บทที่ 56 พยักหน้า
ระหว่างเดินอยู่บนเส้นทางของเนินร้างที่จิ้งจอกและกระต่ายใช้เป็นเส้นทางเข้าออก ชายแบกกระบี่พลันหยุดฝีเท้าอยู่เบื้องหน้าป้ายหลุมศพหลุมหนึ่ง แล้วเดินมาอยู่ด้านข้างป้ายหลุมศพหน้าเนินเล็กที่ไม่สะดุดตา ย่อตัวลงดึงหญ้าและเถาวัลย์ที่รัดพันอยู่บนป้ายหินออก เผยให้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน ตัวอักษรบนป้ายเลือนรางมากแล้ว มองออกไม่ถึงครึ่ง ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “วิถีเทพพังทลาย พิธีกรรมและดนตรีรุ่งโรจน์ การช่วงชิงของร้อยสำนักกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว”
หลังจากลุกขึ้นยืน ชายผู้นี้ก็หันไปมองลูกศิษย์ที่ยังไม่ได้ขึ้นเขาเจินอู่ไปทำพิธีกราบไหว้อาจารย์อย่างเป็นทางการ ซึ่ง มุมปาก หูและจมูกของเด็กหนุ่มต่างก็มีเลือดไหลไม่หยุด ทำให้ใบหน้าดำเกรียมนั้นดูดุร้ายน่ากลัวผิดปกติ เด็กหนุ่มยกมือเช็ดเลือดออกลวกๆ สายตายังคงหันไปจับจ้องทิศทางที่เพิ่งเดินจากมาก
ชายวัยกลางคนจึงกล่าวว่า “หม่าขู่เสวียน ตามเหตุผลที่เจ้าบอกมาก่อนหน้านี้ เป็นเพราะเจ้ารู้ว่าเด็กสาวต่างถิ่นคนนั้นใช้เวทกระบี่บินร่วมมือกับองค์ชายและขันทีของต้าสุยสังหารอาจารย์คนแรกในชีวิตของเจ้ากลางตรอก ปมในใจเจ้ายากจะคลาย ก่อนไปจากเมืองจึงต้องแก้แค้นให้ได้เสียก่อน ข้าคิดว่าเหตุผลนี้ฟังขึ้นจึงไม่ได้ขัดขวางเจ้า ปล่อยให้เจ้ารับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง เพราะอย่างไรซะหากคนที่ฝึกตนได้พบกับศัตรูแห่งมหามรรคาประเภทนี้ แม้จะอันตราย แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นโอกาสเช่นกัน”
ด้วยไม่คิดจะลำเอียงเพราะพรสวรรค์ล้ำเลิศของลูกศิษย์ที่อยู่ตรงหน้า บุรุษผู้นี้จึงเพิ่มระดับน้ำเสียงเอ่ยเสียงหนัก “แต่เจ้าหมายหัวคนรุ่นเดียวกันของตรอกหนีผิงเพราะอะไร? ก่อนหน้านี้ข้าพูดกับเจ้าไปแล้วว่าผู้ฝึกตนสำนักการทหารเขาเจินอู่ของพวกเรา โดยเฉพาะคนที่ฝึกวิถีกระบี่ ห้ามสังหารผู้บริสุทธิ์พร่ำเพื่อเด็ดขาด!”
เด็กหนุ่มตอบไม่ตรงคำถาม “ผู้ฝึกตนสำนักการทหารไม่สนใจเรื่องเวรกรรมตามสนองและโชคชะตาฟ้าลิขิตมากที่สุดใช่หรือไม่?”
ชายวัยกลางคนพยักหน้ารับ “จากตำราประวัติศาสตร์พันปี ผู้ที่สามารถใช้กำลังของตัวเองคนเดียวมาเหนี่ยวรั้งแก้ไขสถานการณ์อันตรายได้นั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเซิ่งเหรินของสำนักการทหารพวกเรา หาใช่ข้าเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารถึงจะจงใจแซ่ซ้องสรรเสริญปรัชญาเมธีที่ล่วงลับ”
ชายวัยกลางคนจ้องหน้าเด็กหนุ่ม ไม่มีท่าทีว่าจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ
หากหม่าขู่เสวียนกระหายการเข่นฆ่า ใช้กำลังรังแกคนอื่นจนติดเป็นนิสัย ถ้าอย่างนั้นข้าจะรับลูกศิษย์ประเภทนี้ให้เขาเจินอู่มาเพื่ออะไร?
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารอยู่ในราชสำนักของโลกมนุษย์ได้เพราะอาศัยการฆ่าฟันในสมรภูมิรบมาเพิ่มระดับขอบเขต เดิมทีก็อยู่ใกล้กับเส้นแห่งความเป็นความตายมากที่สุดอยู่แล้ว หากไม่อาจรักษาเจตนารมณ์เดิมไว้ได้ก็ง่ายมากที่จะร่วงลงสู่วิถีมาร ลองจินตนาการดูว่า ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ คิดจะฆ่าล้างเมืองดับทำลายแว่นแคว้นจะง่ายสักเพียงไหน?
