Skip to content

Sword of Coming 568

บทที่ 568 เยือกเย็นคืออย่างไร

ชุยตงซานเดินมานั่งด้วย ที่โต๊ะจึงมีคนสามคน อาจารย์และศิษย์

ชุยตงซานค้อมเอวยื่นมือมาหยิบเหล้าหมักตระกูลเซียนที่ฝังไว้ด้านหลังเรือนไม้ไผ่ไปกาหนึ่ง เฉินผิงอันเองก็หยิบเหล้าตรงหน้าตัวเองขึ้นมา คนทั้งสองกระดกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด

เฉินผิงอันใช้หลังมือปาดมุมปาก ถามว่า “จะจากไปเมื่อไหร่?”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “อันที่จริงศิษย์ไม่เคยจากไปไหน อาจารย์อยู่ที่ไหน ความคิดจิตใจของศิษย์ก็ติดตามอาจารย์ไปด้วย”

ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิด รอยยิ้มของเด็กหนุ่มเจิดจ้าดุจแสงตะวัน

เฉินผิงอันหันหน้ามาหาเผยเฉียน “วันหน้าอย่าพูดจาเลียนแบบเขา”

เผยเฉียนสับสนไม่เข้าใจ แต่กระนั้นก็ยังส่ายหน้าอย่างแรง “อาจารย์ ข้าไม่เคยเลียนแบบเขาเลยนะ”

ชุยตงซานยกนิ้วโป้งให้

เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก พยายามเอามาดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกมาใช้ ให้มากที่สุด

เฉินผิงอันกล่าว “ทางฝั่งของเฉินหรูชู เจ้าทุ่มเทความคิดให้มากหน่อย ป้องกันโจรพันวัน เผาผลาญแรงใจของคนเป็นที่สุด”

ภูเขาลั่วพั่วห่างจากเขตการปกครองหลงเฉวียนค่อนข้างไกล แม้ว่าเด็กหญิง ชุดกระโปรงชมพูจะมียันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างอยู่นานแล้ว นางจึงสามารถทะยานลมได้อย่างไม่ต้องกริ่งเกรงสิ่งใด

แต่เวลาที่เฉินหรูชูไปซื้อของ มักจะชอบเปรียบเทียบราคาของหลายๆ ร้าน ละเอียดลออเป็นอย่างยิ่ง ข้าวของบางอย่างก็ไม่ใช่ว่าไปถึงเขตการปกครองแล้วจะสามารถซื้อได้ทันที บางทีอาจต้องรอไปอีกวันสองวัน ดังนั้นนางจึงใช้เงินเก็บส่วนตัวของตัวเองซื้อเรือนหลังหนึ่งไว้ที่เขตการปกครองนานแล้ว เป็นที่ว่าการเจ้าเมืองที่ช่วยสานสะพานความสัมพันธ์ให้ ทำให้ซื้อพื้นที่ฮวงจุ้ยมงคลได้ในราคาที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพื่อนบ้านใกล้เคียงล้วนเป็นตระกูลเศรษฐีของเมืองหลวงต้าหลี ตอนนั้นคนที่จัดการเรื่องนี้ให้ยังเป็นเลขาธิการฝ่ายบุ๋นที่ชื่อเสียงไม่โด่งดังคนหนึ่ง และยังเคยเป็นขุนนางผู้ช่วยของอู๋ยวนอดีตเจ้าเมือง ทว่าตอนนี้เขากลับกลายมาเป็นขุนนางพ่อแม่ของ เขตการปกครองหลงเฉวียนแล้ว ที่แท้ก็คือลูกหลานตระกูลใหญ่ของเมืองหลวงที่ อำพรางตัวตนอย่างมิดชิด

ก็เหมือนอย่างวันนี้ เฉินหรูชูพักค้างแรมอยู่ที่เรือนหลังนั้น รอให้พรุ่งนี้ตระเตรียมสิ่งของครบถ้วนแล้ว นางถึงจะกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว

โดยทั่วไปแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ ก่อนจะออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว เฉินหรูชูจะต้องมอบกุญแจไว้ให้โจวหมี่ลี่หรือไม่ก็เฉินยวนจีก่อน

ชุยตงซานเอ่ย “ศิษย์ทำอะไร อาจารย์วางใจได้เสมอ นักรบเดนตายสายลับของต้าหลีมีความอดทนเป็นเลิศ และในทางส่วนตัวแล้ว เว่ยป้อก็ได้สั่งให้เทพภูเขาที่อยู่ทางทิศเหนือสุดจับตามองความเคลื่อนไหวของทางเขตการปกครองแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่บนร่างของแม่หนูหน่วนซู่ยังสวมชุดคลุมอาคมที่ร่ายเวท อำพรางตาเอาไว้ชิ้นนั้น นั่นเป็นของเก่าเก็บของศิษย์ ต่อให้เกิดเรื่องอย่างกะทันหัน นักรบเดนตายต้าหลีและเทพภูเขาต่างก็ขวางไว้ไม่อยู่ ลำพังแค่ชุดคลุมอาคมตัวนั้น หน่วนซู่ก็ยังสามารถต้านทานกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่ได้หนึ่งถึงสองครั้ง เมื่อออกกระบี่ เว่ยป้อก็น่าจะรู้เรื่องแล้ว ถึงเวลานั้นต่อให้อีกฝ่ายอยากจะตายไปให้สิ้นเรื่องก็ยังยาก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นี่เรียกว่าเบียดบังงานส่วนรวมมาใช้กับเรื่องส่วนตัวหรือไม่?”

ความปลอดภัยของคนบางคนบนภูเขาลั่วพั่ว จำเป็นต้องให้คนบางคน จ่ายค่าตอบแทน

การออกจากบ้านไปอย่างปลอดภัยไร้อันตรายของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพู จำเป็นให้เขาเฉินผิงอัน ชุยตงซานและเว่ยป้อวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมและระมัดระวัง

แต่ในทางกลับกัน การที่เขาและชุยตงซานออกเดินทางไปทั่วทิศ ไม่ว่าจะพบเจอคลื่นลมมรสุมประหลาด หรืออันตรายใดๆ จากภายนอก แต่การที่คิดถึงภูเขาลั่วพั่วแล้วยังสบายใจได้ ก็ถือเป็นคุณความชอบใหญ่เทียมฟ้าของผู้ดูแลตัวน้อยอย่าง เฉินหรูชู

เคยมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่เฉินผิงอันคิดไม่ตกกับการวางแผนการเช่นนี้ของตน รู้สึกว่าตัวเองเอาแต่ชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียกับทุกเรื่อง แม้แต่จิตใจคนก็ยังทำตัวเป็นนักบัญชีที่ไม่ยอมปล่อยผ่าน

แต่ตอนนี้ลองมาย้อนนึกดู ตัวเองก็แค่คิดมากไปเองเท่านั้น การวางแผนที่ไม่ได้ใช้กับแค่คำว่าเงินอย่างเดียวเท่านั้นนี้ มีทั้งส่วนที่เอามาปรับใช้ได้ แล้วก็มีส่วนที่ล้ำค่า ไม่มีอะไรให้ต้องคอยปิดบัง ยิ่งไม่จำเป็นต้องปฏิเสธส่วนลึกในใจของตัวเอง

สรุปก็คือ เฉินผิงอันจะไม่ยอมอนุญาตให้เกิดความเสียดายเพียงเพราะตัวเอง ‘คิดไม่ถึง’ หรือไม่ยอม ‘คิดให้มาก’ เด็ดขาด

ถึงเวลานั้นการลงมือด้วยความเดือดดาลหลังจบเรื่อง การระบายโทสะให้เลือดกระเซ็นสามฉื่อ จะมีประโยชน์อะไร? ความเสียใจจะน้อยลงหรือ ความเสียดาย จะหายไปหรือ?

ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนก็คืองานในหน้าที่ของเขาเฉินผิงอัน

วันหน้าพื้นที่มงคลรากบัวที่อยู่ใต้เปลือกตาแห่งนั้นก็จะเป็นเช่นนี้ด้วย

พูดถึงมโนธรรมในใจก่อน แล้วค่อยพูดถึงเรื่องการหาเงิน

เงิน ถึงอย่างไรก็ยังต้องหามา เพราะเงินก็คือจิตแห่งวีรบุรุษ คือบันไดของการฝึกตน

เพียงแต่ว่าลำดับขั้นตอนก่อนหลังจะผิดพลาดไม่ได้

ชุยตงซานกล่าว “ไม่พูดถึงอาจารย์และศิษย์พี่หญิงใหญ่ จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยน ลำพังโชคชะตาบู๊ส่วนเกินมากมายขนาดนี้ที่ภูเขาลั่วพั่วนำมาให้ราชวงศ์ ต้าหลี ต่อให้ข้าจะเรียกร้องขอให้ผู้ถวายงานก่อกำเนิดคนหนึ่งมาปักหลักอยู่ที่ เขตการปกครองหลงเฉวียนตลอดทั้งปี ก็ยังไม่มากเกินไป และเจ้าตะพาบเฒ่าเอง ก็ไม่มีทางกล้าแม้แต่จะผายลม ถอยไปพูดหมื่นก้าว ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีเรื่องดีที่ให้ ม้าวิ่งโดยไม่ป้อนหญ้าให้ม้ากิน ข้าลำบากลำบนเฝ้าพิทักษ์พื้นที่ทางใต้ ทุกวัน ต้องเหนื่อยล้าจากการเดินทาง คอยดูแลเรื่องมากมายขนาดนั้น ช่วยสร้างความมั่นคงต่อเส้นทางการสู้รบเจ็ดแปดเส้นทั้งในที่มืดและที่แจ้งให้กับเจ้าตะพาบเฒ่า ขนาด พี่น้องแท้ๆ ยังต้องคิดบัญชีกันอย่างชัดเจน ข้าไม่ได้เป็นสิงโตอ้าปากกว้างเรียกร้องเงินเดือนจากเจ้าตะพาบเฒ่าก็ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ

‘เรื่องในบ้าน’ ของชุยตงซานและราชครูชุยฉาน เขาไม่ขอมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

จนกระทั่งบัดนี้เผยเฉียนถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้มีเรื่องวกวนอ้อมค้อมมากมายขนาดนั้นเกิดขึ้นกับผู้ดูแลน้อยหน่วนซู่ นางพลันรู้สึกเป็นกังวล เอ่ยถามว่า “ไม่อย่างนั้นวันหน้าให้ข้าออกไปซื้อของข้างนอกกับหน่วนซู่ดีไหม?”

ชุยตงซานยิ้มตาหยี “เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ จะออกจากบ้านเอาหัวไปส่งให้คนอื่นหรือไร?”

