Skip to content

Sword of Coming 585

บทที่ 585 เจ้ามาเป็นศิษย์พี่

เฉินผิงอันเก็บเรือยันต์แล้วพลิ้วกายลงบนหัวกำแพง

จั่วโย่วเก็บปราณกระบี่คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา

ดังนั้นคนทั้งสองจึงอยู่ห่างกันไม่ถึงสิบก้าว

จั่วโย่วลืมตามองฟ้าดินกว้างใหญ่ที่อยู่นอกหัวกำแพงเมืองแล้วถามคำถามหนึ่ง “เคยคิดถึงเรื่องบางอย่างที่ต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนบ้างไหม?”

ทางฝั่งทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ นครที่ทั้งรากฐานและความลับล้วนลึกล้ำจนมองไม่เห็นก้นบึ้งแห่งนั้นทั้งให้ความรู้สึกถึงกฎเกณ์ที่เข้มงวดต่อผู้คน แล้วก็ทั้งเหมือนว่าไม่มีกฎเกณฑ์อะไรให้พูดถึงด้วย

มีเซียนกระบี่ที่ยามอยู่ในศึกใหญ่สังหารศัตรูไปนับไม่ถ้วน ทว่าระหว่างเวลาว่างก่อนเกิดศึกกลับใช้ชีวิตเลอะเลือนดุจดั่งราชาในโลกมนุษย์ ดั่งคนเมามายอยู่ใน ความฝัน มีเรือข้ามทวีปลำหนึ่งนำผู้ฝึกตนหญิงของทวีปมาขายให้เซียนกระบี่ท่านนี้โดยเฉพาะ คนที่เข้าตาเขาก็จะถูกรับเข้าไปเป็นสาวใช้ในตำหนักโอ่อ่ามลังเมลือง คนที่ไม่เข้าตาก็จะถูกกระบี่บินตัดหัว แต่กระนั้นก็ยังจ่ายเงินให้

มีเซียนกระบี่ที่ชอบเฝ้าอยู่ในสวนผักสวนผลไม้เล็กๆ ใช้ชีวิตดั่งชาวไร่ชาวนา ปีแล้วปีเล่า

มีเซียนกระบี่ที่ชอบร่ายเวทอำพรางตาใช้ชีวิตปะปนอยู่กับหมู่ชาวบ้านร้านตลาด มั่วสุมอยู่กับพวกอันธพาลในตรอกเก่าโทรมตลอดทั้งปี

มีลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ใจคิดแต่จะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไปขอศึกษาต่อที่สถานศึกษาสำนักศึกษา แล้วก็มีคุณชายชนชั้นสูงที่ทำตัวเสเพลเอาแต่ใจ อารมณ์แปรปรวนไม่แน่นอน ชอบทุ่มทองเป็นพันชั่ง ทั้งยังชอบสังหารข้ารับใช้อย่างทารุณ

อริยะลัทธิขงจื๊อคนก่อนที่มาเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยคิดอยากจะทวงความเป็นธรรมในเรื่องนี้ ทว่าเฉินชิงตูเซียนกระบี่ผู้อาวุโสกลับเอ่ยประโยคเดียวว่า ตีกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน

อริยะท่านนั้นจึงลงศึกใหญ่สามครั้ง ชนะสองแพ้หนึ่ง แล้วจึงออกไปจาก กำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างหม่นหมอง หวนกลับคืนไปยังใต้หล้าไพศาล ชนะเซียนกระบี่ในท้องถิ่นสองท่าน แพ้ให้กับใต้เท้าอิ่นกวานผู้นั้น

ความผิดความถูกในเรื่องนี้ ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่คิดเอาไว้

ต่อให้จั่วโย่วจะแค่ได้ยินได้ฟังมาในภายหลัง ก็ยังรู้ชัดเจนถึงปราณสังหาร อันเข้มข้นที่ซ่อนอยู่ภายใน

เรื่องราวบนโลกมนุษย์ กลัวก็แต่ว่าจะไม่มีจุดยืน ความผิดความถูกปะปนกันมั่วซั่ว กลัวก็แต่ว่าจะเอาแต่พูดเรื่องจุดยืน แบ่งแค่ขาวกับดำอย่างเดียวเท่านั้น

สิ่งที่จั่วโย่วกลัวที่สุด ยังคงเป็นคนฉลาดที่เชื่อมั่นว่าขอแค่โลกใบนี้มีจุดยืนก็ ไม่จำเป็นต้องใช้เหตุผลอีกแล้ว

เฉินผิงอันถาม “ไกลหรือใกล้?”

จั่วโย่วเก็บความคิดที่กระจัดกระจายวุ่นวายกลับมา เอ่ยว่า “เรื่องที่อยู่ตรงหน้า เรื่องที่อยู่ข้างกายของทางฝั่งนครแห่งนั้น”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ก่อนหน้านี้ศิษย์พี่เคยเตือนไว้แล้ว ข้าเองก็รู้ดีถึงกระแสนิยมของสังคมที่นั่น คำพูดคำจาไร้ความยำเกรง เพราะฉะนั้นอีกไม่นานก็จะมีคลื่นใต้น้ำ ผ่านไปอีกชั่วระยะเวลาหนึ่ง ถ้อยคำซุบซิบนินทาพวกนั้นก็จะค่อยๆ แจ่มชัด สาเหตุที่ข้าชนะสี่ครั้งติด สาเหตุที่ข้าอยู่ในจวนหนิง ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ คือศิษย์น้องของศิษย์พี่ ก็คือเหตุผล

การที่ตอนนี้ยังไม่เกิดขึ้นก็เพราะเซียนกระบี่ผู้เฒ่าต่งพาคนไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง นี่ถึงทำให้คนหลายคนที่เดิมทีเปิดปากแล้วจำต้องหุบปากกลับไปอีกครั้ง”

จั่วโย่วเอ่ย “พูดถึงแค่ผลลัพธ์”

เฉินผิงอันกล่าว “มีคนไม่น้อยที่กลัวมากกว่าเรื่องของจวนหนิงจะถูกพลิกบัญชีอีกครั้ง ดังนั้นจึงไม่ค่อยยินดีให้ความสัมพันธ์ของจวนหนิงและจวนเหยากลับมากลมเกลียวกัน ความสัมพันธ์อันบริสุทธิ์ระหว่างข้า หนิงเหยาและเฉินซานชิว ต่งฮว่าฝูและเยี่ยนจั๋ว จะกลายเป็นความสัมพันธ์ที่ขุ่นมัวสกปรกในสายตาของคนบางคน ก่อนหน้านั้น อาจไม่เท่าไร แต่ตอนนี้กลับจะไม่ค่อยยินดีเท่าไรแล้ว อาจยังต้องเพิ่มตระกูลกวอ เข้าไปอีกตระกูล ดังนั้นต่อจากนี้สถานการณ์จะซับซ้อนอย่างมาก มีความเป็นไปได้ สูงว่าช่วงนี้กวอจู๋จิ่วจะถูกสั่งกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน เพราะอีกไม่นานจะมีถ้อยคำที่ไม่น่าฟังดังเข้าสู่ตระกูลกวอ ยกตัวอย่างเช่นบอกว่าความสามารถในการประจบสอพลอผู้มีอำนาจของตระกูลกวอมีไม่น้อย หรืออาจจะมีคนบอกว่าเซียนกระบี่ตระกูลกวอวางแผนได้ดีนัก ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งออกหน้าไปสานสัมพันธ์ ช่างเป็นวิธีการที่ดีจริงๆ ไม่ว่าจะพูดอะไร ผลลัพธ์มีเพียงอย่างเดียว ตระกูลกวอได้แต่ห่างเหินจากจวนหนิงไปชั่วคราว เพราะถึงอย่างไรตระกูลกวอก็ไม่ใช่เรื่องของ เซียนกระบี่กวอคนเดียว คนทั้งบนและล่างร้อยกว่าคนล้วนยังต้องหยัดยืนอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่”

