บทที่ 55 ภาคภูมิใจ
ปลายเท้าซ้ายขวาของเฉินผิงอันบิดอยู่บนพื้นอย่างที่จับสังเกตได้ยาก ราวกับกำลังปรับตัวให้เข้ากับเท้าสองข้างที่มีน้ำหนักเบาลง
เขาสังเกตเห็นว่าหม่าขู่เสวียนเก็บหินมาทั้งหมดห้าก้อน สี่ก้อนกำอยู่ในมือซ้าย อีกหนึ่งก้อนอยู่ในมือขวา
สีหน้าของหม่าขู่เสวียนยังคงผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ มองไปยังเด็กสาวต่างถิ่นที่ทั้งฝักดาบฝักกระบี่ต่างก็ว่างเปล่าพลางกล่าวยิ้มๆ “บอกไว้ก่อนนะว่าตอนนี้เป็นการต่อสู้กันตัวต่อตัวระหว่างข้ากับเฉินผิงอัน ตามนิทานที่ย่าของข้าเล่าให้ฟังตอนเด็ก เวลาที่แม่ทัพใหญ่สองคนประมือเข่นฆ่ากันเองในแนวหน้า ใครที่ร้องเรียกหาผู้ช่วย คนนั้นก็ไม่ใช่ลูกผู้ชาย หากสามารถสังหารศัตรูได้ ใจของพวกทหารจะฮึกเหิม สงครามครั้งนั้นก็ถือว่าชนะแล้ว…”
หนิงเหยามองหม่าขู่เสวียนก็ให้รำคาญใจ นางไม่เคยเห็นใครกวนโอ๊ยน่าเตะอย่างไอ้หมอนี่มาก่อน ซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิงเป็นพวกกลอุบายลึกล้ำ แล้วก็ชอบอวดฉลาด วันๆ เอาแต่วางท่าเป็นนายน้อย ทว่าจะอย่างไรซะหน้าตาท่าทางเจ้านั่นก็ยังเหมือนเมล็ดพันธ์ปัญญาชน แต่เจ้าเด็กหนุ่มผอมกะหร่องตัวเตี้ยตรงหน้าผู้นี้ไม่ได้มีผิวพรรณขาวไปกว่าเฉินผิงอัน แถมดวงตายังใหญ่มากเป็นพิเศษ มองดูแล้วให้ความรู้สึกที่พิลึกพิลั่นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อบวกกับคำพูดระคายหูที่ออกมาจากปากเหมือนกับหญิงแก่เอาผงทาหน้าครึ่งจินโบกลงบนผิวหนังที่เหี่ยวย่นเหมือนต้นไม้ แล้วแสร้งทำท่าเขินอายราวสาวน้อยที่น่าสังเวชใจจนไม่คิดว่าจะมีอยู่ในโลกมนุษย์นี้ได้
เฉินผิงอันไม่ได้พูดหยาบคายกับคนวัยเดียวกันของตรอกซิ่งฮวา เพียงค้อมตัวลงเล็กน้อยแล้วออกแรงพุ่งกระโจนดิ่งไปข้างหน้าดุจอาชาที่ควบตะบึงเต็มฝีเท้า
เร็วจริงๆ!
มองแผ่นหลังของเฉินผิงอันที่ห่างออกไปไกล แทบจะเพียงชั่วพริบตาก็ห่างจากตนไปสองจั้งกว่า ต่อให้เป็นหนิงเหยาที่พบเห็นอะไรมามากก็ยังอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ ไม่ได้บอกว่าเมื่อเอาไปเทียบกับคนวัยเดียวกันทั้งหมดที่อยู่ใต้หล้าแล้ว เฉินผิงอันสามารถห้อตะบึงได้เร็วกว่ากระต่ายหรือสุนัขจิ้งจอก แล้วจะร้ายกาจมากแค่ไหน แน่นอนว่าย่อมไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่เป็นเพราะว่าแม้อยู่ในฟ้าดินที่เป็นดั่งกรงขังแห่งนี้ เฉินผิงอันก็สามารถอาศัยการขัดเกลาฝีมือตลอดเวลาสิบกว่าปีมาหล่อหลอมให้ร่างกายและจิตใจตัวเองแข็งแกร่งได้ถึงขั้นนี้ นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ทำให้หนิงเหยานับถือมากที่สุด
หนิงเหยาครุ่นคิด หรือว่าการทนต่อความยากลำบากได้ก็ถือเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่งเหมือนกัน?
