Skip to content

Sword of Coming 572

บทที่ 572 เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาลมาพบคน

เต่าทะเลภูเขาของเรือข้ามทวีปตระกูลซุนแห่งนครมังกรเฒ่า ตรงกระดองกว้างใหญ่ดุจขุนเขาของมันมีสิ่งปลูกสร้างจำนวนมาก หากไม่นับรวมวัตถุสิ่งของ ก็ยังสามารถรองรับคนได้มากถึงสองพันสี่ร้อยกว่าคน

หันกลับมามองเรือมังกรของภูเขาลั่วพั่ว กลับไม่อาจทัดเทียมได้แล้ว

เต่าทะเลภูเขากับเกาะกุ้ยฮวาของตระกูลฟ่านมีส่วนหนึ่งที่คล้ายคลึงกันอย่างมหัศจรรย์ นั่นคือโดยทั่วไปแล้วจะออกทะเลข้ามทวีป เพียงแต่ว่าเกาะกุ้ยฮว่านั้นเหนือกว่าที่ต้นกุ้ยบรรพบุรุษต้นนั้น หากค่ายกลภูเขาสายน้ำถูกเปิดขึ้นมา จะสามารถต้านทานภัยธรรมชาติมากมายบนท้องทะเลได้ ต่อให้บนมหาสมุทรของเจ้าจะมี คลื่นยักษ์สูงเทียมฟ้าโถมตัว เกาะกุ้ยฮวาก็ยังมั่นคงดุจหินผา ทว่าเต่าทะเลภูเขากลับไม่มีข้อได้เปรียบที่เกิดจากสภาพแวดล้อมอันดีเยี่ยมเฉกเช่นเกาะกุ้ยฮวา แต่ค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาที่ด้อยกว่าของเกาะกุ้ยฮวามากนั้นกลับมากพอจทำให้เรือข้ามฟากดิ่งลงน้ำหลบเลี่ยงกระแสคลื่นมาได้ บวกกับที่เดิมทีตัวของเต่าทะเลภูเขาที่ก็มีวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอยู่แล้ว เป็นเหตุให้เมืองเล็กบนกระดองของมันเหมือนเมืองบาดาล ใต้น้ำ ผู้โดยสารที่อยู่ที่นี่จึงปลอดภัยดี นี่น่าจะเป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดของคำกล่าวที่ บอกว่าผู้ฝึกตนอาศัยวิชาคาถาตระกูลเซียนมา ‘เอาชนะสวรรค์’

เรือข้ามทวีปทั้งหมดบนโลกที่มีมูลค่าควรเมือง นอกจากตัวของเรือข้ามฟากเองแล้ว เส้นทางทุกเส้นที่ผู้ฝึกตนแต่ละรุ่นของสำนักหนึ่งบุกเบิกมาด้วยความยากลำบากก็มีมูลค่าเท่าทองหมื่นชั่งเช่นกัน เส้นทางที่เกาะกุ้ยฮวาสามารถผ่านไปได้ ก็ยกตัวอย่างเช่นร่องเจียวหลงที่คนแจวเรือของตระกูลฟ่านจำเป็นต้องถ่อเรือออกไปโปรยข้าวเพื่อเป็นการแสดงความเคารพแด่ ‘ภูเขา’ แต่เต่าทะเลภูเขากลับไม่สามารถผ่านมาได้อย่างปลอดภัย ต่อให้จะแค่ผ่านทางไปไกลๆ ก็ไม่มีทางกล้า หากเจียวหลงผอมแห้งเหนื่อยล้าหลายตนที่เดินทางไปกลับระหว่างทักษิณาตยทวีปเพื่อคอย โปรยฝนซึ่งยังมีสันดานเดิมของเผ่าพันธ์เจียวหลงเห็นเต่าทะเลภูเขาเข้า

จะต้องเกิดปัญหาแทรกซ้อน เป็นการชักนำหายนะมาสู่ตัวอย่างแน่นอน แต่ก็หลักการเดียวกัน เต่าทะเลภูเขาเองก็สามารถใช้การหลบน้ำหลีกเลี่ยงสถานที่อันตรายได้มากมาย หรือไม่ก็อาศัยความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมมาร้อยปีพันปีจึงสามารถ ข้ามผ่านน่านน้ำของปีศาจใหญ่ไปได้ แต่เกาะกุ้ยฮวากลับได้แต่หยุดชะงักไม่อาจเดินหน้าต่อ

ตระกูลใหญ่หลายตระกูลในนครมังกรเฒ่าที่ได้ครอบครองเรือข้ามทวีป ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนาน ผู้ฝึกตนที่ตายอยู่บนเส้นทางการบุกเบิกหรือไม่ก็ระหว่างการทำให้เส้นทางมั่นคง มีอยู่ไม่น้อย

วันนี้บนทะเลมีคลื่นมรสุมลมแรง เต่าทะเลภูเขาจึงค่อยๆ จมตัวลงสู่เบื้องล่าง หากไม่เป็นเพราะริมขอบเขตกระดองเต่ายักษ์มีริ้วคลื่นของค่ายกลกระเพื่อมแผ่ออกมาเป็นวงๆ ปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กที่เงียบสงบแห่งนี้เอาไว้ ก็แทบจะไม่มี ความแตกต่างใดๆ จากตอนที่มันอยู่ผิวมหาสมุทร สิ่งปลูกสร้างน้อยใหญ่และต้นไม้ดอกไม้บนเรือข้ามฟากแทบจะไม่ได้รับการรบกวนจากน้ำทะเล

ตอนนี้เฉินผิงอันคือแขกผู้มีเกียรติที่ละทิ้งอคติความขัดแย้งที่มีต่อกันในอดีตของตระกูลซุน แล้วก็ยิ่งเป็นพันธมิตรที่เริ่มจะทำการค้าขายที่ยาวนานต่อกัน แน่นอนว่าซุนเจียซู่ย่อมจัดให้เฉินผิงอันได้เข้าพักในจวนตระกูลเซียนชั้นสูงแห่งหนึ่ง ขนาด ไม่ใหญ่ แต่มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น การค้าข้ามทวีปภายใต้สถานการณ์ทั่วไป ตระกูลซุนยอมที่จะปล่อยให้เรือนแห่งนี้ว่างเปล่าก็ยังไม่ยอมยกมันให้ผู้ฝึกตนใหญ่ มาเข้าพัก สาเหตุหนึ่งในนั้นมีที่มาที่ไป เพราะเรือนหลังเล็กที่มีชื่อว่า ‘ซูลู่’ (หีบไม้ไผ่ ที่เอาไว้ใช้เก็บตำรา) นี้อยู่ห่างจากโอสถเต่าของเต่าทะเลภูเขาที่ถูกหล่อหลอมมานานเกือบหมื่นปีมากที่สุด จึงเป็นเหตุโชคชะตาน้ำตามธรรมชาติเข้มข้น ปราณวิญญาณบริสุทธิ์ที่สุด หากผู้ฝึกตนดึงดูดเอาไป ก็จะเหนื่อยเพียงครึ่งแต่ได้ผลสำเร็จเป็นเท่าตัว แต่หากมีผู้ฝึกตนใหญ่ที่ผูกปมแค้นกับตระกูลซุนคิดร้าย ย่อมต้องสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงให้กับเต่าทะเลภูเขาอย่างแน่นอน และหากสูญเสียเรือข้ามทวีปลำนี้ไป ตำแหน่งฐานะของตระกูลซุนในนครมังกรเฒ่าย่อมดิ่งฮวบลงเหวอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่เฉินผิงอันขึ้นเรือมา ทุกวันเขาก็ยังคงใช้เวลาหกชั่วยามในการฝึกตนหลอมลมปราณ ปราณวิญญาณที่สะสมอยู่ในจวนน้ำ ศาลภูเขาและเรือนไม้สามแห่งถูกเขาจัดระเบียบอย่างละเอียดมาพอสมควร และค่อยๆ หล่อหลอมจนสำเร็จแล้ว หลักๆ ก็คือการหลอมกลางให้กับอิฐเขียวของอารามเต๋าทั้งสามสิบหกก้อน โชคชะตาเป็นเส้นๆ กลุ่มๆ ที่อยู่ในนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งปณิธานเต๋าส่วนนั้นได้เริ่มค่อยๆ มีการพัฒนาไปอย่างเชื่องช้า โชคดีที่ตอนอยู่บนยอดเขาสิงโต ทั้งการฝึกตนและวิถีวรยุทธของเฉินผิงอันต่างก็ฝ่าทะลุขอบเขตไปพร้อมกัน หลังจากเลื่อนเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ วันเวลาทั้งหมดในการหล่อหลอมอิฐเขียวสามสิบหกก้อนให้สมบูรณ์จึง เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้สามเท่า

เฉินผิงอันนั่งอยู่บนเบาะรองนั่ง ด้านหน้าวางกระดานหมากไว้กระดานหนึ่งพร้อมกับโถเก็บเม็ดหมาก ล้วนเป็นของที่เฉินผิงอันพกไว้ติดกาย โดยเอาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อที่ค่อนข้างจะโล่งว่าง

เฉินผิงอันออกเดินทางไกลครั้งนี้ เขาไม่ได้พกสิ่งของมาด้วยมากนัก นอกจาก สวมชุดสีเขียวสะพายเจี้ยนเซียน กระบี่บินชูอีสืออู่ที่มีชีวิตพึ่งพากันและกันมานานหลายปีแล้ว ก็พกมาแค่ชุดคลุมอาคมจินหลี่หนึ่งตัว เสื้อคลุมอาคมเถาเถี่ยร้อยตา ตัวนั้นมอบให้โจวหมี่ลี่ไปแล้ว ก็นางคือแม่นางน้อยชุดดำนี่นะ ก็ควรจะสวมชุดที่ น่ามองและสอดคล้องกับสภาพการณ์ของตัวเองสักหน่อย ส่วนชุดคลุมอาคม เกล็ดหิมะที่แย่งชิงมาจากผีสาวนครฟูนี่ก็มอบให้สือโหรวไป

เกี่ยวกับชุดคลุมอาคมจินหลี่ตัวนี้ เฉินผิงอันมีแผนการใหม่อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ คงได้แต่ต้องทำผิดต่อหลิวเสี้ยนหยางแล้ว เขาส่งจดหมายฉบับหนึ่งข้ามทวีปไปยัง สกุลเฉินผู้รอบรู้ แต่จดหมายตอบกลับกลับส่งมาที่นครมังกรเฒ่า ตอนนั้นฟ่านเอ้อร์นำจดหมายขึ้นเรือข้ามฟากของสำนักพีหมามาด้วยตัวเอง ในจดหมายหลิวเสี้ยนหยางบอกว่าคำว่าเห็นสตรีดีกว่าสหายก็เป็นเช่นนี้เอง แต่ระหว่างคนทั้งสอง ไม่ว่าใครก็ ไม่ต้องเกรงใจใคร

เฉินผิงอันไม่มีคุณธรรม หลิวเสี้ยนหยางเองก็ไม่ด้อยไปกว่ากันในจดหมายเขาบอกมาตามตรงว่าให้เฉินผิงอันหาของที่ระดับขั้นไม่แย่กว่าชุดคลุมอาคมจินหลี่ มาแลกเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นจะไม่จบเรื่องนี้ง่ายๆ แน่ เมื่อเจอหน้ากัน เฉินผิงอัน ต้องยืนนิ่งๆ ห้ามขยับ ให้เขาใช้กระบวนท่าลิงขโมยลูกท้อ งมจันทร์ใต้ทะเลกับเขาหลายๆ ที ช่วงท้ายของจดหมาย บอกให้เฉินผิงอันนำคำพูดไปบอกน้องสะใภ้ของเขาหลิวเสี้ยนหยางว่า รีบมีลูกเร็วๆ

เฉินผิงอันจึงได้แต่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น คำพูดแบบนี้เขาพูดได้หรือ? รนหาที่ตายหรือไร?

