ได้ยินมาว่าแจกันสมบัติทวีปที่เซียนกระบี่ลี่ไปเยือน เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ และซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าเมืองของต้าหลี ต่างก็เป็น ผู้แข็งแกร่งทั้งคู่?”

หรงช่างพยักหน้ารับ “แข็งแกร่งมากทั้งคู่ นับวันรอมหามรรคาได้เลย”

กู้โม่กล่าวอย่างกังขา “เว่ยจิ้นยังไม่ต้องไปพูดถึงเขา แต่ซ่งจ่างจิ้งคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว เดินไปบนเส้นทางสายขาด คำว่านับวันรอมรรคาคงไม่ค่อยเหมาะสมกับเขาเท่าไรกระมัง?”

หรงช่างนึกถึงประโยคที่คนพูดไม่ตั้งใจ แต่คนฟังมีเจตนาที่ใครบางคนซึ่งก่อนหน้านี้ ยืนอยู่ข้างกายอาจารย์ของเขาแล้วยังกล้าทำตัวเป็นบุรุษเจ้าชู้เสเพลเคยกล่าวถึง แล้วก็เลยยกประโยคของอีกฝ่ายมาพูดว่า “นอกจากความเป็นอมตะบนมหามรรคา ก็ยังมีมหามรรคา”

กู้โม่ยิ้มเอ่ย “คำพูดประเภทนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงกับคำพูดของเหล่าอาจารย์ลุงอาจารย์อาทั้งหลายที่อยู่บนยอดเขาพาตี้ของสำนักพวกเราเลย”

หรงช่างไม่พูดอะไรให้มากความอีก

เพราะถึงอย่างไรยอดเขาพาตี้ก็เป็นภูเขาของเทพเซียนผู้เฒ่าอย่างฮว่อหลงเจินจวิน เจินเหรินผู้เฒ่าแทบจะไม่เคยจัดการธุระในสำนักมาก่อน ล้วนมอบหน้าที่ให้พวก ศิษย์ลูกศิษย์หลานไปจัดการกันเอาเอง เพราะเจินเหรินผู้เฒ่าจะเอาแต่นอนอย่างเดียวเท่านั้น

อย่างไท่เสียหยวนจวินอาจารย์ของกู้โม่ ก็คือคนที่ฝึกตนประสบความสำเร็จ จึงได้ออกจากยอดเขาพาตี้ มาเปิดขุนเขาเป็นของตัวเองนานแล้ว จากนั้นก็รับลูกศิษย์ แตกกิ่งก้านสาขาออกไป

นอกจากสายของไท่เสียแล้ว ยังมีสายอื่นอีกสามสาย ล้วนเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในอุตรกุรุทวีป สายของเถาซานจะเชี่ยวชาญคาถาอสนีมากที่สุด สายของ ป๋ายอวิ๋นเชี่ยวชาญยันต์ค่ายกล ส่วนสายจื่อเสวียนเชี่ยวชาญเรื่องวิถีกระบี่

แต่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดทุกคนของทั้งสี่ท่านที่สามารถไปสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ใน อุตรกุรุทวีปได้ หากพูดถึงเรื่องการถ่ายทอดมรรคกถาจากอาจารย์เมื่อไหร่ พวกเขา ก็จะพูดแค่ว่าตัวเองเรียนรู้มาแค่ผิวเผินเท่านั้นเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น

คำพูดเกรงใจเช่นนี้ คนฟังเชื่อหรือไม่?

อยู่ในอุตรกุรุทวีป ก็เชื่อจริงๆ นั่นแหละ

นี่ยังไม่ถือว่าเกินจริงมากที่สุด คำกล่าวที่ทำให้คนไร้คำพูดตอบโต้ได้มากที่สุดนั้นได้แพร่ออกมาเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งไม่รู้ว่าแพร่มาได้อย่างไร ผลคือเพียงไม่นานก็สะพัดไปเกินครึ่งอาณาเขตของอุตรกุรุทวีป ว่ากันว่านั่นเป็นคำกล่าวของลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของฮว่อหลงเจินจวิน ตอนที่ลูกศิษย์คนนั้นลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ เคยได้พูดคุยกับยอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่มาเยี่ยมเยือนยอดเขาพาตี้ ไม่รู้ว่าเหตุใด ถึงได้เป็นการ ‘เปิดเผยความลับสวรรค์’ เสียได้ เขาบอกว่าอาจารย์เคยพูดกับเขาด้วยตัวเองว่า อาจารย์รู้สึกว่าเรื่องที่น่าเสียดายที่สุดในชีวิตนี้ของอาจารย์ ก็คือความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารที่อ่อนด้อยเกินไป

ดูเหมือนว่าลูกศิษย์คนนั้นจะเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง ยังดีที่ตอนพูดถึงเรื่องนี้ นักพรตน้อยไม่ได้มีท่าทีรังเกียจอาจารย์ของตัวเองสักเท่าไร?

เซียนกระบี่มากมายของสถานที่อื่นต่างก็อยากจะยื่นมือออกไปกดหัวลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนนั้นแรงๆ แล้วถามนักพรตหนุ่มที่ในสมองน่าจะมีรูผู้นั้นดังๆ ว่า เจ้ากำลังพูด เรื่องตลกอยู่จริงๆ งั้นหรือ?!

หลังจากถามคำถามนี้ไปแล้ว แน่นอนว่าเหล่าเซียนกระบี่ทั้งหลายยังต้องยิ้มแย้มส่งเขาออกจากอาณาเขตไปอย่างมีมารยาทด้วย

เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีป ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง ไม่กลัวใครทั้งนั้น กลัวก็แค่ ฮว่อหลิงเจินเหรินที่ถือว่าเป็นคนกันเองครึ่งตัวผู้นั้น

ยังดีที่งานอดิเรกของเทพเซียนผู้เฒ่าคนนี้ก็คือการนอน ไม่ชอบลงจากภูเขา

แต่ก็พอๆ กับนักพรตหนุ่มที่ไม่รู้ว่าหายตัวไปไหนคนนั้น ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของฮว่อหลิงเจินเหรินที่พรสวรรค์ไม่ได้ยอดเยี่ยมอย่างพวกเขาเหล่านี้ บนยอดเขาพาตี้ยังมีอีกหลายสิบคน พวกเขาต่างก็สร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนยอดเขาพาตี้ แม้จะบอกว่าฝึกตน แต่เมื่ออยู่ในสายตาของผู้ฝึกตนตระกูลเซียนที่มีอักษรจงแล้ว นั่นต้องเรียกว่า…อยู่รอความตายไปวันๆ นอกจากพวกเขาแล้วยังมีนักพรตน้อยอีกหลายคน เพราะถึงอย่างไรต่อให้ตบะย่ำแย่แค่ไหนก็ล้วนมีลูกศิษย์เป็นของตัวเอง และกลับกลายเป็นว่าพวกเขามักจะได้ฟังการถ่ายทอดมรรคกถาจากฮว่อหลิงเจินเหรินตอนที่ไม่นอนหลับอยู่บ่อยๆ ก็แค่สติปัญญายังคงไม่เปิดออกเท่านั้น นานมากแล้วที่ไม่มี ศิษย์หลานหรือลูกศิษย์คนใดของยอดเขาพาตี้ที่สามารถทำให้คนภายนอกรู้สึกว่า ในด้านการฝึกตน ‘สามารถมีเหตุผลหน่อยได้หรือไม่’ ได้ สรุปก็คือพวกเขาต่างก็ปล่อยให้โชควาสนาตระกูลเซียนที่ใหญ่ขนาดนั้นต้องเสียเปล่า ผู้ฝึกตนเซียนดินของ อุตรกุรุทวีปหลายคนต่างก็รู้สึกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นตนที่ได้เป็นนักพรตโง่เง่าคนใด ก็ตามบนยอดเขาพาตี้ ป่านนี้ก็คงเดินขึ้นสวรรค์ในวันเดียว กลายเป็นห้าขอบเขตบนโดยตรงไปนานแล้ว

