Skip to content

Sword of Coming 543

บทที่ 543 บนทางไส้แกะสายเล็ก ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนอิสระ

นักพรตซุนติดตามหวงซือตามหาสมบัติมาตลอดทาง ก็พอจะมีผลเก็บเกี่ยวอยู่บ้าง

คนทั้งสองนับว่ารู้ใจกันไม่น้อย พวกเขาแยกย้ายกันไปหาสมบัติ แต่กลับไม่ทิ้งระยะห่างจากกันมากนัก นักพรตซุนกลัวว่าหากอยู่ห่างจากหวงซือมากเกินไป แล้วเจอกับอันตรายไม่คาดฝัน ด้วยตบะน้อยนิดของตน ต้องไม่อาจหลุดพ้นสถานการณ์อันตรายมาได้แน่ ส่วนหวงซือนั้นก็ไม่อยากให้นักพรตร่างผอมสูงที่เป็นฝ่ายพาตัวมาหาเขาถึงที่ได้รับสมบัติชิ้นใหญ่แล้วเผ่นหนีไป

นักพรตซุนอยู่บนสิ่งปลูกสร้างหลังหนึ่งที่มีสองชั้น ตำรามากมายที่เก็บสะสมไว้ล้วนสลายกลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว แต่เขากลับพบตำราลับของลัทธิเต๋าเล่มหนึ่ง ที่ไม่อาจเปิดออกอ่านได้ ทว่ามันกลับยังส่องประกายแสงห้าสี ต่อให้จะถูกห่อหุ้มไว้ ในชุดคลุมเต๋าก็ยังมีลำแสงศักดิ์สิทธิ์เอ่อล้นออกมา ตัวอักษรโบราณสีทองเหล่านั้น นักพรตซุนอ่านไม่ออกสักคำเดียว ช่วยไม่ได้ มีเพียงเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ในสำนักอักษรจงที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติ ได้แตะต้องตำราโบราณยุคบรรพกาลที่หายสาบสูญไปนานแล้ว

หลังจากกลับมาเจอกับหวงซืออีกครั้ง นักพรตซุนก็รู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย เจอสมบัติที่ดีเกินไปก็เป็นปัญหาเหมือนกัน

หวงซือคลี่ยิ้ม แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

นักพรตซุนถาม “พี่น้องหวงได้โชควาสนามาอยู่ในมือบ้างหรือไม่?”

หวงซือพยักหน้ารับ “พอได้”

คนทั้งสองแยกย้ายกันไปอีกครั้ง ต่างคนต่างไปหาวัตถุวิเศษแห่งฟ้าดิน ภาชนะตระกูลเซียนอย่างอื่นๆ

หวงซือขยับเท้าเคลื่อนตัวไปช้ากว่า เขาชำเลืองตามองแผ่นหลังของนักพรต ร่างผอมสูง รอยยิ้มยิ่งกดลึก

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง หวงซือเจอโครงกระดูกสองโครงที่นั่งเล่นหมากล้อมหันหน้าเข้าหากัน บนโต๊ะหินแกะสลักเป็นกระดานหมากล้อม ช่องตัดแบ่งของกระดานหมากมีแค่สิบเจ็ดช่อง ดูจากบนกระดาน ทั้งสองฝ่ายกำลังเล่นหมากล้อมกันมาถึงช่วงท้ายแล้ว หวงซือไม่มีความสนใจด้านการเล่นหมากล้อมเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เห็นว่าบนกระดานมีเม็ดหมากวางไว้มากมายขนาดนั้นจึงรู้ว่าปีนั้นทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างจากผลแพ้ชนะไม่ไกลแล้ว น่าเสียดายที่หวงซือคร้านจะมองให้มากความ

ในศาลาเล็กๆ หลังนั้นหวงซือไม่เพียงแต่ได้ชุดคลุมอาคมมาสองชิ้น ยังได้ เม็ดหมากมาอีกสองโถ เม็ดหมากโค้งกลมมนเป็นธรรมชาติ หวงซือมองไม่ออกว่า ทำมาจากวัสดุใด ทว่าเมื่ออยู่ภายใต้เส้นแสงสาดสะท้อน เม็ดหมากสีขาวที่ใสแวววาวกลับมีแสงสีทองอ่อนจางแผ่ออกมา ส่วนเม็ดหมากสีดำนั้นมีเพียงแค่ตรงใจกลางเท่านั้นที่มองไม่ทะลุ ภายใต้แสงที่สาดส่องจะแผ่กระเพื่อมเป็นวงแสงสีเขียวมรกต วงหนึ่ง ขอแค่ไม่ใช่คนตาบอดก็ต้องมองออกถึงความล้ำค่าของเม็ดหมากนี้

ชุดคลุมอาคมทั้งสองชิ้นยังคงเสียหายอย่างหนัก มีเพียงเม็ดหมากสองโถนี้ ที่กลับกลายเป็นว่าได้รับโชคดีหลังเจอเคราะห์ร้าย เหมือนก้อนหินธรรมดาที่ถูกกระแสน้ำในภูเขาลึกโอบล้อมให้ชุ่มชื้นมานานร้อยปีพันปี จึงยิ่งกลมเกลี้ยง เนียนละเอียด ชวนให้คนที่เห็นรู้สึกชื่นชอบ

ตอนที่หวงซือเก็บเอาเม็ดหมากขาวดำมาจากกระดานหมากที่เป็นหินแกะสลัก เม็ดหมากสีขาวร้อนลวกมือทำให้จิตวิญญาณของหวงซือเหมือนถูกเผาไหม้ ส่วนเม็ดหมากสีดำนั้นเยียบเย็นเสียดแทงกระดูก หลังจากที่คีบเม็ดหมากขาวดำ โยนเข้าใส่โถเก็บอย่างว่องไว หวงซือก็ค้นพบว่านิ้วของตัวเองไม่มีรอยแผลแม้แต่น้อย หวงซือทั้งตกตะลึงทั้งยินดีอยู่ในใจ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าโถเก็บเม็ดหมากนี้ต้องมี ระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมอย่างแน่นอน

วัตถุวิเศษที่ใช้ในการโจมตีทั่วไป ผู้ฝึกตนออกแรงเต็มกำลัง บางทีอาจจะทำให้ร่างกายและจิตวิญญาณของผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองบาดเจ็บได้ แต่อยู่ไกลเกินกว่าจะสั่นคลอนจิตวิญญาณของหวงซือ ทว่าเม็ดหมากนี้ เพียงแค่คีบขึ้นมาถือไว้ครู่เดียว ก็ทำให้หวงซือไม่ยินดีจะจับไว้นานแล้ว

ด้วยเหตุนี้หวงซือจึงแน่ใจว่า โต๊ะหินที่สามารถแบกรับกระดานหมากมาได้นานร้อยปีพันปีตัวนี้จะต้องเป็นสมบัติหนักของตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีทางรองรับเม็ดหมากพวกนี้ได้อย่างสงบนิ่งโดยที่กระดานหมาก ไม่เคยมีความเสียหายใดๆ ได้นานถึงเพียงนี้

แต่หวงซือก็ไม่คิดจะแบกโต๊ะหินตัวหนึ่งวิ่งส่งเดชไปทั่ว

ตอนนั้นหวงซือจึงคิดจะทำลายโต๊ะหินทิ้งซะ ในเมื่อข้าไม่ได้ไปครอง คนที่มาภายหลังก็อย่าหวังว่าจะได้โชควาสนานี้ไปเลย แต่เมื่อเขาตบฝ่ามือลงหนักๆ โต๊ะหินกลับแน่นิ่งไม่ขยับ ไม่เพียงเท่านี้ ดูเหมือนว่ามันจะยังเป็นโต๊ะตัวหนึ่งที่กินพายุหมัด ได้เก่งอีกด้วย นี่ยิ่งทำให้หวงซือรู้สึกเสียดายที่ไม่อาจเก็บของชิ้นนี้เข้ามาไว้ใน กระเป๋าได้ ไม่อย่างนั้นหากรวมกับเม็ดหมากสองโถนั่น ก็จะต้องขายได้ราคาสูง เทียมฟ้าอย่างแน่นอน

เฉินผิงอันปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบอยู่ในศาลา สถานการณ์หมากบนโต๊ะ บางทีอาจเป็นเพราะเม็ดหมากฝังรากอยู่บนกระดานมานานหลายปีเกินไป จึงเหมือนว่าสีสันของเม็ดหมากแทรกซึมลงไปบนโต๊ะหิน เวลานี้จึงยังมีริ้วคลื่นสีทองอ่อนและ สีเขียวมรกตทิ้งไว้ เฉินผิงอันกวาดตามองปราณวิญญาณทั้งหมดที่หลงเหลืออยู่บน เม็ดหมากบนกระดานหนึ่งรอบ แล้วหลับตาลง จดจำสถานการณ์หมากนี้ไว้ในใจ แต่พอลืมตาขึ้นมาก็รู้สึกว่าอาศัยความจำไม่สู้การจดบันทึก จึงหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจากวัตถุฟางชุ่นที่เต็มไปด้วยสิ่งของ แล้วบันทึกกระดานหมากเก่าแก่ กระดานนี้ลงบนกระดาษ

เส้นตั้งเส้นนอนบนกระดานมีทั้งหมดสิบเจ็ดช่อง ไม่ใช่สิบเก้าช่องที่นิยมมา อย่างยาวนานในใต้หล้าไพศาล เดิมทีนี่ก็คือเบาะแสเส้นหนึ่ง

และการเล่นหมากล้อมด้วยวิธีที่ตายตัว วิธีที่แน่นอนทั้งหลายของสถานการณ์หมากหลายๆ กระดานก็ยิ่งสามารถเปิดเผยความลับสวรรค์ได้

ผู้ฝึกยุทธอย่างหวงซือไม่สนใจเบาะแสพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ทว่าเฉินผิงอัน กลับใส่ใจและเก็บเอามาใส่ใจ แต่ก็แน่นอนว่าเขาไม่อาจเป็นเหมือนลู่ไถหรือชุยตงซานที่บางทีเพียงแค่มองสถานการณ์บนกระดานหมากปราดเดียวก็สามารถอนุมานช่วง ยุคสมัยได้คร่าวๆ

เฉินผิงอันรู้สึกอิจฉาคนที่เป็นวิชาจักรวาลในชายแขนเสื้อซึ่งเป็นหนึ่งในคาถาอาคมของบนภูเขาอยู่ไม่น้อย

ล้วนเป็นวิชาอภินิหารที่เฉินผิงอันอยากเรียนรู้ให้เป็นที่สุดพอๆ กับวิชามองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ

เพียงแต่ว่าวิชาชั้นสูงสองอย่างนี้ ต้องเป็นเซียนดินก่อกำเนิดเท่านั้นถึงพอจะควบคุมได้ หากคิดจะฝึกให้เชี่ยวชาญจนเอามาใช้ได้อย่างคล่องแคล่วก็มีแค่ ห้าขอบเขตบนเท่านั้น

เฉินผิงอันรู้สึกว่าศาลาหลังนี้คือสถานที่ฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่เหมาะให้ผู้ฝึกลมปราณมาฝึกตนมากที่สุด เม็ดหมากสองโถรวบรวมปราณวิญญาณไว้ได้มากอย่างถึงที่สุด เนิ่นนานก็ไม่สลายหายไปไหน นี่ก็คือแก่นโชคชะตาน้ำ อีกทั้งยังไม่ดึงดูดสายตาได้ มากเท่าอิฐเขียวที่ปูไว้เต็มพื้นของอารามเต๋าที่ตอนนี้กลายเป็นซากไปแล้ว

ความเข้มข้นของลมปราณที่แห่งนี้ไม่อาจปล่อยผ่านให้พลาดไปได้เด็ดขาด

เฉินผิงอันจึงปลดห่อสัมภาระวางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ถอดชุดคลุมเถาเถี่ยร้อยตา ที่อยู่บนร่างออก สวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดตัวนั้นไว้ก่อน สุดท้ายแม้แต่ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะที่ได้มาจากบนร่างของผีสาวนครฟูนี่ก็ยังถูก สวมไว้บนร่างพร้อมกันด้วย สุดท้ายถึงเอาชุดคลุมอาคมสีดำมาสวมทับไว้เหมือนเดิมอีกครั้ง เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมีชุดคลุมอาคมสามตัวอยู่บนร่าง และชุดคลุมอาคมพวกนี้ ก็จะช่วยให้เขาดูดซับปราณวิญญาณที่แฝงเร้นไว้ด้วยโชคชะตาน้ำมาได้มากขึ้น

เฉินผิงอันทะยานขึ้นไปบนศาลา แล้วนั่งขัดสมาธิ อาศัยยันต์แบกศิลาแผ่นนั้น มาอำพรางลมหายใจ ร่างแน่นิ่งไม่ขยับดุจขุนเขา พยายามมองตามหวงซือและ นักพรตซุนเอาไว้ไม่ให้คลาดสายตา

ปราณวิญญาณเป็นเส้นๆ ของกระดานหมากที่แฝงไว้ด้วยสีทองอ่อนจางกับ สีเขียวมรกตถูกดูดมาเหมือนมังกรสูบน้ำ พากันมารวมตัวอยู่บนหลังคาของศาลา แล้วค่อยๆ แทรกซึมเข้าไปในชุดคลุมอาคม

นี่แสดงให้เห็นถึงระดับความบริสุทธิ์ของปราณวิญญาณบนกระดานหมาก ได้เป็นอย่างดี

ภายใต้การจงใจชักนำของเฉินผิงอัน ชุดคลุมอาคมจินหลี่เป็นฝ่ายที่กินดื่มจน เต็มคราบก่อนใคร ปราณวิญญาณโชคชะตาน้ำที่ถูกเม็ดหมากชักนำมาและถูกรั้งเก็บไว้ในศาลามาอย่างยาวนานก็ถูกดึงไปแล้วเจ็ดแปดในสิบส่วน เมื่อเทียบกับระดับ ความสมบูรณ์ของปราณวิญญาณในตำหนักแห่งอื่นก็ถือว่าพอๆ กัน เฉินผิงอันลังเล อยู่เล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ไม่ได้เก็บรวบรวมปราณวิญญาณทั้งหมดมาจนเกลี้ยง หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเผยพิรุธ ในเมื่อคิดจะช่วงชิงผลประโยชน์ทั้งหมดมาครอบครองไว้เพียงลำพัง ถ้าอย่างนั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักดูให้ดีว่า โชคและเคราะห์จะสลับสับเปลี่ยนตำแหน่งกันหรือไม่

เพราะถึงอย่างไรต่อจากนี้เทพเซียนจากฝ่ายต่างๆ ก็จะพากันขึ้นเขามา การวางอุบายปัดแข้งปัดขากันซึ่งจะตามมาหลังจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นการทดสอบที่แท้จริง

