Skip to content

Sword of Coming 557

บทที่ 557 วัตถุใดบนภูเขาทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุด

หยวนไหลชอบอ่านตำรามากกว่า อันที่จริงเขาไม่ค่อยชอบฝึกวรยุทธนัก ไม่ใช่ว่าทนรับความยากลำบาก อดทนกับความเจ็บปวดไม่ได้ เพียงแค่ว่าเขาไม่ได้หลงใหลในการเรียนวรยุทธเท่าพี่สาว

ติดตามหลูป๋ายเซี่ยงผู้เป็นอาจารย์มาเยือนภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้อีกครั้ง เขากับพี่สาวยังคงไม่สามารถถูกบันทึกชื่อไว้ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์ได้ เพราะว่าเจ้าภูเขาหนุ่มคนนั้นไม่อยู่บนภูเขาอีกแล้ว หยวนไหลไม่ได้รู้สึกอะไร ทว่าอันที่จริงหยวนเป่าผู้เป็นพี่สาวกลับโกรธเคืองอยู่มาก ด้วยรู้สึกว่าอาจารย์ของตนถูกเพิกเฉยใส่ ทุกวันนอกจากฝึกวิชาหมัดเดินนิ่ง ประลองวิชาการโจมตีกับพี่สาวแล้ว ยามมีเวลาว่างหยวนไหลก็จะต้องอ่านหนังสือ หยวนเป่าไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้มากนัก นางเคยมาหาหยวนไหลเป็นการส่วนตัวแล้วพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่บอกว่าได้พบเจออาจารย์เช่นนี้ พวกเขาสองพี่น้องจะต้องเห็นค่าและทะนุถนอมให้ดี หยวนไหลฟังเข้าหูแล้ว เพียงแต่ว่าเขายังมีเหตุผลหลักการของตัวเองที่อยากจะพูด แต่พอเห็นสีหน้า เย็นชาของพี่สาวในเวลานั้น รวมไปถึงทวนไม้ยาวที่นางกำไว้ในมือแน่น หยวนไหลก็ ไม่กล้าเปิดปากพูดอีก

ทวนไม้ยาวอันนั้นเป็นของสิ่งเดียวที่บิดาซึ่งเป็นผู้คุมกันของพวกเขาทิ้งไว้ให้ ในสายตาของหยวนเป่า นี่ก็คือสมบัติสืบทอดจากบรรพบุรุษตระกูลหยวน เดิมทีควรมอบต่อให้แก่หยวนไหล เพียงแต่นางรู้สึกว่านิสัยของหยวนไหลนุ่มนิ่มเกินไป ไม่มีความแกร่งกล้ามาตั้งแต่เด็ก จึงไม่คู่ควรที่จะถือทวนไม้อันนี้

แน่นอนว่าหยวนเป่าชอบสำนักที่แท้จริงที่ครึกครื้นอีกทั้งยังมีกฎระเบียบของ พวกเขามากกว่า ที่นั่นเคยเป็นรังเก่าของสำนักมารในยุทธภพราชวงศ์จูอิ๋ง ก่อนหน้านี้อาจารย์ได้รวบรวมพวกทหารม้ากองโจรที่เร่ร่อนอยู่แถวชายแดนมาได้กลุ่มหนึ่ง ภายหลังก็มีพวกคนต่างถิ่นมีความสามารถที่ปิดบังชื่อแซ่อีกมากมายทยอยมาเข้าร่วม คนแก่บางคนทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของตำรา

ต่อให้กินอาหารรสหยาบ ดื่มเหล้าชั้นเลว แต่ก็ยังมีมาดสง่างาม คนหนุ่มสาวบางคน ที่สวมเสื้อผ้าธรรมดา พอเห็นปลาตัวใหญ่เนื้อชิ้นโตกลับยังขมวดคิ้ว ลังเลอยู่นานกว่าจะยอมจับตะเกียบคีบอาหาร ชายฉกรรจ์บางคนที่นิสัยเงียบขรึมพูดน้อย ยามที่มองดาบประจำตัวกลับมักจะหลั่งน้ำตาเงียบๆ

หยวนไหลชอบภูเขาลั่วพั่ว

เพราะบนภูเขาลั่วพั่วมีแม่นางคนหนึ่งชื่อว่าเฉินยวนจี

นางเองก็มุมานะฝึกวิชาหมัดเหมือนกับพี่สาวของเขา แต่หน้าตางดงามกว่าพี่สาว แล้วยังอ่อนโยน

เขารู้ว่าทุกวันเช้าค่ำเฉินยวนจีจะเดินอยู่บนขั้นบันไดของภูเขาลั่วพั่วสองรอบ ดังนั้นเขาจึงจะกะเวลาให้แม่นยำ แล้วออกไปเดินเล่นแถวศาลภูเขาบนยอดเขา เร็วกว่าหน่อย หลังจากเดินวนได้หนึ่งรอบแล้วก็จะมานั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ขั้นบันได

ใต้แสงจันทร์คืนนี้ หยวนไหลมานั่งอ่านหนังสืออยู่บนขั้นบนสุดของบันไดอีกครั้ง ผ่านไปอีกประมาณครึ่งชั่วยามแม่นางเฉินก็จะเดินฝึกหมัดมาจนถึงยอดเขาแห่งนี้ โดยทั่วไปแล้วนางจะหยุดพักหนึ่งก้านธูปก่อนจะลงภูเขาไปอีกครั้ง บางครั้งแม่นางเฉินก็จะถามเขาว่าอ่านหนังสืออะไร หยวนไหลก็จะเล่าเรื่องที่เตรียมมาไว้เรียบร้อยแล้ว ให้แม่นางเฉินฟัง ตำราชื่ออะไร ซื้อมาจากไหน ในตำราพูดถึงเรื่องอะไร แม่นางเฉิน ไม่เคยรำคาญ ยามที่รับฟังเขาพูด นางก็จะมองเขาอย่างตั้งใจ ดวงตาคู่นั้นของ แม่นางเฉิน หยวนไหลไม่กล้ามองนานนัก แต่ก็มักจะอดไม่ไหวเหลือบมองไปบ่อยๆ

ดวงตาของแม่นางเฉินก็คือดวงจันทร์กระจ่าง

ใต้หล้ามีดวงจันทร์เพียงดวงเดียว ไม่ว่าใครเงยหน้าก็ล้วนมองเห็น ไม่ใช่เรื่องประหลาด

ทว่าแสงจันทร์ในดวงตาของแม่นางเฉินมีเพียงเขาหยวนไหลคนเดียวที่มองไปแล้วสังเกตเห็น

คืนนี้ไม่รู้ว่าเหตุใดข้างกายของแม่นางเฉินถึงมีพี่สาวของเขาเดินมาด้วย พวกนางเดินขึ้นเขาด้วยท่าเดินนิ่งที่เป็นขั้นพื้นฐานตื้นเขินมาด้วยกัน

หยวนไหลจึงรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย จะนั่งจะยืนก็ไม่เป็นสุข กังวลว่าพี่สาวที่ ปากเร็วโผงผางผู้นั้นจะสั่งสอนว่าเขาไม่ทำตัวเป็นการเป็นงานต่อหน้าแม่นางเฉิน ถ้าอย่างนั้นวันหน้าแม่นางเฉินจะยังยินดีถามเขาอีกหรือว่ากำลังอ่านตำราอะไร?

