บทที่ 560 อยากพูด แต่ไม่รู้จะพูดอย่างไร
เรือข้ามฟากลำหนึ่งมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขุนเขากลางของราชวงศ์จูอิ๋งเดิม ระหว่างทาง ได้จอดพักที่ท่าเรือแห่งหนึ่งชื่อว่าจ้างอวิ๋น
ชายสองหญิงหนึ่งลงเรือมาอย่างเงียบเชียบ
เว่ยป้อยืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพชั้นบนสุดของเรือ มองส่งคนทั้งสามจากไป
หลังจากขยับเข้าใกล้ราชวงศ์จูอิ๋ง ก็เท่ากับออกมาจากภูเขาบ้านตัวเองแล้ว เข้ามาในเขตอิทธิพลของคนอื่น การรับสัมผัสที่มีต่อภูเขาพีอวิ๋นของเว่ยป้อจึงลดลง ไปมาก รอจนไปถึงขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลีก็มีแต่จะถูกกดข่มตามธรรมชาติ นี่ก็คือกฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นซึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำจำเป็นต้องเคารพ เทพภูเขาก้าวลงน้ำ เทพวารีขึ้นเขา ก็มักจะถูกมัดมือมัดเท้าเสมอ ส่วนทวยเทพแห่งขุนเขาใหญ่องค์หนึ่งที่พอออกจากเขตดินแดนของตัวเองไปเยี่ยมเยือนซานจวินที่เป็นเพื่อนร่วมงานก็ยากจะหนีพ้นหลักการนี้เช่นกัน
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังคงเป็นปัญหาไม่มาก
ช่วยไม่ได้ ตอนนี้เขาเว่ยป้อคือซานจวินห้าขอบเขตบนคนแรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป ต่อให้ซานจวินแห่งขุนเขากลางที่ไม่ค่อยปฏิบัติตามหลักมารยาทพิธีการผู้นั้นจะมีขอบเขตเท่ากับหยกดิบ แต่ถึงอย่างไรก็ยังไม่ใช่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของห้าขอบเขตบนที่แท้จริง
ครั้งนี้ออกมาจากอาณาเขตของขุนเขาเหนือ ทั้งโดยส่วนรวมและโดยส่วนตัว เว่ยป้อล้วนมีคำอธิบายที่ฟังขึ้น ต่อให้ราชสำนักต้าหลีไม่ยินดีที่เห็นเขาทำเช่นนี้ แต่ก็ยังยอมที่จะหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่ง
คนแนะนำเว่ยป้อให้กับราชสำนักต้าหลีอย่างเป็นทางการ ก็คือสวี่รั่ว จอมยุทธพเนจรสำนักโม่
ปีนั้นเว่ยป้อก็ออกจากภูเขาฉีตุนมาพร้อมกับสวี่รั่ว แล้วไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นด้วยกัน
จูเหลี่ยนที่เรือนกายงองุ้มไม่มีอะไรติดตัว
หลูป๋ายเซี่ยงที่เรือนกายสูงเพรียวพกดาบแคบหยุดหิมะ
ทางฝั่งของท่าเรือ พอลงจากเรือมาแล้ว หลิวจ้งรุ่นก็อดไม่ไหวถามจูเหลี่ยนที่เดินอยู่ข้างกายว่า “ท่านจู ตามหาตำหนักวารีและเรือมังกรนั้นไม่ยาก ตำหนักวารีแห่งนั้นยังพูดง่าย เพราะเป็นวัตถุชิ้นหนึ่งที่เซียนบรรพกาลหล่อหลอมสมบูรณ์แล้ว ข้ารู้วิธี เปิดขุนเขาของสมบัติหนักตระกูลเซียนชิ้นนี้ ยามที่เก็บเอามา ตำหนักวารีแห่งนี้ก็จะมีขนาดเท่าแค่รถม้าคันหนึ่งเท่านั้น สามารถย้ายขึ้นไปบนเรือข้ามฟากได้ แต่เรือมังกรลำนั้นอยู่ในระดับหลอมเล็กมาโดยตลอด คิดอยากจะนำกลับไปเขตการปกครอง หลงเฉวียน ก็ได้แต่ต้องผลาญเงินเทพเซียน เอาเรือมังกรมาทำเป็นเรือข้ามฟาก อาจจะเป็นการโอ้อวดตัวเกินไป”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร ทางฝั่งของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะมีคนที่มาช่วยคุ้มกันพวกเราตามหาสมบัติโดยเฉพาะ หลังจากนั้นพวกเราโดยสารเรือมังกรกลับภูเขาลั่วพั่วก็มีแต่จะราบรื่นไร้อุปสรรค”
หลิวจ้งรุ่นยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ท่านจูไม่ได้ล้อเล่นจริงๆ หรือ?”
จูเหลี่ยนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าเกาะหลิวคือเจ้าสำนักคนหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นเซียนดินโอสถทองที่ขี่เมฆทะยานหมอกได้ ข้าเป็นตาเฒ่าแก่ๆ คนหนึ่ง ไหนเลยจะกล้าทำเรื่องบุ่มบ่าม”
หลิวจ้งรุ่นจึงคิดว่าคงได้แต่เดินหนึ่งก้าวดูกันไปหนึ่งก้าวแล้ว
ตำหนักวารีและเรือมังกรสองอย่างนี้เป็นโรคทางใจของหลิวจ้งรุ่นมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะมอบให้ใครก็ล้วนถือเป็นความรู้ยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง ต่อให้มอบไปแล้ว ไม่ทันระวังมอบให้ผิดคน นั่นก็จะกลายเป็นจุดจบอนาถที่ทำให้เกาะจูไชอยู่อย่าง ไม่เป็นสุขไปอีกร้อยปี จะสามารถรักษาศาลบรรพจารย์ไว้ได้หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก
ก่อนที่จะทำการค้ากับภูเขาลั่วพั่ว เพื่อให้มีพื้นที่หยัดยืนอยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยน ได้ต่อโดยไม่ถูกสำนักเจินจิ้งควบรวมให้กลายเป็นเกาะใต้อาณัติ หลังจากหลิวจ้งรุ่น ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียดีแล้วก็ได้บอกกล่าวเรื่องตำหนักวารีแก่สำนักเจินจิ้ง เกาะจูไชอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่น ไม่อยากก้มหัวก็จำต้องก้มหัวให้ หลิวจ้งรุ่นจึงถือเสียว่าจ่ายเงินฟาดเคราะห์ สำนักเจินจิ้งก็ไม่เสียแรงที่เป็นสำนักใหญ่เบื้องล่างสำนักกุยหยกที่เป็นผู้นำของใบถงทวีป ไม่ได้ทำเรื่องต่ำช้าอย่างเกิดจิตคิดร้ายฆ่าคนปิดปาก ยึดครองสมบัติล้ำค่าไว้เพียงคนเดียวจริงๆ เกาะจูไชไม่เพียงแต่รักษาศาลบรรพจารย์เอาไว้ได้ ยังสามารถอาศัยเรื่องนี้แลกเปลี่ยนป้ายสงบสุขปลอดภัยที่ทางกรมอาญาของต้าหลีเป็นผู้แจกจ่ายให้แก่ผู้ฝึกตนบนภูเขามาได้อีกชิ้นหนึ่ง นี่ก็คือสาเหตุที่หลิวจ้งรุ่นไม่ได้ มาเยือนภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเองตั้งแต่ครั้งแรก เพียงแค่ส่งลูกศิษย์ผู้สืบทอดของ เกาะจูไชสองสามคนที่เฉินผิงอันค่อนข้างคุ้นหน้าคุ้นตามาเท่านั้น
เพียงแต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภายหลังอยู่เหนือการคาดการณ์ของนาง แปลกประหลาดยากจะเดาได้ เพราะสำนักเจินจิ้งกลับละทิ้งโอกาสช่วงชิงตำหนักวารีแห่งนั้น ไม่เพียงเท่านี้ ป้ายปลอดภัยก็ไม่ได้ถูกเก็บไปจากเกาะจูไชด้วย ด้วยเรื่องนี้หลิวจ้งรุ่นยังไปเยือนเกาะกงหลิ่วอย่างกล้าๆ กลัวๆ มาครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ได้พบกับเจ้าสำนักเจียงที่เป็นดั่งมังกรเทพเห็นแต่หัวไม่เห็นหางผู้นั้น ได้พบแค่หลิวเหล่าเฉิงผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักเจินจิ้ง หลิวเหล่าเฉิงบอกว่านี่คือประสงค์ของ เจ้าสำนัก ให้หลิวจ้งรุ่นวางใจได้ ป้ายปลอดภัยแผ่นนั้นไม่ร้อนลวกมือ หลิวเหล่าเฉิงเอ่ยแค่สองสามคำก็ไล่หลิวจ้งรุ่นกลับมาได้แล้ว
ตอนที่ออกจากเกาะกงหลิ่ว วางใจ? หลิวจ้งรุ่นไม่วางใจเลยแม้แต่น้อย
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะจะยัดเยียดให้สำนักเจินจิ้งรับตำหนักวารีเอาไว้ก็ไม่ได้
ดังนั้นสุดท้ายแล้วหลิวจ้งรุ่นถึงได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่เขตการปกครองหลงเฉวียน เดินทางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยตัวเอง เลือกภูเขาหลังอ๋าวเป็นที่ตั้งสำนัก และบอกความลับนี้แก่ภูเขาลั่วพั่ว หลิวจ้งรุ่นไม่ได้จงใจปิดบังเรื่องที่สำนักเจินจิ้งรู้ข่าวเรื่องตำหนักวารีและเรือมังกร ยังบอกถึงการตัดสินใจของสำนักเจินจิ้งด้วย ตอนนั้น จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่คลี่ยิ้มด้วยรอยยิ้มที่ค่อนข้างประหลาด แล้วก็พูดว่าเจ้าเกาะหลิววางใจได้ อีกทั้งจูเหลี่ยนยังรับรองด้วยว่าต่อให้ภูเขาลั่วพั่วไม่ไปขุดหาสมบัติ อย่างน้อยก็ไม่มีทางแพร่งพรายข่าวนี้ให้คนนอกเด็ดขาด ไม่ถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกตนเกาะจูไชที่มีสมบัติหนักติดกายชักนำภัยมาสู่ตัว
หลิวจ้งรุ่นยังคงไม่กล้าวางใจอยู่เช่นเดิม
และเวลานี้เมื่อได้มาเดินอยู่บนเส้นทางตามหาสมบัติของแคว้นบ้านเกิด อย่างแท้จริง ความรู้สึกนับน้อยนับพันก็ประดังประเดเข้าหาหลิวจ้งรุ่น หากไม่เป็นเพราะต้องการให้ตำหนักวารีและเรือมังกรเปิดเผยตัวบนโลกอีกครั้ง ชีวิตนี้หลิวจ้งรุ่น ก็คงไม่มีทางกลับมาเหยียบสถานที่แห่งความเสียใจแห่งนี้
เกี่ยวกับการเก็บหรือละทิ้งตำหนักวารีและเรือมังกร หลิวจ้งรุ่นไม่ได้มีความลังเลอะไรมากนัก
ตำหนักวารีคือรากฐานในการหยัดยืนของสำนักหนึ่ง สามารถพูดได้ว่าเป็นถ้ำสถิตเทพเซียนตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง ศาลรวมบรรพจารย์ สถานที่ฝึกตนของเซียนดิน และค่ายกลภูเขาสายน้ำ สามอย่างนี้มารวมอยู่ที่เดียวกัน หากนำไปวางไว้ในทะเลสาบซูเจี่ยนที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนดินก็ยังต้องน้ำลายสออยากครอบครอง แล้วก็มากพอจะประคับประคองให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งยึดครองไว้เป็นพื้นที่ฝึกตน ดังนั้นตอนแรกที่สำนักเจินจิ้งไม่พูดพร่ำทำเพลงก็มอบป้ายสงบสุขปลอดภัยที่มูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งให้กับหลิวจ้งรุ่นโดยตรง ก็ถือเป็นการแสดง ความจริงใจอย่างหนึ่ง
ส่วนเรือมังกรลำมโหฬารที่แม้จะไม่ถึงขั้นข้ามทวีปได้ แต่ก็มากพอจะบรรทุกสินค้าปริมาณมหาศาลเดินทางไปกลับบนพื้นที่ของหนึ่งทวีปได้ สำหรับเกาะจูไชที่เป็นสำนักเล็กๆ แล้ว ถือเป็นซี่โครงไก่ แต่สำหรับภูเขาลั่วพั่วที่มีใจทะเยอทะยานแล้วกลับช่วยคลี่คลายปัญหาเร่งด่วนที่เป็นดั่งไฟไหม้ลามขนคิ้วได้
ในขณะที่หลิวจ้งรุ่นใจลอยไปไกลหมื่นลี้ หลูป๋ายเซี่ยงก็ใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธสื่อสารกับจูเหลี่ยนอย่างลับๆ หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ต่อให้ได้เรือมังกรมาอย่างราบรื่น เจ้าก็ยังต้องวิ่งวุ่นไปมาอีกหลายที่ จะไม่ถ่วงการฝึกตนของเจ้าหรือ? กลายเป็นบุคคลที่เป็นดั่งหน้าตาของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยิ่งไม่อาจกลับไปเป็นคนคลั่ง วรยุทธที่ทำตัวกำเริบเสิบสานไร้ความกริ่งเกรงอย่างในอดีตได้อีก ทุกวันจะไม่อึดอัดใจแย่หรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “มีเรื่องให้ยุ่งวุ่นวายทุกวัน ข้าสบายใจนักล่ะ”
หลูป๋ายเซี่ยงกล่าว “หากเจ้าจูเหลี่ยนมีแผนการร้าย ขอแค่เผยพิรุธออกมา ต่อให้เฉินผิงอันจะยอมละเว้นเจ้า แต่ข้าก็จะฆ่าเจ้ากับมือตัวเองอยู่ดี”
จูเหลี่ยนเอ่ย “เจ้าไม่มีโอกาสเช่นนั้นหรอก”
หลูป๋ายเซี่ยงถาม “จะบอกว่าข้าไม่อาจฆ่าเจ้าได้ หรือจะบอกว่าเจ้ายอมอยู่บนภูเขาลั่วพั่วอย่างสงบแล้วจริงๆ ?”
จูเหลี่ยนย้อนถาม “เจ้าลัทธิหลูคือวีรบุรุษผู้มากความสามารถ หลูป๋ายเซี่ยงในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว แต่ไหนแต่ไรมาสังหารคนอย่างเด็ดขาดเสมอ เหตุใดถึงกลายเป็นคนจู้จี้จุกจิกแบบนี้ได้เล่า?”
หลูป๋ายเซี่ยงไม่เอ่ยอะไรอีก
อยู่ในใต้หล้าแห่งนั้น หลูป๋ายเซี่ยงคือคนในอดีต จูเหลี่ยนคือคนรุ่นหลัง
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “มีเพียงนายน้อยของข้าที่เข้าใจข้าที่สุดจริงๆ ขนาดชุยตงซานยังเข้าใจข้าได้แค่ครึ่งเดียว ส่วนพวกเจ้าสามคนที่เป็นคนบ้านเดียวกัน ก็ยิ่งไม่เข้าใจอะไรเลย”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มรับ ฝ่ามือลูบด้ามดาบแคบเบาๆ
จูเหลี่ยนชำเลืองตามองความเคลื่อนไหวเล็กๆ นี้ของหลูป๋ายเซี่ยง “เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้แม้แต่จะชักดาบออกจากฝักเจ้าก็ยังทำไม่ได้”
หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มตอบ “ไม่ค่อยเชื่อ”
จูเหลี่ยนเอ่ย “มีโอกาสแล้วข้าจะลองซ้อมมือเป็นเพื่อนเจ้าดีไหมล่ะ?”
หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า “เอาไว้ก่อนเถอะ ให้ผ่านไปอีกสองสามปีก่อนค่อยว่ากัน”
จูเหลี่ยนยิ้ม “นี่ข้าก็กลัวว่าเจ้าลัทธิหลูตัวคนเดียว ฟ้าสูงฮ่องเต้อยู่ห่างไปไกล (หมายถึงพื้นที่ที่ห่างไกลจากศูนย์กลางการปกครองในอดีต คนในพื้นที่มักจะไม่ หวั่นเกรงอำนาจของผู้ปกครองที่แท้จริง) ไปอยู่ในพื้นที่กันดารแร้นแค้นจนชิน ใช้ชีวิตแต่ละวันสุขสบายเกินไป ย่อมง่ายที่จะไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำน่ะสิ”
หลูป๋ายเซี่ยงหันหน้ามามองจูเหลี่ยน
จูเหลี่ยนหันมาสบตา “หลูป๋ายเซี่ยง จากพื้นที่มงคลดอกบัวที่แทบจะไม่มีผู้ฝึกตน มาถึงใต้หล้าไพศาลที่เทพเซียนภูตผีวิ่งกันให้ควั่กบนภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ช่วงหลายปีหลังที่ผ่านมานี้ เจ้าพกดาบติดตัวอยู่ตลอดเวลาเลยใช่ไหม? ทำไม? มีดาบอาคมอยู่ในมือ ใต้หล้าก็เป็นของข้าแล้วอย่างนั้นรึ? ทำไมเจ้าไม่ตัดสินใจ ให้เด็ดขาด เลียนแบบสุยโย่วเปียนที่ไปฝึกตนหวังเป็นเซียนโดยตรงเลยเล่า แบบนั้น จะไม่ยิ่งดีกว่าหรือ”
หลูป๋ายเซี่ยงขมวดคิ้ว “เจ้าไปหลบอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต้องระมัดระวังเรื่องการเข่นฆ่าอยู่ตลอดเวลาด้วยรึ? เจ้าจะมาเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร?”
จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “ฝึกหมัดคือเรื่องในบ้านตัวเอง เจ้าอย่ามาถามข้า คำตอบ เอาแบบที่น่าฟังหรือไม่น่าฟัง เจ้าอยากฟังแบบไหน ข้าล้วนตอบได้ตามที่เจ้าต้องการ ส่วนความจริงเป็นเช่นไร เจ้าก็ต้องถามตัวเองแล้ว”
หลูป๋ายเซี่ยงถอนหายใจ “ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่สักหน่อย”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อยู่ในสถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่ง คุณสมบัติดี โชควาสนาไม่เลว บางอย่างที่ไม่บริสุทธิ์ก็จะแสดงออกมาไม่ชัดเจน แต่พอมาถึงสถานที่ที่ฟ้ากว้างแผ่นดินใหญ่ กลับไม่เหมือนเดิมแล้ว พวกเราสี่คนในม้วนภาพ ก็เป็นเจ้าที่ข้าพอจะ ถูกชะตาอยู่บ้าง คำพูดเอาใจน่าฟังก็จะพูดให้น้อยลงหน่อย”
หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ ถือว่าฟังเข้าหูแล้ว
แม้หลิวจ้งรุ่นจะไม่รู้ว่าคนทั้งสองกำลังคุยกันเรื่องอะไร แต่ปราณสังหารเสี้ยวหนึ่งที่หลูป๋ายเซี่ยงแสดงออกมาเมื่อครู่นี้กลับทำให้เซียนดินโอสถทองอย่างนางเกิดหวาดหวั่นขึ้นมาได้
แล้วหลูป๋ายเซี่ยงเป็นใคร? ก็แค่ชื่อหนึ่งที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น
อารมณ์ของหลิวจ้งรุ่นหม่นหมองเล็กน้อย เมื่อไหร่ที่เกาะจูไชจะกลายเป็นสำนักตระกูลเซียนที่สงบสุขมั่นคงได้อย่างแท้จริง? ทั้งไม่ต้องคอยดูสีหน้าคนอื่น แล้วก็ ไม่ต้องเช่าภูเขาของผู้อื่น?
พาผู้สืบทอดทั้งหมดออกมาจากทะเลสาบซูเจี่ยนด้วยกัน ทิ้งไว้เพียงศาลบรรพจารย์ ที่เหลือเพียงโครงว่างเปล่า มาตั้งถิ่นฐานอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน บุกเบิกภูเขาสร้างจวนอยู่บนภูเขาหลังอ๋าว เป็นทางเลือกที่ฉลาดจริงๆ หรือ?
