Skip to content

Sword of Coming 528

บทที่ 528 จิตไร้นิวรณ์ความเยือกเย็นย่อมบังเกิด

นักพรตสองคนหนึ่งแก่หนึ่งหนุ่มกำลังเดินอยู่ริมหนองน้ำใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ลมฤดูใบไม้ร่วงเยือกเย็น นักพรตเฒ่าบอกกับลูกศิษย์ว่าต้องการไป พบกับสหายเก่าคนหนึ่ง

คนหนุ่มผู้เป็นลูกศิษย์ก็ไม่ได้ถามว่าคนที่อีกฝ่ายจะไปพบเป็นใครกันแน่ ขอบเขตสูงหรือไม่ เพราะไม่มีความจำเป็น

ปีนั้นตอนที่ไปเยือนเกาะโดดเดี่ยวนอกมหาสมุทรแล้วถูกบัณฑิตคนหนึ่งปฏิเสธไม่ให้เข้าพบ

นักพรตหนุ่มก็อดปลงอนิจจังกับตบะของอาจารย์ตัวเองไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออาจารย์บอกว่าบัณฑิตคนนั้นไม่ใช่เทพเซียนพสุธาอะไร ยิ่งไม่ใช่ขอบเขตหยกดิบ ขอบเขตเซียนเหรินหรือขอบเขตบินทะยาน เดิมทีนักพรตหนุ่มก็คิดจะปลอบใจอาจารย์สักคำสองคำ เพียงแต่พอเห็นท่าทีไม่ยี่หระของอาจารย์ นักพรตหนุ่มจึงล้มเลิกความคิด เป็นแบบนี้ย่อมดีกว่า ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของอาจารย์ไม่ได้เรื่อง เขาที่เป็นลูกศิษย์ก็มีมรรคกถาที่ไม่ได้ความเช่นกัน นี่ก็ดูเหมือนว่า พอมีเหตุผลน่าอภัยไม่ใช่หรือ?

ภายหลังอาจารย์ก็พาเขามาขึ้นฝั่งที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ไปเยือนภูเขามังกรพยัคฆ์อันเป็นสำนักเบื้องบนของพวกเขา ผลคือจางซานเฟิงถูกอาจารย์สั่งให้รออยู่ที่ตีนเขา นักพรตหนุ่มรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าอาจเป็นเพราะหน้าตาของอาจารย์ไม่ใหญ่พอ จึงไม่อาจพาคนขึ้นเขาไปด้วยกันได้ เลยไม่ได้พูดอะไร อาจารย์บอกเพียงว่าการขึ้นเขาครั้งนี้ก็เพราะต้องการขอร้องเรื่องหนึ่งจากพวกผู้สูงศักดิ์หวงจื่อเหล่านั้น หากทำสำเร็จ จางซานเฟิงก็สามารถขึ้นไปบนภูเขาได้ จางซานเฟิง จึงบอกให้อาจารย์ตั้งใจให้มากๆ หน่อย พูดคุยกับเหล่าผู้สูงศักดิ์หวงจื่อดีๆ อย่าทำตัวไม่แยแสสิ่งใดเหมือนตอนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเองอีก เพราะถึงอย่างไรตนจะได้ขึ้นเขาไปเที่ยวชมจวนเทียนซือหรือไม่ก็ล้วนต้องพึ่งอาจารย์แล้ว

นักพรตเฒ่าบอกว่าอาจารย์เคยทำเรื่องอะไรให้คนไม่วางใจด้วยหรือ

สายตาของนักพรตหนุ่มฉายแววตำหนิ ตลอดหลายปีที่ตนฝึกตนอยู่บนยอดเขาพาตี้นั้น อาจารย์ท่านเคยทำเรื่องอะไรสำเร็จบ้างดีกว่า? บางครั้งเวลาที่นักพรตของสายอื่นหวังจะมาคุยธุระกับท่านผู้อาวุโส หากไม่ท่านไม่นอนหลับกรนครอกๆ ก็ต้องให้ตนหรือไม่ก็พวกศิษย์พี่ที่อายุมากหน่อยช่วยออกหน้าปฏิเสธให้ นานวันเข้า นักพรตสำนักเดียวกันสามสายอย่างไท่เสีย ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียนยังไม่ทันได้พูดอะไร แค่เห็นหน้าตนก็ถอนหายใจ หมุนตัวกลับได้ก็จากไปทันที ไม่มีความลังเลเลยสักนิด แม้จะบอกว่าศิษย์ช่วยอาจารย์แบ่งเบาภาระเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน แต่ศิษย์ช่วยอาจารย์ต้านหายนะครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่เกินไปหน่อยหรือ?

นักพรตเฒ่าขึ้นเขาไปได้ไม่นานก็ลงมา บอกว่าคุยไม่สำเร็จ คงต้องเดือดร้อนให้ศิษย์ไม่สามารถขึ้นไปเปิดโลกกว้างบนจวนเทียนซือได้แล้ว

นักพรตหนุ่มจึงบอกว่าไม่เป็นไร กลับกันยังเป็นฝ่ายเอ่ยปลอบใจนักพรตเฒ่าด้วย

นักพรตเฒ่าซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหล ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง บอกว่า ซานเฟิงเอ๋ย ลูกศิษย์อย่างเจ้าช่างเป็นเสื้อนวมตัวเล็ก (เสื้อนวมเปรียบเปรยถึงคนที่ เอาใจใส่ผู้อื่น โดยทั่วไปจะใช้กับลูกสาว โดยกล่าวว่าลูกสาวคือเสื้อนวมตัวเล็กของ พ่อแม่) ของอาจารย์จริงๆ

นักพรตหนุ่มแหงนหน้ามองภูเขามังกรพยัคฆ์ที่อยู่ห่างไปไกลแวบหนึ่ง บนนั้น มีปราณเซียนล้อมวน เสียงนกกระเรียนเซียนแผดร้องแหลมยาว อาบทอด้วยรัศมีเรืองรอง เขารู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพียงแต่ว่าความผิดหวังนี้ไม่ใช่ความผิดหวังที่มีต่ออาจารย์ แต่เป็นความผิดหวังที่มีต่อตนเอง ปีนั้นเขาออกจากภูเขามาตามคำสั่งของอาจารย์ อาจารย์บอกว่าอย่ามัวเตร็ดเตร่อยู่แถวภูเขาบ้านตัวเองเลย ไปดูทัศนียภาพของสถานที่ที่ห่างไปไกลสักหน่อย ดังนั้นจางซานเฟิงจึงนั่งเรือข้ามฟากมุ่งหน้าไปยังทิศไกล หลังจากผ่านประสบการณ์การท่องเที่ยวมารอบหนึ่ง

เขาที่ผิดหวังห่อเหี่ยวก็ไม่อยากจะกลับสำนักทั้งอย่างนั้น จึงกัดฟันควักเงิน เทพเซียนแทบทั้งหมดที่มีมานั่งเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวข้ามทวีปไปถึง แจกันสมบัติทวีป ภายหลังได้รู้จักกับสหายคนหนึ่ง และจากนั้นต่อมาก็ได้รู้จักกับสหายอีกคนหนึ่ง คนทั้งสามต้องจากลากัน แต่ก็ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วการ จากลาก็เกิดขึ้นอีก

หลังจากฝึกประสบการณ์ เรื่องราวบางอย่างนั้น นักพรตหนุ่มเข้าใจได้ อย่างกระจ่างแจ้ง

ดังนั้นยิ่งนานวันจางซานเฟิงก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งในพระคุณของอาจารย์

นักพรตเฒ่ามาหยุดเท้าอยู่ในมุมหนึ่งริมหนองน้ำใหญ่ บอกว่ารอสักเดี๋ยว

จางซานเฟิงที่สะพายหีบไม้ไผ่ยืนอยู่ด้านข้าง ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์ มาเยี่ยมเยียนคนอื่นถึงบ้าน ไม่ได้พกของขวัญมาด้วยหรือ?”

เจินเหรินผู้เฒ่าที่บนชุดคลุมเต๋าปักลายมังกรเพลิงสองตัวขมวดคิ้วมุ่น “มัวแต่ เร่งรีบเดินทางก็เลยลืมไป”

จางซานเฟิงถอนหายใจ “ต่อให้เป็นของขวัญที่มีราคาแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะ นั่นก็ถือเป็นของขวัญเบาน้ำใจหนัก อาจารย์ พวกเราไม่ละเอียดรอบคอบกันเลย ใช่ไหม? ครั้งหน้าหากท่านต้องไปพบเพื่อนรักอีก ท่านก็บอกข้าก่อนเถอะ ข้าจะเป็นคนเตรียมของขวัญให้ท่านเอง”

เจินเหรินผู้เฒ่าคิดแล้วก็พยักหน้าตอบตกลง ยังคงข่มกลั้นเอาไว้ไม่บอกความจริงแก่ลูกศิษย์ว่า หากพวกเราสองอาจารย์และศิษย์พกของขวัญมาเยี่ยมเยียนคนเขาจริงๆ เกรงว่าเทพวารีหนองน้ำใหญ่คงเข้าใจผิดคิดว่าตนจะเอาของขวัญมาก่อนแล้วค่อยตามด้วยกองทัพ หมายถลกหนังดึงเส้นเอ็น เกรงว่าเข่าคงอ่อนจนยืนไม่อยู่ แม้จะบอกว่าเทพวารีแห่งหนองน้ำใหญ่ผู้นี้เป็นเทพอันดับหนึ่งของศาลเทพวารี ประจำราชวงศ์ใหญ่แห่งที่สามของใต้หล้าไพศาล

แต่ปีนั้นเขาไม่รู้จักวางตัวเป็นคน…เป็นเทพสักเท่าไร ส่วนนิสัยของตัวผู้เฒ่าเอง ก็ไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงเริ่มโคจรวิชาอภินิหาร ทำให้น้ำในหนองน้ำใหญ่เดือดพล่าน จนกระทั่งระดับน้ำของตลอดทั้งหนองน้ำใหญ่ลดลงไปจั้งกว่าแล้ว ในที่สุดเจ้าหมอนั่นจึงเริ่มคุกเข่าโขกหัวคำนับ ขอร้องให้เขาช่วยมีเมตตา

เวลานี้ เจินเหรินผู้เฒ่าที่ร่ายเวทอำพรางตาเริ่มเปิดเผยร่องรอยบางอย่าง

และไม่นานก็มีผู้เฒ่าสวมชุดสีทองคนหนึ่งแหวกผิวน้ำเดินออกมา พอขึ้นมาบนฝั่งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไร เป็นเพราะว่าไม่กล้า ในใจของเขาเต้นระรัวเหมือนตีกลอง รู้สึกกล้าๆ กลัวๆ พยายามตีหน้าให้นิ่ง เพราะกลัวว่าหากทนไม่ไหวตนจะลงไปนั่งคุกเข่าร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหล เอ่ยถ้อยคำชวนขนลุกเพื่อให้อีกฝ่ายเวทนาสงสาร ถึงเวลานั้นหากกลับกลายเป็นว่าทำให้เทพเซียนผู้เฒ่าไม่สบอารมณ์ จะไม่ยิ่งกลายเป็นหายนะใหญ่หรอกหรือ? หากจะพูดถึงราชสำนักใหญ่แห่งนี้กับทั้งบนและล่างภูเขา เทพวารีที่ทั้งระดับขั้นและตบะล้วนไม่ถือว่าต่ำอย่างเขาก็ถือว่าเป็นกระดูกแข็งที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง อีกทั้งยังเคยผ่านการต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับผู้ฝึกตนใหญ่หลายท่าน ที่ขอบเขตเหนือกว่ามาแล้ว ทว่ามีเพียงต้องเผชิญหน้ากับฮว่อหลงเจินเหรินเท่านั้น ที่เป็นข้อยกเว้น

ผู้ฝึกตนใหญ่ทั่วไป อย่างมากสุดก็ได้แค่ใช้เวทคาถาและสมบัติอาคมทำให้ร่างทองของเขาเกิดรอยปริร้าว เสียพลังต้นกำเนิดไปมาก ทว่าแค่นำควันธูปและโชคชะตาน้ำมาซ่อมแซม ร่างทองก็สามารถกลับคืนมาเป็นปกติได้แล้ว

แต่ฮว่อหลงเจินเหรินที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้กลับสามารถทำให้ร่างทองของเขาเละเป็นผุยผงได้ อีกทั้งเขายังไม่มีกำลังเหลือพอให้ตอบโต้อีกฝ่ายด้วย

ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดฮว่อหลงเจินเหรินถึงได้สามารถลงมือกับองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำได้ง่ายดายเพียงนี้ อีกทั้งกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาแผ่นดินกลางที่พันธนาการเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ก็มีน้อยมาก นี่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไป สักหน่อย

นักพรตหนุ่มมองยอดฝีมือนอกโลกที่เหมือนคนมาสร้างกระท่อมฝึกตนตรงหน้าผู้นี้ ยิ่งเห็นสีหน้าเย็นชาหน้าตาบึ้งตึงไม่เอ่ยคำใดของอีกฝ่ายก็อดตำหนิอาจารย์ในใจไม่ได้ เห็นไหม นี่มีบรรยากาศแช่มชื้นน่าเฉลิมฉลองของการที่สหายเก่ากลับมาพบเจอกันเสียที่ไหน? หรืออาจารย์รู้สึกว่าต้องไปเสียหน้าอยู่บนภูเขามังกรพยัคฆ์ ก็เลยคิดว่า มาที่น่านน้ำของหนองน้ำเซิ่นเจ๋อแห่งนี้ หาสหายสักคนที่ความสัมพันธ์ธรรมดาไม่ สนิทสนมกันมาก จะได้โอ้อวดตนที่เป็นลูกศิษย์ได้ว่าตัวเองมีสหายกว้างขวางอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? อันที่จริงอาจารย์ท่านไม่ต้องทำแบบนี้เลย นักพรตหนุ่มเริ่มรู้สึกสงสารอาจารย์ขึ้นมาบ้างแล้ว

จางซานเฟิงกระแอมหนึ่งที “อาจารย์?”