สำนักการทหารและสำนักขงจื๊อคือสองเสาหลักใหญ่ที่ค้ำประคองความสงบสุขของโลกแห่งราชวงศ์ใต้ภูเขา หากผู้ฝึกตนสำนักการทหารคนหนึ่งที่ได้รับการเคารพจากผู้คนยังยืนไม่ตรง ถ้าเช่นนั้นยิ่งขอบเขตและตบะของคนผู้นี้สูงมากเท่าไหร่ ตำแหน่งในราชสำนักก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น แน่นอนว่าย่อมสร้างความขัดแย้งให้กับราชวงศ์บนโลกมนุษย์ได้มากตามไปด้วย บทเรียนในอดีตในประวัติศาสตร์ยังคงแจ่มชัดเหมือนปรากฎตรงหน้า ได้ใจปวงประชายากเย็น สูญเสียใจราษฎรแสนง่าย แม้ว่าประโยคนี้จะเป็นคำพูดของเซิ่งเหรินสำนักขงจื๊อ แต่ขุนพลสำนักการทหารที่ไม่ขาดแคลนความรู้กลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง
บางทีเด็กหนุ่มอาจสัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดของบรรยากาศ แต่เขากลับไม่รีบร้อนที่จะอธิบาย เพียงใช้ฝ่ามือปิดลงบนใบหูเบาๆ พอสัมผัสโดนแผลก็ถึงกับแยกเขี้ยว สูดลมเย็นๆ เขาปอดเฮือกหนึ่ง พออาการบรรเทาลงแล้วถึงเอามือออก มองคราบเลือดกลางฝ่ามือพลางพูดว่า “ไอ้หมอนั่นชื่อเฉินผิงอัน พ่อของเขาตายไปตั้งแต่ตอนที่เขายังเด็กมาก ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ชายผู้นั้นคือช่างเผาเครื่องปั้นที่มีชื่อเสียงของเมือง ฝีมือเขาดีมาก แล้วก็เป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่ตอนหลังกลับตายกะทันหัน ศพก็หาไม่พบ แม้ว่าท่านย่าข้าจะไม่เคยยอมรับ แต่ข้าจำได้ชัดเจนว่าในคืนพายุฝนกระหน่ำที่ฟ้าร้องฟ้าแลบนั้น ข้าสะดุ้งตื่นเพราะเสียงฟ้าผ่า จากนั้นก็พบว่าย่าข้าไม่ได้อยู่ข้างกาย เพิ่งจะลุกไปแง้มประตูก็มองเห็นลอดช่องว่างของประตูว่าพ่อข้าวิ่งกลับมาด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ สีหน้าของเขาทั้งยินดีและทั้งหวาดกลัว ประหลาดอย่างมาก แม่ของข้าตบหลังพ่อข้าอย่างแรง ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง ดูดีใจสุดขีด”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว พยายามจะย้อนทวนถึงความทรงจำที่เลือนรางในเวลานั้นให้ได้มากที่สุด “มีเพียงย่าของข้าที่ไม่ได้พูดอะไร เหมือนจะอารมณ์ไม่ดี ซ้ำยังระเบิดโทสะใส่พ่อของข้า ‘เจ้าคิดว่าพ่อของเด็กนั่นตายไปแล้ว เจ้าก็จะมีโอกาสรับนางเป็นเมียงั้นหรือ? ไม่รู้จักส่องน้ำเยี่ยวดูสันดานตัวเองบ้าง! ตระกูลเฉินตรอกหนีผิงล้วนเป็นเหมือนต้นหญ้าโดดเดี่ยวมาหลายรุ่นแล้ว เจ้าไม่กลัวว่าทำร้ายคนหนึ่ง สุดท้ายจะทำร้ายทั้งสามคนของครอบครัวนั้นให้ตายกันหมด? ถึงเวลานั้นพอคนตระกูลเฉินสายนี้ไร้ทายาทสืบทอด เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกกรรมตามสนองจากบรรพบุรุษของพวกเขาหรือไง? ต่อให้ไม่กังวลเรื่องพวกนี้ เอาแค่นิสัยของผู้หญิงคนนั้น เจ้าไม่รู้เลยจริงๆ หรือ นางจะยินดีหันมาแต่งให้เจ้าหรือไง?’ ตอนนั้นพ่อข้ายังยิ้มแย้มไม่รู้สึกรู้สา คงเป็นเพราะรู้สึกว่าไหนๆ ก็ทำไปแล้ว อีกไม่นานก็จะได้ค่าตอบแทน อยู่ต่อหน้าคนในครอบครัวตัวเองไม่จำเป็นต้องแสร้งรู้สึกผิดหรือละอายใจ สุดท้ายย่าเลยชี้หน้าด่าแม่ข้า แม่ข้าก็ไม่ใช่คนนิสัยอ่อนโยนอะไร แม่ผัวลูกสะใภ้เลยเกือบจะตีกันขึ้นมาจริงๆ พ่อข้าเป็นพวกได้ใหม่ลืมเก่า เพื่อนบ้านในเมืองล้วนไม่เคยชอบเขา แน่นอนว่าตอนนั้นเขาต้องช่วยเมีย ไม่ช่วยแม่แก่ๆ สุดท้ายย่าข้าเลยนั่งลงไปบนพื้น ทุบอกตัวเองแรงๆ ร้องไห้พลางฟ้องกรอบป้ายหน้าประตูไปด้วยว่า ตระกูลหม่ารับผู้หญิงตัวซวยคนนี้เข้ามาในบ้าน พวกเจ้าคงนอนตายตาไม่หลับแน่”
ชายวัยกลางคนคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มจึงถามว่า “เจ้าคิดจะรวบรวมผลกรรมดีชั่วที่เลื่อนลอย เอาความเลวที่คนรุ่นก่อนทำไว้มาให้ตัวเองทั้งหมด เพราะหวังว่าย่าและพ่อแม่เจ้าจะมีจุดจบที่ดีได้?”