เพียงชั่วพริบตาระยะห่างระหวางเด็กหนุ่มทั้งสองก็เหลือแค่ครึ่งทาง
เฉินผิงอันยังถึงขั้นมองเห็นการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นติดต่อกันบนใบหน้าของหม่าขู่เสวียนซึ่งหลังจากอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นหวาดหวั่น แต่ก็สงบสติลงอย่างรวดเร็วได้อย่างชัดเจนด้วย และหลังจากนั้นหม่าขู่เสวียนก็ยกแขนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ลังเล แขนเล็กบางเพียงเท่านั้นแต่กลับสามารถระเบิดพลังที่น่าตะลึงขุมหนึ่งออกมาได้
เฉินผิงอันที่จ้องความเคลื่อนไหวบนมือขวาของหม่าขู่เสวียนตลอดเวลาไม่พุ่งดิ่งเป็นแนวตรงอีกต่อไป เขาพลันขยับไปทางขวามืออย่างรวดเร็ว
แขนข้างนั้นของหม่าขู่เสวียนหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดข้อมือ เป้าหมายก็คือเฉินผิงอันที่วิ่งเบี่ยงจากแนวเส้นตรง
ก้อนหินถูกขว้างออกมาจากมือขวาพุ่งมาด้วยความเร็วน่าหวาดกลัว แม้จะไม่น่ากลัวเท่าวานรย้ายขุนเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง แต่ก็ยังไม่อาจดูถูกได้ เฉินผิงอันทีเดิมทีควรยกมือหรือเท้าขึ้นปัดป้องกลับไม่หยุดชะงัก เพียงบิดเอว เบี่ยงร่างท่อนบนไปด้านข้าง หินก้อนนั้นจึงแฉลบผ่านใบหน้าของเขาไปพอดี เส้นผมตรงหน้าผากของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะถูกลมเย็นๆ ขุมหนึ่งพัดปลิว
มือซ้ายที่กำก้อนหินที่เหลืออยู่ของหม่าขู่เสวียนสลัดเบาๆ หนึ่งครั้ง ก้อนหินหนึ่งในนั้นก็ร่วงไปอยู่กลางฝ่ามือข้างขวาพอดี
ดูเหมือนว่าเด็กหนุ่มร่างเล็กเตี้ยแห่งตรอกซิ่งฮวาคนนี้จะไม่รู้สึกว่าการลงมือครั้งที่สองจะสามารถจัดการกับเฉินผิงอันได้ เขาจึงไม่ได้หยุดนิ่งอยู่ที่เดิม แต่เริ่มวิ่งไปทางขวามือ ขณะเดียวกันก็ขว้างหินก้อนที่สองออกไปด้วย
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะพลันค้อมตัวลงต่ำอย่างไม่มีลางบอกเหตุจนมือทั้งสองแทบจะสามารถสัมผัสผิวดินได้ หินก้อนนั้นจึงพุ่งผ่านเหนือแผ่นหลังไปอย่างรวดเร็ว กรีดเอาเสื้อตัวบางของเฉินผิงอันไปด้วย โชคดีที่แค่เป็นแผลถากๆ เท่านั้น แม้มองดูแล้วหนังจะปริออกจนน่าตกใจ แต่แท้จริงแล้วแผลกลับไม่ลึกมาก
เวลานี้ระยะห่างระหว่างคนทั้งสองก็ขยับเข้ามาใกล้กันอีกครึ่งหนึ่ง
แม้ขู่หม่าเสวียนเองก็จะตระหนักได้เช่นกันว่าควรจะเว้นระยะห่าง แต่เฉินผิงอันที่โหม่งหัวกระโจนเข้ามาช่างรวดเร็วปานลมกรด ส่งผลให้หม่าขู่เสวียนขยับหนีอย่างรีบร้อนราววัวแก่ที่ลากเทียมคันเก่า ดังนั้นเมื่อใบหน้าดำเกรียมของเฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ดวงตาเป็นประกายที่ฉายแววเด็ดเดี่ยวของเด็กหนุ่มรองเท้าฟางสานจึงสะดุดตาเป็นพิเศษ ตรงกันข้ามกับหม่าขู่เสวียนที่มีสีหน้าลังเลอย่างเห็นได้ชัด เขาควรจะล้มเลิกความคิดที่จะขว้างหินออกไป แล้ะถอยหนีอย่างเด็ดขาด? หรือควรจะลองเดิมพันดูสักตั้ง รอดูก่อนว่าหินก้อนที่สามจะตัดสินแพ้ชนะได้หรือไม่ดี?