เผยเฉียนทอดถอนใจ เอาหัวโขกโต๊ะดังปึงๆ พูดเสียงอู้อี้โดยไม่เงยหน้าขึ้นว่า “ช่วยไม่ได้ ข้าฝึกวิชาหมัดช้าเกินไป ท่านปู่ชุยก็บอกแล้วว่าข้าคือเต่าคลาน คือ มดย้ายบ้าน น่าโมโหชะมัด”

เฉินผิงอันมีสีหน้าปั้นยาก

ชุยตงซานเอ่ยประโยคหนึ่งที่เป็นการเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะ “แค่นี้ก็กลัดกลุ้มเสียแล้ว? ต่อจากนี้ขอบเขตห้าขอบเขตหกบนวิถีวรยุทธของศิษย์พี่หญิงใหญ่จะยิ่งเดินได้ช้ากว่านี้เสียอีก โดยเฉพาะเรื่องของจิตบู๊ที่ยิ่งจำเป็นต้องวางแผนอย่างยาวนาน เร็วไม่ได้เลยจริงๆ”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น พูดอย่างมีโทสะว่า “ห่านขาวใหญ่เจ้าน่ารำคาญอะไรอย่างนี้?! พูดจาดีๆ ให้น่าฟังบ้างไม่ได้หรือไง?”

ชุยตงซาน “คำพูดน่าฟังเอามากินแกล้มข้าวได้หรือ?”

เผยเฉียนพูดอย่างมีเหตุมีผล “กินได้สิ! ข้ากินข้าวกับหมี่ลี่ ทุกครั้งจะกินข้าว ได้มากขึ้นหนึ่งถ้วย แต่เห็นหน้าเจ้า แม้แต่ข้าวก็ไม่อยากกิน”

เฉินผิงอันเอ่ยปลอบใจ “เรื่องที่ร้อนใจไปก็ไม่มีประโยชน์ ก็อย่าได้ร้อนใจเลย”

เผยเฉียนรีบพูดเสียงดังทันที “อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”

ชุยตงซานหันหน้ามามองเฉินผิงอัน “อาจารย์ เป็นอย่างไร ลมและน้ำของ ภูเขาลั่วพั่วเราไม่เกี่ยวอะไรกับศิษย์กระมัง?”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขาเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ข้าได้พูดคุยกับ เว่ยเหลียงอดีตฮ่องเต้มาก่อนแล้ว แต่ฮ่องเต้คนใหม่อย่างเว่ยเยี่ยนนั้นมีปณิธาน ไม่เล็กเลย เพราะฉะนั้นอาจต้องให้เจ้าช่วยไปบอกเว่ยเซี่ยนดูสักหน่อย”

เว่ยเซี่ยนคือฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นของแคว้นหนันเยวี่ยน แล้วก็เป็นจักรพรรดิองค์แรก ในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวที่ทำการเยี่ยมเยือนภูเขาตามหาเซียน อย่างยิ่งใหญ่จริงจัง

ชุยตงซานยิ้มถาม “เว่ยเซี่ยนคือคนโชคดีที่ถูกอาจารย์พาออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว อาจารย์มีพระคุณยิ่งใหญ่ต่อเขาราวกับมอบชีวิตให้ใหม่ ในเมื่ออาจารย์ เอ่ยปากแล้ว ก็ไม่มีเหตุผลให้เว่ยเซี่ยนพูดปฏิเสธ”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เมื่ออยู่ในกฎเกณฑ์ใหญ่ ภูเขาลั่วพั่วก็จำเป็นต้องมอบอิสระและพื้นที่ให้ทุกคนได้ทำตามความต้องการของตัวเอง ไม่ใช่ว่าข้าเฉินผิงอันคิดจะเป็นอริยะปราชญ์ผู้มีคุณธรรม หรืออยากให้ตัวเองถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายเท่านั้น แต่เป็นเพราะหากบังคับจิตใจทุกคนต่อไปเรื่อยๆ ก็จะรั้งใครไว้ไม่อยู่ วันนี้รั้ง หลูป๋ายเซี่ยงไว้ไม่อยู่ พรุ่งนี้รั้งเว่ยเซี่ยนไว้ไม่อยู่ วันหน้าก็อาจรั้งอาจารย์จ้งท่านนั้น ไว้ไม่อยู่”

ชุยตงซานพยักหน้ารับ “อาจารย์ช่างปราดเปรื่อง!”

เผยเฉียนพูดอย่างเดือดดาล “เจ้ารีบเปลี่ยนคำพูดใหม่เดี๋ยวนี้เลย ห้ามเลียนแบบข้า!”

ชุยตงซานโคลงศีรษะ สะบัดชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้าง “หึหึ ข้าไม่เปลี่ยน เจ้ามาตีข้าสิ มาสิ หากข้าหลบจะยอมใช้แซ่เดียวกับเจ้าตะพาบเฒ่าเลย”

เผยเฉียนยกสองมือกุมหัว ปวดกบาลนัก ก็เพราะมีอาจารย์อยู่ข้างกายหรอก ไม่อย่างนั้นป่านนี้นางก็ออกหมัดไปตั้งนานแล้ว

คิดไม่ถึงว่าอาจารย์จะพูดเตือนว่า “คนเขาขอร้องให้เจ้าตี ทำไมไม่ตอบตกลงล่ะ? ท่องอยู่ในยุทธภพ ขอสิ่งใดได้สิ่งนั้นก็คือความเคยชินที่ดีอย่างหนึ่ง”

ดวงตาเผยเฉียนฉายประกายเจิดจ้า

ชุยตงซานยกแขนข้างหนึ่งขึ้น ประกบสองนิ้ววางไว้ตรงหน้าแล้วส่ายเบาๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ข้าเป็นวิชาตระกูลเซียนนะ คนที่กินอิ่มว่างงาน เจอเวทกักร่างของข้าเข้าไป จุ๊ๆๆ จุดจบนั้นไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ ตระการตาจนต้องมองตา ไม่กะพริบเลยล่ะ”

เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ ข้ารู้สึกว่าระหว่างสหายร่วมสำนัก ควรจะมีความสามัคคีปรองดอง ความกลมเกลียวช่วยต่อเงินต่อทอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ก็มีเหตุผลนะ”

จากนั้นเฉินผิงอันก็เอ่ยว่า “รีบนอนเถอะ พรุ่งนี้อาจารย์จะช่วยป้อนหมัดให้เจ้าเอง”

เผยเฉียนเบิกตากว้าง “หา?”

นางไม่ได้กลัวความยากลำบาก เผยเฉียนแค่กังวลว่าหลังจากป้อนหมัดแล้วตน จะเผยพิรุธให้เห็นขอบเขตสี่ที่น่าสงสารของตน แล้วอาจารย์จะหัวเราะเยาะตน

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ใจไม่ร้อน ไม่ได้หมายความว่ามือไม้จะไม่ขยันขันแข็ง เมื่อไหร่ที่เป็นคอขวดขอบเขตห้าแล้ว เจ้าก็สามารถลงจากเขาไปฝึกประสบการณ์ได้เพียงลำพังแล้ว ถึงเวลานั้นจะเรียกให้หลี่ไหวไปด้วยกันหรือไม่ เจ้าก็ตัดสินใจเอาเอง และลาตัวน้อยที่อาจารย์เคยรับปากเจ้าไว้ก็ต้องเตรียมไว้ให้เจ้าด้วยอย่างแน่นอน”

เผยเฉียนหมายมั่นปั้นมือเต็มที่ “อาจารย์ ผ่านยามจื่อไปก็เป็น ‘วันนี้’ แล้ว ตอนนี้ท่านก็สามารถสอนวิชาหมัดให้ข้าได้แล้วนะ”

เฉินผิงอันกดศีรษะเล็กๆ ของนางแล้วผลักออกเบาๆ “ข้าจะคุยธุระกับชุยตงซานสักหน่อย”

เผยเฉียนกล่าวอย่างน้อยใจ “คุยธุระกับอาจารย์จ้ง ยังพอเข้าใจได้ แต่กับ ห่านขาวใหญ่จะมีธุระอะไรให้คุยกัน อาจารย์ ข้าไม่ง่วง พวกท่านคุยกันไปเถอะ ข้าจะอยู่ฟังด้วย”

ชุยตงซานจุ๊ปากพูด “แม้แต่คำพูดของอาจารย์ก็ยังไม่ยอมฟัง นี่ยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ด้วยนะ หากถึงขอบเขตห้าขอบเขตหกจะไม่ปีนขึ้นฟ้าไปเลยหรือไร”

เผยเฉียนไม่ยอมขยับ ยกสองมือกอดอก แค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “ยุแยงอาจารย์และศิษย์คือการกระทำของคนถ่อย!”

ชุยตงซานเอ่ย “อาจารย์ เอาเป็นว่าข้าควบคุมนางไม่ได้ก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วงอลงเบาๆ “กบาลน้อยๆ ปวดหรือไม่?”

เผยเฉียนถึงได้เผ่นหนีไปอย่างขุ่นเคือง

ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงเอ่ยว่า “ไปหาเงินอยู่ในหญ้าพุ่มหญ้าหรือไง?”

เผยเฉียนที่ทำหัวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ตรงนั้นตลอดเวลาลุกขึ้นยืนอย่างขลาดๆ “อาจารย์ เมื่อครู่เดินไปได้ครึ่งทางได้ยินเสียงจิ้งหรีดร้องก็เลยมาจับจิ้งหรีด ตอนนี้ มันหนีไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าไปนอนแล้วจริงๆ นะ”

รอจนเผยเฉียนจากไปไกล

เฉินผิงอันถึงได้กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “รู้ดีว่าบางเรื่องกังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่มีความจำเป็นให้ต้องคิดมาก ใช้หลักการเหตุผลไปเกลี้ยกล่อมคนอื่นนั้นง่ายที่สุด แต่พูดโน้มน้าวตัวเองกลับยากจริงๆ”

ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “การฝ่าทะลุขอบเขตของเผยเฉียนเร็วไปหน่อยจริงๆ อีกทั้งยังได้กินชะตาบู๊ไปมากมายขนาดนั้น ยังดีที่มีเว่ยป้อช่วยสยบภาพบรรยากาศ ไว้ให้ อีกทั้งถ้ำสวรรค์หลีจูยังขึ้นชื่อเรื่องคนและเหตุการณ์ประหลาด แต่รอให้ เผยเฉียนออกท่องยุทธภพด้วยตัวเองเมื่อไหร่ ตอนนั้นก็คงจะยุ่งยากเข้าจริงๆ”

เฉินผิงอันรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “แต่พอได้ยินนางเล่าถึงประสบการณ์ท่องเที่ยวในพื้นที่มงคลรากบัว แล้วสามารถคิด อีกทั้งยังอธิบายหลักการเหตุผลของการ ‘เก็บหมัดไว้ได้’ นั้นออกมา ข้าก็ยังรู้สึกดีใจไม่น้อย กลัวก็แต่ว่าอะไร ที่มากเกินไปจะไม่ดี นางเลียนแบบข้าในทุกๆ เรื่อง ถ้าอย่างนั้นยุทธภพในอนาคตที่เป็นของเผยเฉียนเองก็อาจจะหม่นหมองขาดสีสันไปมาก”

ชุยตงซานเอ่ย “เรียนรู้ในสิ่งที่ดีก่อน แล้วค่อยทำตัวในแบบของตน มีอะไรที่ไม่ดี? ตลอดหลายปีมานี้ อาจารย์เองก็ไม่ได้เดินผ่านมาแบบนี้หรอกหรือ? เด็กทุกคน ในใต้หล้า หากไม่รู้จักจดจำกฎเกณฑ์ไว้ในใจบ้างเลย แต่เรียนรู้ที่จะโวยวายเอาแต่ใจก่อน แบบนั้นดีแน่หรือ? ในช่วงอายุที่จำเป็นต้องจดจำกฎเกณฑ์มากที่สุด พวกผู้ใหญ่กลับจงใจทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับพวกเด็กๆ ตัดใจตีไม่ลง แข็งใจพูดอบรมสั่งสอนไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าไม่ดีอย่างยิ่ง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ฟังเข้าหูแล้ว

ชุยตงซานกล่าว “เป็นห่วงอนาคตของเฉาฉิงหล่างด้วยใช่ไหม?”

