บทที่ 570 เจ้าขุนเขาต้องออกเดินทางไกลอีกแล้ว
เมื่อศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วสร้างเสร็จ สิ่งปลูกสร้างอื่นๆ บนยอดเขาจี้เซ่อก็ก่อสร้างตามมา นี่ก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลดีแล้ว
สำหรับเรื่องนี้จูเหลี่ยนวางแผนคร่าวๆ มาไว้ก่อนแล้ว นับตั้งแต่ซุ้มป้ายที่ตีนเขายอดเขาจี้เซ่อไล่ขึ้นมาเป็นลำดับเรื่อยๆ บนเส้นแกนกลางเส้นนี้จะมีสิ่งปลูกสร้าง น้อยใหญ่อยู่ประมาณสามสิบกว่าหลัง มีทั้งตำหนักใหญ่โตโอ่อ่า มีทั้งสวนต้นไม้ดอกไม้ แม้แต่เรื่องที่ว่ากรอบป้าย กลอนคู่จะเขียนคำว่าอะไรก็ยังมีการบรรยายไว้อย่างละเอียด เรือนอื่นๆ นอกจากตำหนักหลักห้องโถงใหญ่จะแสดงให้เห็นทักษะในการก่อสร้างได้มากเป็นพิเศษ เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อก็ช่วยวางแผนให้ แต่สุดท้ายแล้วควรจะทำอย่างไร แน่นอนว่ายังต้องให้เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วอย่างเฉินผิงอันเป็นผู้ตัดสินใจเอาเอง
‘รูปแบบมาตรฐานสถาปัตยกรรม’ เล่มที่เฉินผิงอันเอามาจากพื้นที่มงคลดอกบัวตอนนั้นได้มาจากคลังของกรมโยธาธิการเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เฉินผิงอันเลื่อมใสมันอย่างมาก จึงมอบให้กับจูเหลี่ยนไปพร้อมกับกระดาษวาดภาพร่างของ ซากปรักจวนเซียนในอาณาเขตแคว้นเป่ยถิงปึกใหญ่ เกี่ยวกับสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ที่เสริมมากับศาลบรรพจารย์ เฉินผิงอันมีแค่ข้อเรียกร้องเล็กๆ เพียงอย่างเดียว นั่นคือสามารถสร้างศาลาริมน้ำหลังหนึ่งเลียนแบบศาลาในหมู่บ้านของผู้อาวุโสซ่งอวี่เซาเอาไว้ได้ ตั้งชื่อว่าศาลาจือชุนหรือไม่ก็ศาลามังกร นอกจากนี้แล้วเฉินผิงอันก็ไม่มี ความคาดหวังอะไรที่มากเกินไปนัก
ผลคือพอจูเหลี่ยนได้ ‘รูปแบบมาตรฐานสถาปัตยกรรม’ เล่มนั้นไป ก็คลี่ยิ้ม ด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย เฉินผิงอันถึงเพิ่งนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ นึกถึงตำราตัวอย่างที่ ราชสำนักของแคว้นหนึ่งในประวัติศาสตร์พื้นที่มงคลดอกบัวเป็นผู้แจกจ่าย จูเหลี่ยนหัวเราะฮ่าๆ บอกว่าการเรียบเรียงตำราเล่มนี้
ปีนั้นเขาเคยลงแรงอยู่หลายส่วนจริงๆ กฎเกณฑ์การสร้างสิ่งปลูกสร้าง ฝ้าเพดาน โต่วก่ง (รูปแบบการปลูกสร้างอย่างหนึ่งของจีน คือชายคาที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ ) ฯลฯ สองสามในสิบส่วนของตำราเล่มนี้ อันที่จริงล้วนมาจากการเขียนของเขาทั้งสิ้น
เฉินผิงอันจึงถามว่าเหตุใดเรือนที่สร้างอยู่กึ่งกลางยอดเขาหลักของภูเขาลั่วพั่ว ถึงได้เรียบง่ายมากจนมองร่องรอยของ ‘รูปแบบมาตรฐาน’ ไม่ออกแม้แต่น้อย จูเหลี่ยนตอบอย่างมีเหตุมีผล บอกว่าตอนนั้นรากฐานของตระกูลบางเบา หากไม่มีวัตถุดิบ ต่อให้สตรีที่มีฝีมือแค่ไหนก็ปรุงอาหารรสเลิศออกมาไม่ได้ แล้วนับประสาอะไรกับที่นายน้อยพักอยู่บนเรือนไม้ไผ่ คนอื่นๆ แค่มีที่ให้ซุกหัวนอนก็ควรจะซาบซึ้งในบุญคุณมากพอแล้ว ไม่อย่างนั้นหากให้เขาจูเหลี่ยนลงมือจัดการด้วยตัวเอง แล้วจะให้สร้างเรือนใหญ่โตมโหฬารที่ต้องกินเงินจำนวนมาก คงไม่มีความจำเป็น
กลุ่มสิ่งปลูกสร้างที่ตอนนี้มีศาลบรรพจารย์ถูกสร้างนำไปก่อนคือหน้าตาของ ภูเขาลั่วพั่ว แน่นอนว่าย่อมไม่อยู่ในกรณีนี้ ต้องให้เขาจูเหลี่ยนเป็นคนจัดการเอง ไม่มีทางมอบให้ช่างที่ถูกจ้างมามาย่ำยีทัศนียภาพของยอดเขาจี้เซ่อเด็ดขาด
หากพูดตามคำกล่าวของจูเหลี่ยนก็คือ ตอนที่ไม่มีเงินก็ควรคิดว่าจะหาเงินอย่างไร ไม่มีเงินเดิมทีก็เป็นเรื่องน่าอาย แล้วยังทำตัวโอ้อวดคนอื่นว่าตัวเองมีเงินอีก นั่นก็มีแต่จะยิ่งทำให้คนอื่นดูแคลน แต่หากมีเงินแล้ว ควรจะใช้จ่ายเงินอย่างไร ก็ยิ่งต้องพิถีพิถันสักหน่อย
เฉินผิงอันรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างถึงที่สุด แต่ก็ยังตีหน้าเคร่งกลั้นยิ้ม ปากบอกว่า วันหน้าอย่าตัดสินใจเองโดยพลการอีก จะทำให้คนกันเองต้องน้อยเนื้อต่ำใจได้อย่างไร นี่จะไม่ทำให้ผู้คนเสียกำลังใจหรอกหรือ
แม้แต่เผยเฉียนก็ยังรู้สึกว่าสีหน้าและคำพูดของอาจารย์ในเวลานั้นไม่ใกล้เคียงกับคำว่าจริงใจเลยแม้แต่น้อย
เผยเฉียนยังรู้สึกอีกว่าท่าทางที่แทบอยากจะใช้ความตายมาแสดงคำขอบคุณที่ไม่ถูกลงโทษของพ่อครัวเฒ่า อยู่ไกลเกินกว่าความเป็นธรรมชาติดุจน้ำมาคลองสำเร็จของตนไกลโขนัก
คำพูดคือเสียงจากในใจ ต้องออกมาจากจิตใจสิถึงจะถูก เผยเฉียนรู้สึกว่าพ่อครัวเฒ่า ก็ดี โจวเฝยก็ช่าง ยามที่พูดคุยกับอาจารย์ พวกเขาล้วนไม่มีฝีมือสักเท่าไร
พวกแขกที่มาร่วมงานพิธีและนำของขวัญมาร่วมอวยพรพากันออกไปจาก ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ตู้เหวินซือและผังหลันซีแห่งสำนักพีหมาที่เป็นผู้ถวายงานได้รับการบันทึกชื่อของภูเขาลั่วพั่วก็พากันโดยสารเรือข้ามฟากบ้านตัวเองกลับชายหาด โครงกระดูกไปแล้ว
เฉินผิงอันมอบเทียบตัวอักษรแบบหวัดสองเทียบให้กับผังหลันซี คือเทียบที่ในอดีต เขาใช้เหล้าหมักตระกูลเซียนหลายไหซื้อมาจากเซี่ยนเหว่ยหนุ่มคนหนึ่งของอำเภอเล็กๆ ในแคว้นเหมยโย่ว ให้ผังหลันซีนำไปมอบต่อให้ท่านปู่ทวดของเขา
คิดไม่ถึงว่าตู้เหวินซือที่เห็นแล้วจะรู้สึกชื่นชอบ จึงขอไปเทียบหนึ่ง
เฉินผิงอันตะลึงค้างอยู่กับที่ จากนั้นก็ส่งสายตาให้ผังหลันซี เด็กหนุ่มแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เฉินผิงอันจึงได้แต่ไปเอาเทียบตัวอักษรมาอีกแผ่น ตู้เหวินซือกระชากเทียบตัวอักษรออกไปจากมือของเจ้าขุนเขาหนุ่มภูเขาลั่วพั่วอย่างแรง ยิ้มบางๆ เอ่ย ประโยคหนึ่งว่า เจ้าขุนเขาช่างใจกว้าง
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบรับ ไม่เอ่ยอะไร
หลูป๋ายเซี่ยงเองก็พาคู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่ากลับไปที่ชายแดนราชวงศ์จูอิ๋งเดิมแล้ว
เฉินผิงอันมอบเสื้อเกราะสำนักการทหารที่ศาลซานหลางของอุตรกุรุทวีปสร้างขึ้นอย่างประณีตให้กับลูกศิษย์ผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์สองคนนี้ไปคนละตัว
จ้งชิวเริ่มพาเฉาฉิงหล่างออกเดินทางไปทั่วทิศอยู่ในพื้นที่มงคลรากบัว หลังจากเดินทางเสร็จก็จะหวนกลับมาที่ภูเขาลั่วพั่ว แล้วค่อยออกท่องแจกันสมบัติทวีปต่อ
ตอนที่มาส่งเฉาฉิงหล่างออกเดินทาง นอกจากจะมอบชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่เผาผลาญเงินเทพเซียนจำนวนมากจนสามารถซ่อมแซมกลับคืนมาได้เป็นเหมือนเดิมให้เขาแล้ว เฉินผิงอันยังมอบแผ่นไม้ไผ่จำนวนมากที่ตัวเองแกะสลักมาตลอดทาง รวมถึงประโยคหนึ่งแก่เฉาฉิงหล่างด้วย
“เรียนรู้หลักการเหตุผลจากในตำรา เรียนรู้การวางตัวอยู่ในสังคมจากนอกตำรา”
นอกเรือนไม้ไผ่ ศิษย์ประสานมือคารวะบอกลาอาจารย์ อาจารย์ประสานมือ ตอบกลับลูกศิษย์
สุยโย่วเปียนลงจากเขาไปมุ่งหน้าไปยังสำนักเจินจิ้งทะเลสาบซูเจี่ยนแล้ว ต่อให้เจียงซ่างเจินเจ้าสำนักที่ใช้สถานะของผู้ฝึกตนอิสระโจวเฝยจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบสุยโย่วเปียนกลับไม่เคยคุยอะไรกับเขา เกี่ยวกับบุญคุณความแค้นเป็นตายกับสำนักกุยหยก สุยโย่วเปียนไม่ได้เล่าให้ใครฟัง ก่อนหน้านี้ที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกวันนางจะเก็บตัวเงียบ มีเพียงครั้งเดียวที่ออกมาข้างนอกก็คือออกมาเดินเล่นไปรอบๆ ภูเขาใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วอย่างภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหวงหู อารมณ์ถึงได้ดีขึ้นเล็กน้อย ราวกับว่านางได้เลือกสถานที่แห่งใดแห่งหนึ่งและมีแผนการบางอย่างแล้ว
เดิมทีเฉินผิงอันยังอยากถามว่ากระบี่ชือซินเล่มนั้นอยู่ที่ไหน ถูกทำลายไปโดยไม่ทันระวังระหว่างที่เข่นฆ่ากับผู้อื่น หรือว่าถูกแย่งชิงไปแล้ว จะดีจะชั่วก็ควรจะบอกกล่าวแก่เขาสักหน่อยไม่ใช่หรือ?