หากเป็นอย่างนี้ยังนับว่าดี เฉินผิงอันกลัวก็แต่ว่าจะมีวิธีการต่ำช้าที่ทำให้คนสะอิดสะเอียนมากกว่านี้ ยกตัวอย่างเช่นในกลุ่มพวกเด็กๆ ในตรอกที่อยู่ใกล้กับ ร้านเหล้า มีคนตายไปกะทันหัน

เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้เอ่ยออกมา

จั่วโย่วเอ่ยว่า “เว้นเสียแต่ว่าเฉินชิงตูออกหน้าเป็นพ่อสื่อสู่ขอให้ด้วยตัวเอง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

จั่วโย่วถาม “ทำไมถึงไม่ร้อนใจเลยสักนิด”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่กล้า แล้วก็ไม่ยินดีจะไปเร่งรัดผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วข้าก็ล้วนมีแผนการรับมือเสมอ”

จั่วโย่วถามต่อ “หมายความว่าอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “หากเป็นเพียงแค่คำพูด ไม่ต้องไปสนใจ เพราะควบคุมอะไรไม่ได้ หากมีการยื่นมือเข้ามา ข้าก็มีหมัดแล้วก็มีกระบี่ หากยังไม่พอ ก็ขอยืมจากศิษย์พี่”

จั่วโย่วพยักหน้ารับ คลี่ยิ้มน้อยๆ “ไม่เลว วิธีการที่เป็นรูปธรรม ข้าก็คร้านจะถามแล้ว เจ้าลองใคร่ครวญดูให้ละเอียด เรื่องไม่คาดฝันในกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะ เรียบง่ายและตรงไปตรงมาผิดปกติเสมอ จึงกลายเป็นเรื่องไม่คาดฝันที่ไม่คาดฝันมากเป็นพิเศษ”

“รู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ตอนนี้ไปขัดเกลาวิถีกระบี่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง มีกี่คน?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ความลับชั้นยอดเช่นนี้ ข้าไม่รู้หรอก”

จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้อะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “ข้ารู้แค่ชื่อแซ่ รากฐานโดยคร่าวๆ ของผู้ฝึกกระบี่เซียนดินและเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงบุคคลสำคัญ หนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคนของตระกูลใหญ่สิบกว่าตระกูลที่รวมต่ง เฉิน ฉีเป็นหนึ่งในนั้น แม้จะมีความหมายไม่มาก แต่ก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย”

จั่วโย่วกล่าวอย่างกังขา “เจ้าว่างขนาดนี้เชียว?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เป็นความเคยชินตามธรรมชาติ อีกทั้งเรื่องนี้ข้าเองก็ค่อนข้างเชี่ยวชาญ ไม่ถ่วงเวลาการฝึกหมัดและการฝึกตนเด็ดขาด ศิษย์พี่วางใจได้เลย”

จั่วโย่วถาม “เจ้าเอนเอียงไปทางสำนักการค้าและสำนักคำนวณหรือ?”

เฉินผิงอันอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “ไม่เคยสัมผัสกับตำราและความรู้ของสองสำนักนี้มาก่อน”

จั่วโย่วชำเลืองตามองเฉินผิงอัน ยิ้มกล่าวว่า “ความรู้ของสองสำนักนี้ แม้ว่า จะเป็นปลายแถวของสามลัทธิเก้าสำนัก ถูกลัทธิขงจื๊อดูแคลนและผลักไสมาก เป็นพิเศษ และเป็นอย่างนี้มานานมากแล้ว แต่ข้ารู้สึกว่าหากเจ้าจะอ่านตำราของ พวกเขาสองสำนักในระดับที่พอเหมาะสม ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพียงแต่ว่าอย่าดึงดัน มากเกินไปนัก ความรู้มากมายบนโลกใบนี้ แรกเห็นมักจะชวนตื่นตาตื่นใจอยู่เสมอ ส่วนใหญ่มักจะตื้นเขิน มองแรกๆ เหมือนกว้างใหญ่ไกลสุดลูกหูลูตา แล้วก็มักจะรกชัฏเหมือนกอวัชพืช หลังจากอ่านและทำความเข้าใจจนกระจ่างแล้วถึงได้รู้สึกว่าที่แท้ ก็มีแค่นี้เอง แต่ส่วนที่ต้องอ่านก็ยังต้องอ่านอยู่ดี กลัวก็แต่เจ้าอ่านเข้าไปแล้วจะออกมาไม่ได้ สามารถอ่านหลักการพื้นฐานในตำราอริยะปราชญ์ของเมธีร้อยสำนักเล่มหนึ่งออกมาได้ ก็จะได้รับผลเก็บเกี่ยวอย่างใหญ่หลวง”

เฉินผิงอันกุมหมัดคารวะ “ได้รับคำสั่งสอนแล้ว”

จั่วโย่วลุกขึ้นยืน “เว้นเสียแต่ว่าชมการต่อสู้ของนครทางทิศเหนือ ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว เซียนกระบี่จะไม่ใช้วิชาอภินิหารมองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาตรวจสอบความเคลื่อนไหวในนคร นี่ก็คือกฎที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เรื่องบางเรื่องต้องให้เจ้าจัดการด้วยตัวเอง แบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาเอาเอง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ข้าสามารถคอยช่วยจับตามองให้เจ้าได้ เจ้าคิดว่าเรื่องไหน? เจ้าหวังให้เป็นเรื่องไหนมากที่สุด?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย “ข้าอยากให้ศิษย์พี่ช่วยจับตามองพวกเด็กๆ ในตรอกที่อยู่ใกล้กับร้านเหล้า อย่าให้พวกเขาต้องมาตายเพราะข้า”

จั่วโย่วไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ แต่ถามอีกคำถาม “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เล็กที่สุดหรอกหรือ? ควรค่าให้ข้าจั่วโย่วจับตามองหรือไร?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ในสายตาของบัณฑิต โลกมนุษย์ไร้เรื่องเล็ก”

จั่วโย่วกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เฉินผิงอัน หากเจ้าเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์เร็วกว่านี้ ก็คงดี อาจารย์จะได้ไม่ต้องกลัดกลุ้มอยู่นานเป็นร้อยปี เจ้าสามารถดูแลถุงเงินของอาจารย์แทนข้าได้ เจ้าสามารถพูดคุยกับอาจารย์บ่อยๆ ได้ สิ่งเหล่านี้ข้าล้วน ไม่ถนัดเลย”