หยวนเป่าและเฉินยวนจีเดินมาถึงบนยอดเขาพร้อมกัน พวกนางหยุดท่าหมัด แม่นางสองคนที่ต่างก็มีความงามในแบบของตัวเองพูดคุยหัวเราะกันอย่างถูกคอ แต่ว่าหากคิดจะเปรียบเทียบกันจริงๆ แน่นอนว่าความงามของเฉินยวนจีต้องมากกว่า

หยวนเป่าเคยประลองฝีมือกับเฉินยวนจีเป็นการส่วนตัวมาก่อน ทั้งคู่ต่างก็เคยชนะแล้วก็เคยแพ้ ทั้งสองฝ่ายเพิ่งฝึกหมัดได้ไม่นานเท่าไร ดังนั้นจึงนัดหมายกันว่า ในอนาคตพวกนางจะต้องเลื่อนเป็นขอบเขตร่างทองในตำนานด้วยกัน

หยวนไหลนั่งอยู่ห่างไปไม่ไกล จะอ่านหนังสือก็ไม่ใช่ จะจากไปก็ตัดใจไม่ลง เขาหน้าแดงเล็กน้อย ได้แต่เงี่ยหูตั้งใจฟังเสียงไพเราะเสนาะหูของแม่นางเฉินที่กำลังพูดคุย เพียงแค่นี้เขาก็พอใจแล้ว

เด็กสาวสองคนนั่งเคียงบ่ากัน หยวนเป่าเล่าว่าวิชาวรยุทธของอาจารย์ตนเลิศล้ำ ความสามารถก็น่าตื่นตะลึง พิณ หมากล้อม พู่กัน ภาพวาด ไม่มีอะไรที่ทำไม่เป็น

เฉินยวนจีจึงพูดถึงความดีมากมายของท่านอาจารย์ผู้เฒ่าจู มีเมตตาน่าใกล้ชิดสนิทสนม ปฏิบัติต่อคนอื่นด้วยความดี ทำอาหารรสเลิศได้โต๊ะใหญ่

หยวนไหลมองลงไปด้านล่าง เห็นแม่นางน้อยสามคน คนที่เป็นหัวหน้าคือคนที่ ตัวสูงที่สุด เป็นเด็กหญิงที่ประหลาดมากคนหนึ่ง มีนามว่าเผยเฉียน เป็นตัวป่วน คนหนึ่ง เวลาอยู่กับอาจารย์และผู้อาวุโสจูเหลี่ยน คำพูดคำจาของนางไม่เคยมีความกริ่งเกรง ใจกล้าอย่างถึงที่สุด ภายหลังหยวนไหลถามอาจารย์ถึงได้รู้ว่าที่แท้เผยเฉียนผู้นี้ก็คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเจ้าขุนเขาหนุ่มผู้นั้น อีกทั้งในอดีตยังออกจาก บ้านเกิดมาพร้อมกับพวกอาจารย์สี่คน ต้องเดินทางร่วมกันมาไกลมาก ถึงได้เดินทางจากใบถงทวีปมาถึงแจกันสมบัติทวีป และมาถึงภูเขาลั่วพั่ว

เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่สามารถเสกเมล็ดแตงหนึ่งกำมือออกมาได้ตลอดเวลาผู้นั้น ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วยังไม่ได้สร้างศาลบรรพจารย์ที่เป็นทางการขึ้นมา ทว่านางกลับมีทำเนียบวงศ์ตระกูลของตัวเองแล้ว ในทำเนียบวงศ์ตระกูลนั้นนางชื่อว่าเฉินหรูชู แต่นางยังบอกว่าจะเรียกนางว่าหน่วนซู่ก็ได้ แล้วยังอธิบายอย่างละเอียดว่าคำว่าหน่วนซู่นี้เอามาจากสองตัวอักษรขึ้นต้นและลงท้ายประโยค ‘อากาศอบอุ่นของ วสันตฤดูกระตุ้นพืชพรรณให้แตกหน่อ หุบเขาทะมึนแปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่น รุ่งอรุณ นกขมิ้นบินผ่านแมกไม้ น้ำค้างเปียกชื้นขนสีทองของพวกมัน’ ส่วนแม่นางน้อยชุดดำอีกคนที่แบกไม้เท้าเดินป่านั้น ท่าทางเซ่อซ่า ครั้งแรกที่พบเจอกันก็ถามเขาว่า เคยได้ยินชื่อทะเลสาบคนใบ้ของอุตรกุรุทวีปหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าในทะเลสาบคนใบ้ มีภูตน้ำใหญ่อยู่ตนหนึ่ง

เฉินยวนฉีเห็นเผยเฉียนก็ให้กลัดกลุ้มใจฝ่อเล็กน้อย

หยวนเป่าไม่ใคร่ยินดีจะสนใจภูเขาลูกน้อยบนภูเขาลั่วพั่วลูกนี้ เฉินหรูชูยังนับว่า ดีหน่อย เพราะเป็นเด็กดีที่ว่านอนสอนง่าย ส่วนเด็กอีกสองคนนั้น หยวนเป่าชื่นชอบไม่ลงจริงๆ มักจะรู้สึกว่าพวกนางเหมือนเด็กสองคนที่เคยถูกประตูหนีบหัวมาก่อน ถึงได้ชอบทำเรื่องแปลกๆ กันอยู่เรื่อย ภูเขาลั่วพั่วบวกกับตรอกฉีหลง มีคนไม่มาก แต่กลับมีภูเขาถึงสามลูก จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่ เว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลีและเจิ้งต้าเฟิงคนเฝ้าประตูก็คือภูเขาลูกหนึ่ง อยู่ด้วยกันนานเข้า หยวนเป่าจึงรู้สึก ได้ว่าทั้งสามคนนี้ล้วนไม่ธรรมดา

พวกเด็กกลุ่มของเผยเฉียนนี้พอจะถือว่าเป็นภูเขาเล็กๆ ได้ลูกหนึ่ง

ส่วนสือโหรวเถ้าแก่ร้านยาสุ้ยและอาจารย์กับศิษย์สามคนในร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง ดูเหมือนว่าจะค่อนข้างสนิทสนมกัน

เฉินหลิงจวินที่ชอบสวมชุดสีเขียวผู้นั้นก็ยิ่งไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่ชอบอยู่บนภูเขาลูกใด

หยวนเป่าเคยถามเรื่องของเจ้าขุนเขาหนุ่มจากเฉินยวนจี เฉินยวนจีเองก็บอกไม่ถูก พูดแค่ว่าเขาไม่ใช่คนเลว ไม่มีมาดของเจ้าขุนเขาอะไร ชอบทำตัวเป็นเถ้าแก่ที่ สะบัดมือทิ้งร้าน ตลอดทั้งปีมักจะออกไปท่องเที่ยวอยู่ข้างนอก รู้แค่ว่าเขาให้อาจารย์ ผู้เฒ่าจูคอยดูแลกิจการน้อยใหญ่ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ

เผยเฉียนเองก็พูดคุยกับสองพี่น้องหยวนไหลหยวนเป่าไม่ถูกคอนัก นางพา เฉินหรูชูและโจวหมี่ลี่มาเล่นข้างนอกศาลเทพภูเขา หากไม่มีพวกคนนอกอย่าง หยวนเป่าเฉินยวนจีอยู่ด้วย ซ่งอวี้จางที่ถูกเพื่อนร่วมงานเรียกอย่างเหน็บแนมว่า ‘เทพภูเขาหัวทอง’ ก็จะปรากฏตัวมาฟังเผยเฉียนเล่าเรื่องน่าสนใจของขุนเขาสายน้ำที่ได้ยินมาจากพ่อครัวเฒ่าและภูเขาพีอวิ๋น ซ่งอวี้จางเองก็จะพูดคุยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ตอนที่ตนดำรงตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการงานเตาเผาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เผยเฉียนชอบฟังเรื่องหยุมหยิมพวกนี้เป็นที่สุด

เดินพ้นจากพวกหยวนเป่าสามคนมาค่อนข้างไกลแล้ว โจวหมี่ลี่ก็พลันเขย่ง ปลายเท้ากระซิบเสียงเบาข้างหูเผยเฉียน “ข้ารู้สึกว่าแม่นางน้อยที่ชื่อหยวนเป่าผู้นั้นค่อนข้างจะเซ่อซ่าอยู่บ้าง”

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว เหตุใดถึงได้นินทา คนอื่นลับหลัง?!”

โจวหมี่ลี่หงอยซึม

เผยเฉียนจึงหัวเราะคิกเอ่ยว่า “โง่หรือไร ยังต้องให้เจ้าพูดออกมาด้วยหรือ? พวกเราแค่รู้กันในใจก็พอแล้ว”

โจวหมี่ลี่คลี่ยิ้มกว้าง

เผยเฉียนยื่นมือมาลูบศีรษะน้อยๆ ของโจวหมี่ลี่ ก้มตัวลงเล็กน้อย พูดด้วยสีหน้าเมตตาว่า “ทุกวันกินข้าวมากขนาดนั้น ชามแล้วชามเล่า เหตุใดตัวถึงไม่สูงสักทีนะ?”

