Skip to content

Sword of Coming 54

บทที่ 54 ศัตรูตัวฉกาจอยู่เบื้องหน้า

เฉินผิงอันพาหนิงเหยามาหยุดอยู่ตรงหน้าเทวรูปห้าสีองค์หนึ่งที่สูงเหนือกว่าชายหนุ่มโตเต็มวัยไปหนึ่งช่วงศีรษะ เดิมทีมีแขนสามแขน ตอนนี้เหลือเพียงแค่แขนข้างที่กำเป็นหมัดซึ่งชูขึ้นสูงสุด รวมไปถึงแขนอีกข้างหนึ่งที่ “กุมมือ” ซึ่งอยู่ต่ำสุดเท่านั้น ที่แขนข้างนี้เหลืออยู่ข้างเดียวแต่กลับยังกุมมือได้นั้นก็เพราะเดิมทีนิ้วทั้งสิบของเทวรูปประสานกัน เป็นเหตุให้ต่อให้แขนอีกข้างไหล่หักไปแล้ว แต่ฝ่ามือและข้อมือกลับยังคงเหลืออยู่

เทวรูปดินเผาห้าสีคือเทพองค์หนึ่งที่มีเครายาว สวมเสื้อเกราะแวววาวเป็นประกาย แผ่นเกล็ดบนตัวเสื้อเชื่อมโยงติดกัน ริมขอบของเสื้อเกราะร้อยเป็นไข่มุกสองเส้น เม็ดของไข่มุกกลมกลึง เมื่อเทียบกับความอัปลักษณ์ของเสื้อเกราะโหวจื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษหลิวเสี้ยนหยางแล้ว หากดูแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็เหมือนความต่างระหว่างเด็กสาวกับหญิงชรา

องค์เทพเหยียบอยู่บนแท่นหินสีดำสนิททรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส เมื่อเทียบกับเทวรูปไร้เศียรที่เมื่อคืนคนทั้งสองอาศัยอยู่ใต้ชายคาแล้ว แม้แขนของเทวรูปหลากสีองค์นี้จะเสียหายไปมาก ซ้ำยังมีรอยกระดำกระด่าง แต่กระนั้นก็ยังเผยให้เห็นถึงความมีชีวิตชีวา ที่สำคัญที่สุดก็คือมือทั้งสองที่รัดพันกันตรงช่วงเอวของเทวรูปดินเผาอยู่ในท่วงท่าที่แปลกประหลาดอย่างยิ่ง

หนิงเหยามองปราดเดียวก็รู้ถึงสายสนกลใน เข้าใจว่าทำไมเฉินผิงอันถึงรีบร้อนพาตนมาที่นี่ จึงพยักหน้ากล่าวว่า “ท่าทางคล้ายหมัดยืนนิ่งในตำราเขย่าขุนเขานั่นจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ค่อยเหมือนกับท่าเจี้ยนหลู (เตาหลอมกระบี่) ในตำราเท่าใดนัก”

หนิงเหยาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยถามว่า “หาแขนของรูปปั้นเจอใกล้ๆ นี้ไหม?”

เฉินผิงอันนั่งยองๆ อยู่บนพื้น ส่ายหน้าด้วยสีหน้าเสียดาย “ลองหาดูแล้ว แต่ไม่เจออะไรสักอย่าง คาดว่าคงถูกเด็กที่มาเล่นซ่อนหาอย่ที่นี่เหยียบจนเละไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมา เหล่าเทวรูปพระโพธิสัตว์ดินเผาคงเจอมาทุกความยากลำบากแล้วล่ะ เจ้าลองดูหมัดที่ชูที่สูงที่สุดของท่านนี้สิ ตรงข้อมือขาดหายไปรูเบ้อเร่อ ข้างๆ ยังมีรอยปริร้าวอีกมากมาย เห็นได้ชัดว่าถูกคนใช้หนังสติ๊ก หรือไม่ก็ก้อนหินทำลาย เด็กๆ ในเมืองชอบเป็นแบบนี้ ยิ่งผู้ใหญ่ไม่ให้มาเล่นที่นี่มากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบแอบมาจับจิ้งหรีด ขุดผักป่าที่นี่มากเท่านั้น โดยเฉพาะทุกปีเวลาหิมะตที่จะต้องมีคนเป็นสิบๆ คนมาเล่นปาหิมะกันอยู่ที่นี่ ครึกครื้นนักล่ะ พอเล่นจนติดลมแล้ว ไฉนเลยจะมัวนใจอะไรอีก ตอนเด็กๆ ยังชอบปีนป่าย ดูว่าใครปีนได้สูงกว่ากัน บางคนยังชอบปีนขึ้นไปฉี่บนหัวเทวรูป อันที่จริงตอนที่ข้ายังเด็กยังมีเทวรูปแกะสลักจากไม้อยู่หลายองค์ ภายหลังได้ยินว่ามีชายบางคนขี้เกียจขึ้นไปตัดฟืนบนเขาแล้วหมายตาพวกมัน พอเริ่มเข้าหน้าหนาวก็แอบมาลากกลับบ้านไปผ่าเป็นฟืนเผาไฟ”