หม่าขู่เสวียนลังเลตัดสินใจไม่ได้ เมื่อเทียบกับการบุกรุดหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเฉินผิงอันแล้วจึงเกิดเป็นความแตกต่างที่เห็นได้ชัด
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในเวลานี้ไฉนเลยจะยังมีท่าทางเป็นคนดีเกินเหตุเหมือนตอนอยู่ในตรอกหนีผิงนั่นอีก?
ในช่วงวิกฤตขับคันที่จะตัดสินความเป็นความตาย หม่าขู่เสวียนถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วเหวี่ยงแขนออกไปอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าหม่าขู่เสวียนเชื่อมั่นใจหินที่อยู่กลางมือของตัวเอง
เด็กหนุ่มโดดเดี่ยวที่อย่าว่าแต่จะต่อสู้เลย แม้แต่ทะเลาะกับคนอื่นก็ยังไม่เคยผู้นี้ไม่ชอบอยู่ร่วมกับคนวัยเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก เมื่อเทียบกับเฉินผิงอันหรือกู้ช่านแล้ว เขาก็ยิ่งเหมือนแมวป่าที่ชอบไปไหนมาไหนเพียงลำพังมากกว่า เวลาว่างๆ เขามักจะชอบหาหินมากำมือหนึ่ง เดินไปขว้างไป แน่นอนว่าเรี่ยวแรงย่อมน้อย มองดูเหมือนเป็นการเล่นหินอย่างผ่อนคลายสบายอารมณ์ จึงไม่มีใครเห็นเป็นสำคัญ เพียงแต่เวลาที่รอบกายไร้ผู้คน หม่าขู่เสวียนจะชอบมาที่ริมฝั่งใต้สะพานแล้วขว้างหินให้กระดอนไปบนผิวน้ำ หากเป็นหินที่เบาหน่อยก็มักจะกระทบผิวน้ำทำให้เกิดริ้วคลื่นได้หลายสิบชั้น จากนั้นก็จะกระแทกชนลงบนผนังด้านในของสะพานหินโค้งที่อยู่ฟังตรงข้าม ก่อนจะระเบิดแตกดังปัง ความมากของพลังแขนและความแม่นยำในการขว้าง แค่คิดก็จะจินตนาการออก
แล้วหม่าขู่เสวียนก็มักจะไปนั่งยองๆ อยู่บนหินหลังควาย ขว้างก้อนหินใส่ปลาที่ว่ายอยู่ในน้ำเป็นประจำ ไม่ว่าจะโดนปลาหรือไม่ แต่จะอย่างไรซะก้อนหินที่เด็กหนุ่มขว้างลงไปในน้ำก็แทบจะไม่ทำให้เกิดริ้วน้ำ
ดังนั้นในบ้านของเขาที่ตรอกซิ่งฮวา ไม่ว่าจะเป็นในลานบ้านหรือบนหลังคาจึงมักจะมีศพของนกตัวน้อยๆ หลายตัวนอนโชกเลือดอยู่ให้เห็นเสมอ
คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่สิบกว่าก้าวเท่านั้น การหลบเลี่ยงหินของหม่าขู่เสวียนสองครั้งก่อนหน้านี้ เรือนกายและฝีเท้าของเฉินผิงอันจึงยิ่งคล่องแคล่วและปราดเปรียว ไม่มีกล้ามเนื้อส่วนใดที่แสดงให้เห็นถึงอาการเกร็งตัว ร่างของเด็กหนุ่มรองเท้าแตะเป็นเหมือนใบไม้บางเบาใบหนึ่งที่ล่องลอย ทว่าในขณะที่เฉินผิงอันกำลังจะชนเข้ากับหม่าขู่เสวียน ในที่สุดเฉินผิงอันแสดงให้เห็นถึงด้านที่ “หนัก” เขาก้าวยาวๆ ออกไปสามก้าวติด ทั้งเร็วและรุนแรง เต็มไปด้วยพละกำลัง ยามที่เท้าร่วงกระทบพื้นก็ราวกับค้อนเหล็กที่ทุบลงบนกระบี่ ยามยกเท้าขึ้นก็เหมือนดึงเอาฐานของภูเขาลูกหนึ่งขึ้นมา