เฉินผิงอันถอนหายใจ “แน่นอนอยู่แล้ว ทั้งไม่อยากเจ้ากี้เจ้าการกับชีวิตของ เฉาฉิงหล่าง แล้วก็ไม่อยากให้การเล่าเรียนและการฝึกตนของเฉาฉิงหล่างถูกถ่วงเวลาด้วย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่สู้ตอนที่จ้งชิวออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว ก็ให้เขาพาเฉาฉิงหล่างออกมาด้วย ให้เฉาฉิงหล่างกับจ้งชิวได้มาอยู่ในใต้หล้าแห่งใหม่ด้วยกัน ออกเดินทางไกลไปศึกษาต่อ เริ่มที่แจกันสมบัติทวีปก่อน หากไกลไปก็ไม่ได้ คุณสมบัติของเฉาฉิงหล่างไม่เลวเลยจริงๆ การถ่ายทอดวิชาความรู้และไขข้อข้องใจของ อาจารย์จ้งเน้นที่สองคำว่าบริสุทธิ์เข้มข้น และสหายของอาจารย์ที่ชื่อว่าลู่ไถคนนั้นยังช่วยสอนให้เฉาฉิงหล่างอยู่ห่างคำว่าคร่ำครึด้วย ทั้งสองอย่างนี้ช่วยส่งเสริมกันและกัน จะว่าไปแล้วก็ยังเป็นเพราะจ้งชิวหยัดยืนได้ตรง ความรู้บริสุทธิ์ถึงแก่นที่ยอดเยี่ยม ส่วนความรู้ของลู่ไถที่แม้จะหลากหลายแต่ไม่ยุ่งเหยิง

อีกทั้งยังเต็มใจเคารพนับถือจ้งชิวจากใจจริง เฉาฉิงหล่างถึงได้เป็นอย่างใน ทุกวันนี้ ไม่อย่างนั้นหากแต่ละคนต่างก็ยืนกรานในมุมของตัวเอง เฉาฉิงหล่างก็จบเห่แล้ว จะว่าไปแล้วนี่ก็คือคุณความชอบของอาจารย์”

เฉินผิงอันถาม “หากข้าจะบอกว่าอยากให้นำชื่อเฉาฉิงหล่างนี้บันทึกลงในทำเนียบศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา จะดูเห็นแก่ตัวมากไปหรือไม่?”

ชุยตงซานยิ้มถาม “ตอนที่อยู่ในตรอกเล็ก อาจารย์เคยพูดเรื่องนี้กับเฉาฉิงหล่างหรือไม่?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “แน่นอนว่าต้องถามความยินยอมของเขาเสียก่อน ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างหัวเราะอย่างโง่งม พยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก จนข้ารู้สึกเหมือนตาฝาดได้เห็นเผยเฉียนอีกคน เพราะฉะนั้นข้าถึงรู้สึกเหมือน วัวสันหลังหวะเสียเอง”

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “นี่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ เรื่องดียิ่งใหญ่ที่เจ้ายินยอมข้าพร้อมใจ หากอาจารย์ยังรู้สึกไม่มั่นคงก็ไม่สู้ลองคิดดูว่าวันหน้าจะทุ่มเท แรงกายแรงใจปลูกฝังเมล็ดพันธ์บัณฑิตผู้นี้อย่างไร? แบบนี้จะรู้สึกดีมากขึ้นหรือไม่?”

เฉินผิงอันขบคิดใคร่ครวญตามไปก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาก

จากนั้นเฉินผิงอันก็คิดถึงเด็กอีกคนหนึ่ง มีชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย

ไม่รู้ว่าตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นฝึกท่าหมัดเดินนิ่งเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

สำหรับจ้าวซู่เซี่ย เฉินผิงอันก็ให้ความสำคัญมากเหมือนกัน เพียงแต่ว่ากับเด็กรุ่นหลังเหล่านี้ เฉินผิงอันมีความเป็นห่วงและคาดหวังในแบบที่แตกต่างกัน

อันที่จริงวิธีการฝึกหมัดของจ้าวซู่เซี่ยนั้นนับได้ว่าเหมือนตนมากที่สุด

ไม่ได้อาศัยอะไรทั้งนั้น อาศัยแค่ความมุมานะอุตสาหะอย่างเดียว

ความคิดและจิตใจของเด็กหนุ่มบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นใจที่คิดอยากเรียนวิชาหมัด หรือความปรารถนาในการเรียนวรยุทธของเขา ล้วนทำให้เฉินผิงอันชื่นชอบทั้งสิ้น

เฉินผิงอันจึงพูดถึงจ้าวซู่เซี่ยกับชุยตงซานเป็นครั้งแรก แน่นอนว่ายังมีตัวอ่อนผู้ฝึกตนอย่างเด็กสาวจ้าวหลวน และอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนเซิงที่ตนเคารพนับถืออย่างถึงที่สุด ผู้นั้นด้วย

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้าว่า “คำว่าโบราณเรียบง่ายไร้การขัดเกลา ก็คือความหมายยิ่งใหญ่ของวิชาหมัดมานับแต่โบราณ หากสามารถสลัดเอาสิ่งสกปรกเก่าๆ สกัดดึงเอาแต่แก่นดีๆ มาไว้แล้วคิดค้นสิ่งใหม่ภายใต้ความหมายนี้ได้ ก็จะเป็นความสามารถยิ่งใหญ่บนเส้นทางวิถีวรยุทธที่แท้จริงแล้ว”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตัวเจ้าเองไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธเสียหน่อย ก็ได้แต่พูดไปอย่างนั้นเอง แล้วข้าก็เถียงเจ้าไม่ได้ แต่กับจ้าวซู่เซี่ยผู้นี้ เจ้าห้ามวาดงูเติมขาเด็ดขาด”

ชุยตงซานพยักหน้ารับตอบตกลง

มีลูกศิษย์อย่างเขาคอยเอาเวลาว่างไปมองไปดูให้มากหน่อย ก็จะช่วยลดเรื่อง ไม่คาดฝันไปได้มากมาย

แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาชุยตงซานก็คร้านจะทำเรื่องจำพวกเพิ่มบุปผาลงบนผ้าแพร หากจะทำ ก็มีแต่จะเป็นการส่งถ่านท่ามกลางหิมะเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่นปรับปรุงค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของสำนักพีหมาให้ดีขึ้น เพิ่มพลานุภาพให้มันอีกสองส่วน

แน่นอนว่าชุยตงซานต้องยั้งรั้งฝีมือเอาไว้

จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมารู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เมื่อเป็นเรื่องใหญ่ที่เกี่ยวพันกับ ความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยของสำนัก จู๋เฉวียนก็ไม่ได้อาศัยความสัมพันธ์ควันธูป ได้คืบแล้วจะเอาศอก ถึงขั้นเปิดปากพูดอย่างเป็นนัยๆ ก็ยังไม่มี ยิ่งไม่คิดจะมาพร่ำพูดให้เฉินผิงอันฟัง

เพราะสำนักพีหมายังไม่อาจเอาน้ำใจควันธูปที่มีระดับเท่าเทียมกันออกมาได้ หรือควรจะพูดว่าไม่อาจนำน้ำใจควันธูปที่ชุยตงซานซึ่งเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันต้องการออกมาได้ จู๋เฉวียนก็เลยไม่พูดถึงเสียเลย

หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอัน จู๋เฉวียนย่อมพูดอย่างตรงไปตรงมา ต่อให้ขอเงินเทพเซียนมาจากสำนักเบื้องบนของสำนักพีหมาแล้วยังไม่อาจใช้คืนได้หมดสิ้น ถ้าอย่างนั้นข้าผู้อาวุโสก็จะติดหนี้เอาไว้ก่อน นางจู๋เฉวียนติดหนี้ได้อย่างไม่ละอายใจเลยแม้แต่น้อย

แต่เฉินผิงอันก็คือเฉินผิงอัน ชุยตงซานก็คือชุยตงซาน ต่อให้พวกเขาจะเป็นอาจารย์และลูกศิษย์กันก็ยังต้องมองภูเขาลั่วพั่วเป็นบ้านของตัวเอง

นี่ก็คือการรู้จักหนักเบา

แม้จะบอกว่าเมื่ออยู่ชายหาดโครงกระดูก จู๋เฉวียนที่ทำหน้าที่เป็นเจ้าสำนักของสำนักพีหมา มองดูเหมือนว่าจะทำหน้าที่ได้ไม่ดีนัก แม้ขอบเขตไม่ต่ำ แต่สำหรับสำนักแล้วกลับยังไม่มากพอ จึงได้แต่เลือกวิธีที่ต่ำต้อยที่สุด เอาตัวไปเป็นพลทหารแนวหน้าของเมืองชิงหลู แบกรับสถานการณ์ทางทิศใต้ของเมืองจิงกวานเอาไว้

แต่คนทั้งทวีปล้วนรู้ดีว่า สำนักพีหมาคือสำนักบนภูเขาที่ตรงไปตรงมา แบ่งแยกบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน

ขนบธรรมเนียมประจำภูเขาและชื่อเสียงของผู้ฝึกตนที่ผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่วนี้ ก็คือเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ที่มองไม่เห็นที่สำนักพีหมาสะสมมา

การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีปของเฉินผิงอันครั้งนี้ นับตั้งแต่สำนักพีหมาที่มี จู๋เฉวียนเฝ้าพิทักษ์ ไปจนถึงยอดเขาพาตี้ที่ฮว่อหลงเจินเหรินนอนหลับอยู่ตลอดเวลา ทำให้เขาได้เรียนรู้หลักการเหตุผลนอกเหนือจากตำรามากมาย

เฉินผิงอันหยิบเหล้าหมักข้าวเหนียวออกมาอีกสองกา ดื่มกันคนละกา

ครั้งนี้คนทั้งสองดื่มอย่างเนิบช้า

มีภูเขาที่เพิ่งจะเป็นรูปเป็นร่าง แน่นอนว่ามีเรื่องมากมายให้ต้องทำ

ควรจะคบค้าสมาคมกับเว่ยหลี่ผู้ว่าคนใหม่ รวมไปถึงเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดอย่างไร จำเป็นต้องกะแรงไฟอย่างระมัดระวัง

นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เพียงแค่ชุยตงซานเปิดเผยสถานะภายนอกอย่าง ‘ผู้นำของศาลาคลื่นมรกตต้าหลี’ ออกไปแล้วจะเกิดประโยชน์

ทางฝั่งของภูเขาหลังอ๋าว หลูป๋ายเซี่ยงกับหลิวจ้งรุ่นที่ได้สมบัติหนักตระกูลเซียนสองชิ้นอย่างตำหนักวารีกับเรือมังกรมาเรียบร้อยแล้วกำลังเดินทางกลับ ดังนั้นรอให้หลูป๋ายเซี่ยงกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของเขาอย่างคู่พี่น้องหยวนเป่าหยวนไหลก็ควรจะได้รับการบันทึกชื่อลงในทำเนียบแล้ว แต่ค่อนข้าง น่ากระอักกระอ่วนก็คือ จนถึงวันนี้ภูเขาลั่วพั่วก็ยังไม่ได้สร้างศาลบรรพจารย์เลย เพราะมีเรื่องราวมากมายที่จำเป็นต้องให้เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วอย่างเขาอยู่ด้วย การสร้างรากฐาน ขึ้นเสาคาน แขวนภาพเหมือน จุดธูปดอกแรก ฯลฯ ล้วนต้องให้เขาเฉินผิงอันอยู่ด้วย

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยังต้องอยู่ต่ออีกสักช่วงเวลาหนึ่ง รอให้หลูป๋ายเซี่ยงกลับมาก่อน แล้วก็ต้องรอให้จูเหลี่ยนกลับมาจากนครมังกรเฒ่าด้วย และเรื่องที่ว่าโจวหมี่ลี่ ได้กลายเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างเป็นทางการจะทำให้จิตใจของ คนบางคนสั่นคลอนหรือไม่ เฉินผิงอันก็จำเป็นต้องครุ่นคิดให้ลึกซึ้ง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปที่ตรอกฉีหลงสักหน่อย”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เดินไปหรือ?”

เฉินผิงอันตอบ “เผยเฉียนมียันต์กระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนมอบให้ แต่ข้าไม่มี ดึกดื่นขนาดนี้แล้วคงไม่รบกวนเว่ยป้อแล้ว ถือโอกาสนี้ไปเยี่ยมเจิ้งต้าเฟิงที่ขากะเผลกได้พอดี”

ชุยตงซานเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเดินไปเป็นเพื่อนอาจารย์ด้วย”

ตอนที่คนทั้งสองเดินลงจากภูเขา เฉินยวนจีกำลังฝึกหมัดเดินขึ้นเขามาพอดี

เฉินผิงอันกับชุยตงซานต่างก็ยืนเบี่ยงตัวหลบทางให้นาง

เฉินยวนจีไม่พูดไม่จา ปณิธานหมัดไหลเวียนวน จิตใจไม่วอกแวก เดินนิ่งขึ้นเขาไป

คนทั้งสองเดินลงเขากันต่ออีกครั้ง

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “แม่นางน้อยคนนี้ตาไม่มีแววเลยจริงๆ เอาแต่ชื่นชอบ จูเหลี่ยนอยู่คนเดียว”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “นี่หมายความว่าสายตาในการรับลูกศิษย์ของจูเหลี่ยน ดีเยี่ยม บรรยากาศร้ายๆ ของภูเขาลั่วพั่วที่ถูกเจ้าพาเสียนั่นก็ได้เฉินยวนจีที่ช่วยกอบกู้กลับมาได้บ้าง ต้องทะนุถนอมและเห็นค่าให้ดี”

ชุยตงซานกล่าวอย่างจนใจ “หากอาจารย์ยืนกรานว่าคิดอย่างนี้แล้วจะสบายใจ ศิษย์ก็ได้แต่แข็งใจยอมรับเอาไว้แล้ว”

ไปถึงตีนเขา เฉินผิงอันเคาะประตู รออยู่นานก็ไม่มีความเคลื่อนไหว เฉินผิงอัน ไม่คิดจะปล่อยเจิ้งต้าเฟิงไป จึงยิ่งเคาะประตูเสียงดังสนั่นหวั่นไหว

เจิ้งต้าเฟิงที่สะลึมสะลือถึงได้เดินขากะเผลกมาเปิดประตู พอเห็นเฉินผิงอัน ก็แสร้งทำเป็นตกตะลึง “เจ้าขุนเขา เหตุใดกลับมาถึงบ้านแล้วไม่บอกกล่าวข้า สักคำเล่า? แค่เดินมาไม่กี่ก้าวก็ไม่เต็มใจหรือ? ดูแคลนคนเฝ้าประตูอย่างข้าใช่ไหม? ในเมื่อดูแคลนข้าเจิ้งต้าเฟิง แล้วคืนนี้จะมาเยี่ยมข้าทำไม เสียใจ เสียใจนัก ไปนอนล่ะ จะได้ไม่อยู่ขวางหูขวางตาเจ้าขุนเขา ข้าเองก็จะได้ไม่ต้องเสียใจด้วย หากต้องเสีย ชามข้าวใบหนึ่งไป แล้วพรุ่งนี้ต้องหอบผ้าม้วนเสื่อออกไปจากที่นี่ จะไม่จบเห่เลยหรือ หรือว่าจะต้องไปนอนอยู่ข้างถนนของอำเภอ? นี่ก็ใกล้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว อาการหนาวเหน็บเยือกเย็น เจ้าขุนเขาใจดำได้ลงคอหรือ? หากมีธุระก็ค่อยว่ากัน วันหน้าเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคนเฝ้าประตูอยู่แล้ว ไม่มีเรื่องสำคัญอะไรให้ต้องพูดคุย เจ้าขุนเขาไปทำธุระใหญ่ของตัวเองก่อนเถอะ…”

เจิ้งต้าเฟิงกำลังจะปิดประตู

คำพูดประโยคนี้พูดได้คล่องแคล่วดุจสายน้ำไหลเมฆเคลื่อนคล้อย ไม่มีช่องโหว่แม้แต่น้อย

เฉินผิงอันเอามือดันประตูใหญ่เอาไว้ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “พี่น้องต้าเฟิง ขาบาดเจ็บ เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ข้าต้องมาถามไถ่ดูอยู่แล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงส่ายหน้าพูดด้วยท่าทางจริงจัง “ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ชายชาตรีตัวโตขนาดนี้ ขอแค่ขาที่สามไม่หัก ก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก”

คนหนึ่งจะปิดประตู คนหนึ่งดันประตูให้เปิด คุมเชิงกันอยู่

เจิ้งต้าเฟิงพึมพำ “ใต้เท้าเจ้าขุนเขาฝ่าทะลุขอบเขตแล้วก็รังแกคนอื่นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นข้าเจิ้งต้าเฟิงก็คงต้องลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นแล้วนะ”

เฉินผิงอันพูดอย่างขำๆ ปนฉุน “มีธุระจะคุยด้วยจริงๆ”

เจิ้งต้าเฟิงถาม “เรื่องของใคร?”

เฉินผิงอันพูดเสียงขุ่น “ไม่ใช่เผยเฉียนก็แล้วกัน”

เจิ้งต้าเฟิงร้องปัดโธ่หนึ่งที แล้วจึงก้มหน้าค้อมเอว ขาและเท้าขยับคล่องแคล่ว จนน่าแปลกใจ เอามือคล้องแขนเฉินผิงอันแล้วดึงพาเข้าไปในประตูใหญ่ “เชิญเจ้าขุนเขาด้านใน พื้นที่ไม่ใหญ่ หากรับรองขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ อย่าได้รังเกียจ เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนขี้ฟ้อง ชอบนินทาคนอื่นลับหลังจริงๆ นะ แต่เป็นจูเหลี่ยนนั่นที่ขี้เหนียว เงินที่มอบให้เหมือนน้ำแก้วเดียวที่ดับไฟไหม้รถทั้งคันไม่ได้ ลองดูเรือนหลังนี้สิ มีสง่าราศีสักนิดไหม? ภูเขาลั่วพั่วที่ยิ่งใหญ่ ประตูภูเขา กลับแร้นแค้นขนาดนี้ ข้าเจิ้งต้าเฟิงไม่มีหน้าไปซื้อของที่เมืองเล็กด้วยซ้ำ ไม่กล้าพูดว่าตัวเองคือคนของภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนคนนี้ พี่น้องก็ส่วนพี่น้อง งานหลวงก็ส่วน งานหลวง แต่เขาแม่งขี้งกจริงๆ !”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “คนพูดน้ำตาไหล คนฟังซาบซึ้งใจจริงๆ”

เจิ้งต้าเฟิงหันหน้ามาพูด “เรื่องการแบ่งส่วนปันผลของพื้นที่มงคลรากบัว เพื่อพี่ชายน้อยชุยแล้ว ข้าเกือบจะตีกับจูเหลี่ยนและเว่ยป้อ เถียงกับพวกเขาจนหน้าดำหน้าแดง เพื่อให้พวกเขายอมรับปากมอบส่วนแบ่งส่วนนั้นให้พี่ชายน้อยชุย ข้าก็เกือบจะโดนซ้อมอยู่แล้ว อันตรายมากจริงๆ ผลกลับกลายเป็นว่าสุดท้ายก็ยัง ช่วยไม่ได้ ทุกวันจึงได้แต่ดื่มเหล้าดับทุกข์ พอไม่ทันระวังก็ขาแพลงบาดเจ็บนี่ไงล่ะ”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “ซาบซึ้งใจน้ำหูน้ำตาไหลแล้ว”

แล้วชุยตงซานก็หยุดเดิน บอกว่าจะไปรออาจารย์ที่ประตูภูเขา ครั้นจึงก้าวข้ามธรณีประตูพร้อมปิดประตูลงเบาๆ