ในเรื่องของความโชคดีนั้น หากเหลือไว้ได้ก็ควรเหลือเก็บไว้ก่อน

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว การหาเงินเล็กๆ น้อยๆ มาชั่วครู่ชั่วยามก็เพื่อ การหาเงินที่มากกว่าเดิมได้อย่างยาวนานนั่นเอง

สถานการณ์ใหญ่มั่นคงดีแล้วถึงจะสามารถมาพูดคุยเรื่องการเก็บผลกำไรได้

ต่อจากนี้เฉินผิงอันจะเปลี่ยนกลยุทธใหม่ เขาจะไม่จับจ้องมองหวงซือแล้ว แต่จะหันไปติดตามนักพรตซุนเงียบๆ แทน

หากจะบอกว่าก่อนหน้าที่จะได้ตำราลัทธิเต๋าเล่มนั้นมา นักพรตซุนคิดแต่อยากจะติดตามหวงซือไปตลอดทาง ทว่าต่อจากนี้ต่อให้นักพรตซุนอยากจะให้ฝ่าเท้า ทาด้วยน้ำมัน (เปรียบเปรยว่าเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว) หวงซือก็ไม่มีทางปล่อยให้เขาได้สมปรารถนาอย่างแน่นอน

เนื่องจากภูเขาลูกนี้ไม่ใช่วัดวาอารามตามความหมายที่แท้จริง ดังนั้น เส้นแกนกลางก็คือขั้นบันไดของลานหยกขาวที่เริ่มตั้งแต่หน้าประตูภูเขามาจนถึง ยอดเขา

สิ่งปลูกสร้างส่วนใหญ่ของที่นี่เหมือนกับสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งที่ไม่ได้ โน้มเอียงเข้าหาสามลัทธิหรือร้อยสำนักใดมากเป็นพิเศษ จุดที่ทำให้เฉินผิงอัน รู้สึกประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ภูเขาลูกนี้กลับไม่มีศาลบรรพจารย์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงกึ่งกลางภูเขายังมีทั้งกระท่อมที่กระจายตัวอยู่ตามตำแหน่งต่างๆ แล้วก็มีตำหนักหอเรือนที่โอ่อ่าอยู่ด้วย สิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ตั้งกระจัดกระจาย ไร้ระเบียบใดๆ

หลังจากที่นักพรตซุนเข้าออกสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังแล้วก็เริ่มทิ้งระยะห่างจากหวงซือเหมือนตั้งใจแต่ก็คล้ายไม่เจตนา ทุกครั้งที่เดินผ่านระเบียงรั้วสีชาดจะไม่เดินอาดๆ อีก กลับกลายเป็นเดินย่องเหมือนแมว พยายามอำพรางตัวตนให้ได้มากที่สุด

สุดท้ายเขาไปหลบอยู่ในหอเรือนเงียบสงัดขนาดเล็กกะทัดรัดแห่งหนึ่ง ที่กรอบป้ายร่วงหล่นอยู่บนพื้น สภาพผุพังไม่เหลือชิ้นดี พอจะมองออกได้รางๆ ว่า บนกรอบป้ายคืออักษรสองคำว่า ‘ตำหนักน้ำ’

ด้านในตำหนักมีเทวรูปสตรีที่สวมชุดสีสันสดใสชายอาภรณ์โบกสะบัดชวนให้คนรู้สึกล่องลอยดุจจะโบยบินขึ้นฟ้าตั้งบูชาอยู่องค์หนึ่ง

นักพรตซุนใช้ชุดคลุมแทนห่อสัมภาระ เดินลอดระเบียงไปครั้งแล้วครั้งเล่า เข้าออกหอเรือนต่างๆ ได้ผลเก็บเกี่ยวมาค่อนข้างมาก ขอแค่ไม่แหลกสลายกลายเป็นผุยผง ไม่ว่าจะของชิ้นเล็กใหญ่ จะเป็นของสะสมโบราณ ภาพวาดตัวอักษร หรือ ของตกแต่งในห้องหนังสือ เขาก็ล้วนกวาดรวบเข้ามาเก็บไว้ในห่อสัมภาระทั้งหมด หลังจากสะพายไว้บนหลังแล้ว แม้แต่ชุดคลุมของหวงซือที่แลกกับกระถางธูป ก็ล้วนเอามาทำเป็นห่อสัมภาระที่สะพายเอียงๆ ไว้บนบ่า เรียกได้ว่าได้ของกลับไป เต็มไม้เต็มมือ แน่นอนว่าก่อนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาต้องมีชีวิตรอดออกไปจากจวนเซียนแห่งนี้ให้ได้เสียก่อน

นักพรตซุนปิดประตูตำหนัก หลังจากใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็คิดว่าหอเรือนทั้งหลายที่ตัวเองเดินผ่านมาคล้ายจะยังไม่ได้ปิดประตู จึงแอบเปิดประตูออกเงียบๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นเหมือนประโยคที่ว่าที่แห่งนี้ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง เท่ากับว่าเป็นการชี้บอกเบาะแสแก่หวงซือ

เฉินผิงอันที่ใช้ยันต์แบกศิลาเป็นเวทอำพรางตัวนั่งอยู่บนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง ซึ่งมองดูอยู่ถึงขั้นร้อนใจแทนสหายนักพรตซุนแล้วด้วยซ้ำ เจ้าทำแบบนี้ก็ไม่เท่ากับว่าขโมยเงินมาแล้วเอาแผ่นไม้ปักเสียบไว้ เป็นการบอกแก่หวงซือผู้นั้นทางอ้อมว่า ‘นักพรตซุนไม่ได้ขโมยเงิน’ หรอกหรือ? สหายนักพรตซุน จะดีจะชั่วเจ้าก็ควรจะวิ่ง ไปให้ไกลกว่านี้สักหน่อย เปิดประตูใหญ่ของเรือนและตำหนักพวกนั้นไว้ให้มาก แสร้งทำเป็นว่าได้เดินผ่านเส้นแกนกลางหนีไปยังทิศทางของฉินจวี้หยวนแห่ง แคว้นเจียโย่วนั่นแล้ว

ไม่อย่างนั้นหากดูจากตอนนี้ ขอแค่หวงซือเป็นคนมีหัวสมองสักหน่อย เขาก็ยังต้องเริ่มหาจากตำหนักเล็กแห่งนี้อยู่ดีไม่ใช่หรือ หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอัน สำหรับประตูใหญ่พวกนั้น หากไม่คิดจะเปิดก็ต้องปิดไว้ตั้งแต่แรกทั้งหมด

ทว่าตลอดทางที่อำพรางร่องรอยมานี้ นักพรตซุนต้องเลือกและสละทิ้งอยู่หลายครั้ง เขาคอยสับเปลี่ยนและโยนสิ่งของที่อยู่ในห่อสัมภาระเล็กใหญ่สองใบทิ้งเป็นระยะ เพราะถึงอย่างไรนักพรตร่างผอมสูงก็ไม่รู้ว่าสรุปแล้วเป็นของชิ้นใหม่ที่ดีกว่าหรือ ของชิ้นเก่าที่มีค่ากันแน่ สุดท้ายก็ได้แต่อาศัยโชคในการคาดเดาเอาแล้ว

เฉินผิงอันจึงคอยเก็บตกของอยู่ตามหลัง

หันกลับมามองทางฝั่งของหวงซือ หากพื้นที่ในห่อสัมภาระไม่พอ ทุกครั้งที่สับเปลี่ยนสิ่งของ หากเป็นของที่ไม่ต้องการ เขาก็จะปล่อยหมัดต่อยให้แหลกสลาย หากไม่สามารถต่อยให้แตกได้ ก็จะทำการสับเปลี่ยนใหม่อีกครั้ง

สมบัติตระกูลเซียนที่ถูกทิ้งไว้ในสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนใกล้พังเต็มที บางทีหากคิดจะซ่อมแซมกลับมาใหม่อีกครั้งอาจต้องใช้เงินเทพเซียนก้อนใหญ่ แต่หากคิดจะต่อยมันให้แตก หวงซือที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองซึ่งมีพื้นฐานไม่ธรรมดา คนหนึ่ง ก็ทำได้อย่างง่ายดาย หากเป็นของที่เดิมทีคิดจะโยนทิ้ง แต่กลับต่อยไม่แตก หวงซือก็จะเก็บกลับไปไว้ในห่อสัมภาระใหม่อีกครั้ง นี่ก็ถือว่าเป็นวิธีการตรวจสอบสิ่งของอีกอย่างหนึ่ง

แต่ก็เห็นได้ชัดว่าโชควาสนาในการมาเยี่ยมเยียนภูเขาค้นหาสมบัติในครั้งนี้ ใหญ่มากทีเดียว

จวนตระกูลเซียนทั่วไปที่เผยกายออกสู่ฟ้าดินอีกครั้ง ผู้ฝึกตนอิสระหลายกลุ่ม ฆ่าแกงกันไปมา สุดท้ายเมื่อแบ่งกันอย่างเท่าเทียม ทุกคนได้รับวัตถุตระกูลเซียนมา คนละสองสามชิ้นก็มากพอจะทำให้คนดีใจเจียนคลั่งแล้ว

ทว่าหวงซือกลับยังไม่พอใจ

แล้วก็จริงดังคาด หลังจากพบว่าจู่ๆ ร่องรอยของนักพรตซุนก็หายไป หวงซือก็เริ่มหยุดการเก็บกวาดสมบัติทั้งหลาย เขาเริ่มไล่ตามเบาะแสจากประตูที่เปิดออกอย่างรีบร้อน แล้วก็มาพบตำหนักเล็กแห่งนี้

หลังจากที่หวงซือขยับเข้ามาใกล้ เฉินผิงอันก็ไม่อยู่ในท่านั่งอีกต่อไป เปลี่ยนมาเอนตัวนอนคว่ำอยู่บนหลังคา กลั้นลมหายใจจนไม่เหลือริ้วคลื่นใดๆ อีก

หวงซือชำเลืองตามองแผ่นป้ายที่อยู่บนพื้นแล้วยิ้มเอ่ย “นักพรตซุน เจอสมบัติหนักในตำหนักน้ำนี่อีกแล้วหรือ? ไม่สู้ให้ข้าช่วยเจ้าดีไหม? วางใจเถอะ ตามกฎที่พวกเรา ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ ใครเป็นคนเปิดประตูก่อน สมบัติทั้งหมดที่อยู่ในห้องซึ่งไม่ว่า จะล้ำค่าแค่ไหนก็ล้วนตกเป็นของคนผู้นั้น”

ในตำหนักน้ำ นักพรตซุนตัวสั่นอย่างหวาดกลัว เขาขอพรจากบรรพจารย์ซานชิงของลัทธิเต๋าอยู่ในใจว่า ขอให้หวงซือผู้นี้รีบๆ จากไปซะ

แต่คงเป็นเพราะนักพรตซุนไม่ถือเป็นลูกศิษย์ในสามสายของลัทธิเต๋า คำขอของเขา จึงไร้ผล หวงซือถึงได้เดินข้ามธรณีประตูเข้ามาโดยตรง ยิ้มกล่าวว่า “นักพรตซุน เป็นอะไรไป ได้สมบัติบางอย่างมาก็เริ่มเปลี่ยนสีหน้าไม่จำคนแล้วหรือ แม้แต่พันธมิตรก็ยังต้องป้องกันด้วย? คนที่พวกเราสองคนต้องระวังไม่ใช่ตี๋หยวนเฟิงที่ในมือถือ อาวุธร้ายผู้นั้นหรอกหรือ? ข้าที่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้า คงไม่ทำให้นักพรตซุน ต้องหวาดกลัวขนาดนี้กระมัง?”

นักพรตซุนที่ไม่เหลือพื้นที่ให้หลบเลี่ยงก็ได้แต่เดินออกมาจากด้านหลังเทวรูป ยิ้มอย่างขลาดๆ “น้องหวงพูดล้อเล่นแล้ว”

หวงซือเอ่ยสัพยอก “นี่เพิ่งจะเดินผ่านพื้นที่ของจวนเซียนแห่งนี้มาได้สองสาม ในสิบส่วนเท่านั้น ยังมีระยะทางให้เดินอีกตั้งไกล อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้ตอนที่พวกเราอยู่ในอารามเต๋าบนยอดเขา ต่างก็สังเกตเห็นกันว่าด้านหลังภูเขายังมีทัศนียภาพที่งดงามรออยู่

เหตุใดนักพรตซุนถึงได้รีบทิ้งห่อสัมภาระชุดคลุมอาคมชิ้นนั้นไปเร็วขนาดนี้เล่า? ข้ารู้น่ะว่า เข้าวัดวาอารามมาจุดธูป หากเดินย้อนกลับทางเดิมจะไม่ค่อยดีนัก”

นักพรตซุนจึงได้แต่เดินย้อนกลับไปทางเดิม หยิบห่อสัมภาระที่ก่อนหน้านี้ วางไว้บนพื้นด้านหลังเทวรูปอย่างระมัดระวังขึ้นมาสะพายไว้บนร่าง หน้าผากของเขาเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดซึม “น้องหวง ไม่สู้เจ้าและข้ามาร่วมมือกัน พยายามป้องกัน ตี๋หยวนเฟิงผู้นั้น จะไม่ดีกว่าหรอกหรือ เจ้าและข้าขัดคอกันเองแบบนี้ก็มีแต่จะทำให้ ตี๋หยวนเฟิงเป็นผู้ได้ผลประโยชน์ไปเปล่าๆ”

หวงซือพยักหน้ารับ “ขอตำราลับที่แสงศักดิ์สิทธิ์แผ่ออกมาจากชุดคลุมให้ข้าดูบ้างสิ?”

นักพรตซุนทอดถอนใจ “น้องหวง เจ้าก็ได้กระถางธูปใบนั้นไปแล้ว เมื่อได้ไปพอสมควรแล้วก็ควรหยุดกระมัง แล้วนับประสาอะไรกับที่ตำราลับเล่มนี้ของข้า คือตำราของลัทธิเต๋า น้องหวงเอาไปก็ไม่ได้มีความหมายเลย”

หวงซือยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มีความหมายหรือไม่มี ไม่ใช่นักพรตซุนเป็นคนตัดสิน”

สีหน้าของนักพรตซุนมืดทะมึน “หวงซือ ถ้าอย่างนั้นข้าผู้เป็นนักพรตก็คงต้องแนะนำเจ้าหนึ่งประโยค ไม่ว่าอย่างไรข้าผู้เป็นนักพรตก็คือนักพรตเต๋าขอบเขต ชมมหาสมุทรที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัวคนหนึ่ง”

หวงซือเอ่ย “หากเป็นอย่างนี้ นั่นก็คงเป็นปัญหาแล้ว ข้ารู้ว่าสมบัติก้นกรุของเจ้าก็คือกระพรวนเจดีย์สมบัติที่แหลกสลายไปแล้วชิ้นนั้น สามารถเอามาใช้ป้องกันได้ น่าเสียดายที่อยู่ๆ ก็พังไปเสียอย่างนั้น นอกจากนี้แล้ว ก็คงหนีไม่พ้นวัตถุแห่ง ชะตาชีวิตที่ใช้ในการโจมตีชิ้นหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่า แท้จริงแล้วข้าคือ ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่ง ต่อยให้เจ้าตายด้วยสองสามหมัดก็ง่ายเหมือนยื่นมือ ไปหยิบของในห่อสัมภาระ?”