ฮว่อหลงเจินเหรินที่ใจลอยไปไกลร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองกลืนน้ำลาย ยิ้มอย่างฝืดเฝื่อนเอ่ยว่า “นานมากแล้วจริงๆ”

ฮว่อหลงเจินเหรินคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเทพวารีของหนองน้ำใหญ่ผู้นี้ให้มากความ จึงเอ่ยเข้าประเด็นว่า “ข้าต้องการโอสถวารีขวดหนึ่งจากเจ้า”

ผู้เฒ่าร่างทองเกือบจะกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่

ก็แค่โอสถวารีแห่งชะตาชีวิตของตำหนักเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อเท่านั้น แค่เรื่องเล็กๆ ที่ให้คนนำความมาแจ้งก็ได้ ไหนเลยจะต้องให้เจินเหรินผู้เฒ่าเดินทางมาด้วยตัวเอง? แม้จะมาเดินอยู่บนทางเล็กๆ กลางป่ากลางเขาแค่ไม่กี่ก้าว แต่นั่นก็ยังถ่วงเวลาการฝึกตนของเทพเซียนผู้เฒ่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ท่านเทพเซียนผู้เฒ่าท่านรู้หรือไม่ว่า พอท่านปรากฎตัวแบบนี้ก็เกือบจะทำให้จิตใจของเทพน้อยๆ อย่างข้าแหลกสลายแล้ว?

ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองรู้สึกถึงเพียงความโชคดีที่รอดชีวิตมาได้ วันหน้าจะต้องจัดงานเลี้ยงฉลองในตำหนักเทพวารีสักครั้ง เพราะถึงอย่างไรตลอดหนึ่งพันปีกว่าที่ผ่านมานี้เขาก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างกังวลใจมาโดยตลอด ด้วยกังวลว่าคราวหน้าที่ได้พบเจอ ฮว่อหลงเจินเหริน หากตนไม่ตายก็คงต้องหนังหลุดไปหนึ่งชั้น ไหนเลยจะคิดได้ว่า แค่โอสถวารีขวดเดียวก็สามารถยุติเรื่องราวได้แล้ว แน่นอนว่าคำว่าโอสถวารีแค่ ขวดเดียวนี้ สามารถเอามาใช้ได้กับเทพเซียนผู้เฒ่าที่เป็นขอบเขตบินทะยานขั้นสูงสุดอย่างฮว่อหลงเจินเหรินได้เท่านั้น ผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินทั่วไปที่เชี่ยวชาญ วิชาธาตุไฟล้วนไม่กล้าเอ่ยเช่นนี้ เทพวารีแห่งแผ่นดินกลางที่มีระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดอย่างเขาหากสู้ไม่ได้แล้วก็หนีไม่รอด แค่หนีไปหลบอยู่ในน้ำ แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้? ถึงอย่างไรหากอีกฝ่ายใช้อำนาจมารังแกคนอื่นแล้วสร้างความครึกโครมที่ใหญ่โตขึ้นมาจริงๆ ราชวงศ์และสำนักศึกษาย่อมไม่มีทางนิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แน่นอน

ดังนั้นในมือของผู้เฒ่าชุดทองจึงมีขวดกระเบื้องใบหนึ่งโผล่ขึ้นมาทันที เขาถามอย่างระมัดระวังว่า “ขวดเดียวก็พอหรือ?”

ฮว่อหลงเจินเหรินคลี่ยิ้ม “เจ้าคิดว่าไงล่ะ”

ผู้เฒ่าชุดทองไม่พูดไม่จา ในมือก็มีโอสถวารีที่รวมรวบมาจากแก่นชะตาน้ำของหนองน้ำเซิ่นเจ๋อเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งขวด

อันที่จริงฮว่อหลงเจินเหรินต้องการแค่ขวดเดียวจริงๆ แต่จู่ๆ ก็นึกถึงสายป๋ายอวิ๋นของภูเขาบ้านตัวเองขึ้นมาว่า อาจจะมีคนต้องการใช้ของสิ่งนี้ช่วยในการฝ่าทะลุขอบเขต จึงไม่คิดจะปฏิเสธ

จางซานเฟิงกระตุกชายแขนเสื้อของอาจารย์เบาๆ

ฮว่อหลงเจินเหรินจึงยิ้มเอ่ยว่า “สหายคนนั้นของเจ้ามอบของขวัญชิ้นใหญ่ ขนาดนั้นให้เจ้า อีกทั้งยังคบหากับเจ้าด้วยความจริงใจ แม้ว่าปีนั้นอาจารย์ก็ได้มอบของตอบแทนให้เขาไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากว่ากันตามลำดับศักดิ์ของอาจารย์ ของตอบแทนนั่นก็ไม่ถือว่ามากพอสักเท่าไร ดังนั้นจึงคิดว่าจะมอบโอสถวารีให้เขาเพิ่มอีกหนึ่งขวด ทั้งเป็นการช่วยชดใช้น้ำใจคืนแทนเจ้า แล้วก็ตัดขาดผลกรรมบางอย่างด้วย ส่วนอีกขวดนั้น เอาไว้มอบให้กับศิษย์พี่ชายสายป๋ายอวิ๋นของเจ้า”

จางซานเฟิงไม่ค่อยเข้าใจนักว่าอะไรคือของตอบแทนและผลกรรมในปีนั้น

แต่พอคิดว่าเฉินผิงอันจะได้โอสถวารีเพิ่มอีกขวดหนึ่ง ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องดี ที่ใหญ่เทียมฟ้า

ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ถือสาหากลูกศิษย์คนนี้กับคนหนุ่มผู้นั้นจะเดินไปพร้อมกันบนมหามรรคา คบหากันเป็นสหายได้ตราบนานเท่านาน แต่ผลกรรมยิบย่อยเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างก็ยังจำเป็นต้องเรียบเรียงให้ชัดเจนเสียก่อน

ฮว่อหลงเจินเหรินรับโอสถวารีสองขวดมา ขณะเดียวกันก็ทิ้งเจียวเพลิงตัวบางๆ ที่เหมือนเส้นด้ายเส้นหนึ่งไว้บนฝ่ามือของเทพวารีหนองน้ำเซิ่นเจ๋อ ช่วยในการ หล่อหลอมร่างทององค์เทพของเขา

เอาของดีของคนอื่นมาแล้ว ถึงอย่างไรก็ควรมอบของตอบแทนกลับคืนไปบ้าง

นอกจากนี้ เกี่ยวกับเฉินผิงอัน อันที่จริงปีนั้นฮว่อหลงเจินเหรินไม่ยินดีจะช่วยดึงต้นกล้าให้เติบโตก่อนเวลา ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ลูกศิษย์อย่างจางซานเฟิง หรือ ควรจะบอกว่าตัวเขาเอง ต่างก็ติดค้างน้ำใจของอีกฝ่ายถึงสองส่วน

ส่วนหนึ่งคือตราประทับที่เทียนซือใหญ่รุ่นก่อนเป็นคนแกะสลักเองกับมือ นั่นไม่ใช่ของล้ำค่าอะไร แต่สำหรับจางซานเฟิงแล้วกลับมีความหมายลึกซึ้งและ ยาวไกล นี่ก็คือวาสนาแห่งเต๋า

สำหรับนักพรตเต๋าแล้ว ฟ้าดินกว้างใหญ่ วาสนาแห่งเต๋าใหญ่ที่สุด สมบัติอาคมและอาวุธเซียนยังถือว่าเป็นรองด้วยซ้ำ

สองก็คือกระบี่เล่มนั้น เพียงแต่ว่านี่ก็คือโชควาสนาแห่งเต๋าอีกอย่างหนึ่งก็เท่านั้น

และก็เป็นเหตุผลสำคัญที่ว่าเหตุใดครั้งนี้ฮว่อหลงเจินเหริน ‘ขอร้อง’ คนอื่น ไม่ได้ผล แล้วถึงไม่คิดจะระบายโทสะใส่จวนเทียนซือ

การขึ้นเขาไปตามนัดหมายครั้งนี้ ฮว่อหลงเจินเหรินหวังว่าจางซานเฟิงผู้เป็นลูกศิษย์จะได้รับสืบทอดตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ที่เป็นดั่งการ ‘สืบทอดบรรดาศักดิ์’ จากเทียนซือใหญ่ของจวนเทียนซือคนปัจจุบัน

แต่จวนเทียนซือยอมรับว่ามหามรรคาของจางซานเฟิงในอนาคตนั้นมีความหวัง ก็จริง เพียงแต่รู้สึกว่าลางของกลียุคได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว น้ำไกลไม่อาจดับกระหายใกล้ จึงพูดอย่างเด็ดขาดว่าภายในเวลาหนึ่งร้อยปีจางซานเฟิงต้องไม่มีทางเป็นเสาหลัก ค้ำยันภูเขามังกรพยัคฆ์ได้แน่นอน บวกกับที่ภายในเวลาพันปีที่ผ่านมานี้ ทางจวนเทียนซือเองก็หาเทียนซือใหญ่ต่างแซ่สองคนมารอเข้ารับตำแหน่งไว้แล้ว จึงไม่ขอรับข้อเสนอจากฮว่อหลงเจินเหริน ดังนั้นขอแค่ฮว่อหลงเจินเหรินบินทะยานอยู่ในอุตรกุรุทวีปอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ วันนั้นภูเขามังกรพยัคฆ์ของแผ่นดินกลางจะผลักดันเทียนซือใหญ่ต่างแซ่คนใหม่ให้มารับตำแหน่งทันที แม้จะบอกว่า เมื่อเทียบกับฮว่อหลงเจินเหรินแล้วจะด้อยกว่ามาก แต่เมื่อเทียบกับจางซานเฟิง แน่นอนว่าย่อมแตกต่างราวฟ้ากับเหว

ตอนนั้นในห้องโถงศาลบรรพจารย์ของจวนเทียนซือ นอกจากเทียนซือใหญ่ที่มี สีหน้าเป็นปกติไม่สะทกสะท้านแล้ว จิตแห่งเต๋าของผู้สูงศักดิ์หวงจื่อแทบทุกคน ที่เหลืออยู่ล้วนวุ่นวาย อดหวาดหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

ด้วยกลัวว่าถ้าพูดไม่เข้าหูกัน ฮว่อหลงเจินเหรินจะลงไม้ลงมือ

โชคดีที่เจินเหรินผู้เฒ่าเพียงแค่ลงจากเขาไปเงียบๆ พาลูกศิษย์อย่างจางซานเฟิงออกไปจากอาณาเขตของภูเขามังกรพยัคฆ์

ริมหนองน้ำขนาดใหญ่ ผู้เฒ่าชุดทองดีใจเจียนคลั่ง กำลังคิดจะโขกหัวเอ่ยขอบคุณ แต่กลับถูกฮว่อหลงเจินเหรินใช้สายตาบอกเป็นนัยว่าอย่าได้ทำเหลวไหลแบบนั้นเด็ดขาด

ผู้เฒ่าชุดทองจึงรีบสงบจิตใจให้มั่นคง

จางซานเฟิงรับโอสถวารีสองขวดมาจากมือของฮว่อหลงเจินเหริน หลังเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ ผลิบาน

ในที่สุดตนก็สามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อเฉินผิงอันได้แล้วใช่ไหม? ปีนั้น ไม่เพียงแต่กินดื่มไม่จ่ายเงินติดตามอีกฝ่ายไปตลอดทาง ยังติดหนี้เฉินผิงอัน อีกมากมาย ตอนอยู่เรือนผีแคว้นไฉ่อีก็เชื่อเสื้อเกราะน้ำค้างหวานชิ้นนั้นมา ตอนอยู่ท่าเรือแคว้นซูสุยยังเชื่อกระบี่เล่มนั้น ภายหลังตอนที่ตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมสังหารที่แคว้นชิงหลวนกับสวีหย่วนเสีย ก็ยังเป็นเฉินผิงอันที่ลงมือช่วยเหลือไม่ใช่หรือ?

ฮว่อหลงเจินเหรินชำเลืองตามองผู้เฒ่าชุดทอง ฝ่ายหลังเข้าใจความนัยได้ทันที แล้วจึงกัดฟันควักเอาโอสถวารีขวดสุดท้ายที่พกติดตัวออกมายื่นส่งให้นักพรตหนุ่มคนนั้น

เป็นแค่นักพรตห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง?

นี่คือลูกศิษย์ผู้เป็นที่ภาคภูมิใจบนยอดเขาพาตี้ของฮว่อหลงเจินเหรินจริงๆ หรือ? แม้จะบอกว่าฮว่อหลงเจินเหรินมีนิสัยประหลาด ยามรับลูกศิษย์ก็ไม่เคยดูจากพรสวรรค์ ทว่าในเมื่อเทพเซียนผู้เฒ่ายินดีจับมือกับลูกศิษย์คนหนึ่งเดินทางมาท่องเที่ยวในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ลูกศิษย์คนนี้จะธรรมดาได้หรือ?