หัวข้อสนทนาแบบนี้ เฉินผิงอันไม่มีทางรับคำเด็ดขาด

จั่วโย่วพลันเอ่ยว่า “ปีนั้นอาจารย์กลายเป็นอริยะก็ยังคงมีคนด่าอาจารย์ว่าเป็น ตาเฒ่าปีศาจบุ๋น บอกว่าอาจารย์เหมือนคนที่ฝึกลมปราณจนกลายเป็นมาร อีกทั้ง ยังเป็นตบะที่แช่มาจากถังน้ำหมึก อาจารย์ได้ยินแล้วก็เอ่ยแค่สองคำ ประเสริฐยิ่ง”

เฉินผิงอันกล่าว “ราชสำนักต้าสุย หลังจากที่ฮ่องเต้สกุลเกาลงนามพันธมิตรขุนเขากับราชวงศ์ต้าหลี ประชาชนพากันเดือดดาล คำด่าหนึ่งในนั้นก็คือด่าว่า ศิษย์พี่เหมาคือปีศาจบุ๋น ตอนนี้ลองมานึกดูแล้ว ตอนนั้นศิษย์พี่เหมาคงจะดีใจ อย่างมาก”

จั่วโย่วไม่เอ่ยอะไรอีก

เฉินผิงอันจึงเงียบตามไปด้วย

เรื่องของการฝึกกระบี่ หากช้าได้เท่าไรก็ดีเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องกินจนอิ่มอยู่แล้ว

เฉินผิงอันพลันทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เขามองไปทางจั่วโย่ว

จั่วโย่วพยักหน้าให้ บอกเป็นนัยแก่เฉินผิงอันว่าสามารถพูดได้โดยไม่ต้องเกรงใจ

เฉินผิงอันจึงพูดโดยใช้เสียงในใจว่า “ศิษย์พี่คิดว่าจะมีเซียนกระบี่ในนครลอบจับตามองจวนหนิงอยู่หรือไม่?”

จั่วโย่วคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ต่อให้มี ก็ไม่มีทางนานนัก อาจมีแค่บางครั้ง เพราะถึงอย่างไรน่าหลันเย่สิงก็ไม่ใช่ชองประดับตกแต่ง น่าหลันเย่สิงคือผู้เชี่ยวชาญด้านการลอบฆ่า แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ถูกประเมินต่ำที่สุด เขาสามารถลอบฆ่าคนอื่น แน่นอนว่าต้องเชี่ยวชาญการแฝงตัวและการลอบตรวจสอบด้วย”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่อาเหลียงถ่ายทอดให้ข้า ข้าไม่เพียงแต่สอนให้เผยเฉียนลูกศิษย์ของข้า ยังสอนให้แก่เด็กหนุ่มธรรมดาคนหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปที่ชื่อว่าจ้าวซู่เซี่ย เขานิสัยดีมาก ไม่มีทางมีปัญหาแน่นอน เพียงแต่ว่าตอนนี้เด็กหนุ่มยังไม่ได้ไปที่ภูเขาลั่วพั่ว ข้ากลัวว่าจะเกิด… เรื่องไม่คาดฝัน!”

จั่วโย่วกล่าว “เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”

เฉินผิงอันโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก

มีศิษย์พี่ ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเดิมจริงๆ

จากนั้นจั่วโย่วก็เอ่ยว่า “พูดคุยมาหลายเรื่องขนาดนี้ ล้วนไม่ใช่เหตุผลที่จะทำให้เจ้า อืดอาดไม่ยอมฝึกกระบี่”

เฉินผิงอันอึ้งงันไร้คำพูด

เรื่องที่เจ้าตะพาบเว่ยจิ้นผู้นั้นขุดหลุมเล่นงานตน ล้วนไม่อาจเอามาอ้างเป็นเหตุผลได้

ด้วยนิสัยของศิษย์พี่ท่านนี้ เขาไม่มีทางรู้สึกว่านั่นคือเหตุผลอย่างแน่นอน

หากเขาพูดออกมาจริงๆ เรื่องการฝึกกระบี่ มีแต่จะยิ่งอนาถมากกว่าเดิม

ไม่ใช่สายเหวินเซิ่ง คาดว่าคงไม่อาจเข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้ได้

จั่วโย่วนั่งกลับลงไปบนหัวกำแพง แล้วก็เริ่มนั่งนิ่งๆ บำรุงปณิธานกระบี่ให้อบอุ่นต่อไป

เฉินผิงอันลองถามหยั่งเชิง “จะฝึกกระบี่อย่างไร?”

จั่วโย่วหลุดหัวเราะพรืด “ทำไม เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองก็ไร้เทียมทานแล้ว ยังต้องให้ข้าออกกระบี่อีกหรือไร?”

เฉินผิงอันเข้าใจแล้ว จึงถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะออกหมัดแล้วนะ?”

จั่วโย่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย หมัดแรกควรจะใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า เปิดฉากหรือไม่

คิดไม่ถึงว่าจั่วโย่วจะเอ่ยเนิบช้าขึ้นมาว่า “ภายในหนึ่งร้อยหมัด บวกกับกระบี่บิน หากสามารถเข้ามาใกล้ร่างข้าในระยะสามสิบก้าวได้ วันหน้าข้าจะเรียกเจ้าว่าศิษย์พี่”

จั่วโย่วไม่จงใจกดปราณกระบี่ของทั้งร่างไว้อีกต่อไป นาทีนั้นราวกับว่าฟ้าดินขนาดเล็กพลันขยายกว้าง เฉินผิงอันพลันไถลร่างถอยกรูดออกไปยี่สิบก้าวทันที

ไม่มากไม่น้อย ทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันสามสิบก้าวพอดี

ปราณกระบี่พุ่งมาปะทะใบหน้าประหนึ่งมีกระบี่บินที่จับต้องได้จริงจำนวนนับไม่ถ้วนบินล้อมวนอยู่เบื้องหน้า หากไม่เป็นเพราะพายุหมัดของทั้งร่างเฉินผิงอันไหลรินออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ คอยต้านทานปณิธานกระบี่เป็นเส้นๆ ที่ล้นออกมา จากปราณกระบี่ คาดว่าตอนนี้ทั้งร่างของเฉินผิงอันคงเต็มไปด้วยบาดแผลแล้ว เขาจำเป็นต้องถอยออกไปหลายก้าวอีกครั้ง คนถอย แต่ปณิธานหมัดกลับเพิ่มพูน

จั่วโย่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ร้อยหมัดผ่านไป หากข้ารู้สึกว่าเจ้าออกหมัดเกรงใจกันเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งออกกระบี่ให้ความเคารพศิษย์พี่อย่างข้ามากเกินไป ถ้าอย่างนั้นคราวหน้าเจ้าก็เตรียมไปฟ้องอาจารย์ได้เลย”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างฝืนๆ “ศิษย์พี่ ข้าไม่ใช่คนแบบนั้นสักหน่อย”