เด็กหนุ่มพึมพำอยู่ตรงนั้นด้วยอารมณ์เศร้าสลดเล็กน้อย “ตอนนั้นข้าถูกผู้เฒ่าเหยารังเกียจว่าไม่มีหัวในการเผาเครื่องปั้น เลยถูกไล่ให้ขึ้นเขาไปตัดฟืน หากตอนอยู่ในเมืองแล้วข้ารู้ว่ามีคนทำแบบนี้ จะต้องพูดเกลี้ยกล่อมเขาให้ได้ หากไม่ได้จริงๆ ข้าก็สามารถรับปากว่าจะช่วยเขาตัดฟัน แม้ว่าแต่ไหนแต่ไรมารูปปั้นพระโพธิสัตว์จะไม่เคยสำแดงอิทธิฤทธิ์ แต่จะอย่างไรซะนั่นก็เป็นถึงพระโพธิสัตว์ เป็นถึงเทพเซียน ผลกลับต้องมาถูกคนผ่าร่างเอาไปทำเป็นฟืน เรื่องไร้คุณธรรมเช่นนี้ ทำไมถึงทำได้ลงคอนะ…”

จุดที่หนิงเหยาให้ความสำคัญในเวลานี้กลับแตกต่างไปจากเฉินผิงอันอย่างสิ้นเชิง

หนิงเหยาใช้มือหนึ่งดันคาง อีกมือหนึ่งดันข้อศอกมือข้างที่ดันคาง ดวงตาคู่นั้นเป็นประกายไหวระริก กล่าวช้าๆ ว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ท่าเจี้ยนหลูของตำราหมัดเล่มนั้นของตระกูลเจ้าต้องมาจากที่นี่ แต่ว่าไม่ใช่มือคู่ที่เจ้าเห็นอยู่ตอนนี้ ต้องเป็นแขนสองข้างที่อยู่ตรงกลางรูปปั้นเทพหลิงกวานแห่งลัทธิเต๋าก่อนหน้านี้ ซึ่งก็คือท่าเจี้ยนหลูที่ปรากฏขึ้นจากการทำมุทราของมือสองข้างที่หายไป แม้ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดคนที่เขียนตำราหมัดเล่มนี้ถึงเลือกแค่หนึ่งในนั้น ไม่ได้เลือกท่ามือที่พวกเราเห็นกันอยู่ในเวลานี้ แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ข้าแน่ใจ เจี้ยนหลูหรือจะเรียกอีกอย่างว่าท่ามุทรากระบี่ดรรชนีขององค์เทพหลิงกวาน ไม่แน่ว่าอาจจะมีการแบ่งแยกใหญ่น้อย”

เฉินผิงอันรับฟังด้วยความมึนงง แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “ตำราหมัดเป็นของกู้ช่าน ข้าแค่ช่วยดูแลให้ชั่วคราว”

หนิงเหยาไม่ได้โต้เถียงกับเฉินผิงอันเรื่องนี้ แต่ยื่นมือชี้ไปยังท่าเจี้ยนหลูของเทพหลิงกวานลัทธิเต๋าพลางอธิบายว่า “เห็นหรือไม่ ในตำราหมัดนิ้วก้อยมือขวาจะยื่นออกมา แต่รูปปั้นนี้นิ้วทั้งเก้ากับรัดพัน โอบล้อม งัดกันเอง ยื่นออกมาแค่นิ้วชี้มือซ้ายเด่นอยู่ข้างเดียวเท่านั้น เพื่อที่จะทำมุทราร่ายคาถากระบี่ สุดท้ายนำมาใช้หล่อเลี้ยงบำรุงนิ้วชี้”