ตอนนี้หลิวจ้งรุ่นไม่รู้คำตอบ
นางรู้แค่ว่าจูเหลี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงที่อยู่ห่างไปไม่ไกลคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธอันดับหนึ่ง หากนำไปวางไว้ในราชวงศ์ใดๆ ในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป ก็คือแขกผู้ทรงเกียรติที่จักรพรรดิอัครเสนาบดีล้วนไม่กล้าเพิกเฉย หมัดแข็งคือ สาเหตุหนึ่ง ทว่ากุญแจสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตสามหลอมจิตได้เกี่ยวพันกับโชคชะตาบู๊ของแคว้นหนึ่งแล้ว เมื่อเทียบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำที่สร้างความมั่นคงให้แก่โชคชะตาในพื้นที่ปกครองแล้ว ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันแม้แต่น้อย ถึงขั้นยังมีประโยชน์มากกว่าด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่าจูเหลี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงสองคนเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเท่าไรกันแน่ หลิวจ้งรุ่นไม่ค่อยแน่ใจนัก ส่วนข้อที่ว่าสองคนนี้ใครร้ายกาจกว่ากัน หลิวจ้งรุ่นก็ยิ่ง ไม่อาจรู้ได้ เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสได้เห็นพวกเขาลงมืออย่างแท้จริง
สำหรับความทรงจำที่มีต่อจูเหลี่ยน ส่วนใหญ่ก็คือภาพลักษณ์ของผู้ดูแลใหญ่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าพบใครก็มีรอยยิ้มส่งให้ หลายครั้งที่ไปมาหาสู่กัน นอกจากรับรองคนได้อย่างรัดกุมไร้ข้อบกพร่องและยังทำการค้าเก่งแล้ว อันที่จริงหลิวจ้งรุ่นก็ไม่ได้ รู้จักเขาไปมากกว่านี้ ราวกับว่ายิ่งพบเจอกันบ่อยเท่าไร นางกลับยิ่งมองเขาไม่ออกเหมือนคนมองดอกไม้ในสายหมอกมากเท่านั้น
กลับเป็นหลูป๋ายเซี่ยงที่แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นพวกที่ไม่ควรไปมีเรื่องด้วย พลังอำนาจไม่ธรรมดา หากไม่ใช่คนตาบอดก็ล้วนมองเห็น
หลิวจ้งรุ่นค้นพบว่าดูเหมือนภูเขาลั่วพั่วจะอำพรางความลับมากมายที่ไม่มีใครรู้เอาไว้ มีเพียงมีโอกาสได้ใกล้ชิดกับพวกเขาถึงจะโผล่มาให้เห็นเรื่องแล้วเรื่องเล่า แล้วก็ล้วนเป็นเรื่องที่ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้ทั้งสิ้น
เว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีก็คือแขกประจำของภูเขาลั่วพั่ว ชายฉกรรจ์หลังค่อมที่สายตาล่อกแล่กไม่อยู่นิ่งคนนั้น ตอนอยู่กับเว่ยป้อกลับไม่มี ความเคารพนับถือให้แม้แต่น้อย
เถ้าแก่แซ่สือของร้านยาสุ้ยในตรอกฉีหลงมีเนื้อหนังมังสาที่ประหลาด ราวกับว่ามีกลิ่นอายของวัตถุหยินอยู่เสี้ยวหนึ่ง ทำให้หลิวจ้งรุ่นมองตื้นลึกของตบะอีกฝ่ายไม่ออก
เฉินหรูชู เฉินหลิงจวิน โจวหมี่ลี่ ภูตทั้งสามตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กชายชุดเขียว ที่ใกล้จะไปถึงคอขวดของขอบเขตประตูมังกรแล้ว หากมันเลื่อนขั้นเป็นขอบเขต โอสถทองได้เมื่อไหร่ ปีศาจโอสถทองที่เป็นเผ่าพันธุ์เจียวหลงก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกตน โอสถทองทั่วไปสามารถทัดเทียมได้ สามารถมองเป็นก่อกำเนิดครึ่งตัวได้เลย แต่ดูจากท่าทางแล้ว เฉินหลิงจวินกลับเป็นคนที่ไม่ได้รับความใส่ใจมากที่สุดบนภูเขาลั่วพั่ว และดูเหมือนว่าตัวมันเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับการที่ถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา หากไปอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยน ป่านนี้คงก่อกบฏไปนานแล้วกระมัง?
บางครั้งหลิวจ้งรุ่นก็คิดว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้นคงอยากจะเดินขึ้นฟ้าในก้าวเดียว จะสร้างสำนักอักษรจงขึ้นมาบนภูเขาลั่วพั่วที่เดิมทีไร้แซ่ไร้นามอยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียนเลยกระมัง? คิดจะช่วงชิงอันดับสูงต่ำกับสำนักกระบี่หลงเฉวียนกับ อริยะหร่วนฉง?
คิดแบบนี้ออกจะเพ้อเจ้อไปหน่อยหรือไม่?
เพราะถึงอย่างไรบนภูเขาลั่วพั่วก็มีผู้ฝึกยุทธเยอะ มีผู้ฝึกตนน้อย แล้วก็มอง ไม่ออกด้วยว่าใครที่มีโอกาสจะเลื่อนขั้นเป็นเซียนดินผู้แข็งแกร่งของห้าขอบเขตบน
หันกลับมามองสำนักกระบี่หลงเฉวียนที่เป็นเพื่อนบ้านของภูเขาลั่วพั่ว บวกรวมกับลูกศิษย์ที่รับมา แม้ผู้ฝึกตนจะยังมีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่หากไม่นับตัวของ อริยะหร่วนฉงเอง ต่งกู่ก็ได้เป็นโอสถทองแล้ว ส่วนหร่วนซิ่วบุตรสาวโทนของหร่วนฉง เพราะหลิวจ้งรุ่นมาจากทะเลสาบซูเจี่ยน คืนวันนั้นนางจึงได้เห็นภาพปรากฎการณ์ประหลาดบนเกาะแห่งนั้นไกลๆ กับตาตัวเอง อีกทั้งยังมีป้ายสงบสุขปลอดภัยติดตัว จึงเคยได้ยินข่าวเล็กๆ ที่ค่อนข้างจะน่าเหลือเชื่อมาบ้าง บอกว่าหร่วนซิ่วกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ไม่รู้ที่มาคนหนึ่งเคยร่วมมือกันสังหารผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดเฒ่าคนหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง เป็นข่าวที่ชวนให้ตะลึงพรึงเพริดอย่างแท้จริง
นอกจากนี้โอสถทองสองคนก็ยากจะอยู่ร่วมภูเขาลูกเดียวกันได้ ห่างไกลคือพันธมิตร อยู่ใกล้คือศัตรูคู่อาฆาต ก็คือกฎเกณฑ์บนภูเขาที่ไม่เคยเขียนไว้เป็น ลายลักษณ์อักษร
อาณาเขตของเขตการปกครองหลงเฉวียนที่ต่อให้จะไม่ถือว่าเล็ก อีกทั้ง ปราณวิญญาณยังเปี่ยมล้น แต่กระนั้นก็ยังไม่มากพอจะประคับประคองตระกูลเซียนอักษรจงที่เจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วันพร้อมกันถึงสองแห่งได้
ทั้งๆ ที่จูเหลี่ยนไม่เคยมาเยือนท่าเรือตระกูลเซียนมาก่อน แต่กลับดูคุ้นเคยรู้เส้นทางเป็นอย่างดี เขานำทางหลิวจ้งรุ่นและหลูป๋ายเซี่ยงไป คนทั้งสามเพิ่งจะออกมาจากท่าเรือจ้างอวิ๋น หลิวจ้งรุ่นก็ได้เห็นทหารม้ากลุ่มหนึ่งที่จำนวนไม่มาก มีประมาณยี่สิบกว่าคนเท่านั้น
แต่กลับทำให้หลิวจ้งรุ่นขนพองสยองเกล้าได้ในเสี้ยววินาที
ม้าสามตัวที่เป็นผู้นำ คนกลางคือคนหนุ่มท่าทางเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง สีหน้านิ่งขรึม ไม่ได้สวมเสื้อเกราะ ทว่าตรงเอวกลับพกดาบรบเล่มใหญ่ของต้าหลี
ม้าตัวที่อยู่ด้านข้างคือคุณชายที่สวมชุดคลุมสีดำคนหนึ่ง ตรงเอวห้อยดาบคู่สั้นยาว กำลังนั่งหาวอยู่บนหลังม้า
อีกฝั่งหนึ่งคือชายฉกรรจ์เรือนกายกำยำ
หลิวจ้งรุ่นรู้สึกว่านอกจากแม่ทัพหลักที่อยู่ตรงกลางแล้ว อีกสองคนที่เหลือ ล้วนอันตรายอย่างมาก
ส่วนกองทหารม้าต้าหลีเหล่านั้น ในฐานะองค์หญิงสิ้นแคว้น หลิวจ้งรุ่นเคยออกว่าราชการอยู่หลังม่าน จัดการงานบ้านงานเรือน หรือแม้แต่ปกครองบ้านเมืองก็ยังเคยทำมาหลายปี แน่นอนว่าย่อมเป็นผู้เชี่ยวชาญคนหนึ่ง แค่มองก็รู้ถึงความแกร่งกล้าเชี่ยวชาญการรบของทหารม้ากลุ่มนั้นแล้ว
การที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีต่อสู้เก่งนั้น ไม่ใช่แค่พวกเขากล้าหาญยินดีกระโจนเข้าหาความตายบนสนามรบเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะบนตัวพวกเขามีกลิ่นอายของกฎเกณฑ์บางอย่างที่เป็นระเบียบแผ่ออกมาด้วย
ล้วนเป็นร่องรอยที่ราชครูชุยฉานขัดเกลามาอย่างละเอียดตั้งใจ
จูเหลี่ยนเงยหน้ามองชายฉกรรจ์ผิวดำเมี่ยมแล้วถูมือยิ้มกล่าว “นี่มันใต้เท้า เว่ยอู่เซวียนหลางของพวกเราไม่ใช่หรือ!”
ชายฉกรรจ์ที่ถูกจูเหลี่ยนเรียกว่าอู่เซวียนหลางไม่สะทกสะท้าน
คนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงกลางหันหน้ามายิ้มเอ่ย “พี่ใหญ่เว่ย ผู้อาวุโสท่านนี้คือ?”
ชายฉกรรจ์ตอบไปตามตรงอย่างจริงจัง “แซ่จูนามเหลี่ยน เป็นคนรู้จักของที่บ้านเกิด คือคนบ้าคลั่งวรยุทธคนหนึ่ง ตอนนี้มีขอบเขตเดินทางไกล ทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียน”
คนหนุ่มรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย
ปรมาจารย์ขอบเขตแปด?
เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน? ในท้องถิ่นของต้าหลีมีผู้ฝึกยุทธขอบเขต เดินทางไกลคนใดบ้าง เขารู้ชัดเจนดียิ่งกว่าใคร เพราะว่าคนส่วนใหญ่ล้วนเข้าร่วมสนามรบหมดแล้ว แทบไม่มีใครอยู่ต่อในยุทธภพ
ส่วนผู้ฝึกลมปราณขอบเขตแปดอะไรนั่น เขากลับไม่ค่อยเคยได้ยินมามากนัก
เขามีชาติกำเนิดมาจากตระกูลแม่ทัพอันดับหนึ่งของต้าหลี ถือกำเนิดในตรอกฉือเอ๋อร์ของเมืองหลวงที่มีเมล็ดพันธ์แม่ทัพมากมายราวก้อนเมฆ แต่ไหนแต่ไรมาจึงไม่เคยมีความรู้สึกดีๆ ต่อผู้ฝึกตน มีเพียงผู้ฝึกยุทธเท่านั้นที่ไม่ว่าจะอยู่บนสนามรบหรืออยู่ในยุทธภพก็ล้วนเกิดความรู้สึกใกล้ชิดมาตั้งแต่เกิด
บรรพบุรุษของเขาล้วนใช้หนึ่งหมัดหนึ่งดาบต่อสู้เพื่อแผ่นดินและกิจการของราชวงศ์ต้าหลี เพื่อแซ่ตระกูลของตัวเอง
พอมาถึงตัวเขาเองก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เขาหลิวสวินเหม่ยไม่ได้ต่างจากสหายรักอย่างกวนอี้หรานที่ต่างก็ดูแคลนพวกมดปลวกที่ดีแต่เสวยสุขอยู่บนสมุดคุณความชอบของรุ่นบรรพบุรุษในตรอกอี้ฉือกลุ่มนั้นมากที่สุด ชื่อหลิวสวินเหม่ยนี้ของเขาก็เป็น นายท่านผู้เฒ่ากวนที่ตั้งให้ด้วยตัวเอง
ลูกหลานคนมีเงินในตรอกอี้ฉือและตรอกฉือเอ๋อร์จำนวนมาก หากไม่เอาถ่าน ส่งเสริมไม่ขึ้นจริงๆ ภายใต้การจัดการของคนรุ่นบิดา ก็จะไปหาค่าน้ำร้อนน้ำชาจากในที่ว่าการ ช่วยตระกูลเศรษฐีในพื้นที่สร้างสะพานสานความสัมพันธ์ หรือไม่ก็แนะนำเซียนซือบนภูเขาให้ไปรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานในตระกูลที่สนิทสนมกัน ตลอดทั้งปีคอยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่ไม่มีวันจบสิ้น อย่าเห็นว่าตอนอยู่ในวงการขุนนาง อยู่ในงานเลี้ยงน้อยใหญ่ คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นนายท่านใหญ่กันทุกคน สาวใช้ข้างกายจำเป็นต้องเป็นผู้ฝึกตนตระกูลเซียน องค์รักษ์ผู้ติดตามก็จำเป็นต้องเป็นเทพเซียนบนภูเขา แต่ลองให้พวกเขาไปที่ถนนฉือเอ๋อร์ดูสิ? มีใครบ้างที่ไม่หดคอ พูดจาเสียงแผ่วเบา?
หลิวสวินเหม่ยพลิกตัวลงจากหลังม้า กุมหมัดคารวะจูเหลี่ยนแล้วยิ้มกล่าวว่า “หลิวสวินเหม่ยคารวะผู้อาวุโสจู!”
จูเหลี่ยนรีบกุมหมัดคารวะกลับคืน หัวเราะร่าเอ่ยว่า “แม่ทัพหลิวอายุน้อยมีความสามารถ ยามจุดธูปไหว้บรรพบุรุษในศาลบรรพชนย่อมต้องมีความมั่นใจอย่างเปี่ยมล้นแน่นอน”
หลิวสวินเหม่ยหัวเราะร่าทันใด ไม่ได้รู้สึกสักนิดเลยว่าอีกฝ่ายเอาเรื่องควันธูปของบรรพบุรุษมาพูดแล้วจะเป็นการเสียมารยาทตรงไหน
แม่ทัพหลักลงจากหลังม้า เว่ยเซี่ยนจึงลงตามมา ทหารกล้าคนอื่นๆ ก็พากัน ลงจากหลังม้าด้วย
มีเพียงมือกระบี่หนุ่มชุดดำนัยน์ตาหงส์คนนั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้าต่อ เขาพยักหน้าจุ๊ปากพูด “เป็นขอบเขตทะยานลมที่ร้ายกาจมากแล้ว เว่ยเซี่ยน บ้านเกิดของเจ้ามีคนมีความสามารถเยอะจริงๆ ข้อนี้เหมือนตรอกหนีผิงบ้านพวกเรา”
ผู้ฝึกกระบี่เฉาจวิ้น
เฉาจวิ้นคือผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในทักษินาตยทวีป แต่เฉาซีผู้เป็น บรรพบุรุษกลับมีชาติกำเนิดมาจากตรอกหนีผิงของถ้ำสวรรค์หลีจู
หลูป๋ายเซี่ยงที่เดินอยู่ด้านหลังจูเหลี่ยนและหลิวจ้งรุ่นมาตลอด เวลานี้เดินมา ยืนอยู่เคียงบ่ากับจูเหลี่ยน
เว่ยเซี่ยนผงกศีรษะให้หลูป๋ายเซี่ยง หลูป๋ายเซี่ยงคลี่ยิ้มพยักหน้าตอบรับ
หลังจากที่เว่ยเซี่ยนจากชุยตงซานมาเข้าร่วมกองทัพของต้าหลี ก็ได้กลายเป็น ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพม้าเหล็กต้าหลีคนหนึ่ง อาศัยการเข่นฆ่าอันตรายที่จริงแท้แน่นอน ตอนนี้จึงรับหน้าที่เป็นอู่จ่าง (หัวหน้าของกองทหารที่มีกันห้าคน) ชั่วคราว รอให้เอกสารแต่งตั้งของกรมกลาโหมส่งมาถึง เว่ยเซี่ยนที่ได้รับตำแหน่งอู่เซวียนหลางก็จะได้เลื่อนขั้นเป็นเปียวจ่าง แน่นอนว่าหากเว่ยเซี่ยนยินดีนำทัพออกรบด้วยตัวเอง ก็สามารถเลื่อนขั้นเป็นแม่ทัพระดับหกชั้นเอก มีค่ายเป็นของตัวเอง ปกครองทหารม้าพันกว่านายได้ตามกฎ
อู่จ่างของต้าหลีนี้น่าจะเป็นอู่จ่างที่ล้ำค่าที่สุดในใต้หล้าไพศาล เพราะเมื่อพบเจอกับแม่ทัพทุกคนที่ระดับขั้นต่ำกว่าแม่ทัพระดับสามชั้นโทผู้มีอำนาจที่แท้จริงลงไป ก็ไม่จำเป็นต้องคารวะ หากมีอารมณ์แค่กุมหมัดก็พอ หากไม่ยินดี จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นก็ยังได้
ตอนนี้เว่ยเซี่ยนอยู่ในลำดับที่หกของตำแหน่งอู่ซ่านสิบสองอันดับของกองทัพ ม้าเหล็กต้าหลี อู่เซวียนหลางที่มีอักษรอู่ (บู๊) นำหน้านี้ อู่ซ่านห้าคนแรกโดยทั่วไปแล้วจะเป็นแม่ทัพบู๊ผู้มีคุณูปการผลงานการสู้รบที่ห้าวหาญบนสนามรบ ราชสำนักต้าหลี ที่มีสายบู๊เป็นรากฐานของบ้านเมือง แต่ไหนแต่ไรมาตำแหน่งอู่ซ่านอันดับหนึ่ง ก็คือตำแหน่งนายพลเอกเสาค้ำยันแคว้น เพียงแต่ว่ายศพลเอกค้ำยันแคว้นที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดนี้ ไม่แน่เสมอไปว่าจะมอบให้แค่ขุนนางสายบู๊ อย่างเดียวเท่านั้น
เฉาจวิ้นคือผู้บัญชาที่อยู่เหนือหัวเว่ยเซี่ยนมาโดยตลอด อาศัยคุณความชอบทางการทหารคอยดูแลผู้ฝึกตนติดตามกองทัพทั้งหมดในกองทัพม้าเหล็กกองหนึ่งของ ต้าหลีที่มีทหารพันนาย แม้ว่าเว่ยเซี่ยนจะเป็นแค่อู่จ่าง แต่กลับมีหน้าที่คล้ายกับผู้ช่วยของเฉาจวิ้น ตามคำบอกของชายขี้เกียจอย่างเฉาจวิ้นผู้นี้ หากไม่ต้องใช้สมองได้เขาก็จะไม่ใช้ ดังนั้นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายอย่างการโยกย้ายหรือส่งกำลังทหาร จึงชอบโยนไปให้กับเว่ยเซี่ยนที่เขาไม่รู้ที่มาที่ไปผู้นี้ เว่ยเซี่ยนบอกว่าตัวเองเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร แต่เขากลับเหมือนผู้ฝึกยุทธเต็มตัวมากกว่า แรกเริ่มยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ด้วยผู้คนรู้สึกว่าไอ้หมอนี่จะต้องเป็นพวกที่ปรึกษาที่นายท่านใหญ่ในที่ว่าการกรมกลาโหมบางคนเลี้ยงเอาไว้มากกว่า พอเห็นว่าศึกใหญ่ปิดฉากลงแล้วก็เลยทำหน้าหนามาขอคุณความชอบทางการทหาร เพียงแต่ว่าพอผ่านการเข่นฆ่ากันไปหลายครั้ง ก็ไม่มีถ้อยคำซุบซิบนินทาอะไรอีก เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ผู้ฝึกตนติดตามกองทัพที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่อยู่กับเว่ยเซี่ยน เดิมทีควรจะรบตายไปแล้ว แต่กลับมีชีวิตรอดกันทุกคน
กองทัพม้าเหล็กต้าหลีได้เตรียมม้ามาไว้เรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงขี่ม้ามุ่งหน้าไปยังพื้นที่ซ่อนสมบัติด้วยกัน อยู่ห่างจากท่าเรือจ้างอวิ๋นไม่ไกลนัก มีระยะทางสองร้อยกว่าลี้ ตำหนักวารีและเรือมังกรซ่อนอยู่ใต้แม่น้ำสายหนึ่ง เส้นทางลับนั้นถูกอำพรางไว้อย่างลึกลับ มีเพียงหลิวจ้งรุ่นเท่านั้นที่ได้ครอบครองวิธีทำลายตราผนึกภูเขาสายน้ำมากมาย ไม่อย่างนั้นต่อให้หาคลังสมบัติเจอแล้ว
เว้นเสียแต่ว่าทุบทำลายชะตาน้ำรากฐานภูเขาจนแหลกลาญ หาไม่แล้วก็อย่า หวังว่าจะได้เข้าไปในพื้นที่ลับ แต่หากทำเช่นนี้จะไปแตะต้องกลไก ทำให้ตำหนักวารีและเรือมังกรถูกทำลายตามไปด้วย
เมื่อหลิวจ้งรุ่นรู้ว่าแม่ทัพของกองทหารม้าหนุ่มอย่างหลิวสวินเหม่ยอายุไม่ถึงสามสิบปี แต่กลับเป็นแม่ทัพบู๊ระดับสี่ชั้นเอกของต้าหลี ก็ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม
ด้านหนึ่งตะลึงที่คนผู้นี้ก้าวเดินไปบนเส้นทางอนาคตได้อย่างราบรื่น การเลื่อนขั้นของแม่ทำบู๊ต้าหลีจำเป็นต้องมีคุณความชอบทางการทหารเป็นพื้นฐาน นี่คือกฎเหล็ก ตระกูลเมล็ดพันธ์แม่ทัพที่มีร่มเงาใบบุญของบรรพบุรุษปกป้องคุ้มกาย บางทีจุดเริ่มต้นอาจจะสูงสักหน่อย แต่ก็มีจำนวนน้อยมาก นอกจากนี้อีกด้านหนึ่งก็ตะลึงกับความสัมพันธ์ควันธูปในวงการขุนนางของภูเขาลั่วพั่ว คนที่ออกหน้าคือแม่ทัพบู๊ หลิวสวินเหม่ย ถ้าอย่างนั้นคนที่พยักหน้าอนุญาตเรื่องนี้ย่อมต้องเป็นแม่ทัพใหญ่ที่มีอำนาจสูงอย่างแท้จริงคนหนึ่งแน่นอน ต่อให้ไม่ใช่เฉาผิงหรือซูเกาซานที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นทูตผู้ตรวจตราแล้ว ก็น่าจะเป็นแม่ทัพบู๊ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่อยู่แค่ใต้คนทั้งสองเท่านั้น
อันที่จริงไม่ใช่แค่หลิวจ้งรุ่นเท่านั้นที่ไม่เข้าใจ แม้แต่ตัวหลิวสวินเหม่ยเองก็ยังสับสนอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้ให้เขาเป็นผู้นำขบวนกองทหารม้า คือประสงค์ที่คนสนิท คนหนึ่งของแม่ทัพใหญ่ผิงเป็นผู้ถ่ายทอดมาเอง ในกองทหารม้ากองนี้ยังมีสายลับใหญ่ของศาลาคลื่นมรกตอีกสองคนติดตามมาตรวจตรากองทัพด้วย ดูจากท่าทางแล้วคงไม่ได้มาจับตามองว่าสามคนของฝ่ายตรงข้ามเคารพกฎเกณฑ์หรือไม่ แต่มาจับตามองว่าเขาหลิวสวินเหม่ยจะทำให้อะไรให้เกิดปัญหาแทรกซ้อนหรือไม่
นี่ชวนให้ขบคิดอย่างมาก หรือว่าเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราคนใหม่มีวิธีการโดดเด่น ไม่เหมือนใคร คิดจะร่วมมือกับหัวหน้าใหญ่บางคนของศาลาคลื่นมรกตฮุบเอาสมบัติเข้ากระเป๋าตัวเอง? จากนั้นแม่ทัพใหญ่เฉาก็เลือกที่จะหลบอยู่เบื้องหลัง แล้วส่ง คนสนิทมาจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง?