น่าเสียดายที่ตัวสุยโย่วเปียนเองไม่เปิดปาก เฉินผิงอันเองจึงไม่กล้าถาม
เว่ยเซี่ยนพาเผยเฉียนไปที่พื้นที่มงคลรากบัว บอกว่าต้องการให้เผยเฉียนรู้ว่า ในบ้านของเขาเว่ยเซี่ยนมีไม้คานทองจริงหรือไม่
เผยเฉียนจึงถามฮ่องเต้บุกเบิกแคว้นหนันเยวี่ยนผู้นี้ว่า หากไปถึงวังหลวงแล้ว ในบ้านเจ้าไม่มีไม้คานทองจะทำอย่างไร เว่ยเซี่ยนจึงบอกว่าถ้าอย่างนั้นก็จะ มอบให้เจ้าต้นหนึ่ง ตอนนั้นเผยเฉียนเบิกตากว้าง ยกมือสองข้างขึ้นชูนิ้วโป้ง เยี่ยมไปเลย เหล่าเว่ยไม่เสียแรงที่ทุกวันนี้เจ้าคือขุนนางใหญ่ตำแหน่งอู่ซวนหลางแล้ว ใจป้ำยิ่งนัก ไม่สู้เอาอย่างนี้ดีไหม ไม่ว่าจะเดิมพันแพ้หรือชนะ เจ้าก็มอบไม้คานทอง ให้ข้าต้นหนึ่งเป็นอย่างไร เว่ยเซี่ยนเอาแต่หัวเราะหึหึ
ในฐานะเจ้าสำนักของสำนักเจินจิ้ง เดิมทีควรเป็นคนที่งานยุ่งมากที่สุด ทว่า เจียงซ่างเจินกลับทำหน้าหนาไม่ยอมไปจากภูเขาลั่วพั่ว ยังเลือกเรือนหลังหนึ่ง ตรงกลางภูเขาหลักไปเป็นของตัวเองด้วย จูเหลี่ยนบอกว่าตอนนี้ยังไม่มีเรือนว่าง ทุกเรือนล้วนมีเจ้าของอยู่แล้ว หากไม่ได้จริงๆ เขาก็จะแข็งใจสร้างเรือนที่พักให้กับ ผู้ถวายงานโจวโดยเฉพาะหนึ่งหลัง เจียงซ่างเจินจึงเสนอความเห็นว่าถ้าอย่างนั้น ก็สร้างเรือนตระกูลเซียนหลายๆ หลังไปเลย ถึงอย่างไรภูเขาลั่วพั่วนั้นอย่างอื่น มีไม่มาก ที่มากก็คือพื้นที่ว่างเปล่า ไม่เพียงแต่กึ่งกลางยอดเขาหลักเท่านั้น ภูเขาด้านหลังยอดเขาหลักที่ว่างโล่งก็ควรสร้างไปพร้อมกันด้วย ภูเขาทั้งหมดที่อยู่ ในนามของภูเขาหลักก็อย่าให้ปล่อยว่างไว้ ค่าใช้จ่ายทั้งหมด เขาโจวเฝยจะเป็นคนควักกระเป๋าจ่ายให้เอง จูเหลี่ยนถูมือยิ้มเอ่ยว่าแบบนี้มันไม่เหมาะมากๆ เลยนะ เจียงซ่างเจินโบกมือ มอบเงินฝนธัญพืชกองโตให้จูเหลี่ยนโดยตรง บอกว่านี่ก็คือ หน้าที่ของผู้ถวายงาน เหมาะสมที่สุดแล้ว
สองมือของจูเหลี่ยนกอบประคองเงินฝนธัญพืช นับอย่างละเอียด บอกว่า สิบห้าเหรียญเป็นเลขคี่ ไม่สู้คืนให้ผู้ถวายงานโจวเหรียญหนึ่งดีหรือไม่?
จากนั้นก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีความเคลื่อนไหวอย่างไร
เจียงซ่างเจินมีสีหน้าละอายใจ บอกว่าควรจะผสมให้ครบคำว่าเรื่องดีมาเป็นคู่จริงๆ นั่นแหละ แล้วจึงมอบเงินฝนธัญพืชให้อีกสามเหรียญ
จูเหลี่ยนรับเงินมาแล้วเก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง พูดอย่างสะท้อนใจว่าภูเขาลั่วพั่วมีคนที่ใจกว้างทำอะไรได้ตามใจปรารถนาเช่นผู้ถวายงานโจวนี้ นับว่า หาได้ยากอย่างถึงที่สุด
หมู่นี้ชุยตงซานมัวยุ่งอยู่กับการสร้างวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะและค่ายกลใหญ่ภูเขาสายน้ำให้กับพวกภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาหวงหู ยกตัวอย่างเช่นข้องราชามังกรคู่นั้นที่เฉินผิงอันได้มาจากอุตรกุรุทวีป หลังจากถูกฮว่อหลงเจินเหรินซ่อมแซมจนเหมือนใหม่แล้วก็สามารถเอามาวางไว้ที่ภูเขาหวงหูได้โดยตรง เฉินผิงอันเอาข้องราชามังกรมอบให้กับเฉินหลิงจวินและเฉินหรูชู ให้พวกเขาทำการหล่อหลอมกันเอง แต่ตอนแรก เฉินหลิงจวินไม่ยอมรับเอาไว้ เพราะหวังว่าเฉินผิงอันจะนำไปมอบให้กับงูดำภูเขาฉีตุนที่ใกล้จะได้จำแลงร่างกลายเป็นมนุษย์ตนนั้นมากกว่า เพราะสืบสาวราวเรื่องกัน ถึงแก่นแล้ว เฉินหลิงจวินยังคงกังวลว่าการเดินลงลำน้ำจี้ตู๋จะเกิดช่องโหว่ หากสูญเสียข้องราชามังกรหนึ่งในนั้นไปก็จะชักนำให้โชคชะตาภูเขาสายน้ำของภูเขาหวงหูได้รับความเสียหายไปด้วย อานุภาพของค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาหวงหูที่สร้างขึ้นโอบล้อมข้องราชามังกรทั้งสองใบนี้ก็จะลดฮวบลงมาด้วย
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบตกลง เขาบอกกับเฉินหลิงจวินว่าไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องนี้ แค่หลอมมันเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอย่างวางใจก็พอ วันหน้าเมื่อเดินลงน้ำสำเร็จ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถหวนกลับคืนมาหล่อเลี้ยงภูเขาหวงหูได้เสียหน่อย
เฉินหลิงจวินยังคงอิดออด เฉินผิงอันจึงได้แต่บอกว่าข้องราชามังกรเป็นสมบัติหนัก บนภูเขาที่ล้ำค่าขนาดนี้ ให้เจ้า ข้าตัดใจได้ แต่ให้คนอื่น ข้าเสียดายมาก
เฉินหลิงจวินถึงได้ยอมรับไว้ ตอนที่เดินจากมา ฝีเท้าออกจะล่องลอยเล็กน้อย
วันนี้ตรงริมหน้าผาของเรือนไม้ไผ่ เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่ตรงข้ามกับเจียงซ่างเจิน ที่กำลังจะลงจากภูเขาไป
แน่นอนว่าต้องดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนที่เจียงซ่างเจินหิ้วมา
เจียงซ่างเจินถามว่า “จะแบ่งผลกำไรหนึ่งจุดห้าในพื้นที่มงคลรากบัวให้สำนักเจินจิ้งของข้าจริงๆ หรือ? แล้วยังเป็นแบบยาวนานตลอดไปด้วย?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ใช่สำนักเจินจิ้ง แล้วก็ไม่ใช่สำนักกุยหยก แต่เป็นให้กับเจ้าประมุขสกุลเจียง หรือควรจะเรียกว่าผู้ถวายงานโจวเฝย”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะนั่งรอนอนรอรับเงินก็แล้วกัน พอคิดถึงเรื่องนี้ก็ให้กลัดกลุ้มแล้ว”
ผลประโยชน์ที่มาส่งให้ถึงประตูบ้าน เจียงซ่างเจินไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธจริงๆ
ก็เหมือนกับสมบัติเงินทองที่เจียงซ่างเจินมอบให้กับภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนเอง ก็รับไว้อย่างมือไม้ไม่อ่อนเลยแม้แต่น้อย
ดีมาก็ดีกลับแล้วกัน
แรกเริ่มสุดเจียงซ่างเจินเปิดปากบอกกับภูเขาลั่วพั่วว่าต้องการส่วนแบ่งจาก พื้นที่มงคลสองส่วนไปตลอดกาล สำนักเจินจิ้งยินดีจะให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงินสามก้อน ก้อนแรกคือเงินฝนธัญพืชหนึ่งพันเหรียญ เอาไว้ใช้ช่วยให้พื้นที่มงคลรากบัวเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง หลังจากนั้นยังจะเอาเงินออกมาอีกสองพันเหรียญ เพื่อใช้สร้างความมั่นคงให้กับโชคชะตาภูเขาสายน้ำของพื้นที่มงคลรากบัว เพิ่มการไหลเวียนของปราณวิญญาณให้มากขึ้น หลังจากกลายเป็นพื้นที่มงคล ระดับสูงแล้ว เจียงซ่างเจินยังจะมอบเงินฝนธัญพืชให้อีกสามพันเหรียญ เงินเทพเซียนสามก้อนล้วนไม่มีดอกเบี้ย ภูเขาลั่วพั่วจะต้องชำระหนี้ภายในระยะเวลาหนึ่งร้อยปี ห้าร้อยปีและหนึ่งพันปี ไม่อย่างนั้นสำนักเจินจิ้งก็จะคิดดอกเบี้ยสูงแล้ว ภูเขาลั่วพั่วสามารถเอาภูเขามาขายแทนเงินให้สำนักเจินจิ้งได้ หากไม่ยินดีจะยกพื้นที่ให้ เอาตัวคนมาใช้หนี้แทนก็ได้เหมือนกัน
