บทที่ 562 ฝ่าทะลุสองขอบเขต
การป้อนหมัดครั้งสุดท้ายที่หลี่เอ้อร์มีต่อเฉินผิงอัน แตกต่างไปจากเดิมอย่างมาก
หลี่เอ้อร์บอกให้เฉินผิงอันออกแรงเต็มกำลัง ไม่ต้องเลือกวิธีการ ดูสิว่าทำแบบไหน ถึงจะสามารถประคองตัวอยู่ภายใต้หมัดของเขาได้นานยิ่งขึ้น
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตหก แต่หลี่เอ้อร์กลับเป็นขอบเขตสิบกลับคืนสู่ความจริง ต่อให้ไม่เลือกวิธีการ แต่จะมีความหมายอะไรเล่า?
หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “การออกหมัดของข้าครั้งนี้จะมีการกะน้ำหนักให้เหมาะสม เพียงแค่สะบั้นจุดเชื่อมโยงของวิธีการมากมายของเจ้า พูดง่ายๆ ก็คือ เจ้าลงมือได้ ตามสบาย คิดเสียว่ากำลังคุมเชิงเข่นฆ่าอยู่กับศัตรูตัวฉกาจที่จะตัดสินเป็นตายกับเจ้า อีกฝ่ายอาศัยว่ามีขอบเขตสูงกว่าเจ้ามากก็เลยเกิดใจดูแคลน ขณะเดียวกันก็ไม่รู้ ถึงรากฐานของเจ้าในตอนนี้ จึงเพียงแค่มองเจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธที่พื้นฐานไม่เลวคนหนึ่ง คิดแค่ว่าจะเผาผลาญปราณวิญญาณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของเจ้าให้หมด จากนั้นก็ ทารุณเจ้าช้าๆ เพื่อระบายความโกรธแค้น”
เฉินผิงอันยิ่งไม่เข้าใจ หรือว่าความนัยในคำพูดนี้ก็คือ นอกจากที่ตนจะสามารถออกหมัดได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิธีการที่ฉกฉวยโอกาสเอาเปรียบ ชั่วร้ายหรือต่ำช้า แค่ไหนก็ล้วนสามารถนำมาใช้ได้?
หลี่เอ้อร์ไม่ได้อธิบายไปมากกว่านั้น “อย่าได้ไม่เห็นเป็นสำคัญ ไม่อย่างนั้นหากทำให้ข้ารู้สึกว่าเจ้ากล้าดูแคลนศัตรูที่จะมาเอาชีวิตเจ้า หมัดสุดท้ายของข้าก็สามารถทำให้เจ้านอนกระอักเลือดอยู่บนเตียงของยอดเขาสิงโตได้นานเป็นครึ่งๆ ปี”
หลี่เอ้อร์หมุนตัวเดินไปทางท่าเรือ ทิ้งเฉินผิงอันไว้ตรงหน้าประตูกระท่อม
มือของหลี่เอ้อร์ถือไม้ไผ่ถ่อเรือ ยืนอยู่บนปลายด้านหนึ่งของเรือลำเล็ก แล้วเริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ ครึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็เดินไปที่ท่าเรือ
หลี่เอ้อร์เห็นแล้วก็กลั้นยิ้ม
คนหนุ่มเปลือยเท้า ม้วนชายขากางเกง แต่กลับไม่ได้ม้วนชายแขนเสื้อ
ยังไม่ลืมสะพายเจี้ยนเซียนที่ได้มาจากตระกูลฝูของนครมังกรเฒ่าเล่มนั้นไว้ด้วย
หลี่เอ้อร์พยักหน้ารับ “ขึ้นเรือ”
ทันใดนั้นไม้ถ่อเรือในมือของหลี่เอ้อร์ก็พุ่งเข้ามาแสกหน้า เฉินผิงอันที่คีบยันต์ ย่อพื้นที่ไว้ในชายแขนเสื้อนานแล้วจึงหายวับไปจากที่เดิม เท้าข้างหนึ่งของเขา เหยียบลงบนผนังหินของเส้นทางน้ำถ้ำตระกูลเซียน อาศัยแรงดีดพุ่งกลับไปมา หลายครั้ง เพียงชั่วพริบตาก็ห่างไกลออกมาจากหนึ่งเรือหนึ่งคนหนึ่งไม้พายนั้น เมื่อเฉินผิงอันร่วงลงบนผิวน้ำเขาก็ค้อมเอวเหยียบน้ำแล้วกลิ้งไถลตัวออกไป มือหนึ่งกดผืนน้ำเอาไว้ ทำให้เกิดริ้วคลื่นเป็นระลอก แล้วทันใดนั้นก็พลันหยุดชะงัก แสงศักดิ์สิทธิ์ของแก่นยันต์ขยุ้มดินและแก่นยันต์มหานทีไหลสะพัดระเบิดแตกทันใด เฉินผิงอันบิดหมุนข้อมือเบาๆ มือขวาก็มีมีดสั้นสองเล่มโผล่ขึ้นมา บนมีดสลักสองคำว่า ‘น้ำค้างรุ่งอรุณ’ และ ‘แสงสายัณห์’ ล้วนได้มาจากนักฆ่าของภูเขาเกอลู่
มองดูเหมือนว่าปลายด้านหน้าของไม้พายร่วงลงพื้น แต่กลับไม่ได้แตะพื้นจริงๆ พายุลมกรดไม่เพียงแต่ไม่ได้ผ่าพื้นดินให้เป็นร่องลึก กลับกันยังไม่มีฝุ่นตลบขึ้นมาแม้แต่น้อย นี่ก็คือการปล่อยและเก็บปณิธานหมัดของปรมาจารย์ใหญ่ขอบเขตปลายทางวิถีวรยุทธคนหนึ่งที่ไต่ไปถึงระดับที่สามารถทำได้ตามใจปรารถนาแล้ว
ด้านหน้าของเรือลำเล็ก ผืนน้ำโถมตัว เศษหินแตกปลิวกระจาย มีคนชุดเขียว มือสองข้างถือมีดผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาเป็นเส้นตรงประหนึ่งสายฟ้าผ่า
หลี่เอ้อร์เก็บไม้พาย หันหน้ามามองแล้วยิ้มกล่าวว่า “ลูกเล่นเยอะนัก แต่ก็ น่าตกใจไม่น้อย”
จากนั้นหลี่เอ้อร์ก็ทิ่มไม้พายออกไปง่ายๆ เรือเล็กใต้ฝ่าเท้าค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหน้า เฉินผิงอันหันหน้าเบี่ยงหลบไม้พายอันนั้น มือซ้ายที่อยู่ในชายแขนเสื้อ คีบยันต์ย่อพื้นที่ ร่างก็วูบหายไป