โจวหมี่ลี่เขย่งปลายเท้ายืดอกตั้ง

เผยเฉียนกดศีรษะโจวหมี่ลี่ลงเบาๆ พูดปลอบใจว่า “ปณิธานไม่ได้อยู่ที่ความสูง”

โจวหมี่ลี่ยิ้มปากกว้างจนหุบปากไม่ลง

เผยเฉียนยื่นมือสองข้างออกมาวางลงบนแก้มสองข้างของโจวหมี่ลี่แล้วตบเบาๆ ให้ปากของภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้ผู้นี้หุบลง เอ่ยเตือนว่า “หมี่ลี่ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วแล้ว คนทั้งภูเขา ตั้งแต่ท่านเทพภูเขาซ่งไปจนถึง เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงตีนเขา และยังมีสองร้านในตรอกฉีหลงที่ใหญ่ขนาดนั้น ต่างก็รู้หน้าที่ของเจ้าแล้ว ชื่อเสียงของเจ้าโด่งดังจะตายไป ยิ่งอยู่ในตำแหน่งสูง เจ้าก็ยิ่งควรทบทวนตัวเองทุกวัน จะปล่อยให้หางชี้ขึ้นฟ้าไม่ได้ จะทำให้อาจารย์ของข้าเสียหน้าไม่ได้ เข้าใจหรือไม่?”

เฉินหรูชูมองไปทางภูเขาฮุยเหมิงที่อยู่ทางทิศเหนือ ที่นั่นก็เป็นภูเขาบ้านตนเหมือนกัน อาณาเขตกว้างใหญ่อย่างมาก ตอนนี้ภูเขาหลังอ๋าวได้ให้เกาะจูไชแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนเช่าไปแล้ว

เฉินหรูชูเอ่ยเสียงเบาว่า “ดูเหมือนว่าคราวนี้ท่านผู้เฒ่าจูจะออกจากบ้านไปนานมาก”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ต้องไปหลายที่ ได้ยินมาว่าสถานที่ที่ไกลที่สุดก็ไกลถึงนครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปโน่นแหละ”

เผยเฉียนหยิบถุงเงินใบหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ “เคยบอกกับพวกเจ้าแล้วว่า ท่านน้ากุ้ยที่มอบถุงเงินให้ข้าคนนั้นก็คือผู้อาวุโสเทพเซียนของนครมังกรเฒ่า ยามที่นางยิ้มน่ามองนักล่ะ”

โจวหมี่ลี่ถาม “ขอข้าดูหน่อยได้ไหม?”

เผยเฉียนยื่นส่งไปให้ “ห้ามจับพลิกมั่วซั่ว ด้านในล้วนบรรจุสมบัติที่มีมูลค่าควรเมืองเอาไว้”

โจวหมี่ลี่รับถุงเงินมา “หนักจริงๆ”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก แค่นเสียงพูด “นี่ก็คือกำลังทรัพย์ของตระกูล!”

เผยเฉียนกระโดดขึ้นไปบนราวรั้วของยอดเขา แล้วออกหมัดเนิบช้าดุจเมฆ เคลื่อนคล้อยสายน้ำไหลเลียนแบบอาจารย์ตัวเอง

ทุกครั้งที่หยุดชะงักอย่างฉับพลันแล้วสะบัดชายแขนเสื้อ ก็จะเกิดเสียงดังราวสายฟ้าคำรณอื้ออึง

กระทืบเท้าเล็กน้อย ตลอดทั้งราวรั้วก็แตกเป็นฝุ่นผงที่พอถูกกระเทือนก็ ปลิวหายไป

น่าเสียดายที่คนสามคนบนขั้นบันไดลงจากภูเขาไปแล้ว

……

คนทั้งกลุ่มนั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนของภูเขาหนิวเจี่ยวเพิ่งจะออกจากอาณาเขตของต้าหลีเก่า มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ใจกลางของแจกันสมบัติทวีป

แจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ อันที่จริงเปลี่ยนมาใช้แซ่ซ่งแล้ว

หลิวจ้งรุ่นสวมหน้ากากสตรีแผ่นหนึ่งที่จูเหลี่ยนยื่นมาให้ รูปโฉมปานกลาง นางนั่งอยู่หน้าโต๊ะประทินโฉมในห้อง นิ้วมือปาดจอนผมเบาๆ ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือ ร้องไห้ดี

เพียงแต่พอคิดถึงการค้นหาสมบัติในครั้งนี้ นางก็ยังอดกระวนกระวายใจไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรตำหนักวารีและเรือมังกรสองอย่างนี้ ในฐานะองค์หญิงผู้ว่าราชการหลังม่านของแคว้นในอดีต คิดจะตามหานั้นง่าย เพียงแต่ว่าควรจะเอากลับมา เขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างไร นั่นต่างหากจึงจะเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้า แต่ในเมื่อจูเหลี่ยนบอกแล้วว่าคนบนภูเขาย่อมมีแผนการอันเลิศล้ำ หลิวจ้งรุ่นจึงได้แต่ เดินก้าวหนึ่งดูตามไปก้าวหนึ่ง เชื่อว่าในเมื่อนักบัญชีแห่งเกาะชิงเสียผู้นั้นยินดีจะมอบอำนาจใหญ่ของภูเขาลั่วพั่วให้คนผู้นี้ จูเหลี่ยนก็น่าจะไม่ใช่พวกคนที่ดีแต่คุยโวโอ้อวดอย่างเดียวเท่านั้น

ในห้องของหลูป๋ายเซี่ยง จูเหลี่ยนนั่งขัดสมาธิ บนโต๊ะมีเหล้าหนึ่งกา จอกกระเบื้องหนึ่งใบ ถั่วเหลืองหนึ่งจาน จิบเหล้าคำเล็กดื่มเนิบช้า

หลูป๋ายเซี่ยงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามไม่มีท่าทีว่าจะดื่มเหล้า

ในจดหมายตอบกลับฉบับนั้นของชุยตงซาน เขาได้พูดถึงเว่ยเซี่ยน บอกว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เจ้าหมอนี่เริ่มจากการเป็นผู้ฝึกตนติดตามกองทัพ ไปเป็นลูกน้องของแม่ทัพบู๊ที่มีอำนาจคนหนึ่งนามว่าเฉาจวิ้น สะสมคุณความชอบทางการทหารมา ไม่น้อย จึงได้รับตำแหน่งอู่ซ่าน (ตำแหน่งทางการทหารอย่างหนึ่งที่มีแต่ชื่อ ไม่มีอำนาจหน้าที่จริงจัง) จากราชสำนักต้าหลี วันหน้าเมื่อได้เลื่อนขั้นเป็นขุนนาง ชิงหลิวก็ถือว่ามีบันไดให้ก้าวเดินต่อ

สี่คนในม้วนภาพวาดของพื้นที่มงคลดอกบัว ตอนนี้ต่างคนต่างเดินไปบนเส้นทางใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง

เว่ยเซี่ยนเข้าร่วมกองทัพ สุยโย่วเปียนฝึกตนอยู่ในสำนักกุยหยกใบถงทวีป กลายเป็นผู้ฝึกตน หลูป๋ายเซี่ยงก่อสำนักตั้งพรรคอยู่ในยุทธภพ มีเพียงจูเหลี่ยนที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว

ก่อนหน้านี้ที่หลูป๋ายเซี่ยงได้รับจดหมายลับจากจูเหลี่ยนก็ได้จัดเตรียมสมบัติ บนภูเขาสามชิ้นและเงินเทพเซียนหนึ่งหีบทันที ล้วนเป็นเงินซื้อชีวิตที่ชาวบ้านสิ้นแคว้นของราชวงศ์จูอิ๋งหลายกลุ่มนำมามอบให้ แต่ภายหลังเฉินผิงอันส่งจดหมายจากถ้ำสวรรค์วังมังกรกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว จูเหลี่ยนจึงไม่เพียงแต่ไม่ได้รับเอาทรัพย์สมบัติที่หลูป๋ายเซี่ยงสะสมอย่างยากลำบากมา ยังกลับเป็นฝ่ายมอบเงินฝนธัญพืชให้ หลูป๋ายเซี่ยงอีกสิบเหรียญ แต่ขณะเดียวกันก็กำชับหลูป๋ายเซี่ยงว่าจะก่อตั้งพรรค รวบรวมกองกำลังจากฝ่ายต่างๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ทางที่ดีที่สุดอย่าไปเข้าร่วมการกอบกู้แคว้นของพวกคนแก่คนหนุ่มเหล่านั้น เพราะสิ่งที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะทำต่อจากนี้จะต้องเป็นการหันไปเล่นงานพวกปลาที่หลุดรอดออกจากตาข่ายซึ่งพยายามจะ จุดไฟให้ขี้เถ้ามอดกลุ่มนี้อย่างแน่นอน ในจดหมายเฉินผิงอันแค่เสนอคำแนะนำ ไม่ได้เรียกร้องว่าหลูป๋ายเซี่ยงควรทำอย่างไร

