บทที่ 556 อาจารย์และลูกศิษย์ฝึกหมัดล้วนน่าสงสาร
พอไปนั่งบนโต๊ะกินข้าว หลี่เอ้อร์ก็แอบนินทาอยู่ในใจ นี่คือครั้งที่สองที่เมียตัวเองอนุญาตให้ตนดื่มเหล้าได้ตามสบาย คราวก่อนนั้นผ่านมานานหลายปีมากแล้ว
เห็นว่าเฉินผิงอันจงใจสะกดกลั้นปณิธานหมัดที่อยู่บนร่าง ดื่มเหล้าไปสองสามจอกได้ไม่นานก็หน้าแดงก่ำ หลี่เอ้อร์ก็พลันรู้สึกผิดปกติ ทำไม ดื่มเหล้าเมาพอหัวถึงหมอน ก็หลับ เพราะคิดว่าหากได้กินหมัดน้อยลงหน่อยเท่าไรก็เท่านั้นหรือ? แต่นี่ไม่เหมือนเรื่องที่เฉินผิงอันจะทำได้เลย
แต่มีคนดื่มเหล้าอย่างเต็มคราบกับตน หลี่เอ้อร์ก็ยังอารมณ์ดีมาก จึงยกเท้า ข้างหนึ่งเหยียบบนม้านั่งยาว คิดไม่ถึงว่าเขาเพิ่งจะยกเท้า โน้มตัวไปข้างหน้าเตรียมจะคีบหน่อไม้ผัดเนื้อที่อยู่ห่างจากตนไปไกล สตรีแต่งงานแล้วก็หันมาถลึงตาใส่ สั่งสอนให้เขาเอามาดของผู้อาวุโสออกมาบ้าง ทำเอาหลี่เอ้อร์คิดไม่ตกอยู่นาน แล้วก็ได้แต่นั่งตัวตรงแต่โดยดี ก่อนหน้านี้ไม่เห็นนางจะคิดเล็กคิดน้อยแบบนี้เลย บางครั้งตนจิบเหล้าอึกสองอึก เมียเขาก็ไม่เห็นจะสนใจ ครอบครัวของพวกเขา ก็เป็นกันอย่างนี้มาโดยตลอด ตอนหลี่ไหวเป็นเด็กก็ชอบนั่งยองอยู่บนม้านั่งตัวยาว แทะขาไก่บ้าง ตีนหมูบ้าง ที่บ้านไม่เคยมีการอบรมสั่งสอนใดๆ อย่างข้อที่ว่าสตรีไม่นั่งกินข้าวร่วมโต๊ะอาหาร ที่บ้านของหลี่เอ้อร์ก็ยิ่งไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนี้
หลี่เอ้อร์ชำเลืองตามองอาหารที่จงใจวางไว้ใกล้มือเฉินผิงอัน ผลกลับสังเกต เห็นว่าสตรีชำเลืองตามองตน หลี่เอ้อร์จึงเข้าใจว่าหน่อไม้ผัดเนื้อจานนี้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเขา
อาหารคาวอาหารหนักทั้งหลายบนโต๊ะล้วนอยู่ใกล้เฉินผิงอัน ตรงหลี่เอ้อร์มีแต่ ผัดผักจืดชืด หลี่เอ้อร์จิบเหล้าหนึ่งอึก แล้วก็หัวเราะ อันที่จริงภาพเหตุการณ์นี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเขา
ช่วงเวลาหลายปีที่หลี่ไหวยังไม่ได้ออกจากบ้านไปขอศึกษาต่อ ในบ้านก็เป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
หลี่ไหวเล่าเรียนหาวิชาความรู้อยู่ที่สำนักศึกษาต้าสุย พวกเขาสามคนย้ายมาอยู่ตีนเขายอดเขาสิงโตอุตรกุรุทวีป ต่อให้หลี่หลิ่วจะลงจากเขามาบ่อยๆ คนทั้งสาม กินข้าวร่วมกัน แต่ไม่มีหลี่ไหวคอยก่อกวน หลี่เอ้อร์จึงมักจะรู้สึกว่าขาดรสชาติบางอย่างไป หลี่เอ้อร์ไม่ได้ให้ความสำคัญกับลูกชายมากกว่าลูกสาว นี่ไม่ได้เกี่ยว กับว่าหลี่หลิ่วผู้เป็นบุตรสาวเป็นใคร และตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ หลี่เอ้อร์ก็มี ข้อเรียกร้องต่อหลี่หลิ่วข้อเดียวเท่านั้น เรื่องข้างนอกก็จัดการข้างนอก อย่าเอาเข้ามาในบ้าน แน่นอนว่าลูกเขยสามารถเป็นข้อยกเว้นได้
เฉินผิงอันดื่มจนเมามายเสียเจ็ดแปดส่วน ไม่ถึงขั้นพูดจาลิ้นพันกัน เวลาเดินก็ ไม่โซเซ เขาลุกจากโต๊ะแปดเซียนและเดินออกจากห้องหลักไปพักผ่อนที่ห้องของ หลี่ไหว ถอดรองเท้าหุ้มแข้งออกแล้วเอนตัวนอนลงเบาๆ หลับตาลง แต่แล้วจู่ๆ ก็ลุกพรวดขึ้นนั่ง เปลี่ยนทิศทางของปลายรองเท้าที่วางอยู่ข้างเตียงให้หันด้านแหลมเข้ามาในห้อง แล้วถึงได้นอนหลับต่ออย่างสงบ
ที่แท้ก็คิดถึงภูเขาลั่วพั่วบ้านเกิดและลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตัวเองแล้ว
หลี่เอ้อร์ยุ่งอยู่กับการเก็บกวาดจานชาม สตรียังนั่งอยู่ที่เดิม แล้วอยู่ดีๆ นางก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมาว่า “หลี่เอ้อร์ เจ้าคิดว่าเด็กอย่างเฉินผิงอันเป็นอย่างไรบ้าง?”
หลี่เอ้อร์ยิ้มตอบ “ก็ดีน่ะสิ”
ไม่อย่างนั้นปีนั้นชายฉกรรจ์ก็ไม่มีทางคิดจะขายข้องราชามังกรและปลาจินหลี่สีทองให้เฉินผิงอันเป็นการส่วนตัว ด้วยเรื่องนี้เขายังถูกด่าที่ร้านยาตระกูลหยางไปรอบหนึ่ง
สตรีเอ่ยเบาๆ “เจ้าคิดว่าเด็กคนนี้จะหมายตาลูกสาวของพวกเราไหม?”
หลี่เอ้อร์หยุดมือที่ขยับง่วนลง กล่าวอย่างระอาใจว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องหมายตา ไม่หมายตาอะไรแล้ว เฉินผิงอันมีคนที่ชอบอยู่นานแล้ว”
สตรีรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “ลูกสาวของเราไม่มีโชคเสียเลย”
หลี่เอ้อร์เพียงยิ้มไม่ต่อคำ
สตรีตบโต๊ะ กล่าวอย่างมีโทสะ “ยิ้มอะไร หลี่หลิ่วใช่บุตรสาวแท้ๆ ของเจ้าหรือไม่? หรือว่าข้าแอบไปมีสัมพันธ์กับบุรุษคนอื่นมา?”
หลี่เอ้อร์ทำคอย่น พูดเสียงไม่พอใจ “พูดจาเหลวไหลอะไร”
สตรีบ่นอย่างขุ่นเคือง “ลูกสาวไม่มีไหวพริบ คนเป็นพ่อก็ไม่เอาไหน แล้วยังไม่ใส่ใจอีก ชาติก่อนลูกสาวพวกเราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้กันแน่ ถึงได้มาเกิดในตระกูลที่ต้อง มีชีวิตยากลำบากเช่นนี้ หรือว่าในอนาคตยังต้องให้หลี่ไหวเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงเมีย ถึงเวลานั้นแม้แต่พี่สาวที่แต่งงานออกเรือนไปแล้วก็ยังต้องดูแลไปชั่วชีวิตด้วย?”
หลี่เอ้อร์ถามอย่างใคร่รู้ “ต่งสุ่ยจิ่งกับหลินโส่วอีที่เรียนอยู่ในโรงเรียนกับหลี่ไหวต่างก็ชอบลูกสาวของพวกเรามาตั้งแต่เด็กไม่ใช่หรือ เมื่อก่อนไม่เห็นว่าเจ้าจะสนใจขนาดนี้ ยังมีบัณฑิตที่คราวก่อนเดินทางมาร่วมกับพวกเราอีก เจ้าเองก็คิดว่าท่าทางเขาดูไม่เลวเหมือนกันไม่ใช่หรือไร?”
สตรีส่ายหน้า “นั่นมันไม่เหมือนกัน ข้ามองไปมองมาก็ยังรู้สึกว่าเฉินผิงอันเหมือนอาจารย์ฉีของโรงเรียนมากที่สุด ข้าอธิบายเหตุผลไม่ถูก แต่ข้ามองคนแม่นยำมากมาโดยตลอด”
หลี่เอ้อร์จึงไม่พูดอะไรอีก เขาพยักหน้ารับ แล้วเก็บชามเก็บตะเกียบต่ออีกครั้ง
คราวก่อนที่เมียของเขาให้เขาดื่มเหล้าได้อย่างเต็มที่ก็คือครั้งที่อาจารย์ฉีแวะมาเยี่ยมที่บ้าน
สตรีแต่งงานแล้วถามหยั่งเชิง “ลูกสาวของพวกเราไม่มีโอกาสแล้วจริงๆ หรือ?”
หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย การป้อนหมัดต่อจากนี้ เขาจะทำให้เฉินผิงอันกินอิ่มจนท้องแตกตาย คาดว่าต่อให้มีโอกาสก็คงไม่เหลือโอกาสแล้วกระมัง?