หลี่เอ้อร์ปล่อยฝ่ามือออกจากไม้พาย แล้วกำอีกครั้ง ทั้งไม่ได้หันตัวกลับ แล้วก็ไม่ได้หันหน้าไปมอง เพียงทิ่มไม้พายไปด้านหลัง เฉินผิงอันที่มาปรากฏตัวอยู่ ข้างหลังเขาถูกไม้พายทิ่มเข้าที่หน้าอกอย่างจัง เสียงกระแทกดังปังร่างก็ร่วงลงไปใต้น้ำ หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันเบี่ยงตัวเล็กน้อยจึงมีเพียงแค่จุดที่ชุดเขียวปริแตกเท่านั้น ที่มีรอยเลือดและกระดูกขาวโผล่ ไม่อย่างนั้นคาดว่าไม้พายนี้ของหลี่เอ้อร์ที่ปาก บอกว่า ‘ประมาทศัตรู’ ก็คงแทงทะลุหน้าอกเฉินผิงอันไปโดยตรงแล้ว
เรือลำน้อยใต้ฝ่าเท้าของหลี่เอ้อร์ค่อยๆ เคลื่อนตัวไปด้านหน้า ไม่จำเป็นต้องใช้ ไม้พายแม้แต่น้อย ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตสิบก็เป็นดั่งคำที่หลี่เอ้อร์กล่าวไว้ว่า ‘พลังชีวิตจิตวิญญาณเปี่ยมล้น คนคือคนที่สมบูรณ์’ หากเอาพละกำลังที่แท้จริงออกมาเมื่อไหร่ หลี่เออร์ก็สามารถปล่อยพายุลมกรดปณิธานหมัดไว้ได้เต็มเส้นทางน้ำสายนี้ได้อย่างสบายๆ
หลี่เอ้อร์ยิ้ม ดีนักนะ ถือว่าเจ้าได้เปรียบด้านชัยภูมิ ถึงได้ใช้ยันต์น้ำรวดเดียว หลายสิบแผ่น ให้มันระเบิดพร้อมกัน ก็พอจะถือว่าทำให้แม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำได้
หลี่เอ้อร์กำไม้พายเบาๆ เสียงลมดังอื้ออึง พายุลมกรดสะเทือนเลือนลั่น หนึ่งคนหนึ่งเรือพุ่งทะยานไปด้านหน้าไม่ช้าไม่เร็ว หยดน้ำไม่อาจสัมผัสโดนคนและเรือได้แม้แต่น้อย
หลี่เอ้อร์กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ใต้ท้องน้ำก็เกิดเสียงกัมปนาททุ้มหนัก เขารู้สึก ตกตะลึงนิดๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจเฉินผิงอันที่อยู่ใต้น้ำอีก ขยับตัวเลื่อนจากท้ายเรือมายังหัวเรือ ชำเลืองตามองผนังด้านหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล เรือน้อยใต้ฝ่าเท้าพุ่งไปดั่งลูกธนู ก่อนที่ไม้พายจะถูกขว้างใส่ผนังแถบนั้น
จิตหยินที่ออกจากช่องโพรงอย่างเงียบเชียบใช้ยันต์แบกศิลาของตำหนักขวานผีมาซ่อนตัวอยู่บนผนังนานแล้ว และวิธีการทั้งหลายก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วก็เป็นแค่เวทอำพรางตาเท่านั้น
คิดไม่ถึงว่าจะยังคงถูกหลี่เอ้อร์มองทะลุได้อย่างง่ายดาย
จิตหยินจึงได้แต่เบี่ยงหลบไม้พายที่พุ่งมาพร้อมพละกำลังหนักอึ้งนั้น และการขยับครั้งนี้ก็ทำให้ร่างจริงปรากฏ คือคนหนุ่มชุดขาวที่เหน็บพัดพับไว้ตรงเอวคนหนึ่ง ต่อให้จะต้องเผ่นหนีด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังมีรอยยิ้ม เรือนกายล่องลอยดุจเทพเซียนบนภูเขา ตอนที่ออกมาจากผนังหิน จิตหยินของ เฉินผิงอันประกบสองนิ้วทำมุทรากระบี่ แสงกระบี่สีขาวหิมะเส้นหนึ่งพุ่งออกจาก หว่างคิ้ว ก็คือกระบี่บินชูอีที่ยังหลอมให้กลายเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตได้ไม่สำเร็จ แม้จะไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่เมื่อผ่านการขัดเกลาคมกระบี่ของแท่นสังหารมังกรมาตลอดการเดินทางครั้งนี้ เมื่อกลับมาเผยกายสู่บนโลกอีกครั้ง ก็ยังมีพลังอำนาจน่าครั่นคร้ามอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ไม้พายของหลี่เอ้อร์ยังคงไม่สัมผัสโดนผนังหิน แขนของเขางอลงน้อยๆ เก็บไม้พายกลับมา แล้วฟาดเข้าใส่กระบี่บินชูอีจนอีกฝ่ายสั่นสะเทือนส่งเสียงดัง ไม่หยุด สุดท้ายกระแทกปักเข้าใส่ผนังหิน ทว่าไม้พายธรรมดาที่แค่ถูกปณิธานหมัดไหลรินเข้าสู่กลับไม่มีความเสียหายแม้แต่น้อย
หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “ยังมีอีก?”
กระบี่บินคมกริบที่มีพลังอำนาจของเซียนกระบี่เล่มหนึ่งแทงเข้าใส่หัวใจด้านหลังของหลี่เอ้อร์
หลี่เอ้อร์ไม่สนใจแม้แต่น้อย เพราะเขาย่อมมีปณิธานหมัดเปี่ยมล้นที่เป็นดั่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยปกป้องคุ้มครอง เดิมทีนี่ก็คือเสื้อเกราะวิเศษที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายได้มากที่สุดในใต้หล้าแล้ว
หลี่เอ้อร์ร้องเอ๊ะหนึ่งที “เป็นแค่กระบี่จำลองที่ภูเขาชังกระบี่สร้างขึ้น?”