จั่วโย่วกล่าว “หลังจากฝึกวิชากระบี่ เจ้าไม่ใช่ก็ต้องใช่แล้ว”

เว่ยจิ้นที่ดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มเหล้าคือเว่ยจิ้นสองคน เว่ยจิ้นที่จิบเหล้าคำเล็กๆ กับกระดกดื่มคำใหญ่ก็คือเว่ยจิ้นอีกสองคน

เซียนกระบี่หนุ่มที่มาเยือนที่แห่งนี้เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์นับพันปีของ แจกันสมบัติทวีป อันที่จริงเขาที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ได้รับความนิยม อย่างมาก โดยเฉพาะการต้อนรับจากสตรี

เด็กสาวอาจไม่ชื่นชมเลื่อมใสเว่ยจิ้นเสมอไป เพราะถึงอย่างไรที่บ้านเกิดก็มี เซียนกระบี่อยู่มากมาย แม้จะบอกว่าเว่ยจิ้นยังหนุ่มอยู่มาก ได้ยินมาว่าอายุสี่สิบก็เป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว แต่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่อง แปลกประหลาดสักเท่าไร หากจะพูดถึงพลังพิฆาตของกระบี่บิน เว่ยจิ้นก็ยิ่งไม่โดดเด่น อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนี้ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ขอบเขตหยกดิบ พูดถึงเรื่องหน้าตา บุรุษตระกูลฉีนั้นขึ้นชื่อเรื่องความหล่อเหลา เว่ยจิ้นเองก็ไม่ถือว่ารูปงามที่สุด เพราะตระกูลของเฉินซานชิวก็ไม่แย่เหมือนกัน

ทว่าพวกสตรีโตเต็มวัยที่มีอายุมากหน่อยกลับพากันมาชอบเว่ยจิ้นพร้อมกัน โดยไม่ได้นัดหมาย บอกว่าเห็นเว่ยจิ้นดื่มเหล้าแล้วทำให้คนสงสารมากเป็นพิเศษ

ตอนที่เว่ยจิ้นไม่ดื่มเหล้า เขามักจะมีความกลัดกลุ้มกังวลอยู่เสมอ หลังจากจิบเหล้าไปสองสามจอก จะมีรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน แต่หลังจากดื่มไปมากเข้า สีหน้ากลับสดชื่นมีชีวิตชีวา

ดังนั้นสำหรับสตรีที่เคยเห็นเว่ยจิ้นดื่มเหล้ามาก่อน ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่มาจาก หอเทพเซียนศาลลมหิมะผู้นี้ก็คือเทพเซียนที่เดินออกมาจากลมหิมะจริงๆ

ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นสตรีแบบใดที่ทำให้เว่ยจิ้นปล่อยวางไม่ลงเช่นนี้

อาเหลียงที่ใจดำผู้นั้นจากไปก็มีเว่ยจิ้นผู้ลุ่มหลงในรักมาเยือนอีกคน นับว่าสวรรค์ยังพอมีคุณธรรมอยู่บ้าง

ส่วนจั่วโย่วผู้นั้นก็ช่างเถิด แค่มองนานหน่อยก็รู้สึกปวดตาแล้ว จะหาเรื่องลำบากใส่ตัวไปไย แล้วนับประสาอะไรกับที่จั่วโย่วเองก็ไม่ค่อยมาเดินเตร็ดเตร่ที่นครแห่งนี้ อยู่ห่างไกลเกินไปก็มองเห็นได้ไม่ชัด ถึงอย่างไรก็สู้เว่ยจิ้นที่มาดื่มเหล้าบ่อยๆ ซึ่งทำให้คนคิดถึงพะวงหาไม่ได้อยู่ดีไม่ใช่หรือ? ทุกครั้งที่เว่ยจิ้นดื่มหนักแล้วจะไม่สลายฤทธิ์สุราทิ้ง เขาจะทิ้งฤทธิ์เหล้าเอาไว้ เงาร่างที่ขี่กระบี่โซเซกลับไปยังหัวกำแพงเมือง นั่นต่างหากถึงจะชวนให้คนปวดใจด้วยความสงสาร

วันนี้เว่ยจิ้นที่มาดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้างดื่มไปค่อนข้างมาก โต๊ะหนึ่งตัว มีคนเบียดกันหลายสิบคน เว่ยจิ้นดื่มเหล้ามีข้อดีอยู่อย่างหนึ่ง เขาไม่เคยวางมาด หากไม่มีที่นั่ง จะให้นั่งเบียดกับคนสองสามคนบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งก็ได้ไม่มีปัญหา นี่คงเป็นความสามารถในการทำตัวกลมกลืนเข้ากับบรรยากาศซึ่งมีเพียงคนที่เคย ท่องยุทธภพล่างภูเขามาจนเคยชินถึงจะมีได้กระมัง ข้อนี้เซียนกระบี่ในพื้นที่ก็ดี ผู้ฝึกกระบี่ของทวีปอื่นก็ช่าง ล้วนไม่มีใครมีกลิ่นอายของยุทธภพที่เป็นธรรมชาติ ได้อย่างเว่ยจิ้น

สำหรับเฉินผิงอันที่ตอนแรกสุดที่ได้พบเจอกันยังเป็นเพียงเด็กหนุ่มผู้นั้น เว่ยจิ้น ไม่ถึงกับชอบหรือไม่ชอบ ตอนนี้ก็ยังนับว่าดี เพราะมีความชื่นชมเพิ่มขึ้นมา

แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียง เว่ยจิ้นไม่อาจไม่ชอบได้จริงๆ

ยิ่งอยู่ห่างไกล ยิ่งดื่มเหล้าไปมาก เว่ยจิ้นไปหลบอยู่ล่างภูเขา หลบอยู่ในยุทธภพ ก็ยังคงลืมไม่ลง

ตอนแรกคนหนึ่งอยู่ในสำนักโองการเทพ คนหนึ่งอยู่ในศาลลมหิมะ

จากนั้นคนหนึ่งอยู่ในอุตรกุรุทวีป คนหนึ่งอยู่ในแจกันสมบัติทวีป

สุดท้ายมาถึงตอนนี้ มารดามันเถอะ อีกคนอยู่ในใต้หล้าไพศาล อีกคนหนึ่งก็อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว

ผลกลับกลายเป็นว่านางยังอยู่ในจอกเหล้าของเว่ยจิ้น ต่อให้จะดื่มเหล้ามาก แค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ ดื่มไปจอกหนึ่ง เทจอกถัดไปเต็มแก้ว นางก็อยู่ในนั้นแล้ว

เว่ยจิ้นชูจอกเหล้าขึ้น ตะโกนถามเสียงดังว่า “เหตุใดคนที่ไม่ชอบเหล้าถึงได้ เมามายยากนัก?”