การเดินทางครั้งนี้ของเฉินผิงอัน เขาพกวัตถุจื่อชื่อสองชิ้นอย่างแผ่นป้ายหยกขาว แผ่นไม้ของลัทธิเต๋ามาด้วย ชิ้นหนึ่งเป็นเจิ้งต้าเฟิงที่ใช้หนี้มาตอนอยู่ในร้านยาฮุยเฉินของนครมังกรเฒ่า อีกชิ้นหนึ่งคืออาศัยการขนย้ายฝ้าเพดานขนาดใหญ่ยักษ์ชิ้นนั้น และอาศัยความสามารถของตัวเองช่วงชิงมาด้วยความยากลำบาก

อาชีพอย่างร้านผ้าห่อบุญนี้ แน่นอนว่าเดินไปถึงที่ไหนก็ทำไปถึงที่นั่น

เมื่อปีก่อนตอนที่อยู่ในจวนเซียนอารามเต๋าก็เพราะเสียเปรียบในข้อที่ว่าบนร่างของตนมีวัตถุฟางชุ่นและวัตถุจื่อชื่อไม่มากพอ ไม่อย่างนั้นเฉินผิงอันก็คง ขนเอา อิฐเขียวของอารามเต๋ามาจนเกลี้ยงหมดแล้ว หากเหลือไว้สักแผ่นหนึ่งก็ถือว่าเขา เฉินผิงอันที่เป็นร้านผ้าห่อบุญยังมีฝีมือไม่ชำนาญพอ

เงินเทพเซียนพกมาแค่เงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญ ครั้งนี้ไปถึงภูเขาห้อยหัว เมื่อเทียบกับครั้งแรกที่ไปเยือนเรือนหลิงจือ อย่างน้อยที่สุดครั้งนี้เจ้าขุนเขาภูเขาลั่วพั่วของเราท่านนี้ก็สามารถชมสมบัติต่างๆ ได้อย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าหากมองนานอีกนิดก็จะต้องถูกคนไล่ออกไปอีก ของที่วางขายอยู่ในเรือนหลิงจือมีระดับขั้นดีเยี่ยมจริงๆ น่าเสียดายที่ราคาก็ทำให้คนมองปวดใจ มากด้วย

หลังจากที่ศาลบรรพจารย์สร้างเสร็จ เฉินผิงอันก็เอาเงินเทพเซียนทั้งหมดจากการที่ตนสะสมอย่างมานะอดทนตลอดหลายปีของการเป็นผ้าห่อบุญส่วนที่เหลือออกมามอบให้กับเฉินหรูชูที่รับหน้าที่นับจำนวน แจกบันทึกและแจกจ่ายทรัพย์สินของ ศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว คิดไม่ถึงว่าก่อนที่เฉินผิงอันจะจากมา ขณะที่เขาคิดจะเอาเงินออกมา เฉินหรูชูที่ยืนอยู่ข้างจูเหลี่ยนกลับมีสีหน้าละอายใจ ตอนนั้นเฉินผิงอัน ก็รู้แล้วว่าท่าไม่ดี แล้วก็จริงดังคาด จูเหลี่ยนเอาแค่ถุงเงินฟีบแบนใบหนึ่งมาให้เขา ด้านในบรรจุเงินฝนธัญพืชอยู่แค่สิบเหรียญ บอกว่าเงินเหล่านี้ก็คือเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่จากการที่ภูเขาลั่วพั่วเก็บรวบรวมมาให้ อันที่จริงไม่ถือว่าเป็นเงินเหลือด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วต้องใช้เงินกับทุกเรื่อง แต่เป็นเพราะเจ้าขุนเขาต้องออกเดินทางไกล ภูเขาลั่วพั่วจึงได้แต่แข็งใจตบหน้าตัวเองให้เป็นคนอ้วน หลีกเลี่ยงไม่ให้คน ดูถูกภูเขาลั่วพั่ว หากมากกว่านี้ ก็ไม่มีแล้วจริงๆ

จากนั้นจูเหลี่ยนก็เอ่ยประโยคหนึ่งที่แสดงความเข้าอกเข้าใจคนอื่นเป็นอย่างดีว่า หากนายน้อยรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เขาจูเหลี่ยนก็มีวิธี จะเอาเงินฝนธัญพืชนี้มาหักเป็นเงินร้อนน้อย ถุงเงินก็จะได้ตุงแน่น

ตอนนั้นเฉินผิงอันถือถุงเงินใบนั้นเอาไว้ด้วยความรู้สึกเหมือนคนที่ยกหินทุ่มเท้าตัวเอง

เจ้าจูเหลี่ยนตัวดี แม้แต่ข้าก็ยังถูกเจ้าขุดหลุมฝังด้วยหรือ?

จูเหลี่ยนขุดหลุมฝังเจียงซ่างเจิน ขุดหลุมฝังเว่ยป้อ ไม่ว่าใครเขาก็เล่นงานหมด คนที่ขุดหลุมไม่ได้ ต่อให้ต้องขุดตลอดคืนเขาก็จะต้องฝังหลุมไว้บนหลุมอีกทีให้จงได้ ถึงขั้นที่ว่าต่อหน้าต่อตาคนอื่น จูเหลียนก็ยังทำได้อย่างหน้าไม่อาย เมื่อก่อนเฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกอะไร แต่พอจูเหลี่ยนขุดหลุมฝังเจ้าขุนเขาอย่างตัวเขาเองบ้าง เขาก็รู้ซึ้งถึงรสชาติของมันแล้ว

คิดไม่ถึงว่าเฉินหรูชูจะแอบยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว

เฉินผิงอันเข้าใจได้ทันที รีบต่อรองราคาให้เป็นเงินฝนธัญพืชห้าสิบเหรียญ บอกว่าเรือนหลิงจือของภูเขาห้อยหัวมีสมบัติมากมาย นั่นน่ะเรียกว่าของดีราคาถูก อย่างแท้จริง ขอแค่ตนกลับมาถึงแจกันสมบัติทวีป แล้วขายต่อให้กับร้านผ้าห่อบุญที่ท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยว ก็จะต้องได้เงินฝนธัญพืชมาเพิ่มอีกหลายเหรียญอย่างแน่นอน สุดท้ายคนหนึ่งก็บอกว่าจะหาเงินมาให้ภูเขาลั่วพั่ว อีกคนหนึ่งตบอกชกตัวร่ำร้องว่ายากจน ต่างคนต่างหั่นราคากันไปมา เฉินผิงอันถึงได้เงินฝนธัญพืชสามสิบเหรียญนี้ มาครอง

ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาหนิวเจี่ยว หลังจากเฉินผิงอันนั่งเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาจากมาแล้ว

จูเหลี่ยนก็ยื่นมือมาลูบหัวเฉินหรูชู ยิ้มกล่าวว่า “หน่วนซู่เอ๋ย เจ้าสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่เลยทีเดียว”

คนบนภูเขาลั่วพั่วยังคงชอบเรียกเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูว่าหน่วนซู่กันมากกว่า ชุยเฉิงเป็นเช่นนี้ สามพี่น้องสหายสนิทอย่างจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงและเว่ยป้อก็เป็นเช่นนี้

เฉินหรูชูมึนงงไม่เข้าใจ

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วของพวกเรายังมีเงินฝนธัญพืชเหลืออีกยี่สิบเหรียญ ต่อให้เอาไปทั้งหมดก็ไม่ส่งผลกระทบอะไรต่อภูเขาลั่วพั่ว เพียงแต่ว่า บนบัญชีอักษรดำกระดาษขาวจะมองไม่ค่อยออก ตอนนี้เจ้าดูแลเรื่องเงิน วันหน้าสามารถเรียนรู้ให้มากๆ นายน้อยของพวกเราเคยเป็นนักบัญชีมาก่อน แถมยังติดใจมากด้วย”

เฉินหรูชูถาม “ทำไมถึงไม่ให้นายท่านไปทั้งหมด?”

จูเหลี่ยนเอ่ย “นายน้อยไปภูเขาห้อยหัวครั้งนี้ ตลอดทางจะไม่มีทางมีค่าใช้จ่ายใดๆ พอไปถึงภูเขาห้อยหัวจริงๆ ไหนเลยจะมีอารมณ์ทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญ ล้วนหลอกพวกเราทั้งนั้นแหละ หลอกผีน่ะสิ ที่มากกว่านั้นก็แค่อยากหาของดีๆ สักชิ้นที่ เรือนหลิงจือ พยายามให้ดูแพงสักหน่อย ดูมีหน้ามีตาสักหน่อย จะได้เอาไปมอบให้สตรีในใจของตน แน่นอนว่าข้าไม่ได้ขี้เหนียวกับเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญนี้ ก็แค่ว่านายน้อยไม่ค่อยมีประสบการณ์ในเรื่องความรักชายหญิงสักเท่าไร หากสตรีชื่นชอบเจ้าจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีที่นายน้อยของเราชอบ แม้ว่าข้าจะไม่เคยพบหน้ามาก่อน แต่ข้ากล้าแน่ใจในเรื่องหนึ่งเลยว่า หากเอาแต่สนเรื่องราคาอย่างเดียว นางต้องรู้สึกว่าไร้รสนิยมมากอย่างแน่นอน”

เฉินหรูชูยิ่งสงสัย “แล้วทำไมท่านจูถึงยังต้องให้เงินฝนธัญพืชเพิ่มไปอีก ยี่สิบเหรียญด้วย?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “มีประสบการณ์เรื่องความรักชายหญิงมากเกินไป จะเป็นเรื่องดีเสมอไปหรือ?”

เฉินหรูชูยังคงมึนงงไม่เข้าใจ

จูเหลี่ยนที่เรือนกายงองุ้มเอามือไพล่หลัง ลมเย็นๆ โชยมาปะทะใบหน้า เขาปล่อยให้ลมภูเขาพัดผ่านเส้นผมตรงจอนหู มองส่งเรือลำนั้นทะยานลมจากไปไกล แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “ยามที่บุรุษเป็นหนุ่ม มักจะคิดว่าตัวเองมีอะไรก็จะมอบสิ่งนั้นให้สตรี นี่ไม่มีอะไรที่ไม่ดี ช่วงอายุที่ไม่เหมือนกัน ความรักที่ไม่เหมือนกัน ต่างก็มี ความพิเศษเป็นของตัวเอง ไม่มีการแบ่งสูงต่ำหรือดีเลว ชีวิตคนไร้ความเสียดาย สมบูรณ์แบบมากเกินไป ทุกเรื่องไม่เคยทำผิดพลาด กลับกลายเป็นว่าจะไม่ดี เพราะยามที่คนแก่ตัวไปย่อมไม่มีเรื่องให้หวนคำนึงถึงอยู่ตลอดเวลาได้”

จูเหลี่ยนดึงสายตากลับมา หันหน้ามามองพลางยื่นนิ้วก้อยออกมา “เกี่ยวก้อยกัน เจ้าห้ามเอาคำพูดพวกนี้ไปบอกเจ้าขุนเขาของพวกเรา ไม่อย่างนั้นด้วยความใจแคบของเจ้าขุนเขา ข้าต้องซวยแน่”

เฉินหรูชูเอาสองมือไปซ่อนไว้ด้านหลัง รู้สึกโมโหเล็กน้อย พูดตำหนิว่า “ท่านจู นายท่านของข้าไม่ได้ใจแคบสักหน่อย! ห้ามท่านพูดถึงนายท่านแบบนี้ ไม่อย่างนั้น ข้าจะไปฟ้องเขาจริงๆ”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “คำว่าใจแคบของข้าไม่ได้เป็นคำความหมายเชิงลบอย่างที่คนบนโลกพูดกัน แต่หมายถึงว่าเขาจดจำเรื่องเล็กน้อยโลกที่ไม่ว่าใครก็ไม่ยินดีจะสนใจได้ ดีจะตายไป”