เพราะกระบี่บินที่พุ่งมาด้วยพลังอำนาจดุดันเล่มนั้นกลับถูกปณิธานหมัดของเขาดีดออกไปได้อย่างง่ายดาย
กระบี่บินเล่มที่สามที่ความเร็วสูงสุดพุ่งตรงเข้าหาท้ายทอยด้านหลังของหลี่เอ้อร์
เวลาเดียวกันนั้น กระบี่บินเล่มแรกที่มีแสงกระบี่ดุจสายรุ้งขาวก็คิดจะเข้ามา โรมรันประชิดตัวอีกครั้ง
หลี่เอ้อร์รู้สึกระอาใจเล็กน้อย “แบบนี้เริ่มน่ารำคาญแล้วนะ”
หลี่เอ้อร์ปล่อยไม้พาย ร่างพุ่งวูบออกไป นาทีถัดมามือของเขาก็คว้าจับกระบี่บินทั้งสามเล่มเอาไว้ กลางฝ่ามือจึงมีประกายไฟปะทุกระเซ็น
รอจนหลี่เอ้อร์กลับมาที่เรือเล็กอีกครั้ง ไม้พายอันนั้นก็ยังคงลอยอยู่กลางอากาศ ไม่ได้ร่วงลงมา เพราะการไปกลับครั้งนี้ของหลี่เอ้อร์เร็วมากจริงๆ
มือหนึ่งของหลี่เอ้อร์พันธนาการกระบี่บินทั้งสามเล่ม มืออีกข้างหนึ่งค้ำยัน ปลายด้านหนึ่งของไม้พายแล้วผลักออกไปหนักๆ เรือน้อยใต้ฝ่าเท้าแกว่งส่ายเบาๆ
ไม้พายที่เอนเอียงเล็กน้อยพุ่งฉิวออกไปแทงทะลุหน้าท้องของเฉินผิงอันโดยตรง ปักตรึงร่างเขาไว้ใต้น้ำ พลานุภาพยามที่พุ่งมาของไม้พายไม้ธรรมดา ไม่เพียงแต่ทำให้ทั้งแผ่นหลังของเฉินผิงอันแนบติดกับท้องน้ำ ไม้พายนั้นยังทะลุหน้าท้องเขาไปด้วย
หลี่เอ้อร์ลงมืออย่างอำมหิต
แต่เฉินผิงอันกลับรับมืออย่างโหดเหี้ยมมากกว่า
ฝ่ามือของเขาตบท้องน้ำหนักๆ ดูเหมือนว่าจะกระชากดึงร่างของตัวเองผ่านทะลุไม้พายอันนั้นมา แล้วอาศัยยันต์ฟางชุ่น ร่างจึงหายวับไปในชั่วพริบตา
หลี่เอ้อร์หัวเราะ ไม่ได้ซ้ำเติมอีกฝ่าย เพราะบอกไว้แล้วว่าเขาจะมีความคิด ดูแคลนประมาทศัตรู
เฉินผิงอันมีดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือไม่รู้จักความเจ็บปวด หรือควรจะพูดให้ถูกก็คือ ก่อนจะตาย เขาจะยิ่งลงมือได้อย่างมั่นคงหนักแน่นกว่าเดิม
ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธบางคน ยิ่งบาดเจ็บหนัก ยิ่งรบก็ยิ่งกล้าหาญ แต่ก็ทำให้เกิดโรคภัยที่ทิ้งไว้ภายหลังอย่างเลี่ยงไม่ได้ ไม่เพียงแต่หลังจบศึกใหญ่เท่านั้น ระหว่างที่อยู่ในศึกใหญ่แล้วใช้ปณิธานหมัดมาแลกเปลี่ยนพลังการต่อสู้ หากสองฝ่าย ที่เข่นฆ่ากันมีขอบเขตเท่าเทียมกัน คนประเภทนี้แน่นอนว่าต้องมีชีวิตรอดอยู่ได้จนถึงท้ายที่สุด เพราะผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่อาจมีแค่ความกล้าหาญของเลือดร้อนที่พลุ่งพล่าน ความเดือดดาลที่โชติช่วงเท่านั้น แต่หากไม่มีอารมณ์ความรู้สึกเช่นนี้เลย ก็ไม่ควร จะมาเดินบนเส้นทางสายวรยุทธแล้ว แต่หากขอบเขตของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันเล็กน้อย การกระทำเช่นนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย บางทีผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็อาจเป็นความสำเร็จ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งกว่าที่รอดชีวิตมาได้
ผู้ฝึกยุทธฆ่าคน มองดูเหมือนจืดชืดน่าเบื่อหน่าย ต่างคนก็แค่แลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บมาตัดสินเป็นตาย วิธีการมีไม่มาก ทว่าแท้จริงแล้วทุกจุดล้วนเต็มไปด้วย ความลี้ลับมหัศจรรย์ ทุกหมัดล้วนเต็มไปด้วยความหมาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเลื่อนขั้นเป็นขอบเขตสิบแล้ว ฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ ทัศนียภาพที่มหัศจรรย์มีมากมายไร้ที่สิ้นสุด
ซ่างจ่างจิ้งมีความทะเยอทะยานสูง แล้วก็มีปณิธานยิ่งใหญ่ เพื่อเรียนวรยุทธได้อย่างเต็มตัวแล้ว เขาสามารถละทิ้งแผ่นดิน สละบัลลังก์มังกร ความหนักแน่นดึงดันนี้เหนือกว่าปรมาจารย์ทั่วไปมากนัก สิ่งที่แสวงหายามออกหมัดก็คือต้องการสั่งสอนให้พวกเซียนบนยอดเขาทั้งหลายรู้จักเดินลงเขามาก้มหัวโขกศีรษะให้เขาซ่งจ่างจิ้ง
จึงเป็นเหตุให้มีพลังปราณอันโชติช่วง
หลี่เอ้อร์ยอมรับว่าในขอบเขตนี้ ตนแพ้ให้กับซ่งจ่างจิ้งไม่น้อย
หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธเดินถึงยอดเขาแล้ว ไม่ว่าหมัดของเจ้าจะมีกี่ร้อยพันประเภท และจิตแห่งบู๊ก็แตกต่างกันไป แต่อันที่จริงก็มีแค่สองทางที่สามารถเดินได้เท่านั้น เส้นทางสายหนึ่งเหมือนการเปิดพื้นที่มงคล ปณิธานหมัดของทั้งร่างกว้างใหญ่ ไร้ที่สิ้นสุด อาณาเขตไพศาล ผู้ที่มีปราณโชติช่วงก็คือผู้ที่ได้รับความเคารพสูงสุด ทางอีกสายหนึ่งก็เหมือนเซียนที่บุกเบิกถ้ำสวรรค์ ง่ายที่จะกลับคืนสู่ความจริง ได้มากกว่า ใต้ฝ่าเท้าไร้เส้นทางก็ทะยานลมมุ่งสู่ที่สูงต่อไป ใช่ว่าหลี่เอ้อร์ไม่อยาก เดินอยู่บนขอบเขตปราณโชติช่วงให้มากหน่อย เพียงแต่ว่านี่เป็นผลมาจากนิสัยใจคอของตัวเขาเอง อีกทั้งปณิธานหมัดยังบริสุทธิ์มากพอ หากจงใจขัดเกลาอยู่ที่คำว่าปราณโชติช่วงนานเกินไป ผลประโยชน์ที่ได้รับจะมีไม่มาก ไม่สู้คล้อยตามสถานการณ์เลื่อนขึ้นสู่คืนสู่ความจริงไปโดยตรงเลย
ก่อนหน้านี้ตอนที่ดื่มเหล้าพลางคุยเล่นกับเฉินผิงอัน หลี่เอ้อร์ได้ยินมาว่าบนภูเขาลั่วพั่วมีคนมหัศจรรย์นามว่าจูเหลี่ยน ได้ฉายาว่าคนคลั่งวรยุทธ ยามที่ต่อสู้กับใคร ก็ต้องให้รู้เป็นรู้ตาย แต่ในเวลาปกติกลับมีนิสัยเอ้อร์ระเหยดุจเซียนผู้ว่างงาน
เฉินผิงอันที่เป็นคนคิดเยอะ ความคิดวกวนอ้อมค้อม น้อยครั้งที่จะพูดยืนยัน หนักแน่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ยามที่พูดถึงจูเหลี่ยนกลับบอกว่าคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว ที่ไม่มีทางธาตุไฟเข้าแทรกกลายเป็นมารได้มากที่สุด
หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกว่าจูเหลี่ยนผู้นี้ต้องเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่มีให้พบเห็นได้น้อย อย่างแน่นอน
ผู้มีพรสวรรค์ในสายตาของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง
ในอนาคตหากมีโอกาสก็สามารถลองไปพบเจอกับจูเหลี่ยนดูได้
หลี่เอ้อร์เก็บไม้พายกลับมา โยนกระบี่บินทั้งสามเล่มทิ้งไปง่ายๆ แล้วถ่อเรือเคลื่อนไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง
ก่อนหน้านี้เขาลงมือหนักไปหน่อย ชายฉกรรจ์ที่มีนิสัยซื่อๆ ผู้นี้จึงรู้สึกละอายใจเล็กน้อย การรับมือเฉินผิงอันที่ปรากฎตัวอย่างลึกลับ มีลูกไม้แพรวพราวต่อจากนั้น จึงจงใจเก็บน้ำหนักหมัดเล็กน้อย หมัดหนึ่งในนั้นแค่ต่อยให้เฉินผิงอันฝังเลื่อมเข้าไปในผนังหิน แต่กลับไม่ได้ใช้ไม้พายที่อยู่ในมือแทงทะลุท้องไส้ของอีกฝ่ายซ้ำอีก ไม่เพียงเท่านี้ เรือเล็กใต้ฝ่าเท้ายังเคลื่อนหน้าไปอย่างเชื่องช้า ทิ้งคนหนุ่มที่จะต้อง ลงมือต่ออย่างแน่นอนผู้นั้นไว้ด้านหลัง ให้เขาได้ผลัดเปลี่ยนลมปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกหนึ่ง
หลี่เอ้อร์รู้สึกมาโดยตลอดว่าการฝึกวรยุทธนั้นไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากนัก การขัดเกลาหล่อหลอมเรือนกายอย่างมานะขันแข็งก็หนีไม่พ้นคำว่าทนความลำบากได้เท่านั้น
ไม่ต่างจากชาวไร่ชาวนาที่ทำไร่ไถนาสักเท่าไร ก็แค่ว่าชาวนาชาวไร่จะได้ผล เก็บเกี่ยวดีหรือร้าย ก็ต้องคอยดูสีหน้าของเทพเทวาบนสวรรค์ แต่ผู้ฝึกยุทธที่ฝึกหมัดจะสามารถเดินไปได้ไกลเท่าไร ก็ล้วนอยู่ที่ตัวเองทั้งสิ้น
หลี่เอ้อร์หันหน้าไปมอง ก็ได้เห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดภาพหนึ่ง
เฉินผิงอันสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ แล้วก็สวมชุดคลุมอาคมสีดำเถาเถี่ยร้อยตา ทับไปอีก แต่กระนั้นก็ยังไม่ยอมเลิกรา แม้แต่ชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะที่ได้มาจาก ผีนครฟูนี่ และชุดคลุมของจวนไช่เฉวี่ยที่ออกจะเฉิดฉันก็ถูกเอาออกมาสวมไว้ด้วย
ชุดคลุมอาคมทุกตัวล้วนสวมไว้หมดแล้ว แล้วก็โชคดีที่ได้รับการหลอมเล็กกันมาก่อนแล้ว จึงสามารถเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตามความคิดของผู้ฝึกตน แต่เดิมทีเขาก็สวมชุดสีเขียวอยู่ชุดหนึ่ง แล้วยังมาสวมชุดคลุมอาคมอีกสี่ตัว จะไม่ดูอ้วนบวมได้หรือ? ไม่ว่าจะมองอย่างไรหลี่เอ้อร์ก็รู้สึกแปลกพิกล โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดด้านนอกสุด ที่ควรจะเป็นเสื้อผ้าที่สตรีสวมใส่ เจ้าเฉินผิงอันทำเกินไปหน่อยหรือไม่?