นักพรตหนุ่มมีท่าทางเขินอายเล็กน้อย อยากได้โอสถวารีขวดนั้น แต่ก็รู้สึกว่า ทำอย่างนั้นจะดูไม่มีคุณธรรม จึงเอ่ยปฏิเสธ

ผู้เฒ่าชุดคลุมสีทองกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวไร้ความละอายว่า โอสถวารีนี้เป็นของเล่นที่ไม่มีค่าที่สุดของบ้านตน ทั้งสองฝ่ายเพิ่งได้พบเจอกันเป็นครั้งแรก เขามีอายุมากกว่าหลายปี ตามหลักแล้วก็ควรต้องเป็นฝ่ายมอบของขวัญ

เขาไม่กล้าพูดด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นผู้อาวุโสที่อายุมากกว่าหลายปี ไม่อย่างนั้นหากตนเป็นผู้อาวุโสของนักพรตน้อย ก็ไม่เท่ากับว่าเป็นคนรุ่นเดียวกับฮว่อหลงเจินเหริน หรอกหรือ?

อันที่จริงจางซานเฟิงตั้งใจแล้วว่าจะไม่รับ แต่ฮว่อหลงเจินเหรินเกลี้ยกล่อมให้เขารับเอาไว้ บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสเดินทางมาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงลำพังก็สามารถมอบของขวัญกลับคืนได้

พอได้ยินคำว่า ‘มอบของขวัญกลับคืน’ นี้ เทพวารีชุดทองก็รู้สึกชาไปทั้งหนังหัว ในใจหวาดผวาพรั่นพรึงเกินจะกล่าว

เขาเดาออกว่าฮว่อหลงเจินเหรินมีความเกี่ยวข้องกับภูเขามังกรพยัคฆ์ เพราะในช่วงระยะเวลาหนึ่งพันปีหลังจากที่ฮว่อหลงเจินเหรินต้มน้ำในหนองน้ำให้เดือดพล่าน พอเขากลับไปถึงอุตรกุรุทวีปก็มักจะมีผู้สูงศักดิ์หวงจื่อของจวนเทียนซือ ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ แล้วมาเยือนสนามรบที่พวกเขาเลื่อมใสแห่งนี้ เป็นประจำ

จางซานเฟิงถึงได้รับโอสถวารีขวดที่สามเอาไว้ เขาประสานมือโค้งตัวขอบคุณตามพิธีการของลัทธิเต๋า

ผู้เฒ่าชุดทองไม่กล้าอยู่นาน รีบบอกลาจากไปทันที

เขาต้องรีบนำเจียวเพลิงที่เทพเซียนผู้เฒ่ามอบให้เส้นนั้นไปหล่อหลอมร่างทอง ซึ่งก่อนจะทำอย่างนั้น แน่นอนว่าต้องออกคำสั่งบอกให้ภูตน้ำทั้งหมดในเขต การปกครองไสหัวกลับเข้าไปในรังของตัวเองให้หมด

ใครที่กล้าไม่ควบคุมขาของตัวเอง เทพวารีแห่งหนองน้ำเซิ่นเจ๋ออย่างเขาก็จะทำให้พวกเขาแบกศีรษะของตัวเองไว้ไม่อยู่

ฮว่อหลงเจินเหรินพาจางซานเฟิงเดินเท้าท่องเที่ยวต่ออีกครั้ง

มีคำพูดสำคัญบางอย่างที่ฮว่อหลงเจินเหรินไม่ได้พูดให้ลูกศิษย์อย่างจางซานเฟิงฟัง

ผลกรรมของเฉินผิงอันผู้นั้นเกี่ยวพันเชื่อมโยงกับอุตรกุรุทวีปอย่างลึกซึ้ง ง่ายที่จะกระชากลูกศิษย์ผู้นี้ของเขาให้เข้าไปในวังวน

เขาเชื่อว่าด้วยนิสัยของคนหนุ่มผู้นั้น ต่อให้ตกอยู่ในสถานการณ์อับจน ก็ไม่มีทางเป็นฝ่ายลากจางซานเฟิงเข้าไปข้องเกี่ยวด้วยแน่ ทว่าเรื่องราวทางโลกก็เหมือนเชือกก้อนหนึ่ง เขาเฉินผิงอันทำอย่างนี้ ทว่าลูกศิษย์ของตนก็มีความคิดเป็นของตัวเอง ซึ่งเขาก็คงจะต้องพาตัวเข้าไปมีส่วนร่วมอย่างไม่สนใจสิ่งใดอย่างแน่นอน

ถึงเวลานั้นตนที่เป็นอาจารย์ควรจะทำเหมือนปีนั้นที่ปล่อยให้เหล่าเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปจับมือกันออกนอกมหาสมุทร ไปสกัดกั้นนักพรตจากจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์? หรือควรจะทำลายกฎเกณฑ์ ลงจากภูเขามาดึงรั้งลูกศิษย์และ คนหนุ่มผู้นั้นเอาไว้?

จำต้องยอมรับว่า รากฐานมรรคกถามากมายที่ลู่เฉินเชิดชู แท้จริงแล้วมองปราดๆ คล้ายจะเลวระยำ ฟังปราดๆ คล้ายจะบาดหู แต่พออนุมานไปร้อยรอบยาวนานพันปี กลับกลายเป็นสัจธรรมที่แท้จริง

ฝึกตนอยู่บนภูเขา ทุกคนต่างก็ฝึกบำเพ็ญตัวเอง ดั่งเรือว่างเปล่าไร้ผู้โดยสารที่ ล่องอยู่กลางอากาศ บ้างก็บินทะยาน บ้างก็กลับคืนสู่วัฎสังสาร แน่นอนว่าเมื่อการ ฝึกตนบนภูเขาสงบเงียบ ใต้หล้าก็ย่อมสงบสุข

หากผู้ฝึกตนบนภูเขาใช้ความชื่นชอบของตัวเองมาตัดสินชะตาของด้านล่างภูเขา อีกทั้งยังมีความรู้ของเมธีร้อยสำนัก ดึงไปซ้ายทีไปขวาที เชือกก้อนหนึ่งจะยิ่งยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม

ทุกคนใช้เหตุผล ทุกคนไม่ใช้เหตุผล

เพราะวาสนานำพา ในอดีตฮว่อหลงเจินเหรินจึงเคยไปเยือนใต้หล้ามืดสลัวมาก่อน

ทั้งได้เห็นถึงความดีและความไม่ดีของการอืดอาดชักช้าของลัทธิเต๋าในใต้หล้าแห่งนั้น แล้วก็ได้เห็นถึงความดีความไม่ดีของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนที่ถักทอเป็นตาข่ายของลัทธิขงจื๊อในใต้หล้าแห่งนี้

และการที่ลัทธิเต๋าของใต้หล้ามืดสลัวใช้นครป๋ายอวี้จิงต้านทานเทวบุตรมาร นอกโลกที่เป็นดั่งภาพมายาล่องลอย ส่วนใต้หล้าไพศาลก็ใช้กำแพงเมืองปราณกระบี่และภูเขาห้อยหัวสกัดขวางใต้หล้าเปลี่ยวร้างนั้น ก็ล้วนมีเหตุผลที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

นักพรตหนุ่มพลันยิ้มเอ่ยว่า “อาจารย์ ตอนนี้ข้าได้เดินทางมาเยือนทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางแล้ว ก็เป็นคนที่เดินทางผ่านสามทวีปเหมือนเฉินผิงอันแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้าต่างก็ร้ายกาจกันทั้งคู่”

จางซานเฟิงถาม “ผู้ฝึกลมปราณรุ่นเยาว์ของแจกันสมบัติทวีปต่างก็ด้อยกว่า คนของทวีปพวกเราระดับหนึ่งใช่หรือไม่?”

ฮว่อหลงเจินเหรินเอ่ย “ช่วงเวลาที่ผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ของสองทวีปต่างกันแค่หกสิบปีเท่านั้น เป็นไปได้ว่าหลังจากนี้หากลองหันไปมองดูอีกครั้ง ทุกคนก็จะ ค้นพบว่าคนหนุ่มสาวของแจกันสมบัติทวีปยิ่งโดดเด่นสะดุดตามากขึ้นเรื่อยๆ แต่จะว่าไปแล้ว โชคชะตาของหนึ่งแคว้นมีจำนวนที่แน่นอน แต่ปราณวิญญาณหนึ่งแคว้นจะต้องมีมากหรือน้อยกลับไม่มีคำบอกไว้ ทวีปแห่งใดใหญ่ ที่นั่นก็จะมีปีแห่งผลผลิตดีที่เหล่าผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์พากันผุดขึ้นดั่งหน่อไม้ฤดูใบไม้ผลิหลังฝนตก

จำนวนก็มีแต่จะยิ่งเกินจริงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นหากแจกันสมบัติทวีปอยากจะให้อีกแปดทวีปที่เหลือหันมามองพวกเขาเสียใหม่ ก็ยังต้องอาศัยโชคอีกเล็กน้อย หากดูจากตอนนี้ สหายเก่าของอาจารย์ในอดีต ซึ่งตอนนี้นางใช้ชื่อว่าหลี่หลิ่ว นางจะต้องเป็น คนที่ลุกผงาดขึ้นมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าใครก็ขวางไว้ไม่อยู่ หม่าขู่เสวียนก็เป็นคนหนึ่ง ที่ได้รับพรวิเศษจากสวรรค์ซึ่งอายุห่างไปเล็กน้อย รวมไปถึงสตรีที่เขาให้การสนับสนุนคนนั้น แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สามคนนี้เมื่อเอามาเปรียบเทียบกันแล้ว โอกาสที่จะเกิดเรื่องไม่คาดฝันนั้นมีน้อยที่สุด ดังนั้นอาจารย์จึงยกพวกเขาขึ้นมาพูด เพียงแต่ว่าเรื่องไม่คาดฝันมีน้อยก็ไม่ได้เท่ากับว่าไม่มีเรื่องไม่คาดฝันก็เท่านั้น”

จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “เฉินผิงอันเองก็จะต้องโดดเด่นเหนือกลุ่มคนด้วย ใช่ไหม?”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ “เขาก็น่าจะถือเป็นคนหนึ่งในนั้น ทว่าระดับความสูงในท้ายที่สุดจะเท่าไร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก เพราะว่ามีตัวแปรมากเกินไป”

จางซานเฟิงเอ่ย “อาจารย์ ข้าสายตาไม่เลวใช่ไหม สหายคนแรกที่รู้จักใน แจกันสมบัติทวีปก็คือ เฉินผิงอัน”

ฮว่อหลงเจินเหรินตอบ “ข้ารู้สึกว่าเฉินผิงอันเองก็สายตาไม่เลวเหมือนกัน”

จางซานเฟิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “สายตาในการคบหาเพื่อนของเฉินผิงอันไม่เลว แต่สายตาในการรับลูกศิษย์ของอาจารย์น่าจะถือว่าไม่ดีแล้วก็ไม่เลวกระมัง เพราะถึงอย่างไรศิษย์พี่ชายหญิงที่เดินออกไปจากภูเขาพาตี้บางส่วนก็ถือว่าร้ายกาจอย่างมาก”

ฮว่อหลงเจินเหรินเงียบงันไปครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “ซานเฟิง จงจำเรื่องหนึ่งเอาไว้”

จางซานเฟิงกล่าวด้วยน้ำเสียงใคร่รู้ “อาจารย์ ท่านเชิญพูดได้เลย”

เจินเหรินผู้เฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “วันหน้าเจ้าเองก็ต้องรับลูกศิษย์ ต้องถ่ายทอดมรรถกถาให้แก่พวกเขา จงจำไว้ว่า อย่าได้ชอบลูกศิษย์คนไหนเป็นพิเศษเพียงเพราะรู้สึกว่าเขาจะต้องสามารถกลายเป็นคนบนยอดเขาได้ แต่ให้มองที่… ความดีมากมายบนร่างของลูกศิษย์เหล่านั้น บางทีแม้แต่คนที่เป็นอาจารย์เองก็อาจจะยังดีไม่ได้เท่าพวกเขา ดังนั้นถึงได้กำหนดมาแล้วว่าจะทำให้พวกเขาได้มีโอกาสเดินขึ้นเขา เดินขึ้นไปบนยอดเขามากขึ้น แล้วเจ้าก็จะสามารถชอบพวกเขาได้มากขึ้น อีกหน่อย ลำดับขั้นตอนก่อนหลังของเรื่องนี้ เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป เรื่องของพรสวรรค์นั้น ไม่เคยเป็นเรื่องที่ตายตัว หมื่นสรรพสิ่งถือกำเนิด เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ทัศนียภาพไม่เคยมีอะไรที่เป็นหนึ่งเดียว บรรพจารย์หลายคนของตระกูลเซียนตัวอักษรจงที่ฝึกตนไปฝึกตนมากลายเป็นว่าสนิมขึ้นสมอง แม้แต่เรื่องเล็กๆ นี้ก็ยัง ไม่เข้าใจ ถึงได้ทำให้บนภูเขาไม่มีกลิ่นอายของมนุษย์อยู่แม้แต่น้อย”

เจินเหรินผู้เฒ่าหันหน้ามามอง เห็นว่าลูกศิษย์ของตนกำลังกลั้นยิ้มก็ถามว่า “ทำไมหรือ?”