สามก้าว ขยับใกล้ในระยะประชิด
หม่าขู่เสวียนยังไม่ทันขว้างหินออกไป ตามหลักเขาต้องเสียความได้เปรียบไปแล้ว
แต่เฉินผิงอันกลับรู้สึกใจสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่กระนั้นก็ยังคงไม่มีท่าทีว่าจะหลบหนี เพราะเป็นช่วงเวลาคับขัน ม้าที่ควบมาถึงหน้าผาย่อมไม่อาจรั้งบังเหียนได้ทัน ไม่สู้กระโดดลงไป ลองเสี่ยงดวงดูสักตั้ง
มุมปากของหม่าขู่เสวียนกระตุกขึ้นยกยิ้มมีเลิศนัย มือซ้ายคลายออก ทิ้งก้อนหินที่เหลืออยู่ ยกมือขวาที่เดิมทีก็กำเป็นหมัดอยู่แล้วเหวี่ยงต่อยไปข้างหน้า
เขาขุดหลุมพรางนี้หลอกล่อเฉินผิงอันมาตั้งแต่แรก ที่ทำท่าลังเลไม่แน่ใจก็เพราะจงใจเปิดโอกาสให้เฉินผิงอันขยับเข้ามาใกล้ ถึงขั้นที่ว่าทำไมต้องเลือกใช้ก้อนหินมาเป็นวิธีการรุกจู่โจม ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นแผนการอันรัดกุมที่เด็กโง่ของตรอกซิ่งฮวาผู้นี้วางไว้ นั่นก็เพื่อแดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็น ล่อให้เด็กหนุ่มที่ไหลลื่นดุจปลาไหลซึ่งหลุดพ้นจากเงื้อมมือของวานรเฒ่าให้เข้ามาข้างกายตัวเอง ให้เฉินผิงอันผู้นี้พาตัวมาส่งด้วยตัวเอง!
ระยะห่างหนึ่งช่วงแขน ก็คือระยะห่างของหนึ่งหมัด
เฉินผิงอันเป็นคนถนัดซ้ายที่ไม่แสดงออกเด่นชัดนัก ดังนั้นหมัดซ้ายของเขาจึงปะทะเข้ากับหมัดขวาของหม่าขู่เสวียนอย่างจัง
วินาทีที่หมัดสัมผัสกัน เด็กหนุ่มทั้งสองต่างก็ยกเท้าขึ้นถีบอีกฝ่ายแทบจะในเวลาเดียวกัน
ทั้งเฉินผิงอันและหม่าขู่เสวียนต่างก็กระเด็นไปข้างหลังแล้วร่วงกระแทกลงบนพื้นดินอย่างแรงพร้อมกัน
คนทั้งสองขยับห่างจากกันอีกยี่สิบกว่าก้าว หม่าขู่เสวียนคลานลุกขึ้นมา คุกเข่าข้างเดียวบนพื้น อ้าปากหอบหายใจ เขายกแขนขึ้น คลายหมัดออก เพราะก้อนหินที่อยู่ในฝ่ามือข้างขวายังไม่ถูกทิ้งไป ฝ่ามือของเด็กหนุ่มในเวลานี้ถึงแม้จะไม่เรียกว่าเกิดแผลเหวอะหวะ แต่ก็เลือดอาบแดงฉาน น่าพรั่นพรึงไม่น้อย
หม่าขู่เสวียนแสยะยิ้ม ลูบคลำหน้าท้อง สายตาฉายประกายร้อนแรง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังกับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน! เจ้ากล้ามาสู้กันอีกรอบไหม?!”