หม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง “ข้าไม่ได้มีความรู้สึกอะไรกับพ่อแม่ มีแค่ท่านย่าที่ยังอดห่วงไม่ได้ ซ้ำนางยังไม่ยอมไปอยู่เขาเจินอู่กับข้า นางบอกว่าชีวิตนี้ของนางต้องฝั่งร่างไว้ข้างหลุมท่านปู่ หากไปอยู่เขาเจินอู่ที่ไม่รู้ว่าไกลห่างไปกี่หมื่นลี้ ข้อแรกต้องรบกวนให้หลานอย่างข้าขนโกศกลับบ้าน ข้อสองนางยังเคยได้ยินมาว่าเมื่อคนตายไปแล้ว เส้นทางสายเล็กที่ต้องเดินไปก่อนจะหลงหลุมเต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม นางบอกว่าตอนมีชีวิตอยู่ก็ยากลำบากมากพออยู่แล้ว ไม่อยากให้ตายไปแล้วยังต้องลำบากอีก”
ชายวัยกลางคนกล่าว “เหตุผลพอฟังได้ แต่ยังไม่มีน้ำหนักมากพอ แค่ครั้งนี้เท่านั้น ห้ามมีครั้งต่อไป”
หม่าขู่เสวียนเบ้ปาก สีหน้าเย็นชา ไม่ส่ายหน้าไม่ตอบโต้ แต่ก็ไม่พยักหน้าไม่ตอบรับ
บุรุษคลี่ยิ้ม กล่าวเหมือนสาดเกลือลงบนแผลสดของเด็กหนุ่ม “ความรู้สึกยามที่โดนคนรุ่นเดียวกันเตะอัดบนพื้นเป็นอย่างไรล่ะ?”
หม่าขู่เสวียนเกรี้ยวกราด “หากไม่เป็นเพราะผู้หญิงบ้านั่นแอบให้มีดเล่มหนึ่งกับเขา มีหรือที่ข้าจะแพ้ให้เฉินผิงอัน?! ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าออกแรงแค่เจ็ดส่วนเท่านั้น! หากไม่เป็นเพราะรู้สึกว่าต้องเล่นแมวจับหนูสักหน่อย…”
ชายวัยกลางคนเย้ยหยันเบาๆ “เล่นแมวจับหนู? พอเถอะน่า ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะคิดว่านอกจากจะใช้กำลังเจ็ดส่วนมาเล่นงานเฉินผิงอันให้ตายแล้ว ขณะเดียวกันยังทำให้เด็กสาวคนนั้นประมาท ยิงธนูลูกเดียวได้นกสองตัวหรอกหรือ วาดฝันไว้สวยงามไม่น้อย”
เด็กหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อยๆ แต่ยังตะเบ็งเสียงกล่าวเดือดดาล “ท่านเป็นอาจารย์ของใครกันแน่?!”
ชายวัยกลางคนหัวเราะร่า
คนทั้งสองเดินไปบนเส้นทางกลับเมืองอีกครั้ง เด็กหนุ่มถามว่า “เมื่อเทียบกับเขาตะวันเที่ยงแล้ว เขาเจินอู่สูงกว่าหรือต่ำกว่า?”
ชายผู้นั้นตอบยิ้มๆ “ต้องการคำตอบจริงหรือเท็จล่ะ?”
เด็กชายกลอกตา “ถ้าเท็จล่ะ?”
ชายวัยกลางคนตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็สูงพอๆ กัน”
เด็กหนุ่มทอดถอนใจ รู้สึกว่าตัวเองเลือกคนไม่เก่งเลยจริงๆ คนสองคนที่มองเป็นอาจารย์ คนหนึ่งอยู่ดีๆ กลับนอนตายอยู่ในตรอกฉีหลงของเมือง อีกคนความสามารถไม่มาก แต่เคร่งครัดกฎระเบียบยิ่งนัก
ชายวัยกลางคนยิ้ม “ดูภายนอกแม้เขาตะวันเที่ยงจะเป็นสถานที่ตั้งแห่งรากฐานของวิถีกระบี่ แต่สำหรับในใจของผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีปบูรพาแล้ว ตำแหน่งของพวกเขาอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบศัตรูคู่อาฆาตอย่างสวนลมฟ้าได้ติด ดังนั้นเขาตะวันเที่ยงจึงไม่ถูกมองเป็นกองกำลังสำนักอันดับหนึ่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ที่เป็นเท็จภายนอกเท่านั้น แท้จริงแล้วรากฐานของเขาตะวันเที่ยงลึกล้ำอย่างมาก เพียงแต่ว่าหลังจากความแค้นในปีนั้นเกิดขึ้น พรสวรรค์การฝึกวิถีกระบี่ของคนผู้หนึ่งในสวนลมฟ้าก็เหนือล้ำกว่าคนรุ่นเดียวกัน ความสามารถที่น่าครั่นคร้ามเกินไปของเขาทำให้เขาตะวันเที่ยงจำต้องข่มกลั้นความอัปยศไว้นานหลายร้อยปี…”
หม่าขู่เสวียนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่ว่าท่านจะยกยอเขาตะวันเที่ยงแค่ไหน ก็เปลี่ยนแปลงเรื่องจริงที่เขาเจินอู่สู่เขาตะวันเที่ยงไม่ได้”
บุรุษคลี่ยิ้ม “หม่าขู่เสวียนเจ้าคิดผิดแล้ว ความแตกต่างระหว่างเขาตะวันเที่ยงกับเขาเจินอู่ของพวกเราน่าจะถือได้ว่ามีเขาตะวันเที่ยงอีกลูกหนึ่งกั้นกลางกระมัง”
เด็กหนุ่มตะลึง หลังจากพิจารณาความหมายในคำพูดของอีกฝ่ายแล้วก็คลี่ยิ้ม “แบบนี้สิถึงจะพอได้!”
ชายวัยกลางคนเอ่ยเตือน “สำนักส่วนสำนัก ตัวเองส่วนตัวเอง”
เด็กหนุ่มตัวเล็กเตี้ยแย้มยิ้ม “ท่านเองก็คิดผิดแล้ว! ความหมายของข้าก็คือ ในเมื่อเขาเจินอู่สูงขนาดนี้ ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อข้าฝึกวรยุทธ์ได้สำเร็จ คิดจะหาคนมาประลองฝีมือด้วยก็ทั้งประหยัดเวลาและประหยัดแรง ไม่ถึงขั้นที่ว่าข้างกายมีแค่พวกหมอนปักดิ้น (เปรียบเปรยถึงพวกที่มีดีแค่เปลือกนอก) กับพวกถุงสุราห่อข้าว (เสียดสีคนที่ไร้ความสามารถ ว่าทำได้เพียงกินดื่ม ไม่มีปัญญาทำอะไรได้) เท่านั้น!”
บุรุษวัยกลางคนเพียงยิ้มรับ “คำพูดองอาจห้าวหาญประเภทนี้ หากเปลี่ยนให้เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงเป็นคนพูด จะยิ่งมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากกว่าหรือเปล่า?”
เด็กหนุ่มหงุดหงิด “มีอาจารย์ที่ไหนเป็นแบบท่านบ้าง? วันหน้าระวังถูกคนอื่นฆ่าตายแล้วข้าจะไม่ช่วยแก้แค้นแทนให้!”
ชายผู้นั้นเอื้อมมือไปด้านหลัง ตบฝักกระบี่เบาๆ พลางยิ้มอ่อนจาง “นอกจากดาบเล่มนี้แล้ว อาจารย์ก็มีเพียงตัวคนเดียว เมื่อร่างตายมรรคาก็สูญสิ้น เจ้าแก้แค้นจะมีประโยชน์อะไร?”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสงสัย “ก็ยังมีสำนักอย่างเขาเจินอู่อยู่ไม่ใช่หรือ?”
ชายวัยกลางคนพูดเล่นท่า “เขาเจินอู่ไม่เหมือนกับสำนักอื่นๆ ในแจกันสมบัติทวีปบูรพา เดี๋ยวพอเจ้าขึ้นเขาไปก็จะรู้เองแหละ”
ตราพยัคฆ์ตรงเอวของชายวัยกลางคนดีดตัวขึ้นมาเบาๆ เขาต้องกดมันไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะรีบกล่าวเสียงหนัก “เจ้าและข้าต้องรีบกลับไปที่เมืองเดี๋ยวนี้! ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของพวกเราแสวงหาความมงคล หลีกเลี่ยงหายนะ การล่วงรู้อนาคตแทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัญชาตญาณของพวกเรา”
เด็กหนุ่มเหลือกตามองสูง “ต่อให้ท้องฟ้าในเมืองถูกพลิกคว่ำ คนต่างถิ่นกับชาวบ้านในเมืองเข่นฆ่ากันจนเลือดนองเป็นสายน้ำ แล้วเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย พวกเราตกลงกันไว้แล้วนี่ว่าข้ารับปากจะไม่เอาชีวิตคนต่ำต้อย แต่ก็ไม่มีทางทำตัวเป็นจอมยุทธ์ผู้ผดุงคุณธรรม ช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากแน่นอน”
สีหน้าของชายวัยกลางคนเคร่งเครียด คว้าไหล่เด็กหนุ่มพลางออกคำสั่ง “ไม่ต้องพูด กลั้นลมหายใจด้วย!”
