บทที่ 57 น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
เมื่อขยับเข้ามาใกล้เมืองเล็ก ผู้ฝึกตนสำนักการทหารของเขาเจินอู่ก็ปล่อยไหล่ของหม่าขู่เสวียน หม่าขู่เสวียนรู้สึกเวียนหัวตาลายเล็กน้อย เขาสลัดศีรษะ เอ่ยถามว่า “รู้หรือไม่ว่าใครที่เกิดปัญหา? หรือว่าพ่อ ไม่ก็ลุงของข้าเอาสมบัติในบ้านมาให้คนต่างถิ่นดู คนต่างถิ่นถูกใจ แต่คนหนึ่งไม่ยอมขาย อีกคนหนึ่งจะบังคับเอา ผลกลับกลายเป็นว่าก่อปัญหาใหญ่โตพอๆ กับหลิวเสี้ยนหยาง?”
ชายสะพายกระบี่พาหม่าขู่เสวียนเดินขึ้นหน้าไปเร็วๆ พลางส่ายหัวไปด้วย “ที่วานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงลงมืออย่างเหี้ยมหาญโดยไม่เสียดายว่าจะทำลายกฎเกณฑ์ของที่แห่งนี้ ความล้ำค่าของคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นคือสาเหตุส่วนหนึ่ง แต่สาเหตุที่สำคัญที่สุดก็ยังเป็นเพราะเขาตะวันเที่ยงมีความแค้นเก่ากับสวนลมฟ้า หาไม่เป็นเพราะเฉินซงเฟิงแห่งสวนลมฟ้าตามมาถึงที่เมืองเล็ก วานรย้ายภูเขาตัวนั้นย่อมไม่มีทางลงมือโหดร้ายขนาดนี้แน่ ฉะนั้นเมื่ออยู่ในเมืองแห่งนี้ ต่อให้ผู้ฝึกตนจะลงมือก็ไม่กล้าทำอะไรโจ่งแจ้งเกินไปนัก จะอย่างไรเสียท่านฉีที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้ก็…”
ชายวัยกลางคนพลันหยุดพูด ทอดสายตามองไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล ตรงนั้นมีแมวป่าสีดำปลอดตัวหนึ่งนั่งอยู่ พอมันมองเห็นหม่าขู่เสวียนก็แผดเสียงร้องทันที รอจนหม่าขู่เสวียนมองเห็นมัน เจ้าแมวป่าก็เริ่มวิ่งแผล็วไปทางตรอกซิ่งฮวา
หม่าขู่เสวียนหน้าเผือดสีไปทันที แล้วก็ห้อตะบึงตามแมวป่าบนหลังคาไปราวกับเป็นบ้า
ชายวัยกลางคนนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงถอนหายใจหนึ่งครั้ง แล้วเดินตามหลังเด็กหนุ่มไปอย่างไม่รีบไม่ร้อน ทว่ากลับไม่ทิ้งระยะห่างกับหม่าขู่เสวียน
หม่าขู่เสวียนวิ่งมาจนถึงตรอกที่ตัวเองคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด เมื่อเขามองเห็นประตูหน้าบ้านเปิดอ้า เด็กหนุ่มที่ใจกล้าไม่เกรงฟ้าไม่เกรงดินกลับหยุดฝีเท้าอยู่นอกประตู ไม่มีความกล้าที่จะข้ามธรณีประตูเข้าไป
เด็กหนุ่มรู้ดีว่าตั้งแต่ต้นยันปลายปีประตูบ้านของตัวเองแทบจะไม่เคยเปิดอ้าไว้นานขนาดนี้ เพราะท่านย่าชอบพร่ำท่องหลักการข้อหนึ่งอยู่ตลอดเวลาว่า คนยากจนไม่เอาถ่านของตรอกซิ่งฮวามีมากที่สุด เพียงแต่ว่าคนจนมักมีปณิธานต่ำ ม้าผอมมักมีขนยาว (เปรียบเปรยว่าเมื่อพบเจอกับสภาพที่ยากลำบากทำให้จิตใจผู้คนไม่ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่า) จึงง่ายที่บ้านเราจะถูกคนอิจฉา ดังนั้นจำไว้ว่าต้องใส่กลอนประตูบ้านให้แน่นหนา หาไม่แล้วโจรจะหมายตา
หม่าขู่เสวียนที่ตาแดงก่ำเดินเข้าไปในลานบ้าน ประตูห้องโถงหลักก็ไม่ได้ปิด
หม่าขู่เสวียนมองเห็นเรือนกายผอมแห้งที่คุ้นเคยเรือนกายหนึ่งนอนกองอยู่บนพื้น
แมวป่าสีดำตัวนั้นนั่งอยู่บนธรณีประตู ส่งเสียงร้องน่าขนลุกไม่หยุด
“อย่าเข้าไป!”