เฉินผิงอันกับเจิ้งต้าเฟิงพากันนั่งลง แล้วเฉินผิงอันก็เล่าเรื่องหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณที่ได้ยินมาจากหลี่หลิ่วของยอดเขาสิงโตให้เจิ้งต้าเฟิงฟัง

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “มีเรื่องนี้อยู่จริง แต่ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์มาสนใจมันแล้ว”

จากนั้นเจิ้งต้าเฟิงก็เอ่ยถาม “ทำไม รู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วขาดคนที่ต่อสู้ได้ ก็เลย จะให้ข้าเก็บไปใส่ใจสักหน่อย? จะได้ช่วยทำให้ภูเขาลั่วพั่วมีหน้ามีตา?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าไม่มีทางคิดแบบนี้”

เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “รู้ว่าไม่คิด ถึงได้ถามแบบนี้ นี่เรียกว่าไม่มีเรื่องหาเรื่อง ไม่อย่างนั้นป่านนี้ข้าก็คงไปนั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่เรือนหลังเก่านานแล้ว”

เฉินผิงอันเอ่ย “ครั้งนี้ที่มาหาเจ้า เพราะคิดว่าหากเจ้าอยากจะไปผ่อนคลายอารมณ์ ก็สามารถไปเดินดูที่พื้นที่มงคลรากบัวบ่อยๆ ได้ แต่ก็ต้องดูที่ความต้องการของเจ้าเอง ข้าก็แค่บอกไว้”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “โชคชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งของผู้เฒ่าชุย เขาจงใจทิ้งไว้ที่พื้นที่มงคลรากบัว บวกกับที่มันได้เลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้ว ปราณวิญญาณ ก็เพิ่มมากขึ้น ตอนนี้ที่นั่นจึงค่อนข้างจะน่าสนใจอยู่บ้างจริงๆ”

ดูเหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะสนใจ เขาลูบคลำปลายคางพลางเอ่ยว่า “ข้าจะลองพิจารณาดู”

ยกตัวอย่างเช่นไปเปิดหอโคมเขียวให้กิจการรุ่งเรืองอยู่ที่นั่น?

เจิ้งต้าเฟิงแสยะปากยิ้มกว้าง แล้วก็โบกมือโบกไม้อยู่กับตัวเอง เรื่องขาดศีลธรรมแบบนี้ไม่ควรทำ หากคิดจะเปิดร้านเหล้าในตลาดก็ยังพอว่า จ้างสตรีรินสุรารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นมาสักคนสองคน แต่บางทีพวกนางอาจจะหน้าบาง ไม่รู้จักเรียกลูกค้า ถ้าอย่างนั้นก็จำเป็นต้องจ้างสตรีออกเรือนแล้วที่รูปร่างอวบอิ่มมา พวกนางรู้จักพูดคุย วันหน้าลูกค้าจะได้เยอะหน่อย ไม่อย่างนั้นหากไปอยู่ที่นั่นแล้วหาเงินได้แค่ไม่กี่แดง คงรู้สึกผิดต่อภูเขาลั่วพั่วแย่ ‘สตรีขายเหล้าในเจียงหนันหน้าตางดงาม ยามยกมือ ขายเหล้าเผยให้เห็นเนื้อขาวนวลดุจหิมะ’ ถ้าเป็นอย่างคำกลอนประโยคนี้ก็คงจะเพลินหูเพลินตาดีไม่น้อย ตนที่เป็นเถ้าแก่ก็สามารถนั่งไขว่ห้างรอรับเงินได้ทุกวัน

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าเจิ้งต้าเฟิงกำลังดีดลูกคิดวางแผนการอะไรอยู่ แต่พอเห็นใบหน้าเขาเปื้อนยิ้ม คอยยกมือมาเช็ดปากอยู่เป็นระยะ ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ เฉินผิงอัน จึงเอ่ยขอตัวไป

เจิ้งต้าเฟิงเดินมาส่งถึงประตูใหญ่ หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันปฏิเสธ คาดว่า เขาคงเดินไปส่งถึงเมืองเล็กเป็นแน่

เฉินผิงอันเดินเท้าจากไปพร้อมกับชุยตงซาน

เจิ้งต้าเฟิงถอนหายใจ ก่อนหน้านี้จงใจพูดเรื่องชะตาบู๊ของชุยเฉิง เฉินผิงอัน มีสีหน้าเป็นปกติ

ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่กลับไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไร

ช่วยไม่ได้

คนแบบใดก็มีความทุกข์ความสุขแบบนั้น

ส่วนชุยตงซานผู้นั้น เจิ้งต้าเฟิงไม่ยินดีจะคบค้าสมาคมด้วยมากเกินความจำเป็น เพราะอีกฝ่ายเล่นหมากล้อมเก่งเกินไป

เจิ้งต้าเฟิงไม่ได้กลับไปนอน แต่เปิดประตูออกมา เรือนกายงองุ้มเดินอยู่ใต้แสงจันทร์ มุ่งหน้าไปยังประตูภูเขา แล้วเอนตัวพิงเสาหยกขาวอยู่อย่างนั้น

ภูเขาลั่วพั่วไม่มีภูเขาลูกเล็กที่เด่นชัด แต่หากจะครุ่นคิดอย่างจริงจัง อันที่จริงกลับมีอยู่

ล้อมวนอยู่รอบกายชุยตงซานก็มีอยู่หนึ่งลูก

หลูป๋ายเซี่ยง เว่ยเซี่ยนที่อยู่นอกภูเขา มี

สือโหรวที่ตรอกฉีหลง ก็ใช่

ขอแค่ตัวชุยตงซานเองยินดี ภูเขาลูกนี้ก็จะกลายเป็นค่ายขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของภูเขาลั่วพั่วภายในค่ำคืนเดียว จะมีคนหน้าใหม่ปรากฏขึ้นมากมาย

แต่เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองคือบุคคลที่จะมีหรือไม่มีก็ได้ เพราะบุคคล ที่ห้อมล้อมชุยตงซานดุจกลุ่มดาวล้อมดวงเดือนเหล่านั้น หากคิดจะเข้ามาใน ภูเขาลั่วพั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคตคิดจะมีชื่ออยู่บนทำเนียบวงศ์ตระกูล อย่างน้อยที่สุดก็ต้องผ่านประตูภูเขามาก่อน

บังเอิญยิ่งนัก เขาเจิ้งต้าเฟิงก็คือคนเฝ้าประตูภูเขาพอดี

พอเจิ้งต้าเฟิงคิดมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกว่าตนช่างเป็นบุคคลที่ร้ายกาจจริงๆ ภูเขาลั่วพั่วขาดเขาไปไม่ได้เลย เขารอเงียบๆ อยู่นาน แล้วเจิ้งต้าเฟิงก็พลันกระทืบเท้า เหตุใด คืนนี้แม่นางเฉินฝึกหมัดไปถึงบนภูเขาแล้วไม่ลงมาข้างล่างเสียทีนะ?!

……

สือโหรวเปิดประตูใหญ่ของร้าน เห็นว่าทั้งเฉินผิงอันและชุยตงซานก็อยู่ด้วย จึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย

หากมีเพียงแค่เจ้าขุนเขาหนุ่ม กลับยังดีหน่อย แต่มีชุยตงซานอยู่ข้างกายด้วย สือโหรวจึงรู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย

ไปถึงที่เรือนด้านหลัง เฉิงหลิงจวินกำลังอ้าปากหาวยืนอยู่ข้างหลังคาที่เปิดอ้า

เฉินผิงอันให้สือโหรวเปิดห้องด้านข้างให้ห้องหนึ่ง แล้วเขาก็จุดตะเกียง หยิบบันทึกปึกใหญ่ หรือไม่ก็ภาพแผนที่ขุนเขาสายน้ำที่บ้างก็เป็นของทางการ บ้างก็วาดเองออกมา แล้วเริ่มอธิบายถึงเรื่องการเดินเลียบลำน้ำจี้ตู๋ ขณะเดียวกันก็หยิบ เม็ดหมากขาวดำที่แกะสลักชื่อแซ่ของบุคคลและชื่อของสำนักออกมา ยกตัวอย่างเช่นหลี่หยวนแห่งลำน้ำจี้ตู๋สำนักมังกรน้ำ กับเหนียงเนียงเทพวารีตำหนัก หนานซวินคือหมากสีขาว

และยังมีพวกผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่อยู่ทางตะวันออกสุดของลำน้ำจี้ตู๋อย่างถานหลิง ถังสี่ ซ่งหลันเฉียว ฯลฯ นอกจากนี้ก็มีนครเหนือเมฆ จวนไชว่เฉวี่ย ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่อยู่ค่อนไปทางภาคกลางของอุตรกุรุทวีป เป็นต้น ส่วนเม็ดหมากสีดำที่มีจำนวนน้อยกว่านั้น หลักๆ แล้วก็เป็นสกุลหยางหน่วยฉงเสวียน เกี่ยวกับ เม็ดหมากที่วางอยู่บนตำแหน่งที่แตกต่างกันบนโต๊ะเหล่านี้ เฉินผิงอันยิ้มอธิบายว่า เม็ดหมากเป็นเช่นนี้ แต่นิสัยใจคอของบุคคลไม่ได้บอกว่าเป็นขาวหรือดำ ข้าแค่บอกถึงความเข้าใจคร่าวๆ ของตัวเอง รอให้เจ้าเดินลงน้ำด้วยตัวเองเมื่อไหร่ก็ห้ามใช้วิธีการที่ตายตัวอย่างเดียว ไม่อย่างนั้นจะต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่

มองเส้นสีขาวหิมะที่เกิดจากเม็ดหมากสีขาวเชื่อมโยงต่อกัน

เฉินหลิงจวินอัดอั้นอยู่นานกว่าจะเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณนะ”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เลยยิ้มพูดสัพยอกว่า “ดึกดื่นขนาดนี้ พระอาทิตย์ยังขึ้นจากทิศตะวันตกได้ด้วยหรือไร?”