นี่ก็คือการพูดจาภาษาการค้าของแท้แน่นอน
สำหรับเจียงซ่างเจินแล้ว ข้าเงินเยอะ มอบเงินทองทรัพย์สินให้คนอื่นคือเรื่องหนึ่ง แต่ควรจะหาเงินอย่างไรกลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ต้องมีกฎเกณฑ์
ระหว่างนี้นอกจากเจียงซ่างเจินจะยกเกาะหกแห่งของทะเลสาบซูเจี่ยนให้ ภูเขาลั่วพั่วแล้ว ยังจะดึงกำลังคนจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาที่มีชื่อเสียงไปทั่วทั้งทวีปให้เข้ามาในพื้นที่มงคลรากบัว รับผิดชอบจัดการดูแลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนข้อที่ว่าลูกหลานสกุลเจียงที่เข้ามาอยู่ในพื้นที่มงคลระดับกลางซึ่งเพิ่งจะเติบโตขึ้นมาใหม่ แห่งนี้จะมีอำนาจมากเท่าไร ก็ต้องดูที่ว่าภูเขาลั่วพั่วยินดีให้หน้าพวกเขากี่มากน้อยแล้ว
แต่ตอนนั้นจูเหลี่ยนยังยืนกรานว่าภูเขาลั่วพั่วมอบส่วนแบ่งให้สำนักเจินจิ้งได้แค่ส่วนเดียวเท่านั้น
เว่ยป้อซานจวินแห่งขุนเขาเหนือของแจกันสมบัติทวีปผู้ยิ่งใหญ่ ออกทั้งเงินออกทั้งแรง แล้วยังออกทั้งกำลังคน ยอมเป็นวัวเป็นม้า ก็ยังได้ส่วนแบ่งแค่ส่วนเดียว สำนักเจินจิ้งคิดจะเป็นสิงโตอ้าปากกว้าง ต่อให้เขาจูเหลี่ยนพยักหน้าตอบตกลง แต่นั่นก็จะเป็นการหมิ่นเกียรติซานจวินใหญ่เว่ย ใครบ้างที่ไม่รู้นิสัยที่ต่อให้ตายก็ต้องรักษาหน้าตาเอาไว้ก่อนของเว่ยป้อบ้าง หากเว่ยป้อต้องห่างเหินกับภูเขาลั่วพั่ว เพราะสาเหตุนี้ ภูเขาลั่วพั่วก็จะได้ไม่คุ้มเสีย
เดิมทีเจียงซ่างเจินก็ไม่ได้คาดหวังอยู่แล้วว่าจะได้สองส่วน เส้นบรรทัดฐานของเขาก็คือการปันผลหนึ่งจุดห้าส่วนตลอดกาล หากจูเหลี่ยนยืนกรานว่าจะให้ผลตอบแทนแค่ส่วนเดียว นั่นก็น้อยเกินไปจริงๆ
อีกอย่างจูเหลี่ยนก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่จี้ใจเจียงซ่างเจิน อาณาเขตของพื้นที่มงคลรากบัวไม่ใหญ่ คนยี่สิบล้านคนที่จิตวิญญาณครบถ้วนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในแคว้น หนันเยวี่ยน บวกกับอีกสามพื้นที่อย่างแคว้นซงไล่ แคว้นเป่ยจิ้นและทุ่งหญ้ากว้าง นอกด่าน แม้จะบอกว่าต่อให้รวมกับจิตวิญญาณของคนไว้แล้ว หมื่นเรื่องราว หมื่นสรรพสิ่งก็คล้ายว่าจะอยู่ในสภาวะที่เลื่อนลอยว่างเปล่า
ถูกแบ่งออกเป็นคร่าวๆ ได้สี่ส่วน แต่เมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ ขอแค่ภูเขาลั่วพั่วจัดการได้อย่างเหมาะสม หากจำนวนประชากรของพื้นที่มงคลทะลุห้าสิบล้านคน นั่นก็จะเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางหายากที่มีความพิเศษในด้านประชากร ในฐานะพื้นที่มงคลระดับสูงที่มีอยู่ไม่มาก สกุลเจียงสำนักกุยหยกคอยบริหารดูแลประชากรของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆามาหลายรุ่นหลายสมัย แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุคอขวด เก้าสิบล้านคนไปได้ แน่นอนว่าสาเหตุหนึ่งในนั้นก็เป็นเพราะ ‘ความกำเริบเสิบสาน ระดมพลครั้งใหญ่’ ของเจียงซ่างเจินด้วย ในประวัติศาสตร์บอกว่ามีกลียุคเกิดขึ้น ห้าครั้ง สรรพชีวิตที่มอดม้วยด้วยน้ำมือของเจียงซ่างเจินก็มีมากถึงสามครั้งแล้ว คนทั้งบนและล่างภูเขาที่ติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วยไม่มีใครที่โชคดีรอดพ้นหายนะ ไปได้
และนี่ก็เป็นจุดที่น่าสนุกและน่าสนใจที่สุดของจูเหลี่ยน
พูดจาคล่องแคล่วน่าสนใจแต่ไร้แก่นสาร คำพูดเหลวไหลเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้
แต่มักจะชอบซ่อนแฝงประโยคสองประโยคที่มีน้ำหนักอย่างถึงที่สุดไว้ในถ้อยคำเป็นกระบุงโกยเหล่านั้นเสมอ
เฉินผิงอันใช้นิ้วเคาะบนผิวโต๊ะเบาๆ “เงินเทพเซียน เงินเหรียญทองแดงแก่นทอง จักรพรรดิราชวงศ์โลกมนุษย์”
นี่คือต้องการจะสรุปจุดสำคัญที่ควรจะมีในการจัดการพื้นที่มงคลแห่งหนึ่งให้ดีแล้ว
ผู้ฝึกตนบนภูเขา สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำที่อยู่ตรงกลางระหว่างบนภูเขา กับล่างภูเขา การสนับสนุนและการต่อต้านของจิตใจคนด้านล่างภูเขา
ไม่ว่าจะขั้นตอนใดที่เกิดช่องโหว่ก็จะเกิดเป็นปัญหาที่สืบเนื่องต่อกันไปดั่งลูกโซ่ ข้อเสียสะสมถือกำเนิด ถ้าอย่างนั้นพื้นที่มงคลก็จะไม่ใช่อ่างรวมสมบัติอะไรอีกต่อไป แต่เป็นก้นไร้หลุมที่กินเงินจำนวนนับไม่ถ้วน กลายเป็นซี่โครงไก่ หรืออาจถึงขั้น บั่นทำลายให้รากฐานของสำนักตระกูลเซียนแห่งหนึ่งอ่อนแอลง
เว่ยป้อได้พูดประโยคหนึ่งที่มีความหมายลึกล้ำกับเฉินผิงอันเป็นการส่วนตัวว่า “ได้พื้นที่มงคลรากบัวที่มีคนอยู่ชั่วคราวสี่พันล้านคนแห่งนี้มา ก็ต้องระวังจิตดั้งเดิมของตัวเองแล้ว”
เฉินผิงอันบอกให้เว่ยป้อวางใจ
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “แรกเริ่มเป็นเพียงแค่เรื่องน่าเสียดายที่ต้องทุ่มเงิน ต้องคอยจัดการเรื่องวุ่นวายทั้งบนและล่างภูเขา รอให้ดำเนินการไปนานวันเข้า นั่นถึงจะมีเรื่องยุ่งยากใจที่รอคอยเจ้าอยู่อย่างแท้จริง เจ้าขุนเขาต้องเตรียมใจให้พร้อม”
เงินเทพเซียนมากน้อยที่ทุ่มลงไปในพื้นที่มงคลจะตัดสินจำนวนของผู้ฝึกตน รวมไปถึงระดับสูงของคอขวดในการฝึกตน หากเป็นพื้นที่มงคลระดับล่าง ต่อให้เจ้า จะมีผู้คนที่มีคุณสมบัติดีเยี่ยมอยู่มากมาย แต่ก็ยังยากที่จะเลื่อนขึ้นสู่ขอบเขตถ้ำสถิตได้ หากเอาคนอย่างอวี๋เจินอี้พรรคหูซานมาวางไว้ในใต้หล้าไพศาล ก็ถือเป็น คนมหัศจรรย์ด้านการฝึกตนที่ต้องได้เป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอน แต่ปีนั้นที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เขาก็ยังต้องติดค้างอยู่ในคอขวดขอบเขตประตูมังกรอยู่ดี เมื่อเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับกลาง ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนจึงจะมีความหวังที่จะได้เป็นเซียนดิน ส่วนหายนะใหญ่ครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ก็คือครั้งที่เจียงซ่างเจินถูกผู้ฝึกตนที่แอบฝ่าทะลุขอบเขตเป็นหยกดิบลอบสมคบคิด กับเซียนดินหลายคน พวกเขาละทิ้งความแค้นที่เคยมีต่อกัน ร่วมกันล้อมสังหาร เจียงซ่างเจิน ‘เทพเทวา’ แห่งพื้นที่มงคลที่ปลอมตัวออกไปเยี่ยมเยียนประชาชน พยายามที่จะหลุดพ้นจากการควบคุมของสกุลเจียงให้ได้อย่างสัมบูรณ์ จึงสร้างสถานการณ์ที่ ‘ฟ้าและคนแยกจาก’ ซึ่งไม่เคยมีมาเลยนับแต่โบราณกาลขึ้นมา
ในเรื่องคราวนี้ แน่นอนว่าก็มีการวางแผนอย่างลับๆ ของกองกำลังบางแห่งที่เป็นศัตรูกับสำนักกุยหยกด้วย ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่ผู้ฝึกตนของพื้นที่มงคลย่อมไม่มีทางทำแบบนี้ได้แน่นอน