มือซ้ายของเฉินผิงสภาพอนาถยิ่งกว่า เพราะก่อนหน้านี้ตอนที่ลอบฆ่าไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองในตรอกเล็ก ฝ่ามือของเขาก็ถูกเศษกระเบื้องกรีดลึกมากอยู่แล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาแม้จะใช้ยาสมุนไพรตำรับลับที่สืบทอดกันมาของร้านตระกูลหยางอยู่ตลอด แต่อาการบาดเจ็บที่ลึกถึงกระดูกต้องใช้เวลารักษาร้อยวันถึงจะหาย ต่อให้ร่างกายและจิตใจของเด็กหนุ่มจะแข็งแกร่งมากแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่เทพเซียนผู้ฝึกตนที่เป็นอมตะ ฟื้นคืนชีพจากความตายได้ ดังนั้นเมื่อแลกหนึ่งหมัดหนึ่งเท้ากับหม่าขู่เสวียนแล้ว เฉินผิงอันจึงยิ่งเสียเปรียบ
มือข้างซ้ายที่ใช้ผ้าฝ้ายพันแพลไว้ของเฉินผิงอันสั่นสะท้านเบาๆ อย่างที่ไม่อาจควบคุม เลือดสดซึมออกมาจากผ้าแล้วหยดลงบนกอหญ้าที่อยู่ข้างฝ่าเท้า
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง จึงสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ส่งมาจากหน้าท้องได้อย่างชัดเจน เขาต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าระดับความเจ็บปวดนี้จะส่งผลกระทบต่อการกระทำในลำดับถัดมาของตัวเองมากแค่ไหนกันแน่
นี่คือการกระทำที่เกิดจากความเคยชิน
เฉินผิงอันเกิดมายากจน แล้วก็เพราะสิ่งของที่ได้ครอบครองมีน้อยเกินไป จึงเป็นคนคิดเล็กคิดน้อยมากเป็นพิเศษ หากเป็นลูกหลานตระกูลร่ำรวยอย่างซ่งจี๋ซินหรือหลูเจิ้งฉุนย่อมไม่มีทางสนใจแน่ว่าในถุงมีเงินเหรียญทองแดงอยู่กี่เหรียญ นี่คือการทำเรื่องใหญ่ไม่สนใจรายละเอียดเล็กน้อย แต่เฉินผิงอันจะทำอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นภาพลักษณ์ที่เฉินผิงอันมีต่อผู้คนจึงมักจะบรรยายด้วยคำว่ารอบคอบ อ่อนโยนและอดทน ความฮึกเหิมและเลือดร้อนของเด็กหนุ่มกลับมีไม่มาก ส่วนหม่าขู่เสวียนที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาบอกว่าต้องการต่อสู้ให้ตายไปข้างกับเฉินผิงอันและหนิงเหยาผู้นั้นน่าจะถือว่าเป็นพวกตัวประหลาดที่ไม่สมเหตุสมผล อย่างน้อยหนิงเหยาก็พอจะใช้คำว่าเย่อหยิ่งถือดีมาบรรยายได้ หม่าขู่เสวียนคือคนที่ทำให้คนอื่นเดาไม่ออก
เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับไป ยังคงหันหลังให้หนิงเหยาพลางส่ายหน้าเบาๆ บอกให้รู้ว่าตนเองไม่เป็นอะไร
หม่าขู่เสวียนลุกขึ้นยืนช้าๆ ก่อนจะลุกเด็กหนุ่มถอนหญ้าขึ้นมาหนึ่งกำมือเพื่อเช็ดคราบเลือดกลางฝ่ามือทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ
เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม
หม่าขู่เสวียนออกแรงเป็นครั้งแรก ตำแหน่งที่ยืนอยู่ตอนแรกถูกเขาเหยียบจนเกิดหลุมสองหลุม