วันต่อมา ฟ้าเริ่มสางเฉินผิงอันก็ตื่นแล้ว เขาช่วยหาบน้ำกลับมาให้ ตรงบ่อน้ำ แห่งนั้น เขาเจอพวกเพื่อนบ้านใกล้เคียงสอบถาม ก็เลยบอกไปว่าเป็นญาติห่างๆ ของตระกูลหลี่
จากนั้นหลี่เอ้อร์ก็พาเฉินผิงอันออกจากบ้านไปที่ยอดเขาสิงโต เขาบอกสตรีว่าจะขึ้นเขาไปเดินเล่น สตรีหน้าบานเป็นกระด้ง ยิ้มจนปากหุบไม่ลง แล้วก็ไม่ได้พูดอะไร หลี่เอ้อร์จึงรู้สึกสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่านางยังมีเรื่องอะไรให้ดีดลูกคิดได้อีก
หลี่เอ้อร์พาเฉินผิงอันตรงไปที่ศาลบรรพจารย์ของยอดเขาสิงโต
เดินคุยเล่นกันไปตลอดทาง เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกวันนี้เจิ้งต้าเฟิงทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูของภูเขาลั่วพั่ว หลี่เอ้อร์เอ่ยขอบคุณเฉินผิงอันหนึ่งคำ
เฉินผิงอันบอกว่าไม่มีอะไรให้ต้องขอบคุณ
แต่หลี่เอ้อร์กลับบอกว่าด้วยนิสัยของเจิ้งต้าเฟิงนั้น หากเป็นในอดีต กลายเป็นคนไร้ค่าอยู่ต่างถิ่น จะต้องไม่ยอมกลับมาที่ร้านตระกูลหยางอีกตลอดชีวิตแน่นอน คงจะใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ และชีวิตนี้ของเขาก็ถือว่าจบสิ้นแล้วจริงๆ ทำตัวไม่เอาไหนมาตลอดชีวิต สุดท้ายอาจารย์ไม่เคยมองเจิ้งต้าเฟิงเป็นลูกศิษย์อย่างเต็มๆ ตาสักครั้ง เจิ้งต้าเฟิงเองก็ไม่กล้าเห็นตัวเองเป็นลูกศิษย์ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ ตกอับก็ส่วนตกอับ แต่อาจารย์และศิษย์กลับกลายเป็นอาจารย์และศิษย์จริงๆ ซึ่งแตกต่างไปจากในอดีตอยู่มาก
อันที่จริงเฉินผิงอันรู้สึกมาโดยตลอดว่าท่านอาหลี่ผู้นี้คือคนประเภทที่ใช้ชีวิตได้อย่างเข้าใจมากที่สุด
ตอนนี้มาลองมองดูอีกครั้งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
หวงไฉ่เจ้าขุนเขาของยอดเขาสิงโตคือเทพเซียนผู้เฒ่าที่มีมาดของเทพเซียนคนหนึ่ง
ในบรรดาผู้ฝึกตนก่อกำเนิดของอุตรกุรุทวีป หวงไฉ่คือคนที่ขึ้นชื่อในด้านการต่อสู้
หลี่เอ้อร์ไม่มีการทักทายปราศรัยตามมารยาทอะไร เขาบอกให้ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดเฒ่า ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือท่านนี้ปิดภูเขาโดยตรง
หวงไฉ่ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ออกคำสั่งทันที บอกให้ยอดเขาสิงโตปิดภูเขา อีกทั้งยังไม่บอกสักคำว่าจะเปิดภูเขาเมื่อไหร่
สำหรับภูเขาตระกูลเซียนแห่งหนึ่งแล้ว การปิดภูเขาคือเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง
หากไม่เป็นเพราะมีศัตรูตัวฉกาจมารออยู่เบื้องหน้า ก็เป็นเพราะบรรพจารย์ ปิดด่านฝ่าทะลุขอบเขต
หลี่เอ้อร์ยังมอบกระดาษแผ่นหนึ่งให้กับเจ้าขุนเขาผู้เฒ่าของยอดเขาสิงโตอย่างเคารพนอบน้อม บอกให้หวงไฉ่ไปหายามาตามที่เขียนไว้บนกระดาน
หวงไฉ่ยังคงไม่ถามอะไรมากความสักคำเดียว
เพียงแต่ว่าสายตาที่มองคนหนุ่มจากต่างถิ่นผู้นั้นออกจะแปลกประหลาดอยู่บ้าง
หากจะบอกว่าเฉินผิงอันที่อยู่ในร้านตรงตีนเขาเป็นดั่งเงาดำใต้โคมไฟ เวลานี้ เมื่อได้พูดคุยกับคนอื่น สติปัญญาของเขาก็เปิดโล่งทันที แต่หลี่เอ้อร์ก็ไม่ได้อธิบายอะไร
ทุกอย่างรอให้หลี่หลิ่วกลับมายอดเขาสิงโตก่อนค่อยว่ากัน
หลี่เอ้อร์พาเฉินผิงอันไปยังจวนเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่บนยอดเขาของยอดเขาสิงโต สถานที่แห่งนี้คือสถานที่ฝึกตนของบรรพจารย์บุกเบิกยอดเขาสิงโตในอดีต หลังจากที่เขาลาจากโลกนี้ไป จวนหลังนี้ก็ไม่เคยเปิดออกอีก พอหลี่หลิ่วหวนกลับคืนมาที่ ยอดเขาสิงโตอีกครั้ง ถึงได้เปิดประตูจวน ด้านในคือฟ้าดินที่แตกต่างไปจากข้างนอก ต่อให้เป็นหวงไฉ่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติที่จะเยียบย่างเข้าไปแม้แต่ครึ่งก้าว เฉินผิงอัน เดินเข้าไปข้างใน แล้วก็สังเกตเห็นว่ามีทางสายน้ำในถ้ำอยู่เส้นหนึ่ง ผ่านตราผนึก ภูเขาสายน้ำของจวนแห่งนั้นมาก็คือท่าเรือแห่งหนึ่ง กระแสน้ำไหลเป็นสีเขียวมรกต มีเรือลำเล็กจอดอยู่ริมชายฝั่ง หลี่เอ้อร์ถ่อเรือให้ล่องไปเบื้องหน้าด้วยตัวเอง ในถ้ำ แห่งนั้นทั้งไม่มีแสงตะวันจันทรา แล้วก็ไม่มีหินเรืองแสง หรือแสงจากเปลวเทียนของตระกูลเซียนใดๆ แต่กลับยังสว่างไสวราวกับเวลากลางวัน
หลังจากเรือลำน้อยล่องออกไปได้สิบกว่าลี้แล้ว การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง ห่างออกไปไกลมีกระจกประหลาดบานหนึ่งที่ใหญ่ราวกับทะเลสาบ ต่ำกว่าพื้นผิวทะเลสาบลงไปเล็กน้อยมีกระแสน้ำจากสี่ด้านแปดทิศไหลมารวมกันด้านใน พอมารวมตัวกันแล้วก็หายไปไม่เหลือร่องรอยให้เห็นอีก
หลี่เอ้อร์อธิบาย “กระจกบานนี้คือทางเข้าถ้ำสวรรค์โบราณแห่งหนึ่ง มีคนไม่ค่อยชอบถ้ำสวรรค์แห่งนั้นก็เลยสร้างค่ายกลแห่งนี้เอาไว้ ใช้น้ำปริมาณมหาศาลราดรดมันตลอดเวลา กระจกบานนี้ค่อนข้างทนทาน หมัดขอบเขตสิบที่ ‘พละกำลังเปี่ยมล้น’ ทั่วไปก็ยังทำอะไรมันไม่ได้ ต่อให้ข้าจะเคยใช้ ‘คืนสู่ความจริง’ สิบแปดหมัดต่อยให้มันแตกกระจายได้ครู่หนึ่ง มันก็ยังกลับคืนมาเป็นปกติได้เหมือนเดิม ว่ากันว่ามีเพียง ‘เทพมาเยือน’ ด่านสุดท้ายของขอบเขตสิบเท่านั้นที่ถึงจะสามารถทำลายผิวหน้ากระจกได้อย่างสมบูรณ์ ข้ายังต้องขัดเกลาปณิธานหมัดอีกนานถึงจะสามารถเลื่อนสู่ขั้นสูงสุดของ ‘เทพมาเยือน’ ได้ หลังจากนั้นมาจึงจะถือว่าฝ่าเส้นทางหัวขาดของ วิถีวรยุทธ เดินไปบนเส้นทางขึ้นสวรรค์ตามความหมายที่แท้จริงได้”
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ แต่สุดท้ายก็อดไม่ไหวถามไปว่า “สมบัติล้ำค่าของตระกูลเซียนแบบนี้ หากต่อยให้แหลกละเอียดคงน่าเสียดายแย่”
ส่วนสามขอบเขตของขอบเขตสิบนั้น เคยได้ยินมาแล้วก็แค่จดจำไว้เท่านั้น
หลี่เอ้อร์ยิ้มกล่าว “เมื่อถึงเวลาที่สามารถใช้สองหมัดต่อยให้กระจกแตกได้ เจ้าถึงจะมีคุณสมบัติพูดว่าน่าเสียดายหรือไม่น่าเสียดาย”
จนกระทั่งบัดนี้เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างกาย ไม่ใช่หลี่เอ้อร์อีกต่อไป
แต่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบคนหนึ่ง
ข้างกายไม่มีเงาร่างของหลี่เอ้อร์แล้ว เฉินผิงอันรู้ว่าท่าไม่ดี แล้วก็จริงดังคาด ขาข้างหนึ่งฟาดมาที่กลางหลังเขาอย่างไร้ลางบอกเหตุ
ร่างของเฉินผิงเหมือนเหมือนจะงองุ้มลงไป ปณิธานหมัดถูกเก็บเอามา เขาไม่สนใจมาดอะไรอีกแล้ว พยายามจะกระโจนออกไปข้างหน้า คาดไม่ถึงว่ายังคงถูกเท้านั้นเตะเข้าที่เอวด้านหลังอย่างแรง เสียงกร๊อบดังเหมือนเสียงประทัดแตก เป็นระลอก เฉินผิงอันที่สามารถมองผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองทั่วไปเป็นรูปปั้น ดินกระดาษเปียกได้ กลับถูกเท้านั้นเตะจนร่างเหมือนสายธนูที่ถูกง้าวจนสุด หลังจากเสียงปังเสียงหนึ่งผ่านพ้นไป ตามหลักแล้วเฉินผิงอันควรจะกระเด็นไปหลายสิบจั้ง แต่หลี่เอ้อร์ออกหมัดได้เร็วกว่าร่างที่พุ่งไปของเฉินผิงอัน เขามายืนอยู่ข้างกาย เฉินผิงอัน หนึ่งหมัดแสกผ่านหน้ากระแทกลงบนหน้าอกของเฉินผิงอันที่ร่างหงายผลึ่งไปด้านหลัง
หมัดนี้ทำเอาหลังของเฉินผิงอันร่วงแนบติดพื้นทันที
หลี่เอ้อร์ยื่นเท้าข้างหนึ่งออกไป บิดข้อเท้าเตะให้เฉินผิงอันที่อยู่บนหลังเท้าตนลอยเด้งขึ้นมาบนพื้นกระจก
เฉินผิงอันที่รู้สึกเพียงว่าปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์เฮือกนั้นใกล้จะแหลกสลายเต็มทีกระแทกลงบนผิวกระจกอย่างแรง ร่างกระเด้งกระดอนอยู่หลายครั้ง เขาพลันใช้ฝ่ามือตบผิวกระจกหมุนตัวลุกขึ้นยืน แต่กระนั้นก็ยังกระอักเลือดออกมาคำใหญ่อย่างห้ามไม่ได้
หลี่เอ้อร์ยังคงยืนอยู่บนเรือลำน้อย คนกับเรือต่างก็ไม่ขยับเขยื้อน ชายฉกรรจ์ผู้นี้เอ่ยเนิบช้าว่า “ระวังหน่อย ข้าคนนี้ออกหมัดไม่รู้จักหนักเบา ปีนั้นเป็นยอดเขาของขอบเขตเก้าเหมือนกับซ่งจ่างจิ้ง ศึกที่ถ้ำสวรรค์หลีจูคราวนั้น ต่อสู้อย่างสะใจไปหน่อย จึงเกือบจะต่อยเขาตายโดยไม่ทันระวัง”
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เห็นว่าหลี่เอ้อร์ไม่มีท่าทีจะลงมือก็ม้วน ชายแขนเสื้อขึ้น ปลายเท้าบิดหมุนลงบนผิวกระจกเบาๆ แข็งแกร่งทนทานผิดปกติจริงๆ เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนเดินบนทางดินโคลนในตรอกหนีผิงมาจนชินแล้วได้ไปเดินอยู่บนถนนใหญ่หินเขียวของถนนฝูลวี่ตรอกเถาเย่ นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าเจอกับหมัดหนึ่งของหลี่เอ้อร์คือความเจ็บปวดอย่างหนึ่ง จากนั้น ก็ร่วงกระแทกลงบนผิวกระจก นั่นก็คือการราดน้ำมันลงบนกองไฟ เมื่อเทียบกับกระแทกลงบนผนังบนพื้นของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วยังทรมานกว่าเสียอีก
ร่างของเฉินผิงอันโงนเงนไปมา เขายิ้มเจื่อนถามว่า “ท่านอาหลี่ จะออกหมัดด้วยขอบเขตเก้าตลอดเลยหรือ?”