แต่การเลือกเช่นนี้ก็ไม่ถือว่าผิด
หากสวมชุดคลุมอาคมตั้งแต่แรกเริ่ม ด้วยขอบเขตวรยุทธของเฉินผิงอัน ในทุกวันนี้ย่อมไปถ่วงการไหลรินของปณิธานหมัด บางทีการลงมือที่ช้าเพียง เสี้ยวเดียวก็อาจเกิดการพลิกผันระหว่างความเป็นความตายได้
ตอนนี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว
เพราะถึงอย่างไรก็พอจะสามารถแบกรับหมัดได้เพิ่มอีกสักหนึ่งหรือสองหมัด
หลี่เอ้อร์จอดเรือไว้ที่ข้างกระจกน้ำ ถือไม้พายเดินขึ้นไปบนผิวกระจกใจกลางทะเลสาบ
หลี่เอ้อร์หันหน้าไปมองยังทางเข้าถ้ำเส้นทางน้ำ
มีความเคลื่อนไหวเล็กน้อย
ห่างไปไกล เฉินผิงอันสะพายกระบี่ยืนอยู่บนผิวน้ำ ไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหาร หลบเลี่ยงน้ำ แล้วก็ไม่ได้ใช้คาถาน้ำตระกูลเซียนอะไร สองเท้าของเขาไม่ขยับ แต่กลับยังสามารถเคลื่อนมาข้างหน้าได้
หลี่เอ้อร์มองไปยังใต้ฝ่าเท้าของเฉินผิงอัน
ครู่หนึ่งต่อมา ร่างของเฉินผิงอันก็พลันทะยานขึ้นสูง
ที่แท้ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็เหยียบอยู่บนวัตถุใหญ่โตมโหฬารสีเขียวมรกต คือ เจียวหลงตัวหนึ่ง
เจียวหลงตัวนี้คือคาถาน้ำของผู้ฝึกตนที่สมชื่ออย่างแท้จริง บนร่างของเจียวหลง มียันต์รอยหิมะปูเป็นพื้นฐาน จากนั้นก็ใช้ยันต์มหานทีไหลสะพัดร้อยกว่าแผ่น มาทำเป็นโครงกระดูกมังกรที่เชื่อมต่อติดกันอย่างแนบแน่น ดูเหมือนว่าจะยังใช้ แสงศักดิ์สิทธิ์จากแก่นของ ‘ยันต์’ ที่ประหลาดแต่กลับยิ่งใหญ่นี้อีกนิดหน่อยด้วย นี่ก็คือคาถาหลอมวัตถุชั้นสูงสองบทที่ฮว่อหลงเจินเหรินต้องการให้เฉินผิงอันศึกษาทบทวนอย่างต่อเนื่อง วิชาหลอมสามขุนเขา บวกกับคาถาเซียนขอฝนบนป้ายศิลาของตำหนักปี้โหยวล้วนไม่น่าจะนำมาใช้เป็นแค่วิธีในการหลอมวัตถุได้เท่านั้น นี่จึงเป็นเหตุให้กระดูกสันหลังของเจียวหลงในเวลานี้เหมือนเชือกสองเส้นที่รัดพันเข้าด้วยกัน ยิ่งนานก็ยิ่งแข็งแกร่งทนทาน หนึ่งคือวิชาหลอมขุนเขา อีกหนึ่งคือวิชาหลอมสายน้ำ บวกกับปณิธานหมัดของกระบวนท่าปรับแก้มังกรใหญ่ที่ช่วยเสริมให้โดดเด่นยิ่งขึ้น เจียวหลงที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของคนหนุ่มตัวนี้จึงคล้ายจะมีภาพปรากฎการณ์ตระกูลเซียนที่สะสมดินกลายเป็นภูเขา ลมและฝนถือกำเนิดขึ้นที่นี่ได้อย่างเลือนรางแล้ว
เรื่องราวทั้งหลายบนโลกล้วนควรคิด ควรไตร่ตรองให้มาก
ซึ่งสุดท้ายแล้วก็กลายเป็นวัตถุใหญ่โตโอฬารที่ถูกเฉินผิงอันสร้างขึ้นมานี้
เฉินผิงอันเคยชินที่จะถือมีดด้วยมือขวา
แต่แท้จริงแล้วเขากลับเป็นคนถนัดซ้าย
เจียวหลงใต้ฝ่าเท้าพุ่งเข้าชนหลี่เอ้อร์ที่อยู่ตรงกระจกน้ำ ทุกที่ที่พุ่งผ่านล้วนมี ลูกคลื่นยักษ์โถมตัวรับ
หลี่เอ้อร์กระตุกมุมปาก ใช้ช่วงท้ายของไม้พายแตะพื้นเบาๆ “ท่าดี เดี๋ยวทีก็จะเหลว”
หลี่เอ้อร์กระโดดขึ้นเบาๆ เหวี่ยงไม้พายกระแทกลงพื้นอย่างแรง ต่อให้เจียวหลงจะยังอยู่ห่างจากกระจกน้ำโดยมีคลื่นยักษ์กั้นขวางไว้หลายสิบจั้ง แต่ก็ยังถูกพายุลมกรดฟันให้ขาดออกเป็นสองท่อน ได้แต่อาศัยแรงเฉื่อยพุ่งมาด้านหน้าต่ออีกครั้ง
หลี่เอ้อร์ปาดวาดไม้พายออกไปในแนวขวาง เฉินผิงอันที่ปรากฏตัวอยู่ฝั่งซ้ายมือของหลี่เอ้อร์พลันก้มหัวลง ร่างคล้ายจะร่วงดิ่งลงพื้น แต่กลับกลายเป็นว่าเขาพลันพลิกตัวหลบไม้พายที่หอบเอาพลังอำนาจดุจสายฟ้าฟาดผ่านั้นมาได้ เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาไม้พายที่พุ่งวูบหายไป ชายแขนเสื้อใหญ่พลิกสะบัด กระบี่บินสามเล่มแยกกันพุ่งออกมาจากช่องโพรงลมปราณสามแห่ง ร่างของเขาเหยียบลงบนพื้นอย่างฉุกละหุก มือขวาที่ถือมีดสั้นจ้วงแทงใส่หัวใจของหลี่เอ้อร์ และในชายแขนเสื้อข้างซ้ายก็มีมีดสั้นเล่มที่สองกลิ้งออกมาอย่างเงียบเชียบ
หลี่เอ้อร์ไม่หันไปมองกระบี่บินทั้งสามเล่มแม้แต่น้อย เขายกเท้าถีบเข้าที่หน้าอกเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังถอยกรูดออกไปสิบกว่าจั้ง เข่าสองข้างงอลงเล็กน้อย บิดปลายเท้าเพิ่มพละกำลัง มือทั้งสองข้างถึงยังกุมจับมีดสั้นสองเล่มเอาไว้ได้