เฉินหลิงจวินอับอายจนพานเป็นความโกรธ “ถึงอย่างไรข้าก็ขอบคุณไปแล้ว จะรับไว้หรือไม่ก็ตามใจเจ้า”

เฉินผิงอันหัวเราะชอบใจ คิดว่าจะช่วยอธิบายเรื่องที่ต้องระวังในการเดินทางเลียบลำน้ำจี้ตู๋สายนี้ให้เฉินหลิงจวินฟังอย่างละเอียด ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องค่อยๆ อธิบายไป คาดว่าคงต้องคุยกันจนถึงฟ้าสว่าง

ชุยตงซานหรี่ตาเอ่ยว่า “รบกวนนายท่านใหญ่อย่างเจ้าตั้งใจหน่อย นี่เป็นเส้นทางที่นายท่านของเจ้าแลกมาด้วยชีวิต ใต้หล้านี้ไม่มีใครเดินลงน้ำด้วยการเตรียมการที่พรั่งพร้อมเหมาะสมได้อย่างเจ้าอีกแล้ว”

สีหน้าของเฉินหลิงจวินตึงเครียดเล็กน้อย กำกระดาษปึกที่อยู่ในมือแน่น

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก การเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป ท่องเที่ยวหาประสบการณ์คือเรื่องหลัก เดินเลียบลำน้ำคือเรื่องรอง ไม่ต้องขอบคุณข้า แต่เจ้าจงจำไว้ว่า นี่คือรากฐานมหามรรคาของเจ้า หากไม่ใส่ใจ ก็เท่ากับว่าไม่มี ความรับผิดชอบต่อตัวเอง ในอดีตยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าและเฉินหรูชูต่างก็เป็นเผ่าพันธ์เจียวหลง อยากจะก้มหน้าก้มตาฝึกตน แต่ไม่มีเรี่ยวแรงจะทำ ข้าก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไรเจ้า ถูกไหม? แต่ครั้งนี้เจ้าต้องเปลี่ยนนิสัยเกียจคร้านของตัวเองในอดีตซะ หากภายหลังข้ารู้เรื่องว่าเจ้ากล้ามองการเดินเลียบลำน้ำจี้ตู๋เป็นเรื่องเล่น ข้าก็ยอม ให้คนลากเจ้ากลับมาโยนไว้ที่ภูเขาลั่วพั่ว ดีกว่าปล่อยให้เจ้าไปเดินเตร็ดเตร่อยู่ ข้างนอกส่งเดช”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันที่มีสีหน้าจริงจังก็พูดด้วยเสียงทุ้มหนักว่า “เพราะเจ้าจะต้องตายอยู่ที่นั่น”

เฉินหลิงจวินพยักหน้ารับ “ข้ารู้หนักเบาดี”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าเชื่อเจ้า”

เฉินหลิงจวินมองเฉินผิงอัน สายตาของอีกฝ่ายใสกระจ่าง รอยยิ้มอบอุ่น

จิตใจของเฉินหลิงจวินจึงสงบลงได้

เฉินผิงอันยิ้มพลางหยิบกระดาษ หมึกและพู่กันออกมาวางไว้บนโต๊ะ “ความจำดีไม่สู้จดบันทึกให้คล่อง ข้าอาจจะพูดอย่างละเอียดและหลากหลายหน่อย หากเจ้ารู้สึกว่าเป็นบุคคลและเรื่องราวที่สำคัญมากก็จดลงไป วันหน้าเมื่อออกเดินทางก็สามารถเอาออกมาเปิดอ่านได้บ่อยๆ”

ชุยตงซานกล่าว “ขาดก็แค่ไม่ได้เดินลงน้ำแทนนายท่านใหญ่ผู้นี้ด้วยตัวเองก็เท่านั้น”

เฉินหลิงจวินเพิ่งจะนั่งลง พอได้ยินประโยคนี้ร่างก็ชะงัก ก้มหน้าลง กำกระดาษในมือไว้แน่น

เฉินผิงอันเหลือบมองชุยตงซานแวบหนึ่ง

ชุยตงซานจึงชูมือสองข้างขึ้น เอ่ยว่า “ข้าจะออกไปนั่งข้างนอกเดี๋ยวนี้”

กล่าวจบชุยตงซานก็ออกจากห้องแล้วปิดประตูให้ จากนั้นก็ยกม้านั่งไปนั่งตรงหลังคาเหลี่ยมที่เปิดอ้า ยกขาไขว่ห้าง สอดสองมือรองใต้ท้ายทอย แล้วจู่ๆ ก็คำราม ดังลั่นอย่างเดือดดาล “แม่นางสือโหรว เมล็ดแตงเล่า!”

สือโหรวตอบรับอย่างขลาดๆ “จะเอาไปให้เดี๋ยวนี้”

นางถึงขั้นลืมปกปิดเสียงสตรีของตน

เดิมทีอยู่ในตรอกฉีหลงมานานจนนางเกือบจะลืมตัวตนที่เป็นสตรีของตัวเองแล้ว ผลกลับกลายเป็นว่าพอเจอกับชุยตงซาน นางก็กลับคืนสู่สภาพเดิมทันที

เฉินผิงอันตบไหล่เฉินหลิงจวิน “ชุยตงซานพูดจาไม่น่าฟัง ข้าจึงไม่ช่วยพูดถึงเขาในแง่ดีอะไรอีกแล้ว เพราะคำพูดของเขามันไม่น่าฟังจริงๆ แต่เจ้าก็ลองฟังดูได้ นอกจากเวลาที่กวนอารมณ์ชวนให้คนโมโหแล้ว ทุกประโยคที่เรารู้สึกว่าไม่น่าฟัง คำพูดที่ส่วนใหญ่มักจะทิ่มแทงใจ สีหน้าของพวกเราอาจแสดงความไม่ใส่ใจ แต่ในใจควรขบคิดให้มาก หวงเหลียนมีรสขม แต่สามารถดับร้อนทำให้จิตใจสงบได้ หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ข้าคงพูดเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากแยกกันคราวนี้ ต่อให้ข้าอยากพูด เจ้าอยากฟัง ก็ยังไม่มีโอกาสไปชั่วขณะหนึ่ง”

เฉินหลิงจวินจดจำไว้ในใจเงียบๆ จากนั้นก็ถามอย่างสงสัยว่า “จะไปไหนอีก?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ภูเขาห้อยหัว กำแพงเมืองปราณกระบี่”

เดิมทีเขาอยากบอกว่าทำไมไม่รีบกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วให้เร็วกว่านี้ เพียงแต่ว่าสุดท้ายก็อดทนไว้ได้ ไม่พูดออกมา

เพราะตัวเขาเองก็รู้ว่า ไม่ว่าใครก็สามารถพูดประโยคนี้ได้ทั้งนั้น มีเพียงเขา เฉินหลิงจวินที่ไม่มีสิทธิ์จะพูดมากที่สุด

เฉินผิงอันพยักหน้า “รับคำวิจารณ์ได้ ยังไม่ต้องเปลี่ยนแปลง”

เฉินหลิงจวินยิ้มกว้าง

เฉินหลิงจวินนั่งตัวตรงถือพู่กัน คลี่กระดาษออกแล้วเริ่มรับฟังเฉินผิงอันเล่าถึงประเพณีท้องถิ่น กองกำลังสำนักในแต่ละพื้นที่

หลังจากที่เฉินหลิงจวินเขียนเรื่องสำคัญที่ต้องระวังเรื่องหนึ่งลงไปบนกระดาษ เขาก็พลันเงยหน้าขึ้นถามว่า “นายท่าน วันหน้าท่านจะยังเป็นแบบนี้อยู่ไหม?”

เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินหลิงจวินกล่าว “วันหน้าภูเขาลั่วพั่วมีคนมาอยู่มากขึ้นแล้ว นายท่านก็จะยังทำแบบนี้กับทุกคนหรือ?”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มตอบว่า “ยากมากแล้วล่ะ คำว่ามาก่อนมาหลังอะไรนั่น ย่อมทำให้เกิดการแบ่งแยกความใกล้ชิดห่างเหินอย่างเลี่ยงไม่ได้ นี่คือ ด้านหนึ่ง แน่นอนว่าอีกด้านหนึ่งก็เพราะยังมีเรื่องอีกมากมายที่ต้องให้ใส่ใจดูแล ไม่ใช่ว่าทำทุกเรื่องด้วยตัวเองแล้วจะต้องดีเสมอไป วันหน้าภูเขาลั่วพั่วยิ่งมีคนมาก จิตใจคนและเรื่องราวทางโลกก็จะยิ่งซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ ข้าไม่อาจลงมือลงแรงทำเองได้ทุกเรื่อง คงได้แต่พยายามรักษาสภาพแวดล้อมที่ไม่เลวไว้ให้กับภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่นว่า ไม่ใช่ว่าชุยตงซานที่อยู่นอกสำนักมีตบะสูง มีความสามารถมาก แล้วทุกเรื่องที่เขาทำจะต้องถูกไปทั้งหมด เจ้าจะต้องฟังเขาทุกเรื่องเสมอไป หากเจ้าไม่อาจใช้เหตุผลกับเขาได้ อีกทั้งยังรู้สึกไม่ยินยอม ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมาเล่าให้ข้าฟัง ข้าจะตั้งใจฟังแน่นอน”

เฉินหลิงจวินอืมรับหนึ่งที

ชุยตงซานที่อยู่ด้านนอกบ่นขึ้นมา “อาจารย์ ศิษย์ถนัดใช้คุณธรรมสยบใจคนมากที่สุดแล้ว”

เฉินหลิงจวินกลอกตามองบน

เฉินผิงอันเล่าเรื่องการเดินเลียบลำน้ำให้เฉินหลิงจวินฟังต่อไป

การพร่ำพูดครั้งนี้ยาวไปถึงฟ้าสว่างอย่างที่คาดไว้จริงๆ

เฉินหลิงจวินเองก็จดเรื่องสำคัญด้วยตัวอักษรบูดเบี้ยวไว้สิบกว่าข้อ

เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “เฉินหลิงจวิน ตัวอักษรของเจ้าเขียนได้…ห่างชั้นจาก เผยเฉียนไกลโขนัก”

เฉินหลิงจวินหน้าแดงก่ำ “ข้าไม่ได้คัดตัวอักษรทุกวันเสียหน่อย! หากข้าคัดตัวอักษรมานานขนาดนั้น ตัวอักษรที่เขียนออกมา เทียบอักษรแผ่นหนึ่ง อย่างน้อย ก็น่าจะขายได้หลายเหรียญเงินร้อนน้อย…หลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “ตัวเจ้าเองเชื่อหรือไม่?”

เฉินหลิงจวินสะอึกอึ้ง

ถึงอย่างไรก็ยังหน้าบาง

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว เขาหลับตาลงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไตร่ตรองดูว่ามีเรื่องใดที่ตกหล่นไปหรือไม่ ตอนนี้ยังไม่มี จึงคิดว่าหลังจากนี้หากคิดอะไรออกค่อยเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไว้ให้เฉินหลิงจวิน

พอลืมตาขึ้น เฉินผิงอันก็ถามชวนคุยว่า “พี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงของเจ้าคนนั้น ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว?”