ชายสะพายกระบี่ยื่นมือไปกดบ่าเด็กหนุ่มเอาไว้ ออกคำสั่งว่า “เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ต้องสงบใจไว้ให้ได้!”
หม่าขู่เสวียนข่มกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหล สูดลมหายใจเข้าลึกอย่างต่อเนื่อง ชะลอฝีเท้า เอ่ยเรียกเบาๆ “ท่านย่า?”
ผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารเดินนำไปถึงข้างกายของหญิงชราก่อน ยื่นนิ้วมือสองข้างไปอังใต้จมูกของหญิงชรา ไม่มีลมหายใจแล้ว
แมวดำตัวนั้นตกใจรีบเผ่นพรวดเข้าไปในห้อง
ชายสะพายกระบี่ครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็เงยหน้าขึ้นหันไปพูดเสียงหนักกับหม่าขู่เสวียนที่ยืนอยู่นอกประตู “หยุดอยู่ตรงนั้น! เจ้าเกิดมาก็มีธาตุหยางหนักหน่วง หากขยับเข้ามาใกล้อีกก้าว ต่อให้ย่าของเจ้ายังเหลือวิญญาณส่วนหนึ่งล่องลอยอยู่ในห้องก็ต้องถูกเจ้าทำลายจนแหลกสลาย!”
เด็กหนุ่มพยายามเกร็งใบหน้าที่ดำเกรียมของตัวเองเพื่อข่มกลั้นไม่ให้ตัวเองปล่อยเสียงร้องไห้ออกมา
ชายวัยกลางคนตัดสินใจเด็ดขาด กุมตราพยัคฆ์ตรงเอวของตัวเองแล้วเอ่ยเสียงทุ้มหนัก “ท่านฉี เรื่องนี้ไม่อาจมองข้าม ท่านมีกฎของท่าน ข้าก็มีความลำบากใจของข้า หวังว่าหลังจากนี้ท่านจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องนี้”
หลังจากพูดประโยคเหล่านี้จบ พลังอำนาจทั่วร่างของบุรุษผู้นี้ก็แปรเปลี่ยน ชายอาภรณ์โบกสะบัด เส้นผมปลิวไสว หลังจากท่องคาถาบางอย่างที่ยากจะเข้าใจท่อนหนึ่ง สุดท้ายก็จบด้วยห้าคำว่า “เขาเจินอู่ขอเชิญ!”
หม่าขู่เสวียนหันกลับไปมองด้วยสีหน้าทึ่มทื่อ
เห็นเพียงว่าองค์เทพเกราะทองสูงจั้งกว่าองค์หนึ่งเยื้องกรายลงมาจากฝ่า หมัดทั้งคู่ทุบลงบนหน้าอกเสียงดังราวฟ้าผ่า “ทายาทเจินอู่ มีคำสั่งใด?”
“สถานที่แห่งนี้ห้ามใช้เวทคาถา แถมข้ายังไม่เชี่ยวชาญเรื่องกักกันดวงวิญญาณ ดังนั้นจึงขอให้เจ้าช่วยตรวจสอบบริเวณรอบๆ บ้านหลังนี้ หากพบดวงวิญญาณที่ล่องลอยของหญิงชราผู้นี้ก็จงเก็บมาไว้ จำไว้ว่าห้ามทำลายรากฐานของดวงวิญญาณนางเด็ดขาด”
องค์เทพเกราะทองผู้นั้นเงียบงันไปครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยังพยักหน้ารับ “รับบัญชา!”