ดังนั้นยอดเขาพาตี้คือสถานที่แห่งการฝึกตนที่ทำให้คนไม่เข้าใจอย่างยิ่ง ปราณวิญญาณและฮวงจุ้ยล้วนไม่ได้ดีที่สุด ลูกศิษย์ผู้สืบทอดและลูกศิษย์ของเหล่า ผู้สืบทอดทั้งหลายที่อยู่บนภูเขา ส่วนใหญ่ไม่ว่าจะมองอย่างไรมหามรรคาก็เลือนราง ดังนั้นแม้ว่านักพรตเหล่านี้จะมีลำดับศักดิ์สูงมาก

แต่ในบรรดาสายของฮว่อหลิงเจินเหริน อันที่จริงก็เหลืออยู่แค่ลำดับศักดิ์ที่สูงเท่านั้น อีกทั้งยอดเขาพาตี้ยังไม่คบค้าสมาคมกับยอดเขาอื่นๆ มากเกินความจำเป็น บวกกับที่ฮว่อหลิงเจินเหรินมักจะปิดด่าน…หรือก็คือนอนหลับเป็นประจำ ผู้ฝึกตนหลายคนของสายไท่เสียป๋ายอวิ๋นจึงไม่มีเหตุผลให้ไปใกล้ยอดเขาพาตี้ ดังนั้นพวกเขาจึงทั้งไม่คุ้นเคย แล้วก็ไม่ถือว่าสนิทสนมกับเหล่าบรรพจารย์อา บรรพจารย์ลุงทั้งหลายเหล่านั้น

ส่วนประวัติความเป็นมาของชื่อยอดเขาพาตี้ (หมอบอยู่กับพื้น/นอนคว่ำอยู่กับพื้น) ผู้คนต่างพูดกันไปหลากหลาย

คำกล่าวที่มหัศจรรย์ที่สุดอย่างหนึ่งก็คือ ในแถบของยอดเขาพาตี้เคยมีเจียวดุร้ายที่ระดับขอบเขตสูงอย่างถึงที่สุดซ่อนตัวอยู่หลายตัว หลังจากที่ฮว่อหลงเจินจวิน ผ่านทางมาเห็นเข้า อาจเพราะเห็นแล้วขวางหูขวางตา ก็เลยถูกเจินเหรินผู้เฒ่า ไล่กระทืบไปทีละตัว ไม่เพียงเท่านี้ หลังจากที่เจียวร้ายถูกกระทืบจนนอนแบนติดพื้นแล้ว ก็ไม่มีเจียวหลงตัวใดกล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หลังจากที่เจินเหรินผู้เฒ่าตัดสินใจว่าจะสร้างกระท่อมอยู่ที่นั่นก็ได้ให้เหล่าลูกศิษย์ร่ายวิชาอภินิหาร ย้ายดิน มาจากภูเขาแร้นแค้นห่างไกล เจียวร้ายเหล่านั้นจึงกลายมาเป็นเส้นสายภูเขาที่แน่นิ่งไม่ขยับเขยื้อน ว่ากันว่าอย่างน้อยที่สุดประวัติความเป็นมาของยอดเขาจื่อจ้าว หนันหัวและยอดเขาฝูเหยาก็เกี่ยวข้องกับ ‘เส้นสายมังกร’ ของแท้อย่างแน่นอน

ส่วนข้อที่ว่าสรุปแล้วปีนั้นเจินเหรินผู้เฒ่ากระทืบเจียวชั่วให้นอนหมอบติดพื้นไป กี่ตัวกันแน่ สวรรค์เท่านั้นที่รู้ได้

หรงช่างยิ้มกล่าว “เจินเหรินผู้เฒ่ายังไม่กลับมาหรือ?”

กู้โม่พูดด้วยน้ำเสียงเสียใจเล็กน้อย “ยังเลย หากบรรพจารย์อยู่บนภูเขาด้วย อาจารย์ของข้าต้องไม่มีทางจากโลกนี้ไปแน่”

หรงช่างถอนหายใจหนึ่งที

คำพูดบางอย่างเขาไม่อาจพูดมากได้

ยกตัวอย่างเช่นคำว่าเป็นตายล้วนขึ้นอยู่กับชะตาลิขิต

เมื่อเดินมาถึงระดับความสูงเฉกเช่นเซียนซือผู้เฒ่าอย่างฮว่อหลิงเจินเหรินจริงๆ ความเมตตาปราณีของเขาอาจไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตนอย่างเราๆ สามารถทำความเข้าใจได้เสมอไป

แต่หรงช่างรู้สึกเคารพนับถือฮว่อหลงเจินเหรินจากใจจริง

ลี่ไฉ่ผู้เป็นอาจารย์ก็ยิ่งเป็นเช่นนั้น

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก อาศัยสามประโยคของฮว่อหลงเจินเหริน

‘พวกเรามาจากโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา ก็ควรต้องลงไปยังโลกมนุษย์ด้านล่างภูเขา การขึ้นเขานั้นอาศัยการเดิน ลงจากเขาทะยานลม บนเส้นทางของการฝึกตน ยากจะแสวงหาวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ เมื่อกลายเป็นเทพเซียน ก็ทำเรื่องเล็กๆ ได้ง่าย’

‘แต่หากมีใครที่สามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของฟ้าดิน ขึ้นไปมองยังจุดที่อยู่สูงที่สุดได้จริง แน่นอนว่าก็เป็นเรื่องดีเหมือนกัน ในอุตรกุรุทวีปสามารถมีผู้ฝึกตน ที่เป็นเช่นนี้ได้มากหน่อย’

‘อย่าให้ชื่อเสียงที่ว่าเป็นทวีปอันดับหนึ่งนอกเหนือจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางมีอยู่แค่บนกระบี่เท่านั้น ฆ่ากันไปฆ่ากันมาไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริง ข้าผู้เป็นนักพรตยกมือตบแค่ไม่กี่ทีก็สามารถตบให้พวกเจ้าตายได้แล้ว’

เรือนอักษรตัวเทียนของโรงเตี๊ยมนกกระเต็น

หลังจากคลื่นมรสุมผ่านไป ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ

กลิ่นหอมของดอกบัวโชยมาเป็นระลอก ใบบัวส่ายไหวไปตามสายลม

เฉินผิงอันและฉีจิ่งหลงนั่งอยู่บนม้านั่งยาวตัวเดียวกัน ส่วนสุยจิ่งเฉิงนั่งอยู่ บนม้านั่งอีกตัวที่อยู่ด้านข้าง

ฉีจิ่งหลงเอ่ยว่า “เลื่อนเป็นขอบเขตสามแล้ว ยินดีด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงเป็นประกายวาบ

เพิ่งจะขอบเขตสาม?

นางลุกขึ้นยืน เดินมานั่งอยู่ข้างบ่อดอกบัว แล้วเด็ดใบบัวอีกใบหนึ่งมา ก่อนกลับมานั่งที่ม้านั่งตัวยาว

เฉินผิงอันและฉีจิ่งหลงต่างก็เงียบงัน เพียงแต่มองไปยังสระบัวเงียบๆ

เฉินผิงอันพลันถามว่า “ยวนยางจิ่นซิ่วคู่นั้นมาจากสวนน้ำค้างวสันต์หรือ?”

ฉีจิ่งหลงไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม เขาโน้มตัวไปข้างหน้า ชำเลืองตามองสุยจิ่งเฉิง

สตรีผู้นั้นมีสีหน้านับถือ คงจะนับถือที่ผู้อาวุโสของนางมีความรู้กว้างขวางกระมัง?