เฉินหลิงจวินส่ายหน้า “ก็เป็นอย่างนั้นแหละ”

เฉินผิงอันเอ่ย “ก่อนจะเดินทางไปอุตรกุรุทวีป อันที่จริงสามารถไปที่แม่น้ำอวี้เจียงก่อนได้ ไปเพื่อบอกลา อะไรที่ควรดื่มก็ดื่ม อะไรที่ควรกินก็กิน แต่อย่าบอกว่าตัวเองจะเดินลงน้ำ แค่บอกไปว่าตัวเองต้องออกจากบ้านเดินทางไกลเท่านั้น การปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ว่าจะต้องบอกความจริงไม่มีปิดบังไปเสียทุกเรื่อง แต่เป็นการที่ไม่สร้างปัญหาให้กับผู้อื่น และยังช่วยคนอื่นแก้ไขปัญหาบางอย่างเท่าที่ตัวเองมีความสามารถ โดยที่ไม่ต้องการให้คนอื่นคอยเอ่ยคำขอบคุณต่อเจ้า”

เฉินหลิงจวินเก็บกระดาษพู่กันลงไป ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ พูดด้วยสีหน้าหม่นหมองเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าไม่เคยคิดเรื่องพวกนี้ สนแต่เรื่องดื่มเหล้ากินเนื้อ คุยโวเสียงดังอย่างเดียวเท่านั้น”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “วิถีทางโลกไม่เคยทำให้พวกเราประหยัดแรงกายแรงใจได้หรอก คิดให้มากก็ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร”

เฉินหลิงจวินลังเลอยู่นาน เขาถึงขั้นไม่กล้ามองสบตาเฉินผิงอัน ได้แต่เอ่ย อย่างระมัดระวังว่า “หากข้าบอกว่าอันที่จริงตัวข้าเองไม่ได้อยากเดินลงน้ำ ไม่ได้ อยากไปอุตรกุรุทวีปอะไรนั่น แค่อยากจะนั่งกินนอนกินรอความตายอยู่บนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้น ท่านจะโกรธมากหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มไม่เอ่ยอะไร ราวกับว่าเขารู้คำตอบนี้มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

เฉินหลิงจวินจึงเงียบเสียงลงไป ไม่กล้าเงยหน้ามองสบตาเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเปิดปากพูดว่า “ไม่โกรธ”

เฉินหลิงจวินพลันขยับนั่งตัวตรง พูดด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “จริงหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตั้งแต่แรกข้าก็ไม่ได้รู้สึกว่าเพราะเรื่องการเดินลงน้ำ เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้า แล้วเจ้าเฉินหลิงจวินจะต้องรีบเร่งออกเดินทาง ไม่กล้า มีปากมีเสียง เอาแต่ก้มหน้าก้มตาไปเดินลงน้ำทันที ข้าถึงขั้นคิดว่าหากเจ้ายังไม่รู้สึกว่าตัวเองอยากเดินลงน้ำจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนเลย ลำน้ำจี้ตู๋ สายนั้นก็หนีไปไหนไม่ได้เสียหน่อย ในความเป็นจริงแล้ว มีเพียงวันใดที่เจ้าคิดจนเข้าใจกระจ่างอย่างแท้จริงแล้วค่อยเดินลงลำน้ำจี้ตู๋ เทียบกับความมึนๆ งงๆ แค่ทำงานที่ได้รับมอบหมายให้จบๆ ไปในตอนนี้ โอกาสที่จะประสบความสำเร็จกลับมีมากกว่า แต่จะว่าไปแล้วการเดินลงน้ำคือเส้นทางที่เจ้าเฉินหลิงจวินจำเป็นต้องเดิน ยากที่จะอ้อมผ่านไปได้ ตอนนี้เตรียมพร้อมไว้ให้มาก ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

เฉินผิงอันชะงักไปครู่ก็เอ่ยอีกว่า “บางทีพูดอย่างนี้เจ้าอาจจะรู้สึกบาดหู แต่ข้าก็ควรจะบอกความคิดที่แท้จริงของตัวเองแก่เจ้า ก็เหมือนอย่างที่ชุยตงซานพูด เผ่าพันธุ์เจียวหลงบนโลกมีอยู่ในหนองบึงทะเลสาบมากมาย แต่กลับไม่ใช่ทุกตัวที่จะ มีโอกาสเดินจากลำน้ำใหญ่สู่มหานที ดังนั้นหากเจ้ารู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้จะถ่วงเวลาให้ล่าช้าไม่ได้ แต่แค่เพราะเกียจคร้านตามความเคยชิน เลยไม่ยินดีจะขยับย้ายถิ่น ไปเจอกับความลำบาก ข้าจะโกรธมาก แต่หากเจ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่นับเป็นอะไรได้เลย ไม่เดินลงลำน้ำใหญ่แล้วอย่างไร ข้าเฉินหลิงจวินก็ยังคงมีมหามรรคาของตัวเองให้ ก้าวเดิน หรือไม่ก็รู้สึกว่าข้าเฉินหลิงจวินชอบที่จะอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ต่อให้อยู่ไปทั้งชีวิตก็ยินดี ถ้าอย่างนั้นนายท่านของเจ้าก็ดี เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วก็ช่าง จะไม่รู้สึกโกรธเลยแม้แต่น้อย”

เฉินหลิงจวินยิ้มกล่าว “เข้าใจแล้ว”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม “ทุกครั้งที่เฉินหรูชูเข้ามาซื้อของในเมืองแล้วเจ้าคอยช่วยคุ้มครองนางอย่างลับๆ ข้าดีใจมาก เพราะนี่ก็คือความรับผิดชอบอย่างหนึ่ง”

เฉินหลิงจวินอับอายเล็กน้อย “ข้าก็แค่มาเดินเล่นเท่านั้นเอง! ใครเป็นคนปากมากมาบอกนายท่าน คอยดูเถอะข้าจะตบปากเขาให้…”

ชุยตงซานที่อยู่นอกประตูพูดด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน “ข้าเอง”

เฉินหลิงจวินอึ้งงันเป็นไก่ไม้

แล้วเขาก็วิ่งเหยาะๆ ไปเปิดประตู เดินเบามือเบาเท้าไปอยู่ด้านหลังชุยตงซาน บีบนวดไหล่ให้เขาพลางถามเสียงเบา “พี่ชุย ทนนั่งอย่างยากลำบากมาทั้งคืนแล้ว ปวดเมื่อยตรงไหนจะต้องบอกน้องชายนะ พวกเราเป็นคนกันเองที่รักใคร่สนิทสนม กันดี เกรงใจกันเกินไปก็ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย! น้ำหนักมือของน้องชายตอนนี้เบา หรือว่าหนักไปไหม?”

เฉินผิงอันเดินข้ามธรณีประตูออกมาถีบเข้าที่ก้นของเฉินหลิงจวิน ด่าขำๆ ว่า “ลมและน้ำของภูเขาลั่วพั่ว เจ้าก็มีส่วนด้วย!”

……

ร้านฉ่าวโถวที่อยู่ข้างกันในตรอกฉีหลงก็เปิดทำการแล้วเหมือนกัน

คนที่มาเปิดร้านคือเด็กสาวที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์คนนั้น

เฉินผิงอันยิ้มพลางเอ่ยทักทาย “จิ่วเอ๋อร์ อาจารย์และศิษย์พี่ของเจ้าล่ะ?”

เด็กสาวรีบยอบตัวคารวะ กล่าวด้วยน้ำเสียงตกตะลึงระคนยินดี “เจ้าขุนเขาเฉิน”

จากนั้นนางก็พูดอย่างเขินอายเล็กน้อย “อาจารย์คอยดูแลร้านมาโดยตลอด อายุก็มากแล้ว ก็เลยตื่นสายไปสักหน่อย วันนี้ข้าเลยเป็นคนมาเปิดร้าน เมื่อก่อนไม่ได้เป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่ไปเก็บสมุนไพรบนภูเขามาหลายวันแล้ว คาดว่าคงช้าหน่อย กว่าจะกลับมาถึงตรอกฉีหลง”

จิ่วเอ๋อร์เตรียมจะไปเรียกอาจารย์ เพราะถึงอย่างไรเจ้าขุนเขาก็มาเยือนด้วยตัวเอง ต่อให้จะถูกอาจารย์ดุด่าก็ควรจะต้องไปรายงานสักคำ

เฉินผิงอันห้ามจิ่วเอ๋อร์เอาไว้ ยิ้มกล่าวว่า “อย่าไปรบกวนการพักผ่อนของ ท่านนักพรตเลย ข้าก็แค่ผ่านทางมาเลยแวะมาดูพวกเจ้าเท่านั้น”

จิ่วเอ๋อร์รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย “เจ้าขุนเขาเฉิน กิจการของร้านไม่ถือว่าดีสักเท่าไร”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่เป็นไร อันที่จริงกิจการของร้านฉ่าวโถวแห่งนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว พวกเจ้าก็พยายามกันต่อไป หากมีเรื่องก็ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว อย่าได้รู้สึกเกรงใจ เป็นอันขาด ประโยคนี้ เดี๋ยวจิ่วเอ๋อร์เจ้าจะต้องช่วยข้านำไปบอกแก่ท่านผู้เฒ่าด้วย ท่านนักพรตเป็นคนมีคุณธรรม ต่อให้มีเรื่องจริงๆ ก็ชอบจะแบกรับไว้คนเดียว อันที่จริงแบบนี้ไม่ดีเลย คนครอบครัวเดียวกันไม่พูดจาห่างเหิน ใช่แล้ว ข้าคงไม่เข้าไปนั่งในร้านแล้ว ยังมีธุระให้ต้องไปทำอีก”

จิ่วเอ๋อร์ที่เพิ่งจะเปิดประตูร้านเอามือสองข้างเอื้อมไปด้านหลัง แล้วถูมือเข้าด้วยกัน พูดเสียงเบาว่า “เจ้าขุนเขาเฉินจะไม่เข้าไปดื่มชาสักถ้วยจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันโบกมือยิ้ม “ไม่ดื่มแล้วจริงๆ เหลือค้างไว้ก่อนก็แล้วกัน”

จิ่วเอ๋อร์คลี่ยิ้ม

เฉินผิงอันพยักหน้าเอ่ยว่า “สีหน้าของจิ่วเอ๋อร์ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเยอะเลย นี่หมายความว่าดินและน้ำของบ้านเกิดข้าหล่อเลี้ยงคนได้ดี เมื่อก่อนยังกังวลว่า พวกเจ้าจะอยู่กันไม่ชิน ตอนนี้ก็วางใจลงได้แล้ว”

จิ่วเอ๋อร์หน้าแดงเล็กน้อย

เฉินผิงอันโบกมือเป็นการบอกลา

เขาพาชุยตงซานเดินขึ้นบันไดของตรอกฉีหลงมุ่งหน้าไปยังบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง

เส้นทางนี้ต้องผ่านบ้านบรรพบุรุษของตระกูลกู้ เฉินผิงอันจึงหยุดเดิน ถามว่า “ทางฝั่งของท่านอากู้?”

