Skip to content

Sword of Coming 537

บทที่ 537 พื้นแผ่นดินของหนึ่งทวีปล้วนมีกระบี่ผุดพุ่ง

นักพรตสองคนหนึ่งหนุ่มหนึ่งแก่ทำตามกฎของท้องถิ่นจึงได้แต่เดินเท้าไปเรื่อยๆ แม้แต่นักพรตเฒ่าเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เวลานี้เขากำลังเดินเลียบมหานทีสายใหญ่ ส่วนจางซานเฟิงนักพรตหนุ่มก็รู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์อย่างมาก

สกุลเฉินอิ่งอินไม่เสียแรงที่เป็นตระกูลซึ่งยึดครองคำว่า ‘ผู้รอบรู้’ ไปเพียงลำพัง ไม่เสียแรงที่เป็นสถานที่รวบรวมผู้ประสบความสำเร็จของใต้หล้า บางทีนี่ต่างหากกระมังที่ถึงจะถือว่าเป็นตระกูลปัญญาชนอันดับหนึ่งของโลกมนุษย์อย่างแท้จริง

อันที่จริงไม่ใช่ว่าไม่สามารถเช่ารถม้าเดินทางไปเยือนศาลบรรพชนสกุลเฉินแห่งนั้น เพียงแต่ว่าจนใจที่กระเป๋าฟีบแบน ต่อให้จางซานเฟิงอยากจะตอบตกลง แต่เงินในกระเป๋ากลับไม่เอาด้วย

ยังดีที่จางซานเฟิงเดินทางไปตามภูเขาแม่น้ำของยุทธภพมาจนเคยชินแล้ว เพียงแต่ว่าเขาค่อนข้างจะละอายใจที่ทำให้อาจารย์ท่านผู้อาวุโสต้องมาลำบากลำบนตามไปด้วย แม้จะบอกว่าบางทีตบะของอาจารย์อาจจะไม่สูง แต่ถึงอย่างไรก็เลี่ยง การกินธัญพืชมานานแล้ว และระยะทางหลายร้อยลี้ที่เดินมานี้ก็ใช่ว่าจะเดินได้ยากลำบากอะไรนัก แต่ถึงอย่างไรเขาก็ควรมีใจกตัญญูของลูกศิษย์บ้างไม่ใช่หรือ? แต่ทุกครั้งที่จางซานเฟิงหันหน้ากลับไปมองจะต้องเห็นว่าอาจารย์เดินพลางสัปหงกเหมือนลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าว นี่ทำให้จางซานเฟิงรู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง แม้แต่ตอนที่เดินก็ไม่ถ่วงเวลาการนอนหลับของอาจารย์เลยจริงๆ

เดินผ่านหินผาก้อนใหญ่สีดำริมน้ำ จางซานเฟิงเห็นคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อ ผู้หนึ่งกำลังนั่งเหม่อลอยหันหลังให้พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์อยู่ตรงนั้น

ฮว่อหลงเจินเหรินลืมตาขึ้น ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นคนที่ชอบนอนหลับเหมือนกัน ต้องได้ดิบได้ดีไม่น้อยแน่”

จางซานเฟิงพูดอย่างน้อยใจ “ตอนที่ข้าเพิ่งจะขึ้นภูเขาไปใหม่ๆ อายุยังน้อยเลยชอบนอน ทำไมไม่เห็นอาจารย์พูดแบบนี้บ้างเลย? เหตุใดทุกครั้งจะต้องให้ศิษย์พี่ เอาขนไก่มาทำเป็นลูกดอกปลุกให้ข้าตื่นมาฝึกตนด้วย? ศิษย์พี่เซี่ยงจือมักจะพูดว่าคุณสมบัติของข้าดีเหมือนเขา หากไม่ตั้งใจขยันฝึกบำเพ็ญตนก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว ดังนั้นต่อให้อาจารย์จะไม่สนใจ แต่เขาที่เป็นศิษย์พี่ก็ไม่อาจทนเห็นข้าละทิ้งโชควาสนาด้านการฝึกตนบนภูเขาไปได้ ดีนักนะ ถึงท้ายที่สุดข้าถึงเพิ่งจะรู้ว่า อันที่จริง ศิษย์พี่เซี่ยงจือมีตบะแค่ขอบเขตถ้ำสถิตเท่านั้น ทว่าศิษย์พี่ชอบพูดจาวางโตมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทำเอาข้ามักจะเข้าใจไปว่าเขาคือเซียนดินโอสถทองคนหนึ่ง เพราะฉะนั้นตอนที่ศิษย์พี่แก่ตายไป ข้าถึงได้ร้องไห้อย่างน่าสังเวชขนาดนั้น ทั้งอาลัยอาวรณ์ ศิษย์พี่เซี่ยงจือ แล้วก็รู้สึกผิดหวังกับตัวเองด้วย เพราะมักจะคิดว่าตัวเองทั้งโง่ทั้ง เกียจคร้าน ชีวิตนี้แม้แต่ขอบเขตถ้ำสถิตก็คงฝึกไปไม่ถึงแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “คำสั่งของอาจารย์กลายมาเป็นขนไก่ได้อย่างไร? อีกอย่างขอบเขตถ้ำสถิตจะเรียกว่าขอบเขตไม่สูงได้อย่างไร?”

นอกยอดเขาพาตี้ สี่สายใหญ่ภายใต้การปกครองของฮว่อหลงเจินเหรินอย่างไท่เสีย เถาซาน ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียน ต่อให้ฮว่อหลงเจินเหรินจะไม่เคยจงใจตั้งกฎเกณฑ์แห่งภูเขาสายน้ำอะไร เป็นเหตุให้ลูกศิษย์ของฝ่ายไหนก็สามารถมาเตร็ดเตร่ที่ ยอดเขาพาตี้ได้โดยที่ไม่ต้องยำเกรงเรื่องใด ทว่าผู้ฝึกตนใหญ่เปิดขุนเขาซึ่งรวม ไท่เสียหยวนจวินหลี่อวี๋เป็นหนึ่งในนั้น ต่างก็ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ในสายของตัวเองไปรบกวนการนอนหลับของเจินเหรินที่ยอดเขาพาตี้ อีกทั้งผู้ฝึกตนของยอดเขาพาตี้เอง ก็ขึ้นชื่อเรื่องที่ไม่ชอบออกจากสำนัก ตบะจึงไม่สูงเท่าไรจริงๆ

ดังนั้นผู้ฝึกตนสายอื่นที่ไม่ว่าลำดับอาวุโสจะสูงหรือต่ำ แทบทุกคนก็ล้วนเป็นเหมือนกู้โม่ลูกศิษย์คนสุดท้ายของไท่เสียหยวนจวินที่ความทรงจำเดียวซึ่งมีต่อ เหล่าอาจารย์ลุงอาจารย์อา หรือไม่ก็บรรพจารย์ลุงบรรพจารย์อาเหลือเพียงแค่ว่า พวกเขาคือคนที่มีลำดับอาวุโสสูง แต่มรรคกถาต่ำเท่านั้น

ช่วงเวลาระหว่างนี้ ในบรรดาผู้ฝึกตนของยอดเขาพาตี้ คงจะเป็นจางซานเฟิง นี่แหละที่ถูกปิดหูปิดตามากกว่าใคร บางทีในสายตาของผู้ฝึกตนใหญ่อย่างพวก หยวนจวินหลี่อวี๋ ศิษย์น้องเล็กผู้นี้ถือเป็นเงาดำใต้โคมไฟอย่างที่ไร้ทางเยียวยาแล้ว แต่เห็นว่าอาจารย์เข้ากับศิษย์น้องเล็กได้ดี จึงไม่มีใครกล้าวาดงูเติมขา

นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ปีนั้นจางซานเฟิงป่าวประกาศว่าจะลงจากภูเขาไปกำจัดปีศาจปราบมาร ฮว่อหลงเจินเหรินก็หลอกลูกศิษย์ไปอีกรอบหนึ่ง บอกว่าในเมื่อจะลงจากภูเขาไปฝึกประสบการณ์ ถ้าอย่างนั้นก็ไปให้ไกลสักหน่อย เพราะบริเวณรอบๆ ยอดเขาพาตี้ไม่มีภูตผีปีศาจอะไรออกอาละวาด

ผลกลับกลายเป็นว่าการจากไปของจางซานเฟิงครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ออกไปจาก ยอดเขาพาตี้โดยตรง ภายหลังยังเลือกเดินทางไกลไปถึงแจกันสมบัติทวีป นอกจาก ไท่เสียหยวนจวินที่ตอนนั้นอยู่ในช่วงปิดด่านแล้ว บรรพจารย์เปิดขุนเขาของสามสาย ที่เหลืออย่างเถาซาน ป๋ายอวิ๋นและจื่อเสวียน อันที่จริงต่างก็ตระหนกลนลาน ด้วยกลัวว่าศิษย์น้องเล็กที่ออกห่างจากภูเขาบ้านเกิดของตัวเองไกลเกินไปแล้วจะ เกิดเรื่องไม่คาดฝัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักพรตขอบเขตหยกดิบของยอดเขาจื่อเสวียนที่พลังการต่อสู้สามารถมองเป็นขอบเขตเซียนเหรินได้ผู้นั้นที่คาดหวังว่าอาจารย์ จะอนุญาตให้เขาออกจากอุตรกุรุทวีป ไปเยือนแจกันสมบัติทวีปเพื่อคอยให้ การปกป้องจางซานเฟิงอย่างลับๆ ทว่าฮว่อหลงเจินเหรินกลับไม่รับปาก บอกว่า ผู้ฝึกตนฝึกบำเพ็ญตน แค่ฝึกฝนตนเองให้ได้ดีก็พอ มีผู้ปกป้องมรรคาคอยช่วยเหลือย่อมทำอะไรเองไม่สำเร็จ

บรรพจารย์ของยอดเขาทั้งสามสายต่างก็ยังรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสักเท่าไร เพียงแต่ว่าแต่ไหนแต่ไรมาคำพูดของอาจารย์มักเป็นคำขาดเสมอ พวกเขาไม่กล้าแข็งข้อละเมิดคำสั่ง แต่บรรพจารย์สายของยอดเขาป๋ายอวิ๋นได้ไปปรึกษากับศิษย์น้อง อีกสองคนเป็นการส่วนตัว แล้วก็รู้สึกว่าอาจารย์ไม่ใส่ใจศิษย์น้องเล็กเลย พวกเขา ที่เป็นศิษย์พี่จำเป็นต้องแบกรับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้ศิษย์น้องเล็ก

ดังนั้นเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้กับศิษย์น้องสองคนของเขาจึงช่วยกันหาข้ออ้างที่ ไม่มีพิรุธ แล้วตัวเองก็ลงจากภูเขาไป เปลี่ยนแปลงเส้นทางเล็กน้อย แอบคุ้มกัน จางซานเฟิงไปส่งในช่วงระยะทางหนึ่ง

ดังนั้นประสบการณ์อันตรายระหว่างการลงเขากำจัดปีศาจปราบมาร รวมถึงความผิดหวังหลังจากผ่านอุปสรรคของจางซานเฟิง บรรพจารย์ป๋ายอวิ๋นจึงรู้ดี ซึ่งก็หมายความว่าอีกสองสายก็รู้แน่ชัดเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่บรรพจารย์ ยอดเขาจื่อเสวียนผู้นั้นรู้ว่าจางซานเฟิงขึ้นไปบนเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวด้วยอารมณ์หม่นหมอง แล้วตอนนั้นบรรพจารย์ยอดเขาเถาซานนับนิ้วคำนวณอยู่ครู่หนึ่ง ก็พลันหน้าเผือดสี ฝ่ายแรกไม่อาจอดทนได้อีกจึงคิดว่าต่อให้อาจารย์ไม่อนุญาตให้เขาติดตามไปด้วย แต่เขาก็จะต้องให้ศิษย์น้องของยอดเขาเถาซานแบกกระบี่ลงจากเขาไปคุ้มกันศิษย์น้องเล็กสักช่วงระยะทางหนึ่งให้จงได้ คิดไม่ถึงว่าฮว่อหลงเจินเหริน จะปรากฏตัวกะทันหัน ขัดขวางพวกเขาเอาไว้ บรรพจารย์ยอดเขาจื่อเสวียนยังคิดจะอธิบายอะไรบางอย่าง ผลกลับถูกอาจารย์เอามือกดหัว ใช้นิ้วเดียวผลักเขากลับไปยังถ้ำหินที่ใช้ปิดด่านบนยอดเขาจื่อเสวียนโดยตรง ตอนนั้นฮว่อหลงเจินเหรินหันมา ยิ้มกว้างมองลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายภูเขาเถาซานของตัวเอง ฝ่ายหลังรีบพูดทันทีว่า ไม่จำเป็นต้องรบกวนให้อาจารย์ไปส่ง แล้วตัวเขาก็กลับยอดเขาไปปิดด่านด้วยตัวเอง