แต่ไม่นานฉีจิ่งหลงก็ยืดตัวกลับมานั่งตัวตรงอีกครั้ง ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจพูดกับเฉินผิงอันด้วยน้ำเสียงสงสัย “ก่อนหน้านี้ไม่รู้สึกอะไร แต่ตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึก แล้วว่าเรื่องที่หรงช่างเป็นกังวลนั้น มีเหตุผลจริงๆ”

เลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสาม เฉินผิงอันก็พอจะสามารถใช้ริ้วคลื่น ในหัวใจโต้ตอบได้แล้ว เขาพูดเสียงกลั้วหัวเราะว่า “ไม่คิดเรื่องพวกนี้แล้ว รอให้ บรรพจารย์ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงมาถึงก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “เซียนกระบี่หญิงผู้นั้นมีนามว่าลี่ไฉ่ นิสัยไม่เลวร้าย แต่ความ เจ้าอารมณ์นั้น…”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “สามารถเป็นเพื่อนสนิทกับไท่เสียหยวนจวินได้ อีกทั้งไท่เสียหยวนจวินยังเป็นผู้อบรมสั่งสอนลูกศิษย์อย่างกู้โม่นี้ ข้าก็พอจะแน่ใจบ้าง แล้วล่ะ”

ฉีจิ่งหลงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

สุยจิ่งเฉิงไม่อยากให้ตัวเองต้องกลายเป็นคนนอก นางจึงพยายามหาเรื่องชวนคุย “ท่านหลิว ก่อนหน้านี้ท่านบอกว่าเหตุผลไม่ได้อยู่บนหมัด แต่ท่านก็ยังใช้ตบะเอาชนะหรงช่างอยู่ดีไม่ใช่หรือ สุดท้ายยังยกสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาพูดถึงด้วย?”

เฉินผิงอันกับฉีจิ่งหลงหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

ต่างก็ไม่มีใครเปิดปากพูด

สุยจิ่งเฉิงรู้สึกอับอายระคนโกรธเคืองเล็กน้อย ทำไม มีแค่ตนเท่านั้นหรือที่เป็น คนโง่ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง?

แล้วนางก็รู้สึกน้อยใจนิดๆ จึงก้มหน้าลง บิดใบบัวที่อยู่ในมือเบาๆ

ก่อนหน้านี้เวลานางไม่เข้าใจเรื่องอะไร ผู้อาวุโสก็มักจะช่วยอธิบายให้นางฟัง แล้วดูสิ ตอนนี้ได้เจอกับฉีจิ่งหลงแล้ว ก็เลยไม่ยินดีจะอธิบายอะไรให้นางฟังอีกแล้ว

ยังดีที่เฉินผิงอันได้พูดพร้อมรอยยิ้มขึ้นมาก่อนแล้วว่า “เหตุผลเหล่านั้นของ ท่านหลิว อันที่จริงเป็นการพูดให้กับคนทั้งสายไท่เสียฟัง หรือถึงขั้นสามารถพูดให้ ฮว่อหลิงเจินเหริน เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นฟังได้ด้วย”

สุยจิ่งเฉิงเงยหน้าขึ้น คำอธิบายนี้ นางยังพอจะฟังเข้าใจอยู่บ้าง “ดังนั้นพอ หรงช่างบอกว่าอาจารย์ของเขาจะมา ท่านหลิวจึงพูดถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยของตัวเอง อันที่จริงก็เป็นการพูดให้เซียนกระบี่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงผู้นั้นฟัง? หรงช่างจะได้นำความนี้ไปบอกต่อ ทำให้เซียนกระบี่ท่านนั้นเกิดใจกริ่งเกรง?”

ครู่หนึ่งต่อมา สุยจิ่งเฉิงก็ถามหยั่งเชิงว่า “นั่นก็แสดงว่า คำว่ากฎเกณฑ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ท่านหลิวเอ่ยถึง ก็คือต่อให้จะเป็นช่วงเวลาที่สามารถฆ่าคนได้ แต่กฎเกณฑ์นั้น ก็ยังสามารถทำให้คนที่หมัดแข็งเกิดใจกริ่งเกรงได้? ดังนั้นนี่จึงทำให้คนที่หมัด ไม่แข็งพอ สามารถพูดได้มากขึ้น? หรืออาจถึงขั้นที่ว่า ต่อให้จะไม่ต้องพูดอะไร ก็ถือว่าเป็นเหตุผลแล้ว? เพียงแต่ว่าหากศักยภาพต่างกันมากเกินไป จะลงมือหรือไม่ สุดท้ายแล้วก็ยังอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามอยู่ดี?”

ดวงตาของสุยจิ่งเฉิงเป็นประกาย พูดต่อไปว่า “แล้วนี่ก็เท่ากับเป็นการพิสูจน์คำกล่าวของผู้อาวุโสที่บอกว่า ‘อย่างน้อยๆ ที่สุดก็มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งเพิ่มขึ้นมา’ ด้วยใช่หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่พูดถึงกรณีเดี่ยวๆ พูดถึงแค่สถานการณ์ส่วนใหญ่ ในตรอกซอกซอยของหมู่ชาวบ้านร้านตลาด เหตุใดพวกคนที่เรือนกายแข็งแกร่ง เปี่ยมพละกำลังถึงได้ไม่กล้าบุกไปปล้นชิงผู้อื่น? พวกลูกหลานคนรวยที่นิสัยเสเพลในราชวงศ์โลกมนุษย์ก็ยังต้องแอบทำความเลวอย่างหลบๆ ซ่อนๆ? เหตุใดผู้ฝึกตนลงจากภูเขามาแล้วสามารถทำตามใจปรารถนา กวาดเอาทรัพย์สินเงินทองของเศรษฐี ในเมืองแห่งหนึ่งไปจนเกลี้ยง แล้วยังฆ่าคนทั้งตระกูล?

เหตุใดข้าที่มีตบะของก่อกำเนิดถึงได้กล้าลากท่านเฉินของเจ้าให้มารอคอยต้อนรับการมาถึงของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งด้วยกัน? เพราะฉะนั้นถึงได้บอกว่า หมัดแข็งนั้นร้ายกาจมาก คำกล่าวนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับความหมายที่ดีหรือเลว แต่หากสามารถพันธนาการหมัดได้ แน่นอนว่าย่อมร้ายกาจยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “ระวังการเลือกใช้คำสักหน่อย”

สุยจิ่งเฉิงยิ้มบางๆ

ฉีจิ่งหลงลังเลเล็กน้อย ก่อนมองไปทางสระดอกบัว “แต่จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือกฎเกณฑ์ของสถานที่ที่มีกฎเกณฑ์ ในสถานที่ที่ไร้กฎหมายกลับใช้ไม่ได้ผล แต่ว่าวิถีทางโลกมักจะต้องเดินไปข้างหน้าเสมอ กวาดตามองประวัติศาสตร์ที่ผ่านๆ มา รวมไปถึงดูจากสถานการณ์ในปัจจุบัน ยังจำเป็นต้องเปลี่ยนจากไร้กฎเกณฑ์เดินไปจนมีกฎเกณฑ์ จากนั้นทุกคนก็ร่วมแรงร่วมใจกัน ทำภายนอกที่อาจจะไม่ถูกต้องทุกจุดเสมอไปให้กลายมามีกฎเกณฑ์ กลายมาเป็นขั้นตอนที่ดีบนภูเขา เป็นกฎหมายที่ดี ตอนลงจากภูเขา โลกมนุษย์ค่อยๆ เปลี่ยนจากการใช้เหตุผลไปเป็นมีเหตุผล ในขอบเขตกว้างๆ พยายามทำให้คนจำนวนมากกว่าเดิมได้รับผลประโยชน์ บางที อาจไม่ต้องถูกพันธนาการอยู่กับสามลัทธิร้อยสำนัก ค้นหาสภาพการณ์และขอบเขต ที่สมดุลอย่างหนึ่ง สุดท้ายทุกคนก็พากันเดินออกมาจาก…”

เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ยังไม่ต้องพูดเรื่องพวกนี้”

ฉีจิ่งหลงจึงหยุดพูด

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “สภาพจิตใจของกู้โม่ผู้นั้น นับว่าหาได้ยากและล้ำค่านัก”

ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที “วิถีทางโลกต้องการผู้ฝึกตนบนภูเขาที่เป็นเช่นนี้จำนวนมาก แต่ก็ไม่อาจมีแค่ผู้ฝึกตนที่เป็นแบบนี้ได้เท่านั้น ดังนั้นได้พบเจอกับกู้โม่ พวกเราไม่ต้องรีบร้อน ยิ่งไม่ต้องไปเรียกร้องอะไรนาง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถูกต้อง”

สุยจิ่งเฉิงมองบุรุษทั้งสองแล้วแค่นเสียงดังหึในลำคอ ก่อนจะถือใบบัวลุกเดินขึ้นไปฝึกตนในห้อง

ข้าขวางหูขวางตาพวกเจ้านักใช่ไหม งั้นข้าไปเองก็ได้

เฉินผิงอันถาม “นี่คือ?”

ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างจนใจ “เจ้าเป็นยอดฝีมือ อย่ามาถามข้า”

เฉินผิงอันมึนงง “ยอดฝีมืออะไรกัน?”

ฉีจิ่งหลงกลับเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยแล้ว “จะพูดเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการฝึกตนของขอบเขตสามให้เจ้าฟังดีไหม?”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองกาเหล้าในมือของเขา “ไม่กินก็เสียเปล่า คืนข้ามา นั่นมันเหล้าหมักของเซียนที่ต้องจ่ายตั้งหลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะเชียวนะ”

ฉีจิ่งหลงพูดอย่างฉุนๆ ปนขำ “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่ามันเป็นเหล้าหมักข้าวเหนียว? ลืมไปแล้วหรือว่าข้ามีชาติกำเนิดมาจากหมู่ชาวบ้าน? ต่อให้ไม่เคยดื่ม แต่จะไม่เคยเห็นด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าคงหยิบผิดอัน”

ทางฝั่งของห้องแห่งนั้น สุยจิ่งเฉิงที่จงใจชะลอฝีเท้าให้ช้าลงรีบก้าวเร็วๆ ข้าม ธรณีประตู สุดท้ายก็กระแทกประตูปิดหนักๆ เสียงดังสนั่นสะเทือนฟ้า

ฉีจิ่งหลงเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

เฉินผิงอันกล่าว “ความคิดของสตรี เจ้าเดาไม่ถูกหรอก”

ฉีจิ่งหลงอืมรับหนึ่งที “ถ้อยคำจากประสบการณ์ มีค่าดุจทองดุจหยก”

การพูดคุยกันหลังจากนั้น เฉินผิงอันก็ไม่เรียกอีกฝ่ายว่าท่านหลิวอีกแล้ว แต่ใช้ชื่อ ‘ฉีจิ่งหลง’ แทน

“ฉีจิ่งหลง เจ้ามีสตรีที่ชื่นชอบหรือไม่?”

“ไม่มี”

“น่าสงสารนัก”

“…”

“ขนาดนี้แล้วยังไม่ดื่มเหล้าอีกหรือ? เจ้าเป็นคนที่อายุเกือบจะร้อยปีแล้ว ยังไม่มีสตรีที่ชอบอีกหรือ”

“หุบปาก”

“ข้าจะเปลี่ยนเป็นเหล้าหมักตระกูลเซียนจริงๆ ให้เจ้าดีไหม?”

“เฉินผิงอัน หากข้าดื่ม เจ้าจะช่วยเปลี่ยนหัวข้อคุยได้ไหม?”

“…”

ฉีจิ่งหลงเริ่มกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่โดยไม่ต้องให้เฉินผิงอันพูดโน้มน้าว

“ฉีจิ่งหลง พวกเราดื่มไปคุยไปดีไหม? เจ้าเองก็หน้าตาไม่เลว อีกทั้งตบะยังสูง แม่นางที่ชอบเจ้าต้องมีไม่น้อยแน่นอน”

“ไสหัวไป!”

……

หลายวันมานี้โรงเตี๊ยมของท่าเรือหัวมังกรยังคงอยู่เป็นสุขปลอดภัยดี

ก็แค่แขกที่เข้ามาพักเริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคำว่าคนเยอะก็วุ่นวาย

เพราะได้ยินมาว่านักพรตหญิงของฝ่ายฮว่อหลิงเจินเหรินปรากฏตัว อีกทั้งยังมีเซียนกระบี่ที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่งติดตามมาด้วย

พลังอำนาจที่บุกมาดุดันน่าครั่นคร้าม สุดท้ายก็มาคุมเชิงอยู่กับคนอีกกลุ่มหนึ่ง

แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้ต่อสู้กัน แล้วก็โชคดีที่ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น

และนี่ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ฝึกตนของแต่ละฝ่ายกล้ามาชมความครึกครื้นที่โรงเตี๊ยม ไม่อย่างนั้นจะไม่เท่ากับว่าตัวเองรนหาที่ตายหรือไร?

เฉินผิงอันขอความรู้เรื่องกุญแจสำคัญเกี่ยวกับการฝึกตนของห้าขอบเขตล่างจาก ฉีจิ่งหลงหลายเรื่อง

แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงย่อมพูดทุกอย่างที่รู้โดยไม่มีปิดบัง

ส่วนเรื่องของสายยันต์นั้น คนทั้งสองต่างก็มีคำกล่าวที่คล้ายคลึงกันไม่น้อย

แต่ว่าทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ถ่ายทอดวิชาลับการวาดยันต์ของแต่ละคน

หาใช่ว่าไม่ยินดี

แต่เป็นเพราะไม่อาจทำได้

ยกตัวอย่างเช่นยันต์รอยหิมะของตำหนักขวานผีที่เฉินผิงอันวาดไว้บนผนังก่อนหน้านี้ และยันต์ค่ายกลพันธนาการที่ฉีจิ่งหลงสร้างขึ้นอย่างง่ายๆ

แต่ในเมื่อมหามรรคาเชื่อมโยงถึงกัน ในเรื่องสายของยันต์นี้ ยามที่พูดคุยกันจึงต่างก็ได้รับผลประโยชน์ เมื่อเทียบกับการเรียนยันต์บางประเภทอย่างเป็นรูปธรรมแล้วกลับยิ่งเป็นผลดีต่อการฝึกตนมากกว่า

แน่นอนว่าฉีจิ่งหลงนั้นถือว่าเป็นยอดฝีมือของเส้นทางนี้มานานแล้ว ส่วนใหญ่จึงเป็นเขาที่ช่วยไขข้อข้องใจให้เฉินผิงอันมากกว่า

เมื่อฉีจิ่งหลงรู้ว่าในชายแขนเสื้อทั้งสองข้างของเฉินผิงอันซ่อนยันต์กระดาษสีเหลืองไว้สามร้อยกว่าแผ่น เขาก็รู้สึกกระอักกระอ่วนพูดไม่ออกไปพักใหญ่

เจ้าเฉินผิงอันคิดว่าตัวเองเป็นร้านแผงลอยเล็กๆ ที่ขายยันต์หรืออย่างไร?

เกี่ยวกับเรื่องการลอบฆ่าของนักฆ่าบนภูเขาเกอลู่

ฉีจิ่งหลงวิจารณ์ด้วยประโยคเดียวว่า “อันตรายอย่างใหญ่หลวง”

แต่เมื่อเฉินผิงอันหยิบเอาของเชลยศึกที่สุยจิ่งเฉิงกวาดค้นมาได้ออกมา ฉีจิ่งหลงก็แค่ประเมินราคาคร่าวๆ ให้กับพวกวัตถุอย่างเสื้อเกราะน้ำค้างหวานและธนูคันใหญ่เท่านั้น มีเพียงดาบสั้นสองเล่มที่สลักคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ กับ ‘แสงสายัณห์’ ที่เขาอดไม่ไหวพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “มือดีขนาดนี้เชียวหรือ?”

เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก

หาใช่ว่าฉีจิ่งหลงรู้เรื่องวงในของภูเขาเกอลู่ และเขาก็ยิ่งไม่รู้จักผู้ฝึกตนหญิงคนนั้น

แต่เป็นเพราะฉีจิ่งหลงเคยเปิดเจอเรื่องของดาบสั้นคู่นี้ในตำราโบราณตระกูลเซียน เล่มหนึ่ง พวกมันมีประวัติศาสตร์ยาวนาน สตรีนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ผู้นั้นก็แค่โชคดี ถึงได้ครอบครองอาวุธตระกูลเซียนที่หายสาบสูญไปนานคู่นี้ เพียงแต่โชคของนาง ก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร เพราะนางไม่อาจเข้าใจการหล่อหลอมและการนำดาบคู่มาใช้ได้อย่างถึงแก่น ดังนั้นฉีจิ่งหลงจึงเล่าสิ่งที่ตัวเองอ่านเจอจากในตำราให้เฉินผิงอันฟัง อย่างละเอียด

สุยจิ่งเฉิงที่อยู่ด้านข้างใบหน้าเปื้อนยิ้ม

ภายหลังกู้โม่กับหรงช่างก็ทยอยกันแวะมาเยือนเรือนสระบัวหนึ่งครั้ง หรงช่าง มาพูดถึงเรื่องวิถีกระบี่กับฉีจิ่งหลง

ส่วนกู้โม่กลับถามถึงเรื่องเล่าลือบางอย่างจากฉีจิ่งหลงว่าเป็นจริงหรือเท็จ ยกตัวอย่างเช่นเจ้าฉีจิ่งหลงเคยสังหารปีศาจก่อกำเนิดตนหนึ่งตอนที่ตัวเองเป็นขอบเขตโอสถทองจริงหรือ? เจ้าฉีจิ่งหลงชอบพอกับเทพธิดาหลูของภูเขาสุ่ยจิง จริงหรือไม่? ฉีจิ่งหลงไล่ตอบไปทีละคำถามอย่างไม่คิดหลบเลี่ยง กู้โม่ได้รับคำตอบของทุกเรื่องที่ต้องการแล้วก็ทั้งพึงพอใจ แล้วก็ทั้งผิดหวังนิดๆ ด้วยรู้สึกว่าสายตาของ ศิษย์พี่หญิงทั้งหลายไม่ค่อยดีเท่าไร เหตุใดถึงได้ชื่นชอบผู้ฝึกตนสำนักกระบี่ไท่ฮุย ที่น่าเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุดผู้นี้กันนะ

เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงกำลังนั่งแทะเมล็ดแตงดูเรื่องสนุกอยู่บนม้านั่งตัวยาว

ตอนที่กู้โม่เอ่ยถาม พอได้ยินคำว่าเทพธิดาหลู เฉินผิงอันกับสุยจิ่งเฉิงก็หันมา มองหน้ากัน

พอกู้โม่จากไปแล้ว สุยจิ่งเฉิงสังเกตเห็นว่าผู้อาวุโสขยิบตาให้ตน นางก็เข้าใจ ได้โดยพลัน รีบหยุดแทะเมล็ดแตง ปัดมือ เตรียมจะถามฉีจิ่งหลงให้กระจ่างชัดกันไป ถึงอย่างไรตัวนางก็สงสัยอยู่แล้วว่าผู้ฝึกตนหญิงของภูเขาสุ่ยจิงคนนั้นสวยหรือไม่ ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ไม่ว่าจะเป็นกู้โม่ก็ดี หรือผู้ฝึกตนหญิงบนเรือแจว สองคนนั้นก็ช่าง ต่างก็ไม่มีใครสู้นางได้

ผลคือฉีจิ่งหลงที่นั่งอยู่ที่เดิมได้หลับตาลงแล้ว และเอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะฝึกตนแล้ว”

ผ่านไปอีกประมาณสิบวัน ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันพอจะสร้างความมั่นคงให้กับภาพปรากฎการณ์ของขอบเขตสามได้แล้ว

ไม่มีแสงกระบี่ทะยานดุจสายรุ้ง ไม่มีความเคลื่อนไหวอันน่าตกตะลึงดุจฟ้าร้องแผ่นดินสะเทือนใดๆ

ฝั่งตรงข้ามของสระบัว มีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งปรากฎกายอย่างเงียบเชียบ ตรงเอวของนางพกกระบี่

ฉีจิ่งหลงที่หลายวันมานี้นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาวลืมตาขึ้น เฉินผิงอันที่เดิมทีกำลัง คัดคัมภีร์อยู่ในห้องก็วางพู่กันลง เดินออกมาจากห้อง

ฉีจิ่งหลงลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “คารวะเซียนกระบี่ลี่”

ลี่ไฉ่โบกมือ “หรงช่างใช้กระบี่บินส่งข่าวมาบอกข้าแล้ว ข้าจึงพอจะรู้สถานการณ์โดยรวมคร่าวๆ แล้ว นังหนูที่ชื่อสุยจิ่งเฉิงคนนั้นล่ะ? สุดท้ายควรจะทำอย่างไร ควรจะขอบคุณพวกเจ้าหรือตีพวกเจ้า ข้าจะคุยกับนางให้รู้เรื่องก่อนค่อยว่ากัน”

ลี่ไฉ่ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าวก็ข้ามผ่านฉีจิ่งหลงและม้านั่งตัวยาวมา “เจ้าถึงขนาดกล้ายกสำนักกระบี่ไท่ฮุยมาข่มขู่ข้า เจ้าฉีจิ่งหลงตัวดี”

ฉีจิ่งหลงยิ้มกล่าว “เมื่อใดที่ข้าได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ เซียนกระบี่ลี่ ก็สามารถประลองกระบี่กับข้าตามกฎระเบียบได้แล้ว”

ลี่ไฉ่ยิ้มเอ่ย “เจ้ารอได้เลย แต่เจ้าเองก็ต้องรีบหน่อย เพราะอีกไม่นานข้าก็ต้องออกไปจากอุตรกุรุทวีปแล้ว เรื่องของการสังหารปีศาจบนหัวกำแพง ส่วนของหลี่อวี๋ ข้าจะช่วยชดเชยให้นางเอง”

ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “มีโอกาส”

ลี่ไฉ่หันหน้ามาจุ๊ปากเอ่ย “ต่างก็พูดกันว่าเจ้าเป็นคนพูดจาเหมือนหญิงแก่ที่ใช้ ผ้ารัดพันเท้า ข่าวลือบนภูเขาเชื่อถือไม่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ? ตบะเช่นนี้ของเจ้า บวกกับนิสัยแบบนี้ หากอยู่ในทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของข้าต้องสามารถช่วงชิงตำแหน่งเจ้าสำนักคนถัดไปได้แน่นอน”

ฉีจิ่งหลงหมุนตัวหันไปมองเฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใกล้กับห้องแห่งหนึ่ง

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ

ลี่ไฉ่หยุดเดิน มองคนหนุ่มชุดเขียวที่ยืนอยู่ห่างไปไม่ไกลคนนั้น “เจ้าก็คือเฉินผิงอัน?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่รู้ชื่อข้าได้อย่างไร?”

ลี่ไฉ่คิดแล้วก็ให้คำตอบที่ไร้มโนธรรมอย่างยิ่งว่า “เดาเอา”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามให้มากความ เพียงแค่เบี่ยงตัวเปิดทางให้นาง

ลี่ไฉ่เดินก้าวเข้าไปในห้อง

โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา

สุยจิ่งเฉิงกำลังนอนหลับสนิท

นางนั่งลงบนหัวเตียงเบาๆ มองใบหน้าที่ค่อนข้างจะแปลกตานั้น

ลี่ไฉ่หัวเราะ แล้วพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “หน้าตางดงามกว่าเดิมเยอะเลย”

นางถอนหายใจหนึ่งที “ก็แค่ต้องยากลำบากกว่าเดิม แม่หนูน้อย ไม่เสียแรงที่ เจ้าคือลูกศิษย์ที่อาจารย์ชื่นชอบมากที่สุด ไม่ใช่คนบ้านเดียวกันไม่เข้าประตู บานเดียวกัน พวกเราน่ะ ต่างก็มีชะตาชีวิตรันทดไม่ต่างกันเลย”

จากนั้นนางก็สบถด่าคล้ายจะขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้าเจียงซ่างเจินปากเสีย!”

นางงอนิ้วสองข้างเคาะลงบนหน้าผากของสุยจิ่งเฉิงเบาๆ “ขนาดปิดด่านแล้วก็ยังทำให้อาจารย์ขายหน้าได้!”