นักพรตซุนกล่าวอย่างตกตะลึง “ผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก?!”

แต่ต่อมานักพรตซุนก็หัวเราะเสียงหยัน “ใครบ้างที่หลอกขู่คนอื่นไม่เป็น? หากข้าผู้อาวุโสบอกว่าตัวเองคือเซียนดินโอสถทอง เจ้ากลัวหรือไม่เล่า?”

หวงซือเตรียมจะปล่อยหมัดปลิดชีพนักพรตเฒ่าผู้นี้ คิดไม่ถึงว่าจะได้ยินเสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังมาจากนอกตำหนักน้ำ หวงซือหันหน้าไปมอง ไม่นึกว่าจะเป็นสหายนักพรตเฉินผู้เฒ่าชุดดำที่ไม่ได้ไปหาสมบัติร่วมกับตี๋หยวนเฟิง

หวงซือชำเลืองตามองห่อสัมภาระที่คนผู้นั้นสะพายไว้บนไหล่ ดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะบรรจุกระเบื้องแก้วและ…อิฐเขียวของอารามเต๋า?

เป็นเพราะขี้ขลาดเกินไป หรือว่าโชคย่ำแย่เกินไปกันแน่?

ระหว่างที่เร่งร้อนเดินทางมาถึงที่นี่ จนกระทั่งเดินหัวทิ่มเข้ามาในประตูผี อย่างตอนนี้ จะไม่มีผลเก็บเกี่ยวอย่างอื่นบ้างเลยหรือ?

หากเป็นเช่นนี้จริง หวงซือก็รู้สึกว่าใช้หนึ่งหมัดต่อยให้แมลงน่าสงสารผู้นี้ตาย ก็เปลืองแรงของตัวเองไปสักหน่อย

นักพรตซุนเห็นสหายนักพรตเฉินที่เดินมาถึงอย่างรีบร้อนก็ทั้งดีใจ แล้วก็ทั้งระอาใจ

สหายนักพรตเฉินผู้นี้ ไยไม่ฟังคำเตือนของเขาบ้างเลย แต่ก็ช่างเถิด เรื่องมาถึง ขั้นนี้แล้ว ค่อยมาดูว่าจะมีโอกาสให้คนทั้งสองร่วมมือกันหรือไม่ หลีกเลี่ยงไม่ให้ถูก หวงซือฮุบเอาสมบัติที่พวกเขาสองพี่น้องหามาได้อย่างยากลำบากไปเพียงลำพัง

ชำเลืองตามองสภาพฝืดเคืองของห่อสัมภาระเจ้าหมอนั่น นักพรตซุนก็คิดในใจว่าหากไม่ได้จริงๆ วันหน้ารอให้คนทั้งสองร่วมมือกันเอาชีวิตรอดออกไปจากที่นี่ได้สำเร็จ ตนค่อยมอบสมบัติสองสามชิ้นที่ไม่มีค่าให้กับสหายนักพรตเฉินก็แล้วกัน

เฉินผิงอันปาดเหงื่อบนหน้าผาก “เมื่อครู่เพื่อหาพวกเจ้าให้พบ ข้าก็เลยกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเรือนหลังหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนสองกลุ่มเดินขึ้นเขามาแล้ว ก็เลยรีบกระโดดลงมา กลุ่มหนึ่งมีกันอยู่สองคน อายุยังน้อย มองดูแล้วคล้ายเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่พวกเราไม่ควรไปมีเรื่องด้วย ต่างก็สวมชุดคลุมอาคม กลุ่มที่สองก็คือท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิง ในกลุ่มมีกันห้าคน คนหนึ่งเฝ้าอยู่ตรงสะพานโค้งตีนเขา อีกคนหนึ่งวิ่งขึ้นไปยังอารามบนยอดเขาโดยตรง เห็นได้ชัดว่าจะยึดครองเส้นทางขึ้นเขาที่สำคัญไป ส่วนคนที่เหลืออีกสามคนนั้นเดินค้นสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ขึ้นเขามาช้าๆ ไม่ช้าก็เร็วต้องมาเจอกับพวกเราแน่ แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”

หวงซืออารมณ์หนักอึ้ง

ตอนอยู่ที่ศาลาเก่าโทรมข้างทางสายเล็กไส้แกะ ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวสองคนนั่น เห็นได้ชัดว่าเป็นปรมาจารย์จริงแท้แน่นอน หากตนรับมือกับคนทั้งสองเพียงลำพัง ก็ต้องทุ่มสุดชีวิต

บวกกับอีกสามคนที่เหลือ หวงซือไม่คิดว่าตัวเองจะมีโอกาสหนีรอดไปพร้อมกับสมบัติ

ในเมื่อสถานการณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ ตอนนี้จึงยังไม่อาจสังหารสหายนักพรตสองคนที่อยู่ข้างหน้าและด้านหลัง คนหนึ่งอยู่ในคนหนึ่งอยู่นอกตำหนักน้ำ คู่นี้ได้

ดังนั้นหวงซือจึงยิ้มเอ่ย “แค่ล้อเล่นกับนักพรตซุนเท่านั้น อย่าได้ถือสา”

นักพรตซุนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “การล้อเล่นที่ทำให้เสียความรู้สึกเช่นนี้ น้องหวงพูดให้น้อยหน่อยจะดีกว่า!”

หวงซือแอบโมโหอยู่ในใจ เกือบจะอดไม่ไหวต่อยให้สหายนักพรตซุนผู้นี้ ตายไปก่อนหนึ่งหมัด ถึงอย่างไรนักพรตเต๋าเถื่อนที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ประชิดตัว คนหนึ่งก็สู้ผู้เฒ่าชุดดำที่เชี่ยวชาญการใช้ยันต์โจมตีในระยะไกลไม่ได้อยู่แล้ว

สังหารนักพรตซุนไปคนหนึ่ง แล้วมอบสมบัติทั้งหมดของเขาให้ผู้เฒ่าชุดดำ เก็บรักษาชั่วคราว หวงซือไม่เชื่อหรอกว่าสหายนักพรตเฉินผู้นี้จะไม่หวั่นไหวเลย!

นักพรตซุนพลันตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า “สหายเฉิน มาปรึกษากันหน่อย เจ้าจะมอบยันต์โจมตีให้ข้าสักสองสามแผ่นได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบว่า “สามารถทำการค้ากันได้”

นักพรตซุนบื้อใบ้พูดไม่ออก

หวงซือขมวดคิ้ว แต่ไม่นานหัวคิ้วก็คลายออก เกือบลืมไปแล้วว่านักพรตซุนเอง ก็เป็นผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าครึ่งตัวเหมือนกัน ต่อให้วาดยันต์ไม่เป็น แต่คิดจะควบคุมยันต์ ก็ไม่ยากเลย

แต่นี่ก็ไม่ถือว่าเป็นข่าวร้ายอะไร มีนักพรตซุนและผู้เฒ่าชุดดำสองคนคอยถือ ยันต์โจมตีไว้ในมือ บวกกับผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองอย่างตน แล้วยังมีตี๋หยวนเฟิง อีกคน สี่คนมารวมตัวกันก็ไม่อาจดูแคลนได้

หวงซือเดินก้าวออกไปจากธรณีประตูตำหนักน้ำ แล้วหลีกทางให้ผู้เฒ่าชุดดำ ที่หยุดยืนนิ่งไม่เดินหน้าต่อด้วยการยืนเบี่ยงตัว จากนั้นหางตาก็เหลือบมองไปยัง ผู้ฝึกลมปราณสองคนที่เนื้อหนังมังสาอ่อนแอพร้อมๆ กัน แล้วยิ้มเอ่ยว่า “พวกเราจะรักษาโชควาสนาในมือไว้ได้หรือไม่ ก็ต้องดูที่ว่าต่อจากนี้พวกเราจะยอมร่วมมือกันอย่างจริงใจหรือไม่ บอกไว้ก่อนว่า ข้าหวงซือคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกคนหนึ่ง นี่ไม่ใช่คำลวง หากเปิดฉากเข่นฆ่ากับใครขึ้นมา ข้าไม่มีทางออมมือ แต่ขอแค่พวกเราออกไปจากที่แห่งนี้ได้ เพื่อเป็นค่าตอบแทน พวกเจ้าทุกคนจำเป็นต้องมอบโชควาสนา อย่างหนึ่งให้แก่ข้า”

เฉินผิงอันเอามือตบห่อสัมภาระ ทำให้พอจะมองเห็นเค้าโครงของอิฐเขียวได้รางๆ เขาตอบรับอย่างฉับไวว่า “เชิญเอาไปได้ตามสบาย”

หวงซือที่มองดูอยู่ถึงกับหนังตากระตุก

นักพรตซุนกัดฟันพูด “นอกจากตำราลัทธิเต๋าเล่มนั้น สิ่งของที่อยู่ในห่อสัมภาระน้อยใหญ่สองใบนี้ เชิญน้องหวงเลือกเอาไปได้ตามสบาย!”

หวงซือลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้ารับ “ตกลงตามนี้!”

เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา สบตากับนักพรตซุน ทั้งสองไม่จำเป็นต้องใช้เสียงในใจสื่อสารกันก็พากันมาด้านหลังเทวรูปที่ตั้งบูชาอยู่ในตำหนักน้ำ

คนทั้งสองนั่งยองอยู่บนพื้น นักพรตซุนเอ่ยถาม “สหายเฉินมียันต์โจมตีอยู่กี่ชนิด กี่แผ่น?”

เฉินผิงอันเอ่ย “มีสามชนิด นอกจากยันต์สายฟ้าสมบัติก้นกรุที่แพงที่สุดซึ่งมีชื่อว่ายันต์ห้าอสนีต้นตำรับ รวมไปถึงยันต์กระแสธาราสะบั้นนทีแล้วก็ยังมียันต์ ขยุ้มดินขุนเขา นักพรตซุนแค่ฟังชื่อก็คงจะเดาออกแล้วว่าล้วนเป็นยันต์ล้ำค่า เป็นอันดับหนึ่งทั้งสิ้น ส่วนยันต์อื่นๆ …”

นักพรตซุนเห็นอีกฝ่ายทำท่าอึกๆ อักๆ ก็เริ่มรำคาญ จึงพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “นอกจากยันต์สายฟ้าแผ่นนั้นที่สหายเฉินเก็บไว้ป้องกันชีวิตตัวเอง ยันต์อื่นๆ ที่เหลือ ข้าผู้เป็นนักพรตขอเหมาหมด!”

กับสหายนักพรตเฉินผู้นี้ นักพรตซุนยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง

ส่วนชื่อเรียกของยันต์แต่ละแผ่นที่ฟังดูเผด็จการไม่แพ้กันนั้น สหายนักพรตเฉินเจ้าคิดจะหลอกเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรือไร?!

เฉินผิงอันถาม “นักพรตซุน เจ้ามีเงินเทพเซียนมากขนาดนั้นเลยหรือ? ยันต์สมบัติตระกูลเซียนพวกนี้ที่ข้าต้องเอาชีวิตครึ่งหนึ่งไปทิ้งถึงจะแย่งชิงมาจากซากจวน ตระกูลเซียนแห่งอื่นได้ แต่ละแผ่นล้วนไม่ใช่ราคาถูกๆ เลยนะ”

นักพรตซุนกล่าวอย่างกังขา “ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้บอกว่าเป็นยันต์ที่วาดขึ้นเองหรือไร?”

เฉินผิงอันตอบ “นักพรตซุนก็เชื่อเรื่องนี้ด้วยหรือ? หากข้าสามารถวาดยันต์ที่มีพลังพิฆาตเช่นนี้ได้ จะยังมาเป็นผู้ฝึกตนอิสระด้านล่างภูเขาที่ไม่ต่างจากสุนัขขุดดิน หาของกินอีกทำไม ป่านนี้ก็คงไปเป็นผู้ถวายงานของภูเขาใหญ่ตระกูลเซียนระดับต้นๆ อย่างจวนไช่เฉวี่ย นครเหนือเมฆแล้วน่ะสิ? วันๆ แค่นอนเสพสุขก็พอ เหตุใดต้องมา หาเรื่องให้ตัวเองลำบากเช่นนี้ด้วย?”

นักพรตซุนพลันแสยะปากแยกเขี้ยว ยื่นมือมานวดคลึงข้างแก้ม “สหายเฉิน เจ้าว่ามาเถอะ ยังมียันต์อยู่อีกกี่แผ่น ข้าจะซื้อทั้งหมดเลย”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “นักพรตซุน เจ้าเป็นผู้อาวุโสก็ส่วนผู้อาวุโส แต่การค้าขาย ก็ส่วนการค้าขาย ต้องให้ผู้น้อยได้เห็นเงินเทพเซียนก่อน ยันต์ล้ำค่าที่มีไว้คุ้มกันกายเหล่านี้ ทุกแผ่นที่ขายออกไปล้วนทำให้ข้าเจ็บปวดจนใจสั่นได้ทั้งสิ้น”

นักพรตซุนพูดอย่างเดือดดาล “สหายเฉิน เป็นคนต้องมีคุณธรรม!”

เฉินผิงอันเองก็ไม่ยอมอ่อนข้อ “นักพรตซุน ค้าขายต้องยุติธรรม!”