ร่างของคนทั้งสองพุ่งวูบออกไป นาทีถัดมาก็มาปรากฏห่างออกไปสิบกว่าจั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมาราวกับคลื่นน้ำที่กระเพื่อมเป็นริ้วๆ ติดต่อกันยามที่หม่าขู่เสวียนขว้างหินไปบนผิวน้ำ
นอกจากบาดแผลตรงแผ่นหลังที่ถูกก้อนหินของหม่าขู่เสวียนขว้างถากมาโดนแล้ว อันที่จริงบาดแผลภายนอกของเฉินผิงอันก็ไม่ถือว่ามากนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเฉินผิงอันจะสบายดี ที่เป็นปัญหาที่สุดก็คือฝ่ามือข้างซ้าย การลงน้ำไปคลำหินจับปลาทำให้การประสานตัวของบาดแผลช้าลง คราวนี้ยังมาต่อสู้กับหม่าขู่เสวียน หมัดปะทะหมัดก็ยิ่งเป็นการเพิ่มน้ำแข็งลงบนหิมะ เป็นเหตุให้ตอนที่ฉีกผ้าพันแผลชิ้นเก่าออก แม้แต่เฉินผิงอันผู้อดทนก็ยังจำต้องคลายถุงตรงเอว หยิบขวดกระเบื้องใบหนึ่งออกมา ดื่มยาน้ำเข้มข้นข้างในนั้นลงไป นั่นคือตำรับยาที่ร้านตระกูลยาเคยเขียนให้ในปีนั้น ประโยชน์ด้านอื่นไม่มี แต่ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้
หนิงเหยารับมีดทับกระโปรงลักษณะเรียบง่ายเก่าแก่เล่มนั้นกลับคืนมาแล้วกรีดชายแขนเสื้อของเสื้อตัวในตัวเองออกมาชิ้นใหญ่ จากนั้นก็ฉีกให้เป็นเส้น พอช่วยพันแผลให้เฉินผิงอันที่เหงื่อแตกเต็มหน้าเสร็จจึงถามว่า “ตำรับพื้นบ้านของตระกูลหยางมีประโยชน์จริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันสลัดมือซ้ายเบาๆ ฝืนเค้นรอยยิ้ม “มีประโยชน์มาก เมื่อครู่นี้เจ็บมากเลยล่ะ เมื่อก่อนข้าเคยเจ็บแบบนี้มาสองครั้ง”
หนิงเหยาผรุสวาท “แผลตรงฝ่ามือลึกจนเห็นกระดูกแล้ว จะยังไม่เจ็บได้หรือ? เจ้านึกว่าตัวเองฝึกร่างอรหันต์ทองคำของจินกังมิพ่าย หรือเป็นเจินจวินลัทธิเต๋าที่มีร่างวิสุทธิ์หรือไง? ใครใช้ให้เจ้าอวดเก่ง! ไปงัดข้อเอาเป็นเอาตายกับเจ้าหม่าขู่เสวียนนั่น เขาบอกว่าสู้กันตัวต่อตัวไม่ใช่หรือ ได้สิ เขาตัวต่อตัวกับพวกเราสองคน มีปัญหาตรงไหน ขนาดข้าหนิงเหยาผู้ยิ่งใหญ่ยังไม่รู้สึกขายหน้า เจ้ากลับเสพติดการอวดเก่งเป็นวีรบุรุษไปซะอย่างนั้น อีกเดี๋ยวเจ้าก็ตัวต่อตัวกับวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงไปแล้วกัน ข้าจะคอยปรับมือร้องให้กำลังใจอยู่ข้างๆ ดีไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันคิดจะอธิบายให้นางฟังถึงความคิดและเหตุผลของตัวเอง
ทว่าเด็กสาวกลับถลึงตาใส่ เด็กหนุ่มจึงรีบพยักหน้ารับ “แม่นางหนิงพูดถูกต้อง”
หนิงเหยาค้อนตาขวาง “ปากยอมแพ้แต่ใจไม่ยอมแพ้ นึกว่าข้าไม่รู้หรือไง?”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ สายตาแอบเหลือบมองมีดทับกระโปรงเล่มที่อยู่ในมือนางตลอดเวลา มองทีแรกเล็กกะทันรัดน่ารัก แต่พอมองอย่างละเอียดกลับแหลมคมเยียบเย็น
เด็กหนุ่มรู้สึกว่ามีดทับกระโปรงเล่มนี้แตกต่างกับเจ้านายของมันพอดี
หนิงเหยาบอกให้เฉินผิงอันยกมือขวาขึ้น แล้วนางก็วางมีดทับกระโปรงลงไปบนฝักมีดที่รัดอยู่บนแขนของเขาเบาๆ พลางเอ่ยเตือน “ห้ามได้คืบจะเอาศอก ห้ามมีความคิดเลยเถิดกับมีดเล่มนี้!”