แสงสีทองสลายหายไป มองไม่เห็นขุนพลเทพอีก
—-
จวนผู้ตรวจการงานราชการเตาเผา เฉินซงเฟิงลูกหลานสกุลเฉินแห่งเมืองหลงเหว่ยกำลังก้มหน้าก้มตาพลิกอ่านเอกสรคดีอยู่ในห้องที่กว้างขวาง ข้างฝ่าเท้าวางลังไม้ลงสีชาดไว้ใบหนึ่ง ด้านในบรรจุตำราโบราณที่เปลี่ยนเป็นสีเหลืองอยู่เกินครึ่งลัง หญิงสาวเฉินตุ้ยหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากในลังไม้ ยืนอยู่ตำแหน่งใกล้กับหน้าต่างที่ห่างไปไม่ไกล ค่อยๆ พลิกเปิดไปทีละหน้า
พ่อบ้านชราของจวนผู้ตรวจการนั่งดื่มชาอยู่บนเก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง หลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่แห่งสวนลมฟ้านั่งชวนคุยอยู่ตรงข้ามกับผู้เฒ่า พ่อบ้านชราที่ยังมีท่าทางกระฉับกระเฉงกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “เรื่องมันจะบังเอิญอะไรขนาดนี้ หลี่หงของจวนตระกูลหลี่มาเยือนจวนผู้ตรวจการของเราด้วยตัวเอง พอเปิดปากก็บอกว่าต้องการเอกสารของสกุลเฉินแต่ละสายที่อยู่ในเมืองของเรา อีกทั้งยังเอาแค่เอกสารสำมะโนครัวในช่วงสามสี่ร้อยปีล่าสุดเท่านั้น ท่านอ๋องพยักหน้าตกลงแล้ว ข้าจึงให้หลี่หงพาคนมายกหนังสือเจ็ดสิบแปดสิบเล่มที่อยู่ข้างบนลังนั่นไป เล่มที่เหลืออยู่ข้างล่างนี้มีอายุเก่าแก่มากกว่า คือปฏิทินเหลืองที่พวกคุณชายเฉินต้องการพอดี จะว่าไปแล้วหากไม่เป็นเพราะจวนตรวจการมีกฎระเบียบว่าต้องเอาหนังสืออกมาตากแดดทุกช่วงฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วงของทุกปี ป่านนี้ก็คงถูกมอดถูกปลวกแทะเกลี้ยงไปนานแล้ว”
เฉินตุ้นที่ยืนอยู่ข้างหน้าต่างไม่แม้แต่จะเงยหน้า เพียงถามเสียงเรียบว่า “ได้ยินมาว่าคนแซ่เฉินในเมืองตอนนี้ล้วนกลายมาเป็นบ่าวรับใช้ของสี่แซ่สิบตระกูลของถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่หมดแล้ว คนแซ่เฉินบางคนยังถึงขั้นเป็นลูกบ่าวของตระกูลใหญ่โตพวกนี้ ไม่เพียงแต่ต้องโขกหัวคุกเข่าให้ผู้อื่นมาหลายรุ่นหลายสมัย เวลาเจอกับพวกชาวบ้านในเมืองยังอวดเบ่งด้วยความภาคภูมิใจอีกด้วย?”
พ่อบ้านวัยชรารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย “สี่แซ่สิบตระกูล” หรือ “ตระกูลใหญ่โต” ที่หญิงสาวคนนี้เอ่ยถึงคือตระกูลยิ่งใหญ่ที่สืบทอดมานานนับพันปีอย่างแท้จริง ตอนนี้หลานชายคนโตสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยกำลังนั่งอยู่ตรงนั้น พลิกเปิดตำราอ่านไม่พูดไม่จาราวกับข้ารับใช้ ส่วนหญิงสาวที่แซ่เฉินเหมือนกันผู้นี้กลับมีท่าทางผ่อนคลายสบายใจ ถ้าเช่นนั้นตัวตนที่แท้จริงของนางจะสูงส่งแค่ไหน พ่อบ้านที่เปี่ยมล้นไปด้วยประสบการณ์แค่ใช้หัวเข่าคิดก็พอจะรู้ได้
แม้พ่อบ้านวัยชราจะไม่ได้เลี้ยงข้าทาสแซ่เฉินอะไรเอาไว้ แต่ก็มีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับคนตระกูลใหญ่ซึ่งเป็นดั่งอันธพาลผู้กดขี่ประชาชนของเมืองมาโดยตลอด เขาจึงไม่คิดจะไปหาเรื่องมังกรข้ามนที (เปรียบเปรยถึงคนต่างถิ่นที่มาพร้อมกับอิทธิพลและอำนาจ) ที่ดุดันให้กับทุกคนเพียงเพราะตนรับมือกับเรื่องนี้ได้ไม่เหมาะสม