หนิงเหยายังคงพูดกับตัวเองต่อไป “ตลอดหลายปีที่ข้าเดินทางอยู่ใต้หล้าของพวกเจ้า ก็เคยได้เห็นสี่มหาราชแห่งสวรรค์ในวัดและหลิงกวานของลัทธิเต๋าแต่ละสายมามากมาย ทว่ารูปปั้นนี้…”

เฉินผิงอันรอประโยคต่อไป ผลกลับกลายเป็นว่ารออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินคำตอบ จึงได้แต่เปิดปากถาม “มีจุดไหนที่แปลกไปงั้นหรือ?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เตี้ยที่สุด”

เด็กหนุ่มที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ชูนิ้วโป้งให้นาง

หนิงเหยาหันกลับมาถาม “เจ้าเคยเห็นรูปปั้นเทพหลิงกวานของศาสนาเต๋าที่สูงกว่าเขาพีอวิ๋นของพวกเจ้าไหม?”

“แน่นอนว่าไม่เคยเห็น” เฉินผิงอันตะลึง ถามอย่างสงสัย “เขาพีอวิ๋นอยู่ในแถบของพวกเราหรือ?”

หนิงเหยาตระหนักได้จึงเริ่มอธิบาย “ก็คือภูเขาลูกที่สูงที่สุดของพวกเจ้าไงล่ะ ในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ว่ากันว่าเคยมีผู้สูงศักดิ์คนหนึ่งฝังตราประทับเทียนซือไว้ในเขาพีอวิ๋นลูกนั้น เพื่อใช้สยบปราณมังกรของฟ้าดินแถบนี้”

ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย “พอจะรู้ตำแหน่งคร่าวๆ ไหม พวกเราไปขุดกันได้หรือเปล่า?”

หนิงเหยายิ้มตาหยี “ทำไม อยากจะขุดออกมาขายแลกเงินงั้นหรือ?”

เฉินผิงอันที่ถูกเปิดโปงความคิดหน้าแดงเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดอย่างจริงใจว่า “ก็ไม่แน่เสมอไปว่าต้องเอาไปขายแลกเงิน ขอแค่เป็นของดีและมีมูลค่า เก็บไว้ในบ้านถือเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูลก็ดีนี่นา”

หนิงเหยาชี้หน้าเจ้าคนเห็นแก่เงิน พูดเสียงสะบัด “วันหน้าหากเจ้าสามารถเปิดสำนักตั้งพรรคเป็นของตัวเองได้ ข้าว่ามีเจ้าสำนักหรือประมุขพรรคที่มุมานะบากบั่น รู้จักจัดการเรื่องในบ้านอย่างเจ้า เหล่าลูกศิษย์คงไม่ต้องเป็นทุกข์เรื่องกินเรื่องอยู่ไปชั่วชีวิต แค่นอนรอเสพสุขก็พอแล้ว”

เฉินผิงอันไม่ได้คิดอะไรไปไกลขนาดนั้น ส่วนอะไรคือการเปิดสำนักตั้งพรรค เขาก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่

เขาลุกขึ้นยืนแล้วถามว่า “ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ข้างหน้านี้ก็คือว่าเป็นหนึ่งในท่าเจี้ยนหลูใช่ไหม?”

หนิงเหยาพยักหน้ารับ “เจี้ยนหลูใหญ่เล็ก แบ่งเป็นมือซ้ายมือขวา สิ่งที่บำรุงอย่างแท้จริงย่อมไม่มีทางเป็นแค่นิ้วชี้ข้างซ้ายหรือนิ้วก้อยข้างขวาเท่านั้น แต่ต้องไหลทวนขึ้นสู่เบื้องบนไปตลอดทาง จนกระทั่งถึง…”

ตอนที่พูดมาถึงตรงนี้ หนิงเหยาก็หลับตาตั้งสมาธิ นางถึงขั้นไม่ต้องทำมุทราท่ายืนนิ่งก็สามารถใช้ใจรับสัมผัสได้แล้ว พอลืมตาขึ้นนางจึงงอนิ้วของตัวเองแล้วเคาะไปยังสองตำแหน่งด้านหลังท้ายทอยของตัวเอง แบ่งออกเป็นสองช่องโพรงอย่างตำแหน่งอวี้เจิ่นและเทียนจวง ซึ่งนั่นเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างเหมาะสมในการใช้หล่อเลี้ยงกระบี่บินแห่งชีวิตอย่างแท้จริง นางเอ่ยยิ้มๆ “ท่าเจี้ยนหลูของมือซ้ายสอดคล้องกับที่นี่ ส่วนมือขวาก็คือจุดที่ชี้ไป”