จากนั้นต่อมา

บรรพจารย์ของสายป๋ายอวิ๋นก็ได้รับกระบี่บินส่งข่าวมาจากศาลบรรพจารย์ ยอดเขาพาตี้ เขาจึงรีบกลับยอดเขาพาตี้ไปอย่างว่าง่ายทันที แล้วก็ถูกด่าไปรอบหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่ว่าตอนที่ออกมาจากยอดเขาพาตี้ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความปิติยินดี ศิษย์น้องสองคนของยอดเขาเถาซานและยอดเขาจื่อเสวียนถึงเพิ่งจะรู้ว่า ที่แท้อาจารย์ด่าศิษย์พี่ไปรอบหนึ่ง แต่ก็มอบพุทราเม็ดหนึ่งให้ศิษย์พี่เป็นรางวัล

ดีนักนะ ทุกอย่างล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของอาจารย์หมดแล้ว แค่ดูว่าใครที่มีความกล้าหาญมากกว่า ใครที่เป็นห่วงศิษย์น้องเล็กมากกว่าจนกล้าแบกรับความเสี่ยงจากการถูกอาจารย์ตำหนิลงจากยอดเขาไปปกป้องศิษย์น้องเล็กอย่างเด็ดเดี่ยว? ทั้งสองท่านล้วนเป็นยอดฝีมือจึงเข้าใจทุกอย่างกระจ่างแจ้งในฉับพลัน ดังนั้น บรรพจารย์ยอดเขาจื่อเสวียนจึงไล่กวดศิษย์พี่ของยอดเขาป๋ายอวิ๋นไป บอกว่าจะประลองฝีมือกับเขาสักครั้ง น่าเสียดายที่ศิษย์พี่หนีได้เร็ว ไม่ให้โอกาสศิษย์น้องได้ระบายโทสะ

มาถึงหน้าผาหินสีดำริมลำน้ำแห่งนี้ก็หมายความว่าขยับเข้าใกล้สกุลเฉินแล้ว เหลือระยะทางอีกแค่สิบกว่าลี้ สำหรับผู้ฝึกตนแล้ว ต่อให้ไม่ทะยานลม อย่างน้อยทางด้านความคิดก็ยังคงเท่ากับว่าเหลือระยะทางแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว

จางซานเฟิงเปิดปากเตือน “อาจารย์ แม้ว่าครั้งนี้พวกเราจะได้รับเชิญให้มา แต่ก็ยังต้องมีมารยาทในการมาเยี่ยมเยือนผู้อื่น อย่าได้เลียนแบบเมื่อครั้งที่อยู่หนองน้ำเซิ่นเจ๋อของแผ่นดินกลางที่แค่กระทืบเท้าก็ถือว่าเป็นการทักทายเจ้าบ้าน แล้วยังต้องให้อีกฝ่ายปรากฏตัวมาพบพวกเราอีกเด็ดขาด”

ฮว่อหลงเจินเหรินพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ตกลง”

จางซานเฟิงกล่าวอย่างกังขา “หนังสือพวกนั้นที่ซื้อมาจากร้านหนังสือจะไม่ทำให้บัณฑิตผู้นั้นรู้สึกว่าพวกเราไร้มารยาทจริงๆ หรือ?”

ฮว่อหลงเจินเหรินส่ายหน้า “มอบหนังสือให้แก่บัณฑิตก็คือของขวัญที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้านี้”

จางซานเฟิงจึงพอจะสงบใจลงได้บ้าง

อันที่จริงจนถึงกระทั่งบัดนี้ นักพรตหนุ่มก็ยังไม่รู้ว่าพวกเขาสองอาจารย์และศิษย์จะมาพบใครกันแน่

จางซานเฟิงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “อาจารย์ ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราโอบกอดเต๋าอยู่ในภูเขา ใช้ปราณวิญญาณภูเขาสายน้ำมาชำระล้างสิ่งที่อยู่นอกเหนือจิตใจ ไม่คบค้าอ๋องและโหว ไม่สนใจโอรสสวรรค์ ทว่าลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อเหล่านั้น ฝึกตนอย่างไรกันแน่? อาศัยแค่การอ่านตำราอย่างเดียวจริงๆ หรือ? แต่หากแค่ อ่านตำราก็สามารถฝึกบำเพ็ญขอบเขตตบะออกมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เท่ากับว่า ทุกคนบนโลกล้วนสามารถฝึกตนได้หรอกหรือ? หากมีคนแอบเอาตำราของใต้หล้าไพศาลไปยังใต้หล้าแห่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนั้น จะไม่กลายเป็นหายนะที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ ทำให้เผ่าปีศาจมีผู้ฝึกตนเพิ่มขึ้นมากลุ่มใหญ่ และยิ่งนานก็ยิ่งมีเผ่าปีศาจมากขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเขาสามารถโจมตี กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

ฮว่อหลงเจินเหรินยิ้มกล่าว “คำถามพวกนี้ ถามได้ดีจริงๆ แต่ไม่ควรให้ข้าที่เป็นตาเฒ่าของลัทธิเต๋าคนหนึ่งเป็นผู้ตอบคำถาม ไม่อย่างนั้นจะไม่ถูกหลักมารยาทจริงๆ แล้ว ใช่หรือไม่?”

จางซานเฟิงพลันสัมผัสได้ถึงลมเย็นสายหนึ่งที่โชยมาปะทะใบหน้า เขาจึงหันหน้ากลับไปมอง ห่างไปไม่ไกลมีผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อสวมชุดสีเขียวคนหนึ่งเดินมาพลาง ผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม “ก่อนจะตอบคำถาม อยากรู้ว่าเอาตำราอะไรมามอบให้ข้า?”

ฮว่อหลงเจินเหรินตบไหล่ลูกศิษย์ของตนเอง “ซานเฟิง เห็นแล้วหรือยัง มีคนทวงของขวัญจากเจ้าแล้ว”

จางซานเฟิงรีบประสานมือคารวะ เอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านอาจารย์ผู้เฒ่าเฉิน จากนั้นก็ปลดห่อสัมภาระลง หยิบตำราออกมาสามเล่ม

ผู้เฒ่ารับมาไว้ในมือ เหลือบมองแวบหนึ่งก็ให้รู้สึกจนใจเล็กน้อย หลังจากเอ่ยขอบคุณนักพรตหนุ่มแล้วก็ยังคงยอมเก็บมันเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ

เขาเฉินฉุนอันถูกคนบนโลกมองเป็นลูกศิษย์อันดับหนึ่งของสายหย่าเซิ่ง

ผลกลับกลายเป็นว่าเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ท่านนี้ดันมอบตำราสามเล่มของสายเหวินเซิ่งที่เดิมทีควรถูกทำลายห้ามขายไปแล้วให้แก่เขา

หลังจากรับหนังสือมาแล้ว เฉินฉุนอันก็เอ่ยว่า “อันที่จริงเส้นทางคร่าวๆ ในการฝึกตนของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อไม่ได้ต่างจากลัทธิเต๋าสักเท่าไร เพียงแต่เปลี่ยนมาเป็น การบ่มเพาะปราณแห่งความเที่ยงธรรมในหัวใจ พวกเจ้าโอบกอดเต๋าอยู่ในภูเขา ออกไกลห่างจากโลกมนุษย์ บุกเบิกพื้นที่สงบสุขไร้มลทินให้แก่ทั้งตัวเองและ โลกภายนอก ถ้าอย่างนั้นบัณฑิตอย่างพวกเราก็หนีไม่พ้นคำว่า ‘ปิดประตูอ่านตำรา ก็คืออยู่ในภูเขาลึก’ ส่วนสถานที่ในการฝึกตน วิชาในการฝึกตนก็แบ่งออกเป็น ห้องหนังสือและตำราของอริยะปราชญ์ รวมไปถึงหลักการเหตุผลที่ซุกซ่อนอยู่ในตัวอักษรบนตำรา ทว่าระหว่างสิ่งเหล่านี้ แน่นอนว่ายังมีธรณีประตูอยู่ ไม่ใช่ว่าทุกคน แค่เปิดตำราก็สามารถฝึกตนได้จริงๆ ยกตัวอย่างเช่นวิธีการเข้าฌานอันเป็น วิชาพื้นฐานนั้นก็ยังต้องมี จำเป็นต้องให้นักปราชญ์หรือวิญญูชนมาเป็นผู้ถ่ายทอด แก่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อในสำนักศึกษา ส่วนฐานกระดูกก่อนกำเนิดในการฝึกตนก็เป็นธรณีประตูอีกอันหนึ่ง เป็นเหตุให้นักประพันธ์ใหญ่มากมายที่ร้อยเรียงบทกวีได้อย่าง มีชีวิตชีวา ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊ออายุมากที่มีความรู้อยู่เต็มท้อง ก็ยังคงไม่อาจนำการ อ่านตำรามาต่ออายุขัยให้ยาวนานได้”

จางซานเฟิงรู้สึกว่าคำกล่าวนี้ค่อนข้างจะลี้ลับมหัศจรรย์ แต่กระนั้นก็ยังคารวะแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอาจารย์ที่ช่วยไขข้อสงสัยให้”

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทไปเสียทุกเรื่อง บัณฑิตศึกษาเล่าเรียน ผู้ฝึกตนฝึกบำเพ็ญตบะ เดิมทีก็ถือว่าเป็นคนบนเส้นทางเดียวกัน มารยาทนั้นอยู่ที่ คำว่าเรียบง่าย อยู่ที่คำว่าเที่ยงแท้ ไม่ได้อยู่ที่คำว่ายิบย่อย ไม่ได้อยู่เฉพาะแค่ผิวเผินภายนอก”

อันที่จริงยังมีคำถามสุดท้ายของจางซานเฟิงที่เฉินฉุนอันไม่ใช่ไม่รู้คำตอบ แต่จงใจไม่พูดมันออกมา

ตรงกันข้ามกับที่นักพรตหนุ่มคิดเลยด้วยซ้ำ ลัทธิขงจื๊อไม่เคยห้ามปรามไม่ให้สรรพชีวิตบนโลกอ่านตำราหรือฝึกตน

นี่ก็คือกฎที่หลี่เซิ่งตั้งเอาไว้

จางซานเฟิงหันหน้าไปมองอาจารย์ของตัวเอง

ฮว่อหลงเจินเหรินหัวเราะอย่างฉุนๆ “ทำไม ได้มาเจอกับยอดฝีมือนอกโลกอย่างที่ตัวเองจินตนาการไว้ ก็เลยรังเกียจที่อาจารย์ตัวเองไม่มีมาดของเทพเซียนอย่างนั้นหรือ?”

จางซานเฟิงกะพริบตาปริบๆ

นี่อาจารย์ท่านพูดเองนะ ข้าไม่ได้คิดแบบนี้สักหน่อย

ฮว่อหลงเจินเหรินชี้ไปยังหินหน้าผาสีดำที่ห่างไปไม่ไกลแห่งนั้น “นั่นก็คือเจ้าเด็กที่ฝึกกระบี่ในความฝันหรือ?”

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ “น่าเสียดายที่วันหน้ายังต้องคืนให้กับแจกันสมบัติทวีป ค่อนข้างจะอาลัยอาวรณ์อยู่ไม่น้อย หลายปีมานี้มักจะมาคุยเล่นกับเขาอยู่ที่นี่ วันหน้าคาดว่าคงไม่มีโอกาสแล้ว”

ฮว่อหลงเจินเหรินพูดกับจางซานเฟิงว่า “คนผู้นั้นคือเพื่อนสนิทของเฉินผิงอัน เจ้าไม่ไปทักทายเขาหน่อยหรือ?”

จางซานเฟิงอึ้งตะลึงไปครู่ ก่อนจะขอตัวกับอาจารย์และท่านผู้เฒ่าคนนั้น แล้ววิ่งตะบึงจากไป

ฮว่อหลงเจินเหรินกับเฉินฉุนอันไม่ได้เดินไปยังศาลบรรพชนสกุลเฉินอิ่งอิน แต่เดินเลียบลำน้ำของแม่น้ำไปช้าๆ เจินเหรินผู้เฒ่าเอ่ยว่า “จะดีจะชั่วที่ ทักษิณาตยทวีปก็ยังมีเจ้าอยู่ แต่ใบถงทวีปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้กับฝูเหยาทวีปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เจ้าจะทำอย่างไร?”

เนิ่นนานเฉินฉุนอันก็ยังไม่เอ่ยคำใด

อันที่จริงคำถามนี้ค่อนข้างจะแปลกประหลาดไปสักหน่อย

หากเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสามารถโจมตีกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้แตก กองทัพใหญ่บุกเข้ามาดั่งกระแสน้ำขึ้นที่กลบทับภูเขาห้อยหัวซึ่งเป็นตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนั้นได้จริงๆ

เฉินฉุนอันจะสามารถพิทักษ์ทักษิณาตยทวีปที่อยู่ใกล้กับภูเขาห้อยหัวมากที่สุดไว้ได้หรือไม่ ก็ยังบอกได้ยาก แล้วใบถงทวีปกับฝูเหยาทวีปมาเกี่ยวอะไรกับเขาเฉินฉุนอันด้วยเล่า?

เฉินฉุนอันยิ้มกล่าว “อันที่จริงซิ่วไฉเฒ่าก็เคยแนะนำข้ามาก่อน ความนัยในถ้อยคำของเขาก็เท่ากับว่ามอบทางเลือกให้ข้าสองทาง หากไม่ตาย ถ้าอย่างนั้นก็ตายไปให้เร็วๆ หน่อย อย่าได้ไม่ตายช้าไม่ตายเร็วแต่ดันไปตายในช่วงเวลาสำคัญบางช่วง”

ฮว่อหลงเจินเหรินพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้อาวุโสเหวินเซิ่งมองจิตใจของคน ได้เฉียบขาดไม่มีใครเหมือนจริงๆ”

หากนับกันแค่อายุ ฮว่อหลงเจินเหรินก็แก่กว่าซิ่วไฉเฒ่าผู้นั้นหลายปีจนนับได้ไม่ถ้วน ทว่ายามที่พูดถึงซิ่วไฉเฒ่า เขาก็ยังคงยินดีเรียกอีกฝ่ายว่าผู้อาวุโสด้วยความเคารพจากใจจริง

เฉินฉุนอันพยักหน้ารับ

ไม่ได้โต้แย้ง

ต่อให้เขาจะเป็นเสาหลักของสายหย่าเซิง และความรู้ของตัวเขาเฉินฉุนอันเองก็อยู่ตรงข้ามกับเป้าประสงค์ความรู้ที่ซิ่วไฉเฒ่าเป็นผู้ริเริ่มอย่างสิ้นเชิง

ลัทธิขงจื๊อของใต้หล้าไพศาล

การแข่งขันของอริยะ ช่วงชิงทิศทางของมหามรรคา สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้วก็ยังต้องดูที่ว่ามหามรรคาของใครสามารถปกป้องสรรพชีวิต ให้ประโยชน์แก่วิถีทางโลกได้มากกว่า

การแข่งขันของวิญญูชน ช่วงชิงในด้านความถูกผิดเล็กใหญ่ของหลักการเหตุผล ต้องโต้เถียงให้แบ่งแยกถูกผิดอย่างแน่ชัด

การแข่งขันของนักปราชญ์จึงจะเป็นการประชันความดีเลวของความรู้ตัวเองในช่วงเวลาหนึ่ง เป็นแค่การตีกันบนหน้ากระดาษด้านล่างปลายพู่กันเท่านั้น

กฎเกณฑ์ยิบย่อยของลัทธิขงจื๊อก็คือผู้ปกป้องมรรคาที่ใหญ่ที่สุดของใต้หล้าไพศาลแห่งนี้

และการที่อริยะลัทธิขงจื๊อแต่ละท่านวาดพื้นที่ให้เป็นกรงขังของตัวเอง ก็คือ การกระทำที่พันธนาการมือเท้าที่สุดในใต้หล้า

หนึ่งในเจ็ดสิบสองอริยะที่มีเทวรูปตั้งวางอยู่ในศาลบุ๋นของนครมังกรเฒ่าทางทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป ถูกหย่าเซิ่งลงโทษด้วยตัวเองอย่างรุนแรง และถูกผู้ฝึกตน ร้อยสำนักมองว่าต้องอดกินหัวหมูเย็นๆ ทว่าในเรื่องของความรู้ เขาก็เคยกระตุ้นให้ ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อของสำนักศึกษาในระบบความรู้ที่แตกต่างกันได้รับผลประโยชน์มหาศาล แล้วจึงได้เลื่อนจากนักปราชญ์ไปเป็นวิญญูชน เป็นเหตุให้ต่อให้คนผู้นี้ จะเป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับลูกศิษย์ที่ไม่ใช่ลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่าเหวินเซิ่ง แต่ซิ่วไฉเฒ่าก็ยังยินดียอมรับว่าความรู้ของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา มองเห็นว่าความรู้ของ คนผู้นี้เป็นคุณความชอบที่แอบแฝงต่อวิถีทางโลกในทุกวันนี้

กาลเวลาดั่งสายน้ำที่ไหลผ่าน ไม่แบ่งแยกกลางวันกลางคืน เป็นเช่นนี้มานับแต่โบราณกาล

ผู้เฒ่าสองคนที่จากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง กำลังพูดคุยกันถึงเรื่องที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า

คนหนุ่มสองคนตรงหน้าผาหินดำที่เพิ่งพบกันครั้งแรกกลับสนิทสนมเหมือนรู้จักกัน มานาน กำลังพูดคุยเรื่องเล็กๆ ยิบย่อย

คนหนุ่มลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แสร้งทำเป็นนั่งหลับก็คือหลิวเสี้ยนหยางที่ถูกเฉินตุ้ยพาออกจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีปมายังทักษินาตยทวีป

พอรู้ว่านักพรตหนุ่มที่ชื่อว่าจางซานเฟิงคือสหายสนิทที่เคยร่วมเดินทางกับเฉินผิงอัน หลิวเสี้ยนหยางก็ดีใจอย่างมาก จึงสอบถามจางซานเฟิงถึงสิ่งที่เขาพบเจอมาระหว่างการเดินทางครั้งนั้น

เรื่องวงในบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแจกันสมบัติทวีป กองทัพม้าเหล็กต้าหลีและ ถ้ำสวรรค์หลีจู หลิวเสี้ยนหยางก็รู้มาบ้าง แต่กลับไม่มาก เขาจึงได้แต่สืบหาเบาะแสเล็กๆ น้อยๆ มาจากรายงานภูเขาแม่น้ำเท่านั้น หลิวเสี้ยนหยางมาศึกษาเล่าเรียน อยู่นอกบ้าน ไร้ที่พึ่งพา จึงต้องกินใช้อย่างประหยัด เพราะตำราทุเล่มที่เก็บไว้ใน สกุลเฉินอิ่งอินนั้น ไม่ว่าจะล้ำค่าปานใด คนที่มาศึกษาต่อทุกคนก็ล้วนสามารถนำมาเปิดอ่านได้โดยไม่คิดเงิน ทว่ารายงานภูเขาสายน้ำพวกนั้นกลับต้องจ่ายเงิน ยังดีที่ หลิวเสี้ยนหยางได้รู้จักลูกศิษย์สกุลเฉินและนักเรียนในสำนักศึกษาของที่นี่หลายคน ตอนนี้ต่างก็เป็นเพื่อนกันแล้ว จึงสามารถรับรู้เรื่องบางส่วนของทวีปอื่นในใต้หล้ามาจากพวกเขา

เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่ปีนั้นสดใสร่าเริงแล้ว

หลิวเสี้ยนหยางในทุกวันนี้ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นสำรวมและหนักแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ ขยันตั้งใจเรียน รักษากฎอย่างเข้มงวด ในเรื่องการฝึกตนก็ยิ่งไม่เคยเกียจคร้าน ยิ่งนานวันก็ยิ่งสอดคล้องกับภูเขาสายน้ำและขนบธรรมเนียมประจำสกุลเฉินผู้รอบรู้มากขึ้นเรื่อยๆ

หันกลับไปดูเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ในอดีตยามอยู่กับคนนอกมักจะเงียบขรึมพูดน้อย สหายที่ดีที่สุดของหลิวเสี้ยนหยางคนนั้น ทุกวันนี้กลับแสวงหาความอิสระเสรีทางจิตใจอย่างที่ตัวเองปรารถนา มีทั้งสิ่งที่ไขว่คว้า และมีทั้งสิ่งที่ได้มาครอบครองแล้ว

จางซานเฟิงพูดรัวเหมือนเทถั่วออกจากกระบอกไม้ไผ่ บอกเล่าถึงความดีมากมายของเฉินผิงอัน

สำหรับผู้ฝึกตนหนุ่มแห่งยอดเขาพาตี้ผู้นี้ เกรงว่าต่อให้เขารู้ว่าแท้จริงแล้วตนเองได้พลาดการเป็นเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของภูเขามังกรพยัคฆ์ไป บางทีเขาอาจจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ก็คงจะไม่เสียใจมากสักเท่าไร ที่มากกว่านั้นคงจะรู้สึกว่า อาจารย์ของตนโง่หรือไม่ คนอย่างเขาจางซานเฟิงน่ะหรือจะกล้าไปวาดหวังตำแหน่งเทียนซือใหญ่ต่างแซ่ของจวนเทียนซือ? ถึงอย่างไรแม้แต่คิดเขาก็ยังไม่กล้าคิดเลย ด้วยซ้ำ ต่อให้รู้ว่าต้องพลาดโอกาสนั้นไป จิตแห่งเต๋าของจางซานเฟิงก็คงไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไร

บางทีนี่อาจจะเป็นสิ่งล้ำค่าในตัวเขาเองที่จางซานเฟิงไม่รู้ตัวมากที่สุด

ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ตัวยิ่งกว่าเรื่องที่เขามักจะคิดว่ามรรคกถาของอาจารย์ตนเองธรรมดาไม่สูงส่งด้วยซ้ำ แต่เมื่อจางซานเฟิงพูดถึงการจากลากับเฉินผิงอันทั้งสองครั้ง เขากลับดูเสียใจมากจริงๆ

จางซานเฟิงปลดกระบี่โบราณเล่มที่สะพายอยู่บนหลังลงมาส่งมอบให้แก่ หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนใหม่ที่เพิ่งรู้จักกัน แล้วยิ้มกว้างเอ่ยว่า “นี่ก็คือกระบี่ที่เฉินผิงอันซื้อที่หอชิงฝู กระบี่ชื่อว่า ‘เจินอู่’ เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารที่สามารถเปลี่ยนเป็นเสื้อเกราะน้ำค้างหวานก่อนหน้านี้ ข้าก็ติดเงินเขาไว้เหมือนกัน ข้าติดค้างเฉินผิงอันไว้มากมาย แต่ตอนนี้อาจารย์ได้ขอโอสถวารีสองขวดมาจากสหายที่ หนองน้ำเซิ่นเจ๋อ วันหน้าขอแค่มีโอกาสก็สามารถนำไปมอบให้เฉินผิงอันได้ ถือว่า เป็นค่าดอกเบี้ยที่ใช้คืนไปก่อน”

หลิวเสี้ยนหยางชักกระบี่ออกจากฝักช้าๆ บนตัวกระบี่มีรอยร้าวเล็กๆ สนิม เกราะเขรอะ

เขาใช้นิ้วดีดเข้าที่ตัวกระบี่ กระบี่ส่งเสียงสั่นสะเทือนเบาๆ แล้วจึงพยักหน้า เอ่ยว่า “หนักมาก”

จางซานเฟิงกล่าวอย่างกังขา “กระบี่เล่มนี้ไม่ถือว่าหนักเท่าไรกระมัง?”

หลิวเสี้ยนหยางหรี่ตาลงจ้องมองริ้วคลื่นเล็กๆ ที่กระเพื่อมอยู่รอบตัวกระบี่อย่างมหัศจรรย์ สามารถมองออกได้ถึงความลี้ลับที่ซ่อนอยู่ในนี้ นี่ไม่เกี่ยวกับว่าขอบเขตของหลิวเสี้ยนหยางสูงหรือต่ำ ในความเป็นจริงแล้วแต่ละครั้งที่อยู่ในความฝัน หลิวเสี้ยนหยางจะได้เข้าไปอยู่ในซากปรักสมรภูมิรบโบราณที่ดูเหมือนไม่มีอยู่จริง เคยเห็นกระบี่ดีๆ มานับไม่ถ้วน หลายเล่มเขาสามารถชักมันออกมาได้ แต่หลายเล่มต่อให้ตายก็ดึงไม่ขึ้น ต่อให้นั่นจะเป็นกระบี่หัก จนถึงทุกวันนี้หลิวเสี้ยนหยางก็ยัง ไม่สามารถยกมันขึ้นมาได้ แต่หลิวเสี้ยนหยางเคยชินกับการจดจำชื่อกระบี่โบราณ รูปแบบของฝักกระบี่ ลวดลายยามที่ปราณกระบี่เอ่อล้นออกมา รวมไปถึง ความแตกต่างของปณิธานกระบี่แต่ละเล่มเหล่านั้นแล้ว จุดที่ลี้ลับมหัศจรรย์ยิ่งกว่านั้นอยู่ที่ว่าเขาที่เป็น ‘คนต่างถิ่นยุคปัจจุบัน’ ซึ่งสามารถมองเมินการไหลรินของ แม่น้ำแห่งกาลเวลาเมื่ออยู่ในความฝันได้นั้น มีหลายๆ ครั้งที่กลับยังคงถูก ‘คนยุคโบราณในอดีต’ ออกกระบี่แล้วตวัดปั่นความคิดจิตวิญญาณทั้งหมดของ หลิวเสี้ยนหยางให้แหลกกระจาย ทำให้เขาจำต้องถอยออกมาจากในความฝัน

เหงื่อแตกท่วมเต็มตัว สภาพการณ์ที่อนาถที่สุดก็คือหลิวเสี้ยนหยางกระอักเลือดไม่หยุด ผ่านมานานหลายวันก็ยังไม่เลิกเวียนหัวตาลาย

นี่จึงเป็นเหตุให้สำหรับเรื่องของกระบี่

หลิวเสี้ยนหยางจึงถือเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานแล้ว

ไม่พูดถึงขอบเขตของตบะ พูดถึงแค่โลกทัศน์ที่สูง โลกทัศน์ที่กว้างไกล บางที เมื่อเทียบกับเซียนกระบี่อุตรกุรุทวีปหลายๆ คนแล้วก็ยังเหนือกว่ามาก

หลิวเสี้ยนหยางสอดกระบี่กลับเข้าฝักเบาๆ

กระบี่เล่มนี้

เขาไม่เคยเห็นในความฝันมาก่อน

แต่ความรู้สึกนั้นราวกับว่าเขาอยู่ในซากสนามรบที่ใหญ่ที่สุด รับสัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน เมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นก็ทำให้หลิวเสี้ยนหยางได้แต่ก้าวเท้าโซเซ รู้สึกเพียงว่าฟ้าดินหนักขึ้นหลายส่วน

ส่วนข้อที่ว่ากระบี่เล่มนี้จะใช่กระบี่เล่มนั้นหรือไม่ ก็บอกได้ยาก บางทีอาจเลียนแบบได้อย่างประณีตถึงได้มี ‘ปณิธานกระบี่’ น้อยนิดนั้นแฝงอยู่ด้วย

จางซานเฟิงนำกระบี่โบราณเจินอู่เล่มนั้นมาสะพายไว้ด้านหลังอีกครั้ง พอหันหน้ากลับมา เขากลับสังเกตเห็นว่าเด็กหนุ่มร่างกายสูงใหญ่คล้ายจะเสียใจอย่างมาก

จางซานเฟิงสงสัยเล็กน้อย เหตุใดทั้งๆ ที่ได้ยินว่าเพื่อนที่ดีที่สุดในบ้านเกิดของตนได้ดิบได้ดีแล้ว อีกทั้งยังเป็นคนดีที่จิตใจดั้งเดิมไม่แปรเปลี่ยนไป ความเสียใจของ หลิวเสี้ยนหยางถึงได้มากกว่าความดีใจ?

หลิวเสี้ยนหยางกำสองหมัดวางไว้บนหัวเข่า ทอดสายตามองไปทิศไกลพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “เจ้ารู้จักกับเฉินผิงอันช้ากว่าข้า ดังนั้นเจ้าจึงอาจจะไม่รู้ว่า ความหวังที่ ใหญ่ที่สุดในชีวิตของเจ้าหมอนั่นก็คือได้มีชีวิตอย่างสงบสุขปลอดภัย มีเพียงแค่นี้เอง เขาขี้ขลาดที่สุด กลัวว่าจะไม่สบาย กลัวว่าจะเจอกับหายนะมากที่สุด แต่ตอนที่ยังเด็ก เขากลับเป็นคนที่ไม่กลัวผีมากที่สุด เจ้าว่าแปลกหรือไม่? ช่วงเวลานั้นดูเหมือน เขาจะรู้สึกว่า ถึงอย่างไรตนก็พยายามอย่างมากที่จะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว หากยังต้องตายก็ไม่ละอายแก่ใจตัวเอง ถึงอย่างไรตายไปแล้ว ไม่แน่ว่าอาจได้ไปพบกับใครบางคน อีกครั้งก็เป็นได้”

หลิวเสี้ยนหยางพึมพำ “ดังนั้นเฉินผิงอันที่เจ้ารู้จักเปลี่ยนมาเป็นคนที่ระมัดระวังรอบคอบขนาดนั้น ก็ต้องเป็นเพราะเขาหาเหตุผลที่ตัวเองห้ามตายอย่างเด็ดขาด เจอแล้วแน่นอน เจ้าคิดว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้มีอะไรที่ไม่ดีใช่ไหม? ข้าเองก็รู้สึกว่ามันดีมาก แต่ข้าก็รู้ว่าสำหรับเขาแล้ว การมีชีวิตเช่นนี้จะต้องเหนื่อยมาก ตอนที่ พวกเราได้รู้จักกัน นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีใครรู้อีกว่าเขาต้องทุ่มเทเสียสละ และต้องแบกรับความอยุติธรรมเพื่อสองแม่ลูกครอบครัวหนึ่งในตรอกหนีผิงไปกี่มากน้อย”

หลิวเสี้ยนหยางพลันหัวเราะ “ชีวิตนี้ข้าเคยเห็นเขาร้องไห้แค่สองครั้ง ครั้งสุดท้ายคือตอนที่ข้าใกล้จะตาย ครั้งแรก ผ่านมานานมากแล้ว เป็นตอนที่ข้ากับเขาไปเป็น ลูกศิษย์ที่เตาเผามังกรด้วยกัน แล้วเขาได้ยินข่าวลือมาจากตรอกซิ่งฮวา บอกว่า เขากับสตรีแต่งงานแล้วของตรอกหนีผิงผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกัน วันนั้น ข้าตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่เห็นเขา ก็เลยออกจากห้องไปตามหา ถึงได้เห็นว่าเขายกม้านั่งมานั่งอยู่นอกประตู ใบหน้านองไปด้วยน้ำตา”

“ข้าไปนั่งอยู่ข้างเขา พอรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ข้าที่ใจกว้างมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสนใจใยดีเรื่องสกปรกในหมู่ชาวบ้านพวกนั้น แรกเริ่มยังเห็นเป็นเรื่องสนุก ก็เลยถามเขายิ้มๆ ว่ามีเรื่องดีๆ แบบนั้นเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ตอนนั้นเขาร้องไห้จนเหนื่อยแล้ว ก็เลยไม่ได้สนใจข้า ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าเขาเสียใจมากจริงๆ ข้าถึงไม่ได้ล้อเขาเล่นต่อ ข้าปลอบใจใครไม่เป็น ก็เลยได้แต่อยู่เป็นเพื่อนเขา

สุดท้ายตัวเขาเองก็คิดตก บอกกับข้าว่าบุญคุณของครอบครัวกู้ช่าน ชีวิตนี้ชดใช้อย่างไรก็ชดใช้ไม่หมด วันหน้าเวลาทำเรื่องอะไรให้พวกเขาสองแม่ลูก เขาจะต้องตั้งใจให้มากกว่านี้ จะปล่อยให้คนเอาไปนินทาว่าร้ายไม่ได้ และเวลาทำเรื่องอะไรก็จะ สนแต่ความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ เพราะถึงท้ายที่สุดแล้ว คนที่เสียใจที่สุดก็มีแต่กู้ช่านและแม่ของเขา”

หลิวเสี้ยนหยางทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ศีรษะหนุนอยู่บนสองมือ เอ่ยว่า “อันที่จริงตอนนั้นข้าอยากบอกเขามากว่า จะเป็นไปได้หรือไม่ที่แท้จริงแล้ว แม่ของกู้ช่านไม่ได้สนใจถ้อยคำซุบซิบนินทาพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย เป็นเจ้าเฉินผิงอันที่มาหลบอยู่ที่นี่แล้วใคร่ครวญส่งเดชก็เลยคิดมากไปเอง? แต่ถึงท้ายที่สุด คำพูดเช่นนั้นก็ไม่ได้หลุดออกไปจากปากของข้า เพราะข้าตัดใจพูดไม่ได้ ตัดใจให้ เฉินผิงอันในเวลานั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ข้ากลัวว่าหากพูดไปแล้ว เฉินผิงอัน จะฉลาดขึ้น แล้วไม่ดีกับข้าหลิวเสี้ยนหยางเหมือนเดิมอีก สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น ความเห็นแก่ตัวของข้าในเวลานั้น เพราะตอนนั้นข้าก็รู้แล้วว่า หากวันนี้เขาไม่ดี กับกู้ช่านเหมือนเก่า วันพรุ่งนี้ก็ย่อมดีกับข้าหลิวเสี้ยนหยางน้อยลง แต่พอข้าเดินทางข้ามทวีปจนมาถึงที่นี่ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ ตอนนี้ข้าถึงได้รู้สึกเสียใจแล้ว ข้าไม่ควรให้เฉินผิงอันเป็นเฉินผิงอันคนนั้นมาโดยตลอด เขาควรจะคิดทำเพื่อตัวเอง ให้มากขึ้น เหตุใดตลอดชีวิตของเขาจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อคนอื่น? อาศัยอะไร? อาศัยว่าเขาเฉินผิงอันคือเฉินผิงอันอย่างนั้นหรือ?”

ท่ามกลางแสงสนธยา บนก้อนหินใหญ่ริมแม่น้ำ สายลมเย็นโชยมาปะทะใบหน้า

คืนนี้น่าจะยังมีแสงจันกระจ่างประดับฟ้าอยู่เหมือนเดิม

จางซานเฟิงเงียบไปนาน ก่อนจะถามเบาๆ ว่า “จะกลับบ้านเกิดไปเมื่อไหร่?”

หลิวเสี้ยนหยางที่นอนอยู่ตรงนั้นหลับตาลง “พยายามจะกลับไปให้เร็วหน่อย ช้าสุดก็สิบปีกระมัง”

จางซานเฟิงพูดอย่างสะท้อนใจ “ต้องรีบกลับไป ในตำราบอกไว้ว่าร่ำรวย ไม่กลับคืนสู่บ้านเกิด ก็เหมือนสวมชุดผ้าแพรเดินตอนกลางคืน อันที่จริงผู้ฝึกตน อย่างพวกเราทำแบบนั้นได้ยากมาก บนภูเขาไม่รู้ร้อนหนาว ราวกับว่าเพียงแค่ ชั่วพริบตาเวลาก็ผ่านไปแล้ว พอกลับคืนไปยังบ้านเกิดอีกครั้ง จะเหลือใครอยู่อีกเล่า? แล้วจะมีใครให้โอ้อวดอะไรได้อีก? ต่อให้ตระกูลยังคงอยู่ ยังคงมีลูกหลาน แต่จะพูดอะไรได้มากอีกหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางเอ่ย “ข้าไม่ได้มีความผูกพันอะไรกับบ้านเกิด กลับไปก็ไม่ใช่ เพื่อพิสูจน์ตัวเองกับใคร ดังนั้นสถานที่แรกที่ข้าจะไปหลังจากกลับไปถึง แจกันสมบัติทวีปจึงไม่ใช่เมืองเล็กแห่งนั้น คนแรกที่จะไปพบก็ไม่ใช่เขาเฉินผิงอัน”

จางซานเฟิงหันหน้ามา “มีปมในใจหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางยังคงหลับตา แต่ปากกลับคลี่ยิ้มบางๆ “เงื่อนตายมีแต่คลายด้วยความตาย”

หลิวเสี้ยนหยางลืมตาขึ้น ลุกพรวดขึ้นนั่ง “ไปถึงแจกันสมบัติทวีป เลือกคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ข้าหลิวเสี้ยนหยางจะท้าประลองกระบี่กับภูเขาตะวันเที่ยง ในความฝัน!”

จางซานเฟิงถามเสียงเบา “ไม่รอไปพร้อมกับเฉินผิงอันหรือ?”

หลิวเสี้ยนหยางยกสองมือกอดอก หัวเราะเสียงดัง “อย่าลืมล่ะว่าเป็นข้า หลิวเสี้ยนหยางที่คอยดูแลเฉินผิงอันมาโดยตลอด!”

แต่หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ได้ลืมว่า

อันที่จริงนับตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาสองคนได้รู้จักกัน ก็เป็นเฉินผิงอันที่ช่วยเขาหลิวเสี้ยนหยางในตรอกหนีผิง

จางซานเฟิงไม่ได้รู้สึกว่าหลิวเสี้ยนหยางพูดจาวางโตอะไร

เพราะปีนั้นเฉินผิงอันก็เคยพูดอยู่บ่อยๆ ว่า มีคนผู้หนึ่งที่ชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยางคอยดูแลเขาในหลายๆ ครั้ง แล้วก็สอนเขาในหลายๆ เรื่อง

มีเพียงตอนที่คนสองคนซึ่งเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของกันและกันได้พบและจากลา ยามเป็นเด็กหนุ่มเท่านั้น ที่เฉินผิงอันไม่เคยพูดถึงแม้แต่คำเดียว

หลิวเสี้ยนหยางพลันหันหน้าไปมองทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

จิตขยับรับสัมผัส

หลิวเสี้ยนหยางพลันเอ่ยว่า “ข้าต้องนอนสักพัก”

จางซานเฟิงรู้สึกจนใจเล็กน้อย เหมือนกับอาจารย์ของตนมากๆ เลย

ห่างไปไกล

ผู้เฒ่าสองคนที่คนหนึ่งสวมชุดลัทธิขงจื๊อกับคนหนึ่งสวมชุดลัทธิเต๋าถอนหายใจพร้อมกัน

โดยเฉพาะฮว่อหลงเจินเหรินที่ยิ่งรู้สึกเสียใจ

เพราะสหายเก่าแก่ที่ก่อนจะเดินทางไปภูเขาห้อยหัวได้ไปเยี่ยมเยือนยอดเขาพาตี้ผู้นั้น เป็นเซียนกระบี่แห่งอุตรกุรุทวีปคนแรกที่รบตายอยู่ทางทิศใต้ของกำแพงเมือง ปราณกระบี่

ตอนนี้อุตรกุรุทวีปรู้ข่าวแล้ว ถึงได้มีความเคลื่อนไหวเช่นนี้

นี่ก็คือการสืบทอดเก่าแก่ที่ส่งต่อมารุ่นต่อรุ่นของอุตรกุรุทวีป

ชูกระบี่ทั้งทวีป

ปราณกระบี่ท่วมทะยานฟ้า

ทั้งใต้หล้ารับรู้

บนภูเขาลูกเล็กของแคว้นฝูฉวีแห่งนั้น เฉินผิงอันรอคอยอยู่อย่างสงบสามวัน ทั้งฝึกวิชาหมัด แล้วก็ฝึกบำเพ็ญตบะ

เกี่ยวกับเรื่องการเข้าฌานทำสมาธิของผู้ฝึกตน เฉินผิงอันไม่เคยตั้งใจขนาดนี้มาก่อน เพียงแค่นั่งขัดสมาธิก็สามารถเข้าสู่สภาวะลืมตนได้อย่างสัมบูรณ์

เมื่อเวลามาถึง ยันต์ค่ายกลที่สามารถต้านทานการโจมตีของก่อกำเนิดได้สามครั้งของฉีจิ่งหลงก็สลายหายไปด้วยตัวเอง

เพราะความเคลื่อนไหวเหล่านี้ถึงทำให้เฉินผิงอันลืมตา

ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันได้ถอดชุดคลุมอาคมสีดำเปลี่ยนมาสวมชุดสีเขียวธรรมดาแล้ว เขาสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลัง แล้วก็หยิบไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวธรรมดาชิ้นนั้นออกมา ครั้นจึงเดินลงจากภูเขาไป

กลับมาเป็นเหมือนบัณฑิตชุดเขียวที่สะพายหีบหนังสือออกทัศนาจรอีกครั้ง

การฝึกตนอย่างสงบของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง นอกจากจะหล่อหลอม ปราณวิญญาณฟ้าดินที่รับเข้ามาไว้ใน ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคล’ ของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์ได้แล้ว ยังสามารถทำให้เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรงเกินกว่า คนปกติทั่วไป เมื่อเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิต เส้นเอ็นและกระดูกก็จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น อวบอิ่มเปล่งปลั่งราวกับหยกเขียว เมื่อพละกำลังพุ่งไปถึงก็จะยิ่งเห็นได้เด่นชัด พอเลื่อนสู่ขอบเขตโอสถทองก็จะพัฒนาไปอีกขั้น เส้นเอ็นและกระดูกเชื่อมโยง เข้าด้วยกันจนมีภาพปรากฎการณ์ของ ‘กิ่งทองใบหยก’ ในและนอกช่องโพรงลมปราณก็มีไอเมฆหมอกล้อมเวียนวนเนิ่นนานไม่สลายหายไปไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้ว ก็จะเหมือนได้บุกเบิกถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอยู่ใน ช่องโพรงที่สำคัญ ทำให้ปราณวิญญาณฟ้าดินที่กลั่นหลอมจนเหมือนของเหลวสีทองรุดหน้าไปอีกขั้น

จนสามารถบ่มเพาะคนจิ๋วก่อกำเนิดที่มรรคาสอดคล้องกับตัวเองขึ้นมาได้หนึ่งคน นี่ก็คือรากฐานของจิตหยางกายนอกกายของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน เพียงแต่ว่าต่างก็มีระดับสูงต่ำที่ต่างกันพอๆ กับขอบเขตโอสถทอง

นี่ก็คือฐานกระดูกและคุณสมบัติของผู้ฝึกลมปราณ

คำว่าฐานกระดูกของผู้ฝึกลมปราณนั้น ก็คือตัวที่บอกว่าภาชนะที่ใช้บรรจุ ปราณวิญญาณอยู่ในฟ้าดินเล็กร่างกายมนุษย์ใหญ่แค่ไหน

ส่วนคุณสมบัตินั้นก็คือตัวตัดสินว่า หลังจากเดินไปบนเส้นทางของการฝึกตนแล้ว ผู้ฝึกลมปราณจะได้เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินหรือไม่ รวมไปถึงข้อที่ว่าระดับขั้นของ โอสถทองและก่อกำเนิดจะดีแค่ไหน นี่จะทำให้ความช้าเร็วในการฝึกตนของ ผู้ฝึกลมปราณเกิดความต่างราวฟ้ากับดิน

ส่วนเรื่องของนิสัยใจคอก็คือการฝึกจิตใจอย่างหนึ่ง เป็นมายาเลื่อนลอยมากที่สุด แต่ในช่วงเวลาที่เป็นกุญแจสำคัญมักจะเสียเรื่องได้ง่ายมากที่สุด แต่ขณะเดียวกัน ก็ทำให้ประสบความสำเร็จได้อย่างน่าประหลาดใจ ยกตัวอย่างเช่นหลิวเหล่าเฉิง แห่งเกาะกงหลิ่ว เขาที่มีปณิธานแน่วแน่มั่นคงถึงเพียงนั้น แต่ทว่าจิตมารเล็กๆ ที่เกิดขึ้นมาเพราะความรักกลับเกือบจะทำให้ผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียงหนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีปกายดับมรรคาสลาย ลู่ฝางในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ยิ่งถูกความรักพันธนาการ ในช่วงเวลาหกสิบปี โจวเฝยที่เป็นนามแฝงของเจียงซ่างเจินช่วยปกป้องมรรคาให้เขาถึงเพียงนั้น แต่กลับไม่อาจคลายปมในใจของเขาออกได้

แล้วหันมามองเจียงซ่างเจิน ทั้งๆ ที่ดูเหมือนว่าเขาสัมผัสกับโคลนเลนแห่ง ความรักมากกว่า ทว่ากลับไม่มีมารในใจออกอาละวาด

ล้วนเป็นผลมาจากนิสัยของแต่ละคนที่แตกต่างกัน

ส่วนเรื่องของโชควาสนา กลับเป็นเรื่องที่ต่อให้ไขว่คว้าอย่างยากลำบากก็ไม่ได้มาครอง ดูเหมือนว่าได้แต่พึ่งชะตาลิขิตเท่านั้น

เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป แน่นอนว่า ยังมีหลี่ไหวที่เฉินผิงอันสนิทสนมด้วยมากที่สุด ล้วนถือเป็นคนประเภทที่ชะตาชีวิตดีจนไร้เหตุผล

ตอนนี้เฉินผิงอันหลอมวัตถุแห่งชะตาชีวิตสำเร็จไปแล้วสองชิ้น นั่นคือตราประทับอักษรน้ำในจวนน้ำกับดินห้าสีของต้าหลี จึงเท่ากับว่าได้สร้างสถานการณ์ใหญ่ดีงามที่ขุนเขาแอบอิงกับสายน้ำ

การฝึกตนของเขาจึงเร็วกว่าเดิมมาก

การดึงดูดและการหล่อหลอมปราณวิญญาณก็ยิ่งเร็วขึ้น อีกทั้งยังมั่นคงอย่างมาก

ดังนั้นถึงได้บอกว่า ขอแค่เฉินผิงอันยินดีไปตามหาสถานที่ภูเขาสวยน้ำใสที่ ปราณวิญญาณเปี่ยมล้นสักแห่งหนึ่ง ต่อให้อยู่บนภูเขาลูกเล็กๆ นั้นโดยที่ไม่ต้องขยับทำอะไร เพียงแค่นั่งเฉยๆ แบบนี้ไปตลอด ก็สามารถฝึกบำเพ็ญตนได้ทั้งวันทั้งคืน และในความเป็นจริงก็ช่วยเพิ่มพูนตบะและขอบเขตให้กับเขา

ด้วยเหตุนี้จึงเข้าใจได้ไม่ยากว่าเหตุใดยิ่งเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ยิ่ง ไม่ควรลงมาอยู่ล่างภูเขาบ่อยๆ มากเท่านั้น เว้นเสียจากว่าเจอกับคอขวด ถึงจะลงมาสักรอบหนึ่ง เพราะเมื่อชีวิตหยุดอยู่นิ่งอย่างถึงที่สุดแล้วก็ควรต้องหาจุดพลิกผัน ถึงได้หันไปฝึกจิตใจที่อยู่นอกเหนือจากการศึกษาวิชาคาถาตระกูลเซียน เรียบเรียง เส้นสายความคิดในหัวใจ หลีกเลี่ยงไม่ให้พลัดเดินเข้าไปทางผิด ชนกำแพงแล้ว แต่กลับยังไม่รู้ตัว ด่านมากมายที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้นั้น มีความลี้ลับ อย่างถึงที่สุด บางทีแค่เพียงขยับเท้าไปหนึ่งก้าวก็อาจเจอกับฟ้าดินแห่งใหม่ บางทีจำเป็นต้องเอาจิตออกไปท่องเที่ยวตามฟ้าดิน มองดูเหมือนว่าต้องเดินทางอ้อมไปไกลหลายพันหลายหมื่นลี้ถึงจะสามารถค่อยๆ สั่งสมทีละเล็กทีละน้อย แล้วเมื่อ แรงบันดาลใจบังเกิดก็จะสามารถฝ่าทะลุคอขวดได้ทันที ด่านยากไม่ใช่ด่านยาก อีกต่อไป

สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้ว ขอบเขตที่สามคือด่านที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก ถูกคนบนภูเขาเรียกว่า ‘ขอบเขตรั้งคน’

แต่คำกล่าวเช่นนี้ เมื่ออยู่ในตระกูลเซียนอักษรจงที่มีการถ่ายทอดอย่างเป็นระบบระเบียบกลับเป็นเรื่องน่าขันมาโดยตลอด

นี่ก็คือสาเหตุที่ว่าทำไมผู้ฝึกตนอิสระถึงได้อิจฉาเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลขนาดนั้น

พวกเขาต้องโขกหัวจนเลือดไหล แต่ก็ยังไม่แน่เสมอไปว่าจะเดินออกไปจาก ด่านยากขอบเขตที่สามได้ ทว่าสำหรับลูกศิษย์ตระกูลเซียนขนาดใหญ่แล้ว นั่นกลับกลายเป็นเรื่องที่ไม่ต่างจากการยกมือขึ้นดูลายมือตัวเองที่เส้นลายมือแต่ละเส้น ล้วนปรากฎให้เห็นเด่นชัด

และขอบเขตสามของเฉินผิงอันก็คือขอบเขตสามของผู้ฝึกตนอิสระ

เพราะหากเกี่ยวกับเรื่องของการฝึกตน ดูเหมือนว่าจะไม่เคยมีใครให้คำชี้แนะอย่างเป็นรูปธรรมใดๆ แก่เขา

ในอดีตสะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้นและแหลกสลาย พูดถึงเรื่องนี้ จึงไม่มีความหมาย

ภายหลังสะพายกระบี่ฝึกวิชาหมัด มุ่งมั่นตั้งใจ

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่มีชื่อว่านกกระเต็นของท่าเรือ หัวมังกรแคว้นลวี่อิง อันที่จริงหลิวจิ่งหลงเคยอธิบายกุญแจสำคัญในการฝึกตนของ ห้าขอบเขตล่างให้ฟังอย่างละเอียดมาก่อน แต่ถึงอย่างไรทั้งสองฝ่ายก็อยู่กัน คนละสำนักคนละสาย อีกทั้งยังมีกฎเกณฑ์และข้อห้ามบนภูเขาขวางฉีจิ่งหลงอยู่ เขาจึงไม่สามารถลอบตรวจสอบสภาพการณ์ของช่องโพรงลมปราณใหญ่แห่งต่างๆ ของเฉินผิงอันแล้วชี้แนะเขาไปทีละอย่างได้

ดังนั้นถึงได้บอกว่าสำหรับเฉินผิงอันที่เพิ่งเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามแล้ว การไขข้อข้องใจมากมายของฉีจิ่งหลงนั้นยังคงถือเป็นเรื่องคร่าวๆ ในภายหลัง ไม่ใช่เรื่องละเอียดในตอนนี้ ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ คำกล่าวเหล่านั้นของฉีจิ่งหลงก็ยังคงเป็นถ้อยคำที่มีค่าดุจทองคำดุจหยกอยู่ดี

เพราะต้องไม่มีความผิดพลาดอย่างแน่นอน

นี่จำเป็นให้ฉีจิ่งหลงต้องไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของภูเขาถึงจะสามารถพูดได้ อย่างกระจ่างแจ้ง

แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมจดจำได้แม่นขึ้นใจ

เขาถึงได้ดื่มเหล้ากานั้นที่ฉีจิ่งหลงทิ้งไว้ให้แค่จิบเล็กๆ เพราะคิดว่าอย่างน้อยจะต้องเหลือไว้ครึ่งกาอย่างไรล่ะ

การหล่อหลอมชูอีสืออู่ยังค่อนข้างลำบาก

ตอนนี้อาการบาดเจ็บของเขายังไม่หายดี ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเดินทางอย่างเชื่องช้าและระมัดระวังมากขึ้น

แต่เมื่อเฉินผิงอันขยับเข้าไปไกลชายแดนของเมืองลู่จิ่ว เขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่าง

เพียงแต่แสร้งทำเป็นว่าไม่รู้ก็เท่านั้น

จัดการกับเรื่องที่ถูกสะกดรอยตามเช่นนี้ เฉินผิงอันไม่กล้าพูดว่าตัวเองคุ้นเคย หรือมีฝีมือสูงส่งเท่าไร ทว่าในบรรดาคนวัยเดียวกัน ก็น่าจะไม่แย่กว่ามากนัก

ช่วงก่อนหน้านี้ตอนที่หลี่ฝูฉวีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของทะเลสาบซูเจี่ยนแอบสะกดรอยตามเขา เฉินผิงอันก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติแต่เนิ่นๆ ภายหลังเขากับเกาเฉิง แห่งเมืองจิงกวานอุตรกุรุทวีปต่างฝ่ายต่างวางแผนเล่นงานกัน จนมาถึงนักฆ่า ของภูเขาเกอลู่กลุ่มที่สอง

แล้วนับประสาอะไรกับที่นักฆ่าที่ทำตัวลับๆ ล่อๆ ตอนนี้ก็ไม่ถือว่ามีตบะสูง สักเท่าไรจริงๆ ก็แค่คิดว่าตัวเองอำพรางตัวได้ดีก็เท่านั้น ทว่าความอดทนของอีกฝ่ายเป็นเลิศ มีหลายครั้งที่อยู่ในสถานการณ์ที่มองดูเหมือนเป็นโอกาสอันดี แต่ก็ยังอดทนไม่ยอมลงมือ

เฉินผิงอันจึงปล่อยให้นักฆ่าผู้นั้นช่วยเป็น ‘ผู้ปกป้องมรรคา’ ให้แก่ตนไป

เมืองลู่จิ่วคือบ้านเกิดของหลู่ตุนบัณฑิตตกอับที่พบเจอโดยบังเอิญผู้นั้น

แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะไปเยี่ยมเยียนเขาที่บ้าน เพราะต่อให้มีความคิดเช่นนี้จริง ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาตัวเขาพบ

บัณฑิตคนหนึ่งที่เด็กรับใช้ข้างกายไม่ได้แซ่หลู่แต่แซ่โจว อาจเกิดใจที่อยากป้องกันคนอื่น จึงไม่ได้บอกแซ่ที่แท้จริงแก่เฉินผิงอัน

แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าทำแบบนี้จึงจะถูก

การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง ไม่เคยอยู่แค่ที่ถ้อยคำ ที่เปิดเปลือยความรู้สึกเท่านั้น

การพูดความในใจกับคนที่ไม่สนิทสนม โยนความจริงใจออกไปอย่างง่ายๆ ย่อมง่ายที่จะทำให้ตัวเองเข้าใจผิด

แม้แต่ตัวเองก็ยังไม่รับผิดชอบต่อตัวเอง แล้วจะรับผิดชอบและมอบความหวังดี ที่แท้จริงต่อคนอื่นและวิถีทางโลกใบนี้ได้อย่างไร?

หลักการเหตุผลเป็นเช่นนี้ก็จริง ทว่าเมื่อวิถีทางโลกกลายมาเป็นว่าการปฏิบัติ ต่อคนอื่นด้วยความจริงใจทุกเรื่องก็ยังเป็นความผิด แบบนี้กลับไม่ค่อยดีเท่าไร

ตอนที่ผ่านเมืองเล็ก เฉินผิงอันกลับเดินอ้อมไป เขาไม่คิดจะพัวพันตอแยกับนักฆ่าผู้นั้นต่ออีก

ดังนั้นบนเส้นทางที่เงียบสงัดเส้นนี้ ร่างของเขาจึงพลันหายไป มาปรากฎตัวอยู่ข้างกายนักฆ่าที่นอนหมอบอยู่ในกอต้นกก เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดต้นกกต้นหนึ่ง เรือนกายพลิ้วไหวไปตามปลายยอดไม้ เงียบเชียบไร้สรรพสำเนียง ก้มหน้าลงมองไป อีกฝ่ายน่าจะยังเป็นเด็กหนุ่ม สวมชุดคลุมสีดำ บนใบหน้าสวมหน้ากากสีขาวหิมะ เป็นผู้ฝึกตนของภูเขาเกอลู่อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว เพียงแต่ว่านี่ต่างหากถึงเป็นจุดที่มีเลศนัยชวนให้ขบคิดมากที่สุด เด็กหนุ่มนักฆ่าของภูเขาเกอลู่ผู้นี้แอบอำพรางตน สะกดรอยตามเฉินผิงอันมาอย่างยากลำบากตลอดทาง หากไม่เป็นเพราะว่าฉีจิ่งหลงหาตัวคนไม่เจอ หรือไม่ก็ยากจะใช้เหตุผลอธิบายได้เข้าใจ และแท้จริงแล้วภูเขาเกอลู่ ก็ได้สั่งผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนมาลอบฆ่าตนแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเพราะฉีจิ่งหลงอธิบายเหตุผลให้อีกฝ่ายเข้าใจอย่างกระจ่างแล้ว ภูเขาเกอลู่เลือกที่จะเคารพกฎเกณฑ์อีกข้อที่ใหญ่ยิ่งกว่า ต่อให้ผู้จ้างที่ให้ลงมือกับคนผู้นี้ทั้งสามครั้งจะเป็นคนละคนกัน แต่นับจากนี้ต่อไป ถึงแม้ว่าจะมีคนใหม่มาเยือนภูเขาเกอลู่ ยินดีทุ่มเงินทองกอง เป็นภูเขา ก็ไม่คิดจะมาลอบฆ่าคนผู้นี้อีกแล้ว

หากเป็นเช่นนี้

แล้วทำไมฉีจิ่งหลงถึงไม่ปรากฏตัวเสียที?

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เปิดปากเอ่ยว่า “ไม่เห็นตัวคนแล้ว ไม่ร้อนใจบ้างเลยหรือ?”

นักฆ่าภูเขาเกอลู่คนนั้นชะงักค้างตัวแข็งทื่อ หันหน้ากลับมาก็เห็นคนชุดเขียวผู้นั้นยืนอยู่บนยอดต้นกกข้างกายตัวเอง

ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากหนี แต่ลางสังหรณ์บอกกับเขาว่า หากหนีไปต้องตายแน่นอน แต่หากยังอยู่ที่เดิม ก็ยังมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง

เขาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง ปลดหน้ากากลง “ข้ากับคนแซ่หลิวเคยมีสัญญาต่อกัน ขอแค่ถูกเจ้าพบร่องรอยก็ถือว่าแผนการลอบฆ่าของข้าล้มเหลวแล้ว วันหน้าจะต้องติดตามเขาไปฝึกตน เรียกเขาว่าอาจารย์ เพราะฉะนั้นเจ้าห้ามฆ่าข้า”

เฉินผิงอันถาม “เขาอยู่ไหน?”

เด็กหนุ่มส่ายหน้า “เขาให้ข้าบอกเจ้าว่า เขาจะเดินทางไปเมืองหลวงต้าจ้วนก่อนรอบหนึ่ง แล้วจะกลับมาหาพวกเราช้าหน่อย”

เด็กหนุ่มพูดมาถึงตรงนี้ก็ปล่อยหมัดต่อยลงบนพื้น พูดอย่างอัดอั้นว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าลงจากภูเขามาลอบฆ่าคนอื่นนะ!”

เฉินผิงอันพลิ้วกายลงพื้น เขาเดินนำออกมาจากกอต้นกกก่อน ใช้ไม้เท้าเดินป่าช่วยเปิดทาง

เด็กหนุ่มคนนั้นลังเลอยู่ชั่วขณะ สุดท้ายก็กัดฟัน โยนหน้ากากชิ้นนั้นทิ้ง เดินตามมาด้านหลังคนชุดเขียว เดินไปบนเส้นทางด้วยกัน

เฉินผิงอันชะลอฝีเท้าให้ช้าลง เด็กหนุ่มชำเลืองตามองแล้วก็แข็งใจไล่ตามไป เดินเคียงไหล่กับเขา

เกี่ยวกับเป้าหมายในการลอบฆ่าผู้นี้ อันที่จริงก่อนหน้านั้นภายในของภูเขาเกอลู่ ก็มีข่าวลือบางอย่างแพร่ออกมา ในฐานะนักฆ่าที่ภูเขาเกอลู่ตั้งใจอบรมปลูกฝัง มากเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเติบโตอยู่ข้างกายเจ้าขุนเขาเกอลู่มาตั้งแต่เด็ก เขาถึงได้ มีโอกาสรู้เรื่องวงในพวกนี้

สรุปก็คืออย่าได้เห็นว่าไอ้หมอนี่ท่าทางนิสัยดี เหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าบัณฑิตเสียอีก ทว่าเมื่อการลอบฆ่าที่มีโอกาสคว้าชัยชนะได้อย่างมั่นคงของภูเขาเกอลู่ล้มเหลว เป็นครั้งแรก และเพียงไม่นานก็มีคนออกเงินจ้างนักฆ่าให้ลอบฆ่าคนคนเดิมซ้ำอีกครั้ง เจ้าสำนักผู้เป็นอาจารย์ก็บอกกับเด็กหนุ่มกับปากตัวเองว่า เจ้าคนที่อยู่ข้างกายเขา ในเวลานี้เป็นคนร้ายกาจที่ขยันหาเรื่องใส่ตัว แต่ก็เชี่ยวชาญการแก้ปัญหา อย่างมากด้วย

เฉินผิงอันถาม “เจ้าคือผู้ฝึกกระบี่หรือ?”

เด็กหนุ่มพยักหน้า “อาจารย์บอกว่าข้าคือตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดที่มีค่ามากคนหนึ่ง ดังนั้นจึงบอกให้ข้าทะนุถนอมชีวิตเอาไว้ให้มาก ไม่ต้องรีบร้อนรับงาน ไม่อย่างนั้น เงินเทพเซียนมากมายที่เขาทุ่มลงไปบนร่างข้าก็จะต้องขาดทุน ดังนั้นข้าจึงอยาก รับงานให้เร็วๆ หน่อย จะได้ช่วยอาจารย์และภูเขาเกอลู่หาเงินมาได้เร็วหน่อย ไหนเลยจะคิดว่าจะได้มาเจอกับเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้น เขาบอกว่าจะยืนอยู่เฉยๆ ให้อาจารย์ ของข้าลงมือได้ตามสบาย แต่ทุกครั้งที่ลงมือไปแล้วจะต้องฟังเหตุผลข้อหนึ่งของเขาหลิวจิ่งหลง อาจารย์จึงลงมือสองครั้ง จากนั้นก็รับฟังเหตุผลของเจ้าหมอนั่นสองข้อ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง

ในความทรงจำของเขา ไม่เคยมีครั้งใดที่อาจารย์ลงมือแล้วต้องกลับมามือเปล่า

ไม่ว่าอีกฝ่ายมีตบะอะไรก็ล้วนต้องศีรษะกลิ้งหลุนๆ ทุกคน

เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจขุ่นมัวที่อัดอั้นอยู่ในใจมานานแรงๆ แต่กระนั้นความอัดอั้นก็ยังไม่ลดน้อยลง เขาเอ่ยว่า “แต่ไหนแต่ไรมาภูเขาเกอลู่ของพวกเราพูดคำไหนคำนั้นเสมอ สุดท้ายอาจารย์เองก็จนปัญญา จึงได้แต่ส่งตัวข้ามาสังหารเจ้า อีกทั้งวันหน้า ข้าจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับภูเขาเกอลู่อีกแล้ว แถมยังต้องติดตามเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นไปเยือนสำนักกระบี่ไท่ฮุยผายลมสุนัขอะไรนั่นอีกด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ พลางยื่นฝ่ามือที่แบกว้างออกไป

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “อะไร?”

เฉินผิงอันเอ่ย “เจ้าไม่ควรต้องขอบคุณข้าดีๆ ที่ทำให้เจ้าได้ไปฝึกตนที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยหรอกหรือ?”

“เจ้าประสาทหรือไร?!”

เด็กหนุ่มกลอกตามองบน “ใครยินดีจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกัน?! ข้าก็แค่ความสามารถไม่มากพอ มีโอกาสมากมายขนาดนั้น แต่ข้ากลับรู้สึกว่า มันไม่ใช่โอกาส ไม่อย่างนั้นก็คงลงมือจ้วงกระบี่แทงเจ้าให้ตายไปแล้ว รับรองว่า ต้องแทงทะลุหัวใจแน่!”

เฉินผิงอันหดมือกลับมา “มีปราณสังหารเข้มข้นขนาดนี้ สมควรฝึกตนอยู่ข้างกาย ฉีจิ่งหลงแล้ว”

เด็กหนุ่มหันหน้าไปทำเสียงถุยหนึ่งที “ต่อให้เขาคนแซ่หลิวร้ายกาจกว่าเจ้าขุนเขาอาจารย์ของข้า แล้วอย่างไร? ข้าก็จะต้องเปลี่ยนสำนักเพื่อเขาอย่างนั้นหรือ?! อีกอย่างน่ะ ไอ้หมอนั่นแค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกหนอนหนังสือ วันหน้าฝึกตน อยู่กับเขา ทุกวันจะต้องเรียกเจ้าคนนิสัยจู้จี้อืดอาดเช่นนี้ว่าอาจารย์ ข้าล่ะกลัวว่า ชั่วชีวิตนี้จะไม่อาจฝึกตนเป็นเซียนกระบี่ครึ่งตัวอะไรได้เลย”

เฉินผิงอันเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วอาจารย์ของเจ้า หวังให้เจ้าติดตามฉีจิ่งหลงไปฝึกตนมากกว่า?”

เด็กหนุ่มเงียบไปครู่หนึ่ง “ก็พอจะเดาได้ อาจารย์ดีต่อข้า นี่เป็นเรื่องที่ข้ารู้มา โดยตลอด ดังนั้นข้าจึงคิดว่าปากก็จะเรียกเจ้าคนแซ่หลิวว่าอาจารย์ แต่ในใจของข้า ชั่วชีวิตนี้จะรับอาจารย์เป็นอาจารย์คนเดียวเท่านั้น”

เด็กหนุ่มหันหน้าไปอีกทางหนึ่ง ด้วยกลัวว่าไอ้หมอนี่จะเอาตนไปนินทากับหลิวจิ่งหลง แล้วถึงเวลานั้นตนจะต้องลำบาก

แต่ไม่รู้ว่าเหตุใด ยามเดินอยู่บนถนนกับเขากลับรู้สึกอยากจะพูดความในใจออกมาเยอะๆ

คงเป็นเพราะเกิดเหตุเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่เกินไป หากไม่พูดออกมาก็คงอัดอั้นในใจ เด็กหนุ่มคิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นตนคงต้องอึดอัดตายเป็นแน่

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตอนนี้เจ้าจะคิดแบบนี้ก็ได้ ดีแล้ว แล้วก็ถูกต้องแล้ว แต่วันหน้าเมื่อเปลี่ยนความคิดก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าในตอนนี้คิดผิด”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น “เจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้ กล้าพูดหลักการเหตุผลใหญ่โตเช่นนี้ด้วยหรือ? ทำไม คิดว่าข้าฆ่าเจ้าไม่ได้ก็เลยร้ายกาจมากนักรึ? เลยคิดจะเจ้ากี้ เจ้าการกับข้าแล้วใช่ไหม?!”

นิสัยนี้

ไม่ถือว่าดีเลยจริงๆ

เฉินผิงอันพูดอย่างไม่ถือสา “ใครบ้างที่พูดจามีเหตุผลไม่ได้? ข้าร้ายกาจกว่าเจ้า แต่กลับยังยินดีจะใช้เหตุผลกับเจ้า นี่เป็นเรื่องไม่ดีหรือ? หรือว่าเจ้าอยากให้ข้าต่อยเจ้าให้ตายด้วยหมัดเดียว หรือไม่ก็ซ้อมเจ้าปางตาย บีบให้เจ้าต้องลงไปนั่งคุกเข่าอ้อนวอนให้ข้ามีเหตุผล แบบนั้นถึงจะดียิ่งกว่า?”

เด็กหนุ่มปวดหัวเล็กน้อย เขาชูมือขึ้นทันที “หยุดเลยๆ อย่ามาไม้นี้เชียว อาจารย์เจ้าภูเขาของข้าถูกเจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นกวนใจแบบนี้นานเป็นครึ่งๆ วัน ถึงได้บอกให้ข้าหอบเสื่อไสหัวออกมา แล้วก็ไม่อนุญาตให้ข้าพูดมากด้วย”

เฉินผิงอันหัวเราะ บิดข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็มีเหล้าหมักข้าวเหนียวเพิ่มมาสองกา “ดื่มเหล้าหรือไม่?”

ดวงตาเด็กหนุ่มเป็นประกายวาบ รับเหล้ากาหนึ่งมาทันที พอเปิดจุกออกก็กรอกเหล้าใส่ปากอึกใหญ่ จากนั้นจึงกล่าวอย่างรังเกียจว่า “ที่แท้เหล้าก็รสชาติแบบนี้เอง ไม่เห็นจะอร่อย”

เฉินผิงอันเพียงแค่เดินเนิบช้าพลางพูดไปโดยไม่ได้หันหน้าไปมองเขา

“ในเมื่อดื่มแล้วก็เก็บเอาไว้ดื่มให้หมด ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร หากเจ้ากล้าโยนทิ้งข้างทางตั้งแต่ตอนนี้ ข้าก็จะสอนหลักการเหตุผลกับเจ้าแทนฉีจิ่งหลงก่อน อีกทั้งยังจะเป็นหลักการเหตุผลที่เจ้าไม่ค่อยยินดีจะฟังด้วย”

ใบหน้าเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยแววดูแคลน จุ๊ปากเอ่ยว่า “เห็นไหม ถึงท้ายที่สุดก็ยังใช้กำลังมาข่มคนอื่นอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ แต่เจ้าน่ะสู้ไม่ได้แม้แต่เจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้นเลยด้วยซ้ำ!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ฉวยโอกาสตอนที่ฉีจิ่งหลงยังไม่กลับมา จงดื่มเหล้าของเจ้าไปให้ดี หากไม่ผิดไปจากที่คาด ในช่วงเวลาที่ยาวนานมากช่วงหนึ่งในอนาคต ต่อให้ วันใดเจ้าจะอยากดื่มเหล้าขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่มีทางได้ดื่มแล้ว”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าคนแซ่หลิวก็เคยบอกกับข้าว่า ห้ามปล่อยให้เจ้ายุให้ดื่มเหล้าเด็ดขาด?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเสียหน่อย”

เด็กหนุ่มชูมือขึ้น มองเหล้ากานั้นที่อยู่ในมือ ลังเลอยู่พักหนึ่งก็ยังคงไม่กล้าโยนทิ้งไปตามใจ จากนั้นจึงจิบเหล้าข้าวหมักอีกหนึ่งอึก อันที่จริงรสชาติของมันก็ไม่เลว ไม่ได้รู้สึกเหมือนถูกมีดเผาไฟกรีดลำไส้เลยแม้แต่น้อย

ดูท่าตนคงเกิดมาเป็นคนประเภทที่ดื่มเหล้าได้

ไม่เสียแรงที่เป็นตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิด!

เขาพลันถามหยั่งเชิงว่า “ไม่สู้เจ้าพูดกับคนแซ่หลิวสักคำ บอกไปว่าเจ้ายินดีรับข้าเป็นลูกศิษย์ เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันไม่ได้สนใจเขา

เด็กหนุ่มจึงเริ่มพูดโน้มน้าวคนชุดเขียวผู้นี้บอกว่าเขาต้องเห็นแก่ความดีของอีกฝ่าย วันหน้าจะต้องตอบแทนอย่างแน่นอน รอจนเขากลับไปถึงภูเขาเกอลู่ ได้จุดธูป กราบไหว้ที่ศาลบรรพจารย์ ถูกรับกลับคืนเข้าสู่สำนักอีกครั้ง วันหน้าสามารถช่วยเขาสังหารศัตรูโดยไม่คิดเงินได้…

เฉินผิงอันถาม “ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไร?”

เด็กหนุ่มไม่ได้มีนิสัยที่ว่าใครถามอะไรก็ตอบหมด แต่เรื่องของชื่อนี้ เป็นเรื่องที่เขาภูมิใจยิ่งกว่าการที่ตัวเองเป็นตัวอ่อนเซียนกระบี่ก่อนกำเนิดเสียอีก เด็กหนุ่มจึงหัวเราะหยันเสียงเย็นเอ่ยว่า “อาจารย์เป็นคนตั้งชื่อให้ข้า แซ่ป๋าย ชื่อโส่ว! เจ้าวางใจเถอะ ไม่ถึงร้อยปี อุตรกุรุทวีปจะต้องมีเซียนกระบี่ที่ชื่อป๋ายโส่ว (หัวขาว) อย่างแน่นอน!”

เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องระวังฉายาของตัวเองในอนาคตหน่อยแล้ว เป็นเซียนกระบี่หัวขาวอะไรนั่น คงไม่ค่อยน่าฟังสักเท่าไร”

เด็กหนุ่มใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าไอ้หมอนี่พูดจามีเหตุผล!

เขาจึงพยักหน้า “ขอบใจมาก!”

เฉินผิงอันยกกาเหล้าขึ้น เด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อว่าป๋ายโส่วอึ้งตะลึงไปครู่ แต่ไม่นานก็เข้าใจได้ เขาจึงยกกาเหล้าชนกับอีกฝ่ายอย่างว่องไว จากนั้นต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าของตัวเอง

ป๋ายโส่วเช็ดปาก ตอนนี้เขารู้สึกไม่เลว ตนน่าจะถือว่ามีความกล้าหาญของวีรบุรุษและมาดของเซียนกระบี่บ้างแล้วกระมัง

เฉินผิงอันหัวเราะเบาๆ “เรื่องอื่นเจ้าล้วนฟังอาจารย์ของเจ้า แต่เรื่องของการ ดื่มเหล้านี้ หากเซียนกระบี่ไม่เป็นคนทำ ก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว”

ป๋ายโส่วพยักหน้ารับแรงๆ “แม้ว่าช่วงแรกเริ่มเจ้าจะเป็นคนที่น่ารำคาญไปบ้าง แต่ตอนนี้ข้ามองเจ้าแล้วถูกชะตาขึ้นเยอะ เจ้าชื่อว่าอะไร?! เจ้าต้องรู้ไว้นะว่าชีวิตนี้ ของข้าป๋ายโส่วจดจำชื่อของคนได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น เจ้าดูอย่างคนแซ่หลิวผู้นั้นสิ ข้าเคยเรียกชื่อเขาเต็มๆ ไหม? ไม่เคยล่ะสิ”

เฉินผิงอันตอบ “ข้าชื่อเฉินคนดี”

ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าได้ไม่รู้จักดีชั่ว!”

เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “เจ้าก็ตีข้าซะสิ?”

ดวงตาของป๋ายโส่วกลอกไปมา “เจ้าคิดว่าข้าโง่หรือไง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ใช่สิ เจ้าก็ตีข้าสิ?”

ป๋ายโส่วอัดอั้นตันใจเป็นอย่างยิ่ง ต้องกระดกเหล้าเข้าปากแรงๆ

นี่คือเรื่องอัปยศอย่างใหญ่หลวงเรื่องที่สองนับตั้งแต่ที่เขาป๋ายโส่วลงจากภูเขามา

เฉินผิงอันหันหลังกลับไปมอง

ฉีจิ่งหลงที่ท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางน่าจะมาถึงนานแล้ว แล้วก็เดินตามพวกเขาสองคนมานานมากแล้ว

ฉีจิ่งหลงกล่าวอย่างระอาใจ “ยังยุคนให้ดื่มเหล้าไม่สาแก่ใจพอหรือไง?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “มือกระบี่ทุกคนน่าจะจำคนที่ยุให้ตัวเองดื่มเหล้าได้”

ฉีจิ่งหลงถาม “ถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนยุให้เจ้าดื่มล่ะ?”

เฉินผิงอันกล่าว “แรกเริ่มสุดคือมือกระบี่คนหนึ่ง ภายหลังคืออาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่ง”

อย่าเห็นว่าตอนอยู่กับเฉินผิงอัน ป๋ายโส่วคำหนึ่งก็เจ้าคนแซ่หลิว สองคำก็เจ้าคนแซ่หลิว เวลานี้พอฉีจิ่งหลงมาอยู่ข้างกายจริงๆ เขากลับเงียบกริบเป็นจักจั่นใน หน้าหนาว ไม่เอ่ยอะไรสักคำ ราวกับว่าไอ้หมอนี่ยืนอยู่ข้างกายตน อีกทั้งตนยังถือ กาเหล้าที่ยังดื่มไม่หมดกานั้นเอาไว้ ต่อให้จะไม่ได้ดื่มแล้ว แต่ก็ยังผิดอยู่ดี

ตอนนั้นเจียวหลงบนบกแห่งอุตรกุรุทวีปทำเพียงแค่ยืนนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ปล่อยให้เจ้าขุนเขาอาจารย์ของเขาป๋ายโส่วส่งกระบี่ออกไปสองครั้ง!

ค่ายกลยันต์แห่งหนึ่งที่มองดูเหมือนถูกวาดขึ้นลวกๆ ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง ที่มองไม่เห็นกระบี่บิน หลังจากอาจารย์ของตนปล่อยสองกระบี่ออกไปแล้วก็ไม่เหลือแม้แต่อารมณ์ที่จะออกกระบี่เป็นครั้งที่สาม!

ฉีจิ่งหลงเอ่ย “ข้าคิดว่าจะกลับไปปิดด่านที่สำนักแล้ว”

เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “รีบๆ ฝ่าทะลุขอบเขต ข้าจะได้ไปหาเจ้าได้ ไม่อย่างนั้นหากช้าเกินไป ข้าก็อาจไปจากอุตรกุรุทวีปแล้ว ข้าไม่เดินทางย้อนกลับมาเพื่อเจ้าโดยเฉพาะหรอกนะ”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่า “หากเจ้ายินดีดื่มเหล้า ข้าก็สามารถลองคิดดูใหม่ได้”

ฉีจิ่งหลงโบกมือ “พอเลย”

เฉินผิงอันถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าไปเมืองหลวงต้าจ้วนมาหรือ?”

ฉีจิ่งหลงถอนหายใจ แล้วเอ่ยว่า “มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กน้อย กู้โย่วยังไม่ทันไปถึงเมืองหลวงต้าหลีก็ได้ส่งข่าวไปบอกทางนั้นก่อนแล้วว่า ให้จีเยว่แห่งภูเขาวานรคำรามไม่ต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจแล้ว คนทั้งสองไปตัดสินเป็นตายกันที่ริมแม่น้ำอวี้ซี ได้เลย ข้าไม่ค่อยสนใจเรื่องการเข่นฆ่าแบบนี้สักเท่าไร ก็เลยไม่ได้อยู่ที่นั่นต่อ แต่อีก ไม่นานกู้โย่วและจีเยว่ก็น่าจะใกล้ได้ประมือกันแล้ว”

เฉินผิงอันเองก็ถอนหายใจ เริ่มดื่มเหล้าอีกครั้ง

ป๋ายโส่วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่งมีอะไรร้ายกาจกัน จีเยว่เป็นถึงเซียนกระบี่ใหญ่เชียวนะ ข้าว่านี่คงเป็นเรื่องแค่สองสามกระบี่เท่านั้น”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มให้ “เจ้าว่าสภาพข้าตอนนี้อนาถมากหรือไม่?”

ป๋ายโส่วพยักหน้ารับ “บาดแผลเหวอะหวะเต็มร่าง แน่นอนว่าต้องอนาถมาก เป็นอย่างไรล่ะ? วิธีการอันร้ายกาจของผู้ฝึกตนภูเขาเกอลู่พวกเราทำให้เจ้าจดจำ ได้ฝังใจเลยใช่ไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันกับฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มให้กัน

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว หรือว่าไม่ได้เป็นเช่นนี้?

ฉีจิ่งหลงพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอัน ก่อนที่ข้าจะออกเดินทาง พวกเราไปหายอดเขาเงียบๆ สักแห่งหนึ่ง ถึงเวลานั้นเจ้าจะได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดาภาพหนึ่ง แล้วเจ้าก็จะยิ่งเข้าใจอุตรกุรุทวีปมากกว่าเดิม”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่มีความเห็นต่าง

ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้

คนทั้งสามยืนอยู่บนยอดเขาสูงแห่งหนึ่งด้วยกัน

เมืองหลวงต้าจ้วน ริมแม่น้ำอวี้ซี

จีเยว่ยืนอยู่ริมฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ

ผู้เฒ่าชุดเขียวลักษณะเหมือนคนของลัทธิขงจื๊อยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เชิญเจ้าเรียกกระบี่ได้ตามสบาย”

จีเยว่พยักหน้า “ข้าเชื่อในในคุณธรรมของเจ้ากู้โย่ว”

อุตรกุรุทวีปในค่ำคืนนี้

นับตั้งแต่บนภูเขาของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งที่ในอดีตได้เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว

ที่ผู้ฝึกในสำนักพากันเรียกกระบี่บินให้ทะยานขึ้นสู่ม่านฟ้าอย่างพร้อมเพรียงก่อนผู้ใด

ประหนึ่งสายรุ้งขาวปราณกระบี่เส้นหนึ่งที่ผุดขึ้นจากผืนแผ่นดิน

ต่อมาก็คือป๋ายฉางเซียนกระบี่อันดับหนึ่งทางทิศเหนือ แสงกระบี่เจิดจ้าสะดุดตาอย่างถึงที่สุดเส้นนั้นทะยานขึ้นฟ้าไปอย่างรวดเร็ว

แล้วก็ตามมาด้วยสำนักกระบี่ไท่ฮุยที่ฉีจิ่งหลงอยู่ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนต่างก็พากันบังคับกระบี่ภายใต้การนำของเจ้าสำนัก แสงกระบี่ร่วมกันกรีดผ่าม่านราตรี ส่องสว่างอาณาเขตของตลอดทั้งสำนัก ฟ้าดินเจิดจ้าประหนึ่งเวลากลางวัน

มีนักพรตผู้เฒ่าบรรพจารย์ท่านหนึ่งของยอดเขาจื่อเสวียนเรียกกระบี่ไม้ท้อที่เวลาปกติมักจะใช้แค่กำจัดปีศาจปราบมารชิ้นนั้นออกมา

จีเยว่เซียนกระบี่แห่งภูเขาวานรคำรามที่อยู่ริมแม่น้ำอวี้ซีของราชวงศ์ต้าจ้วนที่ ต่อให้กำลังจะเปิดศึกใหญ่ตัดสินเป็นตายกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตปลายทางคนหนึ่ง ทว่าเขาก็ยังต้องบังคับกระบี่ให้ลอยขึ้นไปบนฟากฟ้าก่อน เพื่อใช้สิ่งนี้มาเซ่นไหว้คน บนเส้นทางเดียวกันบางคนที่รบตายอยู่ห่างไปไกล

ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่มีลี่ไฉ่เป็นผู้นำ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนในสำนักล้วนออกกระบี่อย่างพร้อมเพรียงกัน

ทางฝั่งของศาลบรรพจารย์ภูเขามู่อีสำนักพีหมา นอกจากผู้ฝึกกระบี่หลายท่าน ที่เรียกกระบี่ออกมาแล้ว จู๋เฉวียนเจ้าสำนักที่เอามือกดด้ามดาบก็ยังให้ผังหลันซีที่อยู่ข้างกายบังคับกระบี่เล่มยาวให้ทะยานขึ้นฟ้าเพื่อทำการเซ่นไหว้

ผูหรางวิญญาณวีรบุรุษแห่งชายหาดโครงกระดูกก็ชักกระบี่ออกจากฝักเช่นกัน เกาเฉิงเป็นคนปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้พันธนาการแห่งฟ้าดินแหลกสลาย เพียงแค่เพื่อให้กระบี่นั้นของผูหรางบินได้สูงยิ่งกว่าเดิม!

ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ของฝ่ายต่างๆ ที่เป็นศัตรูคู่อาฆาตกับเซียนกระบี่ที่รบตายท่านนั้น ทุกคนต่างก็พร้อมใจกันออกกระบี่อย่างไม่มีข้อยกเว้น

แล้วก็เป็นเช่นนี้

เสาลำแสงปราณกระบี่แต่ละเส้นที่ส่องสว่างไม่เท่ากันพากันทยอยส่องแสงขึ้นบนอาณาเขตของอุตรกุรุทวีป

ท่ามกลางม่านราตรีของใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าในหมู่มวลมนุษย์ย่อมมีแสงไฟมากกว่า

แต่ไม่เคยทำให้อุตรกุรุทวีปเป็นเช่นนี้ ไม่เคยมีเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนี้พากันออกกระบี่อย่างพร้อมเรียงราวกับแสงไฟที่ถูกจุดให้สว่างไปทั่วทั้ง ผืนแผ่นดินใหญ่ในเวลาเดียวกัน

ในอาณาเขตแคว้นฝูฉวี บนยอดเขาสูงที่ไร้นามแห่งหนึ่ง

ฉีจิ่งหลงเองก็เริ่มออกกระบี่

ครั้งนี้เป็นการออกกระบี่อย่างสุดกำลังความสามารถ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่มีชื่อว่า ‘กฎเกณฑ์’ เล่มนั้นผุดทะยานขึ้นจากพื้นดิน แสงกระบี่ประหนึ่งสายรุ้งที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง

ฉีจิ่งหลงเอาสองมือไพล่หลัง ทอดสายตามองเส้นยาวเล็กบางแต่ละเส้นที่ผุดขึ้นบนพื้นแผ่นดินของโลกมนุษย์เหล่านั้น

ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ของหนึ่งทวีปที่กำลังเซ่นไหว้คนบนเส้นทางเดียวกันผู้นั้นอยู่ไกลๆ ขณะเดียวกันก็ใช้สิ่งนี้มาแสดงความเคารพต่อมหามรรคาร่วมทางของผู้ฝึกกระบี่ คนรุ่นเดียวกับข้าเส้นนั้น

เขาพลันหันหน้ามามองเฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้างแล้วยิ้มเอ่ยว่า “คิดดีแล้วจริงๆ หรือ? หากถูกคนมีใจเห็นเข้า ก็เท่ากับว่าเปิดเผยวิชาก้นกรุของตัวเอง การเดินทางของเจ้าหลังจากนี้อาจจะเจอกับปัญหาใหญ่มากกว่าเดิม”

แต่อันที่จริงฉีจิ่งหลงกลับรู้คำตอบอยู่แล้ว

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ในมือของเฉินผิงอันถือกระบี่ยาวไว้อยู่แล้ว

ชื่อกระบี่คือเจี้ยนเซียน (เซียนกระบี่)

เฉินผิงอันแหงนหน้าขึ้น เอ่ยเบาๆ ว่า “ยอมคิดเรื่องมากมายที่คนอื่นไม่ยินดีจะคิด ก็ไม่ใช่เพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมากกับเรื่องบางเรื่องหรอกหรือ?”

เด็กหนุ่มป๋ายโส่วที่เดิมทีก็รู้สึกแสบตาเพราะแสงกระบี่เส้นนั้นของฉีจิ่งหลงอยู่แล้ว เวลานี้เขาได้ฝืนลืมตาขึ้นตามจิตใต้สำนึก ถึงได้ไม่พลาดภาพเหตุการณ์เหล่านั้น

เมื่อคนผู้นั้นตะโกนเบาๆ ว่า “ไป”

ระหว่างฟ้าดินก็มีแสงกระบี่สีทองเส้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ปราณกระบี่อันไพศาล พุ่งทะยานสู่ม่านฟ้า

ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีแสงกระบี่สีขาวหิมะและสีเขียวมรกตอีกสองเส้นที่ทยอยกันพุ่งออกจากช่องโพรงลมปราณของคนผู้นั้น พวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้า

เมื่อฉีจิ่งหลงเก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตกลับมา

เฉินผิงอันก็ชูฝักกระบี่ขึ้น เจี้ยนเซียนดิ่งลงมาจากท้องฟ้า สอดกลับเข้าฝักเสียงดังเคร้ง

จากนั้นก็ถูกมือกระบี่ชุดเขียวที่มาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในอุตรกุรุทวีปสะพายไว้ด้านหลังเบาๆ

นาทีนี้เด็กหนุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่มีนามว่าป๋ายโส่วรู้สึกว่าบุรุษชุดเขียวมอบเหล้ากานั้นให้ตนดื่มก็เป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจมากเช่นกัน

ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน

ฉีจิ่งหลงทะยานลมกลับทางเหนือ ป๋ายโส่วเองก็สามารถทะยานลมเดินทางไกล ได้เช่นกัน

ป๋ายโส่วหันหน้าไปมอง เห็นว่าคนผู้นั้นยืนอยู่ที่เดิม ทำท่าแหงนหน้าดื่มเหล้าให้เขาดู ป๋ายโส่วพยักหน้ารับอย่างแรง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครเอ่ยคำใด

คิดไม่ถึงว่าฉีจิ่งหลงจะเอ่ยว่า “เรื่องดื่มเหล้า แม้แต่คิดก็อย่าได้คิดเลย”

ป๋ายโส่วพูดอย่างขุ่นเคือง “คนแซ่หลิว หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ข้าจะแอบหนีไปแล้วนะ ไปหาเพื่อนของเจ้าแล้วให้เขาเป็นอาจารย์ของข้า!”

ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “เจ้าจะลองทำดูก็ได้ เขาต้องไล่เจ้ากลับมาแน่นอน”

ป๋ายโส่วกล่าวอย่างกังขา “ทำไมล่ะ?”

ฉีจิ่งหลงยิ้มบางๆ “เสียดายเงินค่าเหล้า”

ป๋ายโส่วหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าหลอกใครกัน เขาจะขี้เหนียวขนาดนั้นเลยหรือ?”

ฉีจิ่งหลงพยักหน้ารับ “ขี้เหนียวยิ่งกว่าที่เจ้าคิดเสียอีก”

ป๋ายโส่วทอดถอนใจ “ถือว่าข้าตาบอดไป ถึงได้คิดจะกราบเขาเป็นอาจารย์”

ป๋ายโส่วพลันถามว่า “ถ้าอย่างนั้นที่เจ้าไม่อนุญาตให้ข้าดื่มเหล้า เพราะกังวลว่าจะถ่วงเวลาการฝึกกระบี่ หรือว่าเสียดายเงิน?”

ฉีจิ่งหลงกล่าว “ทั้งคู่”

ป๋ายโส่วเอ่ยอย่างเดือดดาล “คนแซ่หลิว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็สู้เขาไม่ได้เลย!”

ฉีจิ่งหลงหันหน้ามายิ้มถาม “ข้าบอกเมื่อไหร่ว่าตัวเองดีกว่าเขา?”

ป๋ายโส่วที่อัดอั้นอย่างหนักอดทนอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหว พูดอย่างเกี้ยวกราดว่า “เจ้ากับเพื่อนของเจ้าล้วนมีสันดานแบบนี้! มารดาเถอะ ถ้าอย่างนั้นไม่เท่ากับว่าข้า ตกลงไปในรังโจรหรืออย่างไร”

ฉีจิ่งหลงยิ้มเอ่ย “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก”

ป๋ายโส่วถอนหายใจหนึ่งที

ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง

ทางฝั่งของยอดเขา เฉินผิงอันที่ในที่สุดก็กลับมาสะพายกระบี่อีกครั้ง เริ่มเดินลงจากเขาไปช้าๆ กำลังคิดว่าฉีจิ่งหลงกับลูกศิษย์คนใหม่ที่เขาเพิ่งรับมา น่าจะกำลังพูดถึงตนในด้านดีๆ ยกตัวอย่างเช่นเป็นคนใจกว้าง มือเติบใจป้ำ อะไรทำนองนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version