หลี่เอ้อร์ส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่”
ไม่รอให้เฉินผิงอันรู้สึกดีขึ้น หลี่เอ้อร์ก็เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “ยังมีขอบเขตสิบด้วย”
อาศัยที่เจ้าเด็กนี่เรียกเขาว่าท่านอาหลี่ ก็ไม่ควรให้เฉินผิงอันเรียกอย่างเสียเปล่า
หลี่เอ้อร์คิดว่าเป็นคนต้องมีคุณธรรมสักหน่อย
บนโต๊ะสุราหลังอาหารมื้อกลางวัน ช่วงที่ผ่านมานี้บนภูเขาของอุตรกุรุทวีปมีเรื่องน่าสนใจใหญ่เทียมฟ้าอีกเรื่องหนึ่งให้พูดถึงอีกแล้ว
ระหว่างที่เดินทางกลับสำนัก เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักชิงเหลียงอยู่ดีๆ ก็เกิดความขัดแย้งใหญ่เทียมฟ้ากับสวีเซวี่ยนคนลุ่มหลงในรักผู้นั้น
เดิมทีควรเป็นชายหญิงคู่รักเทพเซียนที่ฟ้าดินรังสรรค์ ทว่าพวกเขากลับไม่เพียงแต่ไม่อาจครองรักกันด้วยความความจริงใจได้ ยังไม่รู้ว่าสวีเซวี่ยนไปพูดอะไร เฮ้อเสี่ยวเหลียงถึงได้ลงมืออย่างรุนแรง หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดอาณาเขตไว้ บนป่าเขาห่างไกลแห่งหนึ่งของราชวงศ์ฮวาหลิง เฮ้อเสี่ยวเหลียงกับสวีเซวี่ยนก็ต่อสู้กันจนภูเขาสายน้ำในรัศมีร้อยลี้เปลี่ยนสี ปราณวิญญาณพันลี้กระจัดกระจายวุ่นวาย
สวีเซวี่ยนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนต้องเผ่นหนีไป เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เพียงแต่สังหารสาวใช้ประจำกายสองคนของเขาจนผู้ฝึกตนหญิงโอสถทองสองคนมอดม้วย นางยังแย่งชิงดาบและกระบี่สองเล่มอย่างไฮจู ฝูเหอมาแล้วเอากลับไปที่สำนัก ชิงเหลียงด้วย จากนั้นก็โยนสมบัติล้ำค่าสองชิ้นนี้ไว้นอกภูเขา เจ้าสำนักหญิงผู้นี้ ป่าวประกาศออกไปว่าหากสวีเซวี่ยนมีปัญญาก็มาเอาคืนไปเอง แต่หาก ไม่มีความสามารถ และยังมีความกล้าไม่มากพอ ก็สามารถให้ป๋ายฉางผู้เป็นอาจารย์มาเอาดาบและกระบี่กลับคืนไปได้
หลังจากสวีเซวี่ยนกลับไปถึงภูเขาแล้วก็ปิดด่านรักษาอาการบาดเจ็บ เล่าลือกันว่าเรื่องที่เขาจะได้ฝ่าทะลุขอบเขตเป็นห้าขอบเขตบนอย่างแน่นอนนั้น ตอนนี้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องรอไปอีกสิบปี เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยในเรื่องของขอบเขต หากหลิวจิ่งหลงฝ่าทะลุขอบเขตได้สำเร็จ อีกทั้งยังสามารถต้านรับการถามกระบี่ สามครั้งที่มาจากไฉ่ลี่และต่งจู้เป็นหนึ่งในนั้นได้ ตบะขอบเขตของสวีเซวี่ยนจะไม่เพียงแต่ช้ากว่าหลิวจิ่งหลงแห่งสำนักกระบี่ไท่ฮุยสิบปี ในบรรดาคนรุ่นเยาว์สิบคนของอุตรกุรุทวีป สวีเซวี่ยนที่เป็นรองแค่หลินซู่ก็อาจจะต้องสลับเปลี่ยนเก้าอี้นั่งกับ หลิวจิ่งหลง
ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่อันดับหนึ่งของทางแถบทิศเหนือไม่ได้นิ่งดูดายอยู่เฉยๆ แต่ก็ไม่ได้อาศัยสถานะของเซียนกระบี่และขอบเขตเซียนเหรินไปซักไซ้เอาความผิดจากสำนักชิงเหลียงและเฮ้อเสี่ยวเหลียง ป๋ายฉางเอ่ยเพียงแค่ประโยคเดียวว่า หากเขาป๋ายฉางยังอยู่ที่อุตรกุรุทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตบินทะยาน
สองสำนักที่เดิมทีควรได้แต่งงานสามสัมพันธ์กันจึงผูกปมอาฆาตแค้นกันนับแต่นี้
หญ้าบนหัวกำแพงมากมายโดยรอบสำนักชิงเหลียงก็เริ่มตัดขาดความสัมพันธ์กับพวกเขา การค้าหลายอย่างก็ยิ่งเปลี่ยนมาเป็นยากลำบากมากกว่าเดิม
กองกำลังในโลกมนุษย์ล่างภูเขาจำนวนมากซึ่งรวมถึงฮ่องเต้สกุลหานของราชวงศ์ฮวาหลิงก็เริ่มกลับคำ ตัวอ่อนผู้ฝึกตนหลายคนที่เดิมทีคิดจะส่งให้ไปฝึกตนที่สำนักชิงเหลียน ต่อให้เดินทางไปได้ครึ่งทางแล้วก็ยังถูกเรียกให้กลับไป
ภูเขาตระกูลเซียนจำนวนมากโดยรอบก็ทำตัวห่างเหินกับสำนักชิงเหลียงที่รากฐานยังไม่มั่นคงคล้ายตั้งใจคล้ายไม่ได้เจตนา พวกเขาออกคำสั่งผู้ฝึกตนในภูเขาของตัวเองว่าไม่อนุญาตให้ไปมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสำนักชิงเหลียงมากเกินไปนัก
ลูกศิษย์ผู้สืบทอดคนหนึ่งของเทียนจวินเซี่ยสือบุกไปที่สำนักชิงเหลียงด้วยตัวเองอย่างดุดัน ผลคือเฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่รู้จักหนักเบา สองฝ่ายที่เดิมทีสนิทสนมแนบแน่นกลับกลายเป็นว่าต้องแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์ หลังจากนั้นมาสำนักชิงเหลียง ก็ยิ่งโดดเดี่ยว สี่ด้านแปดทิศไร้ความช่วยเหลือ พันธมิตรไม่ใช่พันธมิตรอีกต่อไป และยิ่งกลายมาเป็นกลุ่มอิทธิพลที่แอบปัดแข้งปัดขากันเอง ไม่มีใครคิดว่าสำนักแห่งใหม่ที่ทำให้ป๋ายฉางเซียนกระบี่ใหญ่เดือดดาลจะมีหน้ามีตาอยู่ในอุตรกุรุทวีปได้ นานนัก
และภายในของสำนักชิงเหลียงเองก็ระส่ำระส่าย
เค่อชิงและผู้ถวายงานครึ่งหนึ่งต่างก็พากันตัดความสัมพันธ์กับสำนักชิงเหลียง แต่ละคนส่งจดหมายลับออกไป ภายในค่ำคืนเดียวเก้าอี้ที่ตั้งวางในศาลบรรพจารย์ ก็น้อยลงไปถึงห้าตัว
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเองก็เป็นคนประหลาด นางไม่ได้ทุบทำลายเก้าอี้เหล่านั้น เพียงแค่ย้ายพวกมันออกมานอกศาลบรรพจารย์ นำมาตั้งวางไว้ใต้ชายคานอกประตู
สำนักชิงเหลียงที่เดิมทีมีลูกศิษย์ไม่มาก บนภูเขาจึงยิ่งเงียบสงัดวังเวง
โชคดีที่ท่ามกลางการเดินทางท่องเที่ยวในอุตรกุรุทวีปของเฮ้อเสี่ยวเหลียง ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อเก้าคนที่นางทยอยรับมานับว่ายังอยู่กันอย่างสงบ ยังไม่มีใครเลือกจะทรยศหนีออกจากสำนักชิงเหลียง ในสายตาของโลกภายนอก นั่นเป็นเพราะคนพวกนั้นไม่เข้าใจความหมายของชื่อป๋ายฉางนี้ดีพอ ยิ่งไม่รู้ถึงความอันตรายอย่างใหญ่หลวงของการผูกปมแค้น อีกทั้งยังฉีกหน้าแตกหักกันของคนบนภูเขา
ลูกศิษย์รุ่นแรกหลังจากที่สำนักชิงเหลียงก่อตั้งมาเก้าคนนี้ต่างก็ทยอยกันถูก เฮ้อเสี่ยวเหลียงพาขึ้นภูเขา ล้วนเป็นคนธรรมดาด้านล่างภูเขาที่เมื่อก่อนไม่เคยฝึกตนมาก่อน อายุไม่ถือว่าต่างกันมากนัก คนที่อายุมากที่สุด ตอนนี้ก็แค่สามสิบปีเท่านั้น คนที่อายุน้อยสุดเป็นแค่เด็กน้อยอายุห้าหกขวบ การรับลูกศิษย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียงนั้นแปลกประหลาดอย่างมาก ดูคุณสมบัติและฐานกระดูกเหมือนกัน แต่ไม่ได้เห็นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ขอแค่เดินบนเส้นทางการฝึกตนได้ก็พอแล้ว ที่มากกว่านั้นต้องเป็นคนที่นางถูกชะตาด้วย