เจียงซ่างเจินเริ่มพูดจ้อถึงความลับในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลถ้ำเมฆานี้ อย่างละเอียด
แล้วเจียงซ่างเจินก็ให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงแก่หายนะในครั้งนั้นว่า “แม้จะบอกว่าหลังจบเรื่องข้าพาคนบุกเข้าไปสังหารในพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาด้วย ความเดือดดาลปานอสนีบาต แต่ในความเป็นจริงแล้วข้าไม่ได้เคียดแค้นพวกผู้ฝึกตนชั้นสูงที่แผนการล้มเหลวในท้ายที่สุดเหล่านั้น ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาน่าเศร้า น่าเคารพแล้วก็น่าสงสาร น่าสงสารที่พวกเขาฝึกตนอย่างยากลำบากมาหลายร้อยปี บางคนยังฝึกตนจนกลายเป็นขอบเขตหยกดิบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ด้วย แต่กลับต้องตายไปทั้งอย่างนั้น น่าเคารพก็ตรงที่ความกล้าหาญของพวกเขา ส่วนน่าเศร้าก็คือ พวกเขาเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองทำสำเร็จแล้ว เมื่อพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาไม่มีเจียงซ่างเจิน นับแต่นี้ไปพวกเขาก็สามารถเป็นอิสระ แต่กลับไม่รู้เลยว่าตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นรออยู่ด้านหลัง เจ้าประมุขสกุลเจียงสามารถเปลี่ยนคนได้ ยิ่งสามารถถูกคนข่มขู่ให้ขึ้นเป็นหุ่นเชิดได้ รอให้ขุนนางใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งแสดงความไฟแรงออกมา ในฐานะค่าตอบแทนของการได้กลายเป็นเจ้าประมุขสกุลเจียง จะคืนน้ำใจให้ก็ดี คืนเป็นเงินก็ช่าง ล้วนหมายความว่าพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเจอกับหายนะนานถึงร้อยปี”
เจียงซ่างเจินพูดอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่หลักการเหตุผลที่เป็นเช่นนี้ ขอแค่ข้าเจียงซ่างเจินเป็นคนกล่าว ก็กลายเป็นว่าคำพูดไม่มีน้ำหนักพอมาตั้งแต่แรก ถูกกำหนดมาแล้วว่าพูดไปก็ไม่มีใครฟัง และข้าเองก็รู้สึกว่าพวกลูกรักแห่งสวรรค์ที่หยิ่งทระนงพวกนั้นไม่ผิด หากเปลี่ยนข้ามาเป็นพวกเขาก็จะทำแบบเดียวกันนี้ ความต่างเพียงอย่างเดียวก็หนีไม่พ้นว่าข้ามีความอดทนมากกว่า วางแผนได้รัดกุมมากกว่า และการค้าที่ทำกับผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังก็จะช่วยให้พื้นที่มงคลได้ผลประโยชน์มากกว่า ก็เท่านั้น”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าวกับเฉินผิงอันว่า “เรื่องราวทางโลกนั้นแปลกประหลาด เรื่องดีไม่แน่เสมอไปว่าจะมา แต่เรื่องร้ายต้องมาหาอย่างแน่นอน หาใช่ว่าข้าจงใจพูดจาอัปมงคล แต่เป็นเพราะตอนนี้เจ้าขุนเขาสามารถลองคิดถึงกลยุทธรับมือไว้เผื่อในอนาคตได้แล้ว คนเราหากไม่มีเรื่องกังวลห่างไกลก็ยากที่จะหาเงินก้อนใหญ่ได้”
เฉินผิงอันกล่าว “ทำเรื่องอะไรต้องคิดถึงความผิดพลาดก่อน นี่คือนิสัยดีๆ ที่มีอยู่ไม่มากของข้า”
เจียงซ่างเจินยิ้มพยักหน้ารับ ดื่มเหล้าเสร็จก็เตรียมจะทะยานลมจากไป
ยันต์กระบี่วัตถุแทนตัวที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนสร้างขึ้น ช่วงนี้เจียงซ่างเจินได้อาศัยช่องทางต่างๆ กวาดรวบมาได้หลายสิบเล่มแล้ว ล้วนซื้อมาในราคาสูงทั้งสิ้น
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดสองคนของหร่วนฉงอย่างต่งกู่และสวีเสี่ยวเฉียวเกือบจะวางแผนเปิดเตาหลอมสร้างยันต์กระบี่กองใหญ่ให้กับผู้ถวายงานผู้ฝึกตนอิสระที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดผู้นี้อยู่แล้ว แต่กลับถูกหร่วนฉงที่แทบจะไม่เคยดุด่าลูกศิษย์ด่าเสียจนสาดเสียเทเสีย
เฉินผิงอันรั้งเจียงซ่างเจินเอาไว้ แล้วหยิบป้ายถือศีลของลัทธิเต๋าแผ่นนั้นออกมาจากวัตถุจื่อชื่อ
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างตกตะลึง “นี่ก็คือข้อดีของการได้เป็นผู้ถวายงานของ ภูเขาลั่วพั่วหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คือของขวัญที่มอบให้เด็กคนนั้น”
เจียงซ่างเจินรับป้ายถือศีลที่ค่อนข้างจะเก่าแก่แผ่นนั้นมาแล้วจุ๊ปากพูด “ของหนึ่งชิ้นน้ำใจสองส่วน ขอบเขตการทำการค้าของเจ้าขุนเขา ข้าโจวเฝยละอายใจที่สู้ไม่ได้”
เฉินผิงอันเอ่ยเตือน “อย่าได้สั่งสอนให้เขากลายเป็นพญามารเสียล่ะ”
เจียงซ่างเจินกล่าว “ตอนนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนไม่มีพื้นที่ให้กู้ช่านคนต่อไปได้เติบโตแล้ว”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเฉยเมย “ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น”
เจียงซ่างเจินถอนหายใจ เอ่ยว่า “คนที่ว่างงานคือโจวเฝยผู้ฝึกตนอิสระ แต่เจ้าสำนักเจินจิ้งและเจ้าประมุขสกุลเจียงกลับยุ่งมาก ดังนั้นกลับไปที่ทะเลสาบ ซูเจี่ยนครั้งนี้ การพบหน้ากันของพันธมิตร ข้าอาจจะให้คนเบื้องล่างเป็นตัวแทน ออกหน้าให้ อาจเป็นหลิวเหล่าเฉิง หรือไม่ก็หลี่ฝูฉวี ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่สกัดคงคา เจินจวินของสำนักเจินจิ้งเราก็แล้วกัน”
เฉินผิงอันยิ้มพยักหน้ารับ “ได้ทั้งสองคน”
ต่อจากนี้เฉินผิงอันจะนั่งเรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาที่เดินทางลงใต้ในครั้งหน้าจากท่าเรือหนิวเจี่ยวตรงไปที่นครมังกรเฒ่า ระหว่างที่ลงใต้นี้ เขาต้องไปพบคน สองกลุ่ม คนกลุ่มแรกก็คือสำนักพีหมาและสวนน้ำค้างวสันต์ ทั้งสามฝ่ายร่วมกันปรึกษารายละเอียดที่เป็นรูปธรรม กลุ่มที่สองก็คือพันธมิตรที่โอบล้อมอยู่รอบ พื้นที่มงคลรากบัวอันได้แก่ฟ่านเอ้อร์ ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า แล้วก็รวมถึงตัว เจียงซ่างเจินเองด้วย ในเมื่อตอนนี้พื้นที่มงคลได้เลื่อนขั้นเป็นระดับกลางแล้ว ก็มีเรื่องอีกไม่น้อยที่ต้องพูดคุยกันใหม่อีกรอบ
ระหว่างที่รอให้เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาเดินทางลงใต้อีกครั้ง รอให้เว่ยเซี่ยนและเผยเฉียนกลับมาถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว ชุยตงซานก็จะพาเว่ยเซี่ยนออกไปจาก เขตการปกครองหลงเฉวียน เฉินผิงอันคิดว่าจะนั่งเรือมังกรของบ้านตัวเองพา เผยเฉียนไปที่สำนักศึกษาซานหยาต้าสุยด้วยกัน
จำเป็นต้องไป
เพราะการก่อสร้างศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันหวังอย่างยิ่งว่าคนที่จะปรากฏตัวในเวลานั้นจะมีหลี่เป่าผิง หลี่ไหว หลินโส่วอี อวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ย