แล้วเว่ยจิ้นก็กระดกดื่มจนหมดจอก “คนที่หมักเหล้าคนแรกของโลกใบนี้ น่ารังเกียจที่สุด น่ารังเกียจเกินไปแล้ว”

เตี๋ยจ้างชินเสียแล้ว

ยามที่เซียนกระบี่เว่ยจิ้นดื่มเหล้าก็มักจะเป็นเช่นนี้บ่อยๆ เพียงแค่พูดพึมพำ กับตัวเองมากหน่อยเท่านั้น ไม่ได้เมาคลุ้มคลั่งจริงๆ ไม่อย่างนั้นร้านเหล้าเล็กๆ ไหนเลยจะต้านรับความบ้าคลั่งของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งได้

ตอนนี้ไม่มีคนร้องเรียกให้ไปเติมเหล้า เตี๋ยจ้างจึงแอบอู้งานด้วยการไปนั่งอยู่ บนธรณีประตู ถอนหายใจเบาๆ

เอาอีกแล้ว

เว่ยจิ้นยืนอยู่ที่เดิม รินเหล้าไม่หยุด กวาดตามองไปรอบด้านแล้วเริ่มดื่มคารวะ ไปทีและทิศ เรียกชื่อคนเสร็จก็ถึงเวลาดื่มคารวะ พอดื่มคารวะเสร็จก็บอกว่าทำไมเขาต้องดื่มคารวะ แน่นอนว่าพูดถึงเรื่องการเข่นฆ่าทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง บอกว่ากระบี่ไหนของพวกเขาที่ส่งออกไปยอดเยี่ยมที่สุด บางครั้งก็บอกให้อีกฝ่ายดื่มลงโทษตัวเอง ซึ่งก็พูดถึงเรื่องสงครามเหมือนกัน บอกว่ามีปีศาจตนใดที่สมควรฆ่า แต่ดัน ได้แค่ฟันให้มันปางตาย ไม่น่าให้อภัยตัวเองเลย

อยู่ดีๆ ร่างของเว่ยจิ้นก็หายวับไปพร้อมเสียงคำรามเดือดดาลที่ดังก้อง “ต่ำช้า!”

ในตรอกเล็กแห่งหนึ่ง กวอจู๋จิ่วเดินอืดเอื่อยอยู่ในนั้น

มีเด็กหนุ่มใบหน้าเหลืองตอบคนหนึ่งวิ่งอยู่ในตรอกก่อนหน้าที่นางจะเดินเข้ามา ฝีเท้าของอีกฝ่ายรีบเร่งคล้ายกำลังหลบหนีอะไรบางอย่าง คอยหันหน้ากลับมา มองด้านหลังเป็นระยะ พอเห็นกวอจู๋จิ่วก็ให้ลังเลเล็กน้อย ก่อนจะชะลอฝีเท้าลง แล้วยังขยับตัวแนบติดผนังไปตามจิตใต้สำนึก ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ คนมีเงิน ขอแค่ไม่ตายก็จะยิ่งมีเงินเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นตระกูลหนึ่งที่หากมี เซียนกระบี่ ตระกูลก็จะกลายเป็นตระกูลชนชั้นสูง คนยากจนที่อยู่ในนครแห่งนี้ แค่มองจากการแต่งกายก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายใช่ลูกหลานคนรวยหรือไม่

เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มรู้สึกว่ากวอจู๋จิ่วก็คือลูกหลานชนชั้นสูง อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้มองผิดจริงๆ ตระกูลกวอที่อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คือตระกูลอันดับต้นๆ นอกเหนือจากตระกูลใหญ่ชั้นสูงสุดพวกนั้น

ทะเลาะเบาะแว้งกับลูกหลานตระกูลใหญ่ จุดจบมักจะไม่ค่อยดีเสมอ ไม่ต้องให้อีกฝ่ายยกเอาที่พึ่งออกมา หากอีกฝ่ายคือผู้ฝึกกระบี่ ส่วนใหญ่แค่ลงมือด้วยตัวเอง ก็พอแล้ว

กวอจู๋จิ่วชะลอฝีเท้า กระโดดขึ้นลงอยู่สองที เห็นว่าด้านหลังเด็กหนุ่มคนนั้น มีคนวัยเดียวกันอีกสี่คนวิ่งตามเข้ามา ในมือของพวกเขาถือไม้กระบอง ร้องไล่เสียงดังโหวกเหวกท่าทางเดือดดาล

เด็กหนุ่มคงจะนึกว่ากวอจู๋จิ่วไม่เหมือนผู้ฝึกกระบี่ คาดว่าคงเป็นแค่คนมีเงินของถนนใหญ่ๆ ที่กินอิ่มว่างงานก็เลยมาเดินเล่นที่นี่เท่านั้น

เด็กหนุ่มจึงรู้สึกร้อนใจเล็กน้อย เขาหันไปโบกมืออย่างแรงให้กวอจู๋จิ่ว บอกเป็นนัย ให้นางรีบถอยออกไปจากตรอก

กวอจู๋จิ่วเกาหัว แล้วจึงหยุดเดิน พอหมุนตัวได้ก็ชักเท้าเผ่นหนีทันที

เรื่องของการวิ่งหนีนี้ นางถนัดที่สุด แล้วก็ชอบด้วย

น่าเสียดายที่พอถูกกวอจู๋จิ่วมาถ่วงเวลาไว้เช่นนี้ พวกคนวัยเดียวกันที่ถือไม้ ถือกระบองไล่ตามมาด้านหลังเด็กหนุ่มจึงตามมาทัน กระบองหนึ่งที่ไม่หนักไม่เบาฟาดเข้าที่ศีรษะของเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนนั้น เด็กหนุ่มที่เพิ่งจะหลบมาได้ก็เจอไม้ อีกท่อนหนึ่งเหวี่ยงเข้าแสกหน้า จึงได้แต่ใช้มือปกป้องศีรษะเอาไว้ หลบไปถอยไปด้วย ไม้หนึ่งฟาดเข้าที่แขน เจ็บจนเด็กหนุ่มหน้าซีดขาว แล้วก็ถูกเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ อีกคนหนึ่งถีบเข้าที่หน้าอก

เด็กหนุ่มใบหน้าเหลืองผอมตอบถอยหลังไปหลายก้าว มุมปากมีเลือดซึมออกมา เขาใช้มือหนึ่งพยุงผนัง เอียงศีรษะเบี่ยงหลบกระบองนั้นมาได้ก็หมุนตัวกลับวิ่งหนี หัวซุกหัวซุน

กวอจู๋จิ่วที่อยู่ตรงมุมเลี้ยวยื่นศีรษะออกมา รู้สึกว่าตนควรจะผดุงความเป็นธรรมได้แล้ว ไม่อย่างนั้นดูจากท่าทางแล้วก็น่าจะมีคนตายเข้าจริงๆ

การต่อยตีต่อสู้กันทั่วไป ต่อให้จะขากะเผลกหรือขาเป๋อะไร ไม่ว่าใครใน กำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ล้วนไม่สนใจ แต่หากฆ่าคนตาย ถึงอย่างไรก็มีให้เห็นได้น้อย กวอจู๋จิ่วเคยได้ยินผู้อาวุสในตระกูลบอกว่า คนที่ต่อยตีได้อย่างอำมหิตที่สุด แท้จริงแล้วไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ แต่เป็นเด็กหนุ่มในหมู่ชาวบ้านที่กำลังอยู่ในวัยเลือดร้อนทั้งหลาย และเวลานี้ก็คือเหตุการณ์ที่ว่านั่น