วันนี้เฮ้อเสี่ยวเหลียงออกมาจากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่ใช้ฝึกตนเพียงลำพัง สำนักชิงเหลียงได้ยึดครองพื้นที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง แต่กลับไม่ได้ทำการก่อสร้างใหญ่โตอะไร เพียงแค่บุกเบิกพื้นที่เล็กๆ ไว้ตรงกึ่งกลางของภูเขาบรรพบุรุษ กระท่อมแต่ละหลังสร้างเรียงติดกัน ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนล้วนอาศัยอยู่ที่นี่
มีเพียงสถานที่ที่ใช้ถ่ายทอดวิชาความรู้ไขข้อข้องใจแห่งนั้นเท่านั้นที่พอจะดูเหมือนจวนเศรษฐีได้บ้าง ลักษณะคล้ายคลึงกับศาลบรรพชนของครอบครัวใหญ่ ล่างภูเขา ทั้งสามารถใช้กราบไหว้บรรพชน แล้วก็สามารถเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือให้กับลูกหลานในตระกูลได้
การรับลูกศิษย์ของเฮ้อเสี่ยวเหลียง นางจะถ่ายทอดแค่คาถาลัทธิเต๋าที่ไม่มีการแบ่งแยกสูงต่ำบทหนึ่งให้เท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่ได้ให้ความสนใจพวกเขามากนัก แต่ได้เชิญคนต่างถิ่นคนหนึ่งมาสอนวิชาในชีวิตประจำวันให้แก่พวกลูกศิษย์ คนผู้นี้ ทั้งไม่ใช่ผู้ถวายงาน แล้วก็ไม่ใช่เค่อชิง แต่กลับช่วยสอนวิชาความรู้ให้กับลูกศิษย์ทั้งเก้าของสำนักชิงเหลียงมานานหลายปี ไม่ได้ยึดติดกับแค่การวิเคราะห์ความมหัศจรรย์ของตำราลัทธิเต๋าเท่านั้น ความรู้ของสามลัทธิร้อยสำนัก คนผู้นี้ก็สอนด้วย ดูเหมือนเฮ้อเสี่ยวเหลียงจะเชื่อใจในตัว ‘อาจารย์หลี่’ คนนี้มาก ไม่เคยกังวลว่าการอบรม สั่งสอนของเขาจะถ่วงเวลาการฝึกตนของลูกศิษย์ตน ยิ่งไม่กังวลว่าเขาจะทำให้ สำนักชิงเหลียงที่นางป่าวประกาศแล้วว่าภายในร้อยปีจะไม่รับลูกศิษย์อีกกลายเป็นสำนักตระกูลเซียนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง
ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนที่ยังคงได้รับแค่การบันทึกชื่อเอาไว้ชั่วคราวล้วนให้ความเคารพอาจารย์หนุ่มที่รู้แค่ว่าแซ่หลี่คนนั้นมาก
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเดินมาถึงนอกหน้าต่างห้องเรียน
อาจารย์หลี่กำลังสอนบทประพันธ์และบทกลอนของลัทธิขงจื๊อ ก่อนหน้านี้ เพิ่งอธิบายว่าข้อดีของ ‘หญ้าใบไม้ผลิถือกำเนิดในบ่อ’ และ ‘แสงจันทร์ส่องหอสูง’ อยู่ที่ตรงไหน ทอดถอนใจว่าบทกวีที่ตรงไปตรงมาเช่นนี้ทำให้มองเห็นทักษะได้ดีที่สุด ทำให้นักกวีรุ่นหลังรู้สึกเสียดายที่เกิดช้าไปร้อยปีพันปี จากนั้นก็ถือโอกาสเล่าว่าตระกูลชนชั้นสูงด้านล่างภูเขาแห่งหนึ่ง หรือไม่ก็พรรคบนภูเขาแห่งหนึ่ง นิสัยของบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาเป็นอย่างไร จะส่งผลกระทบต่อขนบธรรมเนียม ประจำตระกูลและสำนักอย่างไร สุดท้ายจึงบอกคนทั้งเก้านั้นว่าหากในอนาคต พวกเจ้าได้เป็นบรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาควรจะทำอย่างไรถึงจะผิดน้อยถูกมาก
มีคนเห็นว่าอาจารย์ปรากฏตัวจึงทำท่าจะลุกขึ้นคารวะ เฮ้อเสี่ยวเหลียง กลับยื่นมือออกมากดลงสองที บอกเป็นนัยให้รู้ว่าอยู่ในสถานที่อย่างห้องเรียน อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาใหญ่ที่สุด
อาจารย์หลี่ที่ยังหนุ่มอยู่มากผู้นั้นตั้งคำถามหนึ่งให้ลูกศิษย์ทั้งเก้าคนได้ใคร่ครวญ จากนั้นก็เดินออกจากห้องตามเฮ้อเสี่ยวเหลียงไป
เขาเอ่ยว่า “เจ้าสำนักเฮ้อ ทั้งๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ แต่เจ้ากลับ… ช่างเถอะ สาเหตุของเรื่องนี้ ข้าที่เป็นคนนอกไม่ควรถามให้มากความ แต่ข้าแน่ใจว่า ป๋ายฉางเป็นคนพูดคำไหนคำนั้นมาโดยตลอด”
ต่อให้เฮ้อเสี่ยวเหลียงจะเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าลัทธิเต๋าคนนั้น แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันใต้หล้าหนึ่ง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ด้วยนิสัยของเซียนกระบี่อุตรกุรุทวีป หากเดือดดาลขึ้นมาจริงๆ ไหนเลยจะสนใจเรื่องพวกนี้
และตอนนี้ป๋ายฉางก็แสดงท่าทีชัดเจนแล้วว่าเขาไม่สนใจจริงๆ
เล่าลือกันว่าช่วงแรกเริ่มสุด ในอุตรกุรุทวีปเคยมีเซียนกระบี่บรรพกาลท่านหนึ่ง ใช้ปลายกระบี่ชี้หน้าลูกศิษย์คนหนึ่งของปรมาจารย์มหาปราชญ์ ยิ้มถามว่าเจ้าคิดว่าหนึ่งกระบี่ของข้าจะฟันลงไปหรือไม่
คำตอบก็แน่นอนว่าต้องฟันลงไป
แต่สุดท้ายแล้วเซียนกระบี่ท่านนั้นไปรบตายอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนอริยะลัทธิขงจื๊อคนนั้นกลับไปก่อตั้งสำนักศึกษาฝูสุ่ยอยู่ที่อุตรกุรุทวีป ตอนที่เขายังมีชีวิตก็ให้การดูแลควันธูปและทายาทรุ่นหลังของเซียนกระบี่ท่านนั้นเป็นอย่างดี
เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มเอ่ย “อาจารย์หลี่ ตอนนี้ข้าเพิ่งเป็นขอบเขตหยกดิบได้แค่ไม่กี่ปี รอให้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเซียนเหริน แล้วก็ไปถึงคอขวด หากไม่มีเวลาหลายร้อยปี ก็ไม่มีทางทำได้แน่นอน ป๋ายฉางยินดีจะรอคอยก็รอไปเถอะ”
บัณฑิตที่เฮ้อเสี่ยวเหลียงเรียกอย่างเคารพว่าอาจารย์หลี่คนนี้เอ่ยว่า “ลูกศิษย์ของเทียนจวินเซี่ยสือที่มาก่อนหน้านี้ค่อนข้างจะบีบคั้นให้คนอื่นลำบากใจ”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงเอ่ย “ปีนั้นระหว่างการเดินทางหาประสบการณ์ เขาเคยได้รับคำชี้แนะจากป๋ายฉาง ป๋ายฉางจึงถือว่ามีบุญคุณในการถ่ายทอดมรรคาส่วนหนึ่งให้แก่เขา บวกกับที่สำนักชิงเหลียงเปิดภูเขาตั้งสำนักได้ไปเบียดบังเอาโชคชะตาลัทธิเต๋า ส่วนหนึ่งมาจากอุตรกุรุทวีป แน่นอนว่าคนผู้นี้ย่อมเอนเอียงเข้าหาสวีเซวี่ยนและ ป๋ายฉางมากกว่า”
อาจารย์หลี่ส่ายหน้า “หากหลักการเหตุผลสามารถเอามายืมใช้เช่นนี้ได้ ข้าว่า การถ่ายทอดมรรคาของเทียนจวินเซี่ยสือก็คงมีปัญหาใหญ่แล้ว”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลั้นยิ้ม
อาจารย์หลี่ถามอย่างสงสัย “ข้าพูดผิดหรือ?”