ปรึกษาเรื่องการค้นหาสมบัติกับหลิวจ้งรุ่น หลูป๋ายเซี่ยงเองก็อยู่ด้วย เพียงแต่ว่าล้วนเป็นจูเหลี่ยนที่วางแผนทั้งหมด

การกระทำของจูเหลี่ยนเท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสามตัว

ช่วยภูเขาลั่วพั่วยืนยันว่าหลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชมีค่าพอจะเป็นพันธมิตรกัน อย่างยาวนานหรือไม่

และเกาะจูไชยังติดค้างน้ำใจควันธูปที่ไม่เล็กส่วนหนึ่งกับภูเขาลั่วพั่ว

หลิวจ้งรุ่นติดค้างหนี้ส่วนหนึ่งกับเจ้าขุนเขาหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน

แน่นอนว่าภูเขาลั่วพั่ว เฉินผิงอันและจูเหลี่ยนต่างก็ไม่ได้ละโมบในความสัมพันธ์ควันธูปเหล่านี้ หากการทำการค้าในอนาคต หลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชแสดงท่าทีออกมา ภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมมีวิธีอื่นในการตอบแทนกลับคืนไป

เชื่อว่าจนถึงตอนนี้หลิวจ้งรุ่นก็ยังไม่รู้ว่า ก่อนหน้านี้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเกาะจูไชจะได้ฝึกตนอยู่บนภูเขาหลังอ๋าวหรือไม่ ล้วนอยู่ที่ชั่วความคิดเดียวของนางเท่านั้น

หากโดนผลประโยชน์บดบังใจ หลังจากรู้ว่าการค้นหาสมบัติเต็มไปด้วยอันตรายรอบด้าน แต่ก็ยังยืนกรานจะเสี่ยงทำเรื่องครั้งนี้ ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่มีเหตุการณ์ในตอนนี้เกิดขึ้น

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “ถ้าหากหลิวจ้งรุ่นเลือกผิด ก็เท่ากับว่าเจ้าจูเหลี่ยนวาดงูเติมขา ไม่ใช่ว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกหรือ เมื่อเจ้าหยั่งเชิงจนรู้ว่าหลิวจ้งรุ่นไม่ใช่พันธมิตรที่เหมาะสม ตำหนักวารีและเรือน้ำที่เดิมทีควรเป็นของในกระเป๋าของภูเขาลั่วพั่ว สรุปแล้วว่าจะยังเอามาหรือไม่? ไม่เอามาก็เท่ากับว่าเสียส่วนแบ่งไปห้าส่วนอย่าง เสียเปล่า เอามาแล้วก็ต้องมีความสัมพันธ์กับหลิวจ้งรุ่นและเกาะจูไชลึกซึ้งไปอีกขั้น ภูเขาลั่วพั่วก็ย่อมต้องเจอกับภัยแฝงนับไม่ถ้วน”

จูเหลี่ยนคีบถั่วเหลืองคั่วสีทองอร่ามสองสามเม็ดขึ้นมาโยนใส่ปาก เคี้ยวเสียงดังกรุบกรอบ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ถ้าหาก? ตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มี ‘ถ้าหาก’ นี้สักหน่อย”

หลูป๋ายเซี่ยงส่ายหน้า เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยยอมรับในการกระทำนี้ของจูเหลี่ยน

หากเขาเป็นคนจัดการเรื่องนี้ หลังจากที่จดหมายฉบับนั้นของชุยตงซานส่งมาถึงภูเขาลั่วพั่ว สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคงดีแล้ว ตำหนักวารี เรือมังกร จะต้องมีชิ้นหนึ่ง ที่ถูกย้ายมายังภูเขาลั่วพั่วอย่างผึ่งผาย ส่วนเรื่องอื่นๆ ความถูกและความผิดของหลิวจ้งรุ่นและผู้ฝึกตนเกาะจูไชในอนาคตหลังจากนี้ อันที่จริงล้วนเป็นเรื่องเล็ก เพราะหลูป๋ายเซี่ยงเชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วต้องพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เวลาเพียงไม่นาน ก็จะต้องทำให้ผู้ฝึกตนเกาะจูไชทุกคนได้แต่แหงนมองขุนเขาสูงอย่างพวกเขา

คิดจะทำความผิดก็ยังไม่กล้า ต่อให้เป็นความผิดที่ผู้ฝึกตนเกาะจูไชคิดว่า ใหญ่เทียมฟ้า แต่เมื่ออยู่กับภูเขาลั่วพั่วก็มีแต่จะเป็นความผิดเล็กๆ ที่เขาหลูป๋ายเซี่ยงสามารถเอามือลูบให้ราบเรียบได้อย่างง่ายดาย

จูเหลี่ยนจิบเหล้าคำเล็ก สูดเหล้าเข้าปากดังซูด สีหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม เขาคีบถั่วเหลืองเม็ดหนึ่งขึ้นมา ชำเลืองตามองแล้วยิ้มกล่าวว่า “เป็นเจ้าลัทธิมารของเจ้าไปอย่างสบายใจเถอะ อย่าได้กังวลเรื่องเล็กน้อยเท่าเมล็ดถั่วเหลืองของข้านี่เลย”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “เผยเฉียนเป็นฝ่ายไปขอเรียนหมัดที่เรือนไม้ไผ่ด้วยตัวเอง เหตุใดถึงไม่บอกเฉินผิงอันไปตรงๆ ? ในเมื่อรู้สึกว่าเป็นเรื่องใหญ่ เหตุใดถึงปล่อยให้ ผู้อาวุโสชุยทำลายจิตดั้งเดิมของเผยเฉียนเช่นนั้น? ไม่กลัวจริงๆ หรือว่าเรื่องราว เมื่อพัฒนาไปถึงจุดสูงสุดจะกลับกลายเป็นตรงกันข้าม เส้นทางการเรียนวรยุทธของเผยเฉียนไปถึงเส้นทางหัวขาดเสียแต่เนิ่นๆ ?”

จูเหลี่ยนวางจอกเหล้าที่ชูมาได้ครึ่งทางลงไป พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “การออกหมัดของชุยเฉิงได้แค่หล่อหลอมเรือนกายของผู้ฝึกยุทธอย่างเดียวเท่านั้นจริงๆ หรือ? หมัดไม่ร่วงลงบนหัวใจของเผยเฉียนจะมีความหมายอะไร?”

จูเหลี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “คนมีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธอย่างเผยเฉียน ใครบ้างที่สอนไม่ได้ สอนได้ไม่ดี? ข้าจูเหลี่ยนสอนได้ เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงก็สอนได้ คาดว่าแม้แต่เฉินยวนจีก็ยังสอนได้ ถึงอย่างไรขอแค่ตัวเผยเฉียนอยากเรียนหมัด ก็สามารถเรียนได้เร็วมาก เร็วจนขนาดคนที่เป็นอาจารย์ยังไม่กล้าเชื่อ แต่หากจะบอกว่า ใครสามารถสอนให้กลายเป็นคนที่เก่งที่สุดในโลกได้ เจ้าและข้าต่างก็ไม่ได้ ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่นายน้อยก็ยังทำไม่ได้!”

จูเหลี่ยนยกแขนขึ้นกำเป็นหมัดเบาๆ “หมัดนี้ต่อยลงไป คือต่อยให้เรือนกายและจิตใจของแม่นางน้อยเหลือเพียงแค่พลังชีวิตเสี้ยวเดียวที่มีชีวิตรอดได้ ที่เหลือล้วน ตายหมด จำต้องยอมแพ้ยอมรับชะตากรรม แต่อาศัยลมหายใจเฮือกหนึ่งที่ยังเหลือ อยู่นี้ กลับทำให้เผยเฉียนลุกขึ้นมาได้ หากแพ้ ก็ยังต้องกินหมัดเพิ่มอีกหมัด

ทว่าก็ยัง ‘ชนะตัวข้าเอง’ หลักการข้อนี้ ตัวเผยเฉียนเองไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะคำพูดและการกระทำของนายน้อยข้าที่สอนนางนอกเหนือจากในตำรา แล้วก็ได้ หล่นลงบนหัวใจของนางอย่างมั่นคง กระทั่งผลิดอกออกผล ทว่าชุยเฉิงเข้าใจพอดี อีกทั้งยังทำได้ด้วย เจ้าหลูป๋ายเซี่ยงทำได้หรือ? พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ยามที่เผยเฉียนเผชิญหน้ากับเจ้าหลูป๋ายเซี่ยง นางไม่รู้สึกว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะถ่ายทอดวิชาหมัดให้นางด้วยซ้ำ แม่หนูเผยดีแต่จะแสร้งโง่ ยิ้มตาหยีถามว่า เจ้าเป็นใครกัน? ขอบเขตสูงแค่ไหน? คงไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบเอ็ดสินะ? หากใช่ ทำไมเจ้าไม่ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยให้ฟ้าเปิดเสียเลยเล่า? มามัวเสียเวลาอยู่กับข้าเผยเฉียนทำไม”