ดังนั้นหลังจากที่ใคร่ครวญคำพูดอย่างระมัดระวังแล้ว ผู้เฒ่าจึงวางถ้วยชาลายน้ำแข็งแตกถ้วยนั้นลงแล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “คุณหนูเฉิน นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ตามคำพูดของอดีตผู้ตรวจการท่านหนึ่งของเราที่เคยกล่าวไว้ ช่วงแรกเริ่มสุดเมืองแห่งนี้มีสกุลเฉินที่มีบรรพบุรุษต้นตระกูลต่างกันสองสาย สายหนึ่งในนั้นย้ายถิ่นฐานออกจากเมืองไปเมื่อนานมากแล้ว ไม่ได้ทิ่งลูกหลานรุ่นหลังไว้ในเมืองเลย เพียงแต่ได้ข่าวว่าตอนที่สกุลเฉินสายนี้จะย้ายออกไปจากเมืองได้ทิ้งคนเฝ้าสุสานไว้โดยเฉพาะ ด้วยเวลาผ่านมานานเกินไป จึงไม่มีหลักฐานให้สืบไปถึงคนสกุลเฉินที่รับผิดชอบปัดกวาดจุดธูปไหว้สุสานครอบครัวนั้นอีกแล้ว ส่วนสกุลเฉินอีกสายหนึ่ง ในอดีตเมื่อนานมาแล้วก็เป็นหนึ่งในสกุลใหญ่เช่นกัน ซ้ำยังอยู่ในลำดับต้นๆ ด้วย น่าเสียดายก็แต่บนโลกนี้ไม่มีอะไรที่แน่นอน หลังจากผ่านอุปสรรคทั้งในและนอกมาหลายครั้ง ก็เริ่มเสื่อมถอยลง โดยเฉพาะเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมา ก็เหมือนอย่างที่คุณหนูเฉินพูดนั่นแหละ พวกเขารุ่นหลังๆ ไม่อาจสู้รุ่นก่อนหน้าได้อีก ทีนี้จึงไม่มีคนสกุลเฉินที่ก่อร้างสร้างครอบครัวขึ้นมาได้อีก…ไม่ถูกสิ ข้านึกออกแล้ว ยังเหลือต้นหญ้าโดดเดี่ยวอีกต้นหนึ่ง น่าจะเป็นสกุลเฉินเพียงหนึ่งเดียวในเมืองที่ตอนนี้ไม่ได้พึ่งพาสี่แซ่สิบตระกูล พ่อของเด็กคนนั้นมีฝีมือเผาเครื่องปั้นดียอดเยี่ยม ยังเคยได้รับคำชมจากใต้เท้าผู้ตรวจการสองสมันอดีตด้วย ข้าถึงจำได้อย่างชัดเจน เพียงแต่ว่าเขาตายเร็วเกินไป ตอนนี้ลูกชายของเขามีชีวิตอย่างไร ข้าก็ไม่อาจรู้ได้ แต่จะว่าไปแล้ว เอาเท่าที่แค่ข้าเคยเห็น เคยได้ฟังมา โดยภาพรวมแล้วสิ่งที่คนที่นี่ปฏิบัติต่อทายาทรุ่นหลังของสกุลเฉินก็นับว่าไม่แล้ว โดยเฉพาะแซ่ซ่งกับแซ่จ้าวสองแซ่นี้ พ่อบ้านในจวนพวกเขาต่างก็แซ่เฉิน แม้ในนามจะเป็นนายกับบ่าว แต่แท้จริงแล้วกลับมีความสัมพันธ์ไม่ต่างจากคนในครอบครัวเดียวกัน”
หลังจากพูดเรื่องเก่ายิบย่อยเหล่านี้รวดเดียวจบ พ่อบ้านวัยชราก็เอี้ยวตัวไปหยิบถ้วยชาขึ้นมาดื่ม
เฉินตุ้ยยิ้มพลางพยักหน้า “พ่อบ้านเซวียคือคนที่เข้าใจเรื่องราวอะไรดี มิน่าเล่าถึงสามารถควบคุมจวนตรวจการตั้งแต่บนยันล่างได้ดั่งใจปรารถนา”
รอยยิ้มของพ่อบ้านวัยชราเริ่มสยายออก “คุณหนูเฉินชมเกินไปแล้ว คนอย่างข้าก็แค่รู้เรื่องที่ตัวเองถนัดเล็กน้อยเท่านั้น ดังนั้นจึงมีเพียงทุ่มเทพยายามอย่างสุดความสามารถ ชีวิตต้องเหนื่อย ชีวิตต้องเหนื่อยเท่านั้น”
เฉินตุ้ยยิ้มรับ ก่อนจะย้ายสายตาไปมองเฉินซงเฟิงที่นั่งสำรวมแล้วเอ่ยเสียงเย็น “หากไม่ได้จริงๆ ก็พลิกคว่ำลังใบนั้นไปเลย เริ่มอ่านจากหนังสือที่อยู่ด้านล่างสุดขึ้นมา คำพูดเมื่อครู่นี้ของพ่อบ้านเซวีย เจ้าไม่ได้ยินหรือ? นับพันปีที่ผ่านมา หนังสือเอกสารของเมืองมีแค่ที่เกี่ยวกับสกุลเฉินอีกสายหนึ่งเท่านั้น หากข้าจำไม่ผิด สกุลเฉินสายที่อยู่ในเมืองแห่งนี้ถือว่ามีบรรพบุรุษต้นตระกูลเดียวกับสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของพวกเจ้า ทำไม พลิกไปพลิกมา หนังสือลำดับวงศ์ตระกูลตั้งแต่ต้นจนจบของทุกเล่ม มีเล่มไหนบ้างที่ไม่ใช่ทาส ไม่ใช่สาวใช้ สนุกนักหรือไง?”