หากเขาใจกล้าแบบนี้จริงๆ ก็ไม่ควรจะเปลี่ยนเขาหลิวสวินเหม่ยไปเป็นแม่ทัพบู๊ใต้บังคับบัญชาคนอื่นที่ซื่อสัตย์ภักดีต่อเขาหรอกหรือ? หากหลิวสวินเหม่ยรู้สึกว่าเรื่องนี้ผิดต่อกฎกองทัพต้าหลี เขาย่อมต้องรายงานไปยังราชสำนักแน่นอน ต่อให้จะถูก เฉาผิงแอบมาฆ่าปิดปากอย่างลับๆ แต่เขาจะเก็บกวาดเรื่องเละเทะที่เหลืออยู่ ได้อย่างไร? ตระกูลหลิวบนถนนฉือเอ๋อร์ไม่ใช่ตระกูลที่เขาเฉาผิงจะจัดการได้ตามใจชอบ ประเด็นสำคัญคือการทำเช่นนี้เป็นการทำลายกฎ ตลอดร้อยปีที่ผ่านมาขุนนาง บุ๋นบู๊ของต้าหลี ไม่ว่าขนบธรรมเนียมประจำตระกูล วิธีการ และนิสัยเป็นเช่นไร ถึงอย่างไรก็ล้วนเคยชินกับการรักษากฎกับเรื่องใหญ่ๆ
หากถูกราชสำนักซักไซ้เอาความผิด ก็จะสังหารแม่ทัพคนสนิทเพื่อให้รับความผิดแทนอย่างนั้นหรือ? ไม่เหมือนนิสัยของแม่ทัพใหญ่เฉาเลยนี่นา
แต่หากจะบอกว่ามีคนที่มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนสามารถทำให้เฉาผิงรับฟังคำสั่ง ให้ทูตผู้ตรวจตราซึ่งระดับเท่าเทียมกับนายพลเอกของราชสำนักลงมือวางแผน ด้วยตัวเอง หลิวสวินเหม่ยก็ยิ่งไม่กล้าเชื่อ ถึงอย่างไรก็คงไม่ใช่ความต้องการของ ใต้เท้าราชครูหรอกกระมัง?
เพื่อสมบัติลับแห่งขุนเขาสายน้ำที่มีคนนำทางไปตามหา ต้องทำลับๆ ล่อๆ แบบนี้ด้วยหรือ?
กองทัพม้าเหล็กต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ไปตลอดทาง วัตถุบนภูเขาที่เก็บรวบรวมมาได้มีมากมายจนกองพะเนินเป็นภูเขา ศาลภูเขาสายน้ำที่ถูกสั่งห้ามหรือถูกทุบทิ้งก็มีมากหลายพันแห่ง ซึ่งล้วนดำเนินงานไปตามกฎที่ต้าหลีตั้งไว้ทั้งสิ้น
แต่เรื่องครั้งนี้กลับไม่ใช่?
หลิวสวินเหม่ยรู้สึกสงสัยใคร่รู้อยู่เต็มหัวใจ
อีกทั้งยังหวังว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่รอดจนได้รู้คำตอบนี้
หลิวสวินเหม่ยขี่ม้าเคียงไปกับหลิวจ้งรุ่นเพื่อปรึกษากันเรื่องเส้นทาง
เว่ยเซี่ยนกับหลูป๋ายเซี่ยงตามมาด้านหลัง พูดคุยเรื่องในอดีต
ในบรรดาคนทั้งสี่ของม้วนภาพ ภายนอกหลูป๋ายเซี่ยงถือว่าเป็นคนที่อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ง่ายที่สุด เพราะไม่ว่ากับใครก็ล้วนพูดคุยด้วยได้
คนที่เหลืออีกสามคนแทบจะคุยกันไม่รู้เรื่อง
ฝ่ายจูเหลี่ยนก็ไม่รู้ว่าไปทำอีท่าไหนถึงได้ขี่ม้ารั้งอยู่ท้ายขบวนร่วมกับเฉาจวิ้น คนทั้งสองพูดคุยกันอย่างถูกคอ เรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คุยกันได้หมด แน่นอนว่าบุรุษตัวโตๆ สองคน หากไม่คุยเรื่องสตรีให้มากหน่อยคงไม่ค่อยเข้าท่า สักเท่าไร
ไม่ว่าเจ้าเฉาจวิ้นจะพูดเรื่องอะไร หากถ้อยคำที่ข้าจูเหลี่ยนตอบคำถามไม่แทงเข้าไป ในใจของเจ้า ก็ถือว่าฝีมือของข้าผู้เป็นพ่อครัวเฒ่าไม่เลิศล้ำพอ ถึงได้ทำกับข้าว ไม่ถูกปากคนกิน
เขาพูดจนเฉาจวิ้นดวงตาเป็นประกาย อยากจะออกจากกองทัพไปเป็นผู้ถวายงานที่ภูเขาลั่วพั่วซะเสียเดี๋ยวนี้
หลี่ซีเซิ่งพาชุยซื่อผู้เป็นเด็กรับใช้ออกจากยอดเขาสิงโตมาแล้วก็ย้อนกลับไปที่เมืองแห่งหนึ่งของแคว้นชิงเฮา แคว้นชิงเฮาคือแคว้นเล็กที่อยู่ห่างไกลของอุตรกุรุทวีป แต่ว่าไม่ใช่แคว้นใต้อาณัติของแคว้นใหญ่อะไร
ในเมืองแห่งนั้น หลี่ซีเซิ่งซื้อเรือนเล็กหลังหนึ่งในสถานที่ที่ชื่อว่าถนนถ้ำเซียน ฝั่งตรงข้ามคือบ้านของตระกูลแซ่เฉิน เป็นครอบครัวที่พอจะมีกิน ไม่ถือว่าเป็น ตระกูลสูงร่ำรวยอะไรของเมืองหลวง มีคนวัยเดียวกันกับหลี่ซีเซิ่ง ในชื่อมีอักษรว่าเป่าอยู่พอดี เขาชื่อว่าเฉินเป่าโจว คือปัญญาชนว่างงานที่ไม่ได้สอบติดเคอจวี่มียศ มีตำแหน่งอะไร
ฝีมือด้านการเล่นพิณ หมากล้อม เขียนพู่กันและวาดภาพล้วนไม่ธรรมดา หลี่ซีเซิ่งมักจะออกเดินทางไปท่องเที่ยวพร้อมกับคนผู้นี้เป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้เดินทางไปไกลมากนัก
ก่อนหน้านี้จากแจกันสมบัติทวีปมาถึงอุตรกุรุทวีป หลี่ซีเซ่งเดินทางขึ้นเหนือมาตลอดทาง จากนั้นก็มาหยุดอยู่ที่นี่ และยังอาศัยความสัมพันธ์บางอย่างจนได้งานตำแหน่งค่อนข้างต่ำในที่ว่าการของหน่วยการศึกษาในเมือง ก่อนจะไปที่สำนัก ชิงเหลียง ทุกวันหลี่ซีเซิ่งจะต้องเดินผ่านข้างซุ้มหินประตูหน้าที่ว่าการที่เขียนคำว่า ‘เปิดฟ้าชะตาบุ๋น’ ที่ว่าการเป็นเรือนสิบสองชั้น นับว่าไม่เล็กแล้ว
ใต้เท้าเซวี๋ยเจิ้ง (ขุนนางที่ดูแลเรื่องการศึกษาและทำหน้าที่เป็นผู้คุมสอบ) ชื่นชอบหลี่ซีเซิ่งมาก ด้วยรู้สึกว่าคนหนุ่มจากต่างถิ่นผู้นี้มีความรู้ไม่ธรรมดา แน่นอนว่าใต้เท้าเซวี๋ยเจิ้งเป็นขุนนางมือสะอาดที่ขึ้นชื่อว่าชายแขนเสื้อสองข้างมีลมเย็น สามารถเปลี่ยนจากที่ว่าการน้ำใสเลื่อนขั้นสู่จุดศูนย์กลางการปกครองของราชสำนัก รับหน้าที่เป็นรองเจ้ากรมพิธีการได้ แน่นอนว่าเขายังต้องมี ‘ความรู้’ อย่างอื่นเพิ่มเติมด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาผลัดชนจอกดื่มสุราดับทุกข์กับหลี่ซีเซิ่ง หลี่ซีเซิ่งจึงแอบทิ้ง ‘ความรู้’ เหล่านั้นเอาไว้ให้ ส่วนใต้เท้าเซวี๋ยเจิ้งก็แอบเก็บเอาไป
วันต่อมาหลี่ซีเซิ่งก็กลายมาเป็นเสมียนคนหนึ่งของที่ว่าการหน่วยการศึกษา
แรกเริ่มชุยซื่อยังรู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว เหตุใดอาจารย์ที่สง่างาม มีคุณธรรมของตนถึงทำเรื่องแบบนี้ได้ เหตุใดบัณฑิตถึงได้มีการกระทำราวกับชนชั้นตลาดล่างเช่นนี้?
หลี่ซีเซิ่งไม่ได้อธิบายอะไรให้ชุยซื่อฟัง
ย้อนกลับมาในเมืองครั้งนี้ ที่ว่าการของหน่วยการศึกษาแห่งนั้นไม่มีตำแหน่งของหลี่ซีเซิ่งอยู่แล้ว พวกเขาหาข้ออ้างง่ายๆ ก็สามารถลบตำแหน่งเสมียนของหลี่ซีเซิ่งไปได้แล้ว
หลี่ซีเซิ่งเองก็ไม่ได้สนใจ
ระหว่างที่เดินทางมาชุยซื่อถามว่าครั้งนี้อาจารย์จะมาอยู่ที่แคว้นชิงเฮานานแค่ไหน หลี่ซีเซิ่งตอบว่านานมาก อย่างน้อยก็สามสิบสี่สิบปี
แรกเริ่มชุยซื่อยังใจไม่ดี กลัวว่าจะเป็นหลายร้อยปี แต่พอได้ยินว่าแค่เวลาสั้นๆ สามสิบสี่สิบปี เขาก็โล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
เพราะถึงอย่างไรเขากับอาจารย์ก็ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดาด้านล่างภูเขาอีกแล้ว
ส่วนตัวของชุยซื่อเองนั้น พอคิดถึงประวัติความเป็นมาของตนก็มักจะมีความกลัดกลุ้มที่ไม่ว่าปัดเป่าอย่างไรก็ไม่จางหาย เพียงแต่ว่าทุกวันต้องกลัดกลุ้มอยู่กับเรื่องนี้ เด็กหนุ่มก็ไม่คิดกลัดกลุ้มเพิ่มอีก เพราะถึงอย่างไรเขาก็ต้องกลัดกลุ้มอยู่แล้ว
วันนี้หลี่ซีเซิ่งคลี่ม้วนอักษรภาพออกอีกครั้งเพื่อดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำ
ชุยซื่อรู้ถึงความเคยชินของอาจารย์ตัวเองดี จึงจุดธูปไว้ด้านข้างนานแล้ว อันที่จริง หลี่ซีเซิ่งไม่ได้มีรสนิยมบ้านๆ เช่นนี้ เพียงแต่ชุยซื่อชอบทำ เขาก็เลยไม่ห้ามปราม
บนม้วนภาพวาดคืออาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่กำลังนั่งสอนตำรา อาจารย์ผู้เฒ่าคือปราชญ์ของของสำนักศึกษาอวี๋ฝู ครั้งแรกๆ ที่มองภาพอักษร ชุยซื่อยังฟังอย่างตั้งใจ ภายหลังรู้สึกว่าน่าเบื่อหน่าย เพราะเรื่องที่เขาพูดถึงเป็นเรื่องโบราณคร่ำครึ ทุกครั้ง ที่ถ่ายทอดความรู้ก็อธิบายแค่หลักการเหตุผลข้อเดียว จากนั้นก็พลิกกลับไปกลับมา อ้อมไปอ้อมมา สรุปก็คือพูดถึงหลักการเหตุผลเล็กๆ น้อยๆ แต่ละอย่างของหลักการเหตุผลใหญ่ข้อนี้แค่นั้นเอง ชุยซื่อรู้สึกว่าจืดชืดไร้ความน่าสนใจอย่างยิ่ง หลักการเหตุผลพวกนี้ แค่เป็นคนที่เคยอ่านตำรามาบ้าง ใครเล่าจะไม่เข้าใจ? จำเป็นต้องให้อาจารย์ผู้เฒ่าอธิบายละเอียดยิบแบบนี้ด้วยหรือ?
มิน่าเล่าภายหลังตอนที่อาจารย์พาเขาไปเที่ยวที่สำนักศึกษาอวี๋ฝู ถึงได้รู้ว่าอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ถูกคนหัวเราะเยาะว่าเป็นหนอนหนังสือแก่ที่พยามยามเก็บหาแต่ถ้อยคำสำนวนที่ไพเราะ อาจารย์ผู้เฒ่ายังถูกมองว่าเป็นนักปราชญ์ที่ไม่มีความรู้ ที่แท้จริงในสำนักศึกษาอีกด้วย ภายหลังในด้านการถ่ายทอดความรู้ พวกลูกศิษย์ ลัทธิขงจื๊อที่มาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษาก็ทนกันไม่ไหว อาจารย์ผู้เฒ่าจึงถูกทางสำนักศึกษามอบหมายงานนี้มาให้ นั่นคือให้รับผิดชอบดูแลบุปผาในคันฉ่องจันทรา ในสายน้ำ ช่วยอบรมสั่งสอนผู้ฝึกตนบนภูเขา ไม่เพียงแค่สำนักศึกษาเท่านั้นที่รู้ว่า นี่เป็นงานที่ให้ทำแค่พอเป็นพิธีเท่านั้น คาดว่าแม้แต่ตัวอาจารย์ผู้เฒ่าเองก็คงรู้ดีว่า ไม่มีทางมีใครมาฟังเขาพูดจาไร้สาระ แต่กระนั้นเขาก็ยังอธิบายมาเป็นเวลานานถึงสามสิบปี อาจารย์ผู้เฒ่ามีความสุขกับความสงบที่ตัวเองได้รับอยู่ไม่น้อย บางครั้ง ยังเอาตำรา บทประพันธ์ เทียบตัวอักษรที่ตัวเองชอบมาแล้วคัดเลือกประโยคหนึ่ง ในนั้นมาสอดแทรกเข้าไปในคำสอนตามอารมณ์ของตัวเองด้วย
ชุยซื่อได้ยินเรื่องราวเก่าแก่เป็นกระบุงโกยของอาจารย์ผู้เฒ่าจากบนถนนใหญ่ของสำนักศึกษาอวี๋ฝูที่เต็มไปด้วยร้านหนังสือ ว่ากันว่าตอนนั้นการที่เขาได้รับยศนักปราชญ์ ก็เพราะโชคช่วยล้วนๆ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สักเท่าไร แรกเริ่มยังพอมีคนเฉลียวฉลาดจากฝ่ายต่างๆ มาผูกมิตรเป็นสหายร่วมประพันธ์บทกลอนกับ อาจารย์ผู้เฒ่าที่ตอนนั้นยังไม่แก่เฒ่า วงการนักประพันธ์ของแต่ละแคว้น สำนักศึกษาใหญ่ของแต่ละพื้นที่ต่างก็เชื้อเชิญให้คนผู้นี้ไปถ่ายทอดวิชาความรู้กัน อย่างกระตือรือร้น ถึงท้ายที่สุดแม้แต่วงการขุนนางที่ชอบประจบสอพลอผู้ที่ยังไม่มีอำนาจก็ยังหมดความสนใจ แรกเริ่มเทียบตัวอักษร ลายมือบนหน้าพัด กลอนคู่ ที่มาจากลายมือของคนผู้นี้ยังสามารถขายได้หลายพันตำลึง ภายหลังกลายเป็น ไม่กี่ร้อยตำลึง ไม่ถึงร้อยตำลึง จนมาถึงวันนี้ อย่าว่าแต่สิบตำลึงก็ยังไม่มีใครซื้อเลย ยกให้เปล่าๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะมีคนยินดีรับไว้
แต่ชุยซื่อกลับสังเกตเห็นว่าอาจารย์ของตนเข้าฟังคำสั่งสอนของอาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้ทุกครั้งไม่มีขาด
ต่อให้เป็นช่วงเวลาระหว่างที่สอนหนังสือให้กับลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อ เก้าคนของเจ้าสำนักเฮ้อแห่งสำนักชิงเหลียง ก็ยังจะคอยมองดูบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำอยู่เสมอ
บนม้วนภาพวาด อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นนั่งตัวตรงอย่างสำรวมอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนมาสามสิบปี เขากระแอมให้ลำคอชุ่มชื้น หยิบตำราเล่มหนึ่งที่เพิ่งได้มาขึ้นมา คือบันทึกภูเขาสายน้ำเล่มหนึ่ง หลังจากบอกชื่อหนังสือเร็วๆ แล้ว อาจารย์ผู้เฒ่าก็บอกกล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการบรรยาย บอกว่าวันนี้จะสอนว่าความมหัศจรรย์ของประโยค ‘หมู่บ้านชนบทเตาเล็กจุดไฟ ท้อหลีในวัดดอกร่วงโรย’ ในตำรานั้นอยู่ที่ตรงไหน แล้วเหตุใดสองคำว่า ‘หมู่บ้าน’ และ ‘ในวัด’ ถึงกลายมาเป็นภาระที่ทำให้เกิดข้อด้อยในความสมบูรณ์แบบ อาจารย์ผู้เฒ่าหน้าแดงเล็กน้อย สีหน้าของเขาไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก ชูบันทึกท่องเที่ยวเล่มนั้นขึ้นสูง มือทั้งสองข้างจับประคองตำรา ราวกับว่าจะแสดงชื่อหนังสือให้คนเห็นชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
ชุยซื่อทำสีหน้าเอือมระอา “อาจารย์ อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้จะหิวตายแล้วหรือ? ถึงได้ช่วยร้านขายหนังสือทำการค้าด้วย?”
หลี่ซีเซิ่งยิ้มบางๆ “นี่เป็นครั้งแรก ก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อน คาดว่าคงเป็นสหายที่ขอร้องมา จึงไม่อาจปฏิเสธได้”
ชุยซื่อฟุบตัวลงบนโต๊ะ ถอนหายใจเอ่ยว่า “เป็นนักปราชญ์แต่ทำตัวถึงขั้นนี้ก็ควรจะหน้าแดงบ้างแล้วจริงๆ”
ชุยซื่อหัวเราะ “แต่ในที่สุดวันนี้อาจารย์ผู้เฒ่าก็ไม่พูดหลักการเหตุผลที่เลื่อนลอยพวกนั้นแล้ว ดีมากเลยล่ะ ไม่อย่างนั้นข้ารับรองเลยว่าผ่านไปแค่ก้านธูปเดียว ข้าต้องง่วงอีกแน่”
หลี่ซีเซิ่งฟังอาจารย์ผู้เฒ่าในม้วนภาพบรรยายเรื่องวิถีของบทกลอนแล้วถามว่า “ใครบอกว่าความรู้จะต้องมีประโยชน์ถึงจะเป็นความรู้ที่ดีได้?”
ชุยซื่อนึกว่าตัวเองฟังผิดไป “อาจารย์?”