คนเรายากจะสมหวังได้ดั่งใจคิด เรื่องราวยากจะสมปรารถนาไปเสียทุกเรื่อง
และเฉินผิงอันก็เคยบอกถึงความคาดหวังของตัวเองให้ลู่ไถฟัง นั่นก็คือหวังว่า ในอนาคตสักวันหนึ่ง พวกเขาที่ปีนั้นตนเดินทีละก้าวเคียงข้างพวกเขาไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษา จะมาตั้งใจศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือไม่ก็ภูเขาลูกใดลูกหนึ่งของบ้านตัวเองในเขตการปกครองหลงเฉวียน พวกเขาไม่ใช่คนของภูเขาลั่วพั่ว ไม่ได้บันทึกชื่ออยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูล แต่ภูเขาลั่วพั่วก็มีสถานที่แห่งหนึ่งที่ ภูเขาเขียวน้ำใส มีตำราเก็บซ่อนไว้มากมาย ทุกครั้งที่เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะมีต้นหลิ่วต้นหยางเคียงคู่ มีนกโบยบินอยู่เหนือต้นหญ้าดอกไม้ ให้ในช่วงเวลาบางช่วงบนเส้นทางชีวิตของพวกเขาทั้งห้าคนในอนาคตที่ต่อจะให้เป็นเวลาแสนสั้นแค่ไหน แต่ก็ยังสามารถมีสถานที่ที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนของเมืองเล็กให้พวกเขาได้แวะมาเยือน จากนั้นหากพวกเขาอยากจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลก็ไปท่องเที่ยว หากอยากออกไปหาประสบการณ์ก็ลงจากภูเขาไป เพียงแค่นี้เท่านั้น
แต่ความรู้สึกที่มากกว่านั้น เป็นเพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองก็ทำไม่ได้เหมือนกัน
เพราะไม่ว่าใครก็ล้วนต้องเติบโตทั้งนั้น
ปีนั้นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงที่แบกกิ่งไหวแต่ละกิ่งวิ่งกลับไปกลับมาอยู่บนถนน หลี่ไหวที่ร้องชักดิ้นชักงออยู่ในดินโคลนของเส้นทางภูเขาเพื่อจะเอาหีบไม้ไผ่ใบเล็ก หลินโส่วอีที่ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนของแคว้นหวงถิงหวังดี แต่กลับ ไม่เคยพูดจาดีๆ อวี๋ลู่รัชทยาทแคว้นล่มสลายที่ชอบเฝ้ายามครึ่งคืนหลังแทนเฉินผิงอัน เซี่ยเซี่ยที่มีสีหน้าเย็นชาอยู่ตลอดเวลา แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับหวาดกลัวทุกอย่างบนโลกใบนี้ ล้วนเป็นเหมือนกันหมด
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ เฉินผิงอันฟุบตัวอยู่บนโต๊ะหนังสือชั้นหนึ่งของเรือนไม้ไผ่ ทำหน้าทะเล้นหลอกผี คนจิ๋วดอกบัวที่นอนฟุบผิวโต๊ะเลียนแบบเขาหัวเราะคิกๆ ชอบใจ
บนภูเขาหลังอ๋าวที่เช่ามาจากภูเขาลั่วพั่ว หลิวจ้งรุ่นเจ้าเกาะจูไช่ที่ยังไม่ได้ไปเยือนทะเลสาบซูเจี่ยนเดินเล่นอยู่บนยอดเขาเพียงลำพัง
นับตั้งแต่นาทีที่นางตัดสินใจว่าจะหลอมตำหนักวารีอยู่บนภูเขาหลังอ๋าว อันที่จริงคำเรียกขานว่า ‘เกาะจูไช’ นี้ ก็เหลือเพียงแค่ชื่อแล้ว
หลิวจ้งรุ่นกลับมายังที่พัก บนโต๊ะวางแผนที่ที่นางวาดด้วยตัวเองหนึ่งแผ่น เป็นพื้นที่ของภูเขาหกสิบสองลูกในเขตการปกครองหลงเฉวียนซึ่งรวมภูเขาพีอวิ๋น เป็นหนึ่งในนั้นด้วย
ภูเขาเสินซิ่วอันเป็นที่ตั้งของศาลบรรพจารย์สำนักกระบี่หลงเฉวียน กับ ยอดเขาเที่ยวเติง ยอดเขาเหิงซั่ว เรียงตัวกันเป็นลักษณะเหมือนรูปเขาสัตว์ นอกจากนี้ยอดเขาไฉ่อวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าว ภูเขาเป่าลู่สามลูกที่เช่ามาจากภูเขาลั่วพั่วก็เหมือนภูเขาหลังอ๋าวอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ภูเขาทั้งหกลูกนี้เชื่อมโยงติดกันเป็นสาย บวกกับภูเขาอีกมากมายที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนได้มาอยู่ในมือภายหลัง แม้ว่าในด้านจำนวนภูเขาของสำนักกระบี่หลงเฉวียนจะพอๆ กันกับภูเขาลั่วพั่ว ขนาดภูเขาไม่ใหญ่นัก แต่ในความเป็นจริงแล้วอาณาเขตกลับกว้างใหญ่มากกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังได้ยินมาว่าราชวงศ์ต้าหลียังตั้งใจจะยกพื้นที่ขนาดใหญ่จากทางเหนือของเมืองหลวงยาวมาถึงอดีตขุนเขากลางให้กับสำนักกระบี่หลงเฉวียนอีกด้วย
นอกจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนของหร่วนฉงและภูเขาลั่วพั่วของเฉินผิงอันแล้ว กองกำลังแต่ละฝ่ายที่เหลืออยู่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพายอะไรแล้ว ต่อให้จะรวมกลุ่มกันอย่างสามัคคี สามารถขมวดรวมกลายเป็นเชือกเส้นเดียวกันได้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ไม่อาจต้านทานกองกำลังยิ่งใหญ่ทั้งสองนั้นได้
ภูเขาหลงจี๋ ภูเขาคูเฉวียน ภูเขาเซียงฮว่อ ยอดเขาหย่วนมู่ ภูเขาตี้เจิน…
หลิวจ้งรุ่นก้มหน้าจ้องมองการกระจายตัวของกลุ่มอิทธิพลทั้งสามฝ่ายบนแผนที่ เห็นได้ชัดว่าภูเขาหลังอ๋าวถือเป็นฝ่ายที่สามที่อยู่นอกการคุมเชิงของสองผู้ทรงอิทธิพล เพียงแต่ว่าตระกูลเซียนบนภูเขาของต้าหลีได้แบ่งเกาะจูไชให้อยู่ในขอบเขตกลุ่มอิทธิพลใต้อาณัติของยอดเขาลั่วพั่วไปโดยอัตโนมัติแล้ว ก่อนที่หลิวจ้งรุ่นจะนำของขวัญไปร่วมงานพิธี ใช่ว่าในใจจะไม่รู้สึกตะขิดตะขวงอะไรเลย เพราะหลิวจ้งรุ่น ไม่เคยอยากให้เกาะจูไชของตัวเองต้องตกเป็นที่พึ่งของใคร ทว่าหลังจากการร่วมพิธีการก่อตั้งศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วครั้งนั้น อารมณ์ของหลิวจ้งรุ่นก็หม่นหมองเล็กน้อย
ที่แท้โดยไม่ทันรู้ตัวคนหนุ่มที่เป็นนักบัญชีอยู่บนเกาะชิงเสียมาหลายปีผู้นั้นก็ได้รวบรวมกำลังทรัพย์ให้ตัวเองได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้แล้ว
ซานจวินขุนเขาเหนือที่สนิทสนมกับภูเขาลั่วพั่วจนแทบจะสวมกางเกงตัวเดียวกันได้อยู่แล้ว ประเด็นก็คือเว่ยป้อคร้านที่จะปกปิดเรื่องนี้มาโดยตลอด งานเลี้ยงท่องราตรีทั้งสามครั้งก็เหมือนน้ำฝนในวันหวงเหมย (ช่วงเวลาเดือนสี่เดือนห้าของปฏิทินจันทรคติของจีนจะมีฝนตกชุกมากเป็นพิเศษ) ที่ตกลงมาอย่างถี่กระชั้นจนคนตั้งตัว ไม่ทัน ช่วงก่อนและหลังงานเลี้ยงท่องราตรี แต่ละคนที่อยู่บนภูเขาพีอวิ๋นคลี่ยิ้มกว้างสดใส ทว่าในใจมีใครบ้างที่ไม่ร้องโอดครวญ ลำพังเพียงแค่ของขวัญกราบภูเขาทั้งสามครั้งนั้นก็ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่จะมีหรือไม่มีก็ได้แล้ว หากไม่มีเงินทุนสักหน่อย คาดว่า คงต้องใช้ชีวิตแบบรัดเข็มขัดให้แน่นกันแล้ว
และยังมีผู้ถวายงานอย่างเป็นทางการที่เป็นผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบอีกคนหนึ่ง นี่เรียกว่าเป็นเรื่องที่ทำให้คนตะลึงพรึงเพริดได้อย่างแท้จริง มีตระกูลเซียนที่ไม่มี อักษรจงแห่งใดบ้างที่มีผู้ถวายงานห้าขอบเขตบนอยู่บนภูเขาของตัวเอง? ไม่กลัวว่าแขกจะวางอำนาจบาตรใหญ่จนรังแกเจ้าบ้านได้จริงๆ หรือ?