สุยจิ่งเฉิงสะดุ้งตื่น นางพบว่าสตรีพกกระบี่คนหนึ่งกำลังจุดตะเกียง จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้ หันหน้ามาทางตน

ลี่ไฉ่กล่าว “ไม่ต้องกลัว เจ้าแค่เล่าสิ่งที่พบเจอมาตลอดระยะเวลาที่อยู่ใน ตระกูลสุยแคว้นอู่หลิงให้ข้าฟังก็พอ”

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา

ลี่ไฉ่ก็พาสุยจิ่งเฉิงที่มีสีหน้ามึนๆ งงๆ เดินออกมาจากห้อง

ลี่ไฉ่พูดกับคนหนุ่มชุดเขียวคนนั้นว่า “เฉินผิงอัน หลังจากนี้สุยจิ่งเฉิงสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในแจกันสมบัติทวีปได้ต่อ แต่ก็ต้องมีขีดกำจัด ไม่ว่านางจะรับใครเป็นอาจารย์ เจ้าก็ดี คนอื่นก็ช่าง ล้วนเป็นได้แค่ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเท่านั้น ไม่สามารถใส่ชื่อลงไปในทำเนียบศาลบรรพจารย์ได้ แล้วเมื่อไหร่ที่สติปัญญาของ สุยจิ่งเฉิงเปิดออกด้วยตัวเอง ขอแค่ถึงวันนั้น ตัวนางถึงจะสามารถตัดสินใจได้ ด้วยตัวเองว่าจะถูกเขียนชื่อลงไปในศาลบรรพจารย์ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิง หรือจะจุดธูปกราบไหว้ศาลบรรพจารย์ของสถานที่แห่งอื่น ช่วงเวลาระหว่างนี้ ข้าจะไม่บังคับควบคุมนาง เจ้าเองก็ไม่สามารถสร้างผลกระทบต่อจิตใจนางไปได้มากกว่านี้ นอกจากเจ้าแล้ว คนอื่นล้วนทำได้ ส่วนหรงช่างนั้น เขาจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาของนาง จะติดตามพวกเจ้าไปแจกันสมบัติทวีปด้วย”

เฉินผิงอันกำลังจะถามให้แน่ใจว่า คำว่าส่งผลกระทบทางจิตใจนั้นต้องเป็นแบบใดถึงจะถูก ‘บันทึกลงบัญชี’ อย่างเป็นรูปธรรม

ลี่ไฉ่ที่ไฟโทสะผุดขึ้นในใจเรียบร้อยกลับสะบัดชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ช่างเถิด สรุปก็คือขอแค่พวกเจ้าไม่พลิกผ้าห่มกัน อย่างอื่นจะทำอะไรก็ตามใจ”

พูดจบลี่ไฉ่ก็ขี่กระบี่กลายร่างเป็นสายรุ้งจากไปไกลทันที ความเคลื่อนไหวนั้น ไม่ใช่น้อยๆ ดูท่าสาเหตุน่าจะเป็นเพราะอารมณ์ไม่ค่อยดี

สองแก้มของสุยจิ่งเฉิงแดงก่ำ นางก้มหน้าลง หมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในห้อง

ฉีจิ่งหลงกลั้นยิ้ม

เฉินผิงอันถอนหายใจเฮือก

บนหัวกำแพง เนื่องจากอาจารย์ปรากฏตัว หรงช่างจึงไม่กล้าลุกขึ้นยืน ได้แต่นั่งอยู่ตรงนั้น

กู้โม่ก็นั่งตามเขาไปด้วย เวลานี้นางพูดเหมือนราดน้ำมันลงบนกองไฟว่า “เซียนกระบี่หรง อะไรคือพลิกผ้าห่มหรือ”

หรงช่างกลับอารมณ์ไม่เลวนัก เขาแสร้งทำเป็นพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน”

กู้โม่กับหรงช่างพากันจากไป

หลิวจิ่งหลงออกไปจากริมสระดอกบัว ไปเริ่มฝึกตนในห้องแห่งหนึ่งเป็นครั้งแรก

เฉินผิงอันเคาะประตูห้อง หลังจากที่สุยจิ่งเฉิงออกมาจากห้องแล้ว

คนทั้งสองก็มานั่งบนม้านั่งตัวยาว

สุยจิ่งเฉิงถามเบาๆ ว่า “สรุปแล้วข้าก็ยังคงสร้างปัญหาให้ท่านผู้อาวุโสอยู่ดี ใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะพูดความในใจบางอย่างกับเจ้าแล้วกัน?”

สุยจิ่งเฉิงอืมรับหนึ่งที

ก่อนหันหน้ามามองเขา

เฉินผิงอันพูดเนิบช้าว่า “หากเจ้าชอบใครสักคน ไม่ว่าขอบเขตของเขาจะสูงเท่าไร หรือจะเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่หากคนที่เจ้าชอบได้ชอบคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว นั่นจะไม่ใช่เรื่องที่ต้องเสียใจมากหรอกหรือ? เจ้าอาจจะพูดได้ว่า ไม่เป็นไร ชอบคนคนหนึ่งเป็นเรื่องของตัวข้าเอง ข้าอีกฝ่ายไม่ชอบข้า ขอแค่ได้มองดูเขาอยู่ไกลๆ ก็พอ

แต่ในความจริงแล้ว ปีนั้นข้าเองก็เคยคิดแบบนี้เหมือนกัน ดังนั้นใช่ว่า ข้าจะไม่เข้าใจ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับถูกผิด ดังนั้นจึงยากที่จะใช้เหตุผลมาอธิบาย หลังจากได้เดินทางอย่างยาวไกล ข้าเฉินผิงอันไม่ใช่คนตาบอด ยิ่งไม่ใช่เงาใต้โคมไฟ สำหรับความรู้สึกฉันท์ชายหญิงที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ต่อให้จะแค่กำลังแตกหน่อหรือแค่ มีสัญญาณเล็กๆ น้อยๆ ข้าก็ล้วนมองเห็นอยู่ในสายตา”

“สำหรับข้าแล้ว การที่ข้าบอกกับเจ้าว่าข้าไม่มีทางชอบเจ้า ไม่ใช่เป็นเพราะ ข้ากลัวว่าหากไม่บอกตัวเองอย่างนี้แล้วจะควบคิดจิตใจที่แล่นเตลิดของตัวเองเอาไว้ ไม่อยู่ ยิ่งไม่ได้จงใจจะให้เจ้ารู้สึกว่าข้าเป็นคนรักเดียวใจเดียว ในความเป็นจริงแล้ว ในเรื่องของความรู้สึกชายหญิง จิตใจของข้ามั่นคงมากที่สุด เพราะนี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้า เพิ่งจะเรียนรู้หลังจากฝึกวิชาหมัด ยิ่งไม่ใช่หลังจากฝึกบำเพ็ญตน แต่เป็นเพราะข้ารู้สึกมานานมากๆ แล้วว่า นี่เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน เจ้าต้องรู้ว่า หลักการเหตุผลหลายอย่างที่เดิมทีข้านึกว่าสมเหตุสมผลดีแล้ว ตอนนี้กลับกลายเป็นว่า มันเปลี่ยนไปเยอะมากโดยที่ข้าก็ไม่รู้ตัว มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่ไม่เคยเปลี่ยน ชอบคนคนหนึ่ง ก็จะชอบแค่นาง เท่านี้ก็เพียงพอมากๆ แล้ว”

สุยจิ่งเฉิงไม่ได้เอ่ยคำใด เพียงแค่มองเขาเงียบๆ

คนหนุ่มชุดเขียวผู้นั้นพูดเบาๆ ว่า “ขอโทษด้วย”

สุยจิ่งเฉิงเช็ดน้ำตา แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร สามารถชอบผู้อาวุโสที่ไม่มีทางชอบตน เมื่อเทียบกับชอบให้คนอื่นมาชอบตน ดูเหมือนว่าจะทำให้มีความสุขได้มากยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันส่ายหน้า แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรอีก

สุยจิ่งเฉิงยิ้มถามว่า “ผู้อาวุโสเพิ่งจะเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามหรือ?”

เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “แต่ข้าอายุน้อยกว่าเจ้านะ”

สุยจิ่งเฉิงใช้มือสองข้างยันไว้บนม้านั่งตัวยาว เหยียดขาสองข้างออกมาด้านหน้า โคลงศีรษะไปมา ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าไม่โกรธหรอก”

ฉีจิ่งหลงบอกว่าจะไปฝึกตน และอันที่จริงเขาก็กำลังฝึกตน แต่สำหรับบทสนทนาตรงริมสระดอกบัวนั้น กลับยังคงดังเข้าหูเขาไม่ขาดหายไปแม้แต่คำเดียว

ขอบเขตสูงก็ยุ่งยากอย่างนี้เอง

ฉีจิ่งหลงคิดแล้วก็รู้สึกว่าควรจะต้องขอความรู้จากเฉินผิงอันดีๆ สักครั้ง ต่อให้ต้องถูกอีกฝ่ายยุให้ดื่มเหล้าก็ได้แต่ต้องอดทน

สุยจิ่งเฉิงนั่งอยู่อีกครู่หนึ่งก็กลับเข้าห้องไปพักผ่อน

เฉินผิงอันที่อยู่ริมสระดอกบัวเริ่มสูดลมหายใจทำสมาธิ ตอนที่ฟ้าเริ่มสว่าง เขาก็ออกจากเรือนไปหากู้โม่ หลังจากที่เรื่องราวจบลงแล้ว เรื่องบางเรื่อง ถึงจะสามารถเปิดปากเอ่ยได้

หลังจากที่กู้โม่เปิดประตู คนทั้งสองก็นั่งลงบนโต๊ะหินในลานตรงข้ามกัน

เฉินผิงอันพูดเข้าประเด็นทันทีว่า “จางซานเฟิงเป็นเพื่อนของข้า เทพธิดากู้ รู้จักหรือไม่?”

กู้โม่พยักหน้ารับ “รู้จัก แต่ไม่สนิทเลย แค่ได้พบหน้ากันไม่มกี่ครั้ง หากนับตามลำดับศักดิ์แล้ว เขาถือว่าเป็นอาจารย์อาของข้า”

เฉินผิงอันผงกศีรษะ นี่ก็แสดงว่านักพรตเฒ่าที่ปรากฎตัวในตรอกของแถบแคว้นชิงหลวนก็น่าจะเป็นอาจารย์ของจางซานเฟิง ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ผิดแล้ว

เพราะลักษณะคร่าวๆ ของชุดคลุมลัทธิเต๋าที่คนทั้งสามซึ่งมีสามลำดับศักดิ์สวมใส่นั้นเหมือนกัน

แต่เฉินผิงอันกลับไม่ได้เอ่ยอะไรมาก หลังจากรู้ว่าตอนนี้ทั้งจางซานเฟิงและ ฮว่อหลิงเจินเหรินต่างก็ไม่อยู่บนยอดเขาพาตี้ จึงได้แต่ถามว่าวันหน้าหากผ่านไป สามารถขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนได้หรือไม่

กู้โม่ยิ้มกล่าว “ในเมื่อเจ้ารู้จักกับอาจารย์อาน้อยท่านนั้น แล้วจะมีอะไรที่ไม่ได้เล่า”

จากนั้นกู้โม่ก็เอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “เจ้าเมื่อเจ้าขึ้นไปบนภูเขาแล้วก็ไม่ต้องมาทักทายข้า ข้าไม่สนิทกับเจ้ามากยิ่งกว่า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไว้ค่อยว่ากัน”

กู้โม่ถลึงตาใส่ “พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องหญิงชอบเรื่องซุบซิบนินทา หากเจ้าทำแบบนี้ พวกนางคงเอาไปพูดกันได้หลายปี เจ้าห้ามทำร้ายข้าเด็ดขาด!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม แล้วจึงเอ่ยขอตัวลา

กู้โม่พลันเอ่ยว่า “เจ้ารู้จักอาจารย์อาน้อยของข้า แล้วทำไมไม่พูดตั้งแต่แรก บางทีอาจไม่มีเรื่องเข้าใจผิดพวกนั้นแล้วก็ได้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า ไม่ได้อธิบายอะไร

ปัญหาของสภาพจิตใจกู้โม่นั้น ฉีจิ่งหลงมองออก อันที่จริงเขาเฉินผิงอันก็พอจะมองเห็นเบาะแสได้อย่างเลือนราง

น้ำที่ติดขัดไม่สู้น้ำไหล

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ตอนนั้นที่อยู่บนทะเลเมฆ จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาทำได้ดีอย่างมาก

หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป กู้โม่ที่แน่ใจว่าเจ้าหมอนั่นจากไปไกลแล้วจริงๆ

นางถึงได้ยกมือขึ้นมาลูบหน้า

อาจารย์อาน้อยที่ชื่อว่าจางซานเฟิงผู้นั้น

ปีนั้นอาจารย์แค่เคยพูดกับนางเป็นการส่วนตัวเล็กน้อย บอกว่าท่านบรรพจารย์ปู่ก็เคยบอกความลับสวรรค์เล็กๆ น้อยๆ กับอาจารย์

ท่านบรรพจารย์ปู่พูดกับไท่เสียหยวนจวินเช่นนี้ ‘หากวันใดอาจารย์ไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ขอแค่ยังมีศิษย์น้องเล็กของเจ้าอยู่ เพียงแค่เขากระทืบเท้าง่ายๆ ยอดเขาพาตี้ก็จะยังคงเป็นยอดเขาพาตี้แห่งเดิมต่อไป พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลใจอะไรเลย’

……

ใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่มีวันเลิกรา

เฉินผิงอันต้องเดินทางขึ้นเหนือต่อ จากนั้นก็เลียบลำน้ำใหญ่สายนั้นขึ้นไป ทางตอนบน ลอดทะลุอุตรกุรุทวีปไป

ฉีจิ่งหลงบอกว่าอยากจะไปดูที่เมืองหลวงต้าจ้วนสักหน่อย

ตอนที่อยู่บนฝั่งของท่าเรือหัวมังกร กู้โม่กำลังหยอกล้อสุยจิ่งเฉิง ยุแยงสาวงามตระกูลสุยผู้นี้ บอกว่าถึงอย่างไรก็มีหรงช่างคอยปกป้องอยู่ข้างกายอยู่แล้ว ปลดหมวกคลุมหน้าออกเถอะ หน้าตางดงามขนาดนี้ เอาแต่ปกปิดอำพรางไว้จะไม่น่าเสียดายหรอกหรือ

แน่นอนว่าสุยจิ่งเฉิงไม่ได้สนใจ

หรงช่างเองก็ร่ายเวทอำพรางตา บดบังภาพปรากฎการณ์ของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่ง ระงับให้ตบะอยู่ใกล้กับผู้ฝึกตนโอสถทองทั่วไปเท่านั้น

ขอแค่ยังไม่ใช่เซียนกระบี่ ไม่ว่าจะท่องเที่ยวที่ใดในด้านล่างภูเขาของอุตรกุรุทวีป เจ้าก็ลองแปะป้ายขอบเขตของตัวเองไว้บนหน้าผากดูสิ? ตะพาบเฒ่าเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบหลายคนที่เวลาอยู่ว่างๆ ก็มักจะลงมาเตร็ดเตร่อยู่ด้านล่างภูเขา แล้วก็ชอบไล่ฆ่าผู้ฝึกตนก่อกำเนิดและพวกผู้ฝึกยุทธขอบเขตแปด เก้ามากที่สุด ไม่เพียงแต่เล่นงานอีกฝ่ายจนฉี่ราดอึราด ยังใช้คำพูดสวยหรูด้วยว่าข้าผู้อาวุโสช่วยเจ้าฝึกตน ก็ไม่ต้องขอบคุณข้า หากคิดจะขอบคุณจริงๆ ก็แค่ต้านรับกระบี่ของข้า เพิ่มอีกสักที ยอดฝีมือสารเลวที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งเช่นนี้ ไม่เพียงแต่มี ยังมีไม่น้อยด้วย

แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้กลายเป็นเซียนกระบี่แล้วก็ยังบอกได้ยากอยู่เหมือนกัน

เฉินผิงอันและฉีจิ่งหลงสาวเท้าเดินเล่นกันไปช้าๆ

สุยจิ่งเฉิงลังเลอยู่เล็กน้อย แต่ก็ยังเลือกตามไปห่างๆ

กู้โม่อยากจะตามนางไปด้วย ผลกลับถูกหรงช่างใช้เสียงในใจห้ามเอาไว้

คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป เฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูดคุย “ถือว่าเจ้านัดหมายกับเซียนกระบี่ลี่เรียบร้อยแล้ว รอให้เจ้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ นางก็คือหนึ่งในสามเซียนกระบี่ที่เจ้าจะประลองกระบี่ด้วย?”