ไม่ว่าเรื่องใดก็ควรคิดว่าเป็นความผิดของตัวเองก่อน นี่คือรากฐานในการศึกษา หาความรู้ของบัณฑิต
เฮ้อเสี่ยวเหลียงส่ายหน้า “คำพูดประโยคนี้ หวังว่าสักวันหนึ่งอาจารย์หลี่จะสามารถพูดกับเทียนจวินเซี่ยด้วยตัวเองได้”
อาจารย์หลี่ยิ้มกล่าว “หากมีโอกาสจะลองทำดู แต่ดูจากการกระทำของตัวเทียนจวินเซี่ยเองและจากตลอดทั้งสำนักของเขาแล้ว พูดเช่นนี้อาจไม่เป็นที่ชื่นชอบของเขาเสมอไป”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่พูดถึงปัญหาข้อนี้อีก ด้วยกลัวว่าจะทนไม่ไหวหลุดเสียงหัวเราะออกไปจริงๆ ขณะเดียวกันก็รู้สึกสงสารลูกศิษย์ของเทียนจวินคนนั้นด้วย
นางหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่งที่ยืนอยู่ใต้หลังคาห่างไปไกล เขามีนามว่าชุยซื่อ คือเด็กรับใช้ที่ติดตามอาจารย์หลี่เดินทางทัศนาจรข้ามทวีปมานานหลายปี
อาจารย์หลี่กล่าว “ข้าควรจะลงจากภูเขาแล้ว”
เฮ้อเสี่ยวเหลียงคารวะด้วยการก้มลงกราบ “มิกล้ารั้งตัวอาจารย์ต่อแล้ว”
หลี่ซีเซิ่งจึงประสานมือคารวะกลับด้วยสถานะของลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อ
ต่อให้อีกฝ่ายจะไม่ได้คารวะกลับคืนด้วยพิธีการแบบเดียวกัน แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียง ก็ยังขยับเท้าเบี่ยงตัวหลบ เพียงแต่ว่าถึงอย่างไรนางก็เป็นขอบเขตหยกดิบ อีกทั้งยังอยู่บนภูเขาของสำนักชิงเหลียง การขยับหลบของนางจึงไม่โจ่งแจ้งนัก อย่างน้อย เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของชุยซื่อคนกระเบื้อง เจ้าสำนักหญิงผู้นั้นก็เหมือนยืนอยู่ ที่เดิมรับการคารวะของอาจารย์ตนอย่างผึ่งผาย
……
ในห้องทรงพระอักษรของเมืองหลวงต้าหลี
การประชุมเล็กจบลงแล้ว
ทว่าราชครูชุยฉานกลับยังไม่จากไปซึ่งนับว่าหาได้ยาก
เพราะนี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซ่งเหอผู้เป็นฮ่องเต้ไม่ได้เปิดปากถาม เพียงแค่รอฟังคำพูดถัดมาจากราชครูท่านนี้อย่างสงบ
ชุยฉานลุกขึ้นยืน ประกบสองนิ้วปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง ในห้องทรงพระอักษร ก็ปรากฎม้วนภาพขุนเขาสายน้ำยาวม้วนหนึ่ง เป็นภาพของแจกันสมบัติทวีป อุตรกุรุทวีปและใบถงทวีป
ฮ่องเต้หนุ่มรีบลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ข้างกายชุยฉาน
ชุยฉานเอ่ยเนิบช้าว่า “การประชุมใหญ่ในท้องพระโรง จักรพรรดิของแคว้นหนึ่งพูดคุยกับขุนนางบุ๋นบู๊ด้วยเรื่องของปัจจุบัน ต่อให้เป็นเรื่องในอนาคตก็ไม่ไกลเกิน สามปีห้าปี แต่ในการประชุมเล็ก จักรพรรดิของแคว้นหนึ่งพูดคุยกับเหล่าอัครเสนาบดีล้วนเป็นเรื่องในอนาคตที่ห่างไกลสามปี ห้าปี สิบปี ตอนนี้ข้าอยู่พูดคุยกับฝ่าบาทเป็นการส่วนตัว ก็คือการปรึกษาแผนการใหญ่ร้อยปี บางทีฝ่าบาทมองเห็นขั้นตอน ส่วนหนึ่ง แต่กลับไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถมองเห็นผลลัพธ์สุดท้ายนั่นได้ด้วยตาตัวเอง”
ซ่งเหอเอ่ยเสียงเบา “ก็เหมือนกับที่ปีนั้นเสด็จพ่อไม่ได้เห็นกีบเท้าของกองทัพ ม้าเหล็กต้าหลีเหยียบย่ำลงบนชายหาดของนครมังกรเฒ่าน่ะหรือ?”
ชุยฉานพูดตรงอย่างไม่กริ่งเกรง “ประมาณนั้น”
ซ่งเหอไม่เพียงแต่ไม่ผิดหวัง กลับกันยังเต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม เขายิ้มเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ อันที่จริงข้ารอคอยวันนี้มาโดยตลอด”
อยู่ต่อหน้าราชครูท่านนี้ ขอแค่ไม่มีขุนนางคนอื่นๆ อยู่ด้วย ฮ่องเต้หนุ่มก็จะยึดหลักมารยาทที่ศิษย์พึงปฏิบัติต่ออาจารย์เสมอมา
เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องให้ฮองไทเฮาผู้นั้นช่วยเตือนด้วยซ้ำ
ชุยฉานเอ่ย “รอจนสถานการณ์ใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปมั่นคงแล้ว ในอนาคตคงหลีกเลี่ยงที่จะให้สำนักฮั่นหลินแต่งเรื่องเล่าของขุนนางทรยศ ขุนนางผู้ภักดีให้กับพวกขุนนางที่มาจากแคว้นใต้อาณัติแต่ละแห่งไม่ได้ อีกทั้งนี่ยังไม่ใช่เรื่องที่ความจริง จะกระจ่างแจ้งได้ในช่วงเวลาที่ฝ่าบาทครองราชย์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนในราชสำนักเสียขวัญกำลังใจ จึงได้แต่ให้ฮ่องเต้องค์ถัดไปเป็นผู้รับหน้าที่นี้แทน นี่ก็คือเรื่องในบ้านของแจกันสมบัติทวีปและราชวงศ์ต้าหลี ฝ่าบาทสามารถใคร่ครวญหาแผนการที่เหมาะสมมาก่อนได้ วันหน้าข้าค่อยดูว่ามีช่องโหว่ใดที่จำเป็นต้องแก้ไขหรือไม่ การซ่อมแซมใจคนสำคัญพอๆ กับการซ่อมแซมขุนเขาสายน้ำ”
พูดเรื่องนี้จบ ชุยฉานก็ชี้นิ้วไปยังอุตรกุรุทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีป “มองอุตรกุรุทวีปที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้แล้ว ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไร?”
ซ่งเหอตอบ “เมื่อเทียบกับในอดีต กลวงกว่าเดิมมาก”
ผู้ฝึกกระบี่ของทั้งทวีปพากันเคลื่อนขบวนไปยังภูเขาห้อยหัวอย่างยิ่งใหญ่หมดแล้ว
ชุยฉานพยักหน้า แล้วก็เอ่ยอีกว่า “แนะนำฝ่าบาทหนึ่งประโยค สกุลซ่งต้าหลีอย่าได้คิดจะไปแตะต้องอาณาบริเวณของทวีปอื่นเลย ไม่มีทางทำได้”
ซ่งเหอรู้สึกเสียดายเล็กน้อย
เดิมทีนึกว่าราชครูต้าหลี อาจารย์ของตนท่านนี้จะมีความทะเยอทะยานมากกว่าที่ตนคิดไว้
ชุยฉานยิ้มกล่าว “ปณิธานยิ่งใหญ่แต่ความสามารถต่ำเตี้ย ก็กลวงเหมือนกัน ไม่ใช่หรือ”
ซ่งเหอสีหน้ากระอักกระอ่วน
ชุยฉานชี้ไปยังชายหาดโครงกระดูกที่อยู่ทางทิศใต้สุดของอุตรกุรุทวีป “หากจะต้องช่วยสร้างสะพานยาวแห่งหนึ่งระหว่างสองทวีปขึ้นที่ภูเขาพีอวิ๋นกับชายหาดโครงกระดูก ฝ่าบาทคิดว่าควรจะสร้างอย่างไร?”
ซ่งเหอยิ้มตอบ “อาศัยเงินเทพเซียน”
ชุยฉานพยักหน้า แต่กลับถามอีกว่า “ต้นกำเนิดของเงินเทพเซียนที่แท้จริง มาจากไหน?”
ซ่งเหอเคลื่อนสายตาไปบนม้วนภาพ มองไปยังทวีปใหญ่ที่อยู่ใต้ยิ่งกว่า แจกันสมบัติทวีปแห่งนั้น “ใบถงทวีปที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องแตกแยก?”
ชุยฉานทั้งไม่ได้พยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ไม่ได้ส่ายหน้าปฏิเสธ เพียงถามต่อว่า “หากสืบสาวกันถึงแก่น ควรจะหาเงินและใช้เงินอย่างไร?”