บวกกับผู้ฝึกตนที่เป็นผู้สืบทอดศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อีจากสำนักพีหมา อุตรกุรุทวีปอีกสองคนที่มารับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานซึ่งได้รับการบันทึกชื่อ นี่เป็น เรื่องที่สำนักไหนมีกันบ้าง?
ส่วนชุยตงซานเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยืนอยู่ในแถวที่สองผู้นั้น หลิวจ้งรุ่นรู้สึกว่า เขาไม่ได้พูดง่ายไปกว่า ‘ผู้ฝึกตนอิสระโจวเฝย’ คนนั้นเลย
ชายหญิงสี่คนที่ยืนอยู่ในแถวที่สามเวลานั้น จูเหลี่ยน หลูป๋ายเซี่ยง สุยโย่วเปียน เว่ยเซี่ยน มีใครที่ธรรมดาบ้าง? สามคนในนั้น หลิวจ้งรุ่นล้วนรู้จัก การงมเอาเรือมังกรและตำหนักวารีขึ้นมา วันเวลาที่อยู่ร่วมกับคนทั้งสามไม่ถือว่าสั้น รัศมีบรรยากาศ รอบกายของแต่ละคนล้วนชวนตกตะลึง เพียงแต่ถูกเก็บซ่อนไว้ภายใน ส่วนสตรี อีกคนหนึ่งที่มีพลังอำนาจไม่แพ้ให้กับปรมาจารย์วิถีวรยุทธทั้งสามคนผู้นั้น นางกลับยังมองรากฐานไม่ออก แต่ในเมื่อสามารถยืนอยู่กับคนทั้งสามได้ นั่นก็หมายความว่า พลังการต่อสู้ของสุยโย่วเปียนย่อมไม่อ่อนด้อยกว่าเป็นแน่ คนทั้งสี่ที่อย่างน้อยที่สุดก็น่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็เป็นคนของทำเนียบวงศ์ตระกูลภูเขาลั่วพั่วด้วย?
ในแจกันสมบัติทวีปที่ยิ่งใหญ่นี้ จะไปหาที่ไหนได้อีก?
แต่เรื่องที่ทำให้หลิวจ้งรุ่นจำต้องยอมรับชะตากรรมมากที่สุดนั้นอยู่ที่ เด็กรุ่นหนุ่มสาวที่ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วสร้างออกมาเป็นคนประเภทเผยเฉียนที่ได้พบกันบ่อยๆ เฉาฉิงหล่างเด็กหนุ่มที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มา เฉินยวนจี คู่พี่น้องหยวนไหลหยวนเป่า…
เพราะลูกศิษย์รุ่นที่สองซึ่งอายุยังไม่มากของภูเขาลั่วพั่วนี้ จะเป็นผู้ตัดสินระดับความลึกล้ำแข็งแกร่งของรากฐาน รวมไปถึงระดับความสูงส่งของภูเขาลั่วพั่วในอนาคต
ทว่าเรื่องที่ทำให้หลิวจ้งรุ่นตื่นตะลึงมากที่สุดยังคงไม่ใช่เรื่องพวกนี้ แต่เป็น เรื่องสองเรื่อง
อย่างแรกคือภาพเหมือนสามภาพที่แขวนอยู่ในศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว
นี่หมายความว่าภูเขาลั่วพั่วมาจากไหน
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่หลิวจ้งรุ่นได้รู้ความจริง ขณะเดียวกันก็ได้เข้าใจว่าที่แท้ชื่อของภูเขาลั่วพั่วก็มีความหมายลึกซึ้งถึงเพียงนี้
เรื่องที่สองก็คือตอนนั้นในศาลบรรพจารย์ที่ไม่ใหญ่ มีบรรยากาศแห่งหนึ่งที่ไร้เสียง แต่กลับดังก้องยิ่งกว่าตอนมีเสียงเสียอีก
คนหนุ่มสวมชุดเขียวปักปิ่นหยกบนมวยผมคนนั้นยืนโดดเดี่ยวอยู่ด้านหน้าสุดเพียงลำพัง
ทุกคนที่อยู่เบื้องหลัง ไม่ว่าจะมีขอบเขตอะไร มีชาติกำเนิดแบบใด มีนิสัยแบบใด ผู้สืบทอดก็ดี ผู้ถวายงานก็ช่าง ทุกคนล้วนแสดงความเคารพอย่างถึงที่สุด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเฉินผิงอันประกาศชื่อโจวหมี่ลี่ให้มีหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์ขุนเขา หลิวจ้งรุ่นที่เป็นผู้เข้าร่วมพิธีสังเกตและรับสัมผัสถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ทางสีหน้าของทุกคนอย่างละเอียด
ไม่ใช่คำว่าดูเหมือนอะไรทั้งนั้น แต่เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอนที่ไม่มีใครรู้สึกว่า เจ้าขุนเขาหนุ่มกำลังทำเรื่องตลกน่าขัน
พอหลิวจ้งรุ่นคิดถึงเรื่องพวกนี้ก็เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก นางต้องเดินออกมา จากห้อง มาเดินเล่นอยู่ในลานบ้าน
แหงนหน้ามองไปทางฝั่งภูเขาลั่วพั่ว อารมณ์ของหลิวจ้งรุ่นซับซ้อนยิ่ง
……
สำนักศึกษาซานหยา
หลังจากเลิกเรียน หลี่ไหวก็ค้นพบว่าพี่สาวของตนมายืนอยู่นอกหอพักนักเรียน
เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะอง
ปฏิเสธไม่ได้ว่า พี่สาวของตนหน้าตางดงามใช้ได้เลย
หลี่ไหวยิ้มกล่าว “ท่านพี่ วันนี้ได้เจอกับหลินโส่วอี เขาเพิ่งบ่นถึงท่านอยู่พอดี ท่านก็มาแล้ว”
หลี่หลิ่วมองน้องชายที่ตัวสูงกว่าตนเองไปเล็กน้อยแล้ว แล้วยิ้มพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ได้รับจดหมายจากทางบ้าน ท่านแม่ได้ยินว่าเจ้าเรียนหนัก เป็นห่วง เจ้ามาก ก็เลยยืนกรานให้ข้ามาพบหน้าเจ้าให้ได้”
หลี่ไหวเปิดห้องพัก รินน้ำชาให้หลี่หลิ่วหนึ่งถ้วย พูดอย่างจนใจว่า “ข้าก็แค่บ่น ไปตามประสาไม่กี่คำ ท่านแม่ไม่รู้ แต่ท่านจะยังไม่รู้ด้วยหรือ สำหรับข้าแล้ว นับตั้งแต่วันแรกที่เรียนหนังสือในโรงเรียน มีวันใดบ้างที่ไม่เรียนหนัก?”