เฉินหรูชูค่อยๆ คลี่ยิ้ม แล้วถึงได้ยอมเกี่ยวก้อยกับจูเหลี่ยน

บนเรือข้ามฟาก

เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงข้ามกับกระดานหมากล้อมที่วางไว้เบื้องหน้า ไม่ได้เล่นหมาก เพียงแค่มองสถานการณ์หมากที่เป็นของตนเท่านั้น

ตัวของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว หมากแต่ละเม็ดได้รวมตัวกันกลายเป็นสถานการณ์หมากอย่างหนึ่ง ก็คือรากฐานกำลังทรัพย์ที่แท้จริงของเฉินผิงอัน

เส้นสายมากมายของแจกันสมบัติทวีปก็คือสถานการณ์มากอีกกระดานที่ กระจัดกระจายมากกว่า ตอนนี้ยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร อีกอย่างสำหรับเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็หวังแค่ว่าจะปล่อยไปตามชะตาฟ้าลิขิตเท่านั้น

ความสัมพันธ์ของอุตรกุรุทวีปคือกระดานที่สาม เมื่อเทียบกันแล้วถือว่าชัดเจนมากกว่า เฉินผิงอันจะทุ่มเทแรงใจและแรงกายไปวางแผนจัดการ ยกตัวอย่างเช่นสำนักพีหมา สวนน้ำค้างวสันต์ นครเหนือเมฆ จวนไช่เฉวี่ย รวมไปถึงสำนักมังกรน้ำและถ้ำสวรรค์วังมังกรที่ซ่อนแฝงอยู่ หากมีโอกาสก็ล้วนสามารถทำการค้ากันได้อย่างสบายใจ อย่างน้อยที่สุดเฉินผิงอันก็สามารถร้อยเข็มสนด้ายจากตรงกลาง เพื่อมอบความเป็นไปได้อย่างหนึ่งให้แก่กองกำลังฝ่ายต่างๆ แล้วค่อยให้แต่ละสำนัก แต่ละภูเขาไปช่างน้ำหนักผลได้ผลเสียกันเอาเอง หากทุกคนรู้สึกว่ามีประโยชน์มีผลกำไร ก็สามารถพูดคุยกันด้วยภาษาทางการค้าได้

ไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าเรื่องนี้จะเป็นการทำลายมิตรภาพระหว่างสหาย หากรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ควรทำ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ถ่วงรั้งการพบเจอกันครั้งถัดไปแล้วนั่งลงดื่มเหล้าพูดคุยเรื่องน่าสนใจกันในอนาคต

ก่อนที่ชุยตงซานจะออกจากภูเขาลั่วพั่ว เขาที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ตรงริมหน้าผาได้ดื่มเหล้าพลางพูดคุยกันไปด้วย จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า เขากับอาจารย์คือคนบนเส้นทางเดียวกัน ต่างก็กำลังถักทอตาข่าย ข้อนี้เขาชุยตงซานจำต้องยอมรับว่าซิ่วไฉเฒ่ามีสายตาที่ดีกว่าจริงๆ

ภายหลังชุยตงซานก็เริ่มปลอบใจตัวเอง บอกว่าสายตาในการรับลูกศิษย์ของซิ่วไฉเฒ่านั้นดีจริงๆ น่าเสียดายที่ความสามารถในการกราบไหว้อาจารย์ห่างชั้นกับตนมาก

เฉินผิงอันประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามว่าอาจารย์ของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งคือใคร

ชุยตงซานหัวเราะฮ่าๆ บอกว่าซิ่วไฉเฒ่าไม่มีอาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชาอย่างจริงจัง มีแค่อาจารย์ในโรงเรียนชนบทที่ความรู้ธรรมดาเท่านั้น ในเมื่อซิ่วไฉเฒ่าไม่เคย กราบไหว้อาจารย์ แล้วจะเทียบกับตนได้อย่างไร?

เฉินผิงอันเก็บเม็ดหมากใส่กลับเข้าไปในโถสีขาวทีละเม็ด

แล้วจึงหยิบเม็ดหมากสีดำออกมาจากโถอีกใบหนึ่ง เม็ดหมากมากมายที่สลักชื่อผู้คน ชื่อภูเขาตัดสลับกันวุ่นวาย เฉินผิงอันใช้สองนิ้วคีบขึ้นมาแล้ววางลงตามตำแหน่งต่างๆ โดยที่ไม่ต้องมอง

เฉินผิงอันมองเม็ดหมากที่ตัดสลับกันอยู่บนกระดานซึ่งค่อนข้างจะเกาะกลุ่มกัน ชื่อมากมายบนนั้นเขาเพียงแค่เคยได้ยินมาก่อนจึงบันทึกเอาไว้ ไม่ใช่ว่าชื่อของพวกเขาถูกเฉินผิงอันแกะสลักไว้บนเม็ดหมากสีดำแล้วจะต้องเป็นคู่ต่อสู้หรือเป็นศัตรูของเขาเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นพวกบรรพจารย์ ‘เซียนกระบี่’ ของภูเขาตะวันเที่ยงที่ถูก หลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าใช้กำลังของคนคนเดียวกดข่มมาหลายร้อยปี

ยกตัวอย่างเช่นผู้ถวายงานและเค่อชิงมากมายของสกุลสวี่นครลมเย็น รวมไปถึงญาติที่ผ่านการดองทางการแต่งงานที่สกุลสวี่ไปแอบอ้างพึ่งพา อย่างสกุลหยวน เสาคานค้ำยันแคว้นของต้าหลี

ใช้แรงฆ่าคน ใช้เหตุผลฆ่าคน ใช้ใจสังหารใจ

คือวิธีการสามอย่างที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

นี่ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน เพราะบนเส้นทางของการเดินทางไกล ความขัดแย้งและมรสุมน้อยใหญ่ เขาล้วนเคยประสบกับตัวเองมาก่อนแล้ว

เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มตัวไปด้านหน้า เพ่งมองสถานการณ์บนกระดานหมากอย่างละเอียด

คิดทำการใหญ่ ต้องค่อยๆ วางแผนแล้วลงมือปฏิบัติจริง นี่คือประโยคที่เฉินผิงอันเลื่อมใสอย่างถึงที่สุดมาโดยตลอด คือหลักการข้อหนึ่งที่ถูกเฉินผิงอันฝังลึกไว้ในใจ

แต่ความมั่นคงและความช้าในการวางแผน ก็เพื่อความเร็วในการรวบแห เมื่อหนึ่งหมัดหรือหนึ่งกระบี่ของตนถูกปล่อยออกไป ก็ต้องไม่มีภัยแฝงใดๆ ทิ้งไว้เบื้องหลัง

ช่วงเวลาระหว่างนี้ล้วนจำเป็นต้องใช้เรื่องเล็กยิบย่อยทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ใหญ่ที่ฟ้าอำนวย ดินอวยพรและคนสามัคคีให้สำเร็จ

ปีนั้นตอนที่อยู่ในระเบียงเมืองหงจู๋ อาเหลียงไม่มีทางสังหารจูลู่

ส่วนจั่วโย่วที่ไปถามกระบี่สำนักใบถง ก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

ถ้าอย่างนั้นภายหลังที่เฉินผิงอันไปเยี่ยมเยือนศาลบรรพจารย์ของภูเขาเหมิงหลงเพื่ออวี๋เวิงเซียนเซิง จ้าวหลวนและจ้าวซู่เซี่ย เขาก็ได้เรียนรู้ถึงแก่นสำคัญอย่างหนึ่งเช่นกัน พ่อลูกบนภูเขาอย่างลวี่อวิ๋นไต้และลวี่ทิงเจียวกลับกลายมาเป็นศัตรูคู่แค้น ผลลัพธ์ท้ายที่สุดก็คือหลังจากเฉินผิงอันกลับจากอุตรกุรุทวีปมายังภูเขาลั่วพั่ว ก็ได้ยินข่าวข่าวหนึ่ง ลวี่ทิงเจียวที่ถูกกักขังอยู่บนภูเขาเหมิงหลงได้แอบสมคบคิดกับแม่ทัพบู๊ในค่ายทหารของต้าหลี แล้วยังดึงพวกเค่อชิงผู้ถวายงานบนภูเขาอีกหลายคนมาเป็นพรรคพวก หมายจะยึดตำแหน่งชิงอำนาจ แต่ถูกลวี่อวิ๋นไต้สังหารอย่างเดือดดาล เมื่อเหตุการณ์ครั้งนี้ผ่านไป พลังต้นกำเนิดของภูเขาเหมิงหลงก็เสียหายอย่างหนัก จนต้องประกาศปิดภูเขาร้อยปี

บนโลกนี้มีวิธีการอยู่มากมาย อีกทั้งต่อให้ดูเหมือนว่าจะหยุดมือแล้ว ทั้งๆ ที่ ดาบและกระบี่กลับคืนสู่ฝักแล้ว ทว่าคมดาบคมกระบี่กลับถูกทิ้งอยู่บนใจคน อย่างยาวนาน ผ่านไปสิบปีร้อยปีต่อจากนี้ แค่ใจคนขยับเล็กน้อยก็ยังต้องเจอกับ ความเจ็บปวด

เฉินผิงอันเก็บเม็ดหมากสีดำทุกเม็ดบนกระดาน

คีบเม็ดหมากสีขาวเม็ดหนึ่งที่ยังไม่ได้สลักชื่อขึ้นมาแล้ววางหมากอย่างง่ายๆ

แม้ว่าจะเป็นคนที่เล่นหมากล้อมได้แย่ แต่เขากลับชอบฟังเสียงที่เม็ดหมากกระทบกับกระดานมาก

เฉินผิงอันอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำจึงเล่นหมากกับตัวเองหนึ่งตา ฝีมือสูสีกัน เขาพึงพอใจมาก รู้สึกว่านี่ต่างหากจึงจะเป็นการเล่นหมากล้อม การยอมต่อให้จะนับเป็นอะไรได้ หากแพ้ชนะเห็นได้ชัดเจนเกินไปก็ไม่มีความหมายแล้ว

เฉินผิงอันทิ้งตัวลงนอนหงายหลัง ไม่ได้รีบร้อนเก็บเม็ดหมาก

หวนนึกถึงในอดีต ได้เห็นคนต่างถิ่นกลุ่มนั้นครั้งแรกที่ประตูใหญ่ของเมืองเล็ก เวลาสิบกว่าปี เพียงดีดนิ้วก็ผ่านพ้นไป ทุกคนต่างก็มีเรื่องราวเป็นของตัวเอง

ตอนนี้ฝูหนันหัวก็คือเจ้านครมังกรเฒ่าคนถัดไปอย่างแน่นอนแล้ว หลังจากแต่งงานกับทายาทสายตรงของสกุลเจียงอวิ๋นหลิน สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคง ได้ยินมาว่าตอนนี้ฝูหนันหัวกับอ๋องเจ้าเมืองของนครมังกรเฒ่าอย่างซ่งจี๋ซินสนิทสนมกันไม่น้อย

ไช่จินเจี่ยนหลายปีมานี้นอกจากการฝ่าทะลุขอบเขตของการฝึกตนที่ค่อนข้างไวแล้ว ก็ยังได้บุกเบิกภูเขาก่อตั้งจวนเป็นของตัวเอง น้อยมากที่จะออกมาข้างนอก ตั้งใจ ฝึกตนอย่างเดียว