แบบนี้ไม่ได้หรอกนะ ตอนนี้นางกวอจู๋จิ่วเรียนวิชาหมัดมาแล้วก็คือคนในยุทธภพแล้ว กวอจู๋จิ่วจึงเดินกลับเข้ามาในตรอกอีกครั้ง

เด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนนั้นถูกเตะจนร่างปลิวกระเด็นไปอีกครั้ง แต่ถูกกวอจู๋จิ่ว ยื่นมือมาจับไหล่เอาไว้

สีหน้าของเด็กหนุ่มเฉยชา วินาทีนั้นเขาพลันหมุนตัวกลับ ขณะเดียวกันก็สะบัดข้อมือ มีดสั้นเล่มหนึ่งไถลออกมาจากชายแขนเสื้อ เขาพลิกมือกลับแล้วจ้วงแทง เข้าใส่นาง

กวอจู๋จิ่วยกข้อศอกขึ้นเบาๆ กระแทกข้อพับของแขนข้างที่ถือมีดนั้นให้หักงอลงโดยตรง

มืออีกข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มพลันกำเป็นหมัดแล้วปล่อยออกมา พายุหมัดสะเทือนรุนแรง พลังอำนาจดุจสายอสนี

พวกคนวัยเดียวกันที่ก่อนหน้านี้ซ้อมเด็กหนุ่มจนสภาพเหมือนหมาตกน้ำ แต่ละคนตกใจจนใบหน้าไร้สีเลือด พากันขยับตัวแนบชิดผนัง

กวอจู๋จิ่วเองก็มีสีหน้าเฉยชาไม่ต่างจากเด็กหนุ่มนักฆ่าผู้นั้น นางเองก็ปล่อยหมัดหนึ่งออกไป ใช้หมัดปะทะหมัด แขนทั้งข้างของเด็กหนุ่มนักฆ่าฉีกขาดจนกระดูกโผล่ สองแขนห้อยลู่ตกลง กวอจู๋จิ่วเบี่ยงตัวหันข้างเล็กน้อยขยับเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ใช้ไหล่กระแทกเข้าที่หน้าอกของเด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มนักฆ่าตายคาที่ทันที ร่างกระเด็นออกไป แต่กลับมีประกายแสงเส้นหนึ่งพุ่งวาบผ่านข้างหูของนักฆ่า พุ่งเข้ามาหา กวอจู๋จิ่วอย่างรวดเร็ว นั่นคือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งของผู้ฝึกกระบี่ มันพุ่ง เข้าหาหว่างคิ้วของกวอจู๋จิ่วโดยตรง

กวอจู๋จิ่วหันหน้าเบี่ยงหลบเล็กน้อย บนหน้าผากถูกกรีดเป็นรอยเลือดที่ลึกจนเห็นกระดูก

หันกลับมามองเด็กหนุ่มร่างสูงใหญ่ที่เรียกกระบี่ออกมา ตลอดทั้งศีรษะล้วนถูกแทงทะลุ เลือดเม็ดหนึ่งเริ่มมาก่อตัวตรงหน้าผาก ศพที่เอนหลังพิงกำแพงค่อยๆ ไถลลงมาที่พื้นช้าๆ

กวอจู๋จิ่วขมวดคิ้ว ยื่นฝ่ามือมาเช็ดหน้าผาก

เว่ยจิ้นที่ยืนอยู่หน้าปากซอยถอนหายใจโล่งอก เก็บกระบี่บินแห่งชะตาชีวิต มาเงียบๆ เซียนกระบี่จากศาลลมหิมะผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ที่แท้ตนก็ทำในสิ่งที่เกินความจำเป็น

ไม่เพียงแต่แม่นางน้อยที่แค่ตกใจแต่ไร้อันตราย สามารถรับมือกับการลอบฆ่า ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันนี้ได้

อีกอย่างก็คืออีกฝั่งหนึ่งของตรอกมีผู้เฒ่าหลังค่อมใบหน้าประดับรอยยิ้มคนหนึ่งเผยตัวขึ้น

เว่ยจิ้นผงกศีรษะให้อีกฝ่าย ผู้เฒ่าก็ยิ้มแล้วพยักหน้าทักทายกลับคืนเช่นกัน

เว่ยจิ้นจึงกลับไปที่ร้านเหล้า ดื่มเหล้าของตัวเองต่ออีกครั้ง

ผู้เฒ่าก้าวออกไปหนึ่งก้าว มาหยุดอยู่ข้างกายกวอจู๋จิ่ว ยิ้มกล่าวว่า “แม่หนูลวี่ตวน ใช้ได้เลยนี่นา”

เขาก็คือข้ารับใช้ของจวนหนิง น่าหลันเย่สิง

ว่าที่ท่านเขยเคยกำชับเขาไว้ว่า ขอแค่กวอจู๋จิ่วมาพบเขาเฉินผิงอัน หรือไม่ก็เดินเข้ามาในจวนหนิง ถ้าอย่างนั้นจนกว่าจะถึงนาทีที่กวอจู๋จิ่วย่างเท้าเข้าประตูใหญ่ของตระกูลกวอ ก็ล้วนจำเป็นต้องให้ท่านปู่น่าหลันช่วยดูแลแม่นางน้อยให้หน่อย

กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างลำพองใจว่า “ก็ใช่น่ะสิ เอาชนะพี่หญิงหนิงและพี่หญิงต่งไม่ได้ แต่ข้ายังจะสู้โจรตัวเล็กๆ แค่ไม่กี่คนไม่ได้ด้วยหรือ?”

แม่นางน้อยเดินไปข้างหน้าหลายก้าว มองเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งที่ตายตาไม่หลับ ขนาดกำลังจะตายสีหน้าก็ยังไม่สะทกสะท้านคนนั้นแล้วพูดบ่นว่า “เจ้าไม่รู้หรือว่า ข้าเพิ่งจะฝึกวิชาหมัดล้ำโลกมา? หืม?!”