หลี่หลิ่วปลดห่อสัมภาระวางลงบนโต๊ะ นั่งลงด้านข้าง พยักหน้าเอ่ยว่า “อย่างเดียวที่ไม่เหมือนก็คือโตแล้ว”
หลี่ไหวกลอกตามองบน “ข้าก็ไม่ได้อยากโตสักเท่าไรหรอก เหมือนเผยเฉียน อย่างไรล่ะ กินข้าวแค่ไหนก็ตัวไม่โตสักที ข้าเรียนหนังสือไม่ได้เรื่อง เหนื่อยก็เหนื่อยจริงหรอก เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ออกเดินทางไกลไปพร้อมกับพวกอาจารย์ จะต้องเดินทางหลายพันลี้ เท้าน่ะเหนื่อย แต่ใจไม่เคยเหนื่อยเลยจริงๆ อันที่จริง เมื่อเทียบกับการศึกษาหาความรู้อย่างยากลำบากอยู่ในโรงเรียนแล้ว กลับสบายมากกว่า เพราะฉะนั้นข้าจึงเหมาะจะเป็นจอมยุทธใหญ่ในยุทธภพมากกว่า หากเอาแต่เรียนหนังสือ ชั่วชีวิตนี้ข้าคงไม่มีวันได้ดิบได้ดีหรอก”
หลี่หลิ่วตบห่อสัมภาระ “ของบางอย่างด้านในนี้ เจ้าจงเก็บรักษาไว้ให้ดี วันหน้าหากขาดเงินก็สามารถให้เจ้าขุนเขาเหมาช่วยเอาไปขายแลกเงินให้เจ้าได้”
“พูดล้อเล่นอะไร ข้าหรือจะกล้าไปหาเจ้าขุนเขาเหมา มีแต่จะหลบเลี่ยงเขา ผู้อาวุโสน่ะสิไม่ว่า”
หลี่ไหวฟุบตัวลงบนโต๊ะ เปิดห่อสัมภาระออก เลือกๆ หยิบๆ พลางบ่นไปด้วยว่า “ข้าก็ว่าแล้วเชียว ท่านพี่ไปเป็นสาวใช้ให้เซียนซือผู้เฒ่าอยู่บนยอดเขาสิงโตได้แค่ ไม่กี่ปีเอง จะต้องไม่มีทางเก็บสะสมของดีอะไรมาได้แน่นอน เห็นไหมล่ะ ไม่มีสมบัติตระกูลเซียนที่แสงศักดิ์สิทธิ์เรืองรองเลยสักชิ้น เทียบกับพวกของที่เฉินผิงอันให้ข้าแล้วก็ห่างชั้นกันไกลโขเลย ท่านพี่ ท่านพยายามเข้าสิ ตั้งใจฝึกตนให้ดี เป็นเทพเซียน ห้าขอบเขตกลางถ้ำสถิตให้เร็วสักหน่อย ท่านไม่รู้อะไร ตอนนี้หลินโส่วอีมีหน้ามีตา นักล่ะ สตรีในเมืองหลวงต้าสุยแทบจะแย่งชิงเขาจนหัวร้างข้างแตกแล้ว”
หลี่หลิ่วแย้มยิ้ม ไม่ได้ต่อปากต่อคำ
สิ่งของด้านในห่อสัมภาระ แน่นอนว่าเป็นเพราะยังไม่เปิดผนึกวิชาลับ ถึงได้ดูหม่นหมองไร้สีสัน นี่ก็เพราะนางกลัวว่าหากทางสำนักศึกษาและเหมาเสี่ยวตง ไม่ทันระวัง จะปกปิดรัศมีของพวกมันเอาไว้ไม่อยู่
หลี่ไหวถอนหายใจ ส่ายหน้า วางของที่อยู่ในมือลง ผูกปมห่อสัมภาระใหม่อีกครั้ง เขาคงช่วยหลินโส่วอีได้แค่เท่านี้แล้ว
ส่วนเรื่องที่ว่าเหตุใดหลินโส่วอีถึงดึงดันจะชอบหลี่หลิ่วพี่สาวของเขา หลี่ไหว คิดจนหัวแทบแตกก็ยังไม่เข้าใจ ต่งสุ่ยจิ่งชอบพี่สาวเขาก็ยังพอทำเนา เปิดร้านขายเกี๊ยวน้ำอยู่ที่เขตการปกครองหลงเฉวียนก็ยังถือว่าฐานะเหมาะสมกับครอบครัวของตน แต่ตอนนี้เจ้าหลินโส่วอีเป็นถึงหยกงามด้านการฝึกตนที่มีชื่อเสียงไปทั่วต้าสุยแล้ว พี่สาวข้ามีดีอะไรนักหนา ต้องคิดถึงพะวงหายาวนานขนาดนี้ด้วยหรือ?
หลี่ไหวยกห่อสัมภาระขึ้นมา โอ้ หนักมากเลยนะนี่
จากนั้นหลี่ไหวก็มองพี่สาวที่ใช้สองมือยกถ้วยดื่มชาช้าๆ ก่อนอดไม่ไหวพูดด้วยความหวังดีว่า “ท่านพี่ วันนี้ข้าไม่พูดอะไรมากแล้ว ถึงอย่างไรท่านก็ยังไม่ออกเรือน คนครอบครัวเดียวกัน มอบของให้กันไปให้กันมา เงินก็หมุนวนอยู่ในบ้านตัวเอง นี่แหละ
แต่วันหน้าหากท่านออกเรือนไปก็อย่าได้มอบของให้ข้าแบบนี้อีก เดิมทีฝึกตน อยู่บนภูเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อีกอย่างท่านได้ขึ้นไปอยู่บนยอดเขาสิงโตก็เพราะใช้ เส้นสายทางเครือญาติ อยู่บนภูเขาต้องถูกคนซุบซิบนินทาอย่างแน่นอน ท่านเก็บเงินไว้ให้ตัวเองมากๆ เถอะ อันที่จริงขอแค่ช่วยเหลือร้านท่านพ่อท่านแม่ได้บ้างก็ถือว่าพอสมควรแล้ว ท่านพ่อท่านแม่ของพวกเราก็ใช่ว่าจะเห็นแก่เรื่องพวกนี้เสียหน่อย หากท่านแม่พูดอะไร ท่านก็ผลักเรื่องมาที่ข้า ข้าไม่ได้จะตำหนิท่านหรอกนะ แต่ท่านอายุก็ไม่น้อยแล้ว ใกล้จะกลายเป็นหญิงแก่อยู่รอมร่อ ควรจะคิดเรื่องการแต่งงานของตัวเองบ้างได้แล้ว สินเดิมมีมากหน่อย ทางฝั่งแม่สามีจะได้ทำสีหน้าดีๆ ให้เห็นบ้าง”
หลี่หลิ่วยิ้มตาหยี “ดูท่าจะโตแล้วจริงๆ ถึงได้รู้จักคิดเพื่อพี่สาวแล้ว”
หลี่ไหวนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว เทถั่วเหลืองลงในจานแล้วผลักไปให้พี่สาว ตัวเองคว้าถั่วกำหนึ่งมาไว้ในมือ ปากเคี้ยวถั่วเหลืองพลางยิ้มพูดไปด้วยว่า “ท่านพี่ ประโยคนี้ของท่านไร้มโนธรรมแล้วนะ นับตั้งแต่เด็กข้าทุ่มเทแรงใจให้ท่านน้อย นักหรือ คอยพยายามช่วยหาพี่เขยมาให้ท่านตลอด ยกตัวอย่างเช่นอาเหลียงพี่น้อง คนดีของข้าเอย เฉินผิงอันที่ข้าเลื่อมใสที่สุดเอย น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ ต้องโทษ ท่านเองนั่นแหละ จะมาโทษข้าไม่ได้หรอกนะ”
หลี่หลิ่วโยนถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งใส่เขา “ไม่มีน้องชายคนไหนเล่นสกปรกแกล้งพี่สาวอย่างเจ้าหรอก”
หลี่ไหวรับไว้แล้วโยนใส่ปากพร้อมกับถั่วที่อยู่ในฝ่ามือไปพร้อมกันรวดเดียว “ล้อเล่นก็ส่วนล้อเล่น วันหน้าออกเรือนไป หากท่านยังคอยเอาของมามอบให้บ้านเดิมอยู่อย่างนี้ ก็ไม่ได้แล้วจริงๆ พี่เขยจะต้องไม่ชอบใจแน่ ท่านอย่าเอาแต่ฟังท่านแม่บ่น วันหน้าข้าควรจะเป็นอย่างไร ข้าย่อมต้องช่วงชิงมาด้วยตัวเอง อาศัยพี่เขยจะนับเป็นอะไรได้ จะทำให้ท่านถูกคนในบ้านของพี่เขยดูแคลนเปล่าๆ”
หลี่ไหวยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเหตุผล “ต่อให้พี่เขยในอนาคตจะเป็นคนใจกว้าง ไม่คิดเล็กคิดน้อย ท่านก็ไม่ควรทำเช่นนี้”
หลี่หลิ่วยิ้มถาม “ทำไมล่ะ?”
หลี่ไหวพูดอย่างหมดความอดทนว่า “ท่านพี่ ท่านนี่น่ารำคาญนัก ข้าบอกว่า ควรทำอย่างนี้ ท่านก็ทำอย่างนี้ไปนั่นแหละ บ้านเราใครใหญ่สุด? ข้าใช่ไหมล่ะ ท่านแม่ฟังข้า ท่านพ่อฟังท่านแม่ ท่านฟังท่านพ่อ ถ้าอย่างนั้นท่านว่าคำพูดของใครได้ผลที่สุด?”
หลี่หลิ่วหัวเราะทันใด
หลี่ไหวกะพริบตาปริบๆ “ก็ได้ ข้ายอมรับ คำพูดประโยคก่อนหน้านี้เป็นคำพูด ที่ข้าเคยปรึกษากับเฉินผิงอันเมื่อปีนั้น แล้วก็เป็นเพราะว่าตลอดหลายปีมานี้พวกเราได้เจอกันน้อย ก็เลยต้องเก็บคำพูดพวกนี้เอาไว้ไม่เคยมีโอกาสได้พูดกับท่านเสียที แต่ปัญหาข้อหลังนั่น เฉินผิงอันไม่ได้สอนข้า จะวิเคราะห์ให้ท่านฟังอย่างไร หากท่านอยากรู้คำตอบ เดี๋ยววันหน้าข้าค่อยไปถามเอาจากเฉินผิงอันอีกที”
หลี่หลิ่วถาม “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเฉินผิงอันต้องถูกเสมอไป?”