หลี่ซีเซิ่งมองม้วนภาพวาดอยู่ตลอดเวลา หูก็รับฟังถ้อยคำของอาจารย์ผู้เฒ่า แต่กลับยิ้มเอ่ยกับชุยซื่อว่า “ชุยซื่อ ข้าถามคำถามเจ้าเล็กๆ ข้อหนึ่ง หนึ่งตำลึงหนึ่งจิน น้ำหนักสองอย่างนี้ มีน้ำหนักเท่าไรกันแน่?”
ชุยซื่อยิ่งมึนงง นี่ก็เรียกว่าเป็นคำถามได้ด้วยหรือ?
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยต่อว่า “น้ำหนักสองอย่าง ใครเป็นคนตั้งกฎเกณฑ์ ช่วงแรกเริ่มสุด ตาชั่งและตุ้มชั่งน้ำหนักอยู่ในมือของใคร เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน กับหนึ่งหมื่นปีให้หลัง จะมีความคลาดเคลื่อนสักนิดหรือไม่? หรือหากมีความคลาดเคลื่อนแม้เพียงเสี้ยวเดียว การเคลื่อนโคจรของหมื่นสรรพสิ่งในใต้หล้า จะมีอะไรที่ได้รับผลกระทบบ้าง?”
ชุยซื่อเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง แล้วก็ให้รู้สึกปวดหัวราวกับหัวจะแตก
หลี่ซีเซิ่งเอ่ยเนิบช้า “ความรู้บางอย่างบนโลกที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด มองดูเหมือนอยู่ห่างจากโลกมนุษย์ไปไกลแสนไกล แต่ไม่อาจพูดได้ว่าพวกมันไม่มีประโยชน์ จะต้องมีความรู้บางอย่างที่มองดูเหมือนไม่มีประโยชน์ แล้วก็ต้องมีคนที่เอามันมาทำเป็นความรู้ เรื่องพวกนี้ที่ข้าพูดกับเจ้า ช่วยให้เจ้าหาเหรียญทองแดงได้สักเหรียญหนึ่งไหม? หรือว่าช่วยให้ตบะของเจ้าพัฒนาได้บ้างหรือไม่?”
ชุยซื่อส่ายหน้า “ไม่ค่อยได้”
หลี่ซีเซิ่งมองไปยังบัณฑิตแห่งสำนักศึกษาที่รูปโฉมแก่ชราในม้วนภาพวาดแล้วก็ให้รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาดึงสายตากลับมา หันหน้ามามองเด็กหนุ่มที่ ‘ไม่ใช่คน’ เพราะเป็นเพียงแค่เศษกระเบื้องกองหนึ่งที่ถูกนำมาประกอบเข้าด้วยกัน แล้วเอ่ยว่า “หล่อหลอมปราณวิญญาณมาใช้เอง เดินขึ้นฟ้าทีละก้าว เป็นอมตะไม่เสื่อมสลาย ก็คือการฝึกตนถามมรรคา ชาวลัทธิขงจื๊ออย่างพวกเราจะต้องนำบทความคุณธรรม ความรู้บนหน้ากระดาษกลับไปหล่อเลี้ยงคนบนโลก
นี่ก็คือการโน้มน้าวให้คนทำความดีของลัทธิขงจื๊อ สายลมฤดูใบไม้ผลิพัดโชย ยามราตรี หล่อเลี้ยงให้สรรพสิ่งชุ่มชื้นอย่างไร้เสียง นี่ก็คือขอบเขตสูงสุดของความรู้”
หลี่ซีเซิ่งเงียบงันไปครู่หนึ่ง เขามองควันธูปที่ลอยกรุ่นอยู่เหนือกระถางธูป แล้วเอ่ยว่า “หนึ่งเก็บ ก็คือฟ้าและคนผสานรวมเป็นหนึ่ง พิสูจน์มรรคาความเป็นอมตะ หนึ่งปล่อย นับแต่โบราณอริยะปราชญ์ล้วนเงียบเหงา มีเพียงบทความที่ทิ้งไว้นานร้อยปีพันปี ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงล้วนไม่เคยเอาแต่แสวงหาความเป็นอมตะอย่างเดียวเท่านั้น”
ถึงอย่างไรอาจารย์ผู้เฒ่าก็แก่แล้ว พูดไปพูดมาตัวเขาเองก็เริ่มเหนื่อย ในอดีตที่ต้องสอนหนังสือในสำนักศึกษาหนึ่งชั่วยาม เขาก็สามารถพูดได้นานถึงครึ่งชั่วยาม
แต่วันนี้ผ่านไปแค่ครึ่งชั่วยาม เขาก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงและกำลังใจให้อธิบายต่อไปอีกแล้ว สีหน้าของอาจารย์ผู้เฒ่าเศร้าอาลัย ทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดพึมพำกับตัวเองว่า “อันที่จริงข้ารู้ว่าไม่มีคนฟัง ไม่มีใครฟังเรื่องพวกนี้ที่ข้าพูด”
ผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเบา “เมื่อยี่สิบปีก่อน ฟังเจ้าขุนเขาอธิบาย ทุกๆ สามวันห้าวันยังพอจะมีปราณวิญญาณเพิ่มมาจากเงินเกล็ดหิมะบ้าง เมื่อสิบปีก่อนก็น้อยลงมากแล้ว ทุกครั้งพอได้ยินว่ามีคนยินดีทุ่มเงินแสดงความเวทนาต่อความรู้ของข้าผู้อาวุโส ข้าผู้อาวุโสก็จะต้องหาคนไปดื่มเหล้าด้วย…”
พูดมาถึงตรงนี้ ผู้เฒ่าก็เค้นรอยยิ้มออกมา หยิบตำราบันทึกการท่องเที่ยวเล่มนั้นขึ้น “ก็คือตาเฒ่าที่พิมพ์หนังสือเล่มนี้ขายแลกเงินนี่แหละ เวลาเพียงชั่วพริบตา ดื่มเหล้าด้วยกันแค่ไม่กี่มื้อก็แก่กันหมดแล้ว”
“หลายปีที่ผ่านมานี้ก็ยิ่งไม่สามารถอาศัยความรู้น้อยนิดพวกนี้ช่วยหาเงินเกล็ดหิมะ มาให้ทางสำนักศึกษาได้แม้แต่เหรียญเดียว รู้สึกผิดต่อมโนธรรมในใจจริงๆ”
สีหน้าของผู้เฒ่าเศร้าสลด เขาวางตำราเล่มนั้นลง แล้วจู่ๆ ก็พูดกลั้วหัวเราะ อย่างฉุนๆ ว่า “เจ้าเฒ่าแซ่เฉียน ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังดูอยู่ กลัวว่าข้าจะไม่ช่วยเจ้า ขายหนังสือใช่ไหม?! มารดาเจ้าเถอะ เอาขาที่ยกขึ้นนั่งไขว่ห้างลงซะ หรือจะไม่เอาลงก็ได้ จำไว้ว่าอย่าดื่มเหล้ากินกับแกล้มจนหมด จะดีจะชั่วก็เหลือไว้ให้ข้าบ้าง รอให้ข้าออกไปจากสำนักศึกษา แล้วให้ข้าได้กินสักคำสองคำก็ยังดี”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะ “บรรยายคราวนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะสร้างความอัปยศให้ตัวเองในสำนักศึกษาแล้ว ไม่มีคนฟังก็ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องเสียเงิน อย่างเปล่าประโยชน์ ฝึกตนอยู่บนภูเขาไม่ใช่เรื่องง่าย ความรู้ที่ข้าบรรยายมาสามสิบปีไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ ดูอย่างข้าสิ สภาพข้าในทุกวันนี้เหมือนบัณฑิต เหมือนคนมีความรู้ไหม? ขนาดตัวข้าเองยังรู้สึกว่าไม่เหมือน”
ผู้เฒ่าเตรียมจะเก็บบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำลงไป เขามีแต่ยศนักปราชญ์ของสำนักศึกษาที่ว่างเปล่า ไม่ใช่ผู้ฝึกตนจริงๆ จึงไม่อาจโบกมือให้เกิดลมเกิดฝน อะไรได้
และเวลานี้เอง หลี่ซีเซิ่งที่อยู่ในแคว้นชิงเฮาก็โยนเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งลงไปเบาๆ เขาลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะพลางเอ่ยว่า “บัณฑิตหลี่ซีเซิ่งได้รับผลประโยชน์มากมาย ขอคารวะขอบคุณท่านอาจารย์มา ณ ที่นี้”
อาจารย์ผู้เฒ่าคนนั้นอึ้งตะลึงค้างอยู่กับที่เป็นนาน เขาถึงขั้นน้ำตาคลอ โบกมือกล่าวว่า “มิกล้ารับ มิกล้ารับ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เขาเข้าใจผิดคิดว่ามีคนโยนเงินร้อนน้อยมาหนึ่งเหรียญจึงพูดเสียงเบาว่า “บันทึกขุนเขาสายน้ำเล่มนั้น อย่าได้ไปซื้อตามเด็ดขาด ไม่คุ้มค่า ราคาแพงจะตายอยู่แล้ว ไม่คุ้มค่าแม้แต่นิดเดียว! ต่อให้จะมีเงินเทพเซียนมากแค่ไหนก็ไม่ควรเอามาใช้ฟุ่มเฟือยเช่นนี้ เรื่องของการฝึกอบรมตนและปกครองบ้านเรือน พูดไปแล้วอาจฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ในความเป็นจริงก็ควรลงมือจากเรื่องเล็กๆ …”
เมื่อเริ่มจะพร่ำพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ด้วยความเคยชิน อาจารย์ผู้เฒ่า ก็พลันหุบปากฉับ สีหน้าเปลี่ยวเหงา เอ่ยเย้ยหยันตัวเองว่า “ไม่พูดแล้วๆ”
แล้วจู่ๆ ก็มีคนทุ่มเงินฝนธัญพืชลงมาอีกเหรียญหนึ่ง พูดด้วยเสียงดังกังวานว่า “หลิวจิ่งหลงรับฟังคำสั่งสอนของอาจารย์มาสามสิบปี ขอขอบพระคุณอาจารย์มา ณ ที่นี้ ครั้งนี้ออกจากด่านมา โชคดีที่ไม่พลาดการสอนครั้งสุดท้ายของท่านอาจารย์!”
ไม่เพียงแค่อาจารย์ผู้เฒ่าเท่านั้นที่รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า แม้แต่ชุยซื่อเองก็ยังอดไม่ไหวเปิดปากถาม “อาจารย์ คือหลิวจิ่งหลงเซียนกระบี่หนุ่มของสำนักกระบี่ไท่ฮุยหรือ?”
หลี่ซีเซิ่งพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
อาจารย์ผู้เฒ่าน้ำตาไหลอาบใบหน้าแก่ชรา สุดท้ายเขานั่งตัวตรงอย่างสำรวม เอวยืดหลังตั้ง ยิ้มกล่าวว่า “วันหน้ามีโอกาสจะต้องมาดื่มเหล้ากับข้าล่ะ! ไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษาแล้ว แต่ก็อยู่ห่างไปไม่ไกล หาได้ง่าย แค่บอกไปว่ามาหาอาจารย์ กั่วเจี่ยวจะต้องหาเจอแน่นอน ถึงเวลานั้นข้าจะต้องบ่นสักหน่อยว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่แสดงตัวตนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ ให้ข้าผู้อาวุโสได้มีหน้ามีตาอยู่ในสำนักศึกษาบ้าง”
แล้วจู่ๆ คนที่สามที่แม้จะไม่ได้ทุ่มเงิน แต่กลับส่งเสียงดังสะท้อนก้องขึ้นว่า “ครั้งนี้บรรยายความรู้ได้แย่ที่สุด แต่ความสามารถในการช่วยคนขายหนังสือ กลับไม่น้อย ทำไมไม่ไปเปิดร้านขายหนังสือเองเลยเล่า ข้าโจวมี่กลับยินดีจะซื้อ หลายๆ เล่ม”
อาจารย์ผู้เฒ่ากดเสียงลงต่ำ ถามหยั่งเชิงไปว่า “เจ้าขุนเขาโจว?”
คนผู้นั้นหัวเราะหึหึ “ไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใคร? ในอุตรกุรุทวีป ใครสามารถพูดคำว่า ‘ข้าโจวมี่’ ได้อย่างถูกต้องชอบธรรมแบบนี้อีก?”
อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนั้นรีบวิ่งไปปิดตำราอริยะปราชญ์เล่มหนึ่งที่เปิดอ้าอยู่ ไม่ให้คนทั้งสามได้เห็นสภาพอับจนของตัวเอง
อาจารย์ผู้เฒ่าอายุปูนนี้แล้ว ถึงอย่างไรก็ยังต้องรักษาหน้าตาเอาไว้บ้าง
ในขณะที่ซานจวินเว่ยป้อกำลังจะออกจากภูเขาพีอวิ๋น
ขบวนรถม้ายิ่งใหญ่ขบวนหนึ่งก็ทำการย้ายบ้านออกไปจากเมืองไหวหวง เขตการปกครองหลงเฉวียน
ไม่ใช่ว่าไม่มีเงินโดยสารเรือข้ามฟากตระกูลเซียนของภูเขาหนิวเจี่ยว แต่เป็นเพราะไม่มีใครยอมตอบตกลง นี่ทำให้สตรีแต่งงานแล้วที่มีอำนาจใหญ่ในการดูแลทรัพย์สินเงินทองรู้สึกเสียดายอย่างมาก ตลอดชีวิตที่ผ่านมานางยังไม่เคยนั่ง เรือข้ามฟากตระกูลเซียนมาก่อนเลย
ช่วยไม่ได้ บุตรชายที่ไม่อนุญาต นางที่เป็นมารดาก็จนปัญญา ได้แต่คล้อยตามเขาไป
ตระกูลหม่าในตรอกซิ่งฮวา หลังจากหญิงชราตายไป เพียงไม่นานหลานชายของหญิงชราก็ออกไปจากเมืองเล็กด้วย บ้านบรรพบุรุษถูกปล่อยว่างไว้ตลอด ส่วนลูกชายลูกสะใภ้ของหญิงชราก็ย้ายออกจากบ้านบรรพบุรุษในตรอกซิ่งฮวาไปนานแล้ว ตระกูลหม่ามีเงิน แต่กลับไม่เปิดเผยตัวตน ก็เหมือนกับบิดาของหลินโส่วอีที่ทำงานอยู่ในที่ว่าการงานเตาเผาที่มีอำนาจ แต่กลับไม่โดดเด่น ความทรงจำที่ผู้คนมีต่อเขาจึงเห็นเป็นแค่เสมียนปลายแถว คนของสองตระกูลนี้จึงมีสภาพการณ์ที่ไม่ต่างกัน สักเท่าไร
ปีนั้นสามีภรรยาตระกูลหม่าย้ายออกไปจากตรอกซิ่งฮวา แต่กลับไม่ได้ไปซื้อบ้านอยู่บนถนนฝูลวี่หรือตรอกเถาเย่ และตอนนี้ก็ได้แอบขายเตาเผามังกรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษเปลี่ยนมือให้แก่สกุลสวี่นครลมเย็นที่ให้ราคาสูงเทียมฟ้าแล้ว
จากนั้นภายใต้การจัดการของบุตรชาย พวกเขาก็ย้ายบ้านไปอยู่ในอาณาเขตของภูเขาเจินอู่หนึ่งในปฐมสำนักของสำนักการทหาร รุ่นลูกรุ่นหลานในภายภาคหน้าก็จะลงหลักปักฐานอยู่ที่นั่น อันที่จริงสตรีแต่งงานแล้วไม่ค่อยเต็มใจนัก และบุรุษของนาง ก็ไม่รู้สึกสนใจสักเท่าไร สองสามีภรรยาอยากจะไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลีมากกว่า
แต่น่าเสียดายที่บุตรชายบอกแล้วว่า พวกเขาที่เป็นพ่อแม่แค่ทำตามที่บอกก็พอ เพราะถึงอย่างไรบุตรชายก็ไม่ใช่เด็กโง่ของตรอกซิ่งฮวาในอดีตคนนั้นอีกแล้ว แต่เป็นหม่าขู่เสวียน ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนที่โดดเด่นที่สุดของแจกันสมบัติทวีปใน ทุกวันนี้ แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่มีชื่อเสียงด้านการเข่นฆ่าของราชวงศ์จูอิ๋งก็ยังถูกบุตรชายของพวกเขาสังหารไปถึงสองคน
สตรีแต่งงานแล้วเลิกผ้าม่านรถม้าขึ้น มองไปยังม้าตัวหนึ่งที่อยู่ด้านนอก คนที่ขี่ม้าตัวนั้นก็คือหญิงสาวหน้าตางดงามจนเหมือนไม่มีอยู่จริง ตอนนี้เป็นสาวใช้ของบุตรชายตน บุตรชายตั้งชื่อให้นางว่า ‘ซู่เตี่ยน’
สตรีรู้สึกว่าน่าสนใจ มีเพียงเรื่องนี้ที่ทำให้นางรู้สึกว่าบุตรชายยังคงเป็นเด็กโง่ในปีนั้น
กำลังพานประชดใครอยู่สินะ
ในอดีตซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิงที่เล่าลือกันว่าเป็นบุตรนอกสมรสของใต้เท้าผู้ตรวจการ มีสาวใช้ข้างกายนามว่าจื้อกุย
ฟังจากคำบอกเล่าของแม่สามีตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ อันที่จริงบุตรชายชื่นชอบจื้อกุยผู้นั้นมาโดยตลอด
สตรีที่ขี่ม้าเคียงข้างไปกับรถม้าช้าๆ สัมผัสได้ถึงสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว แรกเริ่มนางคิดจะทำเป็นมองไม่เห็น
แต่บุรุษหนุ่มที่ขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวนหันหน้ามามองนางด้วยสีหน้าเย็นชา
นางตกใจจนตัวสั่น รีบหันไปทางผ้าม่านรถแล้วถามเสียงอ่อนโยนทันที “ฮูหยิน ต้องการให้จอดรถหยุดพักหรือไม่เจ้าคะ?”