เด็กหนุ่มร่างผอมเกร็งเหมือนลิงแห้งผู้นี้เร็วจนน่าเหลือเชื่อ เขากระโดดขึ้นสูง ยกเข่าขึ้นกระแทกเฉินผิงอันที่พุ่งออกมารับหน้า
หมัดของเฉินผิงอันต่อยให้หม่าขู่เสวียนที่กระโดดตีเข่าร่วงลงมา ทว่าเขาเองก็ถูกหม่าขู่เสวียนที่ร่างโน้มมาข้างหน้าต่อยหนึ่งหมัดอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ หมัดนั้นกระแทกลงบนหน้าผากดังปั่ก ขาทั้งสองข้างที่เดิมทีขดงอของหม่าขู่เสวียนพลันยืดออก ถีบลงไปบนหน้าอกของเฉินผิงอันที่ผงะหงายไปข้างหลังอย่างแรง
เฉินผิงอันเหมือนถูกค้อนใหญ่ทุบแสกหน้า บวกกับที่ถูกถีบหน้าอกในเวลาเดียวกัน จึงแทบจะหงายหลังผลึ่งลงไปกองกับพื้น
ร่างของหม่าขู่เสวียนม้วนตัวอยู่กลางอากาศรอบหนึ่ง พอร่วงลงพื้นแล้วก็ยังคงแสยะยิ้มกระโจนออกไปอีกครั้ง เพียงไม่นานก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอันที่เพิ่งจะลุกขึ้นนั่งได้แค่ครึ่งตัว แล้วหม่าขู่เสวียนก็เตะอีกทีอย่างไม่ลังเล
เฉินผิงอันยกสองแขนตั้งสลับบังตรงหน้า แขนซ้ายอยู่นอกแขนขวาอยู่ข้างใน ปกป้องหัวใจและใบหน้าของตัวเองเอาไว้อย่างแน่นหนา
เฉินผิงอันถูกฝ่าเท้านี้เตะกระเด็นไปด้านหลัง เพียงแต่ว่าจุดศูนย์ถ่วงต่ำมาก ทั้งยังปกป้องตำแหน่งสำคัญไว้ได้จึงไม่มีภาพเลือดอาบปรากฏให้เห็น
ร่างของเขากลิ้งตลบไปตลอดทาง
หม่าขู่เสวียนไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่าย จึงไล่กวดตามไปอีกครั้ง
วินาทีที่เฉินผิงอันหยุดกลิ้ง โดยไม่ทันรู้ตัวร่างทั้งร่างของเขาก็เปลี่ยนมานั่งคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น ค้อมตัวตั้งท่าเตรียมออกวิ่งคล้ายตั้งใจและคล้ายไม่ได้ตั้งใจ
สีหน้าของหม่าขู่เสวียนชะงักค้าง
นาทีถัดมาเฉินผิงอันก็เป็นลูกธนูที่ถูกปล่อยหลังจากง้าวสุดสาย เขาพุ่งมาถึงตรงหน้าหม่าขู่เสวียนในเสี้ยววินาที ความเร็วนั้นเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ก็ราวกับเป็นคนละคน
แสดงอ่อนแอให้ศัตรูหลงกล
เฉินผิงอันก็ทำเป็นเหมือนกัน
คราวนี้หม่าขู่เสวียนไม่ทันออกหมดก็ถูกเฉินผิงอันกระแทกไหล่ลงบนหน้าอก หม่าขู่เสวียนเซกรูดถอยหลัง หน้าท้องเจ็บปวดราวถูกเค้นขึ้นมาอีกระลอก ขณะที่ก้มหน้าค้อมตัวลงตามสัญชาตญาณ จุดไท่หยางตรงหูซ้ายก็ถูกเฉินผิงอันตบเข้ามา แรงนั้นหนักหน่วงจนเด็กหนุ่มตรอกซิ่งฮวาที่ก่อนหน้านี้เป็นฝ่ายได้เปรียบปลิวไปด้านข้างด้วยท่าประหลาดขาคู่ลอยหวือไม่ติดพื้น
เฉินผิงอันพลันคว้าข้อเท้าทั้งสองของหม่าขู่เสวียนเอาไว้แล้วเหวี่ยงอีกฝ่ายหมุนเป็นวงกลม คำรามก้อง ก่อนจะสะบัดเด็กหนุ่มร่างเล็กเตี้ยหนักแค่เก้าสิบกว่าจินออกไปไกลอย่างแรง!