นักพรตซุนรู้สึกหมดอาลัยตายอยากเล็กน้อย

มารดามันเถอะ สหายนักพรตเฉินผู้นี้ ที่แท้ก็หลอกไม่ง่ายเลย

นักพรตซุนลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะเปิดห่อสัมภาระที่ทำมาจากชุดคลุมอาคม แล้ววางลงบนพื้น พูดอย่างหวังดีว่า “ยันต์ดินน้ำสองชนิดอย่างละสามแผ่น ขายให้ข้าหกแผ่น จากนั้นเจ้าก็เลือกเอาสมบัติอาคมที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งไป”

เฉินผิงอันหยิบยันต์กระดาษเหลืองธรรมดาสองแผ่นออกมาจากในชายแขนเสื้อ จากนั้นมือที่คีบยันต์เอาไว้ก็อ้อมไปด้านหลัง มืออีกข้างหนึ่งเริ่มพลิกๆ ค้นๆ แล้ว เอ่ยว่า “ยันต์สองแผ่น ขายเป็นคู่ จะใช้สิ่งนี้มาซื้อสิ่งของจวนเซียนที่แตกหักชิ้นหนึ่งจากนักพรตซุน”

นักพรตซุนหน้าเขียว เตรียมจะม้วนห่อสัมภาระเก็บ

เฉินผิงอันถึงได้วางยันต์สองแผ่นไว้บนห่อสัมภาระตรงเท้า แล้วเอ่ยว่า “ข้าเลือกได้ ชิ้นหนึ่งแล้วค่อยมอบยันต์ให้นักพรตซุนอีกสองแผ่น”

นักพรตซุนถึงได้ยอมเลิกรา “สหายเฉิน การค้าแบบนี้ ข้าผู้เป็นนักพรตขาดทุน จะตายอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันไล่สายตามองวัตถุตระกูลเซียนยี่สิบกว่าชิ้นนั้นไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง หลังจากมองประเมินอย่างละเอียดแล้วก็พิจารณาพลางบ่นไปด้วยว่า “นักพรตซุน ในเมื่อเจ้ามีชาติกำเนิดมาจากเรือนเทพสายฟ้าแห่งภูเขาอิงเอ๋อร์ เหตุใดถึงไม่พก ยันต์สายฟ้าหลายๆ แผ่นลงจากภูเขามาด้วยเล่า นักพรตซุนอาศัยแค่ว่าตัวเองเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล ทำอะไรประมาทขนาดนี้ เวลานี้จะยังมาบ่นข้าทำไม?”

นักพรตซุนถึงได้นึกถึงสถานะในทำเนียบวงศ์ตระกูลของตัวเองขึ้นมาได้ เขาลูบหนวดยิ้มเอ่ย “ลงจากภูเขามาหาประสบการณ์ มีเรื่องไม่คาดฝันนับพันนับหมื่น ไหนเลย จะคิดคำนวณได้เสียทุกเรื่อง หากสามารถคำนวณได้อย่างไร้ข้อผิดพลาดจริงๆ ยังจำเป็นต้องลงจากภูเขามาฝึกขัดเกลาจิตใจด้วยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วทำการเลือกหาสมบัติต่อไป

ของที่ถูกใจเฉินผิงอันมีอยู่สองชิ้น

หลังจากจับๆ พลิกๆ แล้วก็หมายตาอีกชิ้นหนึ่ง

สองชิ้นแรกที่เขาถูกตาต้องใจมากที่สุด ชิ้นหนึ่งในนั้นเป็นเพราะรู้สึกว่าหากเอาไปมอบให้คนอื่นย่อมดีที่สุด ส่วนระดับขั้นสูงต่ำนั้น กลับไม่ใช่สิ่งที่เฉินผิงอัน ให้ความสนใจสักเท่าไร

สามารถนำไปมอบให้หลี่ไหว

นั่นคือเทวรูปไม้แกะสลักที่มีระดับความสูงแค่ฝ่ามือองค์หนึ่ง

เทวรูปนี้สลักเป็นรูปของหยวนจวินลัทธิเต๋า หน้าตาเหมือนกับเทวรูปหญิง ในตำหนักน้ำหลังนี้ เรือนกายอรชร เรียวยาวงามประณีต นิ้วมือที่เรียวยาวนั้น กำลังทำมุทรา สีหน้าเมตตาปราณี บนศีรษะสวมกวาน ชุดที่สวมใส่งามล้ำค่า เหมือนผ้าแพรต่วนในโลกมนุษย์ ช่วงล่างของชุดห้อยระคลุมที่ประทับ

ด้านใต้ฐานมีตัวอักษรเท่าหัวแมลงวันสลักไว้สิบสองตัว พิศส่องความสะอาดบริสุทธิ์ภายใน ไม่ถูกมารภายนอกบดบัง

เฉินผิงอันรู้สึกว่าความหมายดีมาก

และยังมีพัดกลมอันเล็กที่ลักษณะโบราณเรียบง่ายอีกหนึ่งอัน มองดูแล้วก็น่าจะมีราคาไม่น้อย ในอนาคตเอาไปวางไว้ในร้านบนถนนเหล่าไหวของสวนน้ำค้างวสันต์ หรือไม่ก็ไว้ในร้านผ้าห่อบุญของภูเขาหนิวเจี่ยว ไม่แน่ว่าอาจจะเจอกับพวกคน หลอกง่าย เพราะถึงอย่างไรการซื้อของของผู้ฝึกตนหญิงบนโลกใบนี้ อันที่จริงก็ไม่ได้ต่างจากสตรีล่างภูเขาเลย ยินดีทุ่มทองพันชั่งมากกว่าบุรุษ ขอแค่พวกนางชอบ ก็ไม่ต้องสนใจเหตุผลหรือพูดถึงเรื่องระดับขั้นอีก

ชิ้นสุดท้ายกลับเป็นชิ้นที่ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจได้มากที่สุด

หรือควรจะพูดให้ถูกต้องก็คือ รู้สึกตกตะลึงมากที่สุด

นั่งคือกรงขนาดเล็กที่สานจากไม้ไผ่โดยมีเส้นด้ายสีทองร้อยพัน ไผ่เขียวสีสันสดใส เขียวปลั่งราวกับสามารถเค้นน้ำออกมาได้ เพียงแต่ว่าไม่ต่างจากวัตถุชิ้นอื่นๆ ของที่แห่งนี้สักเท่าไร นั่นคือมีรอยปริแตกเล็กๆ น้อยๆ ทำให้รูปลักษณ์เสียหายไปมาก กรงเล็กทั้งสองใบล้วนมีขนาดเท่ากำปั้น มองดูเหมือนกรงจิ้งหรีดในหมู่ชาวบ้าน แบ่งออกเป็นสลักคำว่า ‘ชนเจียว’ ‘ซ่อนผาน’ (ผานหลง มังกรขดตัว)

ทำเอาเฉินผิงอันที่ได้เห็นมีเหงื่อผุดซึมออกมาจากหน้าผากอย่างที่หาได้ยาก

เขาตื่นเต้นจริงๆ แล้ว

รู้สึกว่าหากมีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมเยือนภูเขาท่องยุทธภพค้นหาสมบัติกับนักพรตซุน ดูสักหน่อย

นักพรตซุนรู้สึกถึงความผิดปกติ การค้าที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องได้กำไร เป็นกอบเป็นกำ เหตุใดสหายเฉินถึงได้มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเช่นนี้? หรือว่าเพิ่งจะมารู้สึกตัวเอาภายหลัง พลันตระหนักได้ถึงความจริงอย่างหนึ่ง รู้ว่าต่อให้สิ่งของใน ห่อสัมภาระของตนจะมีค่ามากแค่ไหน อันที่จริงก็สู้ยันต์ที่ปกป้องกายไม่ได้ มีเก็บไว้มากหนึ่งแผ่นก็เท่ากับว่ามีโอกาสรอดชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเสี้ยว? นี่ทำให้หน้าผากของนักพรตซุนก็มีเหงื่อผุดซึมออกมาเหมือนกัน จึงเตรียมจะยื่นมือออกไปแอบคว้ายันต์สองแผ่นนั้นมา ในใจคิดว่าสหายเฉิน ด้วยมิตรภาพของพวกเราสองพี่น้อง ยันต์สองแผ่นก็สองแผ่นเถอะ นักพรตซุนคีบยันต์มาซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ แล้วผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เตรียมจะพูดว่าอีกสองแผ่นที่เหลือนั้นช่างเถิด

คิดไม่ถึงว่าสหายเฉินจะหยิบพัดกลมอันนั้นขึ้นมา จากนั้นก็หยิบยันต์ดินน้ำ อีกสองแผ่นออกมาจากในชายแขนเสื้อ ยื่นส่งให้นักพรตซุนตามสัญญา

แล้วเขาก็ปลดห่อสัมภาระที่สะพายไว้บนไหล่ลงมา หยิบเอาผ้าห่อสัมภาระที่ วางทับซ้อนกันเป็นปึกสอดไว้กลางอิฐเขียวและกระเบื้องแก้วมรกตออกมาสะบัดเบาๆ แล้วถึงได้เอาพัดด้ามนี้ใส่ไว้ในห่อผ้า

ทำเอานักพรตซุนที่มองดูอยู่ทั้งตกตะลึงทั้งอิจฉา ไม่นึกเลยว่าสหายเฉินจะพก ห่อสัมภาระผ้าเขียวติดตัวมามากขนาดนี้ ช่างมีประสบการณ์ในยุทธภพจริงๆ

เฉินผิงอันหยิบยันต์ออกมาอีกสี่แผ่น วางไว้ด้านบนชุดคลุมอาคมที่นักพรตซุน วางไว้บนพื้น แล้วค่อยเก็บเทวรูปหยวนจวินไม้แกะสลักอันนั้นใส่ไว้ในห่อผ้า

นักพรตซุนอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สหายเฉินเอายันต์ออกมาอีกสัก สี่แผ่นดีไหม? สมบัติบนพื้นนี่ เจ้าเลือกได้ตามสบาย ค่อยๆ เลือกไปเถอะ”

เฉินผิงอันลังเลใจ ทำท่าอิดออดๆ แต่สุดท้ายกลับหยิบยันต์อีกยี่สิบกว่าแผ่นออกมาจากในชายแขนเสื้อ ในนั้นมีเส้นสีทองสอดแทรกอยู่สามเส้น น่าจะเป็น ยันต์สีทองสามแผ่น!

นักพรตซุนเห็นสหายนักพรตผู้นี้กำยันต์ปึกหนึ่งไว้ในกำมือ แล้วก็ก้มหน้า เหลียวซ้ายแลขวา

น่าจะเป็นสมบัติส่วนสุดท้ายของสหายนักพรตเฉินผู้นี้แล้วกระมัง

นักพรตซุนกลืนน้ำลาย เตือนตัวเองว่าต้องสุขุมมีสติ จะต้องทำหน้าเฉยเมย ไม่สะทกสะท้าน แต่กระนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าก็ยังคงแข็งทื่อ เขาลองถามหยั่งเชิงเบาๆ ว่า “สหายเฉิน หรือว่ายังมีของที่เจ้าถูกใจอีก? เรื่องดีมักมาเป็นคู่ ข้าผู้เป็นนักพรต ให้เจ้าซื้อหนึ่งแถมหนึ่งได้ แค่มอบยันต์โจมตีให้ข้าสักสี่แผ่นก็พอ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถิด ขายยันต์แปดแผ่นนี้ไป ตัวข้าเองก็จะเหลือ ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวางอยู่ค่อนข้างมาก ไม่ได้ๆ”

นักพรตซุนเอ่ยเตือน “สหายเฉิน ออกจากสถานที่แห่งนี้ไปแล้ว เจ้าไม่อยากจะไปเยือนเรือนเทพสายฟ้าภูเขาอิงเอ๋อร์พร้อมกับข้าผู้เป็นนักพรต จะได้ไปเป็น เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่มีภูมิหลังมีที่พึ่งหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “จะมีโอกาสรอดชีวิตออกไปจากที่นี่หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก”

นักพรตซุนเสียดายอย่างยิ่ง จึงทอดถอนใจพูดว่า “ดูท่าจิตแห่งการถามมรรคาของนักพรตเฉินจะไม่หนักแน่นสักเท่าไร”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองผ้าห่อบุญบนพื้นแวบหนึ่งแล้วก็หันตัวกลับ น่าจะดึงเอายันต์โจมตีสี่แผ่นออกมาซื้อของอีกชิ้นหนึ่ง

นักพรตซุนรีบยื่นมือมาดึงข้อมือของสหายนักพรตผู้นี้เอาไว้ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สหายเฉิน ข้าต้องการแค่ยันต์ในมือของเจ้าสองแผ่นเท่านั้น เป็นค่าซื้อของหนึ่งแผ่น แล้วก็ค่าเข้าเรือนเทพสายฟ้าของข้าอีกหนึ่งแผ่น แค่สองแผ่นเท่านั้น ตกลงไหม?”

ผู้เฒ่าชุดดำพูดอย่างฉุนๆ ปนขัน “นักพรตซุนช่างสายตาดีนัก!”

นักพรตซุนลูบหนวดยิ้ม “ค้าขายยุติธรรม ค้าขายยุติธรรม ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว นักพรตเฉินต้องระมัดระวังให้ดี ต้องเห็นค่าโชควาสนาที่ได้มาไม่ง่ายนี้นะ”

อีกฝ่ายสองจิตสองใจ

นอกตำหนักน้ำมีเสียงเตือนของหวงซือที่รอจนเริ่มหงุดหงิดดังขึ้นมา “พี่ชาย ทั้งสองท่านคิดจะค้างคืนอยู่ที่นี่หลายๆ วันหรือ?”

สุดท้ายผู้เฒ่าชุดดำก็มอบยันต์กระดาษสีทองสองแผ่นให้แก่นักพรตซุน เพียงแต่ว่า มีเพียงแผ่นเดียวเท่านั้นที่เป็นยันต์สายฟ้า อีกแผ่นหนึ่งเป็นยันต์ฝ่าสิ่งกีดขวาง ขุนเขาสายน้ำ

แต่นักพรตซุนก็หยุดเมื่อพอสมควร เพียงแค่เอ่ยสัพยอกคำหนึ่งว่าสหายเฉิน ไม่มีคุณธรรมเอาเสียเลย

ยันต์สีทองที่เหลือแผ่นสุดท้ายในกลุ่มยันต์ปึกนั้นน่าจะเป็นยันต์โจมตีที่อีกฝ่ายเก็บไว้ใช้เอง แต่นักพรตซุนก็ไม่ได้ทำให้ใครลำบากใจ ถึงอย่างไรก็ควรให้คนเขา เก็บยันต์รักษาชีวิตไว้สักแผ่นไม่ใช่หรือ?

แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ นักพรตซุนก็ยิ่งแน่ใจแล้วว่าสหายเฉินที่บอกว่ามาจาก อารามขนาดเล็กของแคว้นอู่หลิงผู้นี้ ไม่ใช่ผู้ฝึกตนลัทธิเต๋าที่เชี่ยวชาญสายยันต์อะไร

เฉินผิงอันหยิบข้องปลาสานไม้ไผ่คู่ที่นักพรตซุนเดาความเป็นมาของมันไม่ออกแม้แต่น้อยมาเก็บ แล้วก็เตรียมจะหยิบของอีกชิ้นหนึ่ง แต่นักพรตซุนกลับหัวเราะร่าพลางเก็บแผงแล้ว “กรงไม้ไผ่สองใบเล็กก็สองชิ้นพอดีไม่ใช่หรือ”

ไม่รอให้อีกฝ่ายต่อรอง นักพรตซุนก็ม้วนห่อสัมภาระหยิบขึ้นสะพายบนร่าง

เฉินผิงอันหันตัวกลับ ตอนที่หันหลังให้นักพรตซุน เขาได้เก็บของสามชิ้นไว้ใน วัตถุจื่อชื่ออย่างเงียบเชียบก่อน จากนั้นค่อยเอากระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียว หนึ่งแผ่นสับเปลี่ยนออกมาใส่ไว้ในห่อสัมภาระใบใหม่ แล้วเอาห่อสัมภาระทั้งสองใบพาดสลับสะพายไว้บนร่าง

ตอนที่คนทั้งสองเดินข้ามธรณีประตูออกไปจากตำหนักน้ำ หวงซือก็เอ่ยขึ้นด้วย สีหน้าไม่สบอารมณ์ “อีกฝั่งหนึ่งของขั้นบันไดมีความเคลื่อนไหวจากการต่อสู้เกิดขึ้น เพียงแต่ไม่รู้ว่าใครไปเจอเข้ากับใคร”

ตอนนี้บนภูเขามีคนสามกลุ่มอยู่ปะปนกัน

พวกเขาสี่คนน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาในพื้นที่ลับตระกูลเซียนแห่งนี้

หวงซือไม่รู้ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลกลุ่มที่สองซึ่งเป็นคู่ชายหนุ่มหญิงสาวคือเทพเซียนจากฝ่ายไหน โอกาสที่จะเป็นผู้ฝึกตนของนครเหนือเมฆค่อนข้างสูง เพราะถึงอย่างไรจวนไช่เฉวี่ยก็มีแค่ผู้ฝึกตนหญิง

กลุ่มที่สามนั้นรับมือได้ยากที่สุด

ดังนั้นสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือ เซียนซือหนุ่มสาวสองคนนั้นเกิดความขัดแย้งกับฝ่ายของท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิง

หากเป็นตี๋หยวนเฟิงที่ไปประมือกับคนอื่นก่อน นั่นไม่ใช่เรื่องดีอะไร

ด้วยสันดานเช่นนั้นของตี๋หยวนเฟิง หากเจอกับอันตรายเข้าจริงๆ จะต้องลากหายนะมาถึงตัวเขาหวงซือด้วยอย่างแน่นอน หากตกอยู่ในสถานการณ์อับจน ความคิดแรกของตี๋หยวนเฟิงจะต้องเป็นลากพวกเขาสามคนไปตายเป็นเพื่อน เพื่อที่จะได้มีคนเดินเคียงข้างบนเส้นทางไปสู่น้ำพุเหลือง

หวงซือพลันกระโดดขึ้นไปบนหลังคา เห็นเพียงว่าตรงแผ่นฝ้าเพดานทรงกลม มีคนร่วงลงมาอย่างต่อเนื่องเหมือนเกี้ยวที่ถูกโยนลงหม้อ ไม่ต่ำกว่าสี่สิบคน ดูจากท่าทางแล้ว ต่อจากนี้จะต้องมีคนเข้ามาถึงที่นี่อย่างแน่นอน

ความเคลื่อนไหวนี้รุนแรงยิ่งกว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตรงอีกฝั่งหนึ่ง ของบันไดเสียอีก

หวงซือเริ่มไม่เข้าใจแล้ว สถานการณ์ที่ปลาและมังกรปะปนกันเช่นนี้ สำหรับเขาแล้วถือว่าเป็นผลดีมากกว่าผลร้าย

ขอแค่หาทางถอยได้เจอ จากนั้นก็ฉกชิงตำราลัทธิเต๋าบนร่างของนักพรตซุนไป เขาหวงซือก็สะบัดมือจากไปได้แล้ว

เขาคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว จึงไม่มีความละโมบในปราณวิญญาณของที่แห่งนี้เลยแม้แต่น้อย ทุกคนที่เหลืออยู่ฆ่าแกงกันไปมา ดั่งสัตว์ที่ถูกจับขังให้ต้องต่อสู้กัน เกี่ยวอะไรกับเขาด้วย

หวงซือเอ่ย “พวกเราไม่ผ่านบันไดเดินขึ้นเขา แต่อ้อมไปทางด้านหลังภูเขา”

เฉินผิงอันถาม “ไม่รอคุณชายฉินสักหน่อยหรือ?”

นักพรตซุนถอนหายใจอยู่ในใจ ช่างเป็นลูกนกหัดบินในยุทธภพที่ไม่รู้ความอันตรายของใจคนจริงๆ

ดูจากการค้าขายระหว่างสองฝ่ายในตำหนักน้ำ อันที่จริงนักพรตซุนก็พอจะมองออกถึงความระมัดระวังของสหายนักพรตคนนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั่น ช่างเหลาะแหละพึ่งพาไม่ได้เอาเสียเลย

หวงซือยิ้มกล่าว “พี่ใหญ่เฉินสามารถไปเรียกคุณชายฉินมาได้ ข้ากับนักพรตซุนจะรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”

นักพรตซุนเห็นว่าสหายนักพรตผู้นี้มีสีหน้ากระอักกระอ่วน แล้วก็ไม่พูดจาไร้สาระอะไรเพิ่มอีก

นักพรตซุนจึงใช้เสียงในใจบอกคนผู้นี้ว่า “สหายเฉิน จำเอาไว้ว่าพูดมากไป จะนำมาซึ่งความผิดพลาด เข้ามาในภูเขาเงินภูเขาทอง ต่างคนต่างอาศัยโชควาสนาช่วงชิงสมบัติมาครอง เจ้าก็อย่าได้วาดงูเติมขาอีกเลย ไม่แน่ว่าคุณชายฉินอาจจะ ได้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เขาจะยินดีพบหน้าเจ้าหรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก เจ้าไปหาเขาแบบนี้จะไม่ทำให้คุณชายฉินลำบากใจหรอกหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตซุน สุขุมหนักแน่น ทำอะไรมั่นคงเชื่อถือได้”

ตอนนี้แผนการที่ดีที่สุดของเฉินผิงอันก็คือไปหาคนนอกคนหนึ่งก่อน เพื่อยืนยันให้แน่ใจถึงความเร็วในการไหลหายไปของแม่น้ำแห่งกาลเวลาในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ พอมั่นใจว่าจะไม่ถ่วงเวลาการท่องลำน้ำใหญ่ของเขาแล้ว ถึงจะสามารถหยุดอยู่ที่นี่ ต่อได้อีกสามสี่วัน พยายามอยู่ร่วมกับเซียนซือของแต่ละฝ่ายอย่างปรองดองให้ได้ มากที่สุด เพื่อที่เขาจะได้ฝึกตนอยู่ที่นี่ได้อย่างสงบ สั่งสมปราณวิญญาณให้เต็ม สองช่องโพรงลมปราณอย่างจวนน้ำและศาลภูเขา

พยายามช่วงชิงแก่นชะตาน้ำที่ซุกซ่อนอยู่ในอิฐเขียวของอารามเต๋าพวกนั้นมา ให้ได้มากที่สุด

จวนน้ำและศาลภูเขาขอบเขตสามมีขีดจำกัดในการ ‘กักเก็บน้ำ’ ส่วนช่องโพรงลมปราณแห่งอื่นๆ เนื่องจากมีปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ขุมนั้นดำรงอยู่ จึงไม่อาจรั้งปราณวิญญาณไว้ได้มากนัก เกรงว่าเมื่อเอามารวมกันแล้วยังสู้การรวบรวม ปราณวิญญาณบนชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตาตัวนี้ไม่ได้ด้วยซ้ำ ทว่าจวนน้ำและ ศาลภูเขาสองแห่งนั้น ต่อให้จะมีปราณวิญญาณเอ่อล้นออกมา อันที่จริงก็ไม่เป็นไร และเฉินผิงอันก็ยังสามารถมาวาดยันต์อยู่ที่นี่ได้

ใช้ชาดตระกูลเซียนที่ดีที่สุดของสวนน้ำค้างวสันต์ไหนั้นวาดยันต์ลงบนกระดาษสีทอง ยิ่งเผาผลาญปราณวิญญาณมากเท่าไรก็ยิ่งดี เพราะระดับขั้นของยันต์ก็จะยิ่งสูงมากเท่านั้น

หล่อหลอมลมปราณ ศึกษาวิชาการเขียนยันต์ หาเงินเทพเซียนเข้ากระเป๋า ยิงธนูนัดเดียวได้นกสามตัว

เฉินผิงอันยังถึงขั้นคิดจะอาศัยปราณวิญญาณของที่แห่งนี้มาทดลองบุกเบิก ช่องโพรงที่สำคัญแห่งที่สาม เพื่อหาตำแหน่งที่ว่างไว้ให้สำหรับวัตถุแห่งชะตาชีวิต ห้าธาตุชิ้นที่สามในอนาคต

เพราะเฉินผิงอันมีลางสังหรณ์อย่างหนึ่งว่า วัตถุแห่งชะตาชีวิตธาตุไม้ หนึ่งในห้าธาตุควรจะเป็นสิ่งใด

อันที่จริงหากลองคิดในมุมมองใหม่ มาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ สำหรับเฉินผิงอัน ที่อยู่ในอุตรกุรุทวีปแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องร้ายทั้งหมด เพราะนี่จะช่วยสะบั้น ความเชื่อมโยงระหว่างเขากับเฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักชิงเหลียงให้สิ้นซากได้

ตอนนั้นนางติดตามตนเข้าไปในหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ไปจับตา มองตนอยู่ในระยะประชิดที่นครจิงกวาน รวมไปถึงหลังจากที่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยเพราะตนแบกรับทัณฑ์สายฟ้า นางก็จำต้องเป็นฝ่ายตัดขาดความเชื่อมโยง ในโลกมืดที่มองไม่เห็นนั้นทิ้งไป ตอนนี้คงจะหลบเข้าไปในอยู่ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนเกล็ดหิมะ หากถูกเฉินผิงอันเล่นงานอีกครั้ง ก็จะเป็นหลักการเดียวกันนี้

ดังนั้นผลได้และผลเสียทั้งหมดจากการที่เข้ามาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ ก็ล้วนเป็นเรื่องของเฉินผิงอันเพียงลำพังแล้ว

อันที่จริงนี่คือเรื่องดี

ผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดที่เฉินผิงอันคิดเอาไว้ นั่นคือเฉินผิงอันต้องใช้กระบี่ผ่าตราผนึกฟ้าดิน เผ่นหนีออกไปเพื่อความปลอดภัยของตน

ต่อให้ไม่พูดถึงกระเบื้องแก้วมรกตและอิฐเขียวบนพื้น ลำพังเพียงแค่ข้องปลาไผ่สานขนาดจิ๋วสองใบนั้นก็ทำให้เฉินผิงอันตกตะลึงได้มากแล้ว

เพราะพวกมันมีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะเป็นข้องราชามังกร!

ต่อให้รูปลักษณ์ภายนอกจะถูกทำลายให้เสียหายอย่างหนัก ทว่าข้องไม้ไผ่ใบเล็กสองใบที่ระดับขั้นต่ำที่สุดก็ยังเป็นข้องราชามังกรที่ควรค่าแก่การทุ่มเงินซ่อมแซม ให้เหมือนใหม่ จากนั้นก็เอาไปใช้จับเจียวหลง

ถ้าอย่างนั้น

เขาควรจะคอยช่วยดูแลไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันต่อนักพรตซุนต่อไปหรือไม่?

รังแกคนอื่นไม่ยาก รังแกตัวเองก็ยิ่งง่าย เพียงแต่ว่าผู้ฝึกตน ขอแค่ยังมีจิตแห่งการพิสูจน์มรรคา มีความหวังต่อการเดินขึ้นสู่ยอดเขาสูง เดิมทีการรังแกตัวเองก็เป็น ปมของโรคร้ายที่ใหญ่ที่สุด

มองดูเหมือนว่าเรียบง่ายที่สุด เพราะฉะนั้นด่านในอนาคตถึงได้ใหญ่ที่สุด

ยกตัวอย่างเช่นหลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบของทะเลสาบซูเจี่ยน ที่เกือบจะต้องกายดับมรรคาสลายเพราะสาเหตุนี้

เมื่อมอบยันต์กระดาษสีทองสองแผ่นให้กับนักพรตซุนแล้ว ตัวเองก็จะสบายใจ ถามใจตัวเองแล้วไม่รู้สึกผิดจริงๆ หรือ?

หรือจะบอกว่า เพื่อประหยัดแรงกายแรงใจก็ควรถือโอกาสกำจัดต้นกำเนิด ของเรื่องไม่คาดฝันอย่างหวงซือที่เป็นผู้ฝึกยุทธนี่ไปเสียเลย?

สนแต่สาเหตุไม่สนความรู้สึก? หรือว่าจะสนความรู้สึก ไม่สนสาเหตุ? หรือต้องสนทั้งสองอย่าง?