พูดถึงท้ายที่สุด จูเหลี่ยนก็หัวเราะขึ้นมากับตัวเอง แล้วดื่มเหล้าที่อยู่ในจอก รวดเดียวหมด

หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะพลางพยักหน้ารับ

นั่นคือแม่นางน้อยที่ฉลาดหลักแหลมอย่างถึงที่สุดคนหนึ่ง

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าวอีกว่า “เจ้าคิดว่านางรู้หรือว่าชุยเฉิงมีขอบเขตอะไร? แม่หนูเผยจะรู้กับผายลมอะไรล่ะ นางรู้แค่เรื่องเดียว นั่นคือหมัดของอาจารย์นางได้ตาแก่ชื่อว่าชุยเฉิงช่วยต่อยออกมาทีละหมัด ถ้าอย่างนั้นใต้หล้านี้ก็มีเพียงสองคนเท่านั้นที่สามารถถ่ายทอดวิชาหมัดให้นางได้ นอกจากฟ้าใหญ่ดินใหญ่อาจารย์ใหญ่ที่สุดแล้ว ก็คือ ผู้เฒ่าบนชั้นสองคนนั้นเท่านั้นที่พอจะมีคุณสมบัติอยู่บ้าง คนอื่นๆ ไม่ว่าใครก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะมีขอบเขตอะไร เมื่อมาเจอกับแม่หนูเผยก็ล้วนไม่มีสิทธิ์สั่งสอนนางทั้งสิ้น”

จูเหลี่ยนยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาวาดวงกลมง่ายๆ ลงบนผิวโต๊ะ “อยู่ในนี้ การกระทำและคำพูดของเผยเฉียนไร้ความยำเกรงใดๆ”

หลูป๋ายเซี่ยงถาม “หากมีวันหนึ่งขอบเขตในการเรียนวรยุทธของเผยเฉียนเหนือกว่าอาจารย์ของตัวเอง ควรจะทำอย่างไร? นางจะยังควบคุมนิสัยจิตใจของตัวเองได้อีกหรือ?”

จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “เมื่อหลายร้อยปีก่อนนายน้อยของข้าก็คิดถึงสถานการณ์นี้ได้แล้ว จำเป็นต้องให้คนนอกอย่างเจ้าหลูป๋ายเซี่ยงมาเป็นกังวล ไม่เข้าเรื่องด้วยหรือ? เจ้าคิดว่านายน้อยข้าจะประหยัดแรงกายแรงใจเหมือนเจ้า ที่ถ่ายทอดวิชาหมัดให้พี่น้องคู่นั้นหรือไร? แค่โยนวิชาหมัดกระบวนท่าหมัดไม่กี่อย่างออกไป ให้พวกเขาไปฝึกกันเอาเอง พออารมณ์ดี ป้อนพวกเขาไม่กี่หมัดก็จบเรื่องแล้ว? หลูป๋ายเซี่ยง ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนเจ้าหรอกนะ แต่หากเป็นอย่างนี้ต่อไป หยวนไหลหยวนเป่าสองคนนี้ ในอนาคตหากโชคดีสามารถฝึกวิชาหมัดจนติดเป็นนิสัยตายตัวได้ อาจารย์อย่างเจ้าก็ควรจะจุดธูปไหว้พระแล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงไม่ถือสา

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “น่าสงสารเด็กสองคนนั้นนัก ต้องมาเจอกับอาจารย์ที่ไม่เคยมองการเรียนวรยุทธเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ตัวเองแสวงหาในชีวิตเช่นนี้ ตัวอาจารย์เอง ยังไม่บริสุทธิ์เต็มตัว แล้วปณิธานหมัดของลูกศิษย์จะบริสุทธิ์ได้อย่างไร”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มถาม “หากมีวันใดที่ต้องให้พวกเขาสองพี่น้องแสวงหาทางรอดท่ามกลางความตายจริงๆ รบกวนเจ้าช่วยพวกเขาสักหน่อยได้ไหม?”

จูเหลี่ยนหัวเราะร่า “ในอนาคตหยวนเป่าจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก แต่หากหยวนไหลอยากจะฝ่าทะลุคอขวดใหญ่ ข้าก็พอจะมีอุบายแยบยลอยู่บ้างจริงๆ”

หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ย “สมบัติบนภูเขาสามชิ้นนั้น ข้าจะมอบให้เจ้าเป็นการส่วนตัว ส่วนเจ้าจูเหลี่ยนจะจัดการอย่างไร จะเอาไปเสริมในบ้านของภูเขาลั่วพั่ว หรือว่า จะเก็บไว้เอง ข้าไม่สน”

จูเหลี่ยนจิบเหล้าหนึ่งอึก “สัญญาแล้ว?”

หลูป่ายเซี่ยงพยักหน้ารับ

จูเหลี่ยนถึงได้ให้คำตอบ “ในอนาคตแค่ให้แม่หนูเผยต่อยเฉินยวนจีให้ร่อแร่ ปางตายต่อหน้าหยวนไหล แค่นี้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?”

หลูป๋ายเซี่ยงหัวเราะเสียงดังอย่างชอบใจ

จูเหลี่ยนผลักถั่วเหลืองคั่วที่เหลืออยู่ไม่มากจานนั้นไปให้หลูป๋ายเซี่ยง “เอาแต่รับเงินคนอื่นมาเช่นนี้ มโนธรรมในใจไม่อาจสงบได้ ยังดีที่เจ้าลัทธิลู่มีคุณธรรม ให้ข้าได้มีโอกาสรื้อกำแพงตะวันออกไปซ่อมกำแพงตะวันตก เดี๋ยววันหน้าจะเอาของชิ้นหนึ่ง ในนั้นไปมอบให้เฉินหลิงจวิน ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ วันนี้เงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญ วันพรุ่งนี้เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เขาลงเดิมพันกับการเล่นหมากล้อมจนใกล้ จะหมดตัวอยู่แล้ว”

หลูป๋ายเซี่ยงนึกถึงเด็กชายชุดเขียวที่วางท่าหยิ่งผยองลำพองใจอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันคนนั้น แล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “หน้าใหญ่อย่างนี้ มีชีวิตอยู่ย่อมลำบาก”

จูเหลี่ยนกลับเอ่ยว่า “ต้องการหน้าตาเล็กน้อยแค่นี้ ถือว่าเป็นเรื่องดี”

หลูป๋ายเซี่ยงมองเจ้าหมอนี่ด้วยสายตามีเลศนัย

จูเหลี่ยนพูดอย่างเต็มไปด้วยเหตุด้วยผลว่า “เป็นเทพภูเขาใหญ่เว่ยที่ไม่ต้องการหน้าตา เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย?”

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มพลางคีบถั่วเหลืองคั่วเมล็ดหนึ่งขึ้นมา

จูเหลี่ยนพลันเปลี่ยนคำพูดว่า “พูดแบบนี้ไม่ค่อยมีคุณธรรมแล้ว หากคิดจะเปรียบเทียบกันจริงๆ ยังคงเป็นพี่น้องต้าเฟิงที่หน้าหนา ข้ากับพี่น้องเว่ย ถึงอย่างไรก็หน้าบางกว่า ต้องอับอายขายหน้ากันอยู่ทุกวัน”

เทพชุดขาวสวมต่างหูกลมสีทองคนหนึ่งที่มีรอยยิ้มน่าหลงใหลมายืนอยู่ด้านหลัง จูเหลี่ยน เขายื่นมือมากดบ่าจูเหลี่ยน มืออีกข้างยื่นมาบนโต๊ะเบาๆ เบื้องหน้ามี ม้วนภาพขุนเขาสายน้ำราวกับเทียบตัวอักษรแผ่นหนึ่งปรากฏขึ้นมา บนภาพนั้น มีชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งกำลังนั่งอาบแดดแคะหัวแม่เท้าอยู่บนเก้าอี้ตัวเล็กหน้าประตูภูเขา เขายกนิ้วกลางให้จูเหลี่ยน จูเหลี่ยนร้องโอ้โห ก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้า ฟุบตัวลงบนผิวโต๊ะ แล้วรีบชูกาเหล้า ยิ้มประจบพูดว่า “พี่น้องต้าเฟิงก็อยู่ด้วยหรือ ไม่พบหน้าวันเดียวเหมือนห่างกันสามปี น้องชายคิดถึงเจ้ายิ่งนัก มาๆๆ อาศัยโอกาสนี้ พวกเราสองพี่น้องมาดื่มเหล้าดีๆ ร่วมกันสักกา”

เจิ้งต้าเฟิงยังคงชูนิ้วกลางอยู่เหมือนเดิม คล้ายจะพูดคำหนึ่งว่าไสหัวไป

จูเหลี่ยนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ทำเป็นว่าไม่ได้ยิน เขาหันหน้าไปบ่นกับเว่ยป้อว่า “ทำไมไม่ร่ายวิชาอภินิหารส่งเหล้ากานี้ไปให้พี่น้องต้าเฟิงเล่า?”