น่าจะกระแทกเข้ากับเทวรูปอยู่ในท่านั่งสูงหนึ่งจั้งกว่าเพราะร่างหักไปครึ่งซีกองค์นั้นพอดี หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น คราวนี้หม่าขู่เสวียนต้องมีจุดจบที่อนาถมากแน่ๆ
ทว่าหม่าขู่เสวียนกลับไม่ต้องอาศัยวัตถุนอกกาย เพราะเขาสร้าง “เรื่องไม่คาดฝัน” ขึ้นมาด้วยตัวเอง
เท้าทั้งสองของเขาเหยียบลงบนเศียรของเทวรูปไล่เลี่ยกัน จากนั้นก็งอตัวในเสี้ยววินาทีและยืดร่างตรงในเสี้ยววินาทีเช่นกัน ร่างทั้งร่างอาศัยแรงสะท้อนกลับที่รุนแรงดีดตัวเข้าหาคู่ต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไปซึ่งคล้ายคลึงกับวิธีการที่เฉินผิงอันใช้เล่นงานเขาก่อนหน้านี้
แต่แล้วทันใดนั้นหม่าขู่เสวียนก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตะลึงพรึงเพริด
เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันยังยืนอยู่ที่เดิม ยกมือขึ้นสูง แต่ไม่รู้ว่าในมือเขามีมีดสั้นปรากฏขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และปลายมีดนั้นก็ชี้ตรงเข้าหาหม่าขู่เสวียนที่พุ่งมาอย่างรวดเร็วพอดี
คำว่า “รนหาที่ตายเอง” ซึ่งคนในโลกชอบพูดกันก็น่าจะเป็นสถานการณ์ประมาณนี้
ต่อให้มือข้างที่ถือมีดของเฉินผิงอันจะสั่นสะท้านอย่างรุแรง แต่ก็มากพอที่จะแทงทะลุร่างของหม่าขู่เสวียน ความต่างอยู่แค่ที่ว่าจุดที่แทงจะเป็นแขน หัวหรือหน้าอกเท่านั้น
แม้หม่าขู่เสวียนจะเจอทางตั้ง แม้จะตกตะลึงอย่างยิ่ง แต่กลับไม่มีความคิดที่จะยอดแพ้ เขาพลิกร่างกลับอย่างยากลำบาก ต่อให้จะเพียงแค่องคุลี ก็ต้องทำให้ร่างของตัวเองเบี่ยงหลบออกมาจากปลายมีดนั่นให้ได้
และเวลานี้เองเรือนกายสูงโปร่งของคนผู้หนึ่งก็มาโผล่พรวดอยู่ตรงกลางระหว่างเด็กหนุ่มทั้งสอง
เขาคือชายวัยกลางคน ด้านหลังสะพายกระบี่เล่มยาว ตรงเอวพกตราพยัคฆ์
ไม่เห็นว่าเขาลงมืออย่างไร หม่าขู่เสวียนถึงรู้สึกเหมือนฟ้าดินพลิกคว่ำ ไม่เพียงแต่ขาสองข้างสัมผัสกับพื้น ร่างยังยืนตรงอยู่ข้างกายของชายผู้นั้นด้วย
จากนั้นชายที่สะพายกระบี่ไว้ด้านหลังก็หันหน้ากลับมามองเด็กหนุ่มที่กำมีดซึ่งถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าวด้วยสายตาฉายแววชื่นชมอย่างไม่คิดจะปิดบัง แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “การประมือของพวกเจ้าทั้งสองครั้งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว”
มุมปากของเฉินผิงอันมีเลือดไหลออกมา ถอยไปด้านหลังอีกหนึ่งก้าว
ชายผู้นั้นเพียงแค่คลี่ยิ้มกับการกระทำของเขา ก่อนยื่นข้อเสนอ “ข้าลงมือช่วยหม่าขู่เสวียน ถือว่าข้าติดค้างเจ้าหนึ่งครั้ง ดังนั้นเมื่อข้าออกจากเมืองไปแล้วจะช่วยเกลี้ยกล่อมให้วานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงล้มเลิกการไล่ฆ่าพวกเจ้าสองคน ดีไหม?”
หนิงเหยาเดินมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มาจากเขาเจินอู่มองเด็กสาวด้วยสายตาลึกล้ำ แล้วจึงหันไปพูดกับเฉินผิงอัน “เจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะต่อรอง หากเห็นด้วยก็พยักหน้า ไม่เห็นด้วยก็จงเงียบต่อไป หากรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม ไม่ยอมแพ้ หรือหากเจ้ายังโชคดีรอดมาจากเงื้อมมือของวานรเฒ่าได้อีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นวันหน้าเมื่อออกไปจากเมือง สามารถไปหาข้าที่เขาเจินอู่เพื่อทวงความยุติธรรมที่เจ้าต้องการได้”
เฉินผิงอันเก็บมีดทับกระโปรงที่หนิงเหยาให้ตนยืมไปซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อข้างขวา พยัหน้าให้กับชายที่มาจากเขาเจินอู่ “หากมีโอกาส ข้าจะทำอย่างนั้นแน่”
หม่าขู่เสวียนอ้าปากจะพูด แต่ชายวัยกลางคนกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “คนตายยิ่งไม่มีคุณสมบัติจะพูดจาร้ายกาจกับคนเป็น”
หม่าขู่เสวียนเม้มปากแน่น แล้วก็ยอมก้มหน้าเงียบเสียงแต่โดยดี
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็ก อาจารย์และศิษย์ของเขาเจินอู่คู่นั้นค่อยๆ จากไปไกล
เฉินผิงอันนั่งแปะลงไปกับพื้น
หนิงเหยารีบย่อตัวนั่งยองๆ ตาม กล่าวอย่างเป็นกังวล “เป็นยังไงบ้าง? เจ็บตรงไหนมากที่สุด? ตำรับยาของนักพรตลู่ เจ้าก็ใช้ได้เหมือนกันใช่ไหม?”
สีหน้าของเด็กหนุ่มที่จมูกเขียวหน้าบวม บาดเจ็บภายในไปทั้งร่างเต็มไปด้วยความขมขื่น “ไม่เป็นไร ถ้ายังรู้สึกว่าเจ็บก็หมายความว่าอาการไม่รุนแรงนัก ใช่แล้ว ถ้าเวลานี้วานรเฒ่าตามมาเจอ…”
“มาก็มาสิ!”
เด็กสาวทิ้งตัวนั่งลงบนพื้น สีหน้ามีชีวิตชีวา “เมื่อครู่นี้มีเจ้าอยู่ เดี๋ยวต่อไปก็มีข้า ยังต้องกลัวอะไร!”
เฉินผิงอันไม่ทันได้พูดประโยคหลังที่เหลืออยู่ จึงได้แต่กลืนกลับลงคอไป
จู่ๆ หนิงเหยาก็ยิ้มกว้าง ชูนิ้วโป้งสองมือให้เด็กหนุ่มรองเท้าสาน “เท่ห์มาก!”
เด็กหนุ่มยากจนที่ชั่วชีวิตที่ผ่านมารู้สึกว่าตนไม่มีความเก่งกาจอะไรพยายามสะกดกลั้นรอยยิ้มไว้เต็มกำลัง จงใจวางหน้าให้ดูผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ
แต่อันที่จริงไม่ว่าใครก็ดูออกถึงความชื่นบานของเขา
เด็กหนุ่มภาคภูมิใจในตัวเองอย่างมาก