สตรีวัยกลางคนยิ้มพลางส่ายหน้า ก่อนจะปล่อยผ้าม่านลงช้าๆ
หญิงสาวที่ถูกตั้งชื่อให้ว่าซู่เตี่ยนชำเลืองตามองแผ่นหลังของบุรุษหนุ่มด้านหน้า ในใจนางทุกข์ตรมขมขื่น แต่กลับไม่กล้าแสดงออกมา
ปีนั้นนางเข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจูพร้อมกับแม่ลูกสกุลสวี่นครลมเย็นและวานร ย้ายขุนเขาของภูเขาตะวันเที่ยง ทุกคนต่างก็มาตามหาโชควาสนา แต่พอถึงท้ายที่สุด กลับเป็นนางที่มีสภาพอเนจอนาถมากที่สุด ไม่ได้โชควาสนามาอยู่ในมือแม้แต่ อย่างเดียว ยังสร้างหายนะใหญ่เทียมฟ้า คือหายนะทำลายล้างตระกูลที่แท้จริง ท่านปู่ของนาง เจ้านายของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉา หลังจากกองทัพต้าหลีที่บุกไปที่ใดที่นั่นก็สิ้นราบพนาสูรทำลายแคว้นของพวกเขาแล้ว เดิมทีพวกเขายังสามารถคล้อยไปตามสถานการณ์ ทิ้งอำนาจทางการทหาร แต่ยังรักษาสถานะขุนนางในราชสำนักเอาไว้ได้ จากนั้นท่านปู่ก็จะขอลาออกกลับคืนสู่บ้านเกิด ทว่าคนหนุ่มผู้นี้ กลับปรากฏตัว
เดิมได้กลับคืนสู่บ้านเกิดอย่างสมเกียรติ ทางราชสำนักโยกย้ายองค์รักษ์ติดตามขบวนมาคุ้มครองพวกเขา เมื่อรวมกับองค์รักษ์ทหารคนสนิทของท่านปู่ด้วย คนร้อยกว่าคน ล้วนตายกันหมด ศพนอนเกลื่อนพื้น
นางกับผู้เฒ่านั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น
หม่าขู่เสวียนยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองที่คุกเข่า มือกดลงบนศีรษะทั้งสอง บอกว่าศีรษะสองศีรษะนี้ก็ยังชดใช้หนี้คืนได้ไม่หมด ต่อให้กองทัพม้าเหล็กไห่เฉาตายกัน จนสิ้นซาก ก็ยังชดใช้คืนไม่หมดอยู่ดี
หม่าขู่เสวียนถามผู้เฒ่าคนนั้นว่า ควรจะทำอย่างไรดี
ผู้เฒ่าเริ่มโขกหัว วิงวอนขอให้หม่าขู่เสวียนปล่อยหลานสาวของเขาไป เอาชีวิตเขา แค่คนเดียว
อยู่บนหลังม้ามาทั้งชีวิต ผลงานการสู้รบมีนับไม่ถ้วน ไหนเลยจะนึกได้ว่าต้องมา มีจุดจบเช่นนี้ สตรีที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างบื้อใบ้ราวท่อนไม้
หม่าขู่เสวียนจึงกดฝ่ามือหนึ่งลงไป เหลือเพียงศพที่กองพังพาบด้วยสภาพ น่าสังเวชจนไม่อาจทนมอง
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนไม่ได้ฆ่านาง แต่เก็บนางไว้ข้างกาย ตั้งชื่อให้นางใหม่ว่า ซู่เตี่ยน ไม่มีแซ่
สุดท้ายซู่เตี่ยนที่ขวัญหายก็ติดตามหม่าขู่เสวียนไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน
คนหนุ่มที่ตลอดทางฆ่าคนตามใจชอบ พอกลับไปถึงบ้านเกิด สถานที่แรกที่เขาไปไม่ใช่ตรอกซิ่งฮวา ยิ่งไม่ใช่สถานที่ที่พ่อแม่ของเขาพักอาศัย แต่ไปเดินอยู่ริมตลิ่ง ลำคลองหลงซวี ยืนอยู่เหนือต้นกำเนิดน้ำตกอันเป็นจุดตัดระหว่างลำคลองหลงซวีกับแม่น้ำเถี่ยฝู จากนั้นซู่เตี่ยนก็ได้เห็นเทพถือกระบี่องค์หนึ่งปรากฏตัว คือเทพวารี อันดับหนึ่งของต้าหลี นามว่าหยางฮวา
ตอนนั้นหม่าขู่เสวียนนั่งยองอยู่ตรงจุดตัดระหว่างลำคลองกับแม่น้ำ โยนก้อนหินลงไปในน้ำเบาๆ ยิ้มพูดกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของต้าหลีที่ระดับเทพสูงอย่างถึงที่สุดคนนั้นว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าคือสาวใช้ข้างกายของไทเฮา ส่วนข้านั้นเป็นแค่หลานชายของเทพลำคลองใต้บังคับบัญชาของเจ้า ตามหลักแล้วก็ควรจะเคารพนับถือเจ้าสักหน่อย แต่ข้า ได้ยินมาว่าเจ้าไม่ค่อยเกรงใจท่านย่าของข้า ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องระวังตัวแล้ว คนเรา มีชีวิตอยู่บนโลก ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกตนหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูตผี หากติดค้างหนี้ก็ล้วนต้องชำระคืน รอให้คราวหน้าที่ข้ากลับมาเยี่ยมท่านย่าที่นี่อีกครั้ง หากเจ้ายังไม่ใช้หนี้ ให้ครบ กล้าชี้นิ้วบงการลำคลองหลงซวีสายนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะเอาร่างทองของเจ้าไปกักไว้บนภูเขาเจินอู่ ทุบตีหล่อหลอมทุกวัน แก่นควันธูปสลายหายไปเท่าไร ข้าก็จะป้อนควันธูปกลับคืนให้เจ้าเท่านั้น ข้าจะให้เจ้าชดใช้ไปพันปี ต่อให้ข้าหม่าขู่เสวียน ตายไปแล้ว แต่ขอแค่ภูเขาเจินอู่ยังคงอยู่ เจ้าก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานพันปี หากน้อยไปแค่วันเดียวก็ถือว่าข้าหม่าขู่เสวียนแพ้”
หยางฮวาเทพวารีพ่นเสียงออกจากจมูก
หม่าขู่เสวียนเอ่ยอีกประโยคว่า “ในเมื่อเจ้าสามารถเป็นองค์เทพของสายน้ำใหญ่ได้ แน่นอนว่าต้องไม่กลัวความลำบาก ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นสตรี ไม่มีนิสัยของมนุษย์แล้ว แต่สันดานบางอย่างก็ยากจะลบล้างไปได้อย่างสิ้นซาก ทุกๆ ช่วงเวลา สองสามปีข้าจะจับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกศาลเถื่อน หรือไม่ก็พวกภูตบนภูเขาหนองบึงไปที่ภูเขาเจินอู่ จากนั้นก็ถ่ายทอดวิชาลับวิชาหนึ่งที่สาบสูญไปนานแล้วให้พวกเขา ให้พวกเขาได้มีโชคท่ามกลางเคราะห์ร้าย ให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรที่เรียกว่าติดเงินแล้ว ต้องชดใช้คืนด้วยร่างกาย”
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนเอ่ยว่า “ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะหวังว่าเจ้า จะไม่เลียนแบบคนบางคน โง่เง่าจนคิดว่าเรื่องเล็กๆ หลายเรื่องจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กๆ ตลอดไป ไม่อย่างนั้นข้าหม่าขู่เสวียนฝ่าทะลุขอบเขตเร็วเท่าไร พวกเจ้าก็ต้องชดใช้หนี้เร็วเท่านั้น”
เทพวารีของแม่น้ำเถี่ยฝูไม่ได้เอ่ยคำใด ใบหน้ามีเพียงรอยยิ้มดูแคลน
หม่าขู่เสวียนเอียงศีรษะ “ไม่เชื่อ ใช่ไหม?”
หม่าขู่เสวียนยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็รอดูไปเถอะ ตอนนี้ข้าเองก็เปลี่ยนใจแล้ว อีกไม่นานสักวันหนึ่งข้าจะให้ไทเฮาออกพระราชโองการด้วยตัวเอง ให้นำมามอบ ถึงมือเจ้า ให้เจ้าไปรับหน้าที่เป็นเทพวารีแม่น้ำใหญ่ในอาณาเขตของภูเขาเจินอู่ ถึงเวลานั้นข้าค่อยเป็นแขกไปเยี่ยมเยือนอีกครั้ง หวังว่าเจ้าแม่เทพวารีจะให้การต้อนรับอย่างกระตือรือร้น แล้วข้าก็จะได้แสดงมารยาทกลับคืน เชื้อเชิญให้เจ้า ไปเป็นแขกบนภูเขาบ้าง”
หยางฮวามีสีหน้าเครียดขรึม
หม่าขู่เสวียนส่ายหน้า “ขอโทษที สายไปแล้ว”
หยางฮวาหรี่ตาลง
ผู้ปกป้องมรรคาคนหนึ่งของภูเขาเจินอู่มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังหม่าขู่เสวียน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าแม่เทพวารีฆ่าคนโดยพลการ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์”
หยางฮวาหัวเราะเสียงเย็น “หม่าขู่เสวียนเป็นเจ้าขุนเขาของภูเขาเจินอู่พวกเจ้าแล้วรึ?”
ผู้ฝึกตนสำนักการทหารท่านนั้นส่ายหน้า ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่ เพียงแต่ว่าคำพูดของหม่าขู่เสวียนคล้ายจะได้ผลกว่าเจ้าขุนเขาของพวกเรา ข้าเองก็ไม่พอใจ มานานแล้ว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นี่นา”
หยางฮวาสังเกตเห็นว่าผู้ฝึกตนคนนั้นแอบส่งสายตามาให้ตน
หยางฮวาจึงถอนหายใจ พูดกับหม่าขู่เสวียนว่า “อีกไม่นานหม่าหลันฮวาก็จะได้มีศาลเทพลำคลองเป็นของตัวเอง”
หม่าหลันฮวาแม่ย่าลำคลองของลำคลองหลงซวี ปีนั้นได้เลื่อนขั้นจากแม่ย่าลำคลองเป็นเทพลำคลอง แต่กลับไม่เคยได้สร้างศาลเป็นของตัวเอง
หากเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูยอมเปิดปาก เรื่องสร้างศาลรับควันธูปก็ย่อมสมเหตุสมผล ไม่ว่าจะเป็นที่ว่าการในพื้นที่ของจังหวัดหลงโจว หรือทางฝั่งของ กรมพิธีการในราชสำนักต้าหลีก็ล้วนไม่รู้สึกลำบากใจ
หม่าขู่เสวียนลุกขึ้นยืน ปัดมือ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าหม่าขู่เสวียนก็จะกลับคำสักครั้ง วันหน้าเหนียงเนียงเทพวารีก็คือแขกผู้มีเกียรติของข้าหม่าขู่เสวียน”
จากนั้นหม่าขู่เสวียนที่เรือนกายสูงเพรียว สวมชุดดำรัดเข็มขัดหยกสีขาวก็คล้ายคุณชายเจ้าสำราญตระกูลชนชั้นสูงคนหนึ่งที่ออกมาท่องเที่ยวเล่นตามขุนเขาสายน้ำ เขาเดินอยู่ริมตลิ่งของลำคลองหลงซวี เมื่อเขาไม่ปกปิดลมปราณอีกต่อไป จงใจเปิดเผยลมปราณออกมา เดินไปได้ไม่ไกลเท่าไร กลางลำคลองก็มีพืชน้ำลอยขึ้นมา แล้วส่ายสะบัดอยู่ในสายน้ำคล้ายกำลังลอบตรวจสอบความเคลื่อนไหวบนชายฝั่ง
ราวกับไม่กล้าทักทายหม่าขู่เสวียน สตรีโตเต็มวัยที่ไม่ได้มีรูปโฉมแก่ชราอีกต่อไปคนนั้นโผล่ศีรษะออกมาพ้นผิวน้ำ นางมองคนหนุ่มที่อยู่บนชายฝั่ง เทพวารีแห่งสายน้ำลำคลองหลั่งน้ำตาไม่ได้ แต่สตรีกลับยื่นมือมาเช็ดใบหน้าตามจิตใต้สำนึก
นั่นเป็นครั้งแรกที่สาวใช้ ‘ซู่เตี่ยน’ ได้เห็นมารร้ายหนุ่มอย่างหม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง นางยังสังเกตเห็นว่าเจ้าคนชั่วที่ใจดำอำมหิตก็รู้จักหลั่งน้ำตาเหมือนกัน
วันนั้นหม่าขู่เสวียนนั่งอยู่ริมลำคลองเคียงบ่ากับนาง สตรีโตเต็มวัยจับมือของ หม่าขู่เสวียนขึ้นมากุมเบาๆ พึมพำอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลา
หม่าขู่เสวียนเพียงแค่นั่งอยู่ตรงนั้น เนิ่นนานก็ไม่พูดอะไร เขามองใบหน้าที่ค่อนข้างแปลกตา แต่กลับเป็นคำพร่ำบ่นที่ชีวิตนี้เขาคุ้นเคยมากที่สุด
ท่านย่าเล่าเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยมากมาย ด่าคนไปหลายคน แต่สุดท้ายกลับบอกเขาว่าไม่ต้องสนใจอะไร
สุดท้ายนางบอกให้หลานชายรอสักครู่ จากนั้นก็ไปยังจวนกลางน้ำที่แร้นแค้นของตัวเอง ขนเอาสมบัติทั้งหมดที่สะสมมาได้ออกมาวางไว้ข้างกายคนทั้งสองอย่างเป็นระเบียบ แล้วเริ่มบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาของสมบัติแต่ละชิ้น สุดท้าย บอกให้หม่าขู่เสวียนเก็บเอาไปทั้งหมด บอกว่าของพวกนี้เป็นสินสอดที่นางเก็บสะสมไว้ให้หลานชาย เพียงแต่ไม่รู้ว่าหลายปีมานี้เขามีแม่นางที่ชื่นชอบบ้างหรือไม่ ถึงอย่างไรจื้อกุยผู้นั้นก็เป็นปีศาจจิ้งจอกมาตั้งแต่เกิด เป็นสตรีที่ไม่สามารถแต่ง เข้าบ้านได้จริงๆ นอกจากนางแล้ว ไม่ว่าสตรีคนใดที่จะมาเป็นหลานสะใภ้ของนาง นางล้วนยอมรับได้ทั้งสิ้น
หม่าขู่เสวียนบอกว่าก็คือจื้อกุยนั่นแหละ
สตรีโตเต็มวัยจึงยื่นนิ้วชี้ออกมาจิ้มหน้าผากหลานชายตามความเคยชิน ด่าเขาว่าถูกภูตผีบดบังจิตใจ ไม่รักดีแม้แต่น้อย เป็นคนลุ่มหลงในรักที่พ่อไม่สอนแม่ไม่ดูแล สมควรแล้วที่ต้องมีชีวิตลำบาก
สุดท้ายสตรีพูดไปพูดมาก็ร้องไห้ บอกว่าปีนั้นเพื่อให้ได้เป็นแม่ย่าลำคลอง ตนต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานมามาก หากไม่เป็นเพราะคิดว่ายังมีเขาที่เป็นหลานชายอยู่อีกคน หากเขาต้องอยู่คนเดียวไม่มีคนดูแล นางคงทนต่อไปไม่ไหวจริงๆ
หม่าขู่เสวียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยกมือขึ้นเช็ดหน้า
สตรีบอกว่าหม่าขู่เสวียนต้องรับปากนางเรื่องหนึ่ง หม่าขู่เสวียนบอกว่า ไม่ต้องกลัวเรื่องนี้ หากสืบสาวเบาะแสมาจนเจอตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาจริงๆ แล้วเฉินผิงอันผู้นั้นกล้าฆ่าคนคนหนึ่ง เขาก็จะฆ่าคนสองคนที่เฉินผิงอันห่วงใยที่สุด มีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า ทว่าสตรีกลับส่ายหน้า ยืนกรานให้หม่าขู่เสวียนรับปากนาง นางพูดด้วยเสียงสะอื้น บอกว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่เจ้า จะคิดบัญชีกันแบบนี้ ได้อย่างไร
แต่หม่าขู่เสวียนกลับเงียบงันไม่พูดจา
สุดท้ายสตรีจึงใช้ท่าไม้ตาย บอกว่าหากเขาไม่รับปาก วันหน้านางก็จะคิดว่า ไม่มีหลานชายคนนี้อยู่อีกแล้ว
หม่าขู่เสวียนจึงได้แต่รับปากไปก่อน ทว่าส่วนลึกในใจกลับมีแผนการเป็นของตัวเอง ดังนั้นหลังจากแยกจากกัน หม่าขู่เสวียนจึงยังคงไม่ได้ไปหาพ่อแม่ แต่ไปที่ร้านยาตระกูลหยางมารอบหนึ่ง หลังจากรู้ว่าท่านย่าของตนต้องอยู่ที่ลำคลองหลงซวีเท่านั้น เรื่องนี้ไม่มีพื้นที่ให้ปรึกษากัน หม่าขู่เสวียนถึงจำต้องเปลี่ยนความคิด บอกให้พ่อแม่ขายเตามังกรที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษไปในราคาสูง แล้วย้ายบ้านออกไปจาก เขตการปกครองหลงเฉวียน สุดท้ายจึงมีการเดินทางไกลจากบ้านเกิดที่เชื่องช้าครั้งนี้
ตลอดทางที่เดินทางกันมานี้ ซู่เตี่ยนสังเกตเห็นเรื่องประหลาดอยู่เรื่องหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างหม่าขู่เสวียนกับพ่อแม่จะธรรมดา ไม่ได้ห่างเหินเหมือนความสัมพันธ์
ระหว่างคนและเซียน แต่กลับเหมือนว่าไม่เคยมีความผูกพันอะไรกันมาตั้งแต่เด็ก พอไปฝึกตนบนภูเขา ทั้งสองฝ่ายจึงยิ่งห่างไกลและไม่สนิทสนมกัน และสามีภรรยา คู่นั้นก็คล้ายว่าจะจมจ่อมอยู่แต่กับความปิติยินดีอันใหญ่หลวง สำหรับบุตรชาย ที่สร้างเกียรติให้แก่วงศ์ตระกูลซึ่งเงียบขรึมพูดน้อยจนแทบไม่เคยมีใบหน้ายิ้มแย้ม ให้เห็น คู่สามีภรรยาไม่รู้สึกเลยว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ราวกับว่าการที่บุตรชายของตัวเองอยู่สูงส่งเกินใครก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอยู่แล้ว
สองสามีภรรยา บุรุษธรรมดาที่สวมอาภรณ์หรูหราเผยให้เห็นกลิ่นอายของ ความปราดเปรื่องเฉียบแหลมของพ่อค้าใหญ่ ส่วนสตรีนั้นมีดวงตาดอกท้อคู่หนึ่ง รูปโฉมหน้าตาไม่ถือว่าโดดเด่นมากนัก สายตาที่มองคน ต่อให้จะมีรอยยิ้มประดับใบหน้า แต่ก็ยังเผยความเย็นชาออกมาให้เห็น
ตลอดทาง มีพวกคนและภูตที่ตาไม่แวว ทั้งยังโชคไม่ดีทะเล่อทะล่าเข้ามา ก็ล้วนตายกันไปหมด
ดูเหมือนว่าหม่าขู่เสวียนจะจงใจเลือกเส้นทางภูเขาสายน้ำที่มีทางให้เดิน แต่ลักษณะชัยภูมิอันตราย ด้วยคิดสังหารพวกโจรหรือภูตผีทั้งหลายเพื่อระบาย ความอัดอั้นหงุดหงิดที่อยู่ในใจ ระหว่างนี้ผู้ฝึกตนสำนักเดียวกับนางได้มาช่วยเหลือนางเป็นครั้งที่สอง
ครั้งแรกบรรพจารย์พาคนมาซักไซ้เอาผิดหม่าขู่เสวียนด้วยตัวเอง ถูกหม่าขู่เสวียนสังหารคนไปสิบกว่าคน ราวกับว่ากำลังขยี้มดให้ตายต่อหน้าต่อตานาง
ก่อนที่หม่าขู่เสวียนจะลงมือได้มอบทางเลือกสองอย่างให้กับนาง ตัวเองรอด หรือพวกคนที่มาช่วยนางต้องตาย
หากตอบผิด นางก็ต้องตาย
ซู่เตี่ยนตอบถูกแล้ว ดังนั้นคนพวกนั้นจึงตาย
คราวนี้ศิษย์พี่ร่วมสำนักที่มีหวังว่าจะได้เป็นคู่บำเพ็ญเพียรบนภูเขากับนางกับสหาย บนภูเขาของเขาพากันไล่ตามมา หวังจะช่วยนางออกไปจากบ่อลึกหลุมเพลิงแห่งนี้
หม่าขู่เสวียนจึงให้นางเลือกอีกครั้ง จะเป็นคู่ยวนยางสิ้นลม หรือจะมีชีวิตรอดอยู่เพียงลำพัง
ซู่เตี่ยนยังคงอยากมีชีวิตรอด
ดังนั้นศิษย์พี่ที่นางคิดมาตลอดว่าตนเองรักเขาอย่างลึกซึ้งและสหายของเขา จึงตายกันหมด ตายอย่างไม่มีข้อสงสัย
ตอนนั้นฝนใหญ่ตกกระหน่ำลงมา ซู่เตี่ยนจิตใจแหลกสลาย นางนั่งอยู่บนพื้น ถามเสียงดังว่าเหตุใดตอนที่ตนเองขอความตาย หม่าขู่เสวียนถึงไม่ตอบตกลง แต่สองครั้งหลังกลับยอมทำตามปรารถนาของนาง
ตอนนั้นหม่าขู่เสวียนที่ชุดคลุมตัวยาวไม่เปียกน้ำฝนแม้สักหยดยิ้มพูดกับนางว่า “เดิมทีก็ต้องการให้เจ้าอยู่ไม่สู้ตายอยู่แล้ว ยังมีอะไรที่ไม่เข้าใจอีก ความไม่เข้าใจของเจ้าก็คือสาเหตุที่เป็นเทพธิดาคนหนึ่ง แต่วันนี้กลับต้องมานั่งร้องไห้คร่ำครวญอยู่ท่ามกลางดินโคลน เมื่อไหร่ที่เข้าใจแล้วเจ้าก็จะมีชีวิตได้อย่างผ่อนคลาย เรื่องราวทั้งหลายที่ผ่านมาในอดีตล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง”
หม่าขู่เซียนกระชากหัวของนาง เหวี่ยงตัวนางขึ้นหลังม้า “เป็นสาวใช้ หากวันหน้า กล้าทำตัวไม่เคารพอีกจะตัดลิ้นเจ้าทิ้งซะ อย่าให้มีครั้งถัดไป”
ขบวนรถม้าออกเดินทางต่อท่ามกลางม่านฝน
ช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แสงแดดอบอุ่น
หม่าขู่เสวียนขี่ม้าอยู่ด้านหน้าสุดของขบวน ร่างของเขาที่นั่งอยู่บนหลังม้าโคลงเคลงไปมา ในใจคิดคำนวณว่าในแจกันสมบัติทวีปยังมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน คนใดบ้างที่นั่งยองอยู่ในห้องส้วมแต่ไม่ยอมขี้
ราชครูต้าหลี ซิ่วหู่ชุยฉาน ไม่นับ อาจารย์ผู้เฒ่าท่านนี้คู่ควรจะทำเรื่องใหญ่ อย่างแท้จริง
จวี้จื่อสายรองของสำนักโม่ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงมานานหลายปี สามารถทรมานผู้ฝึกตนสกุลลู่สำนักหยินหยางให้ตายได้ ก็นับว่ามีความสามารถ
เรือข้ามฟากขุนเขาสมชื่อสิบสองลำนั้น หม่าขู่เสวียนเคยเห็นกับตาตัวเองมาก่อน แหงนหน้ามองไป มืดฟ้ามัวดิน อาณาเขตโลกมนุษย์ในรัศมีร้อยลี้ด้านล่างเรือประหนึ่งตกอยู่ในรัตติกาลมืดมิด นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำให้กองทัพม้าเหล็กต้าหลีสามารถลงใต้ได้อย่างรวดเร็ว การสร้างเรือยักษ์ทุกลำล้วนเท่ากับว่าราชวงศ์ต้าหลีและฮ่องเต้สกุลซ่งเฉือนเนื้อก้อนใหญ่ออกมาจากร่างของตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ สกุลซ่งต้าหลียังติดค้างหนี้นอกก้อนใหญ่กับสำนักโม่สายหลักในแผ่นดินกลางและพวกนายท่านใหญ่สำนักการค้าของแผ่นดินกลางด้วย การขุดดินลึกสามฉื่อระหว่างทางที่กรีฑาทัพลงใต้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็คือการชดใช้หนี้อย่างลับๆ ส่วนข้อที่ว่าเมื่อไหร่จะชดใช้หนี้สินได้หมดก็บอกได้ยากแล้ว
จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ที่ชื่อว่าสวี่รั่วผู้นั้น ไม่อาจดูแคลน
เทียนจวินเซี่ยสือแห่งอุตรกุรุทวีปได้ย้อนกลับมายังทวีปของตัวเองแล้ว หากอยู่ต่อที่แจกันสมบัติทวีปก็ไม่มีความหมายอะไร แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังได้ยินมาว่าภายในบ้านของเทียนจวินท่านนี้น่าจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้น หากยังไม่กลับ อุตรกุรุทวีป ย่อมต้องกลายเป็นที่ขบขันของผู้คน
ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นบุคคลประเภทที่ว่าจะมีหรือไม่มีก็ได้ ตายไป ปราณวิญญาณกลับคืนสู่ฟ้าดิน มีชีวิตต่อก็คือพวกโจรบนภูเขาที่เป็นวิชาเซียนบางอย่าง คือพวกทาสเฝ้าทรัพย์ที่กินเข้าไปแล้วไม่ยอมคายออกมา
ฉีเจินเทียนจวินของสำนักโองการเทพ แม้แต่ลูกศิษย์ในสำนักที่มีโชควาสนาลึกล้ำอย่างเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็ยังรั้งไว้ไม่อยู่ ตัดมือตัดเท้านางแล้วเก็บไว้ในสำนักโองการเทพให้เป็นอ่างเก็บสมบัติใบหนึ่งไม่ดีหรอกหรือ?