ระหว่างที่เดินทางไปยังแคว้นชิงหลวนของปีนั้น ในตรอกที่มีชื่อเสียงของ ท่าเรือหางผึ้ง เขาได้พบกับเจียงอวิ้นคนหนุ่มชุดดำอีกครั้ง แรกเริ่มสุดอีกฝ่ายได้ โชควาสนาใหญ่อย่างโซ่เหล็กของเมืองเล็กไปครอง คนผู้นี้คือลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวที่หลิวเหล่าเฉิงผู้ฝึกตนอิสระขอบเขตหยกดิบรับมาตอนอยู่นอกเกาะกงหลิ่ว เฉินผิงอันมีความทรงจำที่ไม่เลวต่อเจียงอวิ้น ภายหลังตอนที่อยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนแล้วกล้าขึ้นเกาะกงหลิ่วไปพบหลิวเหล่าเฉิง นอกจากบนร่างมีแผ่นหยกของอริยะเป็นยันต์คุ้มกันชีวิตแล้ว สาเหตุส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหลิวเหล่าเฉิงรับคนอย่างเจียงอวิ้นเป็น ลูกศิษย์

เกาเซวียนองค์ชายต้าสุย ปีนั้น ‘สกัดเอา’ ปลาหลีสีทองและข้องราชามังกร ไปจากมือของหลี่เอ้อร์ แต่เฉินผิงอันไม่ได้รู้สึกขัดเคืองใจเพราะเรื่องนี้ หลังจากที่ สกุลเกาต้าสุยกับสกุลซ่งต้าหลีลงนามพันธมิตรภูเขาซึ่งมีกฎเกณฑ์สูงสุดแล้ว เกาเซวียนก็มารับหน้าที่เป็นตัวประกัน เดินทางมาขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาหลินลู่บนภูเขาพีอวิ๋นต้าหลี เกาเซวียนไม่ได้จงใจปิดบังชื่อแซ่ ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันพาพวก หลี่เป่าผิงเดินทางไปสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยก็เคยพบเจอกับเกาเซวียนมาก่อน ภายหลังที่เกาเซวียนมาขอศึกษาต่อในสำนักศึกษา ทั้งสองฝ่ายต่างก็ใจตรงกัน ไม่ได้ จงใจมาพบหน้ากัน ยิ่งไม่เคยมีการไปมาหาสู่ ไม่อย่างนั้นหากละเมิดข้อห้าม สำหรับทั้งสองฝ่ายแล้วล้วนไม่ใช่เรื่องดี

แม่ลูกสกุลสวี่นครลมเย็นได้เสื้อเกราะโหวจื่อที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของ หลิวเสี้ยนหยางไป เจ้าประมุขสกุลสวี่นครลมเย็นก็เหมือนพยัคฆ์ติดปีก อาศัยสิ่งนี้กลายมาเป็นผู้ฝึกตนก่อกำเนิดกลุ่มน้อยที่มีพลังการต่อสู้สูงสุดของแจกันสมบัติทวีป ไม่เพียงแต่ถอนรากถอนโคนศัตรู กุมอำนาจไว้ในมืออย่างมั่นคงได้สำเร็จ ยังส่งบุตรสาวสายตรงสกุลสวี่แต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวงต้าหลี แต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กับสกุลหยวนเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลี นอกจากที่สกุลสวี่จะมีรากฐานกำลังทรัพย์ที่แน่นหนาแล้ว ตบะของตัวเจ้าประมุขสกุลสวี่เองก็ยังเป็นกุญแจสำคัญด้วย หลายปีที่ ผ่านมานี้ หากไม่นับรวมการตรวจสอบสืบเสาะที่ทั้งสองฝ่ายมีต่อกันอย่างลับๆ แล้ว ความเชื่อมโยงเพียงหนึ่งเดียวระหว่างเฉินผิงอันกับสกุลสวี่นครลมเย็นก็คงจะเป็น ยันต์หนังจิ้งจอกสาวงามพวกนั้นแล้ว

แรกเริ่มสกุลสวี่ได้ครอบครองภูเขาจูซาทางแถบกลุ่มภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกที่ กินอาณาบริเวณกว้างขวางที่สุด ลมและน้ำดีเยี่ยมที่สุด ภายหลังกองทัพม้าเหล็ก สองกองของต้าหลีที่มีเฉาผิง ซูเกาซานเป็นผู้นำต่างถูกกองทัพชายแดนราชวงศ์จูอิ๋งและแคว้นใต้อาณัติถ่วงรั้งไม่อาจเดินหน้า บวกกับที่มีเงาของเมธีร้อยสำนักอยู่เบื้องหลังอีกมากมาย สถานการณ์ของหนึ่งทวีปพลันเปลี่ยนมาซับซ้อนยากจะแยกแยะได้ นครลมเย็นจึงกระทำการอย่างหนึ่งที่หลังจบเรื่องตัวเองต้องเสียใจจนไส้เขียว นั่นคือขายภูเขาจูซาลูกนั้นไปในราคาถูก ผู้ฝึกตนพากันย้ายออกจากต้าหลี หากไม่เป็นเพราะยอมเสียหน้าส่งตัวบุตรสาวสายตรงให้ไปแต่งงานกับบุตรอนุภรรยาของสกุลหยวนเพื่อเป็นการล้อมคอกหลังวัวหาย เกรงว่าตอนนี้นครลมเย็นคงได้เปลี่ยนตัวเจ้าประมุขแล้ว

วานรย้ายภูเขาตัวนั้นยังคงรับหน้าที่เป็นผู้ถวายงานพิทักษ์ภูเขาของภูเขาตะวันเที่ยง หน้าที่เทียบได้กับโจวหมี่ลี่บนภูเขาลั่วพั่ว เด็กหญิงที่ปีนั้นมองดูหมือนหยกสีชมพูแกะสลัก แต่กลับมีจิตใจและอุบายลึกล้ำ นามว่าเถาจื่อ ตอนนี้ก็ได้กลายเป็น ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนของภูเขาตะวันเที่ยงแล้ว ก่อนหน้านี้เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิต คนจากแปดทิศมาร่วมอวยพร วานรเฒ่าตัวนั้นก็ยิ่งไปย้ายขุนเขาเก่าของ แคว้นเล็กๆ ที่ล่มสลายไปแล้วมาเป็นของขวัญอวยพรให้แก่นาง

ได้ยินว่ามาปีนั้นตอนอยู่ในเมืองเล็ก เถาจื่อถูกชะตากับซ่งจี๋ซินอยู่มาก หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายแยกจากกัน ความสัมพันธ์ก็ไม่เพียงแต่ไม่ห่างเหิน กลับยังยิ่งแนบแน่น บรรพบุรุษในตระกูลของนาง หนึ่งในเซียนกระบี่ผู้เฒ่าที่กุมอำนาจของภูเขา ตะวันเที่ยงท่านนั้นย่อมยินดีที่จะให้เป็นเช่นนี้

ผู้ฝึกตนหญิงที่ท่านปู่คือผู้นำแห่งกองทัพม้าเหล็กไห่เฉาตกอยู่ในสภาพการณ์ที่ย่ำแย่ที่สุด เพราะปีนั้นนางสังหารผิดคน ไปฆ่าหญิงชราของตรอกซิ่งฮวาผู้นั้น จึงถูกหม่าขู่เสวียนอาฆาตมาจนถึงทุกวันนี้ หม่าขู่เสวียนใช้คุณความชอบทั้งหมด ของตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องที่เขาสังหารผู้ฝึกกระบี่โอสถทองสองคนของ ราชวงศ์จูอิ๋ง บวกกับอาศัยคุณความชอบทางการทหารของผู้ฝึกตนภูเขาเจินอู่ ส่วนหนึ่ง อิงตามกฎเกณฑ์บางอย่างที่ราชครูชุยฉานของต้าหลีเป็นผู้กำหนด แลกมาด้วยความแตกแยกของกองทัพม้าเหล็กไห่เฉา ถูกต้าหลียึดอำนาจกลับคืน และผู้เฒ่าที่ลาออกจากตำแหน่งกลับคืนสู่บ้านเกิดคนนั้นก็ถูกหม่าขู่เสวียนสังหารด้วยตัวเองระหว่างทาง และยังตั้งชื่อที่เป็นการหมิ่นเกียรติว่า ‘ซู่เตี่ยน’ ให้แก่สตรีผู้นั้น บางที ในสายตาของคนนอกมากมายที่มองดูอยู่ เมื่อคนในตระกูลต้องตายกันหมด ตัวนางเองก็ทรยศออกจากสำนักเพื่อให้มีชีวิตรอดต่อไปวันๆ หากไม่ใช่คนลืมกำพืดเนรคุณแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?

คนเหล่านี้ต่างก็มาเยือนเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิดของเขา

และบ้านเกิดก็มีคนมากมายที่ทยอยกันเดินออกไปจากเมืองเล็กเช่นกัน

ยกตัวอย่างเช่นเด็กในโรงเรียน หนึ่งในนั้นคือกลุ่มของพวกหลี่เป่าผิงที่ไปอยู่ สำนักศึกษาซานหยา สือชุนเจียแม่นางน้อยที่ปีนั้นมัดผมแกละได้ติดตามครอบครัวไปอยู่เมืองหลวงต้าหลี ร้านค้าทั้งสองในตรอกฉีหลิงจึงมาอยู่ในมือของเฉินผิงอัน ต่งสุ่ยจิ่งอยู่ต่อในเขตการปกครองหลงเฉวียน อาศัยการค้าของตัวเอง ยิ่งนานวันการค้าก็ยิ่งขยายใหญ่

หลี่ซีเซิ่งแห่งถนนฝูลวี่ไปที่อุตรกุรุทวีป พ่อลูกจูเหอจูลู่ เมื่อแยกจากกันที่เมืองหงจู๋ พวกเขาก็ไปที่เมืองหลวงต้าหลีก่อน หลังจากนั้นมาก็ไม่มีข่าวคราวอีก

หลิวเสี้ยนหยาง ที่แท้บรรพบุรุษก็คือคนเฝ้าสุสานของสกุลเฉินสายหนึ่ง สกุลเฉินผู้รอบรู้เห็นแก่ความสัมพันธ์ในอดีตจึงให้สตรีเฉินตุ้ยพาหลิวเสี้ยนหยางไปอยู่ที่ ทักษินาตยทวีป มีข้อตกลงว่ายี่สิบปีให้หลังจะให้หลิวเสี้ยนหยางกลับคืนมาอยู่กับ หร่วนฉง นี่ก็คือจุดที่เฉินผิงอันนับถือหลิวเสี้ยนหยางที่สุด ไม่ว่าเรื่องอะไร หลิวเสี้ยนหยางก็เรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว เป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกร หลิวเสี้ยนหยาง ก็ถูกผู้เฒ่าเหยารับเป็นลูกศิษย์ ถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดของตัวเองให้แก่เขา ภายหลังคนทั้งสองไปทำงานเบ็ดเตล็ดที่ร้านตีเหล็กริมลำคลองหลงซวีที่หร่วนฉงเป็นผู้สร้างด้วยกัน หร่วนฉงไม่ยินดีรับเขาเฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ แต่กลับโปรดปราน หลิวเสี้ยนหยางมากเป็นพิเศษ

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันไม่เคยมีปมในใจใดๆ เขาแค่รู้สึกดีใจแทนหลิวเสี้ยนหยางเท่านั้น

สำหรับในใจของเฉินผิงอันแล้ว หลิวเสี้ยนหยางควรจะมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าใครถึงจะถูก

ซ่งจี๋ซิน กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง หม่าขู่เสวียนแห่งตรอกซิ่งฮวา จ้าวเหยาแห่งถนนฝูลวี่ และยังมีคนวัยเดียวกันในกลุ่มสี่ตระกูลสิบแซ่ใหญ่อีกมากมายที่เฉินผิงอันไม่เคยรู้จัก ก็น่าจะพากันออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูในอดีต เดินไปสู่ฟ้าดินที่กว้างใหญ่ยิ่งกว่าเดิม ต่างคนต่างมีความสุขความทุกข์ การพบการพราก การช่วงชิงบนมหามรรคา

ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู แต่ละคนล้วนเป็นคนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูทั้งสิ้น

ส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันมีความคิดเห็นแก่ตัวอย่างหนึ่งที่ไม่เคยบอกใคร

ในอนาคตไม่เพียงแค่แจกันสมบัติทวีป แต่เป็นคนของตลอดทั้งใต้หล้าไพศาล ล้วนควรจะต้องหันกลับมาจดจำสี่คำว่า ‘ถ้ำสวรรค์หลีจู’ นี้ใหม่อีกครั้งเพราะ เด็กรุ่นหลังที่เดินบนเส้นทางของการฝึกตนอย่างพวกเขา

เฉินผิงอันลุกขึ้นนั่ง กระบี่บินสี่เล่มพุ่งออกมาจากช่องโพรงทั้งสี่อย่างรวดเร็ว

ชูอีสืออู่ที่ถูกหล่อหลอมเป็นกระบี่ของผู้ฝึกลมปราณ แต่ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง

อีกสองเล่มที่เหลือล้วนเป็นกระบี่จำลองของภูเขาชังกระบี่ เล่มหนึ่งเป็น หยวนหลิงเตี้ยนแห่งยอดเขาจื่อเสวียนที่มอบให้ มีชื่อว่าซงเจิน

อีกเล่มหนึ่งไหว้วานฉีจิ่งหลงให้ซื้อมาให้ มีชื่อว่าต้านเหลย

เฉินผิงอันใช้จิตบังคับกระบี่บินทั้งสี่เล่ม ในห้องจึงเต็มไปด้วยแสงกระบี่พร่างพราว

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วกดลงไปบนกระดานหมากเบาๆ

เม็ดหมากขาวดำจำนวนมากที่ตัดสลับกันพลันเด้งกระดอนขึ้นมา

ขณะเดียวกันก็บังคับกระบี่บินทั้งสี่เล่มให้ดีดลงบนเม็ดหมากที่กำลังจะร่วงสู่กระดานเบาๆ ตวัดมันให้ลอยขึ้นสูง ในห้องจึงเกิดเสียงติ๊งตั๊งใสกังวานดุจเสียงจากสวรรค์ขึ้นเป็นระลอก

บนเส้นทางของการฝึกตน ทัศนียภาพงดงามชวนเพลิดเพลิน

แต่ทัศนียภาพที่ทำให้คนหวั่นไหวได้มากที่สุดกลับยังคงเป็นแม่นางหนิง

น่าเสียดายที่เขาได้แต่กล้าคิดแบบนี้ ไม่กล้าพูดเช่นนี้

เรือข้ามทวีปของตระกูลซุนลำนี้มีผู้ดูแลอยู่สองท่าน หนึ่งแจ้งหนึ่งลับ คนที่อยู่ในที่ลับนั้นคือผู้ฝึกตนถวายงานที่ออกมาจากศาลบรรพจารย์สกุลซุนเงียบๆ เฉินผิงอัน ไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเขา

เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันไม่เคยออกมาจากเรือนหลังเล็ก ผู้ถวายงานท่านนี้ไม่อยากรบกวนการฝึกตนของอีกฝ่ายจึงไม่เคยปรากฏตัว ไม่อย่างนั้นเขาคงต้องได้สงสัยจริงๆ แล้วว่า เหตุใดเด็กหนุ่มที่ปีนั้นเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสาม ถึงได้สามารถฝ่าทะลุขอบเขตบนวิถีแห่งผู้ฝึกยุทธได้เร็วขนาดนี้ คงไม่ได้เป็นอย่างในนิยายต่อสู้ตามหมู่บ้านร้านตลาด หรืออย่างยุทธภพที่พวกปัญญาชนตกอับชอบคาดเดากันส่งเดชที่บอกว่า กินยาวิเศษเพิ่มกำลังภายในเพิ่มอายุให้ยืนยาวร้อยปี หรือถูกยอดฝีมือที่เก็บตัว อย่างสันโดษมอบพลังชีวิตอะไรให้หรอกนะ

กระทั่งเต่าทะเลภูเขาขยับเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัว ผู้ถวายงานท่านนี้ถึงได้เห็น เฉินผิงอันออกมาจากเรือน มายืนอยู่บนหอชมทัศนียภาพที่สูงที่สุดบนกระดองของ เต่าทะเลภูเขา แหงนหน้ามองตราประทับอักษรภูเขาที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า

เพียงแต่ว่าเวลานี้ผู้ถวายงานทั้งสองท่านของเรือข้ามฟากที่อยู่ในที่ลับและที่แจ้งต่างก็ต้องยุ่งวุ่นวาย จึงล้มเลิกความคิดที่จะปรากฏตัวไปพูดคุยกับเฉินผิงอัน

เมื่อการเข่นฆ่าที่กำแพงเมืองปราณกระบี่เริ่มดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ การค้าที่เรือข้ามฟากของเก้าทวีปใหญ่ที่ข้ามทวีปมาทำการค้ายังภูเขาห้อยหัวจึงยิ่งขยายใหญ่มากขึ้น ทว่ากำไรกลับไม่ได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วย

ขอแค่มีใจก็จะสังเกตเห็นว่าเรือข้ามทวีปของทักษินาตยทวีปและฝูเหยาทวีป แทบจะไม่บรรจุนักท่องเที่ยวแล้ว ทั้งยังจงใจจำกัดจำนวนผู้โดยสาร ต่อให้จะได้เงินน้อยกว่าเดิม จำต้องเพิ่มค่าความเสียหายในการที่ให้เรือข้ามทวีปลำใหญ่เดินทางไกล แต่ก็ยังต้องคอยเดินทางไปกลับอยู่ถี่ๆ ขนย้ายทรัพยากรจำนวนมากกว่าเดิมจาก ภูเขาห้อยหัวไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ เห็นได้ชัดว่าสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อที่เฝ้าพิทักษ์สองทวีปนี้เริ่มสอดมือเข้าแทรกเรื่องนี้อย่างลับๆ แล้ว

มีเพียงใบถงทวีปที่ยังคงเป็นเหมือนในอดีต นี่ก็เกี่ยวกับข้อที่ว่าเดิมทีใบถงทวีป ก็มีเรือข้ามทวีปอยู่ไม่มากด้วย ใบถงทวีปคือทวีปที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่แต่กลับ ไม่ชอบคบค้าสมาคมกับโลกภายนอกมากที่สุดในบรรดาเก้าทวีปใหญ่ ผู้ฝึกตนที่ไป ฝึกประสบการณ์ที่ใบถงทวีป กับผู้ฝึกลมปราณในท้องถิ่นของใบถงทวีปที่เดินทางไกลไปเยือนทวีปอื่น สัดส่วนของทั้งสองฝ่ายนี้ไม่เท่าเทียมกัน ดังนั้นภาพจำที่ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปมอบให้แก่ผู้คนจึงเป็นพวกที่ไม่ชอบย้ายถิ่นฐาน

หลักการเหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก หนึ่งเพราะใบถงทวีปที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ มีแผ่นดินกว้างขวางทรัพยากรมหาศาล มากพอสำหรับประชากรของตัวเองอย่าง ไม่มีปัญหา ข้อสองก็เพราะเหนือใต้สองทิศมีสำนักใบถงและสำนักกุยหยกเฝ้าพิทักษ์หัวหางกันคนละด้าน อีกทั้งจำนวนภูเขาตระกูลเซียนก็ค่อนข้างน้อย แต่กลับมี ขนาดใหญ่ หลายพันปีที่ผ่านมานี้ วิถีทางโลกของทวีปนี้สงบสุขอย่างมาก แต่หายนะร้ายแรงที่ลากเอาสำนักฝูจีและภูเขาไท่ผิงสองสำนักใหญ่ให้ติดร่างแหไปด้วยเมื่อ หลายปีก่อนนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ผู้ฝึกตนของใบถงทวีปรับมือไม่ทัน ยังเป็นเรื่องตลกชวนขบขันที่ไม่เล็กสำหรับใต้หล้าไพศาล ยังดีที่ตอนนี้กลับคืนมาสงบสุขอีกครั้งแล้ว กองกำลังตระกูลเซียนหลายแห่งต่างก็พักฟื้นรักษาตัว

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างราวระเบียงของหอชมทัศนียภาพ ผู้ฝึกตนรอบกาย ส่วนใหญ่เป็นคนของแจกันสมบัติทวีป แต่ก็มีผู้ฝึกตนของทวีปอื่นที่เดินทางมาเที่ยวแจกัน สมบัติทวีปอยู่เป็นจำนวนมากเช่นกัน ในอดีตนี่เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ยาก

เมื่อสถานการณ์ของแจกันสมบัติทวีปแปรเปลี่ยน วีรกรรมเพียงอย่างเดียวก็พาให้ราชวงศ์ต้าหลีเลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในสิบราชวงศ์ใหญ่ของใต้หล้าไพศาล ผู้ฝึกตนของ ทวีปอื่นที่พกพาเอาความสงสัยใคร่รู้มาเยือนแจกันสมบัติทวีปจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้แจกันสมบัติทวีปเป็นเพียงพื้นที่คับแคบอันห่างไกล ทำให้คนเกิดความสนใจไม่ได้เลยจริงๆ หากจะไปก็จะไปที่อุตรกุรุทวีปที่มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ หรือไม่ก็ตรงไปที่ใบถงทวีปเลย

จากเหนือไปใต้จะต้องผ่านเมืองหลวงต้าหลี สำนักโองการเทพ สำนักศึกษากวานหู นครมังกรเฒ่าตามลำดับ โดยทั่วไปแล้วนี่ก็คือเส้นทางการท่องเที่ยวของผู้ฝึกตน ทวีปอื่น ส่วนสถานที่อื่นๆ ที่มากกว่านี้ ผู้คนกลับไม่ค่อยลงจากเรือไปเยี่ยมชม

บางทีวันหน้าอาจจะเพิ่มสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกแห่งใบถงทวีปอย่างสำนักเจินจิ้งแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนของเจียงซ่างเจินเข้าไปด้วย

เพราะถึงอย่างไรชื่อเสียงของเจียงซ่างเจินก็ไม่น้อยเลยจริงๆ ผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่สามารถสร้างคลื่นลมมรสุมอยู่ในอุตรกุรุทวีป แต่กลับยังกระโดดโลดเต้นมีชีวิตอยู่ได้ พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก

สำหรับใต้หล้าไพศาลแล้ว อุตรกุรุทวีปคือสถานที่ที่อันตราย อีกทั้งไม่เป็นมิตรอย่างถึงที่สุด ปราณสังหารเข้มข้นเกินไป คนตายที่หากอยู่ทวีปอื่นไม่มีทางตาย มีเยอะมาก

หลังจากที่เฉินผิงอันได้เดินทางผ่านอุตรกุรุทวีปจริงๆ เขากลับรู้สึกว่านี่คือสถานที่ที่มีกลิ่นอายความเป็นยุทธภพมากกว่ากลิ่นอายของเทพเซียน ในอนาคตสามารถไปเยือนบ่อยๆ ได้

เว่ยจิ้นเซียนกระบี่แห่งศาลลมหิมะ ตอนนี้ก็อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่

ลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงแห่งทะเลสาบฝูผิง หลังจากไปถามกระบี่ที่สำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้วก็น่าจะเดินทางไปที่ภูเขาห้อยหัวในทันที

น่าเสียดายที่ตอนนี้เฉาสือไม่ได้อยู่บนกำแพงเมืองแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากศึกใหญ่ สองครั้งก่อนหน้านี้ผ่านพ้นไป กระท่อมหลังเล็กที่เฉาสือทิ้งไว้ที่นั่น กับกระท่อมของ ผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตูจะยังอยู่หรือไม่