หากเป็นกู้ช่านก็คงไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

หม่าขู่เสวียนเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาทั้งหมดบนโลกก็อาจไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

ส่วนชุยตงซาน ลู่ไถ จงขุย ฉีจิ่งหลง ก็อาจจะมีทางเลือกเป็นของพวกเขาเอง ไม่ว่าสิ่งที่พวกเขาเลือกจะเหมือนเฉินผิงอันหรือไม่ แต่ก็คงไม่รู้สึกลำบากใจอย่างที่ เฉินผิงอันเป็นอยู่ในตอนนี้

เมื่อเฉินผิงอันขึ้นมาเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนที่แท้จริง หลังจากกลายเป็นผู้ฝึกตนได้ครึ่งตัวแล้ว เขาก็ค้นพบว่าหลักการเหตุผลทั้งหมดที่ประคับประคองให้เขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้

ทำให้เขารู้สึกว่าพวกมันกลายเป็นภาระจริงๆ

ก็เหมือนตอนเด็กที่เดินขึ้นเขา แบกตะกร้าไม้ไผ่ใบใหญ่ขนาดนั้น ด้านในยังบรรจุ ยาสมุนไพร นั่นก็ทำให้คนรู้สึกหนักอึ้งได้มากแล้ว

ทว่าจุดที่ชวนให้ลำบากใจกลับกลายเป็นว่า ก็เพราะภาระในอดีตเหล่านี้ ถึงพาเขาเดินมาจนถึงทุกวันนี้ได้

ลำบากใจกับตัวเอง คือความยากที่ซ้ำเติมลงบนความยากของการเดินขึ้นเขาฝึกตน

และในเวลานี้เอง นักพรตซุนก็ได้ใช้เสียงในใจบอกแก่เฉินผิงอันว่า “สหายเฉิน ระวังตัวไว้สักหน่อย หวงซือผู้นี้อำพรางตนอย่างลึกล้ำ ไม่นึกว่าเขาจะเป็นถึงผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก ยันต์โจมตีของสหายเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตถือว่า พอจะเชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประชิดตัวอยู่บ้าง ถึงเวลานั้นเจ้าก็ถอยห่างไปให้ไกล สักหน่อย แต่อย่าลืมช่วยคุมหลังให้ข้าผู้เป็นนักพรตด้วย อย่าได้ประหยัดยันต์ มากเกินไป ยันต์อะไรก็โยนๆ ใส่หวงซือไปเถอะ แต่ก็อย่าโยนพลาดทำร้ายข้า ผู้เป็นนักพรตเข้าล่ะ”

เฉินผิงอันอึ้งตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าต่อมาสภาพจิตใจของเขาก็พลันเปิดโล่ง ยิ้มบางๆ ตอบกลับไปว่า “นักพรตซุนวางใจได้เลย บอกตามตรงว่า นอกจาก วิชายันต์แล้ว ข้าเองก็พอจะมีฝีมือในการจับคู่ต่อสู้กับคนอื่นอยู่เหมือนกัน”

นักพรตซุนกล่าวอย่างระอาใจ “สหายเฉิน อย่าเป็นแบบนี้ ได้ยินคำพูดวางโตนี้ของเจ้าแล้ว ข้าผู้เป็นนักพรตไม่มีทางวางใจได้เลย มีแต่จะยิ่งกลุ้มเข้าไปใหญ่”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะ “นักพรตซุนมีชาติกำเนิดมาจากตระกูลเซียนที่สูงส่ง มรรคกถาก็ยอดเยี่ยม ไม่แน่ว่าอาจไม่ต้องการให้ข้าลงมือช่วยเหลือก็เป็นได้”

นักพรตซุนจึงไม่เอ่ยอะไรอีก ในใจคิดว่าคำประจบสอพลอของคนตาไร้แวว อย่างเจ้า ข้าผู้เป็นนักพรตไม่รู้สึกประสบความสำเร็จสักนิดเลยจริงๆ

หวงซือมีสัมผัสที่เฉียบไว พอจะเดาออกได้คร่าวๆ ว่าคนทั้งสองกำลังแอบสนทนากันอย่างลับๆ

เพียงแต่ไม่รู้สึกว่าเศษสวะของลัทธิเต๋าสองคนนี้คุยกันแล้วจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมา คุยกันว่าจะตายอย่างไรงั้นหรือ? หรือว่าตอนไปเดินอยู่หน้าประตูผีจะหาเรื่องอะไรมาคุยกันให้อารมณ์ดีหรือไร?

เฉินผิงอันคิดเรื่องบางอย่างจนเข้าใจกระจ่างแล้วก็พลันรู้สึกว่าฟ้าสูงแผ่นดินกว้างไกล ภูเขาเขียวน้ำใส ทัศนียภาพของทุกหนทุกแห่งล้วนน่ามองชวนให้ใกล้ชิดสนิทสนม

เพียงแต่ว่าพอมองไปอีกครั้ง เฉินผิงอันกลับขมวดคิ้วมุ่น

เขาส่ายหน้า ไม่มีภาพเหตุการณ์ประหลาดใดๆ เกิดขึ้นอีก

เฉินผิงอันอดเปิดปากเอ่ยเตือนนักพรตซุนไม่ได้ “นักพรตซุน ระวังตัวหน่อย”

นักพรตซุนยิ้มกล่าว “สหายอย่าได้พูดจาวางโต แล้วก็อย่าได้พูดจาไร้แก่นสารอีกเลย”

……

อีกฝั่งหนึ่งของบันได

เป็นตี๋หยวนเฟิงที่ปะทะกับเซียนซือสองคนของนครเหนือเมฆจริงๆ

ชายหนุ่มหญิงสาวของนครเหนือเมฆสองคนนั้นมาเจอพื้นที่ฝึกตนของเซียน ยุคบรรพกาลแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ จากนั้นภายใต้โชควาสนานำพา พวกเขาก็สามารถเปิดกลไกจากเทียบตัวอักษรแผ่นหนึ่งได้ แล้วก็ได้ไปเจอกับโครงกระดูกขาวลอกคราบของ ‘กิ่งทองใบหยก รัศมีแสงเรืองรอง’ โครงหนึ่ง

อยู่ในสภาพเช่นนี้ ขนาดผ่านมาหลายร้อยปีหรืออาจถึงขั้นเป็นพันปี ประกายแสงก็ยังไม่หม่นหมองลง ต้องเป็นเซียนดินก่อกำเนิดคนหนึ่งอย่างแน่นอน หรือไม่ก็ เป็นคราบของผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบในตำนานที่ได้ครอบครองโชควาสนา อันน่าตะลึงลานอย่างหนึ่ง

ส่วนคราบร่างของขอบเขตเซียนเหรินที่ยิ่งชวนให้คนเหลือเชื่อนั้น เลือดเนื้อจะไม่สูญสลาย จะไม่กลายเป็นกระดูกแห้งเหี่ยว และชุดคลุมอาคมบนคราบร่างนั้น ก็แทบจะสมบูรณ์ไร้ตำหนิ ภายนอกไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย

เดิมทีตี๋หยวนเฟิงที่แอบสะกดรอยตามผู้ฝึกตนซึ่งมองก็รู้ว่าเป็นลูกนกหัดบิน ที่มีประสบการณ์ไม่มากพอคู่นั้นมา เขาไม่ได้มีความหวังมากนัก คิดไม่ถึงว่า พอตามมาแล้วจะได้เห็นประตูใหญ่บานนั้น คราบร่างนั้นล้ำค่าหรือไม่ล้ำค่า ดูจาก ชุดคลุมอาคมก็พอจะมองเบาะแสได้ออก แล้วนับประสาอะไรกับที่ผู้ฝึกตนหนุ่ม คนหนึ่งในนั้นยังเก็บคราบร่างและชุดคลุมอาคมใส่ไว้ในกระบอกเก็บพู่กันหยกขาว ที่มีไอหมอกสีขาวนวลลอยล้อมวน เห็นได้ชัดว่าเป็นวัตถุฟางชุ่นของตระกูลเซียน อย่างไม่ต้องสงสัย

ตี๋หยวนเฟิงลองคำนวณตบะของอีกฝ่ายดูก็รู้สึกว่ามีโอกาสให้ฉกฉวย จึงแอบซ่อนตัวอยู่ตรงทางออก คิดจะหาโอกาสโจมตีอีกฝ่ายให้ตาย เมื่อแย่งสมบัติมาได้แล้วก็จะ รีบเผ่นหนีไปให้ไกล วัตถุฟางชุ่นที่เป็นกระบอกเก็บพู่กันชิ้นหนึ่ง บวกกับ คราบร่างเซียนและชุดคลุมอาคมตัวนั้น นี่ถือเป็นสมบัติหนักสามชิ้นเลยทีเดียว

คิดไม่ถึงว่าภายใต้คมดาบที่คมกริบของเขา บุรุษหนุ่มคนนั้นจะเพียงแค่ บาดเจ็บสาหัส ชุดคลุมอาคมได้รับความเสียหายเท่านั้น เขายังคงปกป้องกระบอกเก็บพู่กันชิ้นนั้นไว้ได้

ตี๋หยวนเฟิงจึงฉวยโอกาสนี้ออกดาบซ้ำอีกครั้ง หมายจะสังหารผู้ฝึกตนหญิง ฝีมือไม่ได้ความที่มัวแต่ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก

เพียงแต่ว่ามีผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งโผล่ออกมาจากความว่างเปล่า ไม่เพียงแต่โจมตีให้ตี๋หยวนเฟิงถอยร่น ยังเกือบจะกักตัวตี๋หยวนเฟิงไว้ในกระท่อมที่เซียนผู้นั้น นั่งค้างตายอยู่ในท่านั้นได้

ตี๋หยวนเฟิงอาศัยดาบอาคมที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษผ่ากรงขังอาคมแห่งนั้นออกมา แล้วเผ่นหนีไปพร้อมกับอาการบาดเจ็บ

ในใจสบถด่าเสียงดังไม่หยุด เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลชาติสุนัข บนร่าง กลับสวมชุดคลุมอาคมตั้งสองชิ้น!

บุรุษหนุ่มผู้ฝึกตนหน้าซีดขาว ยื่นมือออกมาปาดใบหน้าก็เห็นว่ามีแต่เลือดสด เต็มฝ่ามือ หากไม่เป็นเพราะเพื่อความปลอดภัย จึงสวมชุดคลุมอาคมสองตัวไว้บนร่าง ไม่อย่างนั้นหากต้องรับดาบที่ฟันลงมาเต็มๆ เช่นนี้ ตนต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

ผู้ฝึกตนหญิงมองเขาด้วยความสงสารสุดหัวใจ สำหรับคนถ่อยที่ต่ำช้าผู้นั้น ก็ยิ่งเคียดแค้น นางไม่คิดจะสนใจความปลอดภัยของตัวเอง เตรียมจะบังคับลม ไล่ตามไปสังหาร อีกฝ่ายบาดเจ็บไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจเป็นสุนัขที่ถูกทุบตีซ้ำก็เป็นได้

ทว่าผู้ถวายงานเฒ่าขอบเขตประตูมังกรกลับเอ่ยขึ้นอย่างเฉยเมยว่า “อย่าไล่ตามโจรที่ยากจน (เปรียบเปรยถึงศัตรูที่จนตรอก) นอกจากนี้ ได้โชควาสนาใหญ่ขนาดนี้มา พวกเจ้าก็ควรจะหยุดเมื่อพอสมควร ต่อจากนี้พวกเจ้าควรคิดว่าจะออกไปจากที่แห่งนี้อย่างไร ท่านโหวน้อยของแคว้นเป่ยถิงผู้นั้นจัดวางปรมาจารย์ผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งไว้ บนยอดเขากับตรงตีนเขา รับผิดชอบคอยเฝ้าหน้าด่าน พวกเจ้าก็ลองปรึกษากันดูว่าจะทำอย่างไร”

จากนั้นร่างของผู้ถวายงานเฒ่าก็หายวับไป

ชายหญิงแห่งนครเหนือเมฆที่เพิ่งจะรอดพ้นจากหายนะมาได้ สภาพจิตใจ จึงไม่มั่นคงนัก ดังนั้นจึงไม่ทันสังเกตเห็นแววตาดิ้นรนสับสนของผู้ถวายงานเฒ่า

หากไม่เป็นเพราะยังมีผู้ปกป้องมรรคาอย่างหวนอวิ๋นเจินเหรินผู้เฒ่าเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง เกรงว่าผู้ฝึกตนที่ทำหน้าที่เป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของนครเหนือเมฆมาเกือบร้อยปีผู้นี้ก็คงจะทำให้เด็กรุ่นหลังสองคนที่มีสมบัติหนักติดตัวได้รู้แล้วว่าอะไรคือบนท้องฟ้า มีลมและเมฆที่ไม่อาจคาดการณ์ มนุษย์มีโชคดีก็ย่อมมีโชคร้าย

และห่างไปไม่ไกล เจินเหรินผู้เฒ่าคนหนึ่งใช้ยันต์ชั้นยอดอำพรางเรือนกายและ ริ้วคลื่นลมปราณเอาไว้ สำหรับการอดทนข่มกลั้นไม่ยอมลงมือของผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกร ทำให้เขาหวนอวิ๋นมีสีหน้าที่ซับซ้อน ดูคล้ายจะรู้สึกยินดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีความผิดหวังที่ยากจะสังเกตเห็นอยู่เสี้ยวหนึ่ง

หวนอวิ๋นพึมพำว่า “การฝึกตนไม่ใช่เรื่องง่าย การฝึกจิตใจก็ยิ่งยาก”

หลังจากทอดถอนใจอยู่ในทะเลสาบหัวใจไปแล้ว ร่างของเจินเหรินผู้เฒ่าก็หายไปอีกครั้ง

สมบัติที่ก่อนหน้านี้เขามองเห็นก่อนใคร ทว่ากลับปฏิบัติตามกฎไม่แย่งชิงไขว่คว้ามา ตอนนี้เขาหวนอวิ๋นก็สามารถยื่นมือไปแย่งมาได้แล้ว

เพราะลูกศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อย่อมไม่มีความคิดจะไปสืบเสาะหาสมบัติอีกแล้ว แต่กำลังคิดว่าควรจะพาตัวหลุดพ้นไปจากสถานการณ์ยากลำบากเช่นนี้อย่างไรดี

ส่วนผู้ถวายงานขอบเขตประตูมังกรคนนั้น ก็น่าจะมีความคิดและแผนการพอๆ กันนี้

นอกจากภาชนะตระกูลเซียนในตำหนักและหอเรือนแห่งต่างๆ หวนอวิ๋นอยากจะขึ้นไปดูที่อารามเต๋าบนยอดเขามากที่สุด เพราะกระเบื้องแก้วมรกตที่เห็นไกลๆ ตอนทะยานลมก่อนหน้านี้มีค่ายิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

เพียงแต่ว่าการช่วงชิงวัตถุชิ้นนี้เขาจะรีบร้อนไม่ได้ มีผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองของแคว้นเป่ยถิงเฝ้าอยู่บนยอดเขา หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ เจินเหรินผู้เฒ่าจะไม่ฝืนไปแย่งชิงมาเด็ดขาด

ตี๋หยวนเฟิงที่สะพายห่อสัมภาระใบหนึ่งหลบอยู่ด้านหลังภูเขาจำลอง หลังจากกลืนยาไปหนึ่งเม็ด เขาก็หอบหายใจหนักๆ มุมปากมีเลือดซึมลงมา ในใจสถบด่ามารดาอีกฝ่ายไม่หยุด

ในเมื่อยังมีอารมณ์มาด่าคนก็หมายความว่ายังไม่บาดเจ็บไปถึงรากฐาน

ตี๋หยวนเฟิงไม่เสียใจแม้แต่น้อยที่ลงมือหมายแย่งชิงสมบัติ

แต่ในเมื่อโจมตีครั้งเดียวไม่ได้ผล ก็ไม่มีอารมณ์จะตามตอแยอีกฝ่ายต่อแล้ว

……

บนขั้นบันไดกึ่งกลางภูเขา

จานชิงท่านโหวน้อยถือพัดพับไว้ในมือ โบกเอาลมเย็นเข้าหาตัวเบาๆ ป๋ายปี้ ผู้ฝึกตนหญิงเซียนดินโอสถทองแห่งสำนักมังกรน้ำยืนอยู่ด้านข้าง

เกาหลิงผู้ฝึกยุทธแคว้นฝูฉวียืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของสะพานโค้งหยกขาวตรงตีนเขา

ส่วนผู้ฝึกยุทธผู้ถวายงานในจวนโหวของจานชิงนั้นไปอยู่บนยอดเขาแล้ว

ผู้ถวายงานเชื้อพระวงศ์แคว้นฝูฉวีอีกคนหนึ่งที่ติดตามป๋ายปี้มาไปค้นหาสมบัติหลังจากได้รับคำอนุญาตจากป๋ายปี้

จานชิงเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดในจุดที่ห่างไปไกลแล้วขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คนมากมายขนาดนี้ เข้ากันมาได้อย่างไร? หรือว่ามีใครทำลายตราผนึกของโพรงถ้ำแห่งนั้นออกโดยตรง?”