หลี่ไหวถาม “หรือว่าเฉินผิงอันพูดผิด?”
หลี่หลิ่วยิ้มตอบ “ก็เปล่าหรอก”
หลี่ไหวหัวเราะหึหึ “หลี่หลิ่ว! น้องชายของท่านอย่างข้า คือคนประเภทที่ว่าเพื่อพี่น้องของตัวเองแล้ว สามารถเอามีดเสียบตัวเองได้สองที”
หลี่ไหวยกนิ้วโป้งชี้ไปที่หน้าอกของตน
หลี่หลิ่วยิ้ม โน้มตัวไปด้านหน้า ปัดมือของหลี่ไหวออกเบาๆ แล้วชี้ไปที่ชายโครงของเขา “ที่ในตำราบอกว่าเสียบมีดสองทีที่ชายโครง (เปรียบเปรยถึงการเสียสละ ที่ยิ่งใหญ่) หมายถึงตรงนี้ อย่าได้เสียบมีดเข้าที่หัวใจของตัวเองล่ะ วันหน้าต่อให้เป็นสหายที่สนิทกันแค่ไหน…”
หลี่ไหวถลึงตาใส่ “ท่านพี่ ท่านเป็นสตรีคนหนึ่งจะเข้าใจยุทธภพได้อย่างไร! อย่ามาพูดเรื่องพวกนี้กับข้าเลย ไม่อย่างนั้นท่านมีเรื่องกับข้าแน่”
หลี่หลิ่วยิ้มแล้วไม่เอ่ยอะไรอีก
หลี่หลิ่วเข้าใจยุทธภพหรือไม่?
เป็นคำถามที่น่าสนใจอย่างถึงที่สุด
เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาลอันห่างไกล ใต้หล้ามีแค่ใต้หล้าเดียว
ห้าทะเลสาบสี่มหาสมุทร ลำน้ำใหญ่มหานที
เคยมีขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ที่มีอำนาจสำคัญกลุ่มหนึ่ง ตำแหน่งขุนนางสูง อำนาจใหญ่ ถึงขั้นอยู่เหนือกว่าพ่อปู่ลำคลอง เทพพิรุณและเหล่าราชามังกร มีนามว่าทูตประหารมังกร คอยตรวจตรา ควบคุมและออกคำสั่งแก่เจียวหลงในใต้หล้า
และบุคคลที่มีอำนาจสูงเหล่านี้ก็ฟังคำสั่งจากองค์เทพบรรพกาลแค่องค์เดียวเท่านั้น ความหมายของชื่อของฝ่ายหลังคือเจ้าผู้ครองแม่น้ำและทะเลสาบ
หลี่หลิ่วพลันถามว่า “ออกจากสำนักไปทัศนศึกษาหลายครั้งแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่ไหวค่อยๆ หุบยิ้ม เอ่ยเสียงเบาว่า “ตอนเด็กๆ มีแต่จะแผดเสียงอ่านตำรา เสียงดังไปพร้อมกับพวกหลี่เป่าผิง แต่อ่านอะไรไปบ้าง ตัวเองกลับไม่เคยรู้เลย คำพูดดีๆ มากมายในตำราประวัติศาสตร์ เมื่อก่อนเอาแต่ท่องจำอย่างเดียว ไม่ว่าอย่างไรก็จำไม่ได้ แต่พอเดินทางไปไกล ได้เห็นผู้คนมามากมาย จู่ๆ ก็ค้นพบว่าตัวเองคิดอยากจะลืม กลับยากเสียแล้ว ‘ยอดฝีมือตามป่าเขา หลบซ่อนตัวทำเรื่องประหลาดเพื่อหวังชื่อเสียง’ ‘ใช้ความเป็นแม่ทัพ บัญชาการณ์ทหารปลิดชีพเข่นฆ่า ยิงร้อยโดนร้อย’ ‘คนบางคนเสื้อผ้าขาดวิ่น ใบหน้าแห้งตอบ ราวกับขอทาน’”
หลี่ไหวเค้นรอยยิ้มเอ่ยว่า “ท่านพี่ พวกเราไม่คุยเรื่องพวกนี้กันแล้ว”
หลี่หลิ่วพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็คุยเรื่องหลี่เป่าผิง?”
หลี่ไหวรู้สึกหัวโตขึ้นมาทันใด “อย่านะ พูดเรื่องนี้ข้าปวดหัวยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ตอนนี้เห็นหลี่เป่าผิงนั่นข้าก็เบื่อแล้ว ทุกวันนางเอาแต่อ่านตำราเล่าเรียน พร่ำพูดว่าจะต้อง ‘อ่านตำราหมื่นเล่ม’ อะไรนั่นให้ได้ แล้วยังยุ่งมากทุกวัน ไม่ได้เอาแต่วิ่งไปวิ่งมาเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ท่านเดาดูสิว่าเป็นเพราะอะไร กลับกลายเป็นว่าไม่เคยได้เห็นหน้าค่าตากันยิ่งกว่าหลินโส่วอีเสียอีก ท่านพี่ ท่านว่าประหลาดหรือไม่? เมื่อก่อนน่ะ มักจะรู้สึกว่าหลี่เป่าผิงตอนเป็นเด็กคือคนที่น่ากลัวที่สุดในโลกแล้ว ตอนนี้กลับรู้สึกว่าหลี่เป่าผิงยังสู้ในอดีตไม่ได้ด้วยซ้ำ รอให้เฉินผิงอันมาถึงสำนักศึกษา ข้าจะต้องเสี่ยงตายรายงาน ตำหนิหลี่เป่าผิงผู้นี้ต่อหน้าเฉินผิงอัน สักหน่อย ช่วยไม่ได้ คาดว่าคงมีแค่อาจารย์อาน้อยของนางคนนี้เท่านั้นที่พอจะจัดการหลี่เป่าผิงได้บ้าง”
แล้วหลี่ไหวก็สะบัดหัวอย่างแรง “ไม่พูดถึงนางแล้ว ข้าล่ะปวดกบาล ส่วนอวี๋ลู่กับเซี่ยเซี่ย อันที่จริงก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไร แต่ละคนล้วนเป็นเช่นนี้กันไปหมด แต่อันที่จริงความสัมพันธ์ของพวกเรายังคงไม่เลวอยู่เหมือนเดิม บางครั้งที่เจอหน้ากันข้าก็ยังสัมผัสได้อยู่”
พอหลี่หลิ่วจากไปแล้ว
หลินโส่วอีเพิ่งจะมาถึง
พอรู้ว่าหลี่หลิ่วมาอย่างรีบร้อนและจากไปอย่างรีบร้อน หลินโส่วอีก็เงียบงันไป
หลี่ไหวเองก็ช่วยไม่ได้ จะพูดเกลี้ยกล่อมก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร
หากพูดถูก ก็ไม่แน่เสมอไปว่าอีกฝ่ายจะกลายเป็นพี่เขยของตน ไม่ทันระวังพูดผิด อาจกลายเป็นการสาดเกลือลงบนบาดแผล
พอหลินโส่วอีจากไป
หลี่ไหวก็ถอนหายใจเฮือกๆ จะรีบมีสตรีที่ชื่นชอบเร็วขนาดนี้ไปทำไมนะ เป็นเหมือนตนก็ดีจะตายไป
กลับไปในห้อง หลี่ไหวเอาหีบไม้ไผ่ใบเล็กวางลงบนโต๊ะ ใส่ห่อสัมภาระของพี่สาวเข้าไปด้านใน จากนั้นก็บรรจงเช็ดถูหีบไม้ไผ่
สุดท้ายหลี่ไหวลูบคลำปลายคาง รู้สึกว่าจำเป็นต้องใช้ท่าไม้ตายแล้ว
เขารินน้ำชาหนึ่งถ้วย ใช้ปลายนิ้วจุ่มน้ำแล้วตะโกนว่าฟ้าศักดิ์สิทธิ์ดินศักดิ์สิทธิ์อย่างส่งเดช จากนั้นก็เขียนชื่อเฉินผิงอันลงไป
พอทำเสร็จ หลี่ไหวก็ทำท่ากดลมปราณลงสู่จุดตันเถียน มองร่องรอยบนผิวโต๊ะแล้วพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ตัวอักษรสวยงาม อาเหลียงร้อยคนก็สู้ตนไม่ได้
……
ช่วงเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง
เฉินผิงอันพาเผยเฉียนมาเตรียมขึ้นเรือมังกรของบ้านตัวเองที่ท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยวเพื่อมุ่งหน้าไปยังสำนักศึกษาต้าสุย ต่อให้โจวหมี่ลี่จะเอาไม้เท้าเดินป่าคืนให้คนทั้งสองไปแล้ว บนบ่าก็ยังแบกไม้คานหาบสีทองอยู่ลำหนึ่ง
ชุยตงซานและเว่ยเซี่ยนก็ไปจากเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วเช่นกัน แต่โดยสารเรือข้ามฟากของกองทัพต้าหลีอีกลำหนึ่งที่ผ่านทางมาแทน
เว่ยเซี่ยนกำลังพูดจ้ออยู่กับเผยเฉียน
ชุยตงซานเอ่ยคำลาแค่สองประโยค
“อาจารย์ ตลอดหลายปีมานี้คอยย้ายภูเขาอย่างยากลำบาก ที่พึ่งทั้งหลายที่อาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมา อันที่จริงพอจะพึ่งพาได้บ้างแล้ว”
“เส้นทางเต็มไปด้วยอุปสรรคอีกทั้งยังยาวไกล ขออาจารย์โปรดเยือกเย็นอย่าได้สะทกสะท้าน”