น่าหลันเย่สิงยื่นนิ้วมาเคาะหน้าผากตัวเอง ปวดหัวจริงๆ

การลอบฆ่าที่ผ่านการวางแผนการมาเป็นอย่างดี ซึ่งเอามาใช้กับลูกหลานตระกูลใหญ่โดยเฉพาะเช่นนี้ ไม่ต้องหวังว่าจะโชคดีใดๆ อย่าได้คิดว่าจะสืบสาวเบาะแสไปพบเจอคนบงการ ไม่มีทางทำได้แน่นอน

ปีนั้นที่หอมายาเกิดคลื่นมรสุมลูกใหญ่ขนาดนั้น รากฐานมหามรรคาของคุณหนูเกือบจะถูกทำลายจนเสียหาย ยายเฒ่าป๋ายเลี่ยนซวงเองก็ต้องขอบเขตถดถอย เพราะเหตุนี้ เป็นเหตุให้แม้แต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสบนหัวกำแพงเมืองที่ไม่เคยสนใจเรื่องใดยังเดือดดาล ถึงขั้นออกคำสั่งด้วยตัวเองอย่างที่หาได้ยาก เรียกเจ้าประมุขสกุลเฉินให้ไปหาโดยตรงแล้วปล่อยกระบี่เข้าใส่ เจ้าประมุขสกุลเฉิน ที่บาดเจ็บรีบรุดกลับมาที่นครแล้วก็ระดมกำลังพลขนานใหญ่ ทำการตรวจค้นทุกบ้านทุกตระกูลในเมืองอย่างเข้มงวด หอมายาแห่งนั้นก็ยิ่งถูกพลิกค้นทั่วทุกมุม ผลลัพธ์สุดท้ายเป็นอย่างไร เรื่องก็ยังต้องจบลงอย่างค้างคาไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ว่ามีใครเกิดใจ เกียจคร้านหรือคิดจะขัดขวางจริงๆ เพราะไม่มีความกล้านั้นแม้แต่น้อย เพียงแต่เพราะหาเบาะแสไม่เจอสักเสี้ยวจริงๆ

ส่วนพวกเด็กหนุ่มชาวบ้านคนอื่นๆ ที่ทั้งสับสนทั้งหวาดกลัวเหล่านั้น ประวัติความเป็นมาของพวกเขาย่อมต้องตรวจสอบอยู่แล้ว แต่ก็หนีไม่พ้นทำให้แค่ พอเป็นพิธี แค่ให้มีคำอธิบายต่อตระกูลกวอก็เท่านั้น แน่นอนว่าตระกูลกวอก็ต้องระดมกำลังพล ใช้ทุกวิธีการและช่องทางที่มีขุดดินลึกลงไปสามฉื่ออย่างแน่นอน

หลังจากนี้การไปมาหาสู่ระหว่างหนิง กวอสองตระกูลคงจะเริ่มมีปัญหายุ่งยากแล้ว

แม่หนูลวี่ตวนคนนี้ ตามหลักแล้วสามารถกระโดดโลดเต้นอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้อย่างสบายใจ เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะนางเคยเป็นคนที่ ใต้เท้าอิ่นกวานหมายจะสืบทอดวิชาให้

ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้ตระกูลกวอจึงไม่ได้จงใจจัดหาอาจารย์กระบี่มาเป็น องค์รักษ์ให้นาง เพราะว่าไม่มีความจำเป็น

ริ้วคลื่นเล็กใหญ่ของมรสุมครั้งนี้และการกะน้ำหนักในการลงมือของอีกฝ่าย ชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง ราวกับว่าสำหรับพวกเขาแล้วแม่หนูลวี่ตวนผู้นี้จะฆ่าหรือไม่ฆ่า ก็ได้ จึงเป็นเหตุให้ยังไม่ได้ใช้หมากสำคัญที่แท้จริง

กวอจู๋จิ่วขมวดคิ้วมุ่น พูดอย่างอ่อนระโหยโรยแรงว่า “จบเห่แน่แล้ว ช่วงนี้ข้า อย่าหวังว่าจะได้ออกมาจากบ้านอีกเลย”

แล้วดวงตาของกวอจู๋จิ่วก็พลันเป็นประกาย หันหน้ามามองน่าหลันเย่สิง “ท่านปู่น่าหลัน ไม่สู้พวกเราทำลายศพ ถือเสียเวลาเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นดีกว่าไหม?”

น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “คิดมากไปหน่อยกระมัง แค่รอยแผลบนหน้าผากของเจ้า คิดว่าจะปกปิดได้อย่างไร? หรือจะบอกว่าเดินหัวกระแทกผนังเองอีก? อีกอย่าง เรื่องใหญ่ขนาดนี้ก็ควรบอกกล่าวแก่ตระกูลกวอสักคำ ข้าส่งกระบี่บินไปที่บ้าน ของเจ้าแล้ว เพราะฉะนั้นเจ้าก็รอโดนด่าเถอะ”

กวอจู๋จิ่วทอดถอนใจหนึ่งที “ท่านปู่น่าหลัน ท่านต้องบอกอาจารย์ข้าสักคำนะ ว่าช่วงนี้ข้าไม่สามารถมาเรียนวิชาหมัดกับเขาได้แล้ว”

น่าหลันเย่สิงยิ้มถาม “ท่านเขยของข้ายอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

กวอจู๋จิ่วคลี่ยิ้มกว้าง “นี่ก็เป็นแค่เรื่องที่รอให้อาจารย์นับนิ้วคำนวณเท่านั้น”

น่าหลันเย่สิงชี้ไปยังหน้าผากของแม่นางน้อย

กวอจู๋จิ่วหลุดหัวเราะพรืด “ไม่ต่างอะไรจากโดนฝนปรอยๆ !”

จากนั้นแม่นางน้อยก็ตัวสั่นเยือก พูดหน้าบูดว่า “โอ้ย เจ็บจริงๆ !”

เซียนกระบี่วัยกลางคนร่างกายสูงเพรียวคนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ในตรอกเล็ก พุ่งมายืนอยู่ข้างกายกวอจู๋จิ่วในเสี้ยววินาที เขาค้อมเอวก้มหน้าลง ยื่นมือมากดศีรษะของนางแล้วโยกเบาๆ เมื่อแน่ใจในอาการบาดเจ็บของบุตรสาวตัวเองแล้วก็ผ่อน ลมหายใจโล่งอก เศษซากปราณกระบี่ที่เหลืออยู่พวกนั้นไม่มีปัญหาอะไรมาก เขาจึงยืดเอวตรง ยิ้มกล่าวว่า “ยังเล่นสนุกไม่พอหรือ?”

กวอจู๋จิ่วแบฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา

กวอเจี้ยเซียนกระบี่ยิ้มกล่าว “กักบริเวณห้าปี?”

กวอจู๋จิ่วเอ่ยอย่างขลาดๆ “ห้าชั่วยาม ช่างเถอะ ห้าวันก็แล้วกัน”

กวอเจี้ยหุบยิ้ม

กวอจู๋จิ่วเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหุบนิ้วสี่นิ้ว เหลือแค่นิ้วโป้งนิ้วเดียว “หนึ่งปี!”