หน้าผากของเฉินซงเฟิงผุดเหงื่อเม็ดเล็ก ริมฝีปากซีดขาวเล็กน้อย แต่กลับไม่กล้าตอบโต้แม้แต่คำเดียว ได้แต่รีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ โน้มตัวลงไปคว่ำลังแล้วย้ายหนังสือออกมา
พ่อบ้านวัยชราของจวนรีบยืดหลังตรงทันที ไม่เหลือท่าทางผ่อนคลายอีกต่อไป
หลิวป้าเฉียวทนมองต่อไปไม่ไหวจริงๆ เฉินซงเฟิงนิสัยอ่อนโยนก็จริง แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นถึงว่าที่ประมุขสกุลเฉินของเมืองหลงเหว่ยในอนาคต ไม่ว่าเจ้าเฉินตุ้ยจะมีภูมิหลังมีที่มาอย่างไร จะเป็นคนสำนักเดียวกันหรือตระกูลเดียวกันหรือไม่ อย่างน้อยความเคารพที่พึงมีก็ไม่ควรละเลย หลิวป้าเฉียวจึงต้องเอ่ยเตือนเสียงขรึม “เฉินตุ้น ถ้าข้าไม่ได้ตาบอดก็มองออกว่าตอนนี้เฉินซงเฟิงกำลังช่วยเจ้า ต่อให้เจ้าไม่รับน้ำใจก็อย่าได้พูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้!”
เฉินซงเฟิงรีบเงยหน้าขยิบตาให้หลิวป้าเฉียว ฝ่ายหลังถลึงตากลับคืน “ขนาดฮ่องเต้ยังมีญาติยากจนอยู่หลายคน ทำไม มีใครเป็นข้อยกเว้นงั้นหรือ?! ดี ต่อให้ใครบางคนจะเป็นข้อยกเว้น แต่จะดูถูกคนอื่นได้หรือไง?”
ตรงมาก็ตรงกลับ
นี่ก็คือนิสัยที่แท้จริงของหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้า
สีหน้าเฉินซงเฟิงเต็มไปด้วยความขมขื่น
พ่อบ้านชราก้มหน้าดื่มชา แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยิน
เฉินตุ้ยอึ้งไปครู่ ก่อนยิ้มน้อยๆ “มีเหตุผล”
คราวนี้กลับกลายเป็นหลิวป้าเฉียวบ้างที่ทำตัวไม่ถูก
เฉินตุ้ยวางตำราในมือลงบนโต๊ะ คิดว่าจะออกไปสูดอากาศนอกห้องสักหน่อย แน่นอนว่าพ่อบ้านเซวียต้องพยายามทำหน้าที่เจ้าบ้านที่ดี เพียงแต่ว่าถูกหญิงสาวแซ่เฉินปฏิเสธอย่างอ่อนโยน
เฉินตุ้ยเดินออกมาจากห้องด้านข้างของจวนผู้ตรวจการ ยืนอยู่บนระเบียงทอดสายตามองทิศไกล
นอกห้องโถงใหญ่ของจวนผู้ตรวจการมีลานกว้างที่กินอาณาบริเวณไม่เล็กอยู่แห่งหนึ่ง ตรงลานมีป้ายหินที่ตั้งอยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่พอดี บนป้ายเขียนอักษรโบราณขนาดใหญ่คำว่าไว้เยว่ (岳)ที่แปลว่าขุนเขาไว้ตัวหนึ่ง นี่ไม่ใช่เรื่องแปลก ราชวงศ์และแคว้นหัวเมืองในโลกมนุษย์ต่างก็มีกฎระเบียบอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือต้องตั้งขุนเขาห้าแห่งที่อยู่ในเขตพื้นที่ของตัวเองเป็นอู่ชิวห้าขุนเขาในทิศออกตกเหนือใต้และกลาง หน้าประตูขึ้นเขาต้องมีตัวอักษรสองตัวที่เป็นลายพระหัตถ์ของจักรพรรดิผู้บุกเบิกแว่นแคว้น และคำว่าเยว่[1] นี้ก็ต้องเขียนด้วยตัวอักษรโบราณเท่านั้น
คำอธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ของปัญญาชนรุ่นหลังและปรมาจารย์ด้านการฝึกตนทั้งหลายมีหลายร้อยหลายพันรูปแบบ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงนั้นคืออะไร เกรงว่าคงหายไปในฝุ่นผงของประวัติศาสตร์นานแล้ว
เฉินตุ้ยมองแผ่นหลังหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่ของคนสองคนที่กำลังนั่งพูดคุยกันเบาๆ อยู่บนบันไดหินขาว
นางลังเลเล็กน้อยก็เดินเข้าไปหาช้าๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่ามาแอบฟัง ตอนที่เดินไปบนบันไดด้านหลังของคนทั้งสอง เฉินตุ้ยจึงจงใจกระแอมเบาๆ หนึ่งที ไม่คิดว่าสองคนนั้น คนหนึ่งพูดติดลม ส่วนอีกคนก็ตั้งใจฟังราวกับไม่รู้รับถึงการปรากฎตัวของเฉินตุ้ยเลยแม้แต่น้อย เฉินตุ้ยเองก็ไม่ถือสากับเรื่องนี้ นางเดินไปนั่งลงบนบันไดที่อยู่ไกลที่สุด แม้จะเป็นการนั่งผ่อนคลายอย่างไม่ใส่ใจ ทว่าท่านั่งของนางก็ยังคงแผ่นกลิ่นอายของความเรียบร้อยอย่างหนึ่งออกมาโดยไม่รู้ตัว
หนึ่งผู้ใหญ่หนึ่งเด็กคุยกันด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปบูรพา เฉินตุ้ยฟังเข้าใจ หาไม่แล้วนางก็คงไม่มาที่เมืองแห่งนี้ เพียงแต่ว่าหากให้พูดออกจะยากลำบากอยู่บ้าง ดังนั้นตลอดทางที่เดินทางมาพร้อมกับเฉินซงเฟิงและหลิวป้าเฉียว นางจึงเก็บปากเก็บคำมาโดยตลอด แน่นอนว่าสาเหตุหลักที่นางไม่อยากพูดก็เพราะรู้สึกว่าคุยกับเฉินซงเฟิงและหลิวป้าเฉียวไม่รู้เรื่อง จึงไม่อยากเปิดปากพูด
ภายนอกหลิวป้าเฉียวดูเหมือนคนเยาะเย้ยถากถางสังคม แต่ลึกๆ แล้วกลับตั้งใจฝึกฝนวิถีกระบี่อย่างมาก มองดูเหมือนน่าสนใจ แต่แท้จริงแล้วน่าเบื่อ ส่วนเฉินซงเฟิงนั้นก็ใจคิดแต่จะสร้างชื่อเสียงและบารมีให้แก่ตระกูล มองดูเหมือนเรียบง่าย แต่แท้จริงแล้วกลับคิดมาก ทั้งสองคนที่มีชื่อเสียงว่าโดดเด่นทั้งหน้าตาและความสามารถของแจกันสมบัติทวีปบูรพาล้วนไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกับนาง วิถีแตกต่างย่อมไม่อาจร่วมทาง (หมายถึงเส้นทางเดินไม่เหมือนกัน อุดมการณ์แตกต่างกันย่อมไม่อาจคบหรือร่วมงานกันได้) ก็เป็นฉะนี้แล
เด็กหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่แก่กว่าตนประมาณสิบปี
เฉินตุ้ยนั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีว่าจะเปิดปากพูด
แต่จากการเหลือบตามองแวบเดียวเมื่อครู่นี้กลับค้นพบว่าในมือของเด็กหญิงถือน้ำเต้าสีเขียวมรกตเป็นประกายใสแวววาวลูกหนึ่ง ดวงตาของเฉินตุ้ยฉายประกายร้อนแรง เพียงมองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่วัตถุธรรมดา