ซ่งเหอส่ายหน้า ปัญหาข้อนี้ใหญ่เกินไป
ชุยฉานกล่าว “คิดจนเข้าใจว่าควรหาเงินอย่างไร ก็เพื่อควรใช้เงินอย่างไร ไม่อย่างนั้นหากอยู่ในท้องพระคลังของต้าหลีแล้วจะมีความหมายอะไร? ภูเขาเงินภูเขาทองของหนึ่งตระกูลหนึ่งครอบครัวเอามากินแทนข้าวได้หรือ? นี่ก็คือการเอาตัวรอดหลังจากที่สกุลซ่งต้าหลีใช้พื้นที่ของทวีปหนึ่งมาเป็นพื้นที่ของแคว้นหนึ่ง”
ชุยฉานยกแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้น ขณะเดียวกันก็ชี้ไปยังอุตรกุรุทวีปและใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศเหนือและทิศใต้ของแจกันสมบัติทวีป แล้วให้คำตอบว่า “ควรจะหาเงินตามกฎเกณฑ์มาจากอุตรกุรุทวีปอย่างไร ก็เพื่อควรจะสามารถช่วยเหลือใบถงทวีปที่แผ่นดินกำลังจะแตกแยกอย่างสมเหตุสมผลอย่างไร หนึ่งเข้าหนึ่งออกนี้ มองดูเหมือนว่าต้าหลีไม่ได้เงิน แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการสั่งสมรากฐานกองกำลังแคว้นตลอดเวลา ขณะเดียวกันก็ยังได้รับการยอมรับจากศาลบุ๋นลัทธิขงจื๊อ หาใช่ว่าข้าชุยฉานหรือเจ้าฮ่องเต้ซ่งเหอเข้าใจการวางตัวเป็นคน
แต่เป็นเพราะกลยุทธแคว้นต้าหลีเราสอดคล้องกับกฎเกณฑ์มารยาทพิธีการของลัทธิขงจื๊อจริงๆ จึงกลายมาเป็นแนวโน้มของสถานการณ์ใหญ่ เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าซ่งเหอ ข้าชุยฉาน ก็จะทำให้ใครบางคนไม่ชอบใจแล้ว ต่อให้อีกฝ่ายจะยังมีความสามารถพอจะทำให้เจ้าข้าและต้าหลีไม่ชอบใจได้ แต่อริยะของศาลบุ๋นย่อมดูดายไม่ช่วยเหลือ เพื่อจะสอนให้พวกเขารู้ว่าอะไรที่เรียกว่าเพิ่งจะยื่นมือออกไปก็โดนตีแล้ว”
ชุยฉานเก็บมือทั้งสองข้างลง หันหน้ามาจ้องซ่งเหอ สีหน้าของซิ่วหู่ผู้นี้ค่อนข้าง จะเย็นชา “การที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้กับฝ่าบาท ไม่ได้หมายความว่าฝ่าบาทมีพระปรีชายิ่งกว่าอดีตฮ่องเต้ แต่เป็นเพราะฝ่าบาทโชคดีกว่า ได้เป็นฮ่องเต้ช้ากว่า บัลลังก์มังกรที่ได้นั่งก็สูงกว่า แต่ฝ่าบาทก็ไม่จำเป็นต้องมีโทสะ เพราะความชอบความผิดพลาด ผลประโยชน์และความเสียหายก่อนหน้านี้ล้วนเป็นของอดีตฮ่องเต้ทั้งสิ้น ส่วนคุณูปการน้อยใหญ่ต่อจากนี้ก็ควรจะเป็นของฝ่าบาทคนเดียว ฝ่าบาทปกครองบ้านเมืองไม่จำเป็นต้องไปงัดข้อกับอดีตฮ่องเต้ที่ตายไปแล้ว หากไม่เข้าใจในข้อนี้ อย่างชัดเจน ข้าว่าคำพูดที่ข้าพูดกับฝ่าบาทในวันนี้คงจะพูดล่วงหน้าเร็วเกินไปหน่อย”
ซ่งเหอโค้งตัวประสานมือคารวะ “คำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จดจำไว้แล้ว”
ชุยฉานกล่าว “ลบเลือนร่องรอยในการปกครองบ้านเมืองบางอย่างของ อดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้ตายไปแล้ว ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ มีอะไรยาก? จิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์อย่างพวกเจ้ากรมกวนก็ได้แต่เยาะเย้ยว่าฮ่องเต้อย่างเจ้าใจแคบ แต่อันที่จริงไม่จำเป็นต้องให้เจ้าซ่งเหอพูดอะไรหรือทำอะไรมาก เพราะอดทนให้ผ่านไปอีกไม่กี่ปี ขุนนางบุ๋นบู๊เด็กแก่ทั้งหลายก็ย่อมจะกลายเป็นคนฉลาดจนคนอื่นมองเบาะแสไม่ออก เป็นฮ่องเต้สกุลซ่งต้าหลี มีปณิธานอยู่ที่อาณาเขตหนึ่งทวีป สี่ทิศของแคว้นล้วนเป็นมหาสมุทรใหญ่ นี่ก็คือการกระทำที่ในคนสมัยโบราณของใต้หล้าไพศาลไม่เคยทำได้มาก่อน ถ้าอย่างนั้นก็ควรนำมาดของจักรพรรดิออกมา รอให้วันใดไม่มีข้าชุยฉานนั่งอยู่ในห้องประชุมเล็ก แต่พวกขุนนางของราชวงศ์ก่อนก็ยังคงจงรักภักดี เคารพยำเกรงเจ้า นั่นต่างหากจึงจะเป็นความสามารถที่แท้จริงของเจ้าซ่งเหอ
หากมีวันใดที่ข้าชุยฉานนั่งลงแล้วไม่กล้ามองเจ้าเป็นลูกศิษย์อะไรอีก ถ้าอย่างนั้นเจ้าซ่งเหอจึงจะถือว่าเป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาที่พันปีก็ไม่เคยมีปรากฎอย่างแท้จริง”
ชุยฉานเอ่ยต่อไปว่า “แน่นอนว่าสองเรื่องนี้ยากมาก แต่ฝ่าบาทสามารถลองทำดูได้ อะไรที่บอกว่าจิตใจของจักรพรรดิยากจะคาดเดา นั่นล้วนเป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง ไม่ควรไม่มีเลย แต่ก็ไม่ควรยึดเอาเป็นหลัก ต่อให้จะมีวันที่ชะตาแคว้นของสกุลซ่ง ต้องขาดสะบั้น ทว่าทุกครั้งที่ขุนนางประวัติศาสตร์รุ่นหลังเขียนถึงต้าหลี เกี่ยวกับ ซ่งเหอ ก็จะยังคงเป็นบทความที่น้ำหมึกเข้มข้นมากที่สุดอยู่ดี อยากจะข้ามก็ข้ามไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าคำสรรเสริญเยินยอมีมากที่สุด แต่เป็นคำด่าที่ดุเดือดรุนแรงที่สุด”
สุดท้ายชุยฉานยิ้มกล่าว “พูดเรื่องแผนการของสองทวีปและเม็ดหมากที่มีอยู่แล้วพวกนี้กับฝ่าบาท ถึงอย่างไรฝ่าบาทก็ยังคงเป็นฝ่าบาท ราชครูก็ยังคงเป็นได้แค่ราชครู”
ครั้งหนึ่งที่ฝึกหมัดได้อเนจอนาถที่สุด หลังจากเผยเฉียนถูกเฉินหรูชูแบกลงมาที่ชั้นหนึ่งแล้ว นางก็ต้องพักผ่อนติดกันถึงสามวันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่สำคัญคือยังต้องนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียงแบบไม่กระดุกกระดิกถึงหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม
พอดีกับที่ได้ยินมาว่าเว่ยป้อกำลังจะจัดงานเลี้ยงเทพท่องราตรีครั้งที่สาม นี่ทำให้เผยเฉียนที่คัดตัวอักษรเสร็จแล้วอารมณ์ดีราวกับมีดอกไม้ผลิบานอยู่ในใจ
จูเหลี่ยนบอกว่านี่เรียกว่าสามวันไม่ตีขึ้นไปรื้อกระเบื้องหลังคา
เผยเฉียนอารมณ์ดี จึงไม่ถือสาพ่อครัวเฒ่า
อีกอย่างก่อนหน้านี้ในจดหมายที่อาจารย์ส่งกลับมายังภูเขาลั่วพั่ว ช่วงท้ายของจดหมายก็ได้ตอบตกลงให้เลื่อนขั้นโจวหมี่ลี่เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่ว อย่างเป็นทางการแล้ว หลังจากที่เผยเฉียนอ่านจดหมายไปสิบเจ็ดสิบแปดรอบ นับว่าเป็นครั้งแรกที่ตอนเดินขึ้นไปฝึกหมัดบนชั้นสองที่นางเดินยืดอกตั้ง
แต่ละก้าวที่เหยียบลงบนขั้นบันไดเรือนไม้ไผ่ส่งเสียงดังตึงๆ แล้วยังตะโกนเสียงดังว่าตาเฒ่าชุยรีบเปิดประตูป้อนหมัด อย่าได้เลอะเลือนเด็ดขาด
ตอนนั้นเฉินหลิงจวินที่มองดูอยู่ตรงชั้นหนึ่งรู้สึกว่าหากเผยเฉียนไม่ได้ถูกต่อยจนโง่ก็คงธาตุไฟเข้าแทรกไปแล้ว
เวลานี้ที่เรือนพักของจูเหลี่ยน เว่ยป้อกำลังเล่นหมากล้อมกับเจิ้งต้าเฟิง
เฉินหรูชูนั่งแทะเมล็ดแตงเบาๆ
เฉินหลิงจวินลงเดิมพันว่าเจิ้งต้าเฟิงจะต้องชนะ จึงเอาเงินเกล็ดหิมะกองใหญ่ มาวางไว้ข้างโถเก็บเม็ดหมากของพี่น้องต้าเฟิง ผลกลับกลายเป็นว่าจูเหลี่ยนนั่งพร่ำพูดอยู่ด้านข้างว่า ตอนนี้เว่ยป้อเป็นเทพเซียนขอบเขตหยกดิบแล้ว ความสามารถในการเล่นหมากล้อมเพิ่มพูน โอกาสที่เว่ยป้อจะชนะน่าจะมีมาก และพอเฉินหลิงจวินมองเห็นทิศทางการดำเนินไปของสถานการณ์บนกระดานหมาก ก็เลยเอา เงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญไปวางไว้ข้างโถเก็บเม็ดหมากของเว่ยป้อ
เผยเฉียนพาโจวหมี่ลี่ที่แบกไม้เท้าเดินป่าวิ่งวนรอบโต๊ะหินที่ทุกคนนั่งกันอยู่
เผยเฉียนวิ่งเร็วจี๋ สองแขนแกว่งรัวเร็ว ปากก็ร้องโหวกเหวกเสียงดังไปด้วยว่า “ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ตุ้งแช่ ตุ้งๆๆ แช่…หมู่บ้านจะจัดงานเลี้ยง จัดตั้งแต่หน้าหมู่บ้านไปถึงท้ายหมู่บ้าน…ทองตระกูลหลิว เงินตระกูลหลี่ เหรียญทองแดงตระกูลหาน พากันมานอนหลับในกระเป๋าของข้าเสียดีๆ”
เว่ยป้อใช้ข้อศอกยันพื้นโต๊ะ เอานิ้วข้างหนึ่งยันกลางหว่างคิ้ว
ขึ้นมาบนเรือโจร คิดจะลงก็ยากจริงๆ
ถึงอย่างไรชื่อเสียงขององค์เทพแห่งขุนเขาเหนือของเขาก็เสียหายไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงพูดอย่างเดือดดาล “เจ้าตัวขาดทุน หากเจ้ายังเสียงดังอยู่อย่างนี้ ทำให้ข้าแพ้ เดือดร้อนให้พี่ใหญ่หลิงจวินต้องเสียเงิน เจ้าเป็นคนชดใช้เลยนะ!”