ไหล่สองข้างสะบัดแล้วพลันหยุดยืนนิ่ง ตรงหน้าอกรับพละกำลังที่เหลือ จากแรงกระแทกของพายุหมัดหลี่เอ้อร์ไว้อย่างจัง
ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่สวมชุดคลุมอาคมถึงสี่ชิ้น
หลี่เอ้อร์กล่าว “บอกกับเจ้าแต่แรกแล้วว่า มีแต่พวกนักต่อสู้ที่หมัดสวย ลูกถีบงดงามเท่านั้นที่คิดจะปล่อยหมัดปล่อยเท้ามั่วซั่วต่อยให้อาจารย์ผู้เฒ่าตาย แต่อาจารย์ผู้เฒ่ากลับไม่แยแส ก็เป็นอย่างเจ้าในตอนนี้นี่แหละ”
หลี่เอ้อร์โยนไม้พายทิ้งง่ายๆ ไม้พายร่วงจมลงไปในผิวกระจกหนึ่งฉื่อกว่า
เจียวหลงที่น่าสนใจตัวนั้นเพิ่งจะกลับมารวมตัวกันบนผิวกระจกใหม่อีกครั้ง แต่พอถูกไม้พายทิ่มใส่ก็แหลกสลายกลายเป็นสะเก็ดน้ำ ยันต์หลายแผ่นที่เดิมที ก็เกิดรอยปริร้าวอยู่แล้ว เวลานี้จึงแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอย่างสิ้นเชิง
เฉินผิงอันเริ่มขยับเท้า
หลี่เอ้อร์เปลี่ยนทิศทางการโคจรเล็กน้อย ยังคงมาปรากฏตัวด้านหน้าเฉินผิงอันอย่างพอดีอยู่เหมือนเดิม เขาตีเข่ากระแทกให้ฝ่ายหลังตัวลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วหลี่เอ้อร์ก็เดินหน้ามาหยุดอยู่ด้านข้างเฉินผิงอันอย่างเนิบช้า ปล่อยหนึ่งหมัดออกไป ทำเอาเฉินผิงอันที่ปราณแท้จริงหยุดชะงัก ชุดคลุมอาคมพร้อมใจกันส่งเสียงฉีกขาดลอยไปกระแทกลงกลางทะเลสาบที่ห่างไปหลายสิบจั้ง ประหนึ่งหินก้อนหนึ่ง ที่ถูกขว้างลงบนผิวน้ำแล้วกระเด้งดีดตัวไถลออกไปอีกเจ็ดแปดจั้ง
หลี่เอ้อร์เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง ทุกฝีเท้าล้วนเหยียบให้ปราณวิญญาณน้ำทะเลสาบที่อยู่รอบด้านแตกสลาย ตรงดิ่งเข้าหาจุดที่ร่างเฉินผิงอันกระแทกลงไป
ร่างของเขาพลันขยับไปในแนวขวาง เอาหัวไหล่กระแทกหน้าอกเฉินผิงอัน ที่ใช้ยันต์ฟางชุ่นหนึ่งแผ่น
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนถูกค้อนเหล็กทุบลงบนหัวใจ จิตหยินออกจากช่องโพรง ร่ายท่าหมัดแปลกประหลาดแต่เป็นธรรมชาติอย่างเชื่องช้า ทุกความเคลื่อนไหวเชื่อมโยงต่อติดกันจนแทบจะกลายเป็นวงกลม ทำให้คนมองตาลาย และมันก็ช่วยลดทอนพายุหมัดส่วนใหญ่ไปให้เฉินผิงอันได้ รอจนเฉินผิงอันหยุดยืนนิ่งแล้ว จิตหยิน ก็กลับคืนสู่ร่าง ทุกอย่างนี้เสร็จสิ้นในรวดเดียว
หลี่เอ้อร์ไม่ได้ไล่มาโจมตีต่อ เขาพยักหน้า แบบนี้สิถึงจะถูก
ไม่อย่างนั้นคนที่ทั้งฝึกวรยุทธและฝึกบำเพ็ญตน แต่กลับยอมให้การฝึกตนมาขัดขวางการเดินขึ้นสู่ที่สูงของการฝึกยุทธ สองอย่างขัดแย้งกันอยู่ตลอดเวลา ก็ย่อม ทำให้เกิดความผิดพลาดที่เป็นการทำร้ายตัวเอง
การป้อนหมัดที่หลี่เอ้อร์จะในทำครั้งนี้ ก็คือช่วยให้เฉินผิงอันตามหาจุดสมดุล ที่ลี้ลับอย่างถึงที่สุดนั้นให้เจอ ผู้ฝึกยุทธจะถูกท่าหมัดปณิธานหมัดชักนำไปไม่ได้ และในเมื่อเป็นผู้ฝึกลมปราณแล้ว ส่วนลึกในจิตใจก็ยิ่งไม่ควรรู้สึกว่าปณิธานหมัด ของตนไม่บริสุทธิ์เพราะสาเหตุนี้ ผู้ฝึกยุทธอาศัยแค่สองหมัดก็เพียงพอ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องสนใจอะไรเลยสักอย่าง ปรมาจารย์ที่แท้จริงควรมี ภาพปรากฎการณ์ยิ่งใหญ่ที่ว่าหมื่นอาคมที่อยู่ติดกาย ล้วนออกมาจากมือของข้า
ร่างกายมนุษย์คือฟ้าดินขนาดเล็ก ข้าก็คือเทพเทวาบนสวรรค์
จะมีอะไรที่ควบคุมไม่ได้ มีอะไรที่บงการไม่ได้?
ในเมื่อเฉินผิงอันเดินก้าวแรกไปบนทิศทางที่ไร้ความผิดพลาดแล้ว
หลี่เอ้อร์ก็ออกหมัดได้อย่างสบายใจแล้ว
หมัดไม่หนัก แต่กลับเร็วยิ่งกว่าเดิม
ไม่ให้โอกาสเจ้าเฉินผิงอันได้ตั้งตัวแม้แต่น้อย
พวกเราคือผู้ฝึกยุทธ พวกเราคือผู้ฝึกยุทธ ประลองหมัดกับข้าหลี่เอ้อร์เพื่อ ขัดเกลามหามรรคา ถ้าอย่างนั้นเด็กอย่างเจ้าก็ควรจะเอาสิ่งที่ไม่ว่าผู้ฝึกยุทธคนใด บนโลกก็ไม่มีออกมาเสียบ้าง!
มี
ก็กินหมัดให้มากหน่อย
ไม่มี
ก็นอนรักษาบาดแผลไปเถอะ!