จางซานเฟิงยิ้มกล่าว “อาจารย์ ตอนนี้ตบะของข้ามีน้อยนิดแค่นี้ จะกล้ารับ ลูกศิษย์ได้อย่างไร นั่นจะไม่เป็นการถ่วงเวลาผู้อื่นหรอกหรือ”

เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มตาม “ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่ต้องรีบร้อน”

คำว่าถ่ายทอดมรรคกถา สืบทอดวิชาจากรุ่นสู่รุ่น

บางทีอาจไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่อะไร ก็หนีไม่พ้นการที่มีคนที่เป็นผู้นำจุดไฟ ดวงเล็กๆ ขึ้นมาก่อน แม้ว่าแสงนั้นจะเบาบาง แต่กลับสามารถส่องแสงสว่างให้แก่ คนด้านหลังบนเส้นทางของม่านราตรีที่มืดมิดได้

ไม่อย่างนั้นวิถีทางโลกย่อมมืดมนไปตลอดกาล

เต๋ากำเนิดหนึ่ง

หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม สามกำเนิดหมื่นสรรพสิ่ง

“ซานเฟิง อยากนั่งเรือข้ามฟากตระกูลเซียนของสำนักฉงเหยาหรือไม่? ข้ามทวีปลงใต้ เดินทางไกลไปเยือนทักษิณาตยทวีป ทัศนียภาพข้างทางนั้นไม่เลวเลยจริงๆ”

“อาจารย์ เรื่องที่ตบหน้าตัวเองเพื่อให้ดูเป็นคนอ้วนเช่นนี้ พวกเราอย่าทำเลยดีกว่าไหม?”

“แต่ที่นั่นมีสหายสนิทเชิญให้อาจารย์ไปเป็นแขกนะ ยากจะปฏิเสธการเชื้อเชิญ ได้จริงๆ”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่าสหายคนนี้ของอาจารย์ต้องมีความสัมพันธ์ที่ธรรมดากับท่านแน่นอน ไม่อย่างนั้นจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอาจารย์ค่อนข้างจะขัดสน”

“ซานเฟิงเอ๋ย หากไม่ได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องขอให้เจ้าลำบากสักหน่อยแล้ว ความสามารถในการกำจัดปีศาจปราบมารของอาจารย์ยังขาดกำลังไฟอยู่บ้างจริงๆ แต่วิชาย่อพื้นที่วิชานั้นของอาจารย์กลับนับว่าพอใช้ได้ เจ้าเองก็เคยมีประสบการณ์ มาก่อนแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเรานั่งเรือข้ามทวีปกันดีกว่า เงินทองเป็นของนอกกาย ก่อนขึ้นเรือศิษย์จะเตรียมพวกอาหารแห้งผักดองไว้ให้มากหน่อยก็แล้วกัน”

“เหตุใดอาจารย์ถึงได้มีลูกศิษย์ที่ฉลาดเฉลียวอย่างเจ้าได้นะ?”

“อาจารย์สายตาดี?”

“มีเหตุผล”

“อาจารย์ ครั้งนี้ไปเป็นแขกบ้านคนอื่นคงต้องเตรียมของขวัญไปด้วยกระมัง? ออกมาอยู่ข้างนอก ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาบ้านตัวเอง ก็คงต้องควร มีมารยาทบ้าง”

“เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง พวกเราหาซื้อหนังสือข้างทางติดมือไปสักเล่มสองเล่มก็พอ เขาค่อนข้างจะรับมือได้ง่าย”

“เป็นบัณฑิตอีกแล้วหรือ? อย่าให้ต้องกินน้ำแกงประตูปิดอีกล่ะ”

“ซานเฟิง อาจารย์จำต้องบอกความจริงบางอย่างให้เจ้ารู้แล้ว อันที่จริงมรรกถาและฉายาของอาจารย์ ยามที่อยู่นอกภูเขาของบ้านตัวเองก็ยังพอจะมีหน้าตาอยู่บ้าง”

“ถ้าอย่างนั้นทำไมผู้อาวุโสคนเมื่อครู่ถึงไม่ยินดีเชิญพวกเราไปเป็นแขกที่จวน ของเขาล่ะ? เชิญพวกเราดื่มชาก็ยังดีนี่นา ข้ารู้สึกว่าอันที่จริงผู้อาวุโสท่านนั้น มีมารยาทมากแล้ว ต่อให้จะเห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยยินดีมาพบหน้าพวกเรา แต่ก็ยังมีมารยาทตามที่สมควร ภาพเหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับข้าหรอกนะ ปีนั้นข้าออกจากยอดเขาพาตี้ไปฝึกประสบการณ์ด้านล่างภูเขา เห็นตระกูลคนรวยหลายแห่งที่มีปราณดุร้ายล้อมเวียนวน ข้าเลยอยากจะเข้าไปช่วย พอเคาะประตู แล้วบอกจุดประสงค์อย่างชัดเจน อีกฝ่ายก็ไม่ไล่ข้า เพียงแค่โยนเหรียญทองแดง หนึ่งกำมือหรือไม่ก็เศษเงินก้อนสองสามก้อนมาให้ ความหมายของอีกฝ่าย ข้าเอง ก็เข้าใจดี”

“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง”

“อาจารย์ วันหน้าท่านอย่าเอาแต่หลับอยู่บนภูเขาสิ ต้องลงจากภูเขามาบ่อยๆ เรื่องราวและความสัมพันธ์ของผู้คนที่ผิวเผินเหล่านี้ ศิษย์เองก็ได้มาจากการ ฝึกประสบการณ์ล่างภูเขาเหมือนกัน”

“ซานเฟิงเอ๋ย คราวก่อนระหว่างทางที่เจ้าลงจากภูเขามา ได้เจอกับผู้เฒ่าคนหนึ่งกลางทางใช่ไหม? ได้ยินว่ายังพูดคุยกันถูกคอมากด้วย?”

“อืม ผู้อาวุโสท่านนั้นบอกว่าเป็นคนรู้จักของอาจารย์ ขึ้นเขามาถามทาง ข้าก็เลยบอกทางให้เขา แล้วคุยกันอยู่อีกครู่หนึ่ง พอคุยจบ ก็ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าคนนั้น จะอารมณ์ดีอย่างมาก”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับ ไม่ได้พูดอะไรมาก

เซียนกระบี่ขอบเขตสิบสองคนหนึ่ง พอออกมาจากยอดเขาพาตี้แล้วกลับกระจายข่าวเหมือนสตรีปากยื่นปากยาวในหมู่ชาวบ้าน จะไม่อารมณ์ดีได้หรือ?

รอให้กลับไปถึงอุตรกุรุทวีปเมื่อไหร่ ตนจะต้องไปเยือนสำนักเจ้าหมอนั่น แล้วทำให้เขาอารมณ์ดีอีกสักครั้ง อารมณ์ดีให้อิ่มไปเลย

แต่ฮว่อหลงเจินเหรินก็รู้สึกหม่นหมองเล็กน้อย ต่อให้ตบะจะสูงแค่ไหนก็ยังคงมีความเสียใจสำหรับการจากลาบนโลกมนุษย์อยู่ดี

อาจจะไม่ได้กลับไปแล้ว

กระบี่หักสามารถซ่อมแซมกลับคืน แต่คนกลับไม่แน่เสมอไป

นอกภูเขาห้อยหัว มีกำแพงเมืองปราณกระบี่อยู่ตรงนั้น

ปราณกระบี่พุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆ

ในใต้หล้าไพศาล ไก่ขันหมาเห่า กลิ่นควันจากการทำอาหารลอยฟุ้ง หมื่นครัวเรือนจุดตะเกียงส่องแสงสว่าง

มีสามทวีปที่อาจจะสูญเสียทุกอย่างนี้ไปในชั่วพริบตา

สุดท้ายอยู่ดีๆ จางซานเฟิงก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุว่า “อาจารย์ แม้ว่ามรรถกถาของท่านจะไม่สูง แต่ข้ารู้สึกว่าท่านคืออาจารย์ที่ดีที่สุดในใต้หล้าแล้ว”

เจินเหรินผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “แบบนี้แหละถูกแล้ว สายตาที่อาจารย์ใช้เลือกลูกศิษย์ กับสายตาที่ลูกศิษย์มองอาจารย์ ต่างก็ไม่เลว”

จางซานเฟิงถามชวนคุยว่า “อาจารย์ รอให้วันใดที่ข้ามีมรรคกถาได้อย่างท่าน ผู้อาวุโสแล้ว ก็ถือว่าข้าฝึกตนประสบผลสำเร็จนิดๆ แล้วใช่ไหม?”

เจินเหรินผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “นับว่าใช่”

มรรคกถาของใต้หล้ามาจากคนคนเดียวงั้นหรือ?

เงียบงันไปครู่หนึ่ง เจินเหรินผู้เฒ่าก็หัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “ขอเทียนจุนทั้งหลายโปรดอำนวยพร”

……

ช่วงเข้าสู่ฤดูร้อนก่อนหน้านี้

ทางฝั่งของตรอกฉีหลง เหลือเพียงสือโหรวคนเดียวที่คอยดูแลกิจการของร้าน

เผยเฉียนลาออกจากโรงเรียนแล้ว เพราะผ่านการพยักหน้าเห็นชอบจาก จูเหลี่ยน สือโหรวจึงไม่ได้เอ่ยอะไร

พอเผยเฉียนจากไป โจวหมี่ลี่ก็ตามไปอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย

จากความครึกครื้นสนุกสนานกลายมาเป็นความเงียบสงัด สือโหรวจึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นชินสักเท่าไร

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เว่ยป้อมักจะแวะเวียนมาที่ภูเขาลั่วพั่วเป็นประจำ เจิ้งต้าเฟิงเองก็มักจะออกจากเรือนหรูที่สร้างขึ้นด้วยมือของตัวเองตรงตีนเขามาหาจูเหลี่ยนบ่อยๆ เช่นกัน

พื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ภูเขาลั่วพั่วได้ครอบครองหนึ่งส่วนในนั้น

แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี แต่ก็มีปัญหาอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือไม่ว่าพื้นที่มงคลแห่งใดที่คิดจะรักษาความมั่นคงของฟ้าดินเอาไว้ให้ได้ ก็ล้วนจำเป็นต้อง ‘กิน’ เงินเทพเซียนก้อนใหญ่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคิดจะเปลี่ยนจากพื้นที่มงคลระดับล่างที่ปราณวิญญาณแร้นแค้น เลื่อนขั้นกลายมาเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางที่สามารถทำให้คนในพื้นที่ ฝึกตนได้ ก็ยิ่งจำเป็นต้องให้คนที่ดูแลพื้นที่มงคลคอยคงสภาพการเผาผลาญเงิน เทพเซียนเอาไว้ พูดง่ายๆ ก็คือ นี่ก็คือหลุมที่ไร้ก้นแห่งหนึ่ง แต่หากสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสมก็จะเป็นเหมือนกับพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่สกุลเจียงสำนักกุยหยกของใบถงทวีปเป็นผู้ครอบครอง แรกเริ่มคือปล่อยให้พื้นที่มงคลเขมือบกลืนเงินเทพเซียนเหมือนปลาวาฬสูบน้ำ สุดท้ายพอเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง อยู่ในสภาพการณ์ที่ค่อนข้างมั่นคงแล้ว ก็เริ่มมีองค์เทพของสถานที่ต่างๆ ที่สามารถช่วยทำให้ ปราณวิญญาณและรากฐานภูเขาแม่น้ำมั่นคงปรากฏตัว รวมไปถึงเริ่มรวบรวม ปราณวิญญาณไว้ในพรรคใหญ่ๆ ของผู้ฝึกตน ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ทรัพย์สมบัติของตระกูลเจียงหดหาย กลับกันยังมีเงินทองไหลมาเทมา สุดท้ายก็ย้อนกลับมาเลี้ยง สกุลเจียงได้

ผู้ฝึกตนในพื้นที่ของพื้นที่มงคล รวมไปถึงสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินประเภทต่างๆ ที่ถูกอาบย้อมอยู่ภายใต้ปราณวิญญาณจนค่อยๆ ฟูมฟักถือกำเนิดขึ้นมา ล้วนเป็นแหล่งที่มาของเงินทองทั้งสิ้น

ช่วงนี้เว่ยป้อ จูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงกำลังปรึกษากันเรื่องที่ว่าควรจะจัดการกับเขตอิทธิพลขนาดเล็กของพวกเขาที่ตอนนี้ตั้งชื่อให้ชั่วคราวว่า ‘พื้นที่มงคลรากบัว’ แห่งนี้อย่างไรดี และแน่นอนว่าชื่อที่แท้จริงของมันคงต้องรอให้เฉินผิงอันกลับมาก่อนค่อยว่ากัน

ตอนนี้อาณาเขตของพื้นที่มงคลเล็กแห่งนี้ก็คืออาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต

ประชากรโดยรวมมีทั้งหมดยี่สิบล้านคน

ตอนที่ภูเขาลั่วพั่วได้พื้นที่มงคลรากบัวมาครอง ปราณวิญญาณก็อุดมสมบูรณ์ ขึ้นมากแล้ว จึงคาบเกี่ยวอยู่ระหว่างพื้นที่มงคลระดับล่างกับระดับกลาง นี่จึงหมายความว่าทุกชีวิตของแคว้นหนันเยวี่ยน ไม่ว่าจะเป็นคนหรือภูตพืชหญ้าทั้งหลาย ก็ล้วนมีความหวังในการฝึกตน