เฉินผิงอันระอาใจยิ่งนัก “แม่นางหนิง เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว”
หนิงเหยาพลันยื่นมือชี้ไปที่เทวรูปหลิงกวานที่แขนขาดองค์นั้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าแท่นหินสีดำเหมือนหมึกนั่นทำมาจากหินอะไร?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “รู้สิ แม่นางหนิงเจ้าถามถูกคนแล้ว ขอแค่พวกเราเดินเลียบธารน้ำสายเล็กไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าไปในภูเขา ระยะทางไกลมาก ข้าคิดว่าอย่างน้อยก็ต้องเดินเกินครึ่งวันถึงจะได้ได้เห็นหน้าผาหินสีดำนั้น ที่นั่นมีแต่หินประเภทนี้ทั้งหมด เป็นหินที่แข็งมาก ใช้ค้อนหุบก็ยังทุบไม่แตกสักก้อน ยิ่งอย่าหวังว่าจะใช้มีดผ่าฟืน ตรงหน้าผายังมีร่องที่ยุบลงไปเป็นแนวยาวอยู่อีกหลายเส้น ข้างในค่อนข้างชัน แล้วก็ไม่ราบเรียบ ทุกครั้งที่ผู้เฒ่าเหยาผ่านไปตรงนั้นจะต้องให้หยิบเอามีดผ่าฟืนออกมาลับ อย่าว่าไปเชียว พอลับแล้ว มีดผ่าฟืนจะคมกริบส่องประกายแวววาวไม่เหมือนเดิมเลยล่ะ”
หนิงเหยาคลึงขมับ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “มีดที่ใช้ผ่าฟืนฟันต้นไม้…”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย “มีค่าหรือ?!”
หนิงเหยาตอบเสียงสะบัด “ต่อให้มีค่าแค่ไหน หินที่ติดพรืดเป็นหน้าผาทั้งแผ่นแบบนี้ เจ้าเอาออกมาได้สักก้อนไหม? ข้าจะบอกเจ้าให้นะ เทพเซียนทั่วไปยังทำไม่ได้เลย! เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีพลังการทำลายล้างสูง บวกกับต้องยินยอมสละอาวุธเทพชิ้นหนึ่งถึงจะสามารถผ่าเอาหินเส้นยาวสามฉื่อมาได้ประมาณสองก้อน ซึ่งหินนั่จะถูกผู้ฝึกกระบี่เรียกเป็นนามเฉพาะว่า” แท่นสังหารมังกร “แน่นอนว่าทุกก้อนย่อมมีค่าควรเมือง”
เฉินผิงอันตกอยู่ในภวังค์ของการครุ่นคิด
จู่ๆ ดวงตาหนิงเหยาก็เป็นประกายเช่นกัน “ใต้ฝ่าเท้าของเทวรูปหลิงกวานก็มีหินลับกระบี่สำเร็จรูปอยู่ไม่ใช่หรือ? ใหญ่ขนาดนี้เอามาผ่าแบ่งเป็นแท่นสังหารมังกรได้สองก้อนพอดี”
เฉินผิงอันรีบพูดโน้มน้าวรวดเร็วราวถูกไฟลนก้น “แม่นางหนิง พวกเราไม่อาจรื้อเอามันกลับไปบ้านได้! ท่านเทพหลิงกวานทนทุกข์มากพออยู่แล้ว หากพวกเรายังจะแย่งที่วางเท้าของท่านไปอีก…”
หนิงเหยาลุกพรวดขึ้นยืน แค่นเสียงเย็น “แย่ง?! ข้าเป็นคนแบบนั้นหรือไง?”
จากนั้นเฉินผิงอันก็เดินตามเด็กสาวไปที่เทวรูปหลิงกวานของลัทธิเต๋า ยืนอยู่ด้านหน้าเทวรูปหลากสี หนิงเหยาเตะเท้าออกไปหนึ่งครั้ง มือสองข้างกดลงบนฝักกระบี่และฝักดาบ แหงนหน้าตะโกนด้วยท่วงท่าองอาจ “ข้าชื่อหนิงเหยา! วันนี้ขอแค่ท่านมอบหินตั้งเท้าสามฉื่อก้อนนี้ให้ข้า วันหน้าเมื่อข้าหนิงเหยากลายเป็นเซียนกระบี่จะต้องตอบแทนคืนให้ท่านเป็นร้อยเป็นพันเท่า!”
เฉินผิงอันอ้าปากหวอ ในใจคิดว่า แบบนี้ก็ได้หรือ?
แล้วก็เป็นดังคาด รูปปั้นดินขององค์เทพไม่มีความเคลื่อนไหวใด
เด็กสาวไม่ยอมเลิกราง่ายๆ ยังคงพูดต่อว่า “ไม่ยอมให้ใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นข้าหนิงเหยาขอยืมคงได้กระมัง? มียืมมีคืนอะไรทำนองนั้นน่ะ”
หนิงเหยาไม่ลืมหันไปขยิบตาให้เฉินผิงอัน “ข้ายืม ไม่ได้แย่ง เข้าใจไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหัวแรงๆ ตอบกลับไปตามตรง “ไม่เข้าใจ!”