ทางฝั่งของท่าเรือ หลี่หลิ่วเดินอยู่บนเส้นทางน้ำ มองร่องรอยการเข่นฆ่าพวกนั้น ยิ่งความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นบนกระจกน้ำก็ยิ่งไม่ต้องไปมองดู เพราะแค่นี้นางก็รู้ชัดเจนดีแล้ว
ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานในอดีต ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับหลี่หลิ่ว นางเคยตายด้วยน้ำมือของผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบ แล้วก็เคยสังหาร ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบกับมือตัวเองมาก่อน นางจึงเข้าใจวิธีการฝึกหมัดของผู้ฝึกยุทธค่อนข้างมาก ไม่อาจบอกได้ว่าการขัดเกลาเช่นนี้ของเฉินผิงอัน เมื่อเอาไปวางไว้ บนประวัติศาสตร์ของใต้หล้าไพศาลแล้วจะร้ายกาจมากแค่ไหน ทว่าในฐานะผู้ฝึกยุทธขอบเขตหก กลับสามารถกินหมัดที่มีน้ำหนักมากพอได้มากขนาดนี้ ก็พบเจอได้ไม่มากจริงๆ
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้ายอดเขา ขอบเขตสิบปลายทางบนโลก อย่างกู้โย่วที่ไม่รับใคร เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอด ถึงอย่างไรก็มีอยู่น้อย
คิดจะเป็นปรมาจารย์วิถีวรยุทธที่ขัดเกลาเรือนกายของลูกศิษย์ด้วยวิธีอย่าง บิดานางนี้ มีอยู่ไม่น้อยก็จริง แต่น่าเสียดายที่ต้องดูด้วยว่าลูกศิษย์จะทนรับไหวหรือไม่ บางคนเรือนกายรับไม่ไหว บางคนจิตใจผ่านด่านไปไม่ได้ แน่นอนว่าจำนวนที่มากกว่านั้นคือไม่ได้เรื่องทั้งสองอย่าง อุตส่าห์มีวิสุทธิจารย์ที่เต็มใจประคับประคองเสียเปล่า ถึงขั้นกระชากลากถูพาเข้าโถงเรียนก็แล้ว แต่ให้ตายก็ยังไม่ยอมก้าวข้ามธรณีประตู แล้วก็มีบางคนที่มองดูเหมือนว่าจะฝ่าทะลุขอบเขตแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพราะคนป้อนหมัดถ่ายทอดวิชาที่ไม่ถูกต้องให้ ลูกศิษย์เดินข้ามธรณีประตูมาแล้ว แต่กลับเหมือนถูกตัดขาหรือไม่ก็ตัดแขนไปข้างหนึ่ง สภาพจิตใจถูกขัดเกลาจนเกิด จุดด่างพร้อยที่เล็กจนมิอาจสังเกตเห็น เป็นเหตุให้พอไปถึงขอบเขตแปด ขอบเขตเก้า โรคภัยแฝงจึงเผยตัวออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
หลี่หลิ่วเดินไปถึงปลายทางของเส้นทางน้ำในถ้ำ แล้วก็ไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่หันตัวกลับเดินไปทางเดิม
หลี่หลิ่วไปถึงท่าเรือ มองทัศนียภาพห่างไกลนอกยอดเขาสิงโตจากริมขอบตราพันธนาการของถ้ำสถิตตระกูลเซียนแห่งนี้
หลี่หลิ่วพอจะสัมผัสได้ถึงสัญญาณของเหตุการณ์ประหลาดได้อย่างเลือนราง
นางจึงเงยหน้าขึ้นมองไปทางม่านฟ้า
นับแต่โบราณมาอริยะปราชญ์ทั้งเจ็ดสิบสองท่านที่ถูกตั้งบูชาอยู่ในศาลบุ๋น ของลัทธิขงจื๊อก็คือบุคคลที่ถูกพันธนาการได้อย่างน่าสงสารที่สุด
ไม่เป็นไม่ตาย กฎระเบียบเข้มงวด ต้องคอยมองดูโลกมนุษย์อยู่ปีแล้วปีเล่า โดยที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องราวทางโลกได้ตามใจชอบ
มีอยู่ชาติภพหนึ่งที่หลี่หลิ่วไปจุติอยู่ในทวีปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ได้รับสถานะของเจ้าสำนักขอบเขตเซียนเหริน ยอดเขา เคยได้พูดคุยกับอริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อ ที่นั่งพิทักษ์อาณาเขตครึ่งทวีปตรงม่านฟ้าของหลิวเสียทวีปอยู่สองสามคำ
ในสายตาของอริยะปราชญ์ที่เหมือนขี่เรือกลวง แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ พวกนี้ ก็เหมือนมนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนยอดเขาแล้วมองขุนเขาสายน้ำที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง ต่อให้เป็นพวกเขา ถึงอย่างไรก็ต้องมีช่วงเวลาที่สายตาเหนื่อยล้า มองเห็นภาพเหตุการณ์บางอย่างได้ไม่ชัดเจน แต่หากโคจรวิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำ ผ่านฝ่ามือ ต่อให้เป็นตัวอักษรบนแผ่นหยกที่บุรุษบางคนในหมู่ชาวบ้านพกติดกาย หรือผู้หญิงคนหนึ่งมีผมหงอกเส้นหนึ่งแทรกอยู่ในเส้นผมสีนิล ก็ยังสามารถมองเห็น ได้อย่างชัดเจน
เพียงแต่ว่าวิชาอภินิหารเช่นนี้ มองโลกมนุษย์ซ้ำซากมาเป็นพันๆ ปี ย่อมต้อง มีวันที่เบื่อหน่าย
แล้วนับประสาอะไรกับที่หน้าที่ของพวกเขาคือต้องคอยตรวจสอบผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตบินทะยานทั้งหลาย รวมไปถึงสถานที่ฝึกตนของผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบน กลุ่มหนึ่ง แล้วก็ต้องรู้ว่าควรจัดการเช่นไร หลีกเลี่ยงไม่ให้ผู้ฝึกตนใช้วิชาคาถา อย่างกำเริบเสิบสานจนเป็นการทำร้ายโลกมนุษย์