เด็กหนุ่มที่สวมอาภรณ์งดงามหรูหราและเด็กหญิงที่หน้าตาดั่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบก็คือซ่งจี๋ซินแห่งตรอกหนีผิงกับเถาจื่อแห่งเขาตะวันเที่ยง
ก่อนหน้านี้ซ่งจี๋วินไปเยี่ยมเยียนที่จวนตระกูลหลี่พร้อมกับซ่งจ่างจิ้ง พอเห็นเด็กหญิงก็ชื่นชอบนางทันที เพราะตั้งแต่เด็กมาเขาก็ชอบสิ่งของที่ประณีตงดงามอยู่แล้ว หากเป็นวัตถุเรียบง่ายหยาบกระด้างจะไม่เข้าตาของเขาเลย เถาจื่อเองก็ถูกชะตากับซ่งจี๋ซินอย่างมาก จู่ๆ คนทั้งสองจึงกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ประเด็นสำคัญคือแม้จะมีความต่างของอายุกางกั้น แต่กลับยังพูดคุยกันอย่างถูกคอ ซ่งจี๋ซินยังถึงขั้นรู้สึกว่าตัวเองปฏิบัติต่อสหายคนใหม่อย่างสุกเอาเผากินเกินไป จึงเป็นเหตุให้สุดท้ายเขาขอร้องให้ซ่งจ่างจิ้งอาของเขาบังคับคนตระกูลหลี่ปล่อยตัวนางมา ตนจะได้พาเถาจื่อมาเล่นที่จวนตรวจการ ซ่งจี๋ซินไม่สนใจว่าคนของตระกูลหลี่จะมีร้อนใจมากแค่ไหน เพียงจับมือเด็กหญิงพาออกมาจากจวนตระกูลหลี่ ขณะเดียวกันก็ให้คนเอาคำพูดไปบอกจื้อกุยสาวใช้ที่อยู่ในบ้านหลังเล็ก บอกให้นางหาน้ำเต้าสีเขียวมรกตในลังออกมามอบเป็นของขวัญพบหน้าแก่เถาจื่อ
เด็กสาวสนิทสนมกับซ่งจี๋ซินอย่างมาก นางถามอ้อนๆ ว่า “พี่ปันไฉ เมื่อครู่นี้ท่านพูดถึงซุ้มสำนักศึกษาที่อยู่ในซุ้มหินสิบสองชนิด ก่อนหน้าที่ข้าจะมาที่นี่เคยได้ยินท่านปู่คุยกับคนอื่นว่า สำนักศึกษาซานหยาของต้าหลีพวกมัน ตอนนี้มีสภาพชวนสังเวชยิ่งนัก ท่านรู้ไหมว่าบนซุ้มประตูของสำนักศึกษาซานหยาเขียนไว้ว่าอย่างไร?”
เพราะชื่อสองตัวสุดท้ายของซ่งจี๋ซิน (จี๋ซินแปลว่าเก็บรวบรวมฟืนไม้ ส่วนปันไฉก็แปลว่าย้ายฟืน) เถาจื่อจึงเพิ่มฉายาให้เขาเป็นพี่ปันไฉ ซ่งจี๋ซินไม่ว่าอะไร และเวลานี้ก็ไม่สนใจว่าหญิงสาวต่างถิ่นผู้นั้นจะอยู่หรือไป เขาก้มหน้ายิ้มให้เด็กหญิง “ไม่รู้หรอก ตลอดชีวิตที่ผ่านมาข้ายังไม่เคยออกไปนอกเมืองเลย หนังสือก็เรียนมาไม่มาก คุยกับเจ้ามานานขนาดนี้ ความรู้ในหัวของข้าก็ถูกควักออกไปพอสมควรแล้ว”
เด็กหญิงถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าท่านปู่หยวนที่อยู่ข้างนอกหาคนเจอหรือยัง?”
ซ่งจี๋ซินยิ้ม ก้มหน้าตบชายชุดคลุมผ้าฝ้าย นาทีนั้นสายตาของเขาฉายแววซับซ้อน
เฉินตุ้ยที่อยู่ห่างไปไกลพลันเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “แม่นางน้อย น้ำเต้าลูกนี้ของเจ้าบางครั้งจะส่งเสียงออกมาใช่หรือไม่?”