เผยเฉียนชักเท้าวิ่งตะบึงไม่หยุด “ชดใช้อะไรกัน เจ้าโง่หรือไง”
แล้วเผยเฉียนก็ร้องเพลงพื้นบ้านของนางเพลงนั้นต่ออีกครั้ง
โจวหมี่ลี่ที่วิ่งตามก้นอยู่ด้านหลังเผยเฉียนถามอย่างสงสัยว่า “นี่เป็นเพลงของ ที่ไหน ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน”
เผยเฉียนหยุดวิ่ง ยกสองมือกอดอก “เป็นเพลงของบ้านเกิดข้า น่าเสียดายที่ เขียนเนื้อเพลงได้ดีเกินไป เลยไม่สามารถเผยแพร่แก่คนอื่นได้”
โจวหมี่ลี่รู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของเผยเฉียนฟังดูไม่ค่อยสมเหตุสมผล จึงยกสองมือกอดไม้เท้าเดินป่า ขมวดคิ้วจมสู่ภวังค์ความคิด
จูเหลี่ยนได้รับจดหมายฉบับนั้นจากชุยตงซานแล้ว แต่ก็ยังต้องรอให้หลูป๋ายเซี่ยงมาถึงภูเขาลั่วพั่วก่อน หลังจากร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีของเว่ยป้อด้วยกันแล้ว พวกเขากับหลิวจ้งรุ่นแห่งเกาะจูไชจึงจะไปตามหาตำหนักวารีและเรือมังกรด้วยกัน
ไม่ค่อยเหมือนกับที่เฉินผิงอันสั่งความไว้บนจดหมาย หลังจากจูเหลี่ยนได้รับจดหมายตอบกลับจากชุยตงซานแล้ว จูเหลี่ยนก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเรื่อง กองทัพม้าเหล็กและสายลับของต้าหลี เพราะเขาชุยตงซานจะจัดการให้เอง เดิมที ก็ควรจะพาองค์หญิงสิ้นชาติผู้นั้นไปที่บ้านเกิดของนางอยู่แล้ว
ทว่าจูเหลี่ยนก็ยังบอกกับหลิวจ้งรุ่นว่าเรื่องนี้เต็มไปด้วยอันตรายรายล้อม ไม่ทำจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นอาจกลายเป็นหายนะที่ไม่เล็กครั้งหนึ่ง สรุปก็คือจูเหลี่ยนแสร้งปล่อยข่าวเขย่าขวัญชวนให้คนตกใจ
ผลคือหลิวจ้งรุ่นที่ผ่านการชั่งน้ำหนักผลได้ผลเสียมาดีแล้วกลับกัดฟันตัดสินใจว่าจะไม่ไปแตะต้องตำหนักวารีและเรือมังกรนั่นอีก จูเหลี่ยนถึงได้ปล่อยให้หลิวจ้งรุ่นวุ่นวายใจอยู่สองสามวัน จากนั้นเขาก็เดินเตร็ดเตร่ไปที่ภูเขาหลังอ๋าวอีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะว่าเรื่องนี้มีการเปลี่ยนแปลง ภูเขาลั่วพั่วของพวกเขาตัดสินใจว่า จะแบกรับความเสี่ยงส่วนหนึ่ง ดังนั้นอันที่จริงทั้งสองฝ่ายสามารถทดลองทำดูได้ เพียงแต่ว่าการแบ่งสมบัติของทั้งสองฝ่ายจะไม่ใช่ห้าต่อห้าอีกต่อไป ภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องได้ส่วนแบ่งเพิ่มมาอีกหนึ่งส่วน ทั้งสองฝ่ายที่ต่อรองราคากันเรียบร้อยแล้วจึงกลายเป็นว่าภูเขาหลังอ๋าวได้สี่ส่วน ภูเขาลั่วพั่วได้หกส่วน
อันที่จริงจูเหลี่ยนไม่ได้คิดจะเอาผลกำไรที่ได้เพิ่มเติมมานี้อย่างจริงจัง รอให้เขากับหลูป๋ายเซี่ยงออกไปค้นหาสมบัติพร้อมกับหลิวจ้งรุ่นแล้ว เขาย่อมมีเหตุผลเป็นของตัวเอง จะบอกนางว่าเจ้าขุนเขาลั่วพั่วที่ออกเดินทางไกลของตนท่านนั้นตอบจดหมายกลับคืนมาแล้ว กำชับเขาจูเหลี่ยนว่าจะต้องทำตามแผนการเดิมที่วางไว้ นั่นคือ ได้ส่วนแบ่งกันไปคนละห้าส่วน
ถึงเวลานั้นมองดูเหมือนทุกอย่างกลับคืนไปเป็นเหมือนเดิม กลับสู่จุดเริ่มต้น
แต่แน่นอนว่าการที่จูเหลี่ยนเสียเวลายุ่งวุ่นวายกับเรื่องนี้ เขาต้องไม่เสียเวลาเปล่า
รอจนภูเขาพีอวิ๋นจัดงานท่องราตรีอย่างเป็นทางการ
เผยเฉียนและจูหมี่ลี่ต่างก็ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งนั้น เผยเฉียนยุ่งอยู่กับการคัดตัวอักษร หลีกเลี่ยงไม่ให้ตัวเองติดหนี้มากเกินไปเพราะเรื่องของการฝึกหมัด
ประหลาดมาก คราวนี้แม้แต่เฉินหลิงจวินก็ยังไม่ไปร่วมวงความครึกครื้น
กลับเป็นพี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้นของเขาที่หลังจบเรื่องยังมาหาเขาที่ภูเขาลั่วพั่วโดยเฉพาะ ถามเฉินหลิงจวินว่าเหตุให้ถึงไม่ได้ปรากฎตัว
หลังจากนั้นมาจูเหลี่ยนและหลูป๋ายเซี่ยงก็ลงจากเขาไปทำธุระ ขณะเดียวกันหลิวจ้งรุ่นที่เต็มไปด้วยความกังวลใจก็รู้กสึกว่าอนาคตยากจะคาดเดา โชคมาพร้อมกับเคราะห์ เพราะถึงอย่างไรสิ่งที่พวกเขากำลังทำก็คือการขุดหาสมบัติภายใต้เปลือกตาของกองทัพม้าเหล็กต้าหลี
ลูกศิษย์สองคนของหลูป๋ายเซี่ยงอย่างหยวนไหลหยวนเป่าสองพี่น้องต่างก็รออยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว
คนทั้งสองนับว่าพอจะคุยกับเฉินยวนจีที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขาได้ถูกคออยู่บ้าง
เล่นสนุกอยู่นอกเรือนไม้ไผ่สามวัน
และพอสามวันผ่านไป การฝึกหมัดในเรือนไม้ไผ่ก็ช่างแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่าเฝ้าอยู่บนทางสายเล็กที่มุ่งหน้าไปยังเรือนไม้ไผ่ ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไปที่นั่น
นี่คือเรื่องที่จูเหลี่ยนผู้ดูแลใหญ่กำชับมา โจวหมี่ลี่จึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการ แต่ขอแค่เฉินหรูชูทำงานในมือเสร็จแล้วก็จะวิ่งมาแทะเมล็ดแตงกินขนมอยู่กับโจวหมี่ลี่ พอถึงเวลาควรจะไปทำเรื่องอะไรต่อ เฉินหรูชูก็ค่อยจากไป
โจวหมี่ลี่จึงเฝ้าอยู่ในอาณาเขตวงกลมที่เผยเฉียนวาดไว้ให้นางก่อนหน้านี้อย่างเชื่อฟัง
แรกเริ่มโจวหมี่ลี่ยังรู้สึกน้อยใจอยู่บ้าง คิดว่าวงกลมที่เผยเฉียนวาดให้เล็กเกินไป เห็นได้ชัดว่าเขตอิทธิพลของผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของภูเขาลั่วพั่วอย่างนางไม่ใหญ่มากพอ
เผยเฉียนจึงถามนางว่าท่านเทพทวารบาลแต่ละองค์ที่แปะอยู่บนหน้าประตูของตรอกฉีหลงล่างภูเขามีอาณาเขตเล็กๆ แค่กระดาษแผ่นเดียวเท่านั้น ใหญ่เท่าวงกลมที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางได้หรือ? เคยเห็นเหล่าเทพทวารบาลบ่นหรือไม่พอใจบ้างไหม? สุดท้ายเผยเฉียนตีหน้าเคร่งถามว่า โจวหมี่ลี่ ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างเจ้าเริ่มจะ หลงระเริงตนแล้วใช่หรือไม่?
โจวหมี่ลี่รีบส่ายหน้าอย่างแรง
โจวหมี่ลี่นั่งอยู่ในริมขอบของวงกลมเพียงลำพัง แล้วค่อยๆ ขยับตัวเป็นวงกลม ไปทีละนิดตามเขตแดนที่มองไม่เห็นเส้นนั้น
ทุกครั้งที่แม่นางน้อยชุดดำถือไม้เท้าเดินป่าเดินวนก้าวสองก้าว ห่างไปไกลด้านหลังของนางก็จะมีคนจิ๋วดอกบัวที่กระโดดออกมาจากใต้ดินวิ่งเหยาะๆ ตามไปด้วยสี่ห้าก้าว
บนชั้นสองของเรือนไม้ไผ่
เท้าของชุยเฉิงเหยียบอยู่บนหน้าผากของเผยเฉียนที่นอนแนบติดพื้นแล้ว บิดหนักๆ หนึ่งที เขาก้มหน้าถามว่า “ก่อนจะฝึกหมัดวันนี้ เศษสวะน้อยอย่างเจ้าถึงขนาดกล้าถามข้าผู้อาวุโสว่าการฝึกหมัดจะสิ้นสุดเมื่อไหร่งั้นรึ?”
ชุยเฉิงใช้เท้าเตะเข้าที่จุดไท่หยางด้านหนึ่งของเผยเฉียน แล้วหันหน้ามองตามเด็กหญิงที่ร่างกระแทกงองุ้มเข้าหากันอยู่ในมุมกำแพง “เจ้าเดินไปให้ถึงจุดหัวขาดของทางหัวขาดให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
เผยเฉียนที่ร่างค่อยๆ ยืดขยาย ก่อนหน้านี้ที่นางนอนเฉยก็เท่ากับว่าสะสมกำลังเฮือกหนึ่งให้กับตัวเอง เวลานี้นางที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบเลือดโซซัดโซเซลุกขึ้นยืน อ้าปากกว้าง เอียงศีรษะ ยื่นนิ้วสองนิ้วออกมาโยกฟันซี่หนึ่ง จากนั้นก็กระตุกดึง อย่างแรง ถอนฟันซี่นั้นออกมา
นางเก็บฟันที่เต็มไปด้วยเลือดซี่นั้นใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง อาจารย์เคยบอกว่าเด็กทุกคนจะต้องมีฟันงอกใหม่ ช่วงเวลาระหว่างนี้หากเอาฟันที่หลุดไปวางไว้บนหัวเตียง ก็จะสามารถขอพรให้ตัวเองสงบสุขปลอดภัยได้
เผยเฉียนงอตัวลง สองมือกำหมัดเบาๆ แล้วก็คลายออก จ้องชุยเฉิงเขม็ง
เห็นเพียงว่าปลายเท้าข้างหนึ่งของนางดีดพื้น ร่างทะยานขึ้นกลางอากาศ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนผนังเรือนไม้ไผ่หนักๆ แล้วร่างก็พุ่งออกไปราวลูกธนูหลุดจากสาย ระหว่างทางพลันร่วงดิ่งลงมา บิดหมุนข้อเท้าไถลตัวออกไปสองสามก้าว เบี่ยงตัวออกไปด้านข้างเล็กน้อย ไม่ได้พุ่งไปในแนวตรง ใช้กระบวนท่าม้าเหล็กทะลวง ขบวนรบตั้งท่าหมัด ครั้นจึงเหวี่ยงหมัดออกไป ทว่าหมัดที่ส่งไปยังชุยเฉิงกลับเป็นกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า
เผยเฉียนอาจจะไม่รู้ว่า กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าคือท่าหมัดที่อาจารย์ของนาง ใช้รับมือกับชุยเฉิงน้อยที่สุด
เพราะรู้ดีว่าไร้ประโยชน์ที่สุด
แต่เผยเฉียนกลับทำตรงกันข้าม ท่าหมัดนี้นางปล่อยใส่ผู้เฒ่าบ่อยที่สุด
แต่ละครั้งต้องกลับมามือเปล่า แต่ก็ยังออกหมัดครั้งแล้วครั้งเล่า
ผู้เฒ่าปล่อยหมัดต่อยเข้าที่หัวของเผยเฉียน คิดไม่ถึงว่าเสี้ยววินาทีที่ร่างของเผยเฉียปลิวหวือออกไป นางจะเหวี่ยงเท้าเตะออกมาเต็มแรง
เห็นได้ชัดว่าตั้งแต่แรกเริ่มนางก็มีความคิดว่าเจ้าต่อยข้าหนึ่งหมัด ข้าก็จะเตะเจ้าหนึ่งเท้า
น่าเสียดายที่ถูกชุยเฉิงใช้มือข้างหนึ่งกุมข้อเท้างเอาไว้ เหวี่ยงตัวนางขึ้นสูงแล้ว ทุ่มกระแทกลงพื้นอย่างแรง ทำเอาร่างของเผยเฉียนห่องออีกครั้ง ชั่วขณะเดียวกันความเร็วความช้าในการหายใจของนางได้สลับเปลี่ยนกันอย่างฉับพลัน ทุกอย่าง ผสานรวมเป็นธรรมชาติ
ชุยเฉิงหลุดหัวเราะพรืด “เศษสวะน้อยที่แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังเทียบไม่ได้อย่างเจ้า หากเปลี่ยนข้าไปเป็นเจ้าเศษสวะใหญ่ผู้นั้น เห็นเจ้ากินข้าวมากหนึ่งคำก็คงรังเกียจว่าสิ้นเปลืองรากฐานของภูเขาลั่วพั่วเต็มทีแล้ว!