สำนักเจินจิ้งสำนักเบื้องล่างที่ย้ายมาจากสำนักกุยหยก หลังจากฮุบกลืนทะเลสาบซูเจี่ยนในรวดเดียวแล้วก็กำลังเป็นช่วงขาขึ้นมีหน้ามีตา แต่เจียงซ่างเจินผู้นั้นวางตัวได้ดีมาก เป็นถึงเจ้าสำนักผู้ยิ่งใหญ่แต่กลับยินดีเก็บหางเจียมตัว ไม่ว่าลูกศิษย์ในสำนัก จะไปมีความขัดแย้งอะไรกับภายนอกก็ไม่คิดจะสอบถามหาสาเหตุ ล้วนถือว่า เป็นความผิดของบ้านตัวเอง ยามลงทัณฑ์ตามกฎบ้านของศาลบรรพจารย์ มีอยู่ หลายครั้งที่เป็นฝ่ายส่งหัวคนไปให้แก่สำนักที่ผูกปมแค้นกัน นี่ถึงทำให้หลีกเลี่ยงปัญหาและภัยแฝงมากมายไปได้
หลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระของเกาะกงหลิ่วคือขอบเขตหยกดิบ หลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินก็ฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว กลายเป็นผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนอันดับ ที่สอง แน่นอนว่าตอนนี้ต่างก็ถือว่าเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักเจินจิ้งแล้ว
บรรพจารย์เฒ่าที่หน้าตาเหมือนเด็กของศาลลมหิมะไม่ได้ลงจากภูเขามา หลายร้อยปีแล้ว แต่ตอนที่ภูเขาตะวันเที่ยงกับสวนลมฟ้าเข่นฆ่ากันกลับเคยปรากฏตัวหนึ่งครั้ง
ผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งของภูเขาเจินอู่ เมื่อเทียบกับบรรพจารย์ศาลลมหิมะที่เป็นปฐมสำนักของสำนักการทหารในแจกันสมบัติทวีปแล้ว ยังเก็บตัวเงียบมากกว่า แต่ว่าลูกศิษย์หลายคนที่อยู่ในกองทัพของต้าหลีกลับมีชีวิตชีวากันมากนัก
เจ้าประมุขสกุลเจียงอวิ๋นหลินที่หลบซ่อนตัวอยู่เบื้องหลัง
องค์เทพห้าขอบเขตบนองค์แรกในประวัติศาสตร์ของแจกันสมบัติทวีป เว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋น
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแห่งราชวงศ์จูอิ๋งที่ถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้ปรากฏตัว ไม่รู้ว่าปิดด่านตายไปแล้ว หรือว่าเลือกที่จะเก็บอำพรางตัวต่อไป
ส่วนนักเล่านิทานของราชวงศ์ต้าสุยคนนั้น ตอนนี้เป็นนักโทษอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น คอยคุ้มครององค์ชายสกุลเกาคนหนึ่ง ไม่ใช่ว่าหม่าขู่เสวียนดูแคลนตาเฒ่าผู้นี้ แต่นอกจากขอบเขตหยกดิบแล้วเขาจะยังเหลืออะไรอีก?
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนนึกถึงเจ้าเด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลนตรอกหนีผิงคนนั้น
หม่าขู่เสวียนที่อยู่บนหลังม้าลืมตาขึ้น นิ้วทั้งสิบสอดประสานกันแล้วกดลงเบาๆ รู้สึกว่าน่าสนุกไม่น้อย หลังออกมาจากเมืองเล็กแล้วก็ดูเหมือนว่าคนวัยเดียวกันทุกคนที่พบเจอล้วนเป็นพวกเศษสวะ กลับกลายเป็นเจ้าคนของบ้านเกิดผู้นี้ที่พอจะถือว่าเป็นคู่ต่อสู้ที่แท้จริงที่ทำให้เขาเกิดความสนใจได้บ้าง
ไม่รู้ว่าการประมือกันครั้งถัดไป ตนจะจำเป็นต้องลงแรงเต็มกำลังหรือไม่?
คาดว่าคงไม่ต้องเหมือนเดิม
แบบนี้ก็ออกจะน่าเบื่อไปสักหน่อย
หม่าขู่เสวียนหลับตาลง เริ่มคิดถึงพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางพวกนั้น
ส่วนสาวใช้ที่อยู่ด้านหลังนั่น สักวันหนึ่งนางจะต้องค้นพบด้วยความเศร้ารันทดว่า จิตใจที่จะคิดแก้แค้นของตนไม่เหลืออยู่แล้วโดยที่ตัวนางไม่รู้ตัว กลับกลายเป็นว่า สักวันหนึ่งนางจะรู้สึกจากใจจริงว่าการอยู่ข้างกายหม่าขู่เสวียนก็คือความปลอดภัยเดียวในใต้หล้านี้ของนาง
พอไปถึงช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเวลาที่นางสมควรตายได้แล้ว
หม่าขู่เสวียนยังเก็บจิตวิญญาณและความทรงจำส่วนหนึ่งของนางเอาไว้ อาศัยวิชาลับที่สาบสูญไปแล้วซึ่งแม้แต่บรรพจารย์ของภูเขาเจินอู่บางท่านก็ยังไม่รู้วิธีควบคุมมาสืบสาวเบาะแสจนไปเจอการจุติกลับมาเกิดใหม่ของนาง พอถึงช่วงเวลาเหมาะสมก็ค่อยคืนความทรงจำให้แก่นาง ให้นางไม่อาจหลุดพ้นได้ทุกชาติทุกภพ ทุกครั้งที่กลับไปเกิดเป็นคนใหม่ก็จะต้องอยู่ไม่สู้ตายทุกครั้ง
ส่วนเฉินผิงอันผู้นั้น ขอแค่กล้าแก้แค้นก็มีแต่จะมีสภาพอเนจอนาถยิ่งกว่านาง
แต่ก่อนที่เฉินผิงอันจะตามมาแก้แค้น เขาหม่าขู่เสวียนจะไม่ทำอะไรที่เกิน ความจำเป็น เพราะถึงอย่างไรปีนั้นตระกูลหม่าของพวกเขาก็ทำผิดก่อน
ต่อให้เขาหม่าขู่เสวียนจะโหดเหี้ยมอำมหิตมากแค่ไหนก็ยังไม่ถึงขั้นฆ่าคนบริสุทธิ์ที่ไม่เกี่ยวข้องพร่ำเพื่อ เพียงแต่ว่าบนโลกมีคนที่เรียกร้องหาความตายมากเกินไป แล้วบังเอิญดันมาเจอเข้ากับเขาหม่าขู่เสวียนพอดี เขาก็เลยช่วยส่งให้พวกเขา ออกเดินทางไปเท่านั้น
……
บนภูเขาลั่วพั่ว เพิ่งจะเป็นยามเช้าตรู่ เผยเฉียนก็เตรียมทรัพย์สมบัติน้อยใหญ่ ไว้เรียบร้อยแล้ว อีกเดี๋ยวนางจะได้ออกเดินทางไกลแล้ว!
เพราะเมื่อวานตาเฒ่าบอกกับนางว่า “สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าให้ดี เอาไม้เท้าเดินป่าไปด้วย ไปบ้านเกิดของเจ้า ไปทัศนาจรด้วยกัน ไม่ต้องกังวล ถือเสียว่าออกไปผ่อนคลายอารมณ์เป็นเพื่อนข้าผู้อาวุโส เรื่องฝึกวิชาหมัดก็เอาไว้ ค่อยว่ากันทีหลัง”
ตอนนั้นเผยเฉียนเพิ่งจะตะโกนออกไปว่า “ตาเฒ่าชุย วันนี้ได้กินข้าวหรือยัง” จากนั้นก็ผลักประตูไม้ไผ่ชั้นสอง ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวแล้วว่าจะต้องถูกซ้อมอีกรอบ
ถึงอย่างไรไม่ว่าจะทิ้งถ้อยคำห้าวเหิมไว้หรือไม่ก็ล้วนต้องถูกซ้อมอยู่ดี ก็ไม่สู้ ฉวยโอกาสเล็กๆ น้อยๆ ถือเสียว่าตัวเองได้เงินเหรียญทองแดงเปล่าๆ มาหลายเหรียญ ผลกลับกลายเป็นว่าผู้เฒ่าที่สวมชุดเขียวและไม่ได้เปลือยเท้าอีกแล้วกลับเอ่ย ประโยคนั้นออกมา
เผยเฉียนยังรู้สึกไม่ค่อยจะคุ้นชินนัก จึงถามไปอีกประโยคว่า “พ่อครัวเฒ่าไปแล้ว แต่บนภูเขายังมีแม่หนูหน่วนซู่ดูแลเรื่องอาหารการกินของพวกเรา อีกอย่าง บนโต๊ะข้าก็ไม่ได้แย่งข้าวชามนั้นของเจ้าไม่ใช่หรือ?”
ชุยเฉิงเกือบจะอดไม่ไหวป้อนหมัดหนักๆ เน้นๆ ให้นังหนูนี่อีกรอบ
ช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ชุยเฉิงมักจะปรากฏตัวเป็นประจำ แล้วยังมานั่งกินข้าวร่วมโต๊ะด้วย
ชุยเฉิงเอ่ยแค่ประโยคเดียวว่า “ลงไปเล่นที่ชั้นหนึ่งไป”
เผยเฉียนกลับกลอกตาไปมา อิดออดอยู่นานกว่าจะเดินก้าวอาดๆ ออกไปจากเรือนไม้ไผ่ พอไปยืนอยู่กลางระเบียงแล้วก็ยกสองมือเท้าเอว ตะโกนเสียงดัง “โจวหมี่ลี่!”
แม่นางน้อยชุดดำที่นั่งอยู่ชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่รีบวิ่งออกมาบนพื้นโล่ง ถามว่า “ทำไมวันนี้ถึงได้ไม่ยินเสียงร้องโหยหวนเล่า?”
เผยเฉียนเลิกคิ้ว ยกสองแขนกอดอก หัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ? เข้ามาในชั้นสอง หากไม่รู้แพ้ชนะ เจ้าคิดว่าข้าจะเดินออกมาได้หรือ?”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้ว พยายามคิดหาคำถาม สุดท้ายก็ได้แต่ถามว่า “พวกเราใส่ยาถ่าย ไว้ในถ้วยข้าวใบนั้นหรือ? ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องก่อนล่ะ เรื่องแบบนี้ไม่ควรมอบให้ หน่วนซู่จัดการนะ ข้าเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วก็น่าจะให้ข้าทำถึงจะถูก…”
เผยเฉียนกระโดดลงมาจากชั้นสอง พลิ้วกายลงข้างกายของโจวหมี่ลี่ ยื่นมือมา กดศีรษะของเจ้าโง่น้อยผู้นี้อย่างว่องไว นางบิดข้อมือหนึ่งครั้ง โจวหมี่ลี่ที่ยืนอยู่ที่เดิม ก็ตัวหมุนเป็นลูกข่าง
ถึงท้ายที่สุดโจวหมี่ลี่กลับรู้สึกสนุก จึงวิ่งวนอยู่ที่เดิมด้วยตัวเอง
เผยเฉียนยื่นสองนิ้วมาประกบกัน ตวาดเบาๆ ว่า “หยุด!”
โจวหมี่ลี่หยุดยืนนิ่งทันที ยังไม่ลืมเบิกตากว้างค้างไว้ ไม่กล้ากระดุกกระดิก
เผยเฉียนเอาสองนิ้วตั้งวางไว้ตรงหน้า มืออีกข้างหนึ่งทำท่ากดลมปราณลงสู่ จุดตันเถียน พยักหน้าเอ่ยว่า “วิชาหยุดร่างตระกูลเซียนวิชานี้ของข้าร้ายกาจจริงๆ แม้แต่ภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ก็ยังหนีไม่พ้น”
โจวหมี่ลี่ยังคงไม่กล้าขยับ มีเพียงดวงตาที่ยิ่งสาดประกายส่องแสง
เผยเฉียนค่อนข้างพอใจ จึงเหวี่ยงสองนิ้วใส่นาง “ขยับ!”
โจวหมี่ลี่รีบปรบมือ พูดด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจ “ร้ายกาจๆ เมื่อครู่นี้ข้าขยับไม่ได้จริงๆ”
วันนี้เผยเฉียนพาโจวหมี่ลี่ไปเที่ยวหาเฉินหรูชูอีกครั้ง แม่นางน้อยทั้งสามรวมกลุ่มกัน พูดคุยกันเสียงดังจ๊อกแจ๊กจอแจเหมือนมีนกขมิ้นจำนวนนับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องคลออยู่เหนือมวลดอกท้อที่ผลิบานอยู่ท่ามกลางขุนเขา
และเพียงชั่วพริบตาเวลาของหนึ่งวันก็ผ่านไปทั้งอย่างนี้
เช้าตรู่ของวันนี้ ไม่เพียงแต่เฉินหรูชูและโจวหมี่ลี่ที่มา แม้แต่เจิ้งต้าเฟิงก็มาด้วย รวมไปถึงเฉินหลิงจวิน
เจิ้งต้าเฟิงสีหน้าไร้อารมณ์
จะโทษเขาเจิ้งต้าเฟิงไม่ได้ เขาขวางไว้ไม่อยู่จริงๆ
เฉินหลิงจวินมองผู้เฒ่าชุยเฉิงแวบหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก แต่เดินไปนั่งเหม่ออยู่ที่ ริมหน้าผาเพียงลำพัง
ชุยเฉิงพูดกับเจิ้งต้าเฟิงว่า “บอกจูเหลี่ยนว่า ไม่ต้องการโชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งนั้น นับว่าไม่เลว”
มือข้างหนึ่งของเจิ้งต้าเฟิงถือร่มใบถง ยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “พ่อครัวเฒ่าไม่ต้องการ ให้ข้าก็ได้นี่นา”
ชุยเฉิงยกเท้าขึ้นถีบ ไม่เร็วนัก เจิ้งต้าเฟิงฝีเท้าโซเซเล็กน้อย แต่ก็หลบมาได้ อย่างสบายๆ
เผยเฉียนที่อยู่ด้านข้างกำลังโอ้อวดเตาเจี้ยนฉว่อตรงเอวที่ไม่ได้พกมานาน ทั้งดาบไม้ไผ่และกระบี่ไม้ไผ่ล้วนอยู่ครบ
และในมือยังถือไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กไว้บนหลัง
วันนี้ผู้เฒ่าก็สวมชุดลัทธิขงจื๊อ
ใช่ว่าเผยเฉียนจะไม่เคยเห็นผู้เฒ่าแต่งกายแบบนี้มาก่อน เพียงแต่รู้สึกว่าวันนี้ค่อนข้างแปลกตามากเป็นพิเศษ
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “คงไม่รู้สินะ ข้าผู้อาวุโสก็มีชาติกำเนิดมาจากบัณฑิตเหมือนกัน ในอดีตยังมีความรู้ไม่ใช่เล็กๆ คือผู้รอบรู้มากความสามารถด้านการประพันธ์ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแจกันสมบัติทวีป”
เผยเฉียนเอ่ย “เจ้าเป็นคนนับเอง?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “โอ๊ะ?”
เผยเฉียนรีบพูดเสียงดัง “น่าจะไม่ใช่! ต้องเป็นเรื่องจริงที่คนทั้งบนและล่างภูเขาของแจกันสมบัติทวีปให้การยอมรับอย่างแน่นอน!”
เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจอยู่ในใจ “เลือกสถานที่ได้เรียบร้อยแล้ว เริ่มจากภูเขาลึกห่างไกลแห่งหนึ่งที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของแคว้นหนันเยวี่ยนตามความประสงค์ของผู้อาวุโส”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับ แล้วหันมามองเผยเฉียน “เตรียมตัวเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง กำไม้เท้าเดินป่าในมือไว้แน่น พูดเสียงสั่นว่า “ค่อนข้างจะพร้อมแล้ว!”
สุดท้ายหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กก็คล้ายขี่เมฆทะยานหมอกจึงมาพลิ้วกายลงบนยอดเขา ที่ร้างผู้คนแห่งหนึ่ง
เผยเฉียนหน้าซีดขาวเล็กน้อย
ชุยเฉิงพูดกลั้วหัวเราะเสียงเบา “รอจนการเดินทางครั้งนี้จบลงก็จะไม่กลัวมากขนาดนั้นแล้ว เชื่อข้าผู้อาวุโส”
เผยเฉียนทิ่มไม้เท้าเดินป่าในมือลงบนพื้นหนักๆ “กลัวกะผีอะไรเล่า!”
ชุยเฉิงทอดสายตามองทิศไกล เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าช่วยเก็บยันต์ ในชายแขนเสื้อไปหน่อย”
เผยเฉียนสะบัดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งเบาๆ แสร้งทำเป็นว่าไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น
คนทั้งสองเดินเท้าลงจากเขามาด้วยกัน
แรกเริ่มเผยเฉียนยังรู้สึกกระวนกระวายไม่เป็นสุข เพียงแต่ว่านางที่เดินทางบนทางภูเขามาจนคุ้นชินแล้ว เดินไปเดินมาก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวจริงๆ อย่างน้อยตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้
ยังอยู่ห่างจากเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนค่อนข้างไกล ใต้ฝ่าเท้าในเวลานี้เป็นเพียงแค่สถานที่กันดารของพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีตเท่านั้น ไม่ถือว่าเป็นอาณาเขตของแคว้นหนันเยวี่ยนอย่างแท้จริง
ท่ามกลางแสงสายัณห์ของวันนี้ เผยเฉียนหุงข้าวและปรุงแกงปลาหม้อเล็กๆ หม้อหนึ่งอย่างคล่องแคล่วคุ้นเคยเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ตรงตีนเขามีลำธารสายหนึ่ง เผยเฉียนตัดไม้ไผ่ลำหนึ่งเอามาเหลา ผูกเส้นเอ็นและตะขอตกปลาลงไป จากนั้นก็โยนเบ็ดลงน้ำ นั่งอยู่ริมน้ำเงียบๆ พอปลาติดเบ็ด ก็กระชากคันเบ็ดขึ้นอย่างแรง แล้วก็กลับขึ้นมาบนฝั่ง
ตอนที่ชุยเฉิงเห็นคันเบ็ดหนาใหญ่นั่นก็ให้ปวดหัว นี่ก็เรียกว่าตกปลาได้ด้วยหรือ เรียกว่าดึงปลาขึ้นมามากกว่ากระมัง?
แต่ตอนที่ถือถ้วยใหญ่ซดน้ำแกงปลา ผู้เฒ่าที่นั่งขัดสมาธิก็ไม่ถือสาเรื่องพวกนี้อีก เค็มไปหน่อย แต่พอแม่นางน้อยตัวดำเป็นถ่านถามเขาว่ารสชาติเป็นเช่นไร ผู้เฒ่าจึงยอมผิดต่อมโนธรรมในใจตอบไปว่าใช้ได้
เผยเฉียนตักแกงปลาราดข้าวให้ตัวเอง กลิ่นหอมฉุยอร่อยลิ้น มีแกงปลา กินข้าวได้อร่อยนักล่ะ!