หนิงเหยากำลังจะตั้งใจอธิบายให้เฉินผิงอันคนซื่อบื้อฟังถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงระหว่าง “แย่ง” กับ “ยืม” จู่ๆ เฉินผิงอันกลับตะโกนขึ้นว่า “ระวัง!”
ขณะเดียวกันกับที่พูด เฉินผิงอันก็ขยับตัวลากหนิงเหยามาไว้ด้านหลังตัวเอง
ที่แท้เมื่อผ่านลมโชยตากแดดมายาวนานหลายร้อยหลายพันปี เทวรูปหลิงกวานองค์นั้นก็ถึงเวลาล้มครืนลงมาเอาวันนี้ รูปปั้นดินเหนียวเอนมาด้านหน้าแล้วกระแทกพื้นแตกอย่างสิ้นซาก ไม่ได้อยู่ในสภาพแขนหัก ขาหักอีกต่อไป เพราะคราวนี้แม้แต่ศีรษะที่มีเครายาวสมจริงนั้นก็ยังแตกละเอียดทั้งหมด
เกิดจากดินก็กลับสู่ดิน
ราวกับว่าสิ่งที่ประสบพบเจอมาบนโลกมนุษย์ครานี้ ได้เดินมาถึงปลายทางอย่างแท้จริงแล้ว
อีกทั้งความประหลาดของเหตุการณ์ในครั้งนี้อยู่ที่ระดับความสูงของเทวรูปกวานหลิง ระยะห่างเพียงเล็กน้อยระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวกับแท่นหินเทวรูป ฝ่ายแรกยังเลยมาไกลไม่น้อย ตามหลักแล้วต่อให้เฉินผิงอันและหนิงเหยาจะไม่ถูกรูปปั้นล้มทับลงมา แต่อย่างน้อยก็ต้องถูกเศษหินกระแทกให้เจ็บไม่น้อย ทว่ามาถึงท้ายที่สุด รูปปั้นดินเหนียวขององค์เทพกลับเหมือนสลายกลายเป็นฝุ่นผง จุดที่กระเด็นมาไกลที่สุดก็แค่ข้างเท้าของพวกเขาสองคนเท่านั้น
หนิงเหยาที่มีความรู้กว้างขวางกลืนน้ำลายดังเอื้อก ร้อนตัวเล็กน้อย ก้มหน้ามองเศษฝุ่นที่ปลิวกระจาย พึมพำว่า “ท่านก็ขี้เหนียวไปหน่อยกระมัง ไม่ให้ยืมก็ไม่ให้ยืมสิ นี่ยังจะต้องให้ข้าร่างแหลกตายตกไปตามกันด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันกลับส่ายหน้าไม่เห็นด้วย “นี่เรียกว่าพระโพธิสัตว์พยักหน้า ท่านตอบรับเจ้าแล้ว”
หนิงเหยายืนเคียงไหล่อยู่กับเด็กหนุ่ม มองเศษดินที่แตกกระจาย ก่อนจะหันไปมองแท่นสังหารมังกรสีดำโล้นเตียนที่อยู่ห่างไป สุดท้ายหันมามองเฉินผิงอัน ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าแน่ใจรึ?”
เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้าแน่ใจ!”
หนิงเหยาจึงเชื่อทันทีอย่างไม่มีข้อกังขา
แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงได้เชื่ออีกฝ่าย
สุดท้ายภายใต้การนำของเฉินผิงอัน หนิงเหยาช่วยเขาย้ายเศษหินเศษดินพวกนั้นไปไว้ในหลุมด้านข้างที่ขุดไว้นานแล้ว ก่อนจะกลบดินทับลงไป
เฉินผิงอันก้มหน้าพึมพำ “ไม่ว่าคนหรือเทพล้วนต้องพักอย่างสงบอยู่ใต้ดิน” (ธรรมเนียมการฝังศพของคนจีนเชื่อว่าเมื่อดวงจิตของผู้ตายได้กลับไปพักใต้ผืนดินจะได้สั่งสมพลังธรรมชาติอย่างสงบสุข)
หนิงเหยาก็ก้มหน้ากล่าวเบาๆ ตามเขาไปด้วย “พักอย่างสงบอยู่ใต้ดิน”
ทำทุกอย่างนี้เสร็จแล้ว หนิงเหยาก็ถามอย่างใคร่รู้ “เฉินผิงอัน นี่คือประเพณีพื้นบ้านของพวกเจ้า คือกฎระเบียบที่สืบทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่หรอก แค่ข้ารู้สึกว่าต้องเป็นแบบนี้”
หนิงเหยาเลิกคิ้ว
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “แม่นางหนิง เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าพอทำเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว สบายใจอย่างมากน่ะ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่เห็นรู้สึกเลย”
เฉินผิงอันเกาหัว มองแท่นหินสีดำพลางถาม “มันเรียกว่าแท่นสังหารมังกรหรือ?”
หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที “คนที่ฝึกวรยุทธ์อาจเรียกว่าหินลับมีด หรือไม่ก็หินลับกระบี่ มีแต่ผู้ฝึกกระบี่บนเขาเท่านั้นที่ถึงจะเรียกมันว่าแท่นสังหารมังกร”
หนิงเหยาหันไปมองยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ด้วยสายตาเลื่อนลอย พูดเสียงแผ่วเบา “ที่บ้านเกิดข้าก็เรียกว่าหินลับกระบี่ ทุกคนจะต้องมีคนละหนึ่งก้อน เล็กใหญ่ไม่เท่ากัน โดยทั่วไปแล้วใหญ่แค่กำปั้นเท่านั้น ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ตบะต่ำหรือตระกูลเสื่อมถอยซึ่งมีหินลับกระบี่ขนาดแค่นิ้วโป้งก็ยังมองมันเป็นสิ่งล้ำค่าเหนือกว่าชีวิตคนในตระกูลตัวเอง ที่บ้านข้าก็มี ใหญ่มาก…”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “ใหญ่แค่ไหน?”
เด็กสาวพึมพำ “ใหญ่กว่าบ้านของเจ้าที่ตรอกหนีผิงอีกกระมัง”
เด็กหนุ่มสีหน้าตะลึงพรึงเพริด จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอิจฉา “แม่นางหนิง ถ้าอย่างนั้นบ้านเจ้าก็รวยจริงๆ! แถมยังหินลับกระบี่ก้อนใหญ่ขนาดนั้นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกขโมย ดีจัง ไม่เหมือนข้า กว่าจะหาเงินมาได้สักอีแปะก็ไม่ง่าย จะเอาไปซ่อนไว้ตรงไหนก็หลับไม่สนิท”
เดิมทีเด็กสาวที่ต้องจากบ้านมาไกลยังเศร้าสร้อยอยู่บ้าง แต่พอได้ยินคำพูดของเขา ความทุกข์ตรมก็หายวับไป นางยิ้มกว้าง “หินลับกระบี่ก้อนนี้ เรามาแบ่งกันคนละครึ่ง!”
เด็กหนุ่มโบกมือ “ข้าจะเอามันมาทำอะไรล่ะ ที่บ้านข้ามีมีดผ่าฟืนอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใช้หินลับมีดที่ล้ำค่าขนาดนี้ ทุกครั้งที่ลับหนึ่งครั้ง ใจข้าก็เจ็บปวดด้วยความเสียดายหนึ่งครั้ง แล้วจะเอามาทำไม แม่นางหนิงเอาไปทั้งหมดนั่นแหละ ใช่แล้ว เจ้าอยากให้อาจารย์หร่วนช่วยหลอมกระบี่ให้เจ้าไม่ใช่หรือ? สามารถเอาอีกครึ่งหนึ่งไปเป็นเงินค่าหลอมกระบี่ได้…”
หนิงเหยากล่าวอย่างจนใจ “เฉินผิงอัน เจ้าโง่จริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”
เฉินผิงอันคิดไปชั่วครู่ก็เอ่ยยิ้มๆ “แม่นางหนิง เจ้าก็ถือซะว่าข้าเป็นคนดีเกินเหตุก็แล้วกัน”
หนิงเหยาพลันยื่นมือชี้มาที่เด็กหนุ่ม ทำสีหน้ากระจ่างแจ้งในฉับพลัน หรี่ตาคลี่ยิ้ม “เฉินผิงอัน บอกมาตามตรง เจ้ากำลังคิดไม่ซื่ออยู่ใช่หรือไม่ ในใจเจ้าคิดว่าวันหน้าเปลี่ยน ‘แม่นางหนิง’ ให้เป็นภรรยาของตัวเอง นั่นก็ไม่เท่ากับว่าของทุกอย่างต้องตกมาเป็นของตนหรอกหรือ? ลูกคิดรางนี้ดีดได้คล่องแคล่ว ร้ายกาจยิ่งนัก!”
เด็กหนุ่มอยากร้องไห้แต่ไร้น้ำตา มุมปากกระตุกไม่หยุด ก่อนหน้านี้ซ่งจี๋ซินเคยพูดประโยคหนึ่งว่าอะไรนะ อยากเล่นงานใคร ไม่ต้องกังวลว่าจะหาโทษไม่เจอใช่ไหม? (หมายถึงคนที่ใส่ร้ายป้ายสีคนอื่นตามใจชอบ)
หนิงเหยาหัวเราะร่า “ดูเจ้าตกใจเข้าสิ ข้าล้อเล่นหรอกน่า”
เฉินผิงอันถอนหายใจ รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยใจนิดๆ แล้วแหะ
แต่จู่ๆ หนิงเหยากลับเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ระวัง! กระบี่บินเล่มนั้นของข้ากำลังอยู่ระหว่างทางย้อนกลับมาแล้ว!”
เฉินผิงอันตั้งท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