เว่ยป้อโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งก็มีเหล้ากาหนึ่งหล่นจากยอดเขาภูเขาลั่วพั่ว ใส่หัวเจิ้งต้าเฟิง ถูกเจิ้งต้าเฟิงยื่นมือมารับเอาไว้

มือหนึ่งของจูเหลี่ยนถือม้วนภาพวาด มือหนึ่งถือกาเหล้า เขาลุกขึ้นแล้วเดิน จากมา เดินพลางดื่มเหล้าแล้วก็พูดคุยกับเจิ้งต้าเฟิงไปด้วย สหายสองคนที่อยู่ห่างไกลกันมีภูเขาสายน้ำพันหมื่นลี้กั้นขวาง ต่างคนต่างดื่มเหล้าคนละอึก

หลูป๋ายเซี่ยงยิ้มผายมือเชื้อเชิญให้องค์เทพภูเขานั่งลง

เว่ยป้อไม่ได้จากไป แต่ก็ไม่ได้นั่งลง เขาเอามือมาจับที่เท้าแขนของเก้าอี้ ยิ้มกล่าวว่า “ญาติห่างไกลไม่สู้เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียง ข้าจะไปเยี่ยมเยือนองค์เทพคนใหม่ของขุนเขากลางสักหน่อย ถือว่าผ่านไปทางเดียวกับพวกเจ้า”

หลูป๋ายเซี่ยงกล่าวอย่างกังขา “นี่ไม่สอดคล้องกับกฎขุนเขาสายน้ำกระมัง?”

เพราะโดยทั่วไปแล้วองค์เทพแห่งห้าขุนเขาของราชวงศ์หนึ่งในโลกมนุษย์จะไม่มาพบเจอกันง่ายๆ

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “งานเลี้ยงท่องราตรีสามครั้ง ริมชายแดนของอาณาเขตขุนเขากลาง มีจุดที่เชื่อมต่อกับขุนเขาเหนือของข้าค่อนข้างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะมาร่วม สักครั้งจึงจะถือว่าสมเหตุสมผล ในเมื่ออีกฝ่ายมีกิจธุระรัดตัว ข้าก็เลยต้องไป เยี่ยมเยือนด้วยตัวเอง นอกจากนั้นก็คืออู๋ยวนที่เมื่อก่อนเคยเป็นขุนนางพ่อแม่ของ เขตการปกครองหลงเฉวียน ตอนนี้ก็ไปอยู่ใกล้กับตีนเขาของขุนเขากลาง ทำหน้าที่เป็นเจ้าเมือง ข้าสามารถไปเยี่ยมเยียนพูดคุยเรื่องวันเก่าๆ กับเขาได้ แล้วก็ยังมี ท่านสวี่แห่งสำนักโม่ที่ตอนนี้ก็เป็นเพื่อนบ้านของขุนเขากลาง ข้ากับท่านสวี่รู้จักกันมานานแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนงานเลี้ยงท่องราตรี ท่านสวี่ก็วานให้คนนำของขวัญมาส่งที่ภูเขาพีอวิ๋น ข้าควรจะไปขอบคุณเขาต่อหน้าสักครั้ง”

หลูป๋ายเซี่ยงพยักหน้ารับ พูดอย่างนี้ก็ยังพอจะเข้าใจได้

กองทัพม้าเหล็กของต้าหลีมุ่งหน้าลงใต้ไปตลอดทาง ราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติที่ถูกทำลายล้างไปมีมากมายนับไม่ถ้วน ศาลเถื่อนน้อยใหญ่ของแต่ละสถานที่มี หลายพันแห่ง ร่างทองของเทวรูปที่ถูกทุบทิ้งก็ยิ่งนับไม่ถ้วน

แต่เว่ยป้อแห่งขุนเขาเหนือกลับเป็นองค์เทพซานจวินเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับ เงินเหรียญทองแดงแก่นทองร้อยกว่าเหรียญที่กรมการคลังของต้าหลีส่งมาให้

ซานจวินใหม่ของแจกันสมบัติทวีปอีกสี่ท่านที่เหลือ ตอนนี้ต่างก็ยังไม่ได้รับ การปฏิบัติที่พิเศษและมีเกียรติเช่นนี้

เข้ามาอยู่ในห้องตัวเอง จูเหลี่ยนกับเจิ้งต้าเฟิงต่างคนต่างดื่มเหล้าของตัวเองไป ต่อให้ตอนนี้เรือข้ามฟากจะยังอยู่ในอาณาเขตของขุนเขาเหนือ แต่ม้วนภาพ ขุนเขาสายน้ำที่เว่ยป้อสร้างขึ้นมานี้ก็ยังไม่อาจประคองตัวอยู่ได้นานนัก

จูเหลี่ยนถาม “มีเรื่องหรือ?”

เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ เอ่ยว่า “อยู่ดีๆ ท่านผู้เฒ่าชุยก็อยากพาเผยเฉียนไปที่ พื้นที่มงคลรากบัว ข้าไม่ได้บอกว่าไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้ตอบตกลงทันที ได้แต่หาข้ออ้าง ไปว่าตอนนี้เว่ยป้อไม่ได้อยู่บนภูเขาพีอวิ๋น ต่อให้มีร่มใบถงคันนั้นก็เข้าไปไม่ได้”

จูเหลี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “ตอบตกลงช้าเท่าไรก็ยิ่งดีมากเท่านั้น จะต้องถ่วงเวลาลากไปจนกว่านายน้อยจะกลับมาภูเขาลั่วพั่วแล้วค่อยว่ากัน หากต้องเจอเรื่องคราวนี้ ปณิธานเฮือกนั้นของท่านผู้เฒ่าอาจจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว”

เจิ้งต้าเฟิงเกาหัว พูดอย่างสะท้อนใจว่า “จะต้องให้เฉินผิงอันมาพบหน้าเป็น ครั้งสุดท้ายจริงๆ หรือ? ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่ามีแต่จะเพิ่มความทุกข์ใจจากการจากลา การที่ท่านผู้เฒ่าชุยจงใจเปิดปากตอนนี้ อันที่จริงนี่ก็เป็นความต้องการของเขา”

จูเหลี่ยนกล่าวอย่างจนใจ “ถึงอย่างไรก็ให้พบกันก่อนเถอะ”

เจิ้งต้าเฟิงถาม “แล้วทางฝั่งเจ้าตัวขาดทุนล่ะ?”

จูเหลี่ยนส่ายหน้า “อย่าได้พูดถึงแม้แต่คำเดียว”

เจิ้งต้าเฟิงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก มองประตูภูเขาที่ห่างไปไม่ไกล ฤดูใบไม้ผลิดอกไม้ผลิบาน แสงอาทิตย์อบอุ่น จิบเหล้าคำเล็กๆ ให้รสชาติแตกต่างไปอีกแบบ

บนภูเขาวัตถุใดที่ทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุด ซิ่งเดือนสองทยอยกันเบ่งบาน

เดินกะเผลกขึ้นเขาไปตลอดทาง ทอดสายตามองไปยังเมืองเล็กที่อยู่ทาง ทิศตะวันออก เขตการปกครองทางทิศเหนือ และยังมีแสงไฟแสงจันทร์ยามดึก ที่มองเห็นได้อย่างบางตา

เจิ้งต้าเฟิงชอบชีวิตที่เรียบง่ายเช่นนี้ เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า

อีกทั้งเขาเองก็คาดหวังว่าภูเขาลั่วพั่วในอนาคตจะมีคนมาอยู่อาศัยมากกว่าเดิม

หากมีสตรีที่หน้าตางดงามมากหน่อย แน่นอนว่าย่อมดียิ่งกว่า

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “ทางฝั่งของบนภูเขา เจ้าคอยดูให้มากๆ หน่อย”

เจิ้งต้าเฟิงยกกาเหล้าขึ้น ชี้ไปทางประตูภูเขา แล้วกล่าวว่า “นี่ข้าก็กำลังดูอยู่ไม่ใช่หรือ หากมีแมลงวันตัวเมียสักตัวบินขึ้นไปบนภูเขา ก็ถือว่าข้าเจิ้งต้าเฟิงไม่เอาไหน!”

……

ยอดเขาสิงโต ในถ้ำเทพเซียน

เฉินผิงอันที่ร่างท่วมไปด้วยเลือดนอนหายใจรวยรินอยู่บนเรือลำเล็ก หลี่เอ้อร์ถ่อเรือกลับไปที่ท่าเรือ เอ่ยว่า “เจ้าออกหมัดได้เร็วพอแล้ว แต่ด้านพละกำลังยังขาดแรงไฟอยู่อีกเล็กน้อย คาดว่าคงเป็นเพราะเมื่อก่อนไขว่คว้าในเรื่องการฝึกหมัดมากเกินไป การช่วงชิงกันของผู้ฝึกยุทธ ฟังดูเหมือนน่าสะใจ แต่อันที่จริงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น อย่าเอาแต่คิดว่าออกหมัดแค่สองสามหมัดแล้วจะตัดสินเป็นตายได้ เพราะหากตกอยู่ในสภาวะชะงักงัน ก็เท่ากับว่าเจ้าเดินลงเนินไปตลอด แบบนี้จะได้อย่างไร”

เฉินผิงอันพยักหน้าเล็กน้อยแสดงให้รู้ว่าตนเข้าใจแล้ว

อันที่จริงหลังจากการป้อนหมัดครั้งแรก หลี่เอ้อร์ก็สังเกตได้ถึงข้อบกพร่องของปณิธานหมัดเฉินผิงอัน ครั้งที่สองจึงปล่อยให้เฉินผิงอันต่อยหมัดออกมาก่อนร้อยครั้ง เขาไม่เอาคืน จากนั้นเพียงแค่ออกหมัดครั้งเดียว ต่อยด้วยแรงที่ไม่หนักนัก ขอแค่ เฉินผิงอันต้านรับหมัดเดียวนั้นไว้ได้โดยไม่ล้มลงก็พอ ต่อมาปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นของเฉินผิงอันก็ห้ามดิ่งฮวบลง ปณิธานหมัดของอีกร้อยหมัดต่อมาก็ยิ่งไม่อาจลดน้อยไปจากเดิมได้มากนัก เขาหลี่เอ้อร์จะจงใจเปิดเผยช่องโหว่บางอย่าง หากเฉินผิงอันไม่อาจดึงแรงฮึดสู้ปล่อยหมัดอย่างรวดเร็วใส่ช่องโหว่ที่เขาเปิดไว้ให้ได้ ถ้าอย่างนั้นเขาหลี่เอ้อร์ก็ไม่เกรงใจแล้ว หมัดนั้นหากหล่นลงบนร่าง ต่อให้เจ้าเป็น ผู้ฝึกยุทธเดินทางไกลก็ยังต้องเผชิญกับความรู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตายอยู่ดี

การป้อนหมัดครั้งที่สามของวันนี้ หลี่เอ้อร์เปลี่ยนแนวทางใหม่ ต่างคนต่างออกหมัด เฉินผิงอันออกหมัดเต็มกำลัง เขาออกหมัดด้วยกำลังแค่ครึ่งเดียว ตอนที่หยุดป้อนหมัดก็ถามเฉินผิงอันว่าตายไปแล้วกี่ครั้ง

หลังจากที่เฉินผิงอันให้คำตอบที่ถูกต้อง หลี่เอ้อร์จึงพยักหน้ารับบอกว่าถูกแล้ว แล้วให้รางวัลอีกฝ่ายด้วยหนึ่งหมัดของขอบเขตสิบ ต่อยให้เฉินผิงอันพุ่งจากด้านหนึ่งของกระจกไปอยู่อีกด้านหนึ่ง บอกแล้วว่าเป็นศึกแห่งความเป็นความตาย หากไม่ สละชีวิตหลงลืมความตาย ไปจดจำเรื่องที่ไม่สมควรพวกนี้ ก็ไม่เท่ากับรนหาที่ตายหรอกหรือ โชคดีที่หมัดนี้ไม่ต่างจากคราวก่อน เพียงแค่ต่อยลงบนไหล่ของเฉินผิงอันเท่านั้น แช่ตัวอยู่ในถังยา รอให้เนื้องอกขึ้นใหม่บนกระดูกขาว จะนับเป็นความทรมานอะไรได้ กระดูกแตกประสานกันใหม่ นั่นต่างหากถึงจะพอว่าเจ็บปวดได้บ้าง ช่วงเวลาระหว่างนี้ หากผู้ฝึกยุทธเต็มตัวรักษาจิตวิญญาณของตัวเองเอาไว้ได้ แล้วปลดปล่อยความรู้สึกของตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อไปสัมผัสกับการงอกใหม่ของเลือดเนื้อและกระดูกอย่างลึกซึ้ง นั่นต่างหากจึงจะถือว่าพอมีความสามารถเล็กๆ ที่เข้าขั้นได้บ้างแล้ว

ตรงท่าเรือมีกระท่อมหลังหนึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างหยาบๆ ตอนนี้เฉินผิงอันพักรักษาบาดแผลอยู่ที่นี่

หลี่เอ้อร์รู้สึกว่าการป้อนหมัดของตนถือว่าเก็บไม้เก็บมือมากแล้ว ไม่ใช่ว่า ป้อนหมัดครั้งหนึ่งแล้วเฉินผิงอันต้องพักรักษาตัวทุกวัน ต่อให้ทุกวันเฉินผิงอันจะรักษาบาดแผลได้เสร็จสิ้น แต่ก็ยังจะต้องสะสมความเจ็บปวดส่วนหนึ่ง ‘เหลือค้างไว้’ การป้อนหมัดครั้งที่สองจึงเป็นการเพิ่มบาดแผลลงบนบาดแผล ต้องให้เฉินผิงอัน รักษาปณิธานหมัดให้มั่นคงในทุกๆ ครั้ง นี่เท่ากับว่าค่อยๆ ทำลายเรือนกายของ ผู้ฝึกยุทธ มีเพียงปณิธานหมัดบนยอดเขาดั้งเดิมที่ไม่สะท้านสะเทือนแม้แต่น้อย

หลี่เอ้อร์ไม่ได้บอกว่าหากทำไม่ได้แล้วจะเป็นอย่างไร

เพราะถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ทำได้แล้ว

ใต้หล้าไม่ได้มีเรื่องราวที่ซับซ้อนมากมายขนาดนั้น

ส่วนข้อที่ว่าหากเปลี่ยนมาเป็นคนอื่น แล้วจะทนรับการป้อนหมัดแบบนี้ได้หรือไม่ หลี่เอ้อร์ก็ไม่เคยคิดถึงปัญหาพวกนี้

หนึ่งเพราะเขาคร้านจะสอน นอกจากนี้ปล่อยหมัดแบบเดียวกันออกไป เฉินผิงอันอาจจะไม่เป็นอะไร ไม่ถ่วงการป้อนหมัดครั้งต่อไป ทว่าคนธรรมดาป่านนี้ก็คง ตายไปแล้ว แล้วยังจะสอนอะไรได้อีก

หลี่เอ้อร์ไม่ได้บอกว่าเฉินผิงอันทำได้ดีหรือไม่ดี

ถึงอย่างไรสุดท้ายสามารถกินหมัดไปได้กี่มากน้อยก็ล้วนเป็นความสามารถของเฉินผิงอันเองทั้งสิ้น

หลี่เอ้อร์ถ่อเรือมาถึงท่าเรือ เฉินผิงอันก็ดิ้นรนลุกขึ้นยืนได้แล้ว

หลี่เอ้อร์บอกว่าการป้อนหมัดจะหยุดลงพักหนึ่ง เพราะหากคิดแต่จะเน้นที่ความเร็วอย่างเดียวย่อมไม่ไปถึงจุดหมาย ไม่จำเป็นต้องเน้นที่จำนวนหรือน้ำหนัก ให้มากเกินไป ผ่านไปอีกสักสองสามวันค่อยว่ากันใหม่