กวอเจี้ยชำเลืองตามองบาดแผลของลูกสาวตัวเองแล้วเอ่ยอย่างระอาใจว่า “รีบตามข้ากลับบ้าน ท่านแม่เจ้าร้อนใจจะตายอยู่แล้ว สรุปว่าจะเป็นหนึ่งปีหรือกี่ปี พูดกับข้าก็ไม่ได้ผลหรอก ไปอ้อนนางเอาเองเถอะ”

สุดท้ายกวอเจี้ยสบตากับน่าหลันเย่สิง ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ

จากนั้นผู้ถวายงานตระกูลกวอ และผู้ฝึกกระบี่ที่ดูแลเรื่องนี้โดยเฉพาะก็พากันมาถึงสถานที่เกิดเหตุ การกระทำทุกอย่างต่อจากนี้ล้วนมีขั้นตอนให้ทำตาม

น่าหลันเย่สิงไม่ได้ตรงกลับไปที่จวนหนิง แต่ไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มาก่อนรอบหนึ่ง

ไปที่จวนหนิง ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงไม่เชี่ยวชาญกับการจัดการเรื่องพวกนี้ ได้ยินข่าวก็มีแต่จะร้อนใจทำให้ไฟสุมทรวงนางเสียเปล่าๆ

ปรึกษาเรื่องนี้กับคุณหนูต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน ตลอดหลายปีมานี้หากเป็นเรื่องใหญ่ๆ ของจวนหนิงก็ล้วนเป็นคุณหนูที่เป็นผู้ตัดสินใจ เพียงแต่ว่าทุกวันนี้ จวนหนิงมีท่านเขยอย่างเฉินผิงอันอยู่ น่าหลันเย่สิงจึงไม่ต้องการให้คุณหนูแบ่งสมาธิมาสนใจกับเรื่องโสมมพวกนี้มากเกินไป แต่ท่านเขยกลับเป็นคนที่ไม่กลัวความวุ่นวายที่สุดและชอบที่จะคิดให้เยอะที่สุด แล้วนับประสาอะไรกับที่หากเป็นการตัดสินใจของท่านเขย คุณหนูต้องยอมรับฟังอย่างแน่นอน

อำพรางลมปราณไปตลอดทางจนกระทั่งมาถึงหัวกำแพงเมือง มีใครเขาฝึกวิชาหมัดและวิชากระบี่เช่นนี้กันบ้าง?

เห็นเพียงว่าเฉินผิงอันพลิกตัวกลับไปกลับมา ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้า ซึ่งแต่ละหมัดเพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี ขณะเดียวกันก็บังคับกระบี่บินของจริงสองเล่มและจำลองสองเล่ม รวมเป็นสี่เล่ม พยายามที่จะหาช่องว่างจากปราณกระบี่ ราวกับว่าขอแค่ขยับเดินไปข้างหน้าได้แค่ก้าวเดียวก็พอแล้ว

ดูท่าคงต้องใช้ยาวิเศษที่ช่วยให้เนื้องอกบนกระดูกของจวนหนิงอีกแล้ว

โชคดีที่คราวนี้ยายแก่ป๋ายนั่นไม่อาจโยนความผิดมาให้ตนได้

ปราณกระบี่รวมตัวอยู่ในระยะสามสิบก้าวรอบกายจั่วโย่ว แต่บางครั้งก็จะมีปราณกระบี่เสี้ยวหนึ่งพุ่งพรวดออกมา แต่ละครั้งจะลอยอยู่ตรงช่องโพรงลมปราณ ที่สำคัญถึงแก่ชีวิตของเฉินผิงอันครู่หนึ่ง จากนั้นก็หายวับไป

น่าหลันเย่สิงมองแล้วก็อดทอดถอนใจไม่ได้ว่า “เป็นคนเหมือนกัน เหตุใดถึงได้มีปราณกระบี่มากมายขนาดนี้ อีกทั้งยังเกือบจะหลอมปราณกระบี่ให้เป็นปณิธานกระบี่ได้แล้วด้วย”

จั่วโย่วไม่ได้สนใจผู้เฒ่าเลยแม้แต่น้อย เขาเก็บปราณกระบี่ไว้ในระยะสิบก้าว พูดกับเฉินผิงอันว่า “วันนี้พอแค่นี้ ออกหมัดใช้ได้ ออกกระบี่ตายตัวแล้วก็ช้า วันนี้ แค่ให้เจ้าปรับตัวให้ชินเท่านั้น การฝึกกระบี่ครั้งหน้าถึงจะถือว่าเป็นการเริ่มต้น อย่างเป็นทางการ อีกอย่าง วันนี้เท่ากับว่าเจ้าตายไปแล้วเก้าสิบหกครั้ง คราวหน้าพยายามตายให้น้อยหน่อย เป็นศิษย์พี่ที่แค่เอื้อมมือคว้าก็ได้มาครอง ยากขนาดนั้นเลยหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ไม่ได้เอ่ยอะไร

ยังมีหน้ามาถามข้าว่ายากหรือไม่ยากอีกหรือ?

ปราณกระบี่เข้มไม่เข้ม มากไม่มาก ศิษย์พี่ ในใจท่านจะไม่รู้เลยหรือ?

แล้วนับประสาอะไรกับที่ตอนนี้มองดูเหมือนนอกจากสองแขนสองหมัดแล้ว ช่องโพรงลมปราณผู้ฝึกตนของเฉินผิงอันจะไม่เป็นไร แต่ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย ทุกครั้งที่ปราณกระบี่ของจั่วโย่วมาหยุดลอยอยู่ มองดูเหมือนว่า ไม่เคยสัมผัสโดนช่องโพรงใหญ่ๆ แต่ละแห่งของเฉินผิงอัน แต่แท้จริงแล้ว ปณิธานกระบี่ที่อึมครึมกลับแทรกซอนเข้าไปในไขกระดูกนานแล้ว มันเข้าไป พลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทรอยู่ในช่องโพรงลมปราณ เวลานี้เฉินผิงอันสามารถพูดได้ โดยที่ตัวไม่สั่นก็ถือว่าแบกรับความเจ็บปวดได้เก่งพอตัวแล้ว

เฉินผิงอันก้าวออกไปไม่กี่ก้าวก็ขยับห่างไปหลายสิบจั้ง เขามาหยุดอยู่ข้างกายน่าหลันเย่สิง ถามเสียงเบาว่า “กวอจู๋จิ่วได้รับบาดเจ็บหรือไม่?”

น่าหลันเย่สิงกล่าว “ข้าจับตามองอยู่ตลอด จงใจไม่ลงมือ ให้แม่หนูนั่นได้แก้ไขปัญหาด้วยตัวเอง บาดแผลจึงไม่หนักนัก กวอเจี้ยรีบรุดมาเยือนด้วยตัวเอง ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก ถึงอย่างไรเขาก็คือกวอเจี้ย เพียงแต่ว่าปัญหาต่อจากนี้…”

เฉินผิงอันประกบสองนิ้วปาดลงด้านล่างเบาๆ หนึ่งที ประหนึ่งใช้กระบี่กรีดเส้นยาวๆ เส้นหนึ่ง แล้วส่ายหน้าเอ่ยว่า “ไม่ใช่ปัญหาแล้ว สำหรับจวนหนิงและตระกูลกวอแล้ว อันที่จริงนี่กลับเป็นเรื่องดี ลูกศิษย์อย่างกวอจู๋จิ่วผู้นี้ ข้ารับไว้แน่นอนแล้ว”

เฉินผิงอันบังคับเรือยันต์ออกมาแล้วย้อนกลับไปยังนครพร้อมกับน่าหลันเย่สิง

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ท่านปู่น่าหลัน ท่านสามารถขยับเข้าใกล้ร่างของศิษย์พี่ข้าได้ไหม?”

“แน่นอนว่าต้องได้!”

แล้วน่าหลันเย่สิงก็ยิ้มกล่าวว่า “จากนั้นข้าก็ตาย”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version