บทที่ 586 เชิญมาร่วมดื่มเหล้ากับข้าเฉินผิงอัน
หนิงเหยาเห็นเฉินผิงอันที่กลับมาจากหัวกำแพงเมืองก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก แต่หญิงชรากลับรู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาอีก คว้าตัวน่าหลันเย่สิงได้ก็ด่าเขาเสียจนไม่เหลือชิ้นดี
น่าหลันเย่สิงก็ไม่โต้เถียง เป็นคนก็ต้องยอมรับชะตากรรม
เซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่ต้องใช้ชีวิตอย่างน้อยเนื้อต่ำใจเช่นนี้ก็มีให้เห็นไม่บ่อยนัก
ผู้เฒ่าไปดื่มเหล้าแก้ความกลัดกลุ้มเพียงลำพัง
เฉินผิงอันคุ้นเคยกับการปรุงยารักษาบาดแผลเป็นอย่างดี กุญแจของสถานที่สำคัญอย่างคลังสมบัติห้องเก็บยาของจวนหนิง ป๋ายหมัวมัวก็มอบไว้ให้เขานานแล้ว
ระหว่างที่เดินไป เฉินผิงอันเล่าให้หนิงเหยาและป๋ายหมัวมัวฟังถึงเรื่องที่ กวอจู๋จิ่วถูกลอบฆ่า ทั้งเหตุและผลก็ล้วนเล่าอย่างครบถ้วน
หญิงชราบ่นพึมพำว่า เจ้าพวกคนชั่วช้ากลุ่มนี้ชอบรังแกเด็กนัก ไม่ควรได้ตายดีเลยจริงๆ
หนิงเหยาไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจนัก แม่นางน้อยไม่เป็นอะไร เรื่องอื่นๆ หนิงเหยา ก็ไม่ยินดีจะคิดมาก ถึงอย่างไรเฉินผิงอันก็ชอบครุ่นคิดอยู่แล้ว คนที่มีความสามารถ ก็ย่อมต้องเหนื่อยกว่าผู้อื่น
มีหนิงเหยากับว่าที่ท่านเขยอยู่แล้ว ป๋ายหมัวมัวจึงไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย เดี๋ยวนางจะหาโอกาสไปด่าเจ้าสุนัขเฒ่าน่าหลันอีกสักรอบ ก่อนหน้านี้คุณหนูกับท่านเขยล้วนอยู่ด้วย นางยังด่าได้ไม่สาแก่ใจพอ
เฉินผิงอันเลือกขวดกระเบื้องสามขวดมาอย่างคุ้นเคย เนื้อบนสองแขนฉีกเหวอะเปื้อนไปด้วยเลือด สองมือก็มีกระดูกขาวโผล่มาเกินครึ่ง เขายังต้องทายาที่สีสันแตกต่างกันให้กับตัวเอง ยาทั้งสามสีนี้มีลำดับก่อนหลัง และตอนที่พันแผลเขาก็ยังมีอารมณ์พูดสัพยอกตัวเองว่า “ตามคำกล่าวในการสร้างเครื่องปั้นเตาเผามังกรของ พวกเรา นี่เรียกว่าสามสีบนเครื่องเคลือบ ไม่ถือว่าเป็นสีเคลือบที่ราคาแพงอะไร ฮ่องเต้ต้าหลีแต่ละยุคสมัยก็มีน้อยคนนักที่จะเอามาใช้จริงๆ ส่วนใหญ่ล้วนนำมามอบให้เป็นของรางวัลแก่ขุนนางผู้มีคุณูปการมากกว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนหน้าอดีตฮ่องเต้ของต้าหลีชื่นชอบลวดลายดอกไม้ลายเส้น บวกกับการลงเส้นสีทองบนเครื่องเคลือบอย่างมาก นั่นต่างหากที่เรียกว่างดงามอย่างแท้จริง ขั้นตอนซับซ้อน ยากมากกว่าที่จะทำสำเร็จได้ งามก็จริง แต่ก็ดูบ้านๆ ด้วย พวกเราไม่เคยมีโอกาสได้เห็นเครื่องเคลือบชิ้นที่สมบูรณ์แบบมาก่อน ข้าแค่เคยเห็นเศษชิ้นส่วนของมันจากภูเขาเครื่องกระเบื้องเท่านั้น ลวดลายสีสันฉูดฉาดมากเลยล่ะ การสร้างมันขึ้นมานั้นมีขั้นตอนที่ซับซ้อนจนถึงขั้นที่ว่าในบรรดาเตาเผามังกรหลายสิบแห่ง มีเพียงผู้เฒ่าเหยาตอนยังเป็นหนุ่มเท่านั้นที่ทำได้”
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังกลัวว่าหนิงเหยาจะรังเกียจเรื่องยิบย่อยพวกนี้ คิดไม่ถึงว่า หนิงเหยาจะตั้งใจฟังมาก เฉินผิงอันจึงเล่าเรื่องน่าสนใจของชีวิตการเป็นลูกศิษย์ในเตาเผามังกรให้นางฟังมากกว่าเดิม
“ตอนที่เป็นลูกศิษย์ของที่นั่น หลิวเสี้ยนหยางมักจะลากข้าไปที่ภูเขา เครื่องกระเบื้องเป็นประจำ พอไปถึงที่นั่นเขาก็เลือกนั่นเลือกนี่ราวกับว่าพวกมันคือของล้ำค่าในบ้านตัวเอง เครื่องกระเบื้องเก่าใหม่ของแต่ละยุคสมัย เมื่อก่อนเคยเป็นภาชนะแบบใด ควรมีตราประทับแบบไหน ล้วนไม่ค่อยต่างจากเครื่องปั้นที่เขาปั้น กับมือมากนัก ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าทุกคนต่างก็ไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ เรื่องของการ เผาเครื่องปั้นนี้ก็จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์จริงๆ เมื่อกลายเป็นผู้ฝึกตนแล้วหันไปมองเรื่องพิณ ภาพวาด หมากล้อม พู่กันอีกครั้ง แน่นอนว่าความรู้สึกย่อมเปลี่ยนไป มองไปแค่ปราดเดียวก็เห็นตำหนิข้อด้อยมากมาย ช่องโหว่มีนับไม่ถ้วน
ไม่อาจต้านรับการทุบตีเล็กๆ น้อยๆ ได้เลย คำกล่าวที่ว่า ‘กลายเป็นคนบนภูเขา ฝันใหญ่ข้าสัมผัสได้ก่อน ถือเป็นเรื่องปกติ’ ช่างกล่าวได้ดีจริงๆ”
“บิดาของซ่งจี๋ซินกลับชอบความเรียบง่ายกว่ามาก เตาเผามังกรของพวกเรารับผิดชอบเผาภาชนะขนาดใหญ่ให้แก่ทางราชสำนัก ลูกศิษย์อย่างพวกเราจะเรียกลักษณะพิเศษหลายๆ อย่างของภาชนะหนักที่เชื้อพระวงศ์ใช้สอยเหล่านี้กันเองว่า หลังหนีชิว หญ้าเติงฉ่าวเกิงและหนวดแมว ตอนนั้นยังเดากันว่าตาเฒ่าฮ่องเต้ที่มีเงินมากที่สุดในใต้หล้าผู้นั้นจะรู้คำเรียกขานเหล่านี้หรือไม่ ได้ยินมาว่าโอรสสวรรค์หนุ่มของทุกวันนี้กลับกลายเป็นชอบเครื่องปั้นที่สีสันฉูดฉาดอีกแล้ว แต่เมื่อเทียบกับท่านปู่ของเขาก็ถือว่าเบากว่ามาก”
หนิงเหยายิ้มกล่าว “ทำไมเจ้าถึงจำเรื่องตั้งมากมายขนาดนั้นได้ ข้ากลับจำไม่ได้แล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ทำไมเจ้าถึงได้หลอกด่าคนอ้อมๆ แบบนี้ล่ะ?”
หนิงเหยามึนงง “ข้าด่าอะไรเจ้า?”
เฉินผิงอันกล่าว “ก็เจ้าไม่ได้กำลังบ่นว่าข้าไม่ตั้งใจฝึกตน ฝ่าทะลุขอบเขตช้าเกินไปหรอกหรือ?”
หนิงเหยางอนิ้ว เตรียมจะดีดลงบนข้างหนึ่งของเฉินผิงอันเบาๆ “หาเรื่องโดนตี”
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ รีบเบี่ยงตัวหลบ “สตรีทั่วไปเห็นข้า มีสภาพน่าอนาถขนาดนี้ ป่านนี้ก็ร้องไห้ดุจดอกสาลี่พรมน้ำฝนไปแล้ว เจ้ากลับดีนัก ยังจะเพิ่มน้ำค้างแข็งลงบนหิมะอีก”
หนิงเหยาหยุดเดิน “อ้อ? ข้าทำให้เจ้าน้อยใจใช่ไหม?”
เฉินผิงอันสีหน้าเป็นปกติ ประกบสองขาติดกันแล้วกระโดดไปเบื้องหน้า โคลงศีรษะพลางพึมพำกับตัวเองว่า “หนิงเหยาที่ข้าชอบจะเป็นสตรีทั่วไปได้อย่างไร”
หนิงเหยายกเท้าถีบเฉินผิงอันที่อยู่ด้านหน้า
เฉินผิงอันที่ถูกถีบเข้าที่ก้นไถลตัวไปข้างหน้า เอาหัวทิ่มพื้น เรือนกายพลิกกลับ หยุดยืนนิ่งอย่างสง่างาม หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “เจ้าอยากฝึกเรียนท่าฟ้าดินของข้าไหม?”
หนิงเหยาเดินไปข้างหน้าช้าๆ คร้านจะสนใจเขา
เฉินผิงอันพลิกตัวลงหยุดยืนอยู่ที่เดิม รอจนหนิงเหยาเดินมาเคียงไหล่ตนแล้ว ถึงได้เดินเล่นไปด้วยกันต่อ เขาถามเบาๆ ว่า “ผู้มีพรสวรรค์กลุ่มก่อนหน้าพวกเจ้า ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดกลุ่มน้อยที่มีอายุอยู่ระหว่างห้าสิบถึงหนึ่งร้อยปีพวกนั้นแข็งแกร่งมากหรือ? ข้าเคยเห็นแค่คนเดียวที่ร้านเตี๋ยจ้าง ผู้ฝึกกระบี่คอขวดก่อกำเนิด หวังจงผิง คนอื่นๆ ล้วนยังไม่เคยเจอมาก่อน”
หนิงเหยาไม่ได้รีบร้อนตอบคำถาม แต่ถามย้อนกลับว่า “ผู้ฝึกกระบี่ในยุคของพวกเรา มีผู้มีพรสวรรค์มากมาย คือช่วงเวลาอันดีงามที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นพันๆ ปี เรื่องนี้เจ้าเคยได้ยินมานานแล้ว คนสามสิบกว่าคน หลังผ่านศึกใหญ่ไปสองครั้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่ายังเหลืออยู่อีกกี่คน?”
เฉินผิงอันกล่าว “บวกกับคนหกคนอย่างพวกกวอจู๋จิ่วที่ยังไม่เคยไปเยือนทางใต้ของกำแพงเมือง สามสิบสองคน ตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่ยี่สิบสี่คน รบตายไปแปดคน ครึ่งหนึ่งตายในศึกอันวุ่นวาย จางหรงที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมที่สุดก็ยิ่งถูกปีศาจใหญ่ขอบเขตหยกดิบตนหนึ่งลอบสังหาร อาจารย์กระบี่ที่ช่วยปกป้องอยู่ข้างกายจางหรง ที่ช่วยเหลืออีกฝ่ายไม่สำเร็จก็รบตายไปพร้อมกันด้วย”
หนิงเหยามองเฉินผิงอัน ดูเหมือนนางจะไม่ค่อยอยากพูดอะไรสักเท่าไร ถึงอย่างไรเจ้าก็รู้หมดทุกเรื่องแล้ว ยังจะถามอีกทำไม มีหลายเรื่องที่นางจำไม่ได้แล้ว แล้วก็จำได้ไม่ชัดเจนอย่างเขาด้วย
เพียงแต่มองเฉินผิงอันที่ทำท่าทางน่าสงสารแล้ว หนิงเหยาถึงได้เอ่ยว่า “ข้าต้องฝึกตน สายๆ หน่อยจะมาเล่าให้เจ้าฟัง”
เฉินผิงอันกล่าว “ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปดื่มเหล้ากับท่านปู่น่าหลัน”
หนิงเหยาเพิ่มความเร็วฝีเท้า “ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันที่เดิมทีไม่ค่อยอยากดื่มเหล้า เวลานี้กลับนึกอยากดื่มเหล้าขึ้นมาจริงๆ แล้ว
หนิงเหยาไม่ได้หมุนตัวกลับ เพียงเอ่ยว่า “ดื่มให้น้อยหน่อย”
แม้ปากเฉินผิงอันจะตอบรับ และอันที่จริงเมื่อครู่นี้เขาก็ไม่ได้อยากดื่มสักเท่าไร ทว่าตอนนี้กลับอยากดื่มเยอะๆ ซะแล้ว
พอไปถึงเรือนที่พักของน่าหลันเย่สิง ผู้เฒ่ากำลังทอดถอนใจ ไม่ใช่ว่าดื่มเหล้าแล้วดับทุกข์ไม่ได้ แต่เป็นเพราะยายแก่นั่นเพิ่งจะจากไปหลังจากด่าเขาจนหนำใจนางแล้ว
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “ดื่มหน่อยไหม?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ผู้เฒ่าจึงรินเหล้าให้เขาถ้วยหนึ่ง ไม่กล้ารินเต็ม เพราะถึงอย่างไรว่าที่ท่านเขยก็ยังบาดเจ็บ กลัวว่ายายแก่นั่นจะมีข้ออ้างให้ด่าเขาอีก
สองแขนของเฉินผิงอันรัดผ้าพันแผลจนเหมือนบ๊ะจ่าง อันที่จริงเขาขยับไม่สะดวกนัก เพียงแต่ว่าเขาเป็นถึงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่าง จะดีจะชั่วก็ยังเรียนเวทคาถามาอยู่บ้าง จิตขยับเล็กน้อย บังคับเหล้าในถ้วยพาถ้วยขาวมาเบื้องหน้าตัวเอง แล้วก็เลียนแบบเฉินซานชิวด้วยการก้มหน้ากัดขอบถ้วยแล้วยกขึ้นมาเบาๆ ถ้วยเหล้าเอียงกระดกขึ้นเล็กน้อย เหล้าในถ้วยก็ไหลลงคอสู่ท้อง
น่าหลันเย่สิงคลี่ยิ้ม นี่ก็คือการเข้าเมืองตาหลิ่วหลิ่วตาตาม ดีมาก
เฉินผิงอันบ่นว่า “ท่านปู่น่าหลัน ทำไมถึงไม่ใช่ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ที่ร้านของพวกเราล่ะ”
น่าหลันเย่สิงยิ้มเอ่ย “ล้วนเป็นเหล้าที่เหลือเก็บไว้ในคลังของจวนหนิงปีนี้ ทุกๆ ต้นปีป๋ายหมัวมัวของเจ้าจะกำหนดจำนวนการดื่มที่แน่นอนมาให้ อีกเดี๋ยว ก็จะสิ้นปีแล้ว ในบ้านจึงเหลืออยู่แค่ไม่กี่ไห ปีหน้าจะไปช่วยสนับสนุนกิจการเจ้าแน่นอน ไม่ต้องให้ข้าพูด ป๋ายหมัวมัวของเจ้าก็ไปซื้อมาเก็บไว้หลายไหแล้ว”
เฉินผิงอันเอ่ย “ท่านปู่น่าหลันแปลกใจใช่ไหมว่า เหตุใดปราณกระบี่สิบแปดหยุดของข้าถึงได้พัฒนาไปอย่างเชื่องช้าเช่นนี้?”
น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับ “ตามหลักแล้วไม่ควรช้าขนาดนี้ถึงจะถูก เพียงแต่คุณชายเฉินไม่พูด ข้าก็ไม่สะดวกจะถามมาก”
เฉินผิงอันอธิบาย “ช่องโพรงลมปราณสำคัญหนึ่งในนั้นที่ปราณกระบี่ต้องผ่านทางไป ก็เหมือนกับบนโต๊ะเหล้าตัวนี้ ยังคงมีของเก่าเก็บไว้อยู่ด้านใน”
น่าหลันเย่สิงถามอย่างประหลาดใจ “ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของคนอื่นที่เคยเป็นของเซียนกระบี่ท่านหนึ่งแล้วคุณชายเฉินเอาไปเก็บไว้ชั่วคราวหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “คือปราณกระบี่เส้นหนึ่ง”
น่าหลันเย่สิงกล่าวอย่างตกตะลึง “ปราณกระบี่เส้นหนึ่ง?”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “คือปราณกระบี่ที่ ‘เล็กมากๆ ’ เส้นหนึ่ง เรื่องที่มากกว่านี้ ข้าไม่สะดวกจะพูดแล้ว”
จั่วโย่วเคยบอกว่ามีน่าหลันเย่สิงอยู่ข้างกาย อยากพูดอะไรก็ไม่ต้องกริ่งเกรง
ต่อให้มีเซียนกระบี่ในนครแอบใช้วิชามองภูเขาสายน้ำผ่านฝ่ามือมาลอบตรวจสอบจวนหนิง ก็จะต้องหลีกเลี่ยงอดีตขอบเขตเซียนเหรินอย่างน่าหลันเย่สิงผู้นี้แน่นอน
ในใจของน่าหลันเย่สิงตื่นตะลึงสุดขีด แต่กลับไม่ได้ถามมาก เขาชูถ้วยเหล้าขึ้น “ไม่พูดแล้ว ดื่มกันเถอะ”
ยามอยู่กับน่าหลันเย่สิง เฉินผิงอันไม่ได้มีพิธีการอะไรมากนัก ต่อให้ท่วงท่าการ ดื่มเหล้าไม่สุภาพ ในใจก็ไม่รู้สึกผิดอะไร
แน่นอนว่าน่าหลันเย่สิงก็ยิ่งไม่ถือสายิ่งกว่า ท่านเขยของตัวเอง ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็สบายตาสบายใจ วิชาหมัดสูง ฝึกกระบี่ไม่ช้า ความคิดรอบคอบ หน้าตา ก็หล่อเหลา ประเด็นสำคัญคือยังเคยเรียนหนังสือมาก่อน ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้นับว่าหายาก สมกับเป็นคู่สร้างคู่สมกับคุณหนูของตนจริงๆ ก็ไม่แปลกที่ ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงผู้นั้นจะปกป้องเขาทุกเรื่อง
ในขณะที่หนึ่งคนแก่หนึ่งคนหนุ่มกำลังดื่มเหล้า
หนิงเหยาเองก็นั่งอยู่กับป๋ายหมัวมัว พูดคุยเรื่องความในใจ
หญิงชรามองคุณหนูของตนแล้วยิ้มถาม “ท่านเขยฝึกวิชากระบี่กับศิษย์พี่ เจอความลำบากเล็กน้อย ถือเป็นเรื่องดี ไม่ต้องสงสารเขามากเกินไป ไม่ใช่ว่าทุกคน จะทำให้จั่วโย่วยอมถ่ายทอดวิชากระบี่ให้อย่างสุดความสามารถเช่นนี้ได้ หลายปีมานี้ได้ยินมาว่ามีคนฉลาดมากมายที่คอยสรรหาวิธีการใหม่ๆ มาใกล้ชิดเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้นั้น จั่วโย่วเย่อหยิ่งทระนงตน ไม่เคยสนใจ ตามความเห็นข้า จั่วโย่วไม่ได้ยอมรับ ในตัวตนลูกศิษย์เหวินเซิ่งของท่านเขยพวกเรา แต่ยอมรับว่าเขาเป็นศิษย์น้องเล็ก ของตัวเองอย่างแท้จริง ถึงได้ยินดีทำเช่นนี้”
หนิงเหยาส่ายหน้า นอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ “ไม่ใช่เรื่องนี้”
หญิงชราเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
หนิงเหยาขยับตัวลุกขึ้นนั่ง “เขาพูดจาน่าฟังได้มากมาย”
หญิงชราถาม “คุณหนูไม่ชอบหรือ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่ใช่ไม่ชอบ”
หญิงชราถามอีก “คุณหนูกังวลว่าเขาจะไปชอบคนอื่น”
หนิงเหยายังคงส่ายหน้า “ไม่ได้กังวล”
ในที่สุดหญิงชราก็อดไม่ไหวหัวเราะออกมา “เป็นเพราะรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไปมากเกินไป ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะยังยืนอยู่ที่เดิม กลัวว่ามีวันใดที่เขา จะเดินนำอยู่เบื้องหน้าของตัวเอง ไม่ใช่กลัวว่าเขาจะขอบเขตสูงกว่าหรือเดินไปได้ ไกลกว่า แต่กังวลว่าคนสองคนจะยิ่งไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน ใช่หรือไม่?”
หนิงเหยาที่ถูกพูดจี้ใจฟุบตัวลงนอนกับโต๊ะอีกครั้ง ท่าทางเหม่อลอย จากนั้นก็เอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเบาว่า “นับตั้งแต่เด็กข้าก็ไม่ชอบพูดคุย แต่เจ้าหมอนั่นกลับเป็นคนพูดมาก หลายเรื่องที่เขาพูด ข้าถึงขั้นไม่รู้ว่าควรจะรับคำอย่างไร หากเป็นอย่างนี้สักวันหนึ่ง เขาจะรู้สึกว่าข้าเงียบขรึมเกินไป แน่นอนว่าเขาจะยังชอบข้า แต่เขากลับจะไม่ชอบพูดคุยกับข้าอีกแล้ว”
หญิงชราขำจนแทบหยุดไม่อยู่ เพียงแค่ไม่ได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาก็เท่านั้น นางถามว่า “ทำไมคุณหนูไม่พูดเรื่องพวกนี้ไปตรงๆ ล่ะ?”
หนิงเหยาพูดอย่างขุ่นเคือง “ไม่อยากพูด เขาฉลาดขนาดนั้น ทุกวันเอาแต่ชอบคิดเรื่องอะไรไปเรื่อย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดหมด จะไม่รู้เชียวหรือ?”
หญิงชราเอ่ยสัพยอก “โชคดีที่ไม่ได้พูด ไม่อย่างนั้นท่านเขยของพวกเราคงน้อยใจแย่ จิตใจของสตรีก็เหมือนเข็มใต้มหาสมุทร ท่านเขยไม่ใช่หมอดูล่วงรู้เหตุการณ์ ไม่ใช่ เทพเซียนที่คำนวณทุกเรื่องราวได้อย่างแม่นยำเสียหน่อย”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ อารมณ์เริ่มดีขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ดีมากสักเท่าไร
หญิงชราไม่รีบร้อน
เพราะว่าความกลัดกลุ้มเล็กๆ น้อยๆ พวกนี้
คาดว่าคงจะมีได้แค่ยามที่ชอบใครคนหนึ่งอย่างแท้จริงเท่านั้นกระมัง
ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้
บนหัวกำแพงเมือง ยามจื่อผ่านพ้นไป เว่ยจิ้นมายืนอยู่ข้างกายจั่วโย่ว ดื่มเหล้าภูเขาชิงเสินกาหนึ่งที่ยากเย็นนักกว่าจะซื้อมาได้ ที่ร้านจะขายแค่วันละหนึ่งกา เขาซื้อมาได้ก็หมายความว่าวันนี้ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ไม่มีหวังแล้ว
เว่ยจิ้นยิ้มถาม “ก่อนเฉินผิงอันจะฝึกกระบี่ได้บอกหรือไม่ว่าข้าแกล้งเขา?”
จั่วโย่วส่ายหน้า “มีแต่จะโดนซ้อมเปล่าๆ ศิษย์น้องเล็กคนนี้ของข้าไม่มีทางทำหรอก”
เว่ยจิ้นกล่าวอย่างระอาใจ “ฉลาดขนาดนี้เชียวหรือ?”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “อาจารย์เคยเล่าว่า กระบี่หนึ่งของเจ้า และกระบี่หนึ่งของข้า ที่ร่องเจียวหลงต่างก็มีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงต่อเฉินผิงอัน”
เว่ยจิ้นอึ้งตะลึง ก่อนจะพยักหน้ารับ “ในอดีตข้าไปตามนัดของผู้อาวุโสอาเหลียงที่เรือนผีสาวสวมชุดแต่งงาน กระบี่ไปถึงก่อนคน แล้วก็ได้พบกับเฉินผิงอันที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กหนุ่ม”
จั่วโย่วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “เจ้ารู้สึกว่าเพราะถูกความรักถ่วงรั้งไว้ ทำให้อืดอาดชักช้า ยากที่จะออกกระบี่ได้อย่างบริสุทธิ์ คนก็ยิ่งยากที่จะเดินขึ้นไป บนยอดเขาใช่ไหม?”
เว่ยจิ้นพยักหน้ารับ “มีความกังวลนี้อยู่จริง และความจริงก็เป็นเช่นนี้”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คิดผิดแล้ว ผิดมหันต์เลยล่ะ”
เว่ยจิ้นเก็บกาเหล้าลงไป ขยับนั่งตัวตรงอย่างสำรวม “ยินดีจะรับฟังคำสั่งสอนจากผู้อาวุโสจั่ว”
จั่วโย่วกล่าว “ผู้ฝึกกระบี่ฝึกกระบี่ ให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด?”
เว่ยจิ้นส่ายหน้า “คำตอบมากมายในