บทที่ 539 อยู่ห่างไปไกลแสนไกล
แคว้นสุ่ยเซียวคือแคว้นแห่งสายน้ำ หนองบึงและทะเลสาบที่มีชื่อเสียงมา อย่างยาวนาน เมืองและมณฑลส่วนใหญ่ซึ่งรวมถึงตัวเมืองหลวงเองล้วนสร้างอยู่ บนเกาะแห่งหนึ่งที่ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน เป็นเหตุให้มีการขนส่งทางน้ำหนาแน่น เรือมีจำนวนมาก มีลำธารใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสาบสายหนึ่งชื่อว่าธารดอกท้อ ธาตุน้ำ มีความอ่อนโยนอย่างถึงที่สุด ชายฝั่งทั้งสองข้างปลูกต้นท้อไว้เรียงราย บนถนน มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนไม่ขาดสาย ส่วนใหญ่คือปัญญาชนผู้มีความรู้ที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือ
เฉินผิงอันจึงเดินเลียบธารน้ำเส้นนี้ไป ไม่ได้ตรงไปยังอำเภอแห่งหนึ่งที่อยู่ติดกับทะเลสาบ แต่เลือกเดินไปยังทางแยกสายเล็ก กระทั่งมาถึงสถานที่ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของตระกูลเซียนอย่างท่าเรือดอกท้อ ขอแค่ผู้ฝึกตนสามารถทลายเขาวงกตสายน้ำขุนเขาที่เป็นเวทอำพรางตาชั้นต่ำตื้นเขินมาได้ก็จะสามารถเดินเข้าไปในท่าเรือแห่งนี้ พอเข้ามายังพื้นที่ลับแล้ว การมองเห็นก็จะพลันเปิดกว้าง ที่ท่าเรือดอกท้อมีภูเขาเขียวอยู่ลูกหนึ่ง บริเวณโดยรอบของภูเขาเขียวคือทะเลสาบขนาดเล็กที่ผืนน้ำเป็น สีเขียวเข้มนิ่งสงบ บนท่าเรือมักจะมีก้อนเมฆสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ตลอดทั้งปี ประหนึ่งเซียนสวมชุดเขียวบนศีรษะสวมกวานสีขาวหิมะ ยามที่เรือข้ามฟากมาถึงก็ต้อง ข้ามผ่านทะเลเมฆแห่งนั้นมาให้ได้ก่อน คนธรรมดาทั่วไปจึงมักจะมองไม่เห็น โฉมหน้าที่แท้จริงของเรือข้ามฟาก
ท่าเรือดอกท้อเป็นของจวนไฉ่เชวี่ยจวนตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของแคว้นสุ่ยเซียว ในจวนแห่งนั้นมีแต่ผู้ฝึกตนหญิง พวกนางจะฝึกตนด้วยการหล่อหลอมน้ำในลำธารดอกท้อพร้อมกับดอกไม้พืชพรรณจำนวนมากของตระกูลเซียน บวกกับใช้วิชาลับเฉพาะบางอย่างที่สืบทอดมาแต่โบราณ นำมาถักทอเป็นชุดคลุมอาคมของสำนัก บนภูเขา จวนไช่เฉวี่ยมีกำลังคนน้อยและทรัพยากรน้อย ปีหนึ่งสามารถทอชุดคลุมอาคมได้แค่หกชิ้นเท่านั้น ว่ากันว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาใหญ่แห่งต่างๆ ทางภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปได้สั่งจองไปถึงอีกร้อยปีให้หลังแล้ว
ส่วนใหญ่ล้วนจะนำไปเตรียมไว้ให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์ ห้าขอบเขตล่างที่อยู่ใกล้กับคอขวด เอาไว้เป็นหนึ่งในของขวัญแสดงความยินดี สำหรับการได้เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางในอนาคต
สำหรับเรื่องของการโดยสารเรือข้ามฟาก เฉินผิงอันคุ้นชินมานานแล้ว เขาไปสอบถามรายละเอียดของเรือข้ามฟากจากหอสูงแห่งหนึ่งที่แขวนกรอบป้าย คำว่า ‘วสันต์อยู่ต้นลำธาร’ จ่ายเงินแล้วก็รับเอาป้ายไม้ท้อที่สลักภาพมงคลขับไล่เสนียดจัญไรที่ประณีตงดงามชิ้นหนึ่งมา เรือจะออกเดินทางคืนนี้ มุ่งหน้าไปยัง ถ้ำสวรรค์วังมังกร ระหว่างทางจะหยุดจอดพักค่อนข้างบ่อย เพราะว่าจะต้องจอด ตามสถานที่ท่องเที่ยวมากมายของตระกูลเซียน เพื่อสะดวกให้ผู้โดยสารลงจากเรือ ไปท่องเที่ยวตามภูเขาสายน้ำ เส้นทางการทำเงินประเภทนี้ อันที่จริงทั้งเส้นทาง มังกรเดินของแจกันสมบัติทวีป และเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านนครมังกรเฒ่า ต่างก็ถือว่าใช่ ผู้โดยสารชื่นชอบ ใช้ทัศนียภาพอันงดงามมาสร้างความสบายตา สบายใจให้กับตัวเอง แล้วก็ถือโอกาสซื้อผลิตพันธ์พิเศษของตระกูลเซียนใน แต่ละสถานที่มาเก็บไว้ จวนตระกูลเซียนในพื้นที่ก็ยิ่งยินดีต้อนรับ ผู้คนสัญจรไปมา ล้วนถือว่าเป็นเงินเทพเซียนที่มีขาเดินเองได้ เรือข้ามฟากก็ได้ความสัมพันธ์ควันธูปจากตระกูลเซียนที่อยู่ระหว่างทาง ไม่แน่ว่าอาจยังได้รับส่วนแบ่ง ยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสามตัว
ทางฝั่งของท่าเรือแห่งนี้ จวนไช่เฉวี่ยได้เปิดหอเทียนอี (อาภรณ์สวรรค์) ขึ้นมาแห่งหนึ่งโดยเฉพาะ ผู้โดยสารสามารถมาชมขั้นตอนการถักทอชุดคลุมอาคม หลายสิบชุดได้จากที่นี่โดยไม่ต้องจ่ายเงินเทพเซียน ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าไปชม ด้านในได้
แน่นอนว่าเฉินผิงอันย่อมไม่พลาด พอไปถึง เขาก็เดินลอดผ่านระเบียงพร้อมกับกลุ่มคนไปช้าๆ ในห้องทุกห้องจะมีผู้ฝึกตนหญิงอายุน้อยกำลังก้มหน้าง่วนทำงาน ยิ่งเป็นห้องหลัง ประกายแสงอัญมณีของชุดคลุมอาคมที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ชิ้นหนึ่ง ก็จะยิ่งทอประกายเจิดจ้าพร่างตา
อันที่จริงเฉินผิงอันมีความคิดว่าจะซื้อไว้สักชุด เพียงแต่ว่าเขาเพิ่งจะมาถึง อีกทั้งยังไม่เชี่ยวชาญด้านการดูชุดคลุมอาคม กังวลว่าต่อรองราคาไม่ได้ผลแล้วยังจะกลายเป็นว่าเสียท่าจ่ายเงินเกินราคาไปอีก การค้าขายบนภูเขาจำนวนไม่น้อย เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลสามารถประหยัดเงินได้มากกว่าผู้ฝึกตนอิสระได้อย่างแท้จริง การที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า หากไม่ใช่การค้าที่ทำกันเพียงครั้งเดียว ราคาที่ ฝ่ายขายเสนอมาย่อมจะต้องนึกถึงภูเขาเบื้องหลังเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล อยู่หลายส่วน ส่วนผู้ฝึกตนอิสระที่ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ล่อแหลม หัวที่ห้อยไว้ตรง สายรัดเอวก็ไม่รู้ว่าจะร่วงหล่นลงบนพื้นวันไหน ภูเขาตระกูลเซียนใครก็ยินดีให้ได้ เงินน้อยเพื่อแลกมาด้วยน้ำใจที่ติดค้างทั้งนั้น
เฉินผิงอันเชื่อว่าในมือของจวนไช่เฉวี่ยจะต้องมีชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นดีที่สุดเก็บไว้สักชิ้นสองชิ้น รวมไปถึงชุดคลุมอาคมที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีจำนวนหนึ่ง เพื่อเตรียมไว้ในยามฉุกเฉิน เพียงแต่ว่าเมื่อผู้ฝึกตนทั่วไปเปิดปาก แน่นอนว่า จวนไช่เฉวี่ยย่อมไม่มีทางสนใจ
เฉินผิงอันจึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ฉีจิ่งหลงไม่ได้อยู่ข้างกาย ไม่อย่างนั้น หากเจ้าหมอนี่ช่วยพูดให้เขา ถึงเวลานั้นคิดจะขอราคาที่ค่อนข้างยุติธรรมมาจาก ผู้ฝึกตนหญิงจวนไช่เฉวี่ยแห่งนี้ก็คงเป็นเรื่องที่ไม่เกินกว่าเหตุนัก
หากจวนไช่เฉวี่ยมีเทพธิดาที่ลำดับอาวุโสไม่ต่ำแล้วยังชื่นชมเจียวหลงบนบก ของอุตรกุรุทวีปผู้นี้อยู่พอดี จะต้องยินดีขายชุดคลุมในราคาทุนให้อย่างแน่นอน เขาเฉินผิงอันคิดจะห้ามก็ห้ามไม่อยู่ไม่ใช่หรือ?
ตอนที่ออกมาจากหอเทียนอี เฉินผิงอันรู้สึกกลัดกลุ้มยิ่งนัก วัตถุอย่างชุดคลุมอาคม ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำแค่ไหน ต่อให้เจ้าจะเป็นตระกูลเซียนอักษรจงที่ในคลังสมบัติมี ชุดคลุมอาคมกองกันเป็นภูเขาอยู่นานแล้ว ก็ยังไม่รังเกียจว่ามากเกินไป
การที่เม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารมีราคาแต่หาซื้อไม่ได้ ก็มาจากสาเหตุนี้
ฝึกบำเพ็ญตนก็เพื่อความเป็นอมตะ กาลเวลายาวนาน ไม่กริ่งเกรงความร้อนหนาว หวาดกลัวเพียงอย่างเดียวคือหนึ่งในหมื่นนั้น ชุดคลุมอาคมตระกูลเซีย ก็เหมือนกับเสื้อเกราะเทพรับน้ำค้างหวาน จินอูจิงเหวย และเสื้อเกราะควันธูปของ สำนักการทหารที่ต่างก็มีไว้เพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝันหนึ่งในหมื่น ผู้ฝึกตนลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ มีหรือไม่มีชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะติดกาย คือเรื่องที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว
เฉินผิงอันเพิ่งจะออกมาจากหอทอผ้าก็มีผู้ฝึกตนหญิงลักษณะท่าทางไม่ธรรมดาคนหนึ่งเดินมาหาเขาช้าๆ
ในเมื่อเป็นงูเจ้าถิ่นจากจวนไช่เฉวี่ยที่มาเยือนถึงที่
เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน แล้วเป็นฝ่ายประสานมือคารวะก่อน
ผู้ฝึกตนหญิงคารวะกลับคืนแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้าคือผู้ฝึกตนผู้ดูแลกฎประจำ ศาลบรรพจารย์ของจวนไช่เฉวี่ย นามว่าอู่ชวิน อู่เขียนด้วยอักษรจื่อและเกอ ชวิน เขียนด้วยอักษรซานและจวิน”
เฉินผิงอันรู้สึกคลางแคลงอยู่ในใจ ไม่รู้ว่าผู้ฝึกตนใหญ่ของจวนไช่เฉวี่ยที่ก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในหอ เหตุใดถึงต้องมาพบตน แต่กระนั้นก็ยังบอกชื่อของตัวเองออกไปว่า “ข้าแซ่เฉิน นามคนดี”
ไม่หน้าแดงเลยสักนิด
ทว่าชื่อของผู้ฝึกตนหญิงคนนี้มีความหมายดีจริงๆ
ไม่แย่ไปกว่าเฉินคนดีเลย
ผู้ฝึกตนหญิงเห็นพวกผู้ฝึกตนข้ามถิ่นที่อำพรางตัวตนอย่างมิดชิดมาหลายคนแล้ว นางจึงไม่มีท่าทีแปลกใจแม้แต่น้อย หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็ถามเข้าประเด็นว่า “ขอละลาบละล้วงถามสักคำ เซียนซือเฉินรู้จักหลิวจิ่งหลง ท่านหลิวแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยหรือไม่?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในอุตรกุรุทวีป ใครบ้างที่ไม่รู้จักหลิวจิ่งหลง?”
คนของอุตรกุรุทวีปเคยชินที่จะเรียกชื่อซึ่งถูกบันทึกไว้ในศาลบรรพจารย์ สำนักกระบี่ไท่ฮุยอย่างหลิวจิ่งหลง ไม่ใช่ชื่อก่อนขึ้นภูเขาอย่างฉีจิ่งหลง
ความลับของเรื่องนี้ เฉินผิงอันไม่ได้ถาม ฉีจิ่งหลงเองก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง
อู่ชวินหลุดหัวเราะพรืด
คำตอบนี้ไม่ได้มีความจริงใจอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะหาข้อตำหนิใดๆ ไม่ได้เลย
อู่ชวินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตอนนี้เจ้าจวนของพวกเราปิดด่าน แต่ในอดีตเจ้าจวน เคยโชคดีได้เดินทางท่องเที่ยวผ่านภูเขาสายน้ำร่วมกับท่านหลิวระยะเวลาหนึ่ง มันส่งผลประโยชน์ต่อการฝึกตนของนางอย่างมาก แล้วนางก็เคารพเลื่อมใสในนิสัย ใจคอของท่านหลิวมากเช่นกัน เพียงแต่ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ท่านหลิวไม่เคย เดินทางผ่านภูเขาของเราเลย เจ้าจวนของพวกเราจึงรู้สึกเสียดายไม่น้อย”
ในความเป็นจริงแล้วอู่ชวินเองก็พูดจริงบ้างเท็จบ้าง เจ้าจวนสาวของจวนไช่เฉวี่ยคนปัจจุบัน หากนับตามลำดับอาวุโสแล้วก็ถือว่าเป็นศิษย์หลานของนางอู่ชวิน เพียงแต่ว่าพรสวรรค์ดีกว่าอาจารย์อาอย่างนางไปมาก บนเส้นทางการฝึกตนไม่เคยแบ่งแยกอายุ ใครที่เรียนรู้ได้เร็วก็ประสบผลสำเร็จก่อน ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีปเอง ก็ยอมรับในหมัดอย่างมาก เจ้าจวนของตนผู้นั้นไม่เพียงแต่เลื่อมใสในตัวหลิวจิ่งหลง ยังหลงรักเขาด้วย ดังนั้นครั้งนี้จึงไม่ได้ปิดด่าน แต่เป็นเพราะพบเบาะแสน้อยนิดที่เกิดจากการเซ่นกระบี่ในแคว้นฝูฉวีก่อนหน้านี้ เจ้าจวนจึงรีบร้อนไล่ตามไป
คิดว่าจะแสดงฉากพบเจอกันโดยบังเอิญสักครั้ง เพียงแต่ว่าเรื่องประเภทนี้ เป็นเรื่องต้องห้ามที่ไม่ควรเอ่ยออกมาตามตรง อู่ชวินจึงไม่กล้าพูดอะไร
เฉินผิงอันกระจ่างแจ้งในชั่วพริบตา
เจ้าจวนปิดด่าน เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของจวนตระกูลเซียนบนภูเขา
แต่ดูจากภาพปรากฎการณ์อันเป็นมงคลของจวนไช่เฉวี่ยและท่าเรือดอกท้อแห่งนี้กลับไม่เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น นอกจากนี้บรรพจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์ท่านหนึ่งอาจจะไม่ได้มีตบะสูงที่สุดของตระกูลเซียน แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการฝึกตนมากที่สุดของบนภูเขา หากเจ้าจวนปิดด่านจริงๆ อู่ชวินย่อมไม่มีทางเดินมาพูดกับคนนอกต่างถิ่นคนหนึ่งง่ายๆ เช่นนี้แน่ บวกกับถ้อยคำเกรงอกเกรงใจที่เอ่ยถึงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยกับหลิวจิ่งหลง เฉินผิงอันก็เข้าใจได้ทันที ต้องเป็นเพราะอีกฝ่ายแอบไปดักรอหลิวจิ่งหลงระหว่างการเดินทางกลับเหนือของเขาอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะปกปิดอะไรอีก ในเมื่ออีกฝ่ายพยายามจะมอบความจริงใจมาให้แล้ว เฉินผิงอันก็ย่อมต้องมอบผลท้อตอบแทนผลหลี เขาเอ่ยว่า “ข้ากับฉีจิ่งหลงสนิทกันมากจริงๆ”
แล้วก็เปลี่ยนมาใช้คำเรียกขานยามที่พวกเขาสองคนอยู่ด้วยกันอีกครั้ง
จิตวิญญาณของอู่ชวินสั่นสะท้านเล็กน้อย เพียงแต่ว่าสีหน้ายังคงเป็นปกติ
ก่อนหน้านี้แม้ว่านางพอจะเดาได้บางส่วน แต่เมื่ออีกฝ่ายยอมรับว่ารู้จักหลิวจิ่งหลงจริงๆ เซียนดินโอสถทองอย่างอู่ชวินก็ยังคงสัมผัสถึงแรงกดดันอย่างไร้รูปลักษณ์ ได้ในชั่วพริบตา
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในอาณาเขตของแคว้นฝูฉวีที่ภูเขา ไม่สูงน้ำไม่ลึกซึ่งเป็นเพื่อนบ้านแห่งนั้น หลิวจิ่งหลงได้เรียกกระบี่ออกมา ภาพปรากฎการณ์แห่ง ‘กฎเกณฑ์’ ที่ไม่ว่าใครก็เสแสร้งแกล้งสวมรอยไม่ได้ขุมนั้น เจ้าจวนของตนมองทะลุได้ในปราดเดียว แล้วก็แน่ใจในตัวตนของอีกฝ่ายทันที
แล้วตอนนั้นก็เห็นได้ชัดว่าด้านข้างกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลิวจิ่งหลง ก็มีเซียนกระบี่อีกท่านหนึ่งออกกระบี่ตามมาติดๆ อีกทั้งยังเรียกกระบี่บินอีกสองเล่มออกมาพร้อมกันด้วย!
ร่วมออกกระบี่เซ่นไหว้เซียนกระบี่ใหญ่ที่รบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่พร้อมกับหลิวจิ่งหลง
อู่ชวินเองก็ไม่ใช่คนโง่
หากมือกระบี่ชุดดำที่มองตื้นลึกหนาบางไม่ออกตรงหน้าผู้นี้มาถึงท่าเรือดอกท้อแล้ว ต่อให้เขาจะเปิดเผยตบะของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินออกมา แล้วตะโกนบอกต่อหน้าตนว่าตัวเขาคือเพื่อนสนิทของเจียวหลงบนบก อู่ชวินย่อมไม่มีทางเชื่อ
ทว่าผู้ฝึกกระบี่แปลกหน้าคนหนึ่งที่สามารถร่วมออกกระบี่พร้อมกับหลิวจิ่งหลงบนยอดเขา ต่อให้อยู่ในอาณาเขตของจวนไช่เฉวี่ยแล้วร่ำร้องตะโกนว่าข้าผู้อาวุโส ไม่รู้จักหลิวจิ่งหลง ตีให้ตายอู่ชวินก็ไม่เชื่อ
บนภูเขาของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าจะเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลหรือผู้ฝึกตนอิสระ ก็ล้วนไม่กลัวเจียวหลงบนบกผู้นี้ เพราะไม่มีใครเชื่อว่าหลิวจิ่งหลงจะฆ่าคนบริสุทธิ์ พร่ำเพื่อ จะอาศัยอำนาจรังแกคนอื่น หรือใช้กำลังที่มากกว่ามาบีบคั้นผู้อื่น
แต่ขณะเดียวกัน ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน แล้วก็ยังไม่ต้องพูดถึงว่าผลลัพธ์ในตอนสุดท้ายจะแพ้หรือชนะ ทว่าพวกเขาก็ยังต้องกลัวการออกกระบี่ของหลิวจิ่งหลงอยู่ไม่มากก็น้อย
หลิวจิ่งหลงผู้ฝึกกระบี่ที่ชอบหวนคิดเรื่องราวร้อยรอบพันตลบ ชอบใช้เหตุผล มาอธิบายราวกับหญิงแก่ขี้บ่นเลือกที่จะออกกระบี่ต่อหน้าแล้ว ใครเล่าจะไม่บ่น อยู่ในใจว่าเป็นเพราะตนไม่มีเหตุผลใช่หรือไม่ ตนไร้คุณธรรมจริงๆ หรือเปล่า? แล้วหลังจากนี้ตนจะกลายเป็นหนูวิ่งข้ามถนน สูญเสียการปกป้องที่สมเหตุสมผล ตามหลักฟ้าดินหรือไม่? ฝึกตนอยู่บนภูเขา ชื่อเสียงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนลัทธิมารก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น การที่ชอบฆ่าคนพร่ำเพื่อตามใจปรารถนา กับการลงมืออย่างอำมหิตซึ่งมีเหตุผลให้พออภัยได้ หนึ่งคือฟ้า อีกหนึ่งคือดิน
และนี่ก็คือจุดที่แข็งแกร่งของหลิวจิ่งหลง
ดังนั้นในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีปรุ่นนี้ อันดับแรกและอันดับสอง สวีเสวี่ยน ลูกรักแห่งสวรรค์สองคนที่นิสัยแตกต่างกัน แต่ต่างก็ให้ความสนใจฉีจิ่งหลงเป็นพิเศษ ส่วนเจ็ดคนด้านหลังฉีจิ่งหลง กลับมีเพียงความทรงจำที่ธรรมดาต่อพวกเขา โดยเฉพาะสวีเสวี่ยนลูกศิษย์เพียงคนเดียวของป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่ง แห่งทิศเหนือที่เคยป่าวประกาศออกมาว่า เจ็ดคนด้านหลังฉีจิ่งหลงล้วนเป็นแค่ พวกเศษสวะ และเรื่องนี้ก็เคยก่อให้เกิดคลื่นมรสุมลูกใหญ่มาก่อน เล่าลือกันว่าหวงซี ผู้ฝึกตนอิสระที่อยู่ในอันดับที่สี่ยังเคยลอบโจมตีสวีเซวี่ยนด้วย เพียงแต่ว่าขั้นตอนและผลลัพธ์ล้วนถูกเก็บไว้เป็นความลับ เพียงแค่สวีเซวี่ยนก็ยังไม่ตั้งใจมานะฝึกตน ยังคงชอบปลอมตัวเป็นบัณฑิตผู้อ่อนแอที่พาสาวใช้ถือกระบี่สองคนออกเดินทางท่องเที่ยวตามภูเขาสายน้ำต่อไปเรื่อยๆ ส่วนหวงซีกลับเงียบหลายไปนานหลายปี
เฉินผิงอันถาม “ผู้อาวุโสอู่ จวนไช่เฉวี่ยมีชุดคลุมอาคมที่เหลืออยู่ให้พอซื้อหาได้หรือไม่?”
อู่ชวินยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องมี แต่ราคาไม่ถูก ชุดคลุมอาคมที่หอเทียนอีแห่งนี้เปิดให้คนนอกเข้ามาชมขั้นตอนการทอครึ่งทางเป็นแค่ชุดคลุมอาคมชั้นปลายแถว ของจวนไช่เฉวี่ยที่เหมาะสมให้ผู้ฝึกตนขอบเขตถ้ำสถิตสวมใส่ไว้บนร่างมากที่สุด หากนอกเหนือจากนี้ขึ้นไป
จวนไช่เฉวี่ยของพวกเรายังมีชุดคลุมอาคมอีกสองชนิดที่เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี แบ่งออกเป็นชุดคลุมที่นำไว้มอบให้กับผู้ฝึกตนขอบเขตชมมหาสมุทรและประตูมังกร รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตโอสถทองและก่อกำเนิด”
การที่อู่ชวินปรากฎกายด้วยตัวเอง ก็แค่อยากจะรู้ว่าสหายของหลิวจิ่งหลงต้องเป็นเทพเซียนจากฝ่ายใดกันแน่ หากสามารถผูกมิตรได้ก็ยิ่งเป็นการปักบุปผาลงบน ผ้าแพร และยิ่งเป็นการสร้างคุณความชอบที่ไม่เล็กให้แก่จวนไช่เฉวี่ย
การฝึกตนบนภูเขา ทุกคนล้วนมีอายุขัยยืนยาว ดังนั้นเรื่องของบุญคุณความแค้นจึงพิถีพิถันให้เป็นน้ำเส้นเล็กไหลยาวมากที่สุด
ควันธูปหนึ่งก้านที่สำเร็จผลในวันนี้ ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นโชควาสนาใหญ่ในวันหน้า
แน่นอนว่ายังมีคำพูดการกระทำบางอย่างที่ไม่ตั้งใจในช่วงต้นที่ก็อาจจะกลายเป็นหายนะล่มตระกูลในอนาคต
แต่ไหนแต่ไรมาอุตรกุรุทวีปก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
ดังนั้นสำหรับการรับมือกับคนที่เป็นฝ่ายเปิดปากถามถึงเรื่องชุดคลุมอาคม จึงทำให้อู่ชวินรู้สึกโล่งใจได้หลายส่วน
การคบค้าสมาคมกับผู้ฝึกตน สิ่งที่จวนไช่เฉวี่ยเชี่ยวชาญมากที่สุดแน่นอนว่า ต้องเป็นการทำการค้า
หากว่าเจ้าจวนและหลิวจิ่งหลงไม่เคยรู้จักกันมาก่อนในอดีต ต่อให้หลิวจิ่งหลงมาถึงท่าเรือดอกท้อ แต่จะยังพูดคุยเรื่องอะไรกันได้อีก? หรือว่าจะคุยเรื่องหลักการเหตุผล ประลองเวทกระบี่?
ครั้งนี้เป็นเพราะว่ามีหลิวจิ่งหลงเป็นสะพานเชื่อมสัมพันธ์ อู่ชวินถึงได้ยินดีลงจากภูเขา ไม่อย่างนั้นผู้ฝึกตนต่างถิ่นคนนี้เข้ามาในท่าเรือ ต่อให้เขาจะสวมชุดคลุมอาคมล้ำค่า หายากที่ผู้ฝึกตนหญิงจวนไช่เฉวี่ยพอจะมองออกถึงระดับขั้นของมันได้คร่าวๆ อู่ชวิน ก็คงยังเลือกที่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะมีเรื่องเพิ่มมากขึ้นหนึ่งเรื่อง ไม่สู้มีเรื่องน้อยลงหนึ่งเรื่อง
เฉินผิงอันถาม “ขอถามผู้อาวุโสอู่ ทั้งสองชนิดนั้นมีราคาเท่าไรบ้าง?”
อู่ชวินไม่ได้ให้คำตอบโดยตรง เพียงยิ้มเอ่ยเชื้อเชิญว่า “เฉินเซียนซือจะถือสาหรือไม่หากจะคุยไปด้วยเดินไปด้วย? ท่าเรือดอกท้อของพวกเรามีร้านน้ำชาอยู่ ร้านหนึ่งที่ใช้น้ำในลำธารดอกท้อมาต้มชา ใบชาก็เอามาจากต้นชาที่ปลูกเฉพาะภูเขาด้านหลังจวนไช่เฉวี่ย ต้นชาเก่าแก่มีแค่สิบสองต้นเท่านั้น จะให้ไช่เฉวี่ยสัตว์ปีกล้ำค่าชนิดหนึ่งที่ทางภูเขาเลี้ยงไว้เป็นผู้เด็ดยอดชามาตอนก่อนเทศกาลชิงหมิงและช่วงก่อนฝนตก จากนั้นก็ให้ผู้ฝึกตนใช้วิชาลับทำให้เป็นก้อนชา ชานี้เคยถูกนักประพันธ์ใหญ่ท่านหนึ่งนำไปเขียนไว้ในตำรารวมกวี โดยขนานนามให้ว่า ‘กำแพงดำน้อย’ ยามที่ใช้น้ำเดือดต้มชาจะมีลูกคลื่นซัดขึ้นซัดลง มีภาพมหัศจรรย์ประดุจการโคจรของดวงดาว ร้านน้ำชาแห่งนี้ไม่เปิดขายให้แก่คนนอก พวกเราสามารถไปคุยกันอย่างละเอียด ที่นั่นได้”
แน่นอนว่าเฉินผิงอันเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ต้องเป็นแขกที่ตามใจเจ้าบ้าน
หากก้อนชากำแพงดำน้อยนี้สามารถขายร่วมกับชุดคลุมอาคมได้ก็ยิ่งดี
เพราะถึงอย่างไรตอนนี้เฉินผิงอันก็ยังต้องเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วสารทิศ เปิดร้านผ้าห่อบุญของตัวเอง สิ่งของที่มีน้อยมักจะล้ำค่า ขอแค่เป็นสิ่งของที่ข้าได้ครอบครองเพียงลำพัง ราคาก็ย่อมต้องสูงขึ้นตามไปด้วย
การค้าที่มั่นคงซึ่งมีความหวังว่าจะได้กำไรเช่นนี้ เฉินผิงอันไม่เคยปฏิเสธ ก็เหมือนกับปีนั้นที่ซื้อภาพเทพหญิงฉบับเติมเต็มครบชุดมาจากนครปี้ฮว่า เขาตอแยผังหลันซีเด็กหนุ่มของร้านอยู่นานเป็นครึ่งๆ วันก็เพราะหวังให้ต่อราคาได้สำเร็จ ขาดอีกแค่นิดเดียวเฉินผิงอันก็เกือบจะไปช่วยเป็นลูกจ้างในร้านอยู่แล้ว
มาถึงร้านน้ำชาห่างไกลที่มีลูกค้าบางตา อู่ชวินกับเฉินผิงอันก็เดินตรงไปยัง ศาลาริมทะเลสาบแห่งหนึ่ง มีผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งเผยตัวมารับทำหน้าที่ชงชา หลังจากอู่ชวินแนะนำตัวนาง เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่านางเป็นถึงเถ้าแก่ของร้านน้ำชาแห่งนี้
อู่ชวินบอกว่าคลังของจวนไช่เฉวี่ยมีชุดคลุมอาคมระดับเยี่ยมสองชิ้น ระดับกลางสิบหกชิ้น ราคาแตกต่างกันไป ฝ่ายแรกราคาสิบห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช ฝ่ายหลัง แค่ห้าเหรียญเท่านั้น
เฉินผิงอันพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง ชุดคลุมอาคมนั้นต้องซื้อ แต่ไม่ใช่ตอนนี้
ไม่ใช่ว่าขัดสนจนไม่สามารถซื้อชุดคลุมอาคมชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งของจวนไช่เฉวี่ยได้ การเดินทางท่องเที่ยวครั้งนี้ของเฉินผิงอันมีเงินเข้ากระเป๋าตลอดเวลา อย่างอื่น ไม่ต้องพูดถึง ลำพังเพียงแค่ร้านผีฝูบนถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ที่ทุกพื้นที่ล้วนเป็นเงินเป็นทอง รวมไปถึงหน้าผาอวี้อิ๋งที่กึ่งซื้อกึ่งหลอกเอามาจากหลิ่วจื้อชิง ล้วนเป็นทรัพย์สมบัติที่สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ได้ นอกจากนี้วัตถุล้ำค่าที่อยู่บนร่างของเฉินผิงอันก็ยังมีอีกบางส่วน
แต่การเดินทางเลียบลำน้ำหลังจากนี้ ขุนเขาสายน้ำยาวไหล ชุดคลุมอาคม ไม่ใช่วัตถุที่สำคัญสำหรับเฉินผิงอันมาตั้งแต่แรกเริ่มอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่ต้องรีบร้อน
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เขินอายอะไรมากนัก เขาถามอู่ชวินไปตามตรงว่าจวนไช่เฉวี่ยจะช่วยจองชุดคลุมอาคมสองชิ้นไว้ให้เขาได้หรือไม่ ในช่วงเวลาสองสามปีนี้ ไม่ว่าเขาจะซื้อหรือไม่ซื้อก็จะต้องให้คำตอบที่แน่ชัดแก่จวนไช่เฉวี่ยแน่นอน
อันที่จริงอู่ชวินก็กลัวจริงๆ ว่าจะเจอเข้ากับเศรษฐีใหญ่ที่มาเหมาซื้อชุดคลุมอาคมทั้งหมดที่เก็บไว้ในคลังของจวนไช่เฉวี่ยไปรวดเดียว ถึงเวลานั้นทุกชิ้นที่ขายออกไป ก็เท่ากับว่าขาดทุนไปส่วนหนึ่ง
เพราะถึงอย่างไรชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยก็ไม่เคยต้องกลัดกลุ้มกับเรื่องช่องทางของการหาเงิน ต่อให้จะได้สะสมความสัมพันธ์ควันธูปกับแขกผู้ทรงเกียรติหนุ่มแซ่เฉินผู้นี้ จวนไช่เฉวี่ยก็ยังรู้สึกเสียดายอยู่ดี
ทว่าเมื่ออีกฝ่ายพูดเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้อารมณ์ของอู่ชวินผ่อนคลายขึ้นอีกหลายส่วน ก็แค่ช่วยจองไว้ให้เขาสองชิ้นเท่านั้น ไม่ว่าการซื้อขายนี้จะสำเร็จหรือไม่ ก็ถือว่า อีกฝ่ายติดค้างน้ำใจของจวนไช่เฉวี่ยแล้ว
ดังนั้นอู่ชวินที่เวลาปกติไม่ค่อยชอบพูดคุยจึงพูดมากขึ้นกว่าเดิม
นี่ทำให้ผู้ฝึกตนหญิงเถ้าแก่ร้านน้ำชาที่มาช่วยชงชาให้รู้สึกตกตะลึงระคน ประหลาดใจ แล้วก็ยิ่งมองคนหนุ่มสะพายกระบี่ที่สีหน้าเป็นมิตรผู้นั้นสูงขึ้น อีกหนึ่งส่วน
ถึงอย่างไรอู่ชวินก็เป็นบรรพจารย์ผู้คุมกฎท่านหนึ่งของภูเขา โดยทั่วไปแล้ว จะไม่เคยสอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องกิจการของแคว้นไช่เฉวี่ยด้วยตัวเองมาก่อน
เฉินผิงอันเป็นคนที่มีความอดทนเป็นเลิศ ขอแค่อู่ชวินเปิดปากพูด เขาก็จะไม่ก้มหน้าดื่มชา มีเพียงช่วงที่อู่ชวินเว้นจังหวะหยุดพูดเท่านั้น เขาถึงจะยกถ้วยขึ้นดื่มชาๆ ยามที่ผู้ฝึกตนหญิงที่เป็นเถ้าแก่ส่งชามาให้ก็จะต้องเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ
สีหน้าและคำพูดสามารถเสแสร้งแกล้งทำได้
ทว่าสายตากลับยากที่จะหลอกลวงคน
เถ้าแก่ผู้ฝึกตนหญิงยิ่งมั่นใจว่าคนผู้นี้คือเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มี ชาติกำเนิดมาจากตระกูลชนชั้นสูงบนยอดเขาแห่งหนึ่ง เหมือนกับหยางหนิงซิ่ง แห่งตำหนักนภากาศที่ได้รับคำชื่นชมดีเยี่ยมผู้นั้น
ในช่วงเวลาระหว่างนี้ แน่นอนว่าอู่ชวินย่อมอดไม่ได้ที่จะป่าวประกาศถึงความ เลิศล้ำดีงามในการสร้างชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยตัวเอง
การสร้างอาวุธหนักบนภูเขาของอุตรกุรุทวีป วัตถุที่ถือว่าอยู่ในอันดับหนึ่งได้อย่างสมศักดิ์ศรีได้แก่ เสื้อเกราะหลิงเป่าที่ศาลซานหลางสร้างขึ้น กระบี่บินเลียนแบบ วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านต่างๆ ที่ภูเขาชังกระบี่สร้างขึ้น จีวรสามสีได้แก่สีชาด สีม่วงและสีเขียวมรกตของวัดแสงธรรม รวมไปถึงชุดเสื้อคลุมขนนก ที่ตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนเป็นผู้สร้าง นอกจากนี้ ยังมีภูเขาอีกสี่แห่ง ต่างฝ่ายต่างมีวัตถุมหัศจรรย์เป็นของตัวเอง หนึ่งในนั้นคือ ชุดคลุมอาคมของตรอกเหล่าจวินที่ปริมาณการขายเป็นอันดับหนึ่งของทวีป เพียงแต่ว่าชุดคลุมอาคมของตรอกเหล่าจวินแทบจะถูกสำนักฉงหลินซื้อขาดไปทั้งหมด ราคามีแต่สูงไม่มีต่ำ แล้วก็ยังขึ้นราคาไปอีกเรื่อยๆ แต่ชุดคลุมอิ๋งหรานที่ตรอก เหล่าจวินจะสร้างขึ้นได้หนึ่งชิ้นทุกๆ หกสิบปี กลับยังคงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งสำหรับผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนทุกคนนอกเหนือจากเซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีป
นอกจากนี้แล้วตรอกเหล่าจวินยังได้ทำ ‘เกราะต้าเยว่’ ให้กับจักรพรรดิในราชวงศ์โลกมนุษย์โดยเฉพาะอีกด้วย ราคาแพงอย่างถึงที่สุด ทว่าก็หรูหรางดงามเป็นเอก
เป็นเสื้อเกราะที่ถูกผู้ฝึกตนบนภูเขาเรียกอย่างเยาะหยันว่า ‘เสื้อคลุมปักบุปผา’ ที่สวยแต่รูปจูบไม่หอม แต่กระนั้นจักพรรดิในโลกมนุษย์ก็ยังคงนิยมอย่างถึงที่สุด
ต่อมาก็คือชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยสำนักของอู่ชวิน
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว
สิ่งที่จวนไช่เฉวี่ยแพ้ให้กับตรอกเหล่าจวินก็คือคาถาลับชั้นยอดวิชาหนึ่งที่สามารถนำมาสร้างชุดคลุมอิ๋งหรานซึ่งเหมือนห้าขอบเขตบนได้ นี่คือโชควาสที่ได้แต่ปรารถนา มิอาจได้มาครอบครอง นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องจำนวนของผู้ฝึกตนในจวนไช่เฉวี่ย และต้นกำเนิดวัตถุวิเศษตามฟ้าดินทั้งหลาย อันที่จริงสองอย่างหลังนี้สามารถช่วงชิงมาได้ ยกตัวอย่างเช่นไปร่วมมือกับสำนักฉงหลินที่มีกิจการใหญ่ที่สุดในอุตรกุรุทวีป จวนไช่เฉวี่ยแค่ต้องเก็บวิชาลับที่สำคัญเอาไว้ ส่วนสำนักฉงหลินก็ช่วยเสนอวัตถุดิบและเงินทอง แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ง่ายที่จวนไช่เฉวี่ยจะถูกสำนักฉงหลินกุมไว้ในกำมือ หากไม่ระวังให้ดี หลายร้อยปีให้หลังก็อาจกลายไปเป็นสำนักใต้อาณัติของพวกเขา เอาได้
และชื่อเสียงของสำนักฉงหลินในอุตรกุรุทวีปนั้นก็ไม่ถือว่าดีสักเท่าไร
เกี่ยวกับสำนักฉงหลินที่มีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้ ผู้ฝึกตนบนภูเขาของ แต่ละฝ่ายเคยแต่ง ‘กลอนคู่’ จำนวนนับไม่ถ้วนมอบให้กับบรรพจารย์สำนักฉงหลินที่อาศัยเงินเทพเซียนจนกลายมาเป็นขอบเขตหยกดิบได้ผู้นั้น
นอกจากประโยคที่แพร่สะพัดเป็นวงกว้างที่สุดที่บอกว่า สำนักฉงหลินสองแขนเสื้อ มีลมเย็น หมอนปักบุปผาห้าขอบเขตบน แล้ว
อันที่จริงยังมีกลอนที่ระคายหูยิ่งกว่านี้
สำนักฉงหลินของดีราคาถูก ขอบเขตหยกดิบใต้หล้าไร้ศัตรู
สำนักฉงหลินไม่รังแกเด็กสตรีและคนชรา ขอบเขตหยกดิบบดขยี้เซียนกระบี่
สำนักฉงหลินไม่เคยหลอกลวงใคร ห้าขอบเขตบนมีความสามารถจริงแท้แน่นอน
ดื่มชาอยู่ในศาลา ลมเย็นพัดโชยมาเป็นระลอก ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างถูกคอ
เฉินผิงอันคิดว่าจะหยุดพักที่นี่ รอให้ถึงเวลาที่เรือข้ามฟากซึ่งจะเดินทางไปยัง ถ้ำสวรรค์วังมังกรแห่งนั้นออกเดินทาง จึงบอกกล่าวแก่อู่ชวิน อู่ชวินยิ้มเอ่ยว่า เชิญตามสบาย และยังสั่งความให้เถ้าแก่ผู้ฝึกตนหญิงรับรองแขกให้ดีๆ
หลังจากที่อู่ชวินจากไปแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยขออภัยอีกหนึ่งครั้ง บอกว่ารบกวนแล้ว ผู้ฝึกตนหญิงของร้านน้ำชารู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน จึงเอ่ยประโยคแสดงความเกรงใจว่าเซียนกระบี่มาดื่มน้ำชาที่นี่ ถือเป็นเกียรติของทางร้าน
พอเข้าสู่ช่วงกลางคืน
เฉินผิงอันก็นั่งอยู่ในศาลาริมน้ำเพียงลำพัง เขาหลับตาทำสมาธิ
ท้องฟ้ายามราตรีไร้ฝุ่นธุลี แสงจันทร์ดุจแสงสีเงินยวง
กลางดึกผู้คนเงียบสงัด แสงจันทร์ในต่างถิ่น ง่ายที่จะทำให้ความคิดซึ่งซ่อนลึก อยู่ในใจของคนผุดขึ้นมา
ทุกคนที่ข้าคิดถึง อยู่ห่างไปไกลแสนไกล
แม่นางหนิงเป็นเช่นนี้ หลิวเสี้ยนหยางก็เป็นเช่นนี้ ส่วนเจ้าเด็กขี้มูกยืดแห่งตรอกหนีผิงผู้นั้น คาดว่าก็ยิ่งต้องเป็นเช่นนี้เหมือนกัน