เด็กหญิงหันไปมอง ชูมือยกน้ำเต้าขึ้นสูง ยิ้มตาหยี “พี่ปันไฉมอบให้ข้าแหละ”
ตอบไม่ตรงคำถาม
เฉินตุ้ยจึงได้แต่ยิ้มรับ
ซ่งจี๋ซินพูดเหมือนไม่ใส่ใจ “ทุกครั้งที่ฝนตกฟ้าร้องจะมีเสียงดังหวึ่งๆ”
เฉินตุ้ยพยักหน้ารับ “คือน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จริงๆ ด้วย”
ซ่งจี๋ซินคลางแคลงใจเล็กน้อย
เด็กหญิงแห่งเขาตะวันเที่ยงรีบพูดเหมือนกลัวคนแย่ง “ข้ารู้ๆ ที่บ้านข้ามีน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อยู่สามลูก ท่านปู่ข้ามีหนึ่งลูก สีเทาหม่นมัว น่าเกลียดจะตาย ของท่านปู่หลิวแห่งยอดเขาไท่ป๋ายน่ารักที่สุด อันเล็กๆ เท่าฝ่ามือ จะมีกระบี่บินเล่มเล็กหลายสิบเล่มบินออกมาดังสวบๆๆ ของพี่หญิงซูไม่ใหญ่ไม่เล็ก สีม่วงปนทอง น่าเสียดายที่เวลาปกติพี่หญิงซูไม่ค่อยชอบเอาออกมา ข้าต้องขอร้องนางตั้งหลายครั้งกว่าจะได้ลูบคลำ แปบเดียวพี่หญิงซูก็เก็บไปซ่อนไว้เหมือนเดิม”
เฉินตุ้ยอธิบาย “แม่นางน้อย เจ้าอย่าไปตำหินพี่หญิงซูของเจ้าเลย น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองหาได้ยากยิ่งในบรรดาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ทั้งหมด สามารถอยู่ในสามอันดับแรกได้ เกรงว่าทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพาคงมีอยู่ในมือนางเพียงลูกเดียว อีกทั้งน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ม่วงทองที่หากเทียบกับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกอื่นๆ แล้ว แม้ว่าจะเลี้ยงกระบี่ได้ยอดเยี่ยมที่สุด แต่ข้อเสียก็คือเปราะบางเกินไป ง่ายที่จะถูกอาวุธแหลมคมแทงทะลุ”
จื่อเถาเอาน้ำเต้าสีเขียวกลับมากอดอีกครั้ง “แล้วลูกนี้ของข้าล่ะ?”
เฉินตุ้ยยิ้ม “รู้แค่ว่าล้ำค่ามากก็พอ”
เด็กหญิงกระตุกชายแขนเสื้อของซ่งจี๋ซิน กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “พี่ปันไฉ ท่านจะเอาคืนไหม?”
ซ่งจี๋ซินลูบศีรษะเด็กหญิง สายตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู ตอบพร้อมหัวเราะร่า “อย่าว่าแต่น้ำเต้าเล็กลูกนี้เลย ต่อให้ในมือข้ายังมีอีก ข้าก็ยังยินดีจะมอบให้เจ้าทั้งหมด”
เฉินตุ้ยนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงกล่าวว่า “ในประวัติศาสตร์ที่สืบทอดต่อกันมา มีครั้งหนึ่งที่หอสมบัติฟ้าดินจัดงานประมูล วัตถุที่ถูกประมูลเป็นชิ้นรองสุดท้ายก็คือเถาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนต้นหนึ่ง บนต้นน้ำเต้านั้นมีผลน้ำเต้าเล็กๆ อยู่แล้วหกผล ว่ากันว่าก่อนหน้าที่บรรพจารย์เต๋าจะบรรลุเป็นเซียน ได้ปลูกต้นอ่อนของมันไว้ในใต้หล้าของพวกเรา ไม่รู้ว่าผ่านไปกี่พันปีถึงมีน้ำเต้าเล็กๆ พวงนั้นออกผลมาได้ ขนาดของพวกมันไม่เท่ากัน สีสันก็แตกต่าง มหัศจรรย์อย่างยิ่ง”
ซ่งจี๋ซินทอดถอนใจ “หนึ่งโลกธาตุขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยความลี้ลับมหัศจรรย์”
—-
[1] เยว่ (岳) สามารถแยกออกมาเป็นตัวอักษรสองตัวคือคำว่า 丘 ชิวที่แปลว่าเนิน และ 山 ซานที่แปลว่าภูเขา เยว่ 岳 จึงหมายถึงขุนเขาที่สูงมาก