เผยเฉียนที่นั่งอยู่บนพื้นโยกไหล่ไปมา แม่นางน้อยมีความสุขเบิกบานใจเป็นอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่าก็คร้านจะเตือนนางว่านั่งควรมีท่าของการนั่ง กินควรมีท่าทางการกินให้สำรวม
เขาไม่ใช่เฉินผิงอันสักหน่อย
วันหน้าหากเฉินผิงอันกล้าบ่นในเรื่องหยุมหยิมพวกนี้ ผู้เฒ่าก็รู้สึกว่าไม่แน่ตน อาจอดไม่ไหวสั่งสอนเขาไปสองสามคำ เป็นอาจารย์แล้วร้ายกาจนักหรือ ควบคุม เรื่องนู้นเรื่องนี้ไปทั่ว แม่หนูเผยจะนิสัยอย่างไร จริงๆ แล้วนางก็เพิ่งจะมีอายุแค่ไม่กี่…
เพียงแต่ว่าพอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผู้เฒ่าก็รู้สึกเย้ยหยันตัวเองเล็กน้อย พูดกับ เผยเฉียนเสียงเบาว่า “กินช้าๆ หน่อย ไม่มีใครแย่งเจ้าหรอก”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งทีแล้วเริ่มเคี้ยวอย่างละเอียด
เก็บถ้วยชามตะเกียบและหม้อไหที่ใช้ในการหุงต้มเรียบร้อยแล้ว เผยเฉียนก็หยิบเอากาน้ำออกมาล้างมือ จากนั้นก็แยกประเภทสิ่งของจัดวางไว้ในหีบไม้ไผ่ใบเล็ก อย่างเป็นระเบียบ หยิบเอาพู่กันกระดาษและหมึกออกมา ใช้หีบไม้ไผ่ต่างโต๊ะ แล้วเริ่มคัดตัวอักษรอย่างจริงจัง
ชุยเฉิงนั่งอยู่ด้านข้างยิ้มกล่าว “มาถึงที่นี่แล้วไม่ต้องคัดตัวอักษรก็ได้ วันหน้าหากอาจารย์ของเจ้าตำหนิ เจ้าก็บอกไปว่าข้าเป็นคนอนุญาต”
หลังจากคัดตัวอักษรประโยคหนึ่งอย่างเป็นระเบียบบรรจงเสร็จแล้ว เผยเฉียน ถึงได้หันหน้ามาถลึงตาใส่ “พูดเหลวไหลอะไรน่ะ!”
ชุยเฉิงโบกมือ
กว่าเผยเฉียนจะคัดตัวอักษรเสร็จ ฟ้าก็มืดสลัวแล้ว นางจึงเก็บสิ่งของทั้งหมด ลงไปอย่างระมัดระวัง
อันที่จริงการมองวัตถุในยามค่ำคืน สำหรับเผยเฉียนในทุกวันนี้แล้วก็ง่ายดาย ไม่ต่างจากการดื่มน้ำกินข้าว
มองเห็นว่าผู้เฒ่าแซ่ชุยกำลังงีบหลับ เผยเฉียนจึงหยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมา เดินย่องไปยังยอดเขาจุดที่ห่างไปไกล แล้วฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของนาง
ชุยเฉิงยิ้มถาม “ในเมื่อเป็นวิชากระบี่ เหตุใดถึงไม่ใช้กระบี่ไม้ไผ่ที่เจ้าห้อยไว้ตรงเอว?”
เผยเฉียนหยุดวิชากระบี่ ตอบกลับเสียงดังว่า “ก็เลียนแบบอาจารย์น่ะสิ อาจารย์ไม่มีทางออกกระบี่ง่ายๆ เจ้าไม่เข้าใจหรอก แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่ค่อยเข้าใจ เอาเป็นว่าแค่ทำตามก็พอแล้ว”
ชุยเฉิงถาม “แล้วถ้าอาจารย์ของเจ้าผิดล่ะ?”
เผยเฉียนฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของนางต่อไป เสียงตวัดไม้เท้ากลายเป็นเสียงลมอื้ออึง หากดังเข้าหูของผู้ฝึกยุทธทั่วไป คำพูดของนางคงจะขาดๆ หายๆ แต่ยังดี ที่ดังเข้าหูชุยเฉิง เขาจึงได้ยินอย่างชัดเจน “อาจารย์ที่อยู่กับข้าจะสอนลูกศิษย์ผิด ได้อย่างไร ไม่มีทางผิด ชั่วชีวิตนี้ก็ไม่มีทางผิด ถึงอย่างไรต่อให้ผิด ข้าก็รู้สึกว่าไม่ผิด พวกเจ้าใครก็มาบังคับข้าไม่ได้”
ชุยเฉิงยิ้ม แล้วก็ไม่เอ่ยอะไรอีก จากนั้นจึงเริ่มหลับตาทำสมาธิ
ประมาณยามจื่อ ชุยเฉิงก็ปลุกเรียกเผยเฉียน เผยเฉียนขยี้ตาตื่น แล้วก็ไม่ได้บ่นอะไร
ออกเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ขึ้นเขาลงห้วย มีอะไรให้ต้องแปลกใจกัน
ตอนที่ลงจากเขา บนร่างของเผยเฉียนก็มีเบ็ดตกปลาคันหนึ่งที่ดูไม่ค่อยเหมือน คันเบ็ดสักเท่าไรเพิ่มมา
ชุยเฉิงถาม “ไม่เหนื่อยรึ?”
ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะรอประโยคนี้อยู่ จึงพูดอย่างน่าสงสารว่า “เหนื่อยสิ”
ชุยเฉิงจึงเอ่ยว่า “อย่าได้หวังว่าข้าจะช่วยเจ้าสะพายคันเบ็ดตกปลานั่น ข้าผู้อาวุโสไม่หน้าหนาขนาดนั้นหรอก”
เผยเฉียนทอดถอนใจหนึ่งที บอกให้ชุยเฉิงรอสักครู่ แล้วจึงปลดเส้นเอ็นกับตะขอตกปลามาเก็บไว้ในห่อสัมภาระใบเล็กแล้วใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ หลังจากสะพายหีบไม้ไผ่ขึ้นหลังอีกครั้ง ก็หยิบคันเบ็ดตกปลาขึ้นมา ตวาดเบาๆ “เจ้าไปได้!”
คันเบ็ดพุ่งตรงไปปักลงบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล
อาหารสองมื้อเช้าค่ำของวันถัดมา เนื่องจากเดินเลียบลำคลองสายใหญ่เส้นนั้น จึงยังคงหุงข้าวกินกับแกงปลาอยู่เหมือนเดิม
ชุยเฉิงจิบน้ำแกงคำเล็กๆ แล้วเอ่ยว่า “หากต้องเดินเลียบลำคลองนี้ไปเรื่อยๆ พวกเราสองคนก็ต้องกินแบบนี้กันทุกมื้องั้นรึ?”
เผยเฉียนเหลือกตามองบนใส่ “มีให้กินก็พอแล้ว ยังจะเรื่องมากอีกทำไม”
สุดท้ายเผยเฉียนแค่นเสียงฮึในลำคอ “เจ้าไม่รู้อะไร ปีนั้นตอนที่ข้ากับอาจารย์ท่องยุทธภพด้วยกัน มีแค่ข้ากับอาจารย์สองคนจริงๆ ไม่มีพวกพ่อครัวเฒ่าอยู่ด้วย ตอนนั้นแหละต้องเรียกว่าลำบากอย่างแท้จริง เวลานั้นอาจารย์ยังทดสอบข้าอยู่ ยังไม่ได้รับข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาอย่างเป็นทางการ อาจารย์ตกปลาเก่งนักล่ะ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ มีครั้งหนึ่งข้าหิวจนตาลาย แล้วอาจารย์ก็ไม่ได้เรียกให้ข้าไปกินข้าวด้วย เจ้าลองเดาดูสิว่าข้าคิดวิธีแบบไหนได้?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ขอร้องให้เฉินผิงอันมอบข้าวให้เจ้ากินคำหนึ่ง?”
เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด “ผายลมน่ะสิ ข้าลงไปในลำคลองน้ำขุ่นสายหนึ่ง น้ำไม่ลึกมาก ประมาณเอวของข้า กระโจนตูมเอาหัวทิ่มลงไป แล้วข้าก็ยื่นมือไปในซอกหิน เอามือควานอยู่ครู่หนึ่งก็จับปลาใหญ่มาได้ตัวหนึ่ง เป็นปลาดุกตัวใหญ่ยาวประมาณแขนข้า ดุร้ายนักล่ะ เวลากัดคนจะไม่ยอมปล่อยง่ายๆ ข้าก็เลยรีบขึ้นจากน้ำ วิ่งขึ้นไปบนฝั่ง เหวี่ยงแขนสะบัดแรงๆ อยู่หลายทีกว่าจะกระแทกให้ปลาดุกตัวนั้นแน่นิ่งอยู่บนพื้นได้!”
เผยเฉียนพูดมาถึงตรงนี้ก็มีท่าทางลำพองใจเล็กน้อย “อาจารย์มองอึ้งไปเลยล่ะ เขายกนิ้วโป้งพูดชมข้าไม่ขาดปากเลย!”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “แต่งเรื่องหลอกผีไปเรื่อย”
เผยเฉียนไหล่ห่อคอตกทันใด “ก็ได้ อาจารย์ไม่ได้ยกนิ้วโป้ง แล้วก็ไม่ได้เอ่ยชมอะไรข้า แค่ชำเลืองตามองข้าแวบเดียว”
ในความเป็นจริงแล้ว ครั้งนั้นเด็กหญิงตัวดำเป็นถ่านเอาแขนที่ได้รับบาดเจ็บ ไปซ่อนไว้ด้านหลังอย่างดื้อรั้น แล้วถลึงตามองเฉินผิงอันอย่างดุดัน
เวลานี้ เผยเฉียนรีบพูดกับผู้เฒ่าด้วยท่าทางน่าเชื่อถือว่า “แต่ข้าจับปลาดุกใหญ่ตัวนั้นได้จริงๆ นะ…”
พูดมาถึงตรงนี้ กังวลว่าชุยเฉิงจะไม่เชื่อ เผยเฉียนจึงถลกแขนเสื้อขึ้น ผลกลับต้องโมโหหนักกว่าเดิม สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “ลืมไปเลยว่าแผลเป็นนั่นหายไป ตั้งนานแล้ว”
แต่ไม่นานเผยเฉียนก็คลี่ยิ้มเต็มใบหน้า “โชคดีที่ปีนั้นอาจารย์ไปเก็บยาสมุนไพรกำหนึ่งมาโยนไว้ตรงหน้าข้า ทุบให้ละเอียดแล้วโปะไว้บนแขนก็ไม่เจ็บเลยสักนิด เจ้าว่าแปลกหรือไม่? ศักดิ์สิทธิ์หรือไม่? เจ้าคงไม่เข้าใจสินะ?”
ชุยเฉิงยิ้มพลางพยักหน้ารับ
หลังจากนั้นมา
เผยเฉียนก็ยังคงคัดตัวอักษรทุกวัน และคอยฝึกวิชากระบี่มารคลั่งอยู่เป็นระยะ
ชุยเฉิงเพียงแค่พาเผยเฉียนเดินทางไปช้าๆ
วันนี้เห็นเผยเฉียนขว้างหินลงบนผิวน้ำ ผู้เฒ่าจึงถามชวนคุยว่า “นังหนูเผย คำพูดที่ทำให้เจ้าเสียใจที่สุดในชีวิตนี้คืออะไร?”
เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ผู้เฒ่าจึงถามซ้ำอีกรอบ
เผยเฉียนนั่งอยู่ริมน้ำ ตอบเนิบช้าว่า “มีอยู่สองครั้งกระมัง ครั้งหนึ่งคือตอนที่ อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนของใบถงทวีป อันที่จริงอาจารย์ ไม่ได้พูดอะไร อาจารย์แค่มองข้า แต่ข้ากลับเสียใจมาก”
“ภายหลังมีอยู่ประโยคหนึ่ง เป็นเจ้าห่านขาวใหญ่นั่นที่พูด เขาถามข้าว่า หรือว่าจะต้องรอให้อาจารย์ตายก่อน ถึงจะยอมฝึกหมัด ข้าเสียใจจนนอนไม่หลับเลย”
ชุยเฉิงจึงไม่พูดอะไรอีก
เผยเฉียนที่ดูเหมือนว่าจะกลับไปไร้ทุกข์ไร้กังวลได้อย่างรวดเร็วอีกครั้งเด็ดหญ้า ไร้ชื่อริมลำคลองมาสองต้น แล้วเล่นดึงหญ้า (การละเล่นอย่างหนึ่งของเด็กจีน คนเล่นสองคนจะหาหญ้าที่มีความเหนียวทนทานมาเกี่ยวกันแล้วดึงรั้งกันไปมา หญ้าของใครขาดก่อนคนนั้นแพ้) ที่เด็กบ้านนอกในชนบทชอบเล่นกันมากที่สุดอยู่กับตัวเอง
เส้นทางภูเขาสายน้ำยาวไกล ในที่สุดพวกเขาก็ค่อยๆ เดินไปจนถึงสถานที่ที่มีผู้คน
ชุยเฉิงยังคงพาเผยเฉียนเดินทางไปเยือนสถานที่ที่มีชื่อเสียง ขณะที่หยุดอยู่ตรงหน้าผาสูงชันแห่งหนึ่ง ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สมกับคำว่าลวดลายหน้าผาดุจบุปผาเหล็กแกะสลัก ปราณเย็นผนึกคางคกจำศีลจริงๆ”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งทีพลางพยักหน้ารับเบาๆ ราวกับว่าตัวเองฟังเข้าใจทั้งหมด
ชุยเฉิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “ชินกับการที่สองเท้าเหยียบพื้นขึ้นเขาลงห้วยแล้ว ต่อจากนี้พวกราสองคนมาข้ามเขาข้ามดอยกันจริงๆ สักที กล้าหรือไม่?”
เผยเฉียนแปะยันต์แผ่นหนึ่งไว้บนหน้าผาก พูดอย่างห้าวเหิมว่า “คนในยุทธภพ มีเพียงทำไม่ได้ ไม่มีไม่กล้าทำ!”
ชุยเฉิงไม่ได้ทะยานลมเดินทางไกล แต่ปีนเหยียบขึ้นผนังหน้าผาไป ด้านหลังคือเผยเฉียนที่ทำเลียนแบบเขาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ไปถึงยอดเขา อยู่ห่างจากภูเขาเขียวที่ห่างไปไกลอย่างน้อยก็มีระยะทางสิบกว่าลี้
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “จับไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ให้แน่น”
ไม่รอให้เผยเฉียนถามอะไร ผู้เฒ่าก็จับไหล่นาง ยิ้มพลางตวาดเสียงดังว่า “เจ้าไปได้!”
เผยเฉียนที่ราวกับกลายเป็นเทพเซียนบนภูเขาที่ขี่เมฆทะยานหมอก แรกเริ่มยังตกใจจนมือเท้าเย็นเฉียบ เพียงแต่ว่าไม่นานก็ปรับตัวได้ นางร้องว้าวหนึ่งที แล้วก็เริ่มทำท่าหมาตะกายน้ำ ก้มหน้ามองไป ภูเขาสายน้ำเลื้อยคดเคี้ยวอยู่ใต้ฝ่าเท้า
ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวนี่นา
ในขณะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปในภูเขาเขียวฝั่งตรงข้าม เผยเฉียนปรับลมหายใจของตัวเองเบาๆ ยืดขยายร่างอยู่กลางอากาศ เปลี่ยนท่าทางแล้วปรับเปลี่ยนวิถีการโคจรเล็กน้อย ใช้สองเท้าเหยียบบนต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นหนึ่ง ขาทั้งสองข้างพลันงอลงในชั่วพริบตา ร่างทั้งร่างขดตัวห่องอ ต้นไม้ใหญ่ถูกเท้าของนางเหยียบจนหักครึ่ง เมื่อลำต้นไม้ที่หักหล่นกระแทกลงบนพื้น เผยเฉียนก็ดีดปลายเท้าเบาๆ พลิ้วกาย ลงบนพื้น ชุยเฉิงมายืนอยู่ข้างกายนางแล้ว เขาเอ่ยว่า “มาแข่งกันว่าใครจะไปถึง ยอดเขาก่อน”
เผยเฉียนชักเท้าวิ่งตะบึงประหนึ่งควันเขียวกลุ่มหนึ่ง ชุยเฉิงทิ้งระยะห่างจาก เผยเฉียนประมาณห้าหกจั้งตลอดเวลา มองเห็น แต่ไล่ตามไม่ทัน
ท่ามกลางการเดินทางบนเส้นทางภูเขาช่วงหลัง หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กก็เดินมุ่งไป ในแนวเส้นตรงตลอดเช่นนี้ หากเบื้องหน้าไร้เส้นทางให้ก้าวเดิน ชุยเฉิงก็จะโยน เผยเฉียนออกไป
ถึงท้ายที่สุด เผยเฉียนก็ถึงขั้นสามารถร่ายวิชากระบี่มารคลั่งของนางอยู่ท่ามกลางเมฆหมอกได้
ยามที่ดวงจันทร์ทอแสงกระจ่างดวงดาวบางตา คนทั้งสองก็มาถึงตีนเขาของภูเขามีชื่อเสียงทางทิศตะวันตกลูกหนึ่งของแคว้นหนันเยวี่ยน
เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ พูดอย่างกระเหี้ยนกระหือรือว่า “โยนข้าขึ้นไป?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ควรจะเดินได้แล้ว เป็นบัณฑิต ตามหลักก็ควรจะเคารพขุนเขา”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”
พื้นที่ที่เป็นขุนเขาของแคว้นหนันเยวี่ยน แน่นอนว่าในประวัติศาสตร์ย่อมไม่มีเรื่องราวของสิ่งศักดิ์สิทธิ์และวิญญาณที่แท้จริงอะไร แต่เรื่องเล่าลือในประวัติเกร็ดพงศาวดารอาจมีอยู่ไม่น้อย
แต่ตอนนี้กลับบอกได้ยากแล้ว
ชุยเฉิงพาเผยเฉียนขึ้นมาบนภูเขา เดินขึ้นไปบนบันได หีบไม้ไผ่ใบเล็กของเผยเฉียนกระเด้งไปตามการเดิน นางใช้ไม้เท้าเดินป่าเคาะขั้นบันไดเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ค่อนข้างเหมือนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่วเรานะ”
ชุยเฉิงกล่าว “ทัศนียภาพใต้หล้านี้ หากไม่มองอย่างละเอียดก็มักจะเหมือนกัน”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ตัดสินใจแล้วว่าจะจดจำคำพูดประโยคนี้เอาไว้ ในอนาคตสามารถเอาออกมาโอ้อวดได้ จะได้เอาไว้หลอกเจ้าโง่น้อยโจวหมี่ลี่นั่น
ชุยเฉิงเดินขึ้นเขาเนิบช้า กวาดตามองไปรอบด้าน ท่องกลอนบทหนึ่งขึ้นมาว่า “ต้นหญ้าพันขุนเขาไหวเพยิบดุจเกล็ดเกราะ ต้นสนหมื่นหุบเขาทอดยาวเป็นสาย เรื่องประหลาดชวนให้ผู้เฒ่าร้อยปีตกใจ”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “เป็นกลอนที่ดี!”
ชุยเฉิงคลี่ยิ้ม “เจ้าเข้าใจรึ?”
เผยเฉียนยิ้มกว้าง “ข้าพูดแทนอาจารย์”
ชุยเฉิงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ
มาถึงยอดเขา มีอารามเต๋าแห่งหนึ่งที่ประตูใหญ่ปิดสนิท ชุยเฉิงไม่ได้เคาะประตู เพียงแค่พาเผยเฉียนเดินวนไปรอบด้าน ไล่ดูแผ่นป้ายศิลาหรือไม่ก็ตัวอักษรที่สลักไว้บนหินผา ชุยเฉิงทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดอย่างสะท้อนใจว่า “มหาปราชญ์เคยกล่าวว่า ชะตาคนอยู่ที่หยวนชี่ ชะตาแคว้นอยู่ที่ใจคน มีเหตุผล มีเหตุผลจริงๆ …”
เผยเฉียนหันหน้ามามองผู้เฒ่า ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าผู้เฒ่าเคยบอกว่าตัวเองคือบัณฑิต
คนทั้งสองเดินเท้าลงจากภูเขา หากเดินลงไปอีกก็จะมีหมู่บ้านชนบท มีเมืองเล็ก มีทางหลวงจุดพักม้า
ระหว่างทางเจอคนมากมาย สามสำนักเก้าสาขา ส่วนใหญ่ล้วนเดินสวนไหล่ผ่านกันไป ไม่มีคลื่นมรสุมอะไร
วันนี้คนทั้งสองมานั่งอยู่ในร้านน้ำชาข้างทางร้านหนึ่ง เผยเฉียนจ่ายเงินซื้อน้ำชาเย็นๆ มาสองถ้วยใหญ่
เผยเฉียนถักงอบไม้ไผ่สานให้ตัวเองใบหนึ่ง
ตรงเอวห้อยเตาเจี้ยนฉว่อ สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก สวมงอบไม้ไผ่ ข้างโต๊ะวางไม้เท้า เดินป่า มองดูแล้วน่าขันอยู่ไม่น้อย
มีเหล่าจอมยุทธในยุทธภพกลุ่มหนึ่งพลิกตัวลงจากหลังม้าเตรียมมานั่งลงที่โต๊ะด้านข้าง เผยเฉียนจึงเริ่มตื่นตระหนก นางที่เดิมทีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับผู้เฒ่าจึงแอบขยับมานั่งบนม้ายาวด้านข้างผู้เฒ่า
เหลือบมองชาวยุทธที่แท้จริงกลุ่มนั้นเร็วๆ ครั้งหนึ่ง แล้วเผยเฉียนก็กดเสียงต่ำถามผู้เฒ่า “รู้หรือไม่ว่าคนที่ท่องอยู่ในยุทธภพจำเป็นต้องมีของสิ่งใดบ้าง?”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “ไหนลองว่ามาสิ”
เผยเฉียนพูดเสียงเบา “ทองกำใหญ่ ม้าตัวสูงใหญ่ ดาบอาคมที่ตัดเหล็กได้เหมือนตัดดินโคลน อีกอย่างก็คือฉายาในยุทธภพที่โด่งดัง อาจารย์บอกว่าเมื่อมีของพวกนี้แล้วไปท่องอยู่ในยุทธภพ ไม่ว่าเดินไปที่ไหนก็ล้วนได้รับการต้อนรับ”
จู่ๆ เผยเฉียนก็รู้สึกอารมณ์ดี “วันหน้าข้าไม่ต้องการม้าสูงใหญ่อะไรแล้ว อาจารย์เคยรับปากข้าว่า รอวันใดที่ข้าออกท่องยุทธภพ เขาจะซื้อลาตัวเล็กให้ข้า”
ชุยเฉิงพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
คนในยุทธภพที่พกดาบกลุ่มนั้นมานั่งอยู่ด้านข้าง คนหนึ่งในนั้นไม่ได้นั่งลงทันที แต่ยื่นมือมากดงอบบนศีรษะเล็กๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ถ่านดำน้อยนี่มาจากไหนกัน โอ้โห ยังเป็นจอมยุทธหญิงน้อยด้วย? พกทั้งดาบทั้งกระบี่ น่าเกรงขามนัก”
คนผู้นั้นยื่นมือมากดลงบนศีรษะของเผยเฉียนหนักๆ “ไหนบอกมาสิว่าเรียนรู้ มาจากใคร?”