ฉีจิ่งหลงตอบกลับด้วยเสียงกลั้วหัวเราะ “วางใจเถอะ หาใช่ข้าทำอะไร ตามอารมณ์ไม่ อีกอย่างปณิธานกระบี่ของทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็แตกต่างกับปณิธานกระบี่ของตัวข้าเองอย่างถึงที่สุด เอามาใช้ขัดเกลาคมกระบี่ ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมประเสริฐที่สุด ส่วนความอันตรายอะไรนั่น อยู่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเรา มีเซียนกระบี่ใหม่ คนใดที่จะมัวมากังวลกับเรื่องนี้บ้าง? อีกอย่างเจ้าเองก็อาจจะยังไม่รู้แน่ชัดนัก ในประวัติศาสตร์ การประลองกระบี่ในหลายๆ ครั้ง แท้จริงแล้วก็มีความหมายที่ลึกซึ้งของการถ่ายทอดมรรคาอย่างหนึ่งแฝงอยู่ภายในด้วย”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ยิ้มกล่าวว่า “บุคลิกอันองอาจของเซียนกระบี่อย่างพวกเจ้า ข้าเคารพนับถือมากจริงๆ”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวังว่าวันหนึ่งเจ้าจะไล่ตามข้าทัน ถึงเวลานั้นพวกเราค่อยไปท่องเที่ยวแผ่นดินกลางด้วยกัน?”

เฉินผิงอันตอบ “เป็นอย่างนี้ได้ย่อมดีที่สุด”

เฉินผิงอันหยุดเดิน เอ่ยว่า “ถ้าหาก ข้าพูดว่าถ้าหาก ในอนาคตมีวันหนึ่งเจ้าฉีจิ่งหลงเจอกับคนที่ไม่ใช่เหตุผล อีกทั้งขอบเขตยังสูงมาก ต่อสู้เก่งมาก จำเป็นต้องมีผู้ช่วย”

หยุดไปครู่หนึ่ง เฉินผิงอันก็เอ่ยด้วยสายตาเด็ดเดี่ยวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็สามารถ นับรวมข้าไปได้อีกคน!”

แล้วก็หยุดชะงักไปอีกครู่หนึ่ง ก่อนที่เฉินผิงอันจะคลี่ยิ้มกว้างสดใส “ข้าจะทำให้เขา รู้ว่าอะไรที่เรียกว่ากระบี่ที่เร็วที่สุดในใต้หล้า”

ฉีจิ่งหลงจุ๊ปากเอ่ย “เจ้ากล้าพูดต่อหน้าผู้ฝึกกระบี่ที่กำลังจะเลื่อนขั้นเป็น ห้าขอบเขตบนคนหนึ่งว่ากระบี่ของตัวเองเร็วงั้นรึ?”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ตอนนี้เจ้าอายุเท่าไร แล้วตอนนี้ข้าเพิ่งจะอายุเท่าไร”

ฉีจิ่งหลงรู้สึกจนใจเล็กน้อย “ฟังดูแล้วคล้ายจะมีเหตุผลอยู่มาก”

เฉินผิงอันตบไหล่อีกฝ่าย “อย่าได้ถือสาเลย นี่ข้าก็เพิ่งหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นที่สองสำเร็จไม่ใช่หรือ ก็เลยตัวลอยแบบนี้แหละ”

สุยจิ่งเฉิงหยุดเดิน ยืนอยู่ไม่ห่างไปไกล ถ้อยคำอำลามากมายที่นางอยากพูดออกมา ดูเหมือนว่าตอนนี้จะไม่ต้องพูดแล้ว

อีกอย่างนางรู้สึกว่า แม้ท่านหลิวจะมีขอบเขตสูงกว่า แต่กลับไม่องอาจสง่างามเท่าผู้อาวุโส

นางจึงหมุนตัวเดินจากไป

พอไปถึงจุดที่กู้โม่ยืนอยู่ กู้โม่ก็ใช้ไหล่กระทบไหล่สุยจิ่งเฉิงเบาๆ พร้อมกดเสียงต่ำพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงชอบเจ้าคนแซ่เฉินผู้นั้นละ เห็นๆ อยู่ว่าไม่ว่าเรื่องไหนเขาก็สู้ หลิวจิ่งหลงไม่ได้ เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่หน้าตาก็ยังแพ้ให้หลิวจิ่งหลงอยู่ดี ไม่ใช่หรือ?”

สุยจิ่งเฉิงชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง ไม่ได้เอ่ยอะไร แค่นินทาในใจไม่หยุด

เป็นแม่นางดีๆ คนหนึ่ง เหตุใดถึงได้ตาบอดแบบนี้นะ

จุดที่ห่างไปไกล

ฉีจิ่งหลงยื่นมือออกมา

เฉินผิงอันหยิบเหล้าออกมาสองกา พวกเขาถือไว้คนละกา หันหน้าเข้าหาลำคลองที่น้ำไหลลงสู่มหาสมุทร ต่างคนต่างจิบเหล้าคำเล็กๆ

เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบาว่า “อะไรคือผู้แข็งแกร่ง ข้ารู้สึกว่าก็คือความฝันที่ฝังอยู่ลึกในใจยามเป็นเด็ก คำพูดวางโต้ทุกคนที่พูดออกจากปากยามเป็นเด็กหนุ่ม ล้วนกลายเป็นจริงแล้ว ประสบความสำเร็จแล้ว อีกทั้งยังสามารถกลายเป็นเหมือนกับคนที่ตัวเองเคยเลื่อมใสมากที่สุดเรื่อยๆ ฉีจิ่งหลง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ไม่ต่างกัน”

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เจ้าก็ขาดแม่นางที่ชอบคนหนึ่งและการชอบ ดื่มเหล้าแล้ว”

ฉีจิ่งหลงไม่เอ่ยรับคำประโยคนี้ แต่ในที่สุดก็ตอบคำถามก่อนหน้านั้นที่เฉินผิงอันเคยถามเอาไว้ “หากมีศัตรูผู้แข็งแกร่งที่ตัวเองรับมือไม่ไหวจริงๆ ข้าจะเรียกเจ้า เฉินผิงอันมาช่วย แต่ก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดหรือไม่ก็ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าเสียก่อน ไม่อย่างนั้นเจ้าก็อย่ามาโทษหากข้าไม่เห็นเจ้าเป็นสหาย”

เฉินผิงอันยกมือขึ้น แบมือออก “คำไหนคำนั้น?”

ฉีจิ่งหลงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย เพราะไม่เคยมีประสบการณ์เช่นนี้มาก่อน ฝึกตนอยู่บนภูเขา ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นสภาพจิตใจที่นิ่งสงบสันโดษไม่รู้ร้อนหนาว แน่นอนว่าก็มีสหายที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน ทว่าส่วนใหญ่ล้วนเข้าใจกันได้โดยไม่ต้องเอื้อนเอ่ย

การกระทำที่มีกลิ่นอายของยุทธภพล่างภูเขาเช่นนี้ เขายังไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

แต่ฉีจิ่งหลงก็ยังยกมือขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ตีมืออีกฝ่ายหนักๆ “คำไหนคำนั้น!”

ตรงท่าเรือ คนสองคนที่ต่างก็ชอบใช้เหตุผล ต่างคนต่างมือหนึ่งหิ้วกาเหล้า อีกมือหนึ่งตีมือกัน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version