แต่ปมของปัญหานั้นอยู่ที่ว่าขอแค่ยังไม่ได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ต่อให้ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนและทางราชสำนักจะแต่งตั้งองค์เทพภูเขาแม่น้ำ ก็ยัง ไม่สามารถรั้งปราณวิญญาณไว้ได้อยู่ดี ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลแห่งนี้จะต้องสลายหายไป อีกทั้งยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อให้เป็นองค์เทพของขุนเขาใหญ่อย่างเว่ยป้อก็ยังไม่อาจตามหาเบาะแสของปราณวิญญาณที่ไหลหายไปได้ นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะรั้งปราณวิญญาณให้ไหลหายได้ช้าลงเลย ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนของตอนนี้ก็คือจะทุ่มเงินอย่างไรถึงจะสามารถเลื่อนขั้นพื้นที่มงคลรากบัวให้กลายเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้ สามารถทุ่มเงิน แต่จะทุ่มอย่างไร ทุ่มลงไปที่ไหน นี่ถือเป็นความรู้ใหญ่อีกข้อหนึ่ง ไม่ใช่ว่าโยนเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ไปส่งเดชก็ได้แล้ว หากทำ ได้ดี เงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญก็ไม่แน่ว่าอาจจะรั้งปราณวิญญาณของเงินร้อนน้อย ไว้ได้เก้าเหรียญ แต่หากทำได้ไม่ดี รั้งปราณวิญญาณของเงินร้อนน้อยไว้ได้สี่ห้าเหรียญก็ถือว่าโชคดีแล้ว

หากเป็นเวลาปกติก็ยังดี แต่พอเจอกับเรื่องเช่นนี้ ทรัพย์สมบัติของภูเขาลั่วพั่ว มีไม่มากพอ อยู่ดีๆ กลับมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพิ่มเข้ามา เมื่อเทียบกับการสร้าง ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาลั่วพั่วก่อนหน้านี้ที่ต้องเจอกับอุปสรรครอบด้านแล้ว คราวนี้อุปสรรคกลับยิ่งหนักเข้าไปอีก

ก่อนจะทุ่มเงินก้อนใหญ่ยังมีปัญหายากรออยู่อีก จะยืมเงินอย่างไร ยืมจากใคร ยืมเท่าไร

หลังจากที่ปัญหาสองข้อนี้ได้รับการแก้ไขแล้ว นั่นถึงจะเป็นปัญหาข้อที่ว่าควรจะลงนามสัญญากับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนและจ้งชิวอย่างไร รวมไปถึงหลังจากนั้นก็ยังมีเรื่องยิบย่อยอย่างที่ว่าควรจะแอบเอาสมบัติอาคมอาวุธวิเศษตระกูลเซียนมาแอบ จัดวางเอาไว้ หรือจะกระจายวิชาลับการฝึกตนออกไปอย่างไรรออยู่อีก ต่อมาถึงจะเป็นงานพิธีการอีกชุดใหญ่ที่ต้องให้แคว้นหนันเยวี่ยนแต่งตั้งองค์เทพแห่งภูเขาแม่น้ำ รวมไปถึงข้อที่ว่าสรุปแล้วภูเขาลั่วพั่วจะได้ผลประโยชน์จากพื้นที่มงคลรากบัว ได้อย่างไร เพื่อรับรองว่าจะไม่ใช่การวิดน้ำให้แห้งเพื่อจับปลา อีกทั้งยังสามารถทำให้พื้นที่มงคลระดับกลางมีหวังว่าจะได้เลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง และในอนาคตจะมีผู้ฝึกตนเซียนดินกลุ่มใหญ่ที่ภูเขาลั่วพั่วสามารถเรียกมาใช้งานได้ปรากฎตัว

และนี่ก็ยิ่งเป็นการบีบให้ภูเขาลั่วพั่วต้องรับสถานะ ‘เทพเทวดาบนสรวงสวรรค์’ เพื่อคอยสร้างกฎระเบียบที่รอบคอบมั่นคงให้แก่พื้นที่มงคลรากบัว

จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อต่างก็เสนอแผนการของตนเองอย่างละเอียด จากนั้นก็ช่วยกันตรวจสอบหาช่องโหว่และแก้ไข

จูเหลี่ยนยังส่งจดหมายไปหาหลูป๋ายเซี่ยงด้วยตัวเองหนึ่งฉบับอย่างที่หาได้ยาก เขาต้องการให้นอกเหนือจากการรวบรวมกลุ่มอำนาจแล้ว อีกฝ่ายจะเริ่มสะสม เงินเทพเซียนได้แล้ว

ส่วนจดหมายฉบับของเว่ยเซี่ยนนั้น แค่ส่งให้ชุยตงซานก็พอ อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ยังต้องส่งให้ชุยตงซานนั่นแหละ ถึงอย่างไรก็เป็นลูกศิษย์ของนายน้อยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

ทางฝั่งของสุยโย่วเปียนที่อยู่ในสำนักกุยหยกต้องใช้กระบี่บินข้ามทวีปที่ผลาญเงินก้อนใหญ่ จูเหลี่ยนจึงอดด่ามารดาอีกฝ่ายคำหนึ่งไม่ได้

เขาบอกกับสุยโย่วเปียนว่าอย่าได้ถ่วงเวลาการฝึกตนของตัวเอง แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องมีสำนึกเสียบ้าง หมั่นคอยหาสมบัติอาคมส่งมาให้บ้านเดิมบ่อยๆ

เว่ยป้อที่พอถึงช่วงทำการค้าก็พูดคุยภาษาการค้า บอกว่าเขายินดีจะไปขอยืมเงินจากกองกำลังฝ่ายต่างๆ ที่สนิทสนมคุ้นเคยกับราชสำนักต้าหลี แต่ส่วนแบ่งหลังจากที่พื้นที่มงคลรากบัวได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว จะต้องให้เหมือนกับ ส่วนแบ่งของท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ที่จำเป็นต้องมี จะขาดไปไม่ได้

ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเริ่มเปลี่ยนสีหน้าไม่เห็นแก่ความสัมพันธ์ในเวลาปกติ เขายืนกรานหนักแน่นว่านอกจากที่เว่ยป้อจะต้องเอาเงินฝนธัญพืชในจำนวนที่มากพอออกมาแล้ว ผลประโยชน์ของพื้นที่มงคลรากบัว เขาเว่ยป้อจะได้ไปแค่ส่วนเดียวเท่านั้น ไม่ใช่ สองส่วนอย่างที่ตัวเว่ยป้อเสนอมา ไม่เพียงเท่านี้ จูเหลี่ยนยังคิดจะขีดเส้นจำกัดเวลาด้วย โดยมีระยะเวลาอยู่ที่หนึ่งพันปี หากหลังจากนั้นเว่ยป้อยังต้องการส่วนแบ่งก็ต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชส่วนต่างมาเพิ่ม ส่วนจำนวนที่แน่ชัด ถึงเวลานั้นค่อยปรึกษากันอีกที

แน่นอนว่าเจิ้งต้าเฟิงย่อมช่วยจูเหลี่ยน

ในขณะเดียวกันกับที่เว่ยป้ออาศัยช่องทางต่างๆ ของตนไปขอยืมเงินติดหนี้ผู้อื่นจำนวนมหาศาล ก็ค่อยๆ รับมือกับเจ้าสองคนนี้ไปช้าๆ ด้วย

การกระทำนี้ของเว่ยป้อ ทั้งจูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงต่างก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะเว่ยป้อทำอะไร ย่อมต้องรู้หนักรู้เบาอยู่แล้ว

เมื่อปรึกษากันถึงความเป็นไปได้รูปแบบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นหลังจากได้รับจดหมายจากชุยตงซาน คนทั้งสามกลับมีความคิดสอดคล้องต้องกัน นั่นคือไม่ว่าคนผู้นี้จะออกเงินเทพเซียนมากน้อยเท่าไร ก็จะไม่ยอมอนุญาตให้เขามามีส่วนแบ่งด้วยเด็ดขาด ต่อให้ชุยตงซานจะใช้ข้ออ้างว่าขอยืมเงินมาเจรจากับภูเขาลั่วพั่วก็ไม่ได้

วันนี้คนทั้งสามมารวมตัวกันอีกครั้งในลานบ้านขนาดเล็กของจูเหลี่ยน เว่ยป้อถอนหายใจ เอ่ยเนิบช้าว่า “คำนวณผลลัพธ์ออกมาแล้ว อย่างน้อยที่สุดต้องใช้ เงินฝนธัญพืชสองพันเหรียญ อย่างมากที่สุดก็คือเงินฝนธัญพืชสามพันเหรียญ

ถึงจะพอเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางได้อย่างถูไถ ยิ่งถ่วงเวลาล่าช้าเท่าไร ก็ยิ่งเผาผลาญเงินมากเท่านั้น”

จูเหลี่ยนกล่าว “ยังไม่ได้รับจดหมายตอบกลับจากตระกูลฟ่านและตระกูลซุนของนครมังกรเฒ่า”

ตามข้อสรุปที่ได้หลังจากการปรึกษากันของคนทั้งสาม หากสองตระกูลนี้ยินดีให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงิน ทางที่ดีที่สุดควรจะคิดดอกเบี้ยมาด้วย แล้วภูเขาลั่วพั่วก็จะใช้ เงินคืนให้พวกเขาตามกำหนดสัญญา แต่หากทั้งสองตระกูลต่างก็ยินดีจะควักเงินฝนธัญพืชก้อนใหญ่ ก็สามารถแบ่งผลประโยชน์ส่วนหนึ่งไปจากพื้นที่มงคลรากบัว ได้ หรือไม่ก็ใช้วิธีที่ภูเขาลั่วพั่วนำผลเก็บเกี่ยวครึ่งหนึ่งบวกกับเงินต้นปลอดดอกเบี้ย อีกครึ่งหนึ่งค่อยๆ ใช้คืนให้พวกเขา เพียงแต่ว่าคนทั้งสามก็ได้คิดถึงผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว นั่นคือทั้งสองตระกูลต่างก็รู้สึกว่าผลประโยชน์น้อยเกินไป หรือไม่ก็ช้าเกินไป จึงเลือกจะปฏิเสธภูเขาลั่วพั่วอย่างละมุนละม่อม

ตอนนี้หร่วนฉงกลับจากขุนเขาใหม่แห่งหนึ่งของต้าหลีมาถึงเขตการปกครอง หลงเฉวียนแล้ว แต่กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นเพื่อนบ้านกันนี้ คนทั้งสาม ไม่แม้แต่จะคิดถึง ใครก็ไม่ยินดีจะเป็นคนเอ่ยถึง เพราะทั้งสองฝ่ายไม่ควรจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกันมากเกินไป ถึงอย่างไรเฉินผิงอันต่างหากที่ถึงจะเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่วที่แท้จริง แผนการต่างๆ จึงจำเป็นต้องพิจารณาถึงสภาพการณ์ของเฉินผิงอันเป็นหลัก

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “งั้นก็ให้เว่ยป้อจัดงานเลี้ยงท่องราตรีอีกสักครั้งไปเลยสิ ขายุงอย่างไรก็ยังเป็นเนื้อ พอผ่านไปอีกสองวันเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบแล้วก็จัดอีกครั้ง แบบนี้ก็เท่ากับว่าได้ขายุงมาสองขาแล้ว”

เว่ยป้อกล่าวอย่างระอาใจ “หน้าไม่อายขนาดนี้ ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรกระมัง?”

เจิ้งต้าเฟิงหันหน้าไปมองจูเหลี่ยน ยิ้มกล่าว “เจ้าคิดว่าเหมาะหรือไม่?”

จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าคิดว่าเหมาะอย่างมาก”

เว่ยป้อหัวเราะ “เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะจัดงานเลี้ยง เก็บรวบรวมเอาเงินเทพเซียนและอาวุธวิเศษรูปแบบต่างๆ มาอีกสักครั้ง”

เจิ้งต้าเฟิงกล่าว “แต่ว่าหากถึงเวลานั้นแล้วร้านใหม่ที่เปิดบนภูเขาหนิวเจี่ยวเอาของขวัญกราบภูเขาที่ยังไม่ทันหายร้อนออกมาขายในราคาสูง ข้าว่านั่นต่างหากที่เรียกว่าหน้าไม่อายจริงๆ”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ข้าขายเอง เดี๋ยวข้าจะเป็นเถ้าแก่ให้เอง ไม่ต้องให้เทพภูเขาเว่ยป้อออกหน้าเสียหน่อย จะต้องกลัวอะไร อย่างมากก็แค่ให้ภูเขาพีอวิ๋นป่าวประกาศออกไปว่าโจรปล้นบ้านเทพภูเขาเว่ย ของถูกขโมยไปเกลี้ยง”

เว่ยป้อนวดคลึงหว่างคิ้ว “เปิดร้านตั้งแต่ก่อนจัดงานเลี้ยงท่องราตรีไปเลยดีกว่า ถึงอย่างไรก็หน้าไม่อายอยู่แล้ว ก็ให้พวกเขารู้กันไปเลยว่าตอนนี้ข้าขาดเงินอย่างมาก”

เจิ้งต้าเฟิงจุ๊ปากพูด “ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าจำเป็นต้องใช้เงินเทพเซียนมาช่วยเพิ่มโอกาสในการฝ่าทะลุขอบเขต การจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สองนี้ก็จะมีความนัยอย่างลึกซึ้งแล้ว ไม่แน่ว่าของขวัญกราบภูเขาอาจจะไม่แย่กว่าครั้งแรกเลยก็ได้”

จูเหลี่ยนและเจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามายิ้มให้กัน

จากนั้นคนทั้งสามก็เริ่มทบทวนรายละเอียดในการที่จะทำให้พื้นที่มงคลเลื่อนขั้นเป็นระดับกลางกันอีกครั้ง