ชุยเฉิงทำเพียงแค่ดื่มชา
เผยเฉียนหน้าซีดขาว ไม่เอ่ยคำใด ก่อนจะเงยหน้าขึ้นช้าๆ พูดอย่างขลาดๆ ว่า “เรียนรู้มาจากอาจารย์”
คนในยุทธภพผู้นั้นยิ้มพลางก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว ยกเท้าขึ้นเตะหีบไม้ไผ่ของนังหนูที่สวมงอบ “ท่องอยู่ในยุทธภพแล้ว เหตุใดยังสะพายหีบหนังสือผุๆ ใบนี้มาอีก?”
เผยเฉียนอยากจะเปิดปากขอร้องชุยเฉิง คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะยิ้มกล่าวว่า “จัดการเอาเอง”
เผยเฉียนเช็ดเหงื่อบนใบหน้า เห็นว่าคนผู้นั้นยังจะเพิ่มน้ำหนักเตะหีบไม้ไผ่ด้านหลังตนอีกที เผยเฉียนจึงลุกขึ้นยืน ขยับเท้าหลบ ยื่นมือออกไปตามจิตใต้สำนึก ไม้เท้าเดินป่าอันนั้นก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ
คนผู้นั้นเตะโดนความว่างเปล่า เพิ่งจะรู้สึกว่าตัวเองเสียหน้า ความอับอายกำลังจะพานเป็นความโกรธ แต่พอเห็นเจ้าถ่านดำน้อยบังคับวัตถุให้ลอยขึ้นมากลางอากาศก็เริ่มมีเหงื่อผุดมาตรงหน้าผาก พยายามขึงดึงหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรให้ดูมีเมตตาอ่อนโยน จากนั้นก็ก้มหัวค้อมเอว ถูมือยิ้มแห้งเอ่ยว่า “จำคนผิดแล้วๆ”
เผยเฉียนคิดแล้วก็นั่งกลับลงไปที่เดิม
ชุยฉานยิ้มถาม “ไม่กล้าเอาคืนรึ?”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอัดอั้นว่า “แรกเริ่มกลัวว่าเขาจะเตะหีบไม้ไผ่พัง เมื่อครู่เห็นว่าเขายกเท้าเตะออกไป ข้าก็ยิ่งกลัวว่าหากไม่ระวัง จะต่อยทะลุหน้าอกเขาด้วยหมัดเดียว”
ชุยเฉิงถามอีก “เจ้าจะกลัวเรื่องพวกนี้ทำไม? หรือว่าไม่ควรเป็นอีกฝ่ายที่ต้อง กลัวเจ้า?”
เผยเฉียนยังคงส่ายหน้า “อาจารย์เคยบอกว่า ท่องอยู่ในยุทธภพไม่ได้มีเพียงแค่บุญคุณความแค้น หรือการต่อสู้ฆ่าฟันอย่างสาแก่ใจ เวลาเจอเรื่องเล็กๆ หากสามารถเก็บหมัดไว้ได้ นั่นต่างหากจึงจะแสดงว่าความสามารถของคนฝึกวรยุทธถึงประตูแล้ว”
ชุยเฉิงหัวเราะทันใด
ไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะคำพูดใหญ่โตของแม่นางน้อย หรือหัวเราะคำกล่าวบ้านๆ ของเมืองเล็กที่บอกว่า ‘ถึงประตู’ (เปรียบเปรยว่าถึงแก่น/ชำนาญ/เชี่ยวชาญ) นี่กันแน่
ชุยเฉิงดื่มน้ำชาในถ้วยหมดแล้วก็เอ่ยว่า “เจ้ามีทรัพย์สมบัติเป็นเงินแค่ไม่กี่แดง โยนเหรียญทองแดงออกไปเหรียญหนึ่ง แน่นอนว่าต้องกลัดกลุ้มกังวลใจ รอจนเจ้า มีเงินเทพเซียนกองใหญ่เมื่อไหร่ แล้วโยนเงินออกไปอีก…”
เผยเฉียนพูดอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “ต้องไปตามเก็บมาให้ครบ!”
พูดเป็นเรื่องตลกไปได้ ไหนเลยจะมีหลักการที่ว่าโยนเงินไปแล้วไม่เก็บกลับคืน
อาจารย์เคยบอกว่าเหรียญทองแดงทุกเหรียญที่อยู่ในกระเป๋าเงินของตัวเอง หากหายไป ก็คือแมลงน่าสงสารที่ไร้บ้านให้กลับ
เผยเฉียนเห็นว่าผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรก็กล่าวอย่างประหลาดใจว่า “ลองเปลี่ยนเหตุผลดูไหม แล้วข้าจะรับฟัง”
ชุยเฉิงหัวเราะฮ่าๆ “อาจารย์ผู้เฒ่าก็มีช่วงเวลาที่กล่าวคำพูดเก่าๆ จนหมด ใช้เหตุผลเก่าๆ จนสิ้นเหมือนกัน”
เผยเฉียนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ลองคิดดูอีกหน่อย?”
ชุยเฉิงส่ายหน้า “ไม่คิดแล้ว”
พวกคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ ไม่คิดจะดื่มชาแล้ว ขึ้นหลังม้าได้ก็ควบทะยานจากไปทันที
ดูท่าจะมีธุระเร่งด่วนจริงๆ
ชุยเฉิงพาเผยเฉียนออกเดินทางต่ออีกครั้ง เขามองไปยังทิศไกล ยิ้มกล่าวว่า “ตามไป ไปพูดความรู้สึกในใจกับพวกเขา พูดอะไรก็ได้”
เผยเฉียนรู้สึกลังเลเล็กน้อย
ชุยเฉิงโบกมือ
เผยเฉียนจึงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง จับประคองงอบ แล้วเริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิดอย่างละเอียดว่าตนควรพูดอย่างไรถึงจะดูสมเหตุสมผลและ มีมารยาท ครู่หนึ่งต่อมา เผยเฉียนที่วิ่งได้เร็วกว่าฝีเท้าม้าก็ไล่ตามไปทันหนึ่งคนหนึ่งม้านั้น
นางค่อยๆ ชะลอฝีเท้า แหงนหน้าพูดกับชายฉกรรจ์บนหลังม้าที่ท่าทางเหมือนบิดาตายคนนั้น “ท่องอยู่ในยุทธภพ ต้องมีคุณธรรม!”
เห็นว่าคนผู้นั้นมีสีหน้าอึ้งงัน
เผยเฉียนก็เพิ่มน้ำหนักเสียงถามเสียงดัง “จำได้แล้วหรือยัง?”
คนผู้นั้นพูดเสียงสั่น “จำได้แล้ว!”
ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น แม้แต่สหายคนอื่นๆ ในยุทธภพของเขาก็ยังอดไม่ไหวพากันตอบคำถามตามไปด้วย
เผยเฉียนได้รับคำตอบแล้วก็พลันหยุดยืนนิ่ง รอให้ผู้เฒ่าที่อยู่ด้านหลังตามมาทัน
หลังจากนั้นมาเผยเฉียนกับผู้เฒ่าไปก็เยือนหัวกำแพงเมืองสูงใหญ่ของนครแห่งหนึ่งด้วยกัน
จุดธูปไหว้พระในวัดวาและอารามแห่งต่างๆ ซื้อของอร่อยหลายอย่างจากในตลาด เดินชมร้านหนังสือมากมายของบ้านเกิด เผยเฉียนยังซื้อหนังสือไปฝากพี่หญิงเป่าผิงและหลี่ไหว แน่นอนว่ายังมีพวกสหายบนภูเขาลั่วพั่วที่นางก็ควักกระเป๋าเงินตัวเอง ซื้อของขวัญไปฝากพวกเขาด้วย น่าเสียดายที่แคว้นหนันเยวี่ยนอันเป็นบ้านเกิดแห่งนี้ เงินเทพเซียนใช้ไม่ได้ผล เห็นเงินเหรียญทองแดงและเม็ดเงินทั้งหลายพากันไปอยู่ บ้านคนอื่น เผยเฉียนก็รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย
ตอนที่ชุยเฉิงพาเผยเฉียนเดินออกมาจากร้านหนังสือ เขาถามว่า “วางตัวอยู่ในสังคมเลียนแบบอาจารย์ของเจ้าไปเสียทุกเรื่อง ไม่รู้สึกว่าน่าเบื่อบ้างหรือ?”
เผยเฉียนเดินอาดๆ อยู่บนถนนที่ผู้คนเดินสวนกันขวักไขว่ “แน่นอนว่าไม่ คนเรามีชีวิตอยู่จะยังเบื่อหน่ายอะไรอีก ทุกวันได้กินอิ่มนอนหลับ ยังจะต้องการอะไรอีก เมื่อก่อนข้าเป็นขอทานอยู่ที่เมืองหลวงหนันเยวี่ยน เสื้อผ้าบนร่างขาดวิ่น แม้แต่ประตูวัดวาอารามก็ยังเข้าไปไม่ได้ น่าสงสารจะตาย ได้แต่ยืนแนบติดกำแพง พยายาม จะขอพรจากพระโพธิสัตว์ แต่พวกพระโพธิสัตว์ก็ยังไม่ได้ยิน ตอนที่ควรหิวโหยท้อง ก็ยังร้องโครกคราก ตอนที่ควรถูกคนซ้อมก็ยังเจ็บปวดจนต้องลงไปกลิ้งอยู่กับพื้น”
ชุยเฉิงยิ้มกล่าว “จะคิดแบบนี้ไม่ได้ สุดท้ายพวกพระโพธิสัตว์ก็ได้ยินแล้ว ไม่ใช่หรือ ให้เฉินผิงอันมายืนอยู่ตรงหน้าเจ้า แล้วยังเป็นอาจารย์ของเจ้าด้วย?”
เผยเฉียนหยุดเท้ากึก ดวงตาแดงก่ำ บอกให้ผู้เฒ่ารอนาง แล้วนางก็วิ่งไปที่วัดในเมืองเพียงลำพัง ไม่เพียงแต่จุดธูปเชิญธูป ยังปลดหีบไม้ไผ่ใบเล็กลงวางไว้ด้านข้าง นางนั่งคุกเข่าลงบนเบาะใต้ฝ่าเท้าพระโพธิสัตว์แล้วโขกหัวดังๆ อยู่หลายที
หลังจากที่คนทั้งสองออกมาจากเมือง ชุยเฉิงก็บอกว่าจะเดินทางไปยังเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแล้ว
เผยเฉียนพยักหน้า ไม่ได้เอ่ยอะไร
ริมลำคลองเส้นหนึ่งที่อยู่ห่างจากเมืองหลวงไปไม่ไกล
ชุยเฉิงนั่งอยู่ริมลำธาร เผยเฉียนนั่งยองอยู่ด้านข้างวักน้ำมาล้างหน้า
ผู้เฒ่าเอ่ยถาม “ยังกลัวเฉาฉิงหล่างผู้นั้นอยู่อีกไหม? หากยังกลัว พวกเราเข้าเมืองช้าหน่อยก็ได้”
เผยเฉียนเงียบงันไม่พูดจา เอาแต่มองฝั่งตรงข้ามอย่างเหม่อลอย
ผู้เฒ่าหยิบหินขึ้นมาก้อนหนึ่ง แล้วโยนลงลำคลองไปเบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “กลัวคนคนหนึ่ง เรื่องเรื่องหนึ่ง อันที่จริงก็ไม่เป็นไร แต่ไม่ควรกลัวจนถึงขั้นไม่กล้าเผชิญหน้า บัณฑิตศึกษาหาความรู้ หลักการเหตุผลบางอย่างของอริยะปราชญ์ที่ เปิดโปงความลับสวรรค์ คนรุ่นหลังทั่วไป สามารถตามได้ทันหรือ? หรือว่าจะไม่ต้องสรรสร้างความรู้กันแล้ว? บทประพันธ์บทกวีที่คนรุ่นก่อนเขียนเอาไว้ หากคนรุ่นหลังได้แต่เบิกตามองเฉย แล้วจะเปรียบเทียบกันได้อย่างไร? หรือว่าจะไม่ต้องเขียนบทประพันธ์แล้ว? สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ในเมื่อเดินอยู่บนเส้นทางแล้ว ชีวิตนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายากจะเดินอ้อมออกไปได้ นี่ก็เท่ากับว่าหลอกตัวเองแล้วยังหลอกคนอื่น ได้แต่ทำงานง่ายๆ สบายๆ ข้างตัวที่ยังพอจะทำได้”
ผู้เฒ่าชี้ไปยังทิศไกล “แต่เจ้าต้องรู้ว่าทางฝั่งนั้นมีทัศนียภาพอย่างไรกันแน่ เบิกตากว้างมองให้ละเอียดล่ะ ห้ามกลัวเด็ดขาด หากเจ้าหลบหนีไปซ่อนตัว ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องกลัวไปทั้งชีวิต”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าข้าผู้อาวุโสที่เป็นคนนอกพูดจาบั่นทอนกำลังใจ”
ผู้เฒ่ากล่าวต่ออีกว่า “ปีนั้นที่ข้าผู้อาวุโสไปขอศึกษาเล่าเรียน กับภายหลังที่สรรสร้างความรู้อยู่ในห้องหนังสือ ใจของข้าใหญ่เทียมฟ้า ยามที่แข่งขันกับคนอื่นก็ไม่เคยแพ้มาก่อน ภายหลังฝึกวิชาหมัด อยู่ตัวคนเดียว ได้แต่อาศัยสองหมัดออกเดินทางท่องเที่ยวไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ สิ่งที่แสวงหา ก็เหมือนกับตอนที่ไปเรียนต่อและตอนที่ฝึกวิชาหมัด นั่นก็คือคำว่าแม้เผชิญหน้ากับคนนับพันนับหมื่นขัดขวาง ข้าก็ยังบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญเช่นที่กล่าวในตำรา”
ผู้เฒ่าพูดอย่างสะท้อนใจ “ยุคสมัยไร้วีรบุรุษ ผู้ไร้นามจึงกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง ประโยคนี้น่าเศร้าที่สุด ไม่ได้เศร้าที่ผู้ไร้นามกลายเป็นผู้มีชื่อเสียง แต่เศร้าที่ยุคสมัย ไร้วีรบุรุษ ดังนั้นพวกเราจึงอย่าไปกลัวว่าคนอื่นจะมีดีเท่าไร คนอื่นดีมาก ตัวเอง ก็สามารถดีได้มากกว่า นั่นต่างหากจึงจะเป็นการเติบโตที่แท้จริง”
“สักวันหนึ่งเจ้าเผยเฉียนจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอัน เจ้าเผยเฉียนก็คือเผยเฉียน แน่นอนว่าเฉินผิงอันยินดีดูแลเจ้าไปตลอด เขาก็เป็น คนแบบนี้ ขุนเขามหานทีเปลี่ยนง่าย สันดานเปลี่ยนยาก บางทีวันหน้าอาจจะยุ่งเรื่องคนอื่นน้อยลง แต่พวกเจ้าที่เป็นญาติเป็นคนสนิทได้มารวมอยู่ข้างกายของเขาแล้ว ก็คือภาระที่เฉินผิงอันต้องแบกรับไปตลอดชีวิต เขาไม่กลัวลำบาก และยังมีความสุขกับการทำเช่นนี้ เรื่องแบบนี้ หากเจ้าคิดจะเกลี้ยกล่อมให้เขาคิดเพื่อตัวเองให้มากหน่อย นั่นก็ไม่ต่างจากเป็ดคุยกับไก่ที่คุยกันไม่รู้เรื่อง หลักการเหตุผล เขารับฟังก็จริง ก็แค่ยากที่จะเปลี่ยนนิสัยก็เท่านั้น”
จากนั้นผู้เฒ่าก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น “ไป ไปเมืองหลวงกัน ข้าจะนำทางเอง!”
หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเดินทางไปที่เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนด้วยกัน ตามกฎเดิม ไม่มีการยื่นเอกสารผ่านด่าน แต่ปีนกำแพงเข้าไปเงียบๆ
ถึงอย่างไรก็เป็นตาเฒ่าชุยที่เป็นคนนำนางทำ ต่อให้อาจารย์รู้ก็คงไม่โกรธมากกระมัง?
เข้ามาในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่เผยเฉียนยังคงคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เผยเฉียนก็ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง
ผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยเร่งรัดอะไร
ตอนที่เดินผ่านตรอกจ้วงหยวนเส้นนั้น ผ่านสำนักฝึกยุทธที่ยังคงเปิดทำการ แล้วก็ไปถึงวัดซินเซียง
ฝีเท้าของเผยเฉียนเร็วขึ้นกว่าเดิมหลายส่วน
แต่ในขณะที่เผยเฉียนไม่ได้กลัวมากขนาดนั้นแล้ว ผู้เฒ่ากลับหยุดเท้าอยู่ที่ หน้าประตูวัดเล็กที่ไม่มีคนเดินเข้าออก
เผยเฉียนอยากจะตามเข้าไป ชุยเฉิงกลับส่ายหน้าเอ่ยว่า “ระยะทางช่วงสุดท้ายนี้ เจ้าควรเดินไปด้วยตัวเอง”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที นางเดินเลียบถนนใหญ่มุ่งหน้าไปยังตรอกเล็กเส้นนั้นเพียงลำพัง
ผู้เฒ่ามองแผ่นหลังเล็กผอมบางนั้นอยู่ตลอดเวลา เขาคลี่ยิ้ม ก่อนจะเดินเข้าไปในวัด แต่ไม่ได้จุดธูป สุดท้ายไปนั่งอยู่ในระเบียงที่เงียบสงบไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง
มาถึงตรอกเล็ก เผยเฉียนสังเกตเห็นว่าประตูปิดสนิท นางจึงนั่งอยู่บนขั้นบันไดนอกประตู นั่งรอจนกระทั่งถึงช่วงสายัณห์ ถึงได้มีเด็กหนุ่มสวมชุดเขียวคนหนึ่ง เดินเข้ามาในตรอก
เผยเฉียนลุกขึ้นยืน มองมาทางเขา
เผยเฉียนเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ เฉาฉิงหล่าง”
เฉาฉิงหล่างยิ้มกล่าว “สวัสดี เผยเฉียน”
จากนั้นเฉาฉิงหล่างก็เปิดประตูพลางหันหน้ามาถาม “ครั้งก่อนเจ้าจากไปอย่าง รีบร้อน ยังไม่ทันได้ถามเจ้าว่าท่านเฉินเป็นอย่างไรบ้าง…”
เผยเฉียนมีโทสะทันใด หลุดปากพูดออกไปว่า “ทำไมเจ้าถึงได้กวนโอ้ยชวนเตะขนาดนี้?”
เฉาฉิงหล่างหลุดหัวเราะพรืด
เขารู้สึกกลัวนางอยู่นิดๆ จริงๆ
เผยเฉียนมองเขา
เฉาฉิงหล่างถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ?”
เผยเฉียนก้าวยาวๆ เข้าไปในลานบ้าน หยิบม้านั่งเล็กตัวหนึ่งที่คุ้นเคยดีออกมานั่ง “เฉาฉิงหล่าง ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้าสักหน่อย!”
เฉาฉิงหล่างยิ้มพลางนั่งลง
บนม้านั่งตัวเล็กสองตัว คือคนรู้จักสองคนที่ต่างก็อายุไม่มากทั้งคู่
ในระเบียงของวัดซินเซียง ชุยเฉิงหลับตาลง เงียบงันอยู่นานคล้ายกำลังรอคอยคำตอบจากการพบกันอีกครั้งในตรอกเล็กแห่งนั้น แล้วเขาถึงจะวางใจได้ เพียงแต่ว่ายิ่งนานสีหน้าของชุยเฉิงก็ยิ่งแสดงความเหนื่อยล้า หลังจากที่เผยเฉียนจากไป เขาก็ไม่ได้ปกปิดความแก่ชราของตัวเองไว้อีก
ระหว่างนี้มีภิกษุคนหนึ่งเดินเข้ามาใกล้ ชุยเฉิงเพียงแค่ยิ้มพลางส่ายหน้าให้ ภิกษุจึงคลี่ยิ้มยกมือพนมสิบนิ้ว ก้มหน้าแล้วหมุนตัวเดินจากไป
ชุยเฉิงนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมตลอดเวลา ดูเหมือนว่าในที่สุดก็วางเรื่องในใจลง ได้แล้ว มือสองข้างของเขาทับซ้อนกันเบาๆ สายตาเลื่อนลอย เนิ่นนานต่อมาจึง ปิดตาลง พึมพำว่า “มีความหมายที่แท้จริงของชีวิตอยู่ในนี้ อยากอธิบายแต่ไม่รู้ จะพูดอย่างไร”