ป๋ายปี้ถอนหายใจ “เดิมทีที่แห่งนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นปัญหาใหญ่ที่สุด ข้าจะออกไปเดินรอบๆ ด้านนอกภูเขาดูสักหน่อย ดูสิว่าจะสามารถส่งกระบี่บินไปยังสำนักได้หรือไม่”

จานชิงลุกขึ้นยืน “ข้าไปกับเจ้าด้วย”

ป๋ายปี้ส่ายหน้า “เจ้าไปที่ตีนเขา เกาหลิงผู้นี้รู้จักหนักเบามากที่สุด จะต้องปกป้องเจ้าได้แน่นอน ยังไม่ต้องรีบขึ้นไปบนยอดเขา ตัวแปรของที่นั่นมีมาก จะทำให้ข้าออกไปสำรวจอาณาเขตรอบนอกของที่แห่งนี้อย่างไม่วางใจ”

ป๋ายปี้ทะยานลมขึ้นสูง แล้วกลายร่างเป็นรุ้งยาวจากไป

จานชิงมองด้วยความเลื่อมใส

นี่ก็คือมาดของเซียนดินโอสถทอง

จานชิงเดินลงเขาไปช้าๆ เกาหลิงที่เป็นขอบเขตร่างทองคนหนึ่ง ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถต้านทานทุกคนที่มาค้นหาสมบัติได้

แต่ขอแค่คนของแต่ละฝ่ายที่กรูกันเข้ามาในภูเขาไม่มีปัญญาที่จะรวมกลุ่มกัน พวกเขาก็ถือเป็นทรายที่กระจัดกระจายถาดหนึ่ง ปล่อยให้เขาจานชิงช่วงชิงสมบัติ มาได้ตามใจชอบ

หลังจากเข้ามาในพื้นที่ลับและได้ปรึกษากับพี่หญิงป๋ายแล้ว จานชิงก็เปลี่ยนความคิดใหม่

ดังนั้นจานชิงจึงไม่คิดจะเปิดฉากสังหารครั้งใหญ่ แต่คิดว่าจะทำการค้าอย่างหนึ่งกับผู้ฝึกตน ผู้ฝึกยุทธที่ข้ามอาณาเขตมาเหล่านั้น

ขึ้นเขานั้นได้ แต่ตอนลงจากภูเขามา จำเป็นต้องมาพูดคุยกับเขาจานชิงเป็นการส่วนตัวเสียก่อน แล้วมอบวัตถุบนภูเขาที่เขาหมายตามาให้ชิ้นหนึ่ง

แค่ชิ้นเดียวก็พอ

ส่วนของอย่างอื่นที่ถูกพวกคนที่โชคดีพกติดตัวไป ถึงเวลานั้นพี่หญิงป๋ายจะจดบันทึกเงียบๆ แล้วนำไปมอบให้แก่ศาลบรรพจารย์ของสำนักมังกรน้ำ ให้พวกผู้ฝึกตนเซียนดินเหล่านั้นไปทวงสมบัติคืนจากมดตัวเล็กตัวน้อยพวกนี้

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต้องให้เขาจานชิงลงมือสังหารใคร ถือเป็นการหาทรัพย์สิน อย่างปรองดอง

นี่จะลดทอนปัญหาและเรื่องไม่คาดฝันไปได้มาก

ผู้ฝึกตนอิสระแห่งภูเขาสายน้ำ เว้นเสียจากว่ารู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในทางตันที่ต้องตายอย่างแน่นอน ส่วนใหญ่ก็ล้วนกลัวตายกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้นทุกเรื่องก็ล้วน พูดคุยกันได้ง่าย

กลับกลายเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลที่รากฐานไม่มั่นคงซึ่งจะมองสถานการณ์ได้ไม่ชัดเจน

อาจารย์ก่อกำเนิดที่มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระคนนั้นของเขา ตอนนี้ แขวนชื่อเป็นผู้ถวายงานอยู่ในสำนักมังกรน้ำ พี่หญิงป๋ายก็ยิ่งเป็นคู่รักเทพเซียน ของเขาในอนาคต ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นคนครอบครัวเดียวกัน

ดังนั้นซากปรักจวนเซียนแห่งนี้จึงเป็นของในกระเป๋าของสำนักมังกรน้ำแล้ว

ก่อนหน้านี้พี่หญิงป๋ายเคยปรึกษากับเขามาก่อน บอกว่าจะพยายามช่วงชิงสมบัติหนักมาให้ได้มากที่สุด โดยที่รับรองว่าต้องมีจำนวนอยู่ที่ห้าชิ้น หากโลภมากเกินไปจะเคี้ยวไม่ละเอียด ไม่อย่างนั้นนางก็ไม่อาจอธิบายกับทางสำนักได้ อีกทั้งการช่วงชิง สมบัติของจานชิงกับนางจะต้องทำอย่างหลบซ่อนอำพราง พยายามใช้เวทอำพรางตาให้มาก ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากเป็นสมบัติล้ำค่าที่แม้แต่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิด ก็ยังปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน

คนทั้งสองจะไปแตะต้องไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นพวกบรรพจารย์ของสำนัก ไม่ว่าใครก็ไม่ใช่ตะเกียงประหยัดน้ำมัน หากพวกเขาเร่งรุดมาเยือนเพราะได้ยินข่าว และยึดครองสถานที่แห่งนี้ได้สำเร็จ จะต้องไม่ปล่อยผ่านใครที่ข้ามผ่านขอบเขตเ ข้ามาแน่นอน หากคิดจะซักไซ้เอาเรื่องขึ้นมา วิธีการก็มีให้ใช้ไม่หมดสิ้น ถ้าพวกเขา ใช้เวทคาถากับจิตวิญญาณของผู้ฝึกตน ถึงเวลานั้นขอแค่จานชิงถูกสืบสาวเบาะแสออกมาได้ พิรุธถูกเปิดเผย นางป๋ายปี้ก็ยากที่จะหาคำมาอธิบาย ถูกศาลบรรพจารย์สวมหมวกว่ากินบนเรือนขี้รดบนหลังคาให้ ก็จะได้ไม่คุ้มเสีย

แต่สมบัติอาคมสามสี่ชิ้น พวกเขาสองคนที่เป็นเด็กรุ่นหลัง ในฐานะผู้บุกเบิกดินแดนที่เป็นผู้มีคุณูปการใหญ่ที่สุด ต่อให้ทางศาลบรรพจารย์รู้เรื่อง เพราะต้อง เห็นแก่หน้าของอาจารย์ผู้ถ่ายทอดมรรคาของนางและอาจารย์ของจานชิง เหล่าผู้ฝึกตนใหญ่สิบกว่าคนที่มีคุณสมบัติได้นั่งอยู่ในศาลบรรพจารย์พวกนั้นก็มีแต่ จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง

ไม่ว่าเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลบนภูเขาคนใด ก็ทั้งได้รับการปกป้องจากกฎเกณฑ์ จากรากฐาน แล้วก็ถูกพันธนาการจากกฎเกณฑ์ จากวินัยข้อห้ามเช่นกัน

จานชิงมาถึงตีนเขาก็สั่งความเกาหลิงด้วยสีหน้าเป็นมิตร เกาหลิงที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองซึ่งเพิ่งจะได้เลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสามชั้นเอกของแคว้นฝูฉวี ไม่มีความเห็นต่างใดๆ

วันนั้นที่คุ้มครองป๋ายปี้ผู้ฝึกตนหญิงย้อนกลับบ้านเกิดเข้าสู่เมืองหลวง พระราชโองการก็มาถึงที่จวนแม่ทัพของเกาหลิงพอดี

ดังนั้นเกาหลิงจึงรู้เรื่องหนึ่ง อยู่ในแคว้นฝูฉวีที่การช่วงชิงคุณความชอบทางการทหารยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ การที่มีความสัมพันธ์กับสำนักมังกรน้ำนั้น ได้ผลยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด

จานชิงยืนอยู่ฝั่งหนึ่งของสะพานหยกขาว ใช้พัดพับเคาะสัตว์ที่เป็นราวบันไดเบาๆ เรือนกายของเขาสูงโปร่งสะโอดสะอง อาภรณ์สีขาวพลิ้วไหวดุจสายน้ำไหล

เกาหลิงตะโกนบอกกฎให้กับทุกคนที่ขยับมาใกล้สะพาน

แน่นอนว่าไม่มีใครยอมรับ

มีคนไม่กล้าบุกเข้ามา ก็เลยคิดจะกระโดดข้ามลำคลองสีเขียวมรกตที่เป็นลำคลองปกป้องเมืองแห่งนั้นจากมุมอื่น

ผลกลับถูกเกาหลิงที่พุ่งทะยานออกไปใช้หนึ่งหมัดสกัดกั้นเอาไว้ คนผู้นั้นตายคาที่ทันที ศพแหลกกระจายเป็นเจ็ดแปดส่วน

หมัดนี้เกาหลิงไม่กักเก็บพลังเอาไว้แม้แต่น้อย

ดังนั้นจึงมีผู้ฝึกยุทธตะโกนบอกว่าเขาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทอง อีกทั้ง ยังเรียกชื่อของเกาหลิงผู้ฝึกยุทธอันดับหนึ่งของแคว้นฝูฉวีออกมาด้วย

หลังจากหนึ่งหมัดผ่านไป

ฝั่งตรงข้ามที่แต่เดิมมีเสียงดังจอแจก็เงียบเสียงลงได้ทันที มีเพียงเสียงกระซิบ จากคนที่จับกลุ่มกันสองสามคนเท่านั้น

ไม่รู้ว่าจากใครและจากจุดใด แต่น่าจะมีคนที่ใช้เวทลับตระกูลเซียน ถึงได้มี เสียงตะโกนผ่านริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจด้วยน้ำเสียงแหบพร่าดังขึ้นว่า “พวกเรามีคนเยอะกว่า ร่วมมือกันสังหารเจ้าสองคนนี้ ถึงเวลานั้นแยกย้ายกันขึ้นไปบนภูเขา ต่างคนต่างได้ในสิ่งที่ต้องการ จะไม่ดียิ่งกว่าหรอกหรือ?! เหตุใดจะต้องคอยดูสีหน้าของคนอื่น หากพวกเรามีใครที่โชคธรรมดา ได้สมบัติมาแค่ชิ้นเดียว หรือว่ายังจะต้องยกสองมือประคองส่งให้กับคนเสเพลแคว้นเป่ยถิงผู้นี้ไปเปล่าๆ ? เวลานี้ไม่ร่วมแรงร่วมใจกัน ถึงเวลานั้นพอลงมาจากภูเขาก็ยิ่งยากที่จะสมัครสมานสามัคคีกันได้อีกกระมัง?”

คำพูดประโยคนี้ทำให้คนไม่น้อยหวั่นไหว

ผู้ฝึกตนหญิงสองคนของจวนไช่เฉวี่ยที่ร่ายเวทอำพรางตาหันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน

คนที่เอ่ยประโยคล่อลวงใจประโยคนี้ก็คือเด็กสาวผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์คนหนึ่งที่พวกนางมาเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้

อายุไม่มาก แต่นิสัยไม่เลว

และพวกนางก็คือซุนชิงเจ้าจวนไช่เฉวี่ยกับอู่ชวินอาจารย์ผู้คุมกฎของศาลบรรพจารย์

เดิมทีมีอู่ชวินเป็นผู้ปกป้องมรรคาคนเดียวก็เพียงพอแล้ว แต่ซุนชิงรู้สึกว่า ตัวเองอยู่บนภูเขาก็อุดอู้ยิ่งนัก ก็เลยตามมาหาเรื่องผ่อนคลายจิตใจ คิดไม่ถึงว่า การผ่อนคลายจิตใจครั้งนี้จะทำให้เจอกับโชคครั้งใหญ่

อู่ชวินแอบสื่อสารกับเจ้าจวนสาว “เซียนดินอายุน้อยก่อนหน้านี้คงไม่ใช่ ป๋ายปี้แห่งแคว้นฝูฉวีกระมัง?”

ซุนชิงหัวเราะเสียงหยัน “เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักมังกรน้ำแล้วอย่างไร ท่ามกลางศึกที่วุ่นวาย หากกลอุบายไม่มากพอ ความสามารถไม่ได้ความ ตายไป ก็เสียเปล่า”

เอ่ยประโยคนี้จบ ซุนชิงก็พูดด้วยสีหน้าเฉยเมยต่อว่า “เจ้าและข้าเอง ก็เหมือนกัน”

อู่ชวินกล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “แต่อยู่ดีๆ สายน้ำภูเขาทางฝั่งของโพรงถ้ำแห่งนั้นก็เกิดไร้ระเบียบวุ่นวาย ตราผนึกถูกเปิดออก ทุกหนแห่งล้วนเป็นทางเข้ามายังพื้นที่ลับแห่งนี้ นี่จะเป็นเรื่องบังเอิญไปหน่อยหรือไม่?”