เฉินผิงอันไม่เข้าใจ “แม่นางหนิง อันที่จริงข้าอยากถามมานานแล้ว ท่าเจี้ยนหลูที่ว่านี้ก็คือยืนนิ่งตามตำราหมัด ทว่านิ้วมือบิดไปบิดมาแบบนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกหมัดอย่างไรกัน? มันช่วยให้มีพละกำลังเพิ่มขึ้นหรือ?”

หนิงเหยาอึ้งงันไปเล็กน้อย

หากจะให้หนิงเหยาอธิบายถึงการเรียนวรยุทธและวิชาการฝึกตนทั้งหลายอย่างเป็นรูปธรรมแล้วล่ะก็ นั่นนับว่าเป็นเรื่องยากเกินไปสำหรับนาง นั่นก็ยิ่งไม่ต้องหวังให้นางพูดว่าตลอดทางที่ผ่านมานี้นางก้าวข้ามอุบปสรรคน้อยใหญ่อย่างราบรื่นมาได้อย่างไร เพราะสำหรับตัวหนิงเหยาเองแล้ว หลักการที่น่าเบื่อที่สุดพวกนี้ ยังจำเป็นต้องพูดออกมาด้วยหรือ? ไม่ใช่ว่าควรจะเข้าใจได้ด้วยตัวเองหรอกหรือ?

ดังนั้นเด็กสาวจึงตีหน้าเคร่งเอ่ยสั่งสอนเด็กหนุ่ม “ขอบเขตไม่ถึง พูดไปแล้วก็เปลืองน้ำลายเปล่า! เจ้าถามมากมายไปเพื่ออะไร แค่ก้มหน้าก้มตาฝึกฝนไปก็พอแล้ว! ทำไม ทนลำบากไม่ได้งั้นหรือ?”

เฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงถามอย่างระมัดระวัง “แม่นางหนิง เป็นอย่างนี้จริงๆ หรือ?”

หนิงเหยายกมือสองข้างขึ้นกอดอก ย้อนถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่อย่างนั้นจะเป็นยังไงล่ะ?”!”

เฉินผิงอันจึงไม่ซักไซ้ถามเรื่องนี้ต่ออีก เงยหน้ามองเทวรูปหลากสีที่หนิงเหยาเรียกว่าเทพหลิงกวานแห่งลัทธิเต๋า “นี่ก็คือเทพเซียนของลัทธิพวกนักพรตลู่น่ะหรือ”

หนิงเหยากล่าวอย่างสนใจ “อะไรคือเทพเซียนของพวกนักพรตลู่? ข้อแรก ลัทธิเต๋าเต้าเจีย แม้จะมีคำว่าเจีย[1] แต่ย่อมไม่มีทางใช้คำว่าเจียที่แปลว่าบ้านเหมือนพวกชาวบ้านในเมืองอย่างพวกเจ้าแน่นอน ลัทธิเต๋ายิ่งใหญ่เหนือเกินกว่าที่เจ้าจินตนาการไปไกลนัก ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่าลัทธิเต๋ามีนักพรตหรือมีสาขาแยกย่อยออกไปอีกมากน้อยเท่าไหร่ แค่เคยได้ยินบิดาข้าเล่าว่า ตอนนี้ปฐมสำนักแบ่งออกเป็นบนล่างเหนือใต้สี่แห่ง…ช่างเถอะ พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าก็เหมือนสีซอให้ควายฟัง ข้อสอง เทพเซียน แม้ว่าพวกเจ้าจะชอบพูดติดกัน หรือแม้แต่คนใต้หล้าจะชอบพูดแบบนี้ทั้งหมด แต่หากสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เทพและเซียนเดินกันคนละเส้นทาง ข้าจะยกตัวอย่างให้ฟังก็แล้วกัน คนช่วงชิงลมหายใจหนึ่งเฮือก พระพุทธรูปช่วงชิงธูปหนึ่งก้าน ประโยคนี้เจ้าคงเคยได้ยินมาก่อนกระมัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก่อนหน้านี้เวลาที่แม่เฒ่าหม่าทะเลาะกับแม่ของกู้ช่าน ข้ามักจะได้ยินคำพูดประโยคนี้เป็นประจำ”