ผู้ฝึกตนของทวีปอื่นจำนวนมากที่อยู่ใกล้กับหอชมทัศนียภาพ ส่วนใหญ่พูดคุยกันด้วยภาษาทางการของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ในถ้อยคำเหล่านั้นเต็มไปด้วย คำวิจารณ์และข้อเสนอชี้แนะ ยังคงไม่มีความเคารพให้แก่บนภูเขาและล่างภูเขา ของแจกันสมบัติทวีปสักเท่าไร ยามที่พูดถึงกองทัพม้าเหล็กต้าหลีที่บุกไปที่ไหนที่นั่น ก็พังราบเป็นหน้ากลองก็ไม่มีถ้อยคำไพเราะชวนฟังใดๆ เพียงแค่เอ่ยว่าพอใช้ได้ อยู่ในแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปเองถือว่าไม่เลว แต่หากเอาไปไว้ที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางกลับถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีทางราบรื่นได้เช่นนี้

นี่ไม่ได้เป็นเพราะว่าในสายตาของคนต่างถิ่นเหล่านี้ไม่เห็นหัวใครไปเสียทั้งหมด เพราะชุยตงซานเองก็เคยบอกว่า แจกันสมบัติทวีปขาดผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน นี่ก็คือความลำบากยุ่งยากใหญ่เทียมฟ้า

หลายสิบปีให้หลัง เมื่อสถานการณ์ใหญ่ดำเนินมาถึง มีเพียงตะพาบเฒ่าที่แอบเลื่อนเป็นขอบเขตบินทะยานคนเดียวย่อมไม่มากพอ จะทำอย่างไร ยืม! ยังดีที่ไม่ต้องวิ่งโร่ร้องทุกข์ไปทั่ว ไม่อย่างนั้นเขาชุยตงซานคงอัดอั้นจนกระอักเลือดเก่าให้ตัวเองสำลักตายเป็นแน่

ความลับสวรรค์ที่เปิดเผยอยู่ในถ้อยคำของชุยตงซาน เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

ก่อนหน้านี้ราชครูชุยฉานสร้างป๋ายอวี้จิงจำลองขึ้นมา แล้วค่อยให้กองทัพ ม้าเหล็กต้าหลีฮุบกลืนพื้นที่ของหนึ่งทวีป เขากล้าทำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางยืนเฉยรอความตาย พาคนทั้งแจกันสมบัติทวีปไปตายเปล่าๆ อย่างแน่นอน

เฉินผิงอันเก็บความคิดทั้งหลายลง กวาดตามองไปรอบด้าน ส่วนใหญ่แล้วก็คือมองทัศนียภาพตระการตาของภูเขาห้อยหัวที่อยู่ระหว่างฟ้าดินนั้น

นอกภูเขาห้อยหัวมีลำคลองหลายสายที่เหมือนทั้งเมฆเหมือนทั้งน้ำ แขวนห้อยอยู่ระหว่างยอดเขาและมหาสมุทรใหญ่สี่ด้านแปดทิศ

เหนือภูเขาห้อยหัวขึ้นไปในรัศมีร้อยลี้ นอกจากยอดเขาหลักที่มีเทียนจวินใหญ่ท่านหนึ่งเฝ้าพิทักษ์แล้วยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแปดแห่ง เฉินผิงอันล้วนเคยไปเยือนมาหมดแล้ว

เมื่อขึ้นภูเขาห้อยหัวครั้งแรกก็ต้องผ่านศาลาจัวฟ่าง คือกรอบป้ายที่เต๋าเหล่าเอ๋อร์ ‘ผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริง’ ของใต้หล้ามืดสลัวท่านนั้นเขียนกับมือตัวเอง ตอนนั้น เฉินผิงอันก็จากลากับหลิวโยวโจวแห่งธวัลทวีปที่นี่ หลิวโยวโจวไปที่จวนหยวนโหรวที่มีชื่อเสียงเลื่องลือ

หอจิ้งเจี้ยนที่แขวนภาพเหมือนของเซียนกระบี่ในแต่ละยุคสมัยไว้จนเต็ม หอซ่างเซียงที่ลู่ไถอยากจะเข้าไปจุดธูปกราบไหว้บรรพบุรุษ แต่กลับถูกนักพรต ที่เฝ้าประตูไล่ออกมา หอเหลยเจ๋อที่เทพีแห่งการต่อสู้เผยเปยหลอมกระบี่ เรือนหลิงจือที่เฉินผิงอันซื้อบรรพบุรุษเสื้อเกราะน้ำค้างหวานมาได้โดยบังเอิญ นอกจากนี้ยังมีโถงฝ่าอิ้นที่มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘หอเชวียอี’ หน้าผาหมีลู่ที่มีทัศนียภาพงดงามชวนเคลิบเคลิ้ม หลิ่วป๋อฉีนักพรตหญิงที่หลิ่วชิงซานแห่งแคว้นชิงหลวนแต่งงานด้วยก็มีชาติกำเนิดมาจากเรือนซือเตาของภูเขาห้อยหัว บนผนังของที่นั่นเคยมีประกาศนำจับซ่งจ่างจิ้งและสวีรั่วด้วยราคาสูงเทียมฟ้า

หลังจากที่เรือข้ามฟากเลียบลำคลองสายหนึ่งจอดเทียบท่าที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอัน ก็เอ่ยขอบคุณผู้ดูแลตระกูลซุน จากนั้นจึงเดินขึ้นภูเขาห้อยหัวไปตามลำพังอีกครั้ง

เฉินผิงอันไม่ได้เลือกเรือนหลิงจือที่ทั้งขายของแล้วก็ทั้งเปิดเป็นโรงเตี๊ยม ยังคงเลือกโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยที่ตั้งอยู่ปลายสุดของตรอกเล็ก เถ้าแก่อึ้งตะลึงไปนาน ก่อนจะเอ่ยเรียก “เฉินผิงอัน?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับพร้อมคลี่ยิ้มบางๆ

เถ้าแก่จุ๊ปากพูด “ครั้งนี้จินซู่ของเกาะกุ้ยฮวาไม่ได้มากับเจ้าด้วยหรือ? ตอนนี้ คนของแจกันสมบัติทวีปพวกเจ้าเอวแข็งกันไม่น้อยนะ เป็นอย่างไร คุณชายเฉิน ช่วยส่งเสริมกิจการร้านเล็กๆ ของพวกเราด้วยการเลือกห้องชั้นสูงหน่อยไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เอาเป็นห้องเมื่อคราวก่อนก็แล้วกัน”

ชายฉกรรจ์รู้สึกจนใจเล็กน้อย หยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักแล้ว โยนให้คนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่เบาๆ “เฉินผิงอัน นิสัยขี้เหนียวนี้ของเจ้าต้องเปลี่ยนแล้วจริงๆ นะ ออกมาอยู่ข้างนอก ไม่ใจป้ำมากพอ จะทำเรื่องใหญ่สำเร็จได้อย่างไร”

เฉินผิงอันไม่รีบไปเข้าพักที่ห้อง แต่ยืนเอนตัวพิงโต๊ะคิดเงิน มองไปยังตรอกเล็กด้านนอกที่คุ้นเคย ยิ้มกล่าวว่า “ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่างคนหนึ่ง จะมีเงินเทพเซียนได้สักแค่ไหนกันเชียว”

ชายฉกรรจ์นับนิ้วคำนวณแล้วพูดสัพยอกว่า “นี่ก็เกือบจะสิบปีแล้วกระมัง? หาเงินไม่ได้ ขอบเขตก็เลื่อนขั้นได้ไม่เท่าไร คุณชายใหญ่เฉิน หลังออกไปจากภูเขา ห้อยหัวแล้วมัวทำอะไรอยู่ล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เตร็ดเตร่ไปเรื่อยน่ะ”

ชายฉกรรจ์ที่บรรพบุรุษแต่ละรุ่นล้วนเฝ้าดูแลโรงเตี๊ยมแห่งนี้ส่ายหน้ากล่าวว่า “มิน่าเล่าย้อนกลับมาที่ภูเขาห้อยหัวอีกครั้งถึงได้ยังมาเยือนสถานที่เล็กๆ แห่งนี้ ของข้า ทำเอาข้าดีใจเก้อเลย”

เฉินผิงอันเอาเหล้าออกมาสองกา ยื่นส่งให้เถ้าแก่หนึ่งกา “เหล้าของบ้านเกิด”

เถ้าแก่เปิดจุกออกดมก็ด่ายิ้มๆ ว่า “เหล้าหมักข้าวเหนียวธรรมดา? เฉินผิงอัน เจ้ายังมีหน้าเอาออกมาอีกนะ!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ดื่มเหล้าหมักตระกูลเซียนของภูเขาห้อยหัวดีตรงไหนกัน มีเพียงดื่มเจ้านี่ ถึงจะดูมีคุณค่ากว่าหน่อย”

เถ้าแก่ฟังแล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผลอยู่มาก คนทั้งสองดื่มเหล้ากันไปช้าๆ เฉินผิงอันสอบถามถึงสถานการณ์ล่าสุดของของภูเขาห้อยหัวตลอดหลายปีมานี้ เถ้าแก่บอกว่า ก็เป็นอย่างนั้นแหละ มีเพียงสิ่งเดียวที่แตกต่าง ก็คือภูเขาเดียวดายด้านหลังภูเขา ห้อยหัวแห่งนั้น เทียนจวินใหญ่ได้ร่วมมือกับเซียนกระบี่สองคน บุกเบิกประตูใหญ่ แห่งใหม่ที่มุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ทำการค้าจะต้องเดินผ่านเส้นทางนั้นทั้งหมด ช่วยไม่ได้ ไม่ถึงสิบปีก็เกิดสงครามตายที่โหดร้ายจนแทบไม่น่าเชื่อว่ามีอยู่จริงบนโลกถึงสองครั้ง อาศัยแค่ทรัพยากรที่เดิมทีถูกขนส่งผ่านทางประตูใหญ่กระจกบานนั้นจึงไม่พอใช้ แต่ตอนนี้มีการควบคุมอย่างเข้มงวดแล้ว เรื่องการท่องเที่ยวก็ยิ่งถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่เกี่ยวข้องทุกคน ต่อให้คิด จะไปชมทัศนียภาพที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มากแค่ไหนก็ยากแล้ว หากไม่มีช่องทางสักหน่อยก็อย่าได้หวังเลย นี่ไม่ใช่เรื่องที่ว่ามีเงินหรือไม่มีเงินแล้ว เพราะก่อนหน้านี้เมืองที่อยู่ด้านหลังกำแพงเมืองปราณกระบี่เกิดช่องโหว่ที่ใหญ่เทียมฟ้าเพราะสาเหตุที่ปลาและมังกรปะปนกัน แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ทางภูเขาห้อยหัวปิดข่าวทุกอย่าง แต่ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ไม่อย่างนั้นตอนนั้นภูเขาห้อยหัวก็คงไม่มีทางเข้มงวดขนาดนั้น แม้แต่การห้ามออกจากเคหะสถานยามวิกาลก็ยังปรากฏขึ้น โดยมี ผู้ฝึกตนของเรือนซือเตาเป็นผู้นำ ตรวจสอบป้ายห้อยเอวของผู้ฝึกตนภูเขาห้อยหัว ทุกคนภายในวันเดียว ขนาดจวนส่วนตัวใหญ่ทั้งสี่แห่งซึ่งรวมถึงจวนหยวนโหรวด้วยก็ยังไม่เว้น ผลคืออยู่ดีๆ กลับเกิดความขัดแย้งที่ไม่มีต้นสายปลายเหตุขึ้นมาอีก สรุป ก็คืออึกทึกครึกโครมอย่างมาก