คราวก่อนหลังจากที่จูเหลี่ยนกับเผยเฉียนเข้าไปในแคว้นหนันเยวี่ยนของพื้นที่มงคลดอกบัวด้วยกัน จูเหลี่ยนก็กลับไปเพียงลำพังอีกครั้ง การเปิดปิดประตูของพื้นที่มงคลไม่ใช่ว่าจะทำได้ง่ายตามใจชอบ เพราะปราณวิญญาณจะไหลหายไปมหาศาล ง่ายที่จะสร้างบาดแผลสะเทือนถึงเส้นเอ็นและกระดูกให้กับพื้นที่มงคลรากบัว

ดังนั้นการเข้าไปในพื้นที่มงคลแห่งใหม่ทุกครั้งล้วนจำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก จูเหลี่ยนไปหาราชครูจ้งชิว และภายใต้การแนะนำของจ้งชิว เขาก็ได้พบกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยน การพูดคุยกันไม่นับว่าน่าอภิรมย์นัก แต่ก็ไม่ถือว่า ตึงเครียดมากเกินไป ภายหลังเป็นจ้งชิวที่เอ่ยประโยคหนึ่งซึ่งช่วยทำให้สถานการณ์ ดีขึ้น เป็นคำถามที่คล้ายจะถามถึงตัวตนของจูเหลี่ยน ด้วยการหยั่งเชิงถามว่าเขาใช่ จูเหลี่ยนคุณชายผู้สูงศักดิ์ในตำนานคนนั้นหรือไม่ จูเหลี่ยนไม่ได้ยอมรับหรือปฏิเสธ ทว่าฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนกลับหน้าเปลี่ยนสีไปทันที ความลังเลใจลดน้อยลงไปหลายส่วน

ตอนนี้จูเหลี่ยนเป็น ‘เจ๋อเซียน’ ผู้นั้น ฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนย่อมกริ่งเกรงอยู่มาก

แต่หากเจ๋อเซียนที่หล่นลงมาจากฟ้าผู้นี้ คือจูเหลี่ยนคนนั้น ฮ่องเต้หนันเยวี่ยน ก็เหลือเพียงความหวาดกลัวแล้ว

เหตุผลก็เรียบง่ายมาก ในประวัติศาสตร์มีคนบ้าวรยุทธคนใดบ้างที่ใช้กำลังของคนคนเดียวสังหารคนทั้งเก้า ฆ่าปรมาจารย์ใหญ่เก้าคนเสียสิ้นซาก สนามรบก็อยู่ที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนนี่เอง!

พูดคุยเรื่องการค้ากับคนแบบนี้ ใครบ้างจะไม่กลัว?

สุดท้ายจูเหลี่ยนจึงพูดกับฮ่องเต้แคว้นหนันเยวี่ยนประโยคหนึ่งว่า เหนือฟ้ายังมีฟ้า วิชาแห่งความเป็นอมตะของด้านนอกไม่ใช่สิ่งที่พื้นที่มงคลดอกบัวของพวกเจ้าสามารถเทียบเคียงได้ ฮ่องเต้หลายพระองค์ที่ฝึกหลอมโอสถเพื่อให้กลายเป็นเซียนต้องตายไป ก็เพียงแค่เพราะใช้วิธีการไม่ถูกต้องเท่านั้น

ดังนั้นสายตาของฮ่องเต้พระองค์นั้นจึงเปลี่ยนจากหวาดกลัวมาเป็นเร่าร้อน

แม้ว่าราชครูจ้งชิวจะเต็มไปด้วยความกังวลใจ ทว่าตอนนั้นเขากลับไม่ได้เอ่ยอะไรมาก

คนทั้งสามในลานเรือนหลังเล็กพูดคุยเรื่องใหญ่กันเสร็จแล้ว อันดับต่อมาก็มีเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง

เรื่องการฝึกวรยุทธของเผยเฉียน

เสียงร้องแผดดังลั่น เสียงร่ำไห้โหยหวน

ทางฝั่งชั้นสองของเรือน เป็นอย่างนี้แทบทุกวัน

เว่ยป้อค่อนข้างเป็นกังวลว่าสภาพจิตใจของเผยเฉียนจะเปลี่ยนไป ถึงเวลานั้น พอเฉินผิงอันกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ใครจะเป็นคนรับผิดชอบ?

เจิ้งต้าเฟิงบอกว่าตนคือคนเฝ้าประตูใหญ่ตรงตีนเขา แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ดูแลใหญ่อย่างจูเหลี่ยนที่ต้องรับผิดชอบ จูเหลี่ยนบอกว่าตัวเองแบกรับความรับผิดชอบนี้ไม่ไหว งั้นก็ให้ผู้อาวุโสชุยเฉิงของเรือนไม้ไผ่เป็นผู้แบกรับไว้แล้วกัน เว่ยป้อได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกพูดไม่ออก

เว่ยป้อลังอยู่นาน ก่อนเอ่ยประโยคหนึ่งว่า “หากเฉินผิงอันเกิดโทสะจริงๆ ถึงอย่างไรข้าก็หลบอยู่ในภูเขาพีอวิ๋นได้ พวกเจ้าสองคนน่ะจะหนีไปไหนได้?”

เจิ้งต้าเฟิงมองจูเหลี่ยน “จะดีจะชั่วข้าก็อยู่ไกลจากเรือนไม้ไผ่มาหน่อย”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เอาน่า ไม่มีทางมีปัญหาใหญ่อะไรหรอก หากมีจริงๆ ก็คงไม่มีใครขวางได้อยู่ บางทีหากนายน้อยของข้าอยู่บนภูเขาด้วย เรื่องราวอาจจะดียิ่งกว่านี้ แต่ในเมื่อเขาไม่อยู่ อีกทั้งเหตุการณ์ก็เกิดขึ้นอย่างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แล้ว พวกเราก็ได้แต่นิ่งเฉยรอดูความเปลี่ยนแปลงไปนั่นแหละ”

เว่ยป้อปวดหัวแปลบ จึงขอตัวจากไปเสียเลย

เจิ้งต้าเฟิงคิดแล้วก็ลงจากภูเขา ไปที่เมืองเล็ก

เขาไปที่ร้านยาตระกูลหยางมารอบหนึ่ง ไม่ได้ไปยืมเงิน แต่ไปถามเรื่องที่ต้องระวังเกี่ยวกับการจัดการดูแลพื้นที่มงคล

ผู้เฒ่าที่พ่นควันโขมงไม่ได้เปิดปากตอบคำถามเรื่องหยุมหยิมเหล่านั้น เพียงแค่เอ่ยเหน็บแนมว่า “เห็นภูเขาลั่วพั่วเป็นบ้านของตัวเองจริงๆ หรือไร?”

บุรุษหลังค่อมยิ้มกล่าว “ข้ารู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีมากๆ”

หยางเหล่าโถวจึงเอ่ยว่า “เรื่องเล็กพวกนี้ เจ้าส่งจดหมายไปที่ยอดเขาสิงโตของอุตรกุรุทวีป หลี่หลิ่วจะบอกเจ้าเอง”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ

ก่อนที่เขาจะถามอีกว่า “ยันต์ปราณที่แท้จริงสองตำลึงนั่น ข้าสามารถใช้กับ คนอื่นได้หรือไม่?”

หยางเหล่าโถวตอบ “ตามใจเจ้า”

เจิ้งต้าเฟิงจึงลุกขึ้นยืนแล้วจากไป

ที่ด้านหน้าของร้าน ชายหลังค่อมฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงิน พูดเย้าหยอกกับ ศิษย์น้องหญิงของตัวเองอยู่สองสามคำก็ทำเอาศิษย์น้องอีกคนอัดอั้นตันใจจนนึกอยากจะอัดคน

ทางฝั่งของภูเขาลั่วพั่ว

ยามฟ้าสาง แม่นางน้อยผิวดำเกรียมที่เดิมทีควรจะไปอยู่ชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ วิ่งตะบึงมาถึงตีนเขาของภูเขาลั่วพั่ว นางนั่งอยู่บนขั้นบันไดแล้วแอบปาดน้ำตาทิ้ง

เดินออกไปอีกก้าวก็ถือว่าออกจากภูเขาลั่วพั่วแล้ว

ดังนั้นนางจึงนั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น

อีกอย่างนางก็รู้ด้วยว่า หากไปเรือนไม้ไผ่สาย มีแต่จะยิ่งต้องเจอกับความลำบากมากขึ้นเท่านั้น

รอจนนางลุกขึ้นยืนช้าๆ คิดจะเดินขึ้นเขาไป

กลับพบว่าพ่อครัวเฒ่ามานั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลังตน

เผยเฉียนที่ในมือถือไม้เท้าเดินป่าพูดอย่างขุ่นเคืองว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้ากลัวว่าข้าจะแอบวิ่งกลับไปที่ร้านตรอกฉีหลงใช่ไหม?! ข้าเป็นคนขี้ขลาดแบบนั้นหรือ?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “ข้าไม่คิดว่าการที่เจ้าวิ่งกลับไปตรอกฉีหลงแล้วจะมีอะไรที่ไม่ดี”

เผยเฉียนนั่งแปะกลับลงไปที่เดิม เอาไม้เท้าเดินป่าวางพาดขวาง จากนั้นก็ยกสองมือกอดอก โทสะผุดพุ่งเดือดดาล

จูเหลี่ยนที่นั่งอยู่บนขั้นบันไดด้านหลังยิ้มกล่าวว่า “หากกลัวว่านายน้อยจะผิดหวัง ข้าว่าไม่มีความจำเป็นเลย อาจารย์ของเจ้าไม่มีทางผิดหวังในตัวเจ้าเพียงเพราะเจ้า ฝึกหมัดได้แค่ครึ่งทางก็ล้มเลิกกลางคัน และยิ่งไม่มีทางโกรธเจ้า วางใจเถอะ ข้าไม่โกหกเจ้าหรอก มีเพียงเจ้าแอบอู้จนถ่วงเวลาการคัดตัวอักษร นั่นต่างหากที่จะทำให้เขาผิดหวัง”

น้ำตาของเผยเฉียนไหลพรั่งพรูออกจากกรอบดวงตา

ทุกครั้งที่ถูกเฉินหรูชูแบกออกมาจากเรือนไม้ไผ่แล้วตื่นขึ้นมาในอ่างยาสมุนไพร ไม่ว่าจะเจ็บหนักแค่ไหนนางก็ต้องไปคัดตัวอักษรให้ได้ แต่จิตวิญญาณที่สั่นสะเทือน เรือนกายที่สั่นสะท้าน จะทำให้สองมือไม่สั่นได้อย่างไร?

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่ว่านางจะกัดฟันยืนหยัดแค่ไหน ไม่ว่าจะใช้วิธีมากมายเท่าไร ยกตัวอย่างเช่นมัดพู่กันติดมือเอาไว้ แต่นางก็ยังไม่สามารถเขียนตัวอักษรที่เป็นระเบียบได้สักตัว ตอนนี้จึงติดหนี้ไว้มากมายแล้ว

จูเหลี่ยนพูดกับแผ่นหลังบอบบางนั้นอีกว่า “แต่เรื่องของการเกียจคร้านนั้น แบ่งได้เป็นสองประเภท ความเกียจคร้านด้านจิตใจเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่า หากนอกเหนือจากการฝึกหมัดแล้วเจ้าสามารถชดใช้ที่หนี้ติดค้างไว้ได้ ก็ไม่ถือว่า เป็นการขี้เกียจที่แท้จริง กลับกันอาจารย์ของเจ้าจะยิ่งรู้สึกว่าเจ้าทำถูกแล้ว เพราะอาจารย์ของเจ้าคิดมาโดยตลอดว่า ทุกคนล้วนมีเรื่องที่ตัวเองทำได้ไม่ดี บางครั้งจะมีใจแต่ไร้กำลังบ้างก็ไม่ใช่ความผิดอะไร รอจนมีใจมีกำลังแล้ว และยังสามารถชดเชยส่วนที่ขาดหายไปได้ ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่หาได้ยาก”

เผยเฉียนเช็ดหน้า ลุกขึ้นยืนเงียบๆ แล้ววิ่งขึ้นเขาไป

จูเหลี่ยนนั่งอยู่ที่เดิม หันหน้ามองตามไป

วันหนึ่งในขณะที่จูเหลี่ยนกำลังทำกับข้าวอยู่ในห้องครัว ถือว่าแตกต่างไปจากความไม่ตั้งใจในเวลาปกติ เพราะวันนี้เขาจัดเตรียมอาหารตามฤดูกาลขึ้นอย่าง ประณีตตั้งใจ

ก็เพราะตรงหน้าประตูห้องครัวมีแม่นางผิวดำเกรียมที่ยืนโงนเงนจะล้มมิล้มแหล่ สองไหล่ลู่ห้อยตก สีหน้าขาวซีด เดินโซเซมาจนถึงที่นี่แล้วก็บอกว่า วันนี้นางรู้สึก อยากอาหาร

ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงเตรียมจะให้รางวัลกับร่างกายของถ่านดำน้อยผู้นี้สักหน่อย

ต่อมาเฉินยวนจีก็มาบอกว่ามีแขกมาเยี่ยมเยือนภูเขาลั่วพั่ว มาจากนครมังกรเฒ่า บอกว่าตัวเองชื่อซุนเจียซู่

ตอนนั้นจูเหลี่ยนที่ผูกผ้ากันเปื้อนไว้รอบเอวร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วก็บอกแค่ว่า ให้เจ้าประมุขตระกูลซุนผู้นั้นรอไปก่อน หากไม่ได้จริงๆ ก็ตะโกนเรียกชื่อเว่ยป้อดังๆ ให้เจ้าหมอนั่นออกมารับรองแขกก่อน

เผยเฉียนจึงเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าไปทำธุระสำคัญก่อนเถอะ ทำกับข้าวได้ตั้งหลายอย่างแล้ว แค่นี้ก็พอกิน เดี๋ยวข้าบอกให้โจวหมี่ลี่ยกขึ้นโต๊ะเอง”

ภูตน้ำน้อยที่ช่วยแบกไม้เท้าเดินป่าให้เผยเฉียนอยู่ในลานบ้านรีบยืดเอวตั้งตรง ตะโกนเสียงดังว่า “โจวหมี่ลี่ผู้พิทักษ์ชั่วคราวฝ่ายขวาแห่งร้านยาสุ้ยตรอกฉีหลง รับคำสั่ง!”

เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที ก่อนหันหน้ามาพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “หากทำงานได้ดี วันหน้ารอให้อาจารย์ข้ากลับมาเมื่อไร ข้าจะช่วยพูดถึงเจ้าดีๆ ต่อหน้าอาจารย์ ให้เจ้าได้เลื่อนขั้นเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาแห่งภูเขาลั่วพั่วก็น่าจะพอมีโอกาสอยู่บ้าง”

โจวหมี่ลี่ยิ่งยืดอกตั้งตรง ยิ้มปากกว้าง แต่ไม่นานก็รีบหุบปากลง

ทว่าจูเหลี่ยนที่อยู่ในห้องครัวกลับเอ่ยขึ้นโดยไม่ได้หันหน้ามา “ข้ารู้สึกว่างานที่ทำอยู่ตอนนี้ก็คือธุระสำคัญ”

เผยเฉียนลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่า เจ้าไปพบใครที่ว่านั่นก่อนเถอะ ทำกับข้าวเยอะขนาดนี้ ถ้ากินไม่หมดจะทำอย่างไร”

โจวหมี่ลี่กำลังจะเอ่ยถ้อยคำที่เปี่ยมไปด้วยความชอบธรรม กลับถูกเผยเฉียน หันหน้ามาถลึงตาใส่ โจวหมี่ลี่จึงรีบพูดเสียงดังทันทีว่า “วันนี้ข้าไม่หิว!”

จูเหลี่ยนถึงได้วางกระทะลง ปลดผ้าคลุมกันเปื้อนออกแล้วเดินออกจากห้องครัวทะลุผ่านลานเรือนออกไป

ทางฝั่งของห้องหลัก เผยเฉียนให้โจวหมี่ลี่ยกอาหารเหล่านั้นขึ้นโต๊ะ แต่ที่ทำให้โจวหมี่ลี่แปลกใจก็คือเผยเฉียนยังสั่งให้นางหยิบชามกับตะเกียบเพิ่มมาอีกหนึ่งชุด แล้ววางลงบนตำแหน่งประธานที่หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่

โจวหมี่ลี่หยิบถ้วยใบใหญ่มาหนึ่งใบ ตักข้าวใส่ถ้วยจนเต็ม แล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวตัวเดียวกับเผยเฉียน เพราะโจวหมี่ลี่จำเป็นต้องช่วยคีบกับข้าวป้อนเผยเฉียน นี่เป็นเรื่องที่เป็นปกติไปแล้วสำหรับช่วงที่ผ่านมานี้ เพราะนางที่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาจะต้องคอยสร้างความดีความชอบ เผยเฉียนบอกแล้วว่า เรื่องแต่ละอย่างที่โจวหมี่ลี่ทำ นางเผยเฉียนจะจดลงบนสมุดบันทึกความดีความชอบ รอให้วันใดที่อาจารย์กลับบ้านมาก็จะเป็นช่วงเวลาของการคิดคำนวณความดีความชอบแล้วตบรางวัล

ทุกครั้งที่โจวหมี่ลี่ป้อนอาหารให้เผยเฉียนหนึ่งคำ ตัวนางเองจะสวาปามคำใหญ่ ทว่าพอเงยหน้าขึ้นก็เห็นว่าเผยเฉียนหันไปมองตำแหน่งว่างเปล่าที่วางถ้วยข้าวและตะเกียบไว้นิ่งๆ จากนั้นเผยเฉียนก็ถอนสายตากลับคล้ายจะอารมณ์ดี โคลงศีรษะ ยักไหล่ บอกโจวหมี่ลี่ว่าให้เติมข้าวให้นางอีกถ้วยเล็ก วันนี้นางต้องกินให้มากหน่อย กินอิ่มแล้ว พรุ่งนี้นางถึงจะได้กินหมัดได้มากขึ้นอีกหน่อย

โจวหมี่ลี่ลุกขึ้นแล้วเดินตุปัดตุเป๋ถือถ้วยข้าวที่ว่างเปล่าไปเติมข้าวจากถังข้าวที่ตั้งวางอยู่บนม้านั่งตัวเล็กด้านข้าง

ตอนที่หันหลังให้เผยเฉียน ภูตน้ำน้อยก็แอบปาดน้ำตา สูดจมูก นางไม่ได้โง่จริงๆ เสียหน่อย จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าวันนี้ข้าวทุกคำที่เผยเฉียนกินเข้าไปล้วนทำให้นางเจ็บปวดรวดร้าวไปทั่วทั้งตัว

วันนี้คือวันที่ห้าเดือนห้า

……

ผู้ฝึกตนเข้าภูเขาที่มีชื่อเสียงได้ง่าย

เฉินผิงอันไปเจอกับบัณฑิตและเด็กรับใช้คู่หนึ่งในภูเขาลึกของแคว้นฝูฉวี เป็นคนธรรมดาสองคน บัณฑิตคือคนที่ผิดหวังจากการสอบเคอจวี่ เพราะได้อ่านนิยายเรื่องเล่าพิสดารและบทประพันธ์ของกวีมาก่อน

ได้ยินมาว่ายอดฝีมือที่บรรลุมรรคาทั้งหลายมักจะมาซ่อนตัวอยู่ในป่าเขาอย่างสันโดษ จึงอยากจะลองมาตามหาดูสักคนสองคน ดูสิว่าจะสามารถเล่าเรียนวิชาตระกูลเซียนได้บ้างหรือไม่ เพราะมีความรู้สึกว่าทำอย่างนี้น่าจะง่ายกว่าการสอบติดกระดานทองคำแล้วกลับคืนบ้านเกิดด้วยความภาคภูมิใจ ดังนั้นจึงไล่ตามหาอยู่ตามวัดวาอารามและป่าเขาอย่างเหนื่อยยาก ตลอดทางที่ผ่านมาต้องเจอกับ ความยากลำบากมากมาย ตอนที่เฉินผิงอันเจอกับพวกเขาบนทางสายเล็กในป่า บัณฑิตหนุ่มและเด็กรับใช้ที่เป็นเด็กหนุ่มก็ผ่ายผอมจนใบหน้าเหลืองแห้งตอบ ท้องร้องดังโครกครากด้วยความหิวโหย ภายใต้แสงแดดที่ส่องแสงแรงกล้า เด็กหนุ่มกำลังพยายามจับปลาอยู่ในลำธารสายเล็กอย่างยากลำบาก บัณฑิตหนุ่มนั่งหลบร้อนรับลมเย็นอยู่ใต้ร่มไม้ คอยถามอยู่เป็นระยะว่าจับปลาได้หรือยัง เด็กหนุ่ม ที่เหน็ดเหนื่อยสุดขีดรู้สึกอัดอั้นตันใจนัก ทว่าก็ได้แต่ตอบว่ายังไม่ได้เลย ตอนนั้น เฉินผิงอันนอนเอนตัวอยู่บนกิ่งต้นสนโบราณ หลับตาทำสมาธิ ขณะเดียวกันก็ฝึก ท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูและท่านอนเชียนชิวไปพร้อมกัน สุดท้ายกว่าที่เด็กหนุ่มจะจับปลาหวงกู่โผที่มีครีบแหลมตัวหนึ่งมาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาดีใจเป็นล้นพ้น ใช้สองมือกุมปลาเอาไว้แน่น ตะโกนพูดเสียงดังบอกว่าปลาตัวใหญ่มากเลย กำลังโอ้อวดผลงานกับคุณชายของตัวเองอย่างอารมณ์ดี ผลกลับกลายเป็นว่าความเจ็บปวดแล่นปราดมาจากฝ่ามือ จึงปล่อยมือออก ปลาก็ดิ้นหลุดหายจ๋อมไปในน้ำ บัณฑิตหนุ่มคนนั้น โยนใบกล้วยที่เอามาใช้แทนพัดทิ้ง เดิมทีกำลังคิดจะมอง ‘ปลาใหญ่’ ตัวนั้นให้ชัดๆ กลับได้เห็นเด็กหนุ่มที่ทิ้งตัวนั่งแปะลงในธารน้ำแล้วแผดเสียงร้องไห้โฮแทน บัณฑิตหนุ่มถอนหายใจหนึ่งที บอกว่าไม่ต้องรีบร้อนๆ แล้วตามด้วยประโยคปลอบใจว่าได้มาถือเป็นความโชคดี เสียไปถือเป็นโชคชะตา คิดไม่ถึงว่าพอเด็กหนุ่มได้ยิน จะยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า ทำเอาบัณฑิตหนุ่มยกมือเกาหัวอย่างกลัดกลุ้ม

เฉินผิงอันจึงหยิบเอาหีบไม้ไผ่มาสะพายไว้บนหลัง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวอันใหม่เอี่ยม พลิ้วกายลงบนเส้นทางภูเขา แล้วเดินเนิบช้าไป ‘บังเอิญเจอ’ กับ บัณฑิตหนุ่มและเด็กหนุ่ม ครั้นจึงปลดหีบไม้ไผ่ลง ม้วนชายกางเกงและชายแขนเสื้อ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแค่ลงลำธารไป

เล็งไปยังจุดที่มีปลาว่ายผ่านค่อนข้างเยอะ จากนั้นก็เริ่มย้ายก้อนหิน เอามาสร้างเป็นเขื่อนอยู่ตอนบนของน้ำตำแหน่งติดริมฝั่ง ก้อนหนึ่งวางนอน ก้อนหนึ่งวางตั้ง แล้วก็วางนอนอีกที ต่อมาก็เริ่มจับปลาอยู่ในเขตอิทธิพลของตัวเองที่น้ำตื้นไม่ถึงฝ่ามือ เพียงไม่นานก็มีปลาหวงกู่โผ (ลักษณะเหมือนปลาข้างเหลือง/ปลาสีกุน) และ ฉวนติงจื่อ (หรือปลากุดเจียนจิ้งจกจีน Saurogobio dabryi ลักษณะเป็นปลาตัวเล็กๆ เรียวๆ เหมือนจิ้งจก) ถูกจับโยนขึ้นไปบนฝั่ง เด็กหนุ่มคนนั้นดวงตาเป็นประกายวาบ รู้สึกว่าหากอิงตามคำบอกของคุณชาย เมื่ออยู่ในยุทธภพ นี่เรียกว่าการถูก กรอกสติปัญญาเข้าสมอง ถูกผู้อาวุโสในยุทธภพที่ถูกใจในฐานกระดูกกรอกเท พลังยุทธหกสิบปีใส่มาให้ เมื่ออยู่บนภูเขา นี่จะเรียกว่าเซียนถ่ายทอดวิชาอมตะ!