หนิงเหยาพลันรู้สึกว่าตัวเองกำลังชี้ทางสว่างให้แก่ผู้อื่น “พระพุทธรูปช่วงชิงธูปหนึ่งก้าน ทำไมต้องช่วงชิง? เพราะว่าเทพเจ้าต้องการควันธูปจริงๆ เมื่อไม่มีควันธูป เทพก็จะค่อยๆ อ่อนแอ สุดท้ายก็สูญเสียพลังคาถาอันไร้ที่สิ้นสุดในร่างไป หลักการนั้นง่ายมาก ก็เหมือนกับคนคนหนึ่งที่ไม่ได้กินข้าวปลาอาหารมาหลายวัน จะยังมีเรี่ยวแรงอยู่ได้อย่างไร? ทำไมราชสำนักของโลกมนุษย์ถึงต้องห้ามไม่ให้ขุนนางท้องถิ่นหมกมุ่นในการเข้าวัดเกินเหตุ? ก็เพราะกลัวว่าควันธูปปะปนกันมั่วซั่ว เป็นเหตุให้คนหรืออะไรก็ตามที่เดิมทีไม่ควรได้กลายเป็นเทพครอบครองตำแหน่งเทพ หรือจะพูดอีกอย่างก็คือต่อให้พวกเขากลายเป็นเทพโดยพละการแล้วจะยังคงเป็นเทพที่มีจิตใจเมตตาปราณี ยินดีที่จะปกป้องชาวบ้านในท้องถิ่นปีแล้วปีแล้ว ไม่เคยละเมิดกฎเกณฑ์แห่งฟ้าดิน ทว่าสำหรับจักรพรรดิหรือกษัตริย์ที่เรียกตัวเองว่า ‘ร่างมังกรที่แท้จริง’ แล้ว พวกคนที่หมกมุ่นที่จะเข้าวัดโดยไม่ฟังคำสั่งของราชสำนักก็คือการสร้างหายนะให้กับฮวงจุ้ยของพื้นที่หนึ่ง ไม่ต่างจากพวกเจ้าเมืองที่ใช้กำลังยึดพื้นที่ทำให้ประเทศแตกแยก ลดทอนโชคชะตาของเหล่าราชวงศ์ ใช้วิธีเลื่อนขาเก้าอี้ของคนอื่น ทำให้โชควานาของแว่นแคว้นหดสั้นลง แล้วใครเล่าจะยอมให้คนอื่นมานอนกรนอยู่ข้างเตียงตัวเอง?” (เปรียบเปรยเหมือนสำนวนไทยว่าหอกข้างแคร่)

“ส่วนเซียนนั้นก็ง่ายมาก คนต่างถิ่นที่เจ้าได้เห็น แปดถึงเก้าในสิบคนล้วนเป็นเซียนทั้งนั้น แม้แต่วานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นก็ยังถือว่าเป็นเซียนครึ่งหนึ่ง เขาอาศัยความสามารถของตัวเองเดินไปบนมหามรรคาทีละก้าวจนถึงยอดเขา ยอดเขาที่มีเส้นทางทอดยาวไปยังความเป็นอมตะไม่ดับสลาย คนที่ฝึกตนก็จะถูกเรียกว่าผู้ฝีกลมปราณ ส่วนการฝึกตนก็จะเรียกว่าการฝึกเป็นเซียนหรือการบำเพ็ญพรต”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นหลิงกวานลัทธิเต๋าองค์นี้เป็นเทพหรือว่าเซียนกันแน่? ตามคำบอกของแม่นางหนิงเหยา น่าจะถือว่าเป็นเซียนในศาสนาเต๋ากระมัง?”

หนิงเหยาส่ายหน้าด่วยสีหน้าเคร่งขรึม ไม่ได้เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์อีก

นางพลันขมวดคิ้ว

จู่ๆ หินก้อนหนึ่งก็กระเด็นมากระแทกเข้าใส่หมัดที่ชูสูงเหนือศีรษะของเทวรูปกวานหลิงอย่างแรงจนเศษหินจำนวนมากร่วงกราวลงมา

หนิงเหยาโบกมือปัดไล่เศษผงที่หล่นลงมาเหนือหัว

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หันหน้ากลับไปมองตามเส้นสายตาของหนิงเหยา ผลกลับกลายเป็นว่ามองเห็นเงาร่างของคนผู้หนึ่งที่ปรากฎกายอย่างไม่คาดฝัน

นั่นคือเด็กหนุ่มร่างเล็กเตี้ยผิวดำค่อนข้างผอมคนหนึ่ง เขานั่งยองอยู่บนเทวรูปห่างออกไปไกลที่เอียงล้มอยู่กับพื้น มือข้างหนึ่งเดาะหินขึ้นลงไม่หยุด

เฉินผิงอันหันกลับไปยืนอยู่เคียงข้างหนิงเหยาพลางพูดเสียงเบา “เขาชื่อหม่าขู่เสวียน เป็นหลานชายของแม่เฒ่าหม่าตรอกซิ่งฮวา เป็นคนที่ประหลาดมากคนหนึ่ง ไม่ชอบพูดมาตั้งแต่เด็ก คราวก่อนเจอกับเขาที่ธารน้ำ หม่าขู่เสวียนยังเป็นฝ่ายเปิดปากพูดกับข้าด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าเขารู้มานานแล้วว่าหินดีงูมีค่ามาก”

เด็กหนุ่มที่ชื่อหม่าขู่เสวียนลุกขึ้นยืนแล้วก็ยังคงชั่งน้ำหนักหินก้อนนั้น หันมาส่งยิ้มสดใสให้แก่หนิงเหยาและเฉินผิงอัน ก่อนพูดอย่างตรงไปตรงมา “หากข้าไปที่จวนตระกูลหลี่ถนนฝูลวี่ แล้วบอกกับวานรเฒ่าแห่งเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นว่าเจอพวกเจ้าสองคนที่นี่ ข้าว่าจะอย่างไรก็คงได้เงินมาสักถุง แต่ขอแค่พวกเจ้าให้เงินข้าสองถุง ข้าก็จะแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น บอกไว้ก่อนว่าข้าแค่อยากทำการค้าเท่านั้น พวกเจ้าอย่าได้คิดฆ่าคนปิดปากเชียว บนพื้นยังมีเทพเซียนและพระโพธิสัตว์มากมายที่มองพวกเราอยู่ ระวังจะถูกกรรมตามสนอง”

หนิงเหยาที่อับอายจนพานเป็นความโกรธเตรียมจะเปิดปากพูด แต่กลับถูกเฉินผิงอันคว้าแขนไว้ เขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าวแล้วกล่าวกับหม่าขู่เสวียนเสียงหนัก “หากข้ายอมให้เงินเจ้า เจ้าจะไม่พูดออกไปจริงๆ หรือ?”

หม่าขู่เสวียนอึ้งงันไปเล็กน้อยเหมือนคิดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นี้จะพูดง่ายขนาดนี้ ถึงขั้นยอมทำการค้ากับตนจริงๆ ด้วย

แต่ว่าเขาเองก็คร้านจะแสดงละครต่อจึงควักถุงเงินที่งดงามและประณีตใบหนึ่งออกมาโยนลงบนพื้น เอ่ยยิ้มๆ “ข้าได้ค่าตอบแทนมาจากตระกูลหลี่แล้ว เพียงแต่ว่าข้าไม่ได้ทำเพื่อเงิน เฉินผิงอันตรอกหนีผิง เพื่อนบ้านของซ่งจี๋ซินใช่ไหม? จะโทษก็ต้องโทษคนข้างกายเจ้าผู้นั้นที่สร้างความรังเกียจให้ผู้คนมากเกินไป เมื่อคืนวานนางทำลายเรื่องใหญ่ของคนไปมากมาย”

เด็กหนุ่มกระตุกมุมปาก ยื่นนิ้วออกมาชี้ตัวเอง “ยกตัวอย่างเช่นข้า”

เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน

หม่าขู่เสวียนมองไปที่หนิงเหยายิ้มๆ “วางใจเถอะ ตอนนี้วานรเฒ่าตัวนั้นมีธุระให้ต้องจัดการชั่วคราว ข้าจึงฉวยโอกาสนี้คิดจะขอของอย่างหนึ่งมาจากเจ้า เจ้ารู้ว่าคืออะไร ใช่ไหม?”

หนิงเหยาแค่นเสียงเย็น “ระวังจะมีชีวิตมาเอาไป แต่ไม่มีชีวิตให้ใช้”

หม่าขู่เสวียนหัวเราะร่า “เจ้าไม่ใช่เมียข้าเสียหน่อย จะกังวลเรื่องนี้ไปทำไม”

เฉินผิงอันไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าจะมีคนคิดว่าเจ้าคนที่มีกลิ่นอายน่าขนลุกทั่วร่างผู้นี้เป็นคนโง่ไปได้อย่างไร?

หนิงเหยาสีหน้ามืดทะมึน เอามือแตะไหล่เฉินผิงอัน เอ่ยเตือนเสียงเบา “ไม่รู้ว่าทำไมกระบี่บินไม่สามารถเข้ามาแถบนี้ได้”

หม่าขู่เสวียนย้ายเส้นสายตาไปมองเฉินผิงอันแล้วกระตุกยิ้มมุมปาก “ศึกบนหลังคาเมื่อวานตระการตามาก ข้าบังเอิญเห็นพอดี อ้อ ใช่แล้ว เจ้าสามารถปลดกระสอบทรายที่มัดไว้ตรงน่องออกได้แล้ว หากไม่แล้วคงวิ่งตามข้าไม่ทัน”

แล้วเฉินผิงอันก็ย่อตัวลงถกขากางเกงขึ้นช้าๆ ดังคาด แต่สายตากลับจ้องไปบนร่างของหม่าขู่เสวียนตลอดเวลา

จนกระทั่งบัดนี้หนิงเหยาถึงได้ค้นพบด้วยความแปลกใจว่า ที่แท้ตรงน่องในขากางเกงของเฉินผิงอันยังพันถุงทรายไม่หนาไม่บางไว้รอบหนึ่ง

เฉินผิงอันอธิบายให้หนิงเหยาฟังหนึ่งรอบ “ตอนที่ยังเด็กมาก ท่านปู่หยางของร้านตระกูลหยางก็เคยกำชับข้าว่าต่อให้ตายก็ห้ามปลดมันลงเด็กขาด เดิมทีคิดจะเอามาใช้รับมือกับลมปราณเฮือกที่สี่ของวานรเฒ่า ตอนนี้คิดดูแล้วก็น่าจะเอาออกได้ เพราะข้ามีความรู้สึกว่าเจ้าคนที่ชื่อหม่าขู่เสวียนคนนี้อันตรายพอๆ กับวานรเฒ่า”

หม่าขู่เสวียนกระโดดลงมาจากเทวรูปเบาๆ ปรายตามองเด็กสาวท่วงท่าองอาจที่สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวเข้มพลางพึมพำกับตัวเอง “เดิมทีนึกว่าอย่างน้อยต้องรอให้ข้าออกไปจากเมืองเสียก่อนถึงจะได้เจอกับศัตรูบนวิถียิ่งใหญ่คนแรก คิดไม่ถึงว่าจะเจอเร็วขนาดนี้ ฮ่าๆ โชคจะมาต่อให้ขวางก็ขวางไม่อยู่จริงๆ”

หนิงเหยาพลันถาม “เฉินผิงอัน ตอนเด็กไอ้หมอนั่นก็ถูกหางวัวตบหน้ามาเหมือนกันหรือ?”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สลัดขาทั้งซ้ายและขวาเบาๆ อยู่หลายครั้ง ขบคิดอย่างตั้งใจก่อนถึงตอบคำถามของหนิงเหยา “แม่เฒ่าหม่ารวยมาก ข้าเลยจำได้ว่วัวของบ้านหม่าขู่เสวียนตัวใหญ่มากเป็นพิเศษ เวลาที่วัวตัวนั้นสะบัดหางเลยน่ากลัวมาก”

ตอนที่เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน หม่าขู่เสวียนกลับย่อตัวลงอีกครั้งแล้วหยิบหินก้อนหนึ่งมาวางไว้กลางฝ่ามือข้างซ้าย

สุดท้ายเด็กหนุ่มแห่งตรอกหนีผิงและเด็กหนุ่มแห่งตรอกซิ่งงฮวา คนวัยเดียวกันสองคนก็ยืนคุมเชิงกันอยู่ไกลๆ

—-

[1] เจีย (家) โดยทั่วไปแล้วแปลว่าบ้าน หรืออาจแปลเป็นคำว่าลัทธิ สำนักก็ได้ ลัทธิเต๋าภาษาจีนเรียกว่าเต้าเจีย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version