ซุนชิงชำเลืองตามองม่านฟ้าแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “ในเมื่อมาแล้วก็ทำใจให้สบาย”

อู่ชวินถอนหายใจ ชำเลืองตามองเจ้าจวนสาวข้างกายที่มีท่าทางไม่ทุกข์ไม่ร้อน มิน่าเล่านางถึงได้เป็นเจ้าจวนโอสถทองอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของจวนไช่เฉวี่ย ส่วนตนนั้นกลับเป็นได้แค่บรรพจารย์ผู้คุมกฎอยู่ปีแล้วปีเล่า

ริมตลิ่งฝั่งนี้ของพวกเขามีเสียงเอะอะดังไม่ขาดสาย แต่ละคนร่ำร้องว่าจะต่อสู้เข่นฆ่า ป่าวประกาศว่าจะต้องปลิดชีพแม่ทัพบู๊ของแคว้นฝูฉวีผู้นั้น และจะเลาะเส้นเอ็น แร่เนื้อเถือหนังของท่านโหวน้อยแคว้นเป่ยถิงให้จงได้

ผลคือจานชิงกลับคลี่ยิ้มสดใส คลี่พัดพับออกดังพรึ่บ แล้วโบกเอาลมเย็นๆ อยู่ด้านหน้าตัวเองเบาๆ เพียงเปิดปากเอ่ยว่า “จะฆ่าข้าก็ได้ ใครที่มาก่อนก็ได้ก่อน”

ซุนชิงหัวเราะ ใช้ข้อศอกกระทุ้งอู่ชวินเบาๆ “เจ้าลงมือก่อน ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่าย คงเสียเวลาอยู่ได้เป็นร้อยปี”

อู่ชวินกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

อู่ชวินที่สวมหมวกคลุมหน้า อีกทั้งยังร่ายเวทอำพรางตาก้าวยาวๆ ออกไปจากกลุ่ม นางเดินขึ้นไปบนสะพานโค้งหยกขาวก่อนใคร แรกเริ่มฝีเท้ายังไม่เร็วนัก

ครั้งนี้นางลงจากภูเขาได้สวมชุดคลุมอาคมไว้สองชิ้น ด้านในถึงจะเป็นชุดคลุมอาคมชั้นยอดของจวนไช่เฉวี่ย ส่วนด้านนอกคือชุดคลุมอาคมที่ทุ่มเงินก้อนใหญ่ไหว้วานให้คนซื้อมาจากนครเหนือเมฆ

เพียงแต่ว่าชุดคลุมอาคมของนครเหนือเมฆที่อยู่ด้านนอกนั้น แน่นอนว่ายังต้องร่ายเวทอำพรางตาเล็กๆ ไว้อีก ไม่อย่างนั้นก็จะเปิดเผยร่องรอยชัดเจนเกินไป เท่ากับว่ามองคนอื่นเป็นคนโง่

ในความเป็นจริงแล้วลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเสิ่นเจิ้นเจ๋อนครเหนือเมฆ ก็ทำแบบเดียวกันนี้ สวมชุดคลุมอาคมสองชิ้นไว้บนร่าง ทว่าสลับกัน นั่นคือสวม ชุดคลุมอาคมของบ้านตัวเองไว้ด้านใน สวมชุดคลุมอาคมของจวนไช่เฉวี่ยไว้ข้างนอก

แรกเริ่มอู่ชวินยังเดินช้าๆ ทุกคนที่อยู่อีกฝั่งของสะพานโค้งเริ่มมีคนขยับเท้า ทว่ากลับเดินช้ายิ่งกว่า

ด้วยกลัวว่าจะถูกสตรีที่ไม่รู้ที่มาผู้นี้ทำร้าย หากวิ่งออกมาเร็วเกินไป เป็นตัวนำขบวน แล้วจะถูกเกาหลิงต่อยให้เลือดเนื้อแหลกสลายไปอีกคน

เพียงแต่ว่าต่อมาผู้ฝึกตนอิสระ เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของภูเขาลูกเล็กและผู้ฝึกยุทธในยุทธภพทุกคนก็รู้สึกโล่งอก อารมณ์พลันฮึกเหิมขึ้นมาอีกเยอะ ไม่เหลือความสงสัยใดๆ อีกต่อไป

เพราะสตรีผู้นั้นยิ่งเดินยิ่งเร็ว สุดท้ายก็ทะยานตัวออกไป ร่ายวิชาโจมตี ของตระกูลเซียนวิชาหนึ่งออกมา จากนั้นก็กินสองหมัดของเกาหลิงไปเต็มๆ หนึ่งหมัดทำลายวิชาอาคม อีกหนึ่งหมัดสังหารคน ผู้ฝึกตนหญิงที่ถูกต่อยเหมือนว่าวที่ สายป่านขาด ร่างหล่นลงไปกระแทกบนพื้นฝั่งตรงข้ามของสะพานโค้ง ทว่านางเอง ก็ใจสู้ หลังจากดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้ว ไม่พูดไม่จาก็เดินขึ้นไปบนสะพานอีกครั้ง

ในเมื่อมีคนเป็นผู้นำอย่างแท้จริง ทุกคนก็ไม่เหลือความลังเลอีกต่อไป พากัน แผดเสียงร้องคำรามแล้วกรูกันข้ามสะพานไป

จานชิงเดือดดาลอย่างหนัก เคียดแค้นสตรีที่เป็นผู้นำพาตัวมาตายผู้นั้นอย่างถึงที่สุด

เขาไม่มีความลังเลใดๆ หันหน้าไปทำมุทรา แล้วเป่าปากเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นฟ้า

ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดที่เป็นผู้ถวายงานของตระกูลซึ่งอยู่บนยอดเขาวิ่งตะบึง ลงจากภูเขามา เขาทะยานตัวขึ้นสูงอยู่บนลานหยกขาว แล้วโฉบร่างร่วงกระแทกลงบนขั้นบันไดเดินขึ้นเขาหนักๆ

ตรงตีนเขามีคนตาดีเห็นภาพนี้เข้าก็เกิดอกสั่นขวัญผวา พลังอำนาจจึงลดทอนหายไปหลายส่วน

คิดไม่ถึงว่าเสียงแหบพร่าของสตรีจะดังขึ้นมาอีกครั้ง “สังหารสองคนตรงสะพานนี่ก่อน มีคนมาเพิ่มอีกคนหนึ่งแล้วจะอย่างไร?! หนึ่งคนเจอเข้าไปหนึ่งกระบวนท่า ก็ต้องกลายเป็นกองเนื้อเละๆ อยู่ดี!”

ทางฝั่งของตีนเขาจึงเริ่มเกิดศึกที่วุ่นวาย

ห่างไปไกล ป๋ายปี้ทะยานลมหยุดอยู่ตรงขอบอาณาเขตจุดหนึ่ง นอกเส้น อาณาเขตนั้นออกไปคือไอหมอกขาวโพลน ไม่ว่านางจะร่ายเวทอภินิหารอย่างไร ก็มองไม่เห็นทัศนียภาพด้านหลังเส้นนั้นอยู่ดี

นางค่อยๆ ลดตัวลงช้าๆ บังคับหินก้อนหนึ่งโยนเข้าไปในหมอกขาว ประหนึ่ง วัวดินปั้นที่หล่นลงมหาสมุทร หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นนางก็ฉีกผิวดินออกมาก้อนใหญ่ แล้วขว้างใส่ไอหมอกนั้น แต่ก็ยัง ไร้ความเคลื่อนไหวใดๆ

นี่ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้มากกว่าตราผนึกภูเขาแม่น้ำเสียอีก

สิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้มีชื่อเรียกว่าอะไรก็ยังไม่รู้

ในประวัติศาสตร์ของสำนักมังกรน้ำ มีบรรพจารย์ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งและ ผู้ฝึกตนใหญ่ก่อกำเนิดคนหนึ่งทยอยกันไปตายอยู่ในพื้นที่ลับ หลังจบเรื่องแม้แต่ ศพทางสำนักก็ยังหาไม่เจอ

ป๋ายปี้กลัดกลุ้มอยู่ในใจ ตนควรคิดหาทางถอยหนีได้แล้ว

ซากปรักจวนเซียนที่เดิมทีมองเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ต้องมีความเป็นมาไม่เล็ก อย่างแน่นอน

ลำน้ำจี้ตู๋ที่ตัดสลับตั้งแต่ภาคกลางไปจนถึงตะวันออกตะวันตกของอุตรกุรุทวีปสายนั้นคือที่ตั้งรากฐานของสำนักมังกรน้ำ ศาลบรรพจารย์ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญ ที่สุดนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในสามศาลยุคบรรพกาลของลำน้ำจี้ตู๋ ส่วนศาลอีกสองแห่งนั้น หนึ่งแห่งถูกราชวงศ์ต้าหยวนยึดครองไป ยกบูชาขึ้นเป็นศาลจี้ตู๋ดั้งเดิม ยังคงมี ควันธูปโชติช่วง ส่วนอีกแห่งหนึ่งถูกสำนักที่ล่มสลายไปแล้วยึดครองมานานหลายปี นำไปทำเป็นศาลบรรพจารย์เช่นกัน เพียงแต่ว่าท่ามกลางการเข่นฆ่าของสำนัก ผู้ฝึกกระบี่จึงถูกทำลายลงไปสิ้น

ภาพเหตุการณ์ของที่แห่งนี้คล้ายคลึงกับศาลบรรพจารย์ของตนอยู่หลายส่วน

และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้ป๋ายปี้มั่นใจพอจะให้จานชิงช่วงชิงสมบัติอาคมมาสี่ชิ้น

หากที่นี่เป็นซากปรักของศาลลำน้ำใหญ่บางสายในยุคบรรพกาลจริงๆ คุณความชอบในการเปิดประตูครั้งนี้ของนางกับจานชิงก็ถือว่าใหญ่อย่างมาก

แต่ไม่รู้ว่าทำไมป๋ายปี้ถึงได้เป็นกังวลเล็กน้อย กลัวว่าจะเกิดผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด

ไม่ใช่กลัวว่าจะออกไปไม่ได้หรือหาทางถอยไม่เจอ

เพราะหากนางกับจานชิงหายตัวไปนานเกิน ทางสำนักมังกรน้ำจะต้องไล่ตามเบาะแสมาหาตัวพวกนางแน่

สิ่งที่ทำให้ป๋ายปี้เป็นกังวลจริงๆ ก็คือ สถานที่แห่งนี้จะกลายเป็นหลุมศพแห่งใหม่ที่ฝังกลบร่างของทุกคนเอาไว้

ลองจินตนาการดู หากโครงกระดูกที่มองดูเหมือนถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเหล่านั้นเป็นโครงกระดูกของคนยุคใหม่ หาใช่คนเก่าแก่ของจวนเซียนแต่เดิมเล่า?

นี่ก็หมายความว่าแท้จริงแล้วสถานที่แห่งนี้คือหลุมพรางขนาดใหญ่ยักษ์ที่รอให้ทุกคนพาตัวเข้ามาตาย ด้วยคิดว่ามันเป็นโชควาสนาที่หล่นลงมาจากฟ้า ใครที่ได้ พบเห็นล้วนมีส่วนแบ่ง

แน่นอนว่านี่เป็นแค่หมื่นหนึ่งเท่านั้น

ทว่าป๋ายปี้รู้สึกเป็นกังวล เพราะดูเหมือนว่าเมื่อแม่น้ำแห่งกาลเวลาไหลผ่านไป หมื่นหนึ่งนี้จะกลายเป็นพันหนึ่ง ร้อยหนึ่ง

ชั่วขณะนั้นสภาพจิตใจของป๋ายปี้วุ่นวายอย่างหนัก นางไม่กล้าหยุดอยู่ที่ริมขอบของฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้อีกต่อไป จึงทะยานลมกลับมาที่ขุนเขาเขียวอย่างรวดเร็ว ไปหาจานชิง จะได้ปรึกษาหารือกับเขาจนได้แผนการที่รอบคอบรัดกุม

หลังจากที่ร่างของป๋ายปี้หายไป

ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ที่เรือนกายพร่าเลือนคนหนึ่งก็เดินออกมาจากหมอกขาวโพลน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้ฝึกตนโอสถทองสามคน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองสองคน อืม แล้วก็ยังมีเจ้าเด็กน้อยคนหนึ่งที่ค่อนข้างจะประหลาด มากพอให้กินอิ่มไป หนึ่งมื้อแล้ว”

ปราณกระบี่กลุ่มหนึ่งพุ่งวูบลงมาจากท้องฟ้าแล้วลอดทะลุกลางกระหม่อมของ ผู้เฒ่าไปโดยตรง เรือนกายที่พร่าเลือนของผู้เฒ่าไปรวมตัวกันเผยกายขึ้นมาใหม่ใน จุดอื่น ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าตัวดี พวกเราเป็นเพื่อนบ้านกันมากี่ปีแล้ว? ยังมีนิสัยชั่วร้าย แบบนี้อยู่อีก ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลงบ้างหรือไร? มีตราผนึกหนาชั้นที่สมควรตายนั่นอยู่ ทำให้ข้าไม่อาจหล่อหลอมภูเขาสายน้ำของที่แห่งนี้ได้ ทว่ารากภูเขาใหญ่หลายชั้น ข้างนอกนั่นได้โอบล้อมฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้เอาไว้ เจ้าตัวน้อยอย่างเจ้าเล่นงานข้า มานานหลายปีขนาดนี้ ก็ยังได้แค่ปกป้องไม่ให้สถานที่แห่งนี้สาบสูญไปเท่านั้น ยังจะทำอะไรข้าได้อีก?”

ศีรษะของผู้เฒ่าถูกปราณกระบี่เล็กบางเสี้ยวนั้นแทงทะลุอีกครั้ง และเขาก็ยัง ไปปรากฏตัวใหม่อยู่จุดอื่นอีกรอบ พูดด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติว่า “ตามกฎเดิม ทุกครั้งจะเหลือคนสุดท้ายเอาไว้ ยอมให้เขาตายช้าหน่อย จะได้มีเวลาเล่าเรื่องสถานการณ์ภายนอกช่วงที่ผ่านมาให้ข้าฟัง

ถึงเวลานั้นเขาก็จะรู้เองว่าหลุมพรางนี้มหัศจรรย์เพียงใด สมบัติพวกนั้น พวกเจ้าจะเอาไปไหนได้? อาหารในจาน กับข้าวในท้อง มีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเป็นที่ฝังศพ ก็ถือว่าเด็กๆ กลุ่มนี้มีโชคที่ไม่เลวแล้ว น่าเสียดายก็แต่อารามเต๋าแห่งนั้น เจ้าเด็กสะพายกระบี่นั่นสายตาไม่เลวเลยจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่มีทางให้เจ้าเอาพวกมันออกไปได้แน่ หลังจบเรื่องยังลำบากให้ข้าต้องเอากลับมาประกอบใหม่อีก นี่มันรอบที่เท่าไรแล้ว? ประกอบหนึ่งครั้ง ย้ายบ้านหนึ่งครั้ง ชวนให้คนเหนื่อยตายจริงๆ”

ผู้เฒ่าถูกปราณกระบี่ที่ตอแยไม่เลิกราตวัดฟันเรือนกายจนเละเทะอีกครั้ง หลังจากรวมร่างได้ใหม่ก็เดินถอยหลัง ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ผลุบหายเข้าไปในเมฆหมอก มือของเขาตบเข้าที่หน้าท้องเบาๆ พลางพูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ฮ่าๆ ใต้หล้าไพศาลนี่ช่างดีจริงๆ ฟ้าดินในท้องข้านี่ก็ดีจริงๆ มีใต้หล้าแห่งใดบ้างที่คนไม่ฆ่าแกงกันเองมากที่สุด? น่าเบื่อเหลือเกิน”

เมื่อไม่เหลือร่องรอยของผู้เฒ่าแล้ว ปราณกระบี่เสี้ยวนั้นก็ยังคงตระเวนวนหา อยู่ในบริเวณใกล้เคียงอีกนาน สุดท้ายถึงได้ทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ กลับคืนไปยัง กลางอากาศสูงอีกครั้ง

เฉินผิงอันหันหน้าขวับ ทอดสายตามองไปไกล คาดว่าเขาคงจะเป็นเพียงคนเดียวที่สัมผัสได้ถึงการพุ่งลงมาและการบินทะยานขึ้นสูงของปราณกระบี่เสี้ยวนั้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version