เด็กหนุ่มลืมอาการปวดแสบปวดร้อนกลางฝ่ามือไปเสียสนิท เขาเริ่มย้ายหินวักน้ำเลียนแบบอีกฝ่าย แล้วก็ได้ผลเก็บเกี่ยวดังที่คาดจริงๆ ปลามากมายหลายชนิดที่เขาเรียกชื่อไม่ถูกพากันกรูเข้ามา แม้ว่าจะไม่อาจทัดเทียม ‘ผู้อาวุโส’ ท่านนั้นได้ แต่เอามาเป็นอาหารกลางวันให้พอผ่านไปมื้อหนึ่งของตนกับคุณชายก็มากพอเหลือแหล่ เพียงแต่พอคิดถึงว่าแท่งจุดไฟถูกใช้ไปหมดแล้ว จะก่อไฟย่างปลาอย่างไร บัณฑิตหนุ่มและเด็กหนุ่มก็หันมามองหน้ากันอีกครั้ง หากเส้นทางที่เดินมานี้ ไม่ผิดพลาด พวกเขาก็น่าจะอยู่ห่างจากอำเภอที่ใกล้ที่สุดอย่างน้อยก็อีกร้อยกว่าลี้ ของระยะทางบนภูเขา พวกเขาไม่ได้พบเจอกับกลิ่นควันไฟของการหุงหาอาหาร มานานมากแล้วจริงๆ ช่วงแรกๆ ที่ออกเดินทาง รู้สึกว่าเสียงไก่ขันหมาเห่าตาม หมู่บ้านชนบททั้งหลายน่ารำคาญอย่างถึงที่สุด ทว่าตอนนี้กลับคิดถึงบรรยากาศ แบบนั้นมากจริงๆ

โชคดีที่บุรุษหนุ่มชุดเขียวที่มองไม่เหมือนคนชั่วร้ายผู้นั้นเริ่มสอนสุดยอดวิชาให้กับเด็กหนุ่มอีกหนึ่งอย่าง เขาไปเด็ดหญ้าหางสุนัขมาหลายเส้น แล้วเอาปลาใน ลำธารที่ผ่านการกรีดท้องควักไส้ล้างเรียบร้อยแล้วมาร้อยเข้าพวง จากนั้นก็เอา วางตากแดดไว้บนก้อนหินใหญ่ริมน้ำ เด็กหนุ่มคิดในใจ ไม่สนกับมารดามันแล้ว เรียนเลยก็ใช้เลยแล้วกัน

เขาเอาปลาในลำธารที่ตัวใหญ่หน่อยก็เท่าฝ่ามือ ตัวเล็กหน่อยก็ยาวแค่นิ้วมือมาล้างทำความสะอาด จากนั้นก็วางแนบติดไว้บนก้อนหินริมลำธารที่ร้อนระอุ

บัณฑิตบอกชื่อแซ่ของตัวเอง เขาเป็นคนจากเขตการปกครองลู่จิ่วแคว้นฝูฉวี แซ่หลู่นามตุน เขาเชื้อเชิญให้คนหนุ่มชุดเขียวมานั่งหลบแดดใต้ร่มไม้ด้วยกัน ส่วน เด็กหนุ่มที่เป็นเด็กรับใช้นั้นนั่งอยู่ด้านข้าง คอยมองปลาหลายสิบตัวที่นอนตากแดดแผดเผาอยู่บนก้อนหินห่างไปไม่ไกลแล้วแอบดีใจอยู่กับตัวเอง คนหนุ่มบอกว่าตน แซ่เฉิน มาจากแคว้นเล็กๆ ทางทิศใต้ เดินทางท่องเที่ยวจนมาถึงที่นี่ หลูตุนจึงชวน เขาคุย หลักๆ แล้วคือหวังว่าจะสามารถเดินทางไปร่วมกับคุณชายเฉินที่แบกหีบตำราออกทัศนาจรผู้นี้ เดินทางไปยังบ้านเกิดเขาที่เขตการปกครองลู่จิ่วด้วยกัน ไม่อย่างนั้นเขาที่กระเป๋าฟีบแบนมานานแล้ว และนี่ก็ยังเหลือระยะทางอีกตั้งห้าหกร้อยลี้ จะเดินทางไปอย่างไร? อันที่จริงระหว่างที่ย้อนกลับบ้านเกิดนี้ก็มีตระกูลมีชื่อเสียง ในท้องถิ่นสองแห่งที่ถือว่ามีมิตรภาพกับครอบครัวของเขามาหลายรุ่นหลายสมัย ซึ่งพอจะให้เขาไปขอหยิบยืมค่าเดินทางได้ เพียงแต่ว่าเขาหรือจะกล้าเปิดปากเอ่ยเช่นนั้น อันที่จริงตระกูลที่อยู่ค่อนข้างใกล้นั้นมีคนวัยเดียวกันที่มีชื่อติดบน กระดานดอกซิ่ง (เพราะช่วงประกาศผลสอบมักจะเป็นช่วงที่ดอกซิ่งบานสะพรั่ง จึงเรียกกระดานประกาศผลสอบว่ากระดานดอกซิ่ง) ของการสอบระดับแคว้นใน เมืองหลวงครั้งนี้อยู่ด้วย หากเขาไปเยือนด้วยสภาพเหมือนขอทานเช่นนี้ จะถูกมองเป็นตัวอะไร ส่วนอีกตระกูลหนึ่งนั้น ในตระกูลมีแม่นางงดงามที่เขาเฝ้าคิดถึงคะนึงหา คือสาวงามเลื่องชื่อที่ทั้งเรียบร้อยและอ่อนโยน เขาก็ยิ่งไม่มีหน้าจะไปเยือน

เฉินผิงอันหยิบอาหารแห้งส่วนหนึ่งในหีบไม้ไผ่มายื่นให้คู่นายบ่าว

บัณฑิตหนุ่มเอ่ยขอบคุณแล้วก็ไม่เกรงใจ รับมาแล้วแบ่งให้กับเด็กหนุ่มข้ารับใช้ คนละครึ่ง

คนทั้งสามกินอาหารแห้งด้วยกัน

แล้วเฉินผิงอันจึงพูดให้ฟังว่าปลาที่ตากแดดจนแห้งเหล่านั้นสามารถเอามากินได้โดยตรง ถือว่าพอจะเติมท้องให้หายหิวได้บ้าง

บัณฑิตและเด็กหนุ่มต่างก็ทำท่ากระจ่างแจ้งโดยพลัน

ถึงอย่างไรคนหนุ่มผู้นั้นก็เป็นคนที่เล่าเรียนหนังสือ จึงบอกว่าตนเคยอ่านเจอบันทึกที่คล้ายคลึงกันนี้จากตำราเล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘ตำราเบ็ดเตล็ดซีเจียง’ บอกว่าแสงอาทิตย์ที่แผดเผานั้นน่ากลัวนัก ลองเอาแผ่นแป้งไปแปะผนังอิฐ เพียงครู่เดียว ก็สามารถกลายเป็นแผ่นแป้งย่างได้

เด็กหนุ่มข้ารับใช้รู้สึกภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนว่าคุณชายของตนต้องมีความรู้อย่างมาก

เฉินผิงอันรับฟังคำบรรยายของบัณฑิตหนุ่มอย่างอดทนจนจบ ขณะที่เคี้ยวอาหารช้าๆ ก็คิดถึงเรื่องบางอย่างไปด้วย

ตอนอยู่ท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิงเขาซื้อเทียบฝนธัญพืชยี่สิบสี่ฤดูกาลมาหนึ่งชุด จำนวนมาก แต่กลับราคาไม่แพง แค่ยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ที่แพงก็คือแผ่นป้าย ฝนธัญพืชแผ่นนั้นที่ขายด้วยราคาสี่สิบแปดเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เพื่อต่อราคาให้ลดลงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ตอนนั้นเฉินผิงอันต้องเปลืองแรงไปมหาศาล

ตอนอยู่แคว้นจิ่งหนันที่เล่นแข่งจิ้งหรีดจนกลายเป็นความนิยมได้ซื้อกรงจิ้งหรีด ไม้ไผ่สานมาอีกสามใบ คิดว่าจะนำไปมอบให้กับเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ แน่นอนว่า ย่อมไม่ลืมเฉินหรูชูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูด้วย

ซื้อกระถางเครื่องกระเบื้องขนาดเล็กสามใบมาจากแคว้นหลันฝาง สามารถปลูกต้นสนขนาดเล็ก ดอกกล้วยไม้ได้ กระถางของแคว้นหลันฝางนั้นงดงามเลิศล้ำที่สุด ในอาณาเขตของหลายสิบแคว้น แล้วก็เป็นของฝากคนละชิ้นของทั้งสามคนนั้นเช่นกัน เพียงแต่คาดว่าเรื่องของการปลูกต้นไม้ดอกไม้นี้

เผยเฉียนและโจวหมี่ลี่คงจะให้เฉินหรูชูเป็นคนดูแล ได้ไปไม่นานก็คงไม่เหลือความอดทนให้คอยรดน้ำ ย้ายเข้าย้ายออกทุกวันแล้ว

ซื้อกระถางธูปหอมที่เชื้อพระวงศ์ราชวงศ์ก่อนเคยใช้งานมาจากแคว้นจินเฟยหนึ่งใบ และยังมีลูกกลมทองคำแกะลายฉลุที่เป็นดั่งผลงานรังสรรค์จากองค์เทพ สลักเลื่อม ทั้งชุด ไล่ระดับจากลูกใหญ่มาเล็ก มีมากถึงเก้าลูก

สุดท้ายเฉินผิงอันไม่ได้ตอบตกลงเดินทางไปพร้อมกับบัณฑิตหนุ่ม

แต่ได้มอบปลาที่ตนจับได้ให้พวกเขา และยังมอบคันเบ็ดกับเส้นเอ็นตกปลา อีกส่วนหนึ่งให้ด้วย หลังจากที่คนทั้งสองเอ่ยขอบคุณอีกครั้งก็ออกเดินทางกันไปต่อ

เฉินผิงอันนั่งอยู่ริมลำธารกลางภูเขา เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ

ออกเดินทางไกลมาหลายปีขนาดนี้

เฉินผิงอันเคยพบเจอคนมามากมาย แล้วก็รู้สึกเลื่อมใสคนมากมาย

แต่ท่ามกลางการเดินทางไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนที่ยากลำบากอย่างถึงที่สุดสำหรับเขาคราวนั้น กลับมีอยู่คนหนึ่งที่มองดูเหมือนไม่สะดุดตามากที่สุด เป็นเพียง แค่คนที่เดินผ่านทางมาบนเส้นทางดินโคลนของโลกมนุษย์คนหนึ่ง แต่กลับทำให้ เฉินผิงอันจดจำได้แม่นยำราวกับว่าเรื่องเพิ่งผ่านไปเมื่อวาน

นั่นคือหญิงชราในหมู่บ้านชนบทที่ชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรคคนหนึ่ง ตอนนั้น เฉินผิงอันพาเจิงเย่และหม่าตู่อี๋ไปชดใช้หนี้ด้วยกัน

ตรงริมลำธารที่อยู่ใกล้กับหมู่บ้าน เฉินผิงอันเห็นหญิงชรายากจนที่เรือนกายงองุ้มคนหนึ่งสวมใส่เสื้อผ้าสะอาดสะอ้าน แม้ว่าจะเต็มไปด้วยรอยปะชุน แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกตกต่ำอับจนแม้แต่น้อย

หญิงชราเพิ่งจะซักผ้าเสร็จ นางคล้องตะกร้าไม้ไผ่สานใบใหญ่ไว้ในมือ ระหว่างที่เดินกลับบ้านก็เห็นผีหลานชายตนที่ตายไปเข้าสิงอยู่บนร่างเจิงเย่ที่วิ่งมาหยุดอยู่ ข้างกายหญิงชรา แล้วโขกหัวคำนับนางอย่างแรง

หญิงชราจึงรีบวางตะกร้าไม้ไผ่ที่ใส่เสื้อผ้าสะอาดไว้จนเต็มลงบนพื้นดิน ทรุดตัวลงพยายามจะประคองเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่นางไม่รู้จักขึ้นมา

ภาพเหตุการณ์นั้น

สามารถทำให้เฉินผิงอันจดจำไปได้ชั่วชีวิต

หรือถึงขั้นพูดได้ว่า สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นางก็เหมือนแสงตะเกียงจุดที่เล็กมากๆ แต่กลับอบอุ่นอย่างมากท่ามกลางทะเลสาบซูเจี่ยนที่มืดมิดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้า ของตัวเอง

บนร่างของหญิงชราทำให้เฉินผิงอันสัมผัสได้ถึงพลังของคำสองคำได้อย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก

เยือกเย็น

ราวกับว่าต่อให้กฎเกณฑ์และความยากลำบากทั้งหลายที่มองไม่เห็นในฟ้าดินแห่งนี้ จะพากันหล่นกระแทกลงมาบนร่างของหญิงชราอย่างจัง แต่พวกมันกลับไม่มีค่า พอให้พูดถึงแม้แต่น้อย

บนโลกมีการแบ่งบนภูเขาล่างภูเขา แล้วก็มีการแบ่งแยกรวยจน สูงศักดิ์ต่ำต้อย ทว่าน้ำหนักของความยากลำบากกลับไม่เคยมีการแบ่งว่ามากหรือน้อย เมื่อมันหล่นลงบนหัวของทุกคน ถ้อยคำไม่น่าฟังที่คนบางคนได้ยิน อาจกลายไปเป็นความเจ็บปวดเหมือนถูกมีดจ้วงแทงของคนอื่น นี่เป็นเรื่องที่ยากจะใช้หลักการเหตุผลอะไรมา อธิบายได้ เพราะมันต่างก็เป็นความยากลำบากเหมือนๆ กัน

มีเพียงคำว่าเยือกเย็นเท่านั้นที่พันปีก็ไม่แปรเปลี่ยน

เฉินผิงอันพลันลืมตาโพลง นั่นเป็นเพราะเขาถูกบีบให้ออกมาจากวิชาการสำรวจภายในของผู้ฝึกตน จิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง!

นี่ไม่ใช่ภาพปรากฎการณ์ความวุ่นวายที่ผู้ฝึกยุทธธาตุไฟเข้าแทรกอย่างแน่นอน

เขารู้สึกเพียงว่าชายแขนเสื้อสองข้างพองสะบัด เฉิงผิงอันไม่อาจควบคุมปณิธานหมัดของทั้งร่างตัวเองได้เลย

ตรงตำแหน่งหัวใจและหน้าท้องสะเทือนไม่หยุดเหมือนมีเทพมารัวกลอง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ร่างเซถอยเท้าข้างหนึ่งหลุดเข้าไปในธารน้ำ จากนั้นเขาก็ กัดฟันหยัดยืนให้มั่นคง เท้าหนึ่งอยู่บนภูเขา เท้าหนึ่งอยู่ในน้ำ

ระหว่างที่การสั่นสะเทือนนั้นเกิดขึ้น มังกรเพลิงที่อยู่ในช่องโพรงลมปราณ ของร่างกายก็ว่ายวนผ่านไป ประหนึ่งฟ้าคำรณในฤดูใบไม้ผลิที่ดังขึ้นเป็นระลอก แล้วระเบิดครืนครั่นอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายของเขา

หลังจากเสียงรัวกลองหยุดลง

เฉินผิงอันก็มีจิตแห่งวีรบุรุษหนึ่งดวง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version