เฉินผิงอันถามว่าสงครามครั้งที่สามจะเกิดขึ้นประมาณช่วงไหน

เถ้าแก่ยิ้มกล่าวว่าเรื่องประเภทนี้ อย่าว่าแต่ใครจะรู้เลย แม้แต่สวรรค์ก็ไม่รู้

สุดท้ายเถ้าแก่ดื่มเหล้า พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “ภูเขาห้อยหัวไม่ค่อยสงบเลย”

ศึกใหญ่สองครั้งก่อนหน้านี้ประหลาดเกินไป ความโหดร้ายนั้นไม่แพ้ให้กับในอดีตแม้แต่น้อย แต่กลับเกิดขึ้นอย่างกระชั้นชิด เป็นเหตุให้ทั้งสองฝ่ายมีคนตายเร็วมากและเยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ต้องจ่ายค่าตอบแทนมากกว่าในอดีต ไม่เหมือนท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานก่อนหน้านี้ที่ ทุกครั้งหากสองฝ่ายปะทะกันก็จะมีสงครามเกิดขึ้นอีกเป็นระยะแบบขาดๆ หายๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะต่อเนื่องยาวนานไปเป็นระยะเวลายี่สิบสามสิบปี แต่ครั้งนี้ กลับเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบปี เซียนกระบี่ของอุตรกุรุทวีปที่เป็นหนึ่งในผู้นำของผู้ฝึกกระบี่ท่านนั้นก็ตายอยู่ในสงครามใหญ่ครั้งที่สอง

เฉินผิงอันกล่าว “ใกล้ระยะประชิด นี่ก็ไม่ค่อยสงบมาเป็นหมื่นปีแล้ว”

เถ้าแก่ยิ้ม “คือหลักการนี้แหละ”

คนทั้งสองชนกาเหล้ากันเบาๆ แล้วดื่มเหล้าที่เหลืออยู่จนหมด

เฉินผิงอันไปที่ห้องแห่งนั้น ข้าวของเครื่องตกแต่งยังคงเดิม ทัศนียภาพยังคงเดิม สะอาดสะอ้านสบายตา

ไม่มีสิ่งของอะไรให้เก็บวาง เฉินผิงอันนั่งนิ่งๆ อยู่ชั่วครู่ก็ออกจากโรงเตี๊ยมและตรอกเล็ก มุ่งหน้าไปยังยอดเขาเดียวดายที่อยู่ใจกลางภูเขาห้อยหัวแห่งนั้น

ตอนนี้เหลือคนเฝ้าประตูแค่คนเดียว ก็คือนักพรตน้อยที่มีรูปโฉมเป็นเด็ก แต่กลับมีความอาวุโสสูงอย่างถึงที่สุดคนนั้น เขายังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่นั่น เนื่องจากตอนนี้สถานที่แห่งนี้แทบจะไม่มีคนเข้าออก เด็กๆ ของภูเขาห้อยหัวที่มาเล่นสนุกอยู่ที่นี่จึงยิ่งมีมากกว่าเดิม ยังคงเป็นภาพเหตุการณ์เหมือนอย่างในปีนั้น พอมีเด็กเข้ามาใกล้ ‘นักพรตเด็ก’ ก็จะพลันทะยานเมฆทะยานหมอกพลิ้วกายออกห่างไปไกล เด็กบางคนที่ซุกซนหน่อยถึงขั้นจงใจทำเช่นนี้ เล่นสนุกอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย หลังจาก นักพรตเด็กพลิ้วกายลงบนพื้นก็วิ่งตะบึงไปหาเขาทางนั้นต่อ นักพรตเด็กคนนั้น ก็ไม่ถือสา

เฉินผิงอันเดินอ้อมผ่านยอดเขาเดียวดายไปยังภูเขาที่อยู่ด้านหลัง ตามคำบอกของเถ้าแก่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่ปีนั้นถ่ายทอดคาถาหลอมวัตถุ ให้เขายังคงมีความผิดติดตัว ก็แค่เปลี่ยนสถานที่ไปเฝ้าประตูใหญ่ฝั่งนั้นแทน

หลังจากที่เฉินผิงอันจากไป นักพรตน้อยที่เอานิ้วแต้มน้ำลายพลิกเปิดหน้าหนังสือก็เงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังของคนหนุ่มที่สวมชุดเขียวสะพายกระบี่ บนใบหน้าที่มองดูอ่อนเยาว์นั้นมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันเห็นชายฉกรรจ์กอดกระบี่นั่งหลับอยู่บนเสาหินข้างประตู

ไม่เหมือนกับผิวกระจกที่เป็นประตูหน้าของยอดเขาเดียวดายที่เหลือแค่นักพรตน้อยคอยจับตาดูผู้คนที่เข้าออกจากภูเขาห้อยหัวและกำแพงเมืองปราณกระบี่ทั้งสองฝั่ง ในเวลาเดียวกัน

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่งีบหลับยังคงเฝ้าอยู่แค่ด้านหลัง รับผิดชอบจับตามอง ทุกคนที่กลับจากกำแพงเมืองปราณกระบี่มายังภูเขาห้อยหัวเท่านั้น ส่วนผู้ที่ดูแลอยู่เบื้องหน้าคือนักพรตเฒ่าคนหนึ่งของภูเขาห้อยหัว

บนถนนมีผู้คนสัญจรขวักไขว่ รถม้าขับเคลื่อนทอดยาวเป็นสาย ล้วนเป็น ขบวนผู้คนที่ทยอยกันข้ามผ่านด่านไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่

ทว่าคนเฝ้าประตูกลับไม่ใช่ผู้เฒ่าที่ใช้หนวดของเจียวหลงมาหลอมเป็นเชือกพันธนาการปีศาจที่มีเพียงเส้นเดียวบนโลกซึ่งเฉินผิงอันคุ้นเคยคนนั้น

เฉินผิงอันไม่ได้ส่งเสียง สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ยืนอยู่ข้างเสาหินอย่างสงบ ฝั่งนี้เงียบสงบกว่ามาก แทบจะไม่มีคนเลย

ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ชายฉกรรจ์ที่กอดกระบี่ก็ลืมตาขึ้นยิ้มกล่าวว่า “ไอ้หนู ข้าว่าเจ้าคงไม่ค่อยชอบแม่หนูหนิงสักเท่าไร ไม่เพียงแต่จากไปทีก็นานหลายปีขนาดนี้ พอมาถึงที่นี่ก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะรีบร้อนแม้แต่น้อย”

เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก สองมือกุมเป็นหมัดเอ่ยว่า “คารวะผู้อาวุโส มาดสง่างามของท่านยังคงเดิม”

ชายฉกรรจ์โบกมือ “ข้ามีข่าวอยู่สองข่าว หนึ่งคือข่าวดี หนึ่งคือข่าวร้าย เจ้าอยากฟังข่าวไหน?”

เฉินผิงอันกล่าว “ฟังข่าวร้ายก่อน”

ชายฉกรรจ์เบ้ปาก “น่าเบื่อจริง ข้าบอกข่าวดีเจ้าก่อนดีกว่า”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตามใจผู้อาวุโสเลย”

ชายฉกรรจ์นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสาหินที่สูงประมาณหนึ่งตัวคนกว่าๆ มองคนหนุ่มพลางเอ่ยว่า “ข่าวดีก็คือในศึกใหญ่ทั้งสองครั้ง แม่หนูหนิงล้วนโชคดีรอดมาได้ ตอนนี้ขอบเขตก็ไม่ถือว่าต่ำแล้ว อืม ได้ยินมาว่าหน้าตายิ่งงดงามชวนมองขึ้นไปอีก เจ้าชอบแม่หนูหนิงไม่ใช่เรื่องแปลกแม้แต่น้อย แต่แม่หนูหนิงกลับชอบเจ้า นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องประหลาดใหญ่เทียมฟ้า”

เฉินผิงอันเงียบรอฟังคำพูดประโยคถัดไปของอีกฝ่าย

ชายฉกรรจ์กล่าวอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นว่า “ข่าวร้ายก็คือตอนนี้ มีการควบคุมอย่างเข้มงวด ภายนอกและทางส่วนตัวมีคนที่ไม่รักษากฎตายไปมากมาย หากเจ้าไม่มีเส้นสายที่แข็งหน่อยก็ไม่มีทางไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เลย อย่าหวังว่าข้าจะยอมแหกกฎช่วยส่งกระบี่บินส่งข่าวไปให้เจ้าโดยพลการ ไม่มีทางหรอก ไม่อย่างนั้นข้าก็คงไม่ได้กินข้าวที่เหลืออยู่แค่ถ้วยเดียวนี้อีกแล้ว (เปรียบเปรยว่าตกงาน/ไม่มีงานทำ) เพราะฉะนั้นเจ้าเข้าไปไม่ได้ คนด้านในก็ช่วยเจ้าไม่ได้ เจ้าจงยืนเบิกตามองดูอยู่ตรงนี้แต่โดยดีเถอะ ดีจะตายไป อยู่คุยเล่นเป็นเพื่อนข้า แล้วเดี๋ยวค่อยให้เจ้าหิ้วเหล้ากับกับแกล้มสองสามจานมาให้ข้า พวกเรานั่งอาบแดด อยู่ด้วยกัน วันเวลาเช่นนี้สมกับเป็นชีวิตของเทพเซียนจริงๆ”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ภูเขาห้อยหัวในตอนนี้ คนที่สามารถเปิดปากพูด เรื่องนี้ได้มียอดฝีมือคนใดบ้าง?”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ยื่นนิ้วชี้ไปทางด้านหลัง “เทียนจวินใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของผู้ไร้เทียมทานที่แท้จริงของภูเขาห้อยหัวคนนั้น แน่นอนว่าคำพูดของเขา ต้องได้ผล”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

เทียนจวินใหญ่ของลัทธิเต๋าท่านนี้เคยเปิดฉากเข่นฆ่าอยู่กับจั่วโย่วบนมหาสมุทร แม่น้ำพลิกมหาสมุทรตลบไปหลายพันลี้ แค่เขาไม่เล่นงานตนก็ถือว่ามีคุณธรรมมากพอแล้ว

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่เอ่ยอีกว่า “เพื่อนบ้านเก่าที่มีใบหน้าเป็นเด็กผู้นั้นก็ได้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าไอ้หมอนี่มีนิสัยประหลาด ไม่ใช่พวกคนที่สามารถใช้เหตุผลพูดคุยด้วยได้ นอกจากนี้ก็คือเจ้าคนที่ถือโซ่พันธนาการปีศาจสีทองอร่ามไว้ในมือผู้นั้น จากนั้น…ก็คงมีแค่หาเส้นทางที่ถูกต้อง อีกทั้งยังต้องใช้เงินจ่ายค่าผ่านทางแล้ว ยกตัวอย่างเช่นที่จวนหยวนโหรวมีคนยินดีจ่ายเงินแทนเจ้า นั่นไม่ใช่เรื่องที่ เงินร้อนน้อยสามารถแก้ไขได้แล้ว อีกทั้งยังทำลายกฎเกณฑ์ ต้องแบกรับความเสี่ยง บวกกับที่ต้องถูกภูเขาห้อยหัวจดลงบัญชีไว้”

เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร

ชายฉกรรจ์ยิ้มกล่าว “แนะนำเจ้าว่าอย่าได้ใช้หัวคิดในทางที่ผิด พวกกลุ่มพ่อค้า ที่มีสิทธิ์เดินทางไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่เหล่านั้น ต่อให้รับเงินเจ้าไปแล้ว ปากตอบตกลงว่าจะช่วยส่งข่าวให้เจ้า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่มีทางทำเรื่องนี้ มีแต่จะทำให้เงินเทพเซียนของเจ้าลอยหายไปกับสายน้ำ ทางฝั่งของเกาะกุ้ยฮวา นครมังกรเฒ่าก็หน้าตาไม่ใหญ่มากพอ ไม่มีใครมีคุณสมบัติจะได้ไปกำแพงเมือง ปราณกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เกาะกุ้ยฮวาเองก็แบกรับผลลัพธ์นี้ไม่ไหว

ไม่เพียงแต่จะมีคนตายเยอะมาก คาดว่าแม้แต่เกาะกุ้ยฮวาเองก็ยังต้องถูก ภูเขาห้อยหัวโจมตีให้จมลงไปด้วย”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในเมื่อข้ามาถึงภูเขาห้อยหัวแล้วก็ไม่มีเหตุผลที่จะไป กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้”

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ยิ้มกล่าว “โอ้โหแหะ ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสี่ พูดจาใหญ่โตไม่น้อยเลย”

เฉินผิงอันหัวเราะร่า “ก็เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ดด้วยไม่ใช่หรือ ผู้อาวุโสก็คิดเสียว่าขอบเขตเจ็ดกับขอบเขตสี่ของข้าบวกรวมกัน สามารถคิดเป็นขอบเขตสิบเอ็ดได้”

ชายฉกรรจ์จุ๊ปาก “อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เอาแค่หนังหน้านี้ เทียบกับเด็กหนุ่มยากจนเมื่อปีนั้น ก็หนาขึ้นเยอะเลยจริงๆ ทำไม ตลอดหลายปีมานี้ที่ออกเดินทางท่องเที่ยว คงหลอกสตรีไปไม่น้อยเลยกระมัง?”