แล้วนับประสาอะไรกับที่เขาต้องลงจากเขาไปดูร้านด้วย

เฉินผิงอันถามว่าเมื่อตนพักฟื้นจนพอจะหายดีแล้ว จะไปพักอยู่ที่ตีนเขาสักวัน สองวันได้หรือไม่

หลี่เอ้อร์ยิ้มบอกว่ามีอะไรที่ไม่ได้เล่า ถือเสียว่าเป็นบ้านตัวเองเถอะ

หลี่เอ้อร์ลงจากภูเขาไปก่อน

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงท่าเรือ ข่มกลั้นความเจ็บปวดที่ไม่เพียงแต่มาจากบาดแผล บนเรือนกายเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแรงสะเทือนบนจิตวิญญาณ ยกฝ่ามือตบลงบน หัวเรือเบาๆ เรือลำน้อยพลันจมดิ่งลงน้ำ จากนั้นก็ลอยพรวดขึ้นมาเหนือผิวน้ำอีกครั้ง การไปการกลับครั้งนี้ คราบเลือดในเรือก็หายเกลี้ยงไม่มีหลงเหลืออยู่อีก

เขาถึงได้ไปที่กระท่อมหลังนั้น ยังต้องหิ้วน้ำต้มน้ำ ทุกก้าวที่เดินมีแต่ความทรมาน

เช้าตรู่วันถัดมา เฉินผิงอันเปลี่ยนมาสวมชุดใหม่สะอาดเอี่ยม แล้วก็ลงมาจาก ยอดเขาสิงโต

ร้านผ้าเพิ่งจะเปิดร้าน เฉินผิงอันกินอาหารเช้าไปหนึ่งมื้อก็มาช่วยท่านอาหลิ่ว ทำการค้า

ทำเอาสตรีแต่งงานแล้วรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ แล้วก็ต้องเรียนรู้คัมภีร์ ทำการค้าบางอย่างมาจากเด็กรุ่นหลังคนนี้

เพื่อนบ้านใกล้เคียงบางส่วนที่เดิมทีเคยทะเลาะกับสตรีหน้าดำหน้าแดง ตอนนี้ พอเห็นสตรีกลับมีรอยยิ้มส่งมาให้

สตรีแต่งงานแล้วทั้งดีใจทั้งกลัดกลุ้ม

เด็กรุ่นหลังที่ดีขนาดนี้ เหตุใดถึงไม่ใช่ลูกเขยบ้านตนนะ?

ดังนั้นหลี่หลิ่วที่มาถึงบ้านอย่างเชื่องช้าจึงได้เห็นคนหนุ่มคนนั้นกำลังขายผ้าให้ลูกค้าอย่างกระตือรือร้น

หลี่หลิ่วอึ้งตะลึงไป

นางเพิ่งจะก้าวข้ามธรณีประตูมาก็ถูกมารดาแอบยื่นสองนิ้วมาบิดตรงเอวบางของนาง แต่กระนั้นก็ตัดใจลงน้ำหนักมือมากไม่ลง ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นบุตรสาว ไม่ใช่บุรุษของตน สตรีแต่งงานแล้วบ่นว่า “เจ้าเด็กไม่ได้เรื่อง”

หลี่หลิ่วยิ้มตาหยีสีหน้าอ่อนโยน ยามที่อยู่บ้าน นางมักจะเป็นพี่สาวของหลี่ไหว ที่เออออเอาใจคนในบ้านเสมอ

มีเฉินผิงอันคอยช่วยเรียกลูกค้าให้ อีกทั้งยังมีหลี่หลิ่วคอยเฝ้าร้าน สตรีจึงไปทำกับข้าวที่เรือนด้านหลังได้อย่างสบายใจ หลี่เอ้อร์นั่งบนม้านั่งตัวเล็ก หยิบปล้องไม้ไผ่มาเป่าไฟ

ฉวยโอกาสตอนที่ในร้านยังไม่มีลูกค้า เฉินผิงอันเดินมาหยุดอยู่ข้างโต๊ะคิดเงิน พูดเบาๆ กับหลี่หลิ่วที่กำลังยืนดีดลูกคิดอยู่หลังโต๊ะว่า “ดูเหมือนว่าจะทำให้ ท่านอาหลิ่วเข้าใจผิดแล้ว ขอโทษด้วยนะ แต่ท่านอาหลี่ช่วยอธิบายให้ชัดเจนแล้วล่ะ”

หลี่หลิ่วเงยหน้าขึ้น ยิ้มกล่าว “ไม่เป็นไร”

เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจโล่งอก

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนกดเสียงลงต่ำถามกลั้วหัวเราะว่า “ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม?”

หลี่หลิ่วดีดลูกคิดเบาๆ คำนวณรายรับรายจ่ายประจำวันของร้านผ้าเล็กๆ แห่งนี้ตามสมุดบัญชีลายมือมารดาที่เหมือนกับยันต์ผีอย่างละเอียด นางเงยหน้าขึ้นยิ้มบางๆ “ข้าไม่ชอบทั้งหลินโส่วอีและต่งสุ่ยจิ่ง”

เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เดิมทีนึกว่าในสองคนนี้ ไม่ว่าอย่างไรหลี่หลิ่วก็น่าจะชอบสักคน

เพียงแต่ว่าชอบใครไม่ชอบใคร ก็ไม่มีเหตุผลให้อธิบายได้จริงๆ

หลี่หลิ่วยิ้มถาม “การที่เจ้าไม่ยอมอยู่บนยอดเขาสิงโต เพราะรู้สึกว่าในเมืองที่ไม่ว่าใครก็ไม่รู้จักเจ้าแห่งนี้ ค่อนข้างคล้ายคลึงบ้านเกิดตอนที่ยังเป็นเด็กใช่ไหม? กลับกลาย เป็นว่าไม่คุ้นเคยกับเมืองเล็กของบ้านเกิดในทุกวันนี้ไปแล้ว?”

เฉินผิงอันเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปยังถนนนอกประตูแล้วพยักหน้ารับเบาๆ

หลี่หลิ่วไม่เอ่ยอะไรอีก

เงียบกันไปครู่หนึ่ง หลี่หลิ่วก็ปิดสมุดบัญชีลง ยิ้มถาม “ได้เงินมาเพิ่มสามตำลึง”

เฉินผิงอันยังคงยืนเอนตัวพิงกับโต๊ะ สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เรื่องของการทำการค้านี้ ข้ามีพรสวรรค์มากกว่าการเผาเครื่องปั้น”

หลี่หลิ่วถาม “เจ้าได้ยินเรื่องเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงของสำนักชิงเหลียงหรือยัง?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ระหว่างทางที่โดยสารเรือข้ามฟากมายังยอดเขาสิงโต เคยเห็นจากรายงาน”

กินอาหารเย็นแล้ว

เฉินผิงอันก็ขอตัวลากลับขึ้นไปบนภูเขา ไม่ได้เลือกพักค้างคืนในห้องของหลี่ไหว

สตรีแต่งงานแล้วทอดถอนใจ หันหน้ามาเห็นว่าหลี่หลิ่วนั่งเฉยก็ใช้นิ้วจิ้มหน้าผากบุตรสาว “มัวนั่งอึ้งอยู่ทำไม เดินไปส่งคนเขาสิ”

หลี่หลิ่วมองหลี่เอ้อร์

หลี่เอ้อร์นั่งนิ่งไม่ขยับ

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจอย่างเศร้าใจ ปากก็พึมพำว่าช่างเถอะๆ แตงที่ฝืนเด็ดออกจากต้นย่อมไม่หวาน

หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มหวาน หลี่เอ้อร์ก็ยิ้มกว้าง

สตรีแต่งงานแล้วหันมาถลึงตาใส่หลี่หลิ่ว “หลี่ไหวเหมือนข้า เจ้าน่ะเหมือนพ่อเจ้า”

เฉินผิงอันมาถึงบนยอดเขาสิงโต เดินผ่านพันธนาการภูเขาสายน้ำมาถึงกระท่อม เขานั่งหลับตาทำสมาธิอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นเดินไปที่ท่าเรือ ถ่อเรือแจวไปบนทะเลสาบ ผิวกระจกเพียงลำพัง ถอดรองเท้าหุ้มแข้งไว้บนเรือลำเล็ก ม้วนชายขากางเกงขึ้นแล้วฝึกหมัดเลียนแบบท่าของจางซานเฟิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version