อย่างเจ้าก็กล้าคิดจะแตะต้องชายเสื้อของข้าผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ? เจ้าคิดว่าข้า ผู้อาวุโสคือเฉินยวนจีที่ฝึกหมัดเหมือนงีบหลับผู้นั้นหรือไร? มาอีก! อย่าแกล้งตาย หากแตะชายเสื้อข้าได้สักเสี้ยว วันหน้าข้าผู้อาวุโสจะใช้แซ่ตามเจ้า”
เผยเฉียนใช้ข้อศอกกระแทกพื้นหนักๆ ร่างลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วจึงพลิ้วกายหยุดยืนนิ่ง พูดเสียงอู้อี้ขาดๆ หายๆ ว่า “ไม่ต้องใช้แซ่ตามข้า…ใช้แซ่ตามอาจารย์ข้าเถอะ…แต่ก็ยังต้องดูว่าอาจารย์ข้าจะยอมหรือไม่”
ชุยเฉิงก้าวหนึ่งก้าวก็มาหยุดตรงหน้าเผยเฉียน มือหนึ่งไพล่หลัง ห้านิ้วของมือหนึ่ง จับหน้าเผยเฉียนเอาไว้ ก้าวออกไปอีกก้าว ร่างทั้งร่างของเผยเฉียนก็กระแทกติด ผนังเรือน
มือเท้าของฝ่ายหลังห้อยลู่ลงพร้อมกัน
ชุยเฉิงปล่อยมือ เผยเฉียนก็ทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น หลังแนบติดผนัง บนผนังเหนือศีรษะมีคราบเลือดปื้นใหญ่เป็นรอยไถลตามร่างของนาง
ชุยเฉิงหัวเราะเสียงเย็น “เพราะเฉินผิงอันคือเศษสวะที่รักตัวกลัวตายอย่างไรเล่า ถึงได้เลี้ยงเศษสวะที่รักตัวกลัวตายอย่างเจ้า พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ควรจะไปหลบอยู่ในตรอกหนีผิง วันๆ ได้แต่เก็บขี้หมาขี้ไก่ไปชั่วชีวิต! เฉินผิงอันตาบอดจริงๆ ที่เลือกเจ้าเผยเฉียนมาเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขากับผายลมสุนัขอะไรนี่ เพราะถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นได้แค่แมลงน่าสงสารที่ได้แต่หลบอยู่ด้านหลังเขาชั่วชีวิต คู่ควรกับคำว่า ‘ลูกศิษย์’ และคำว่า ‘เปิดขุนเขา’ ด้วยหรือ?”
นิ้วมือของเผยเฉียนสั่นระริก สุดท้ายนางเงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก ริมฝีปากขยับเบาๆ
ผลกลับถูกผู้เฒ่าเหยียบเข้าที่หน้าผาก เขาค้อมเอวผินหน้ามากล่าว “เศษสวะน้อย เจ้าพูดอะไร ข้าผู้อาวุโสขอให้เจ้าพูดดังๆ หน่อย! พูดว่าข้าผู้อาวุโสพูดถูกอย่างนั้นหรือ? เจ้ากับเฉินผิงอันสมควรคบค้าสมาคมกับขี้หมาขี้ไก่ในตรอกหนีผิงไปชั่วชีวิตอย่างนั้นหรือ?! ทำไม เจ้าใช้ไม้เท้าเดินป่าเขี่ยขี้หมาขี้ไก่ จากนั้นเฉินผิงอันก็เอากระบุงมาโกย? เป็นแบบนี้ย่อมดีที่สุด จะได้ไม่ต้องฝึกหมัดนานเกินไป รอให้วันใดเฉินผิงอันไสหัวกลับภูเขาลั่วพั่วมาแล้ว พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ เศษสวะน้อยใหญ่ทั้งสองก็จะได้ไปอยู่ที่ตรอกหนีผิงแล้ว”
เผยเฉียนที่นั่งอยู่บนพื้นยกมือขึ้นช้าๆ โบกหมัดต่อยเข้าที่เท้าข้างนั้นของชุยเฉิง อย่างเนิบช้า
ผู้เฒ่าหดเท้ากลับมา หลังจากหมัดนั้นต่อยลงบนความว่างเปล่าแล้ว เขาก็เปลี่ยนเท้าอีกข้างหนึ่งกระทืบลงบนหัวเผยเฉียนเต็มแรง
ครู่หนึ่งต่อมา เผยเฉียนก็เปลี่ยนมาใช้มืออีกข้างเหวี่ยงแขนโบกหมัดออกไป
ผู้เฒ่าถึงได้ถอยหลังไปหลายก้าว จุ๊ปากพูดว่า “มีความสามารถนี้ ดูท่าแล้วคงสามารถไปเช็ดรองเท้าพวกคนรวยในตรอกเถาเย่หรือไม่ก็ถนนฝูลวี่เพื่อหาเงิน เลี้ยงปากเลี้ยงท้องร่วมกับเฉินผิงอันได้แล้ว เฉินผิงอันเช็ดรองเท้าให้คนอื่น เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ยืนค้อมเอวคลี่ยิ้มร้องบอกประโยคว่าเชิญนายท่านมาใหม่ได้”
สองมือและแผ่นหลังของเผยเฉียนดันอยู่กับผนังแน่น นางค่อยๆ ลุกขึ้นยืนช้าๆ ทีละชุ่นทีละฉื่อ นางพยายามลืมตาขึ้นมา อ้าปาก แต่ไม่สามารถเปล่งเสียงอะไรได้
ทว่าผู้เฒ่ากลับหัวเราะ เขารู้ดีว่าเจ้าตัวน้อยกำลังด่าตนว่าอะไร
เผยเฉียนก้มหน้าค้อมเอว หอบหายใจเบาๆ เส้นสายตาพร่าเลือน นางมองไม่เห็นอะไรเลย
ผู้เฒ่าหมุนตัวเดินไปที่ประตูเรือน ก่อนจะหันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “ข้าผู้อาวุโสจะไปเปิดประตู เจ้าก็สามารถเขียนจดหมายไปหาเฉินผิงอัน บอกเขาว่าในที่สุด ลูกศิษย์อย่างเจ้าก็ได้ช่วยแบ่งเบาภาระให้อาจารย์ คิดหาวิธีดีๆ ในการหาเงินให้ พวกเจ้าสองอาจารย์และศิษย์ได้แล้ว ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็มีชาติกำเนิดจาก เด็กบ้านนอกขาเปื้อนโคลน มาเจอกับลูกศิษย์ที่ไม่เอาไหนอย่างเจ้า หาเงินด้วยงาน ต่ำต้อยเช่นนี้ แม้จะดูน่าสังเวชไปสักหน่อย แต่จะยังมีวิธีอะไรได้อีก? ข้าว่าไม่มี!”
ชั่วพริบตานั้น
ชุยเฉิงก็หยุดเดิน หรี่ตาลง
เผยเฉียนที่แทบจะถือได้ว่าหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นตามจิตใต้สำนึก ร่างของนางที่โงนเงนก้าวออกไปหนึ่งก้าว ครั้งถัดมาอาการส่ายไหวของเรือนกายก็ยิ่งรุนแรงกว่าเก่า หลังเดินออกไปได้หลายก้าว ก็ไม่เห็นร่องรอยของเผยเฉียนแล้ว
เท้าหนึ่งของนางปาดขวางออกไป แล้วพลันหยุดชะงัก กระโดดตัวขึ้นสูง กระโจนโฉบไปเบื้องหน้า ปล่อยหมัดต่อยแสกหน้าชุยเฉิง
ประหนึ่งเมืองเล็กในปีนั้นที่มีเด็กหนุ่มสวมรองเท้าสานคนหนึ่งพุ่งโฉบข้ามผ่าน ลำธารดั่งอินทรีบิน
ชุยเฉิงลังเลเล็กน้อย แต่กระนั้นก็ยังเบี่ยงหัวไหล่หลบหมัดนั้นของเผยเฉียน เพียงแต่ว่าคราวนี้ผู้เฒ่าไม่ได้ออกหมัด เขาเพียงแค่หันหน้าไปมอง เด็กหญิงที่นั่งอยู่บนพื้นใกล้กับประตูหมดสติอย่างสิ้นเชิงแล้ว
นี่คงจะถือว่านางไปขวางทาง ไม่ให้เขาชุยเฉิงไปเปิดประตูได้แล้ว?
ชุยเฉิงเดินมาหยุดข้างกายของเด็กหญิง เขาทรุดตัวนั่งขัดสมาธิ ยื่นมือไปกดศีรษะเล็กๆ ที่ท่วมไปด้วยเลือดแดงฉานของนางแล้วพยักหน้ายิ้ม “ดีมาก”