ชุยตงซานตอบ “ขุนนางสุจริตก็ยากจะตัดสินเรื่องราวในบ้านได้ แต่ตอนนี้กู้เทา ก็ได้กลายเป็นเทพขุนเขาของขุนเขาเก่าต้าหลีแล้ว ถือว่ามีคุณความชอบอย่างสมบูรณ์ สตรีแต่งงานแล้วที่อยู่ในเขตการปกครองขอลมก็ได้ลม ขอฝนก็ได้ฝน ส่วนกู้ช่านที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก็ถือว่ามีชีวิตที่ไม่เลว ลูกชายได้ดิบได้ดี สามีก็ยิ่งเดินขึ้นฟ้า ในก้าวเดียว สตรีออกเรือนคนหนึ่ง เมื่อมีชีวิตที่ดีแล้ว นิสัยเสียๆ มากมาย แน่นอนว่าย่อมต้องถูกเก็บซ่อนเอาไว้”

เฉินผิงอันเดินหน้าต่อไปอีกครั้ง “เรือนที่แขวนกรอบป้ายคำว่าน้ำใสลมเย็นนั่นล่ะ?”

ชุยตงซานเอ่ยเนิบช้า “ผีหญิงสวมชุดแต่งงานผู้นั้น? เป็นผีน่าสงสารที่ไปชอบคนน่าสงสาร ฝ่ายแรกมีชีวิตอยู่ด้วยความอาฆาตแค้น แต่อันที่จริงฝ่ายหลังกลับน่าเวทนาอย่างแท้จริง ปีนั้นถูกปัญญาชนในสำนักศึกษาของราชวงศ์สกุลหลูและต้าสุยหลอกลวงจนมีสภาพอเนจอนาถ สุดท้ายก็เลือกกระโดดทะเลสาบฆ่าตัวตาย คนลุ่มหลงในรักคนหนึ่งที่เดิมทีคิดแค่อยากจะอาศัยความรู้ช่วงชิงตำแหน่งนักปราชญ์มา หวังว่าจะสามารถใช้สิ่งนี้มาแลกเปลี่ยนการยอมรับและตำแหน่งแต่งตั้งจากทางราชสำนัก ให้เขาได้แต่งงานกับผีสาวตนหนึ่งอย่างเปิดเผย น่าเสียดายที่เกิดมาเร็วไปหน่อย ดันเกิดมาในต้าหลีปีนั้น ไม่ใช่ต้าหลีในตอนนี้ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นจุดจบสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ถึงอย่างไรผีสาวตนนั้นก็เป็นภูตผีสกปรกตนหนึ่ง เมื่อไปเยือนสำนักศึกษา แน่นอนว่าแม้แต่ประตูก็เดินผ่านเข้าไปไม่ได้ แต่นางกลับ ยืนกรานจะบุกเข้าไปจนเกือบจะจิตวิญญาณแหลกสลาย สุดท้ายนางก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาเกินไปนัก เลือกใช้ความสัมพันธ์ควันธูปที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดกับ ราชสำนักต้าหลี ถึงได้นำโครงกระดูกของบัณฑิตกลับมาด้วยกันได้ และยังได้รู้ ความจริงที่ถูกเก็บซ่อนมานานนั้น ที่แท้บัณฑิตก็ไม่เคยทรยศต่อความรักอันลึกซึ้งของนาง แล้วยังต้องมาตายเพราะสาเหตุนี้ นางจึงเสียสติไปอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่กู้เทาออกไปจากเรือนหลังนั้นของนาง นางก็นำโลงศพโลงหนึ่งเดินโซซัดโซเซกลับมาที่นั่น ถอดชุดแต่งงานออก เปลี่ยนมาสวมชุดไว้ทุกข์ วันๆ เอาแต่เหม่อลอย บอกแค่ว่า กำลังรอคน”

เฉินผิงอันถาม “ความผิดความถูกของเรื่องนี้ ควรจะคิดกันอย่างไร?”

ชุยตงซานยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาทำมือต่างมีดแล้วสับลงกลางอากาศว่างเปล่าอยู่สองสามที พลางยิ้มเอ่ยว่า “ต้องดูว่าจากตรงไหนไปถึงตรงไหน เอามาตั้ง เป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ หากใช้เหตุการณ์ที่ผีสาวและบัณฑิตได้พบเจอกันแล้ว ตกหลุมรักกันเป็นจุดเริ่มต้น ใช้เหตุการณ์ที่ผีสาวทำร้ายบัณฑิตมากมายให้ตาย เป็นจุดจบ ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายมาก ตบนางให้ตายด้วยฝ่ามือเดียว เพราะถึงอย่างไรตอนนี้นางก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ทำให้มันสิ้นเรื่องกันไป แต่หากขยับไปข้างหน้าอีกนิด ดูจากคุณความดีที่ผีสาวทำแก่ขุนเขาสายน้ำ คิดคำนวณจากนิสัยที่ดีงามของนาง ถ้าอย่างนั้นก็จะยุ่งยากมาก หากยังหวังให้นางสำนึกผิดและแก้ไข เวลาหลังจากนี้ ร้อยปีหลายร้อยปีก็คอยชดเชยให้กับโลกใบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ หรือหากจะให้ไปยืนอยู่ในมุมของพวกบัณฑิตที่ตายไปอย่างอยุติธรรมเหล่านั้น แล้วใคร่ครวญถึงปัญหา ก็ยิ่ง…เป็นความยุ่งยากที่ใหญ่เทียมฟ้า”

ชุยตงซานเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ถามว่า “ขอถามอาจารย์ อยากจะตัดช่วงไหนเป็นจุดเริ่มต้นและจุดจบ?”

เฉินผิงอันไม่ได้ให้คำตอบ

ตอนที่เฉินผิงอันควักกุญแจออกมาไขเปิดประตูบ้านบรรพบุรุษ ชุยตงซานก็ยิ้มถามว่า “ถ้าอย่างนั้นอาจารย์เคยคิดถึงปัญหาข้อหนึ่งหรือไม่ เรื่องบางอย่างที่ยุ่งเหยิงดุจเชือกที่พันกัน เกี่ยวอะไรกับอาจารย์ด้วย?”

เฉินผิงอันเปิดประตูแล้วก็ยิ้มตอบว่า “ขอคิดดูอีกหน่อยแล้วกัน”

เปิดประตูห้องออกแล้ว เฉินผิงอันก็หยิบม้านั่งตัวเล็กออกมาสองตัว

ชุยตงซานนั่งลงแล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “บนภูเขามีคำพูดประโยคหนึ่งที่ง่ายจะทำให้เกิดความคลุมเครือ ‘ฝึกตนบนภูเขามีสาเหตุ ที่แท้ล้วนเป็นเมล็ดพันธ์เทพเซียน’”

เฉินผิงอันเอ่ย “เคยได้ยินมาก่อน”

ชุยตงซานกล่าว “คนปกติได้ยินแล้วก็แค่จะรู้สึกว่าฟ้าดินไม่ยุติธรรม ปฏิบัติต่อตนอย่างเฉยชา คนที่คิดแบบนี้ อันที่จริงไม่ใช่เมล็ดพันธ์ที่เทพเซียนปลูก นอกเหนือจากความเจ็บแค้นแล้ว เอาเข้าจริงยังรู้สึกเศร้าเสียใจกับตัวเองด้วย นี่ต่างหากจึงจะเป็นสิ่งที่สมควรที่สุด”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่ตอบ เขาใช้ปลายเท้าวาดวงกลมวงหนึ่งที่มีช่องโหว่เล็กมากจุดหนึ่งไว้บนพื้นดินของลานบ้าน จากนั้นก็วาดวงกลมที่ใหญ่กว่าไว้ด้านนอก “จำเป็นต้องมีทางให้เดิน ทุกคนจึงจะมีโอกาสให้เลือก”

คราวนี้กลายเป็นชุยตงซานที่ต้องเงียบบ้าง เขาเงียบไปพักใหญ่ แล้วถึงได้เปิดปากเอ่ยเนิบช้าว่า “นอกจากครั้งแรก ชีวิตของอาจารย์หลังจากนั้นมา อันที่จริงก็ไม่เคยได้เจอกับความสิ้นหวังที่แท้จริงมาก่อน”

เฉินผิงอันไม่ตอบ เขาสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมเอวน้อยๆ มองไปยังตรอกหนีผิงนอกประตูที่เปิดอ้าไว้

ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “ยกตัวอย่างเช่นปีนั้น สุดท้ายแล้วหลิวเสี้ยนหยางก็ต้องตายอยู่ดี”

ชุยตงซานเอ่ยอีกว่า “ยกตัวอย่างเช่นแท้จริงแล้วฉีจิ้งชุนต่างหากที่เป็นผู้บงการ อยู่เบื้องหลัง เป็นคนที่วางแผนเล่นงานอาจารย์ได้อย่างลึกล้ำที่สุด”

แล้วก็พูดต่ออีกว่า “หรือยกตัวอย่างเช่นกู้ช่านทำให้อาจารย์รู้สึกว่าเขาสำนึกผิดแล้ว อีกทั้งยังพยายามปรับตัวแก้ไข ทว่าภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าที่แท้ไม่ใช่เช่นนี้ หรือยกตัวอย่างเช่นครั้งแรกที่เผยเฉียนกลับไปยังพื้นที่มงคลรากบัวก็ฆ่าเฉาฉิงหล่างตาย จากนั้นก็เลือกที่จะรอความตาย เดิมพันว่าอาจารย์จะไม่มีทางฆ่านาง”

ในที่สุดเฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมา ข้ามีคำพูดในใจบางอย่าง หากไม่เอ่ยออกมาคงอึดอัดแย่”

ชุยตงซานจึงใช้กระบี่บินวาดบ่อสายฟ้าสีทองบ่อหนึ่ง

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ เดินวนเป็นวงกลมอยู่ในลานบ้านพลางเอ่ยเสียงเบาว่า “หลังจากที่อาจารย์ฉีตายไปแล้ว แต่กลับยังคงคอยปกป้องมรรคาให้ข้า เพราะบนร่างของข้ามีศึกสามลัทธิที่อาจารย์ฉีจงใจให้เกิดขึ้นอยู่ ข้อนี้ ข้ารู้ดี”

ชุยตงซานลุกพรวดขึ้นยืน “อาจารย์ไม่ควรรู้ความจริงเร็วขนาดนี้!”

เฉินผิงอันหันหน้ามามองชุยตงซาน พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “วางใจเถอะ ข้าฉลาดมาก แล้วก็เยือกเย็นมาก ดังนั้นอาจารย์ฉีไม่มีทางแพ้ ข้าเฉินผิงอันเอง ก็เหมือนกัน”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version