เฉินผิงอันหน้าดำทะมึน “ประโยคนี้ผู้อาวุโสพูดส่งเดชไม่ได้จริงๆ นะ!”

ชายฉกรรจ์หัวเราะหึหึ “มีเรื่องนี้อยู่จริงหรือไม่ ในใจเจ้าย่อมรู้ดี”

เฉินผิงอันบิดข้อมือ เอาเหล้าหมักตระกูลเซียนกาหนึ่งออกมา ชายฉกรรจ์ กอดกระบี่เตรียมจะพูดเสริมอีก ไม่ก็คิดจะแย่งชิงเอามาเสียเลย คิดไม่ถึงว่าคนหนุ่ม ที่ฉลาดเฉลียวผู้นั้นจะยิ้มบางๆ แล้วเก็บกาเหล้ากลับไปด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบไม่ทันยกมือป้องหู

ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ลูบคลำปลายคาง “เฉินผิงอัน แบบนี้ทำร้ายความรู้สึกกันมากเลยนะ”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรบกวนให้ผู้อาวุโสยืนยันมาสักคำแล้ว”

ชายฉกรรจ์กวาดตามองไปรอบด้าน พูดเสียงเบาว่า “เจ้าไปเดินเล่นรอบๆ ดูก่อน ข้าจะลองคิดดูว่าจะมีวิธีหรือไม่”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เข้าใจความนัยของอีกฝ่ายได้จึงหมุนตัวเดินจากไปทันที

ชายฉกรรจ์ร้อนใจขึ้นมาทันควัน ตะโกนเรียก “เจ้าเด็กนี่ เจ้าอยากให้ม้าวิ่ง แต่กลับไม่ยอมเอาหญ้าให้ม้ากินอย่างนั้นหรือ? จะดีจะชั่วก็โยนเหล้ากาหนึ่งมาให้ ดับกระหายก่อนสิ”

เฉินผิงอันหันหลังให้ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ โบกมือเป็นการบอกลา

เฉินผิงอันไปที่เรือนหลิงจือมารอบหนึ่ง ไม่พูดไม่จาก็ซื้อแผ่นหยกสีขาวที่ถูกตาตั้งแต่แรกเห็นเมื่อปีนั้นทันที บนแผ่นหยกไม่มีตัวอักษรใดๆ สลักเอาไว้ เพียงแต่เพราะวัสดุของแผ่นหยกล้ำค่าเกินไปถึงได้ตั้งราคาสูงเทียมฟ้า เฉินผิงอันพบว่ามันยังไม่ถูกคนซื้อไป รอยยิ้มก็ยิ่งคลี่กว้าง เรือนหลิงจือไม่มีการลดราคา เฉินผิงอันจึงควักเงินฝนธัญพืชยี่สิบเหรียญออกมาจ่าย แล้วเก็บมาอย่างระมัดระวัง หลังจากออกมาจากเรือนหลิงจือแล้วก็แหงนหน้ามองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางนภา อารมณ์ที่ไม่ดีเพราะยังไม่สามารถไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ชั่วคราวกลับดีขึ้นหลายส่วน

จากนั้นเฉินผิงอันก็ไปที่หอจิ้งเจี้ยนมารอบหนึ่ง แล้วก็ทำเหมือนคนต่างถิ่นที่มาเยือนที่นี่ครั้งแรก นั่นคือเดินเนิบช้า ไล่ดูไปทีละชั้น สุดท้ายหยุดเท้ายืนนิ่งอยู่หน้าภาพเหมือนทั้งสองนั้นอยู่นาน จากนั้นก็จากมาเงียบๆ ด้วยสีหน้าปกติ

กลับมาถึงโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นป้ายหยกที่ซื้อมาจาก เรือนหลิงจือแผ่นนั้นออกมา จากนั้นก็หยิบแผ่นหยกธรรมดาที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ เอามาฝึกมือ แล้วอิงตามลายมือที่แกะสลักลงบนหยกแผ่นนี้ สูดลมหายใจเข้าลึก เริ่มทำสมาธิ ใช้กระบี่บินสืออู่แทนมีดแกะสลัก สลักตัวอักษรเบาๆ ลงบนแผ่นหยกขาวราคายี่สิบเหรียญเงินฝนธัญพืชที่มีมูลค่าควรเมืองแผ่นนั้น

ยามดึกผู้คนเงียบสงัด

เฉินผิงอันเป่าลมใส่แผ่นหยกที่ทั้งหน้าตรงและด้านหลังต่างก็สลักตัวอักษรเอาไว้ จากนั้นก็ใช้ปลายนิ้วเช็ดเบาๆ ก่อนเก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อช้าๆ

เฉินผิงอันออกมาจากโรงเตี๊ยม ไปหาชายฉกรรจ์กอดกระบี่คนนั้น

เซียนกระบี่ท่านนี้ยืนอยู่ข้างเสาหิน กอดกระบี่ยืนนิ่ง ยิ้มถามว่า “มีข่าวดีกับข่าวร้ายอีกแล้ว อยากฟังข่าวไหนก่อน?”

เฉินผิงอันไม่ได้พูดอะไรที่เกินความจำเป็น เอาเหล้าหมักกุ้ยฮวาแปดกาที่เตรียมไว้ในวัตถุจื่อชื่อเรียบร้อยแล้วออกมาจัดวางไว้บนเสาหินทีละกาอย่างเป็นระเบียบ ล้วนเป็นของที่ฟ่านเอ้อร์เอามามอบให้ตอนที่ขึ้นเรือมาก่อนหน้านี้

ชายฉกรรจ์มีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย “ข่าวดีก็คือข้าคิดว่าจะส่งเจ้าไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ส่วนข่าวร้ายน่ะหรือ นี่ก็ออกจะพูดยากสักหน่อย เพราะข้าคนนี้เป็นคนหน้าบาง”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอแค่ไม่ถ่วงรั้งการไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ของข้า ก็เชิญผู้อาวุโสพูดมาได้เลย!”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ แล้วพลันมาหยุดยืนอยู่ข้างกายเฉินผิงอันในเสี้ยววินาที กระชากไหล่อีกฝ่ายแล้วโยนเขาเข้าไปทางประตูใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะฮ่าๆ กล่าวว่า “ข่าวร้ายก็คือเจ้าเอาเหล้าดีๆ มามอบให้ข้าอย่างเสียเปล่าแล้ว เจ้าโง่หรือไง มาถึงภูเขาห้อยหัวแล้วจะยังยอมให้กฎเกณฑ์รุงรังพวกนั้นมาขวางอยู่นอกประตูได้หรือ? ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า หากเจ้ายังไม่มาที่นี่ ข้าก็คงไปหาเจ้าที่โรงเตี๊ยม ขอร้องให้เจ้า รีบไสหัวไปเสียที…”

ร่างของเฉินผิงอันหมุนคว้าง หันหน้าเข้าหาชายฉกรรจ์กอดกระบี่ที่อยู่นอกประตูใหญ่ ริมฝีปากขยับเบาๆ ก่อนที่ร่างจะผลุบหายวูบเข้าไปในผิวกระจก

ชายฉกรรจ์ยื่นมือมาบังคับกาเหล้ากาหนึ่งแล้วดื่มอึกใหญ่อย่างสำราญใจ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นายท่านของเจ้าก็ยังคงเป็นนายท่านของเจ้าอยู่ดี”

……

ข้างประตูใหญ่ฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่

นักพรตหญิงอายุมากคนหนึ่งของเรือนซือเตาลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับสะพายกระบี่ที่ดีขนาดนี้ หรือจะเป็นลูกหลานคนรวยที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง? อืม ขอบเขตไม่สูง ไม่เสียแรงที่เป็นเด็กรุ่นหลังที่เดินออกมาจากตระกูลใหญ่ รากฐานไม่เลวเลยจริงๆ ผู้ฝึกตนเซียนดินของใต้หล้าไพศาลทั่วไปล้วนไม่มีใครที่ลงพื้นได้อย่างมั่นคงเช่นเจ้า เมื่อก่อนเคยมาที่นี่แล้วอย่างนั้นรึ?”

เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามใดๆ แต่ย้อนถามว่า “ผู้อาวุโสคืออาจารย์ผู้มีพระคุณของหลิ่วป๋อฉีหรือ?”

นักพรตหญิงคนนั้นพยักหน้ารับ “เจ้ารู้จักลูกศิษย์ที่เสียสติไปแต่งงานของข้าคนนั้นด้วยหรือ?”

จากนั้นหญิงชราก็กล่าวเหมือนคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง “เจ้าก็คือคนที่ชื่อเฉินผิงอันของแจกันสมบัติทวีปนั่นกระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “ผู้อาวุโสรู้จักข้าหรือ?”

รอยยิ้มของนางมีเลศนัย “คำถามนี้เกินความจำเป็นแล้ว”

เซียนกระบี่ที่เฝ้าประตูอยู่อีกฝั่งหนึ่งแค่นเสียงเย็น “แม้แต่ผู้ฝึกกระบี่ก็ยังไม่ใช่ อายุมากขนาดนี้แล้ว แต่กลับยังเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตล่าง ข้าว่า ความเสียสติของหลิ่วป๋อฉียังสู้ความเสียสติของแม่หนูหนิงไม่ได้”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ ตลอดเวลา

เรื่องอื่นๆ เฉินผิงอันย่อมเคารพเหล่าผู้อาวุโสที่ต่างคนต่างมีเรื่องราวด้วยความจริงใจ

แต่กับเรื่องบางเรื่อง

มารดามันเถอะ พวกเจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้

……

ในนคร

บนถนนใหญ่เส้นหนึ่ง เฉินผิงอันเดินมาถึงหน้าประตูของเรือนขนาดใหญ่หลังหนึ่งแล้วเคาะประตูเบาๆ

จงใจไม่หันไปมองศีรษะที่เรียงกันอยู่บนหัวกำแพงเหล่านั้น

อันที่จริงล้วนถือว่าเป็นคนคุ้นเคย เพียงแต่ว่าปีนั้นไม่ค่อยได้พูดคุยกันก็เท่านั้น

ประตูใหญ่เปิดออกช้าๆ

นางเอ่ยถาม “เจ้าเป็นใครน่ะ?”

เฉินผิงอันโถมตัวเข้ากอดนาง เอ่ยเสียงเบาว่า “เฉินผิงอันแห่งใต้หล้าไพศาล มาพบหนิงเหยา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version