ผู้ฝึกตนใหญ่ที่อยู่ในถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเหล่านั้น หากออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็ก ก็จะเหมือนแสงตะเกียงแต่ละดวงที่สะดุดตามากเป็นพิเศษ ขนาดมนุษย์ธรรมดาที่อยู่บนยอดเขาก็ยังสามารถมองเห็น แน่นอนว่าพวกอริยะปราชญ์ที่เฝ้าพิทักษ์ม่านฟ้าก็ยิ่งต้องจับตามองเขม็งทันที หากมีเรื่องที่ผิดต่อมารยาทพิธีการ อริยะปราชญ์ก็จะลงมือขัดขวาง หากทุกอย่างปฏิบัติไปตามกฎเกณฑ์ก็ไม่จำเป็นต้องให้พวกเขาปรากฏตัว
อริยะปราชญ์ลัทธิขงจื๊อที่หลี่หลิ่วเคยคุยด้วยตอนนั้น สุดท้ายได้ยิ้มกล่าวว่า สิ่งที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจของเขาได้มากที่สุดก็คือทุกๆ ช่วงเวลาสิบปี เขาจะไปมอง ตัวอักษรบนป้ายศิลาทั้งหลายที่ตั้งวางไว้ในหมู่บ้าน ในชนบทของบางอำเภอ บางเขตการปกครองหรือบางแคว้น เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ที่ผ่านสายลมแสงแดด สายฝนหิมะชำระล้างซึ่งพวกคนบนโลกไม่สนใจ
หลี่หลิ่วไม่ได้เอ่ยตอบโต้
อริยะปราชญ์เงียบเหงา
คนบนโลกไม่รับรู้
ประมาณหนึ่งชั่วยามผ่านไป หลี่หลิ่วที่ใจลอยไปไกลก็เก็บความคิดกลับคืนมา คลี่ยิ้มหันหน้าไปมอง
มีคนถ่อเรือกลับมา คือเฉินผิงอันที่สภาพอเนจอนาถไม่น้อย
หลี่เอ้อร์นั่งอยู่บนเรือลำเล็ก เอ่ยว่า “ลมปราณเฮือกนี้ต้องประคับประคองไว้ ให้ได้ก่อน ต้องทนจนกว่าโชคชะตาบู๊พวกนั้นมาถึงยอดเขาสิงโตถึงจะได้ ไม่อย่างนั้นเจ้าก็ไม่อาจทำเรื่องนั้นได้สำเร็จแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
หลี่เอ้อร์ถาม “ไม่เสียใจภายหลังจริงๆ รึ? บางทีหลี่หลิ่วอาจรู้วิชาประหลาดบางอย่างที่ช่วยรั้งไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “อย่าดีกว่า หมัดเขย่าขุนเขาคือท่านผู้อาวุโสกู้แห่งอุตรกุรุทวีป ที่เป็นผู้สร้าง ระหว่างการเดินทาง ผู้อาวุโสก็ช่วยชี้แนะให้ข้าสามหมัด สุดท้ายต่อให้ท่านผู้อาวุโสจะตายจากโลกนี้ไปก็ยังอยากจะมอบโชคชะตาบู๊ให้แก่ข้า ดังนั้นข้า จึงไม่เสียใจภายหลัง”
หลี่เอ้อร์จึงไม่เอ่ยอะไรอีก
เรือลำหนึ่งที่บรรทุกคนสองคนมาถึงท่าเรือ หลี่หลิ่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยินดีกับท่านเฉินด้วยที่ได้ฝ่าทะลุสองขอบเขตบนเส้นทางการเรียนวรยุทธ”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง ก่อนหน้านี้เขาจงใจสะกดปราณแท้จริงและปราณวิญญาณเอาไว้ เพียงแค่การเคลื่อนไหวเล็กน้อยนี้กลับทำให้เสียเรื่องซะแล้ว เลือดสดจึงกลับมา อาบย้อมใบหน้าอีกครั้ง
เฉินผิงอันที่เดินผ่านตราผนึกภูเขาสายน้ำหน้าประตูถ้ำสถิตออกมากุมหมัดเบาๆ เงยหน้าขึ้น
บนยอดเขาสิงโตที่ท้องฟ้าใสกระจ่างกว้างไกลหมื่นลี้พลันมีเมฆสีทองมารวมตัวกัน จากนั้นฝนรสหวานเป็นเส้นสายก็ค่อยๆ หล่นลงมาจากท้องฟ้าอย่างเนิบช้า
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “ชูอี สืออู่”
กระบี่บินสองเล่มพุ่งออกมาอย่างว่องไว แล้วมาหยุดอยู่ตรงจุดสูงด้านหน้าเฉินผิงอันประหนึ่งบันไดสองขั้น
คนชุดเขียวสะพายกระบี่เซียนจึงเริ่มบึ่งทะยานขึ้นสู่จุดสูง เหยียบบนบันไดของกระบี่บินสองเล่มเดินขึ้นฟ้าไปทีละก้าว
เมื่ออยู่ห่างจากทะเลเมฆสีทองและฝนรสหวานชะตาบู๊ไปอีกหลายสิบลี้ เฉินผิงอันก็พลันหยุดเท้า ปณิธานหมัดทั่วร่างไหลทะลักประหนึ่งมีองค์เทพอยู่บนสวรรค์ แล้วใช้กระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ปล่อยหมัดเข้าใส่จุดสูง
หนึ่งหมัดผ่านไป ทั้งทะเลเมฆและฝนรสหวานชะตาบู๊ล้วนถูกต่อยให้ถอยร่น พลันสลายครืนครั่นกลับคืนสู่อุตรกุรุทวีป
เฉินผิงอันที่หมดสิ้นเรี่ยวแรงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เช็ดเหงื่อที่หน้าผาก ค้อมเอวหอบหายใจ สายตาของเขาเริ่มพร่าเลือน แต่กระนั้นก็ยังมองไปทางทิศใต้ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้อาวุโสกู้ ก่อนหน้านี้ไม่กล้าพูดกับท่าน บนเรือนไม้ไผ่ของ บ้านเกิดข้ามีคนคนหนึ่งบอกว่า วิชาหมัดเขย่าขุนเขาของพวกเราธรรมดาสามัญนัก ไม่ได้ร้ายกาจอะไร ก็มีแค่รากฐานปณิธานหมัดเท่านั้นที่ยังพอจะถือว่าใช้ได้ หมัดของข้าเมื่อครู่นี้ก็เป็นเขาที่ถ่ายทอดให้ ผู้อาวุโสกู้โปรดวางใจ ปีนั้นข้าก็ไม่ยอมแพ้อยู่แล้ว รอให้ข้ากลับไปถึงบ้านเกิดคราวนี้จะต้องไปงัดข้อกับเขาให้ได้ ตอนนี้ เป็นขอบเขตร่างทองแล้ว ไม่ว่าอย่างไรหากรับหมัดได้เพิ่มสองหมัดก็สามารถพูด เพิ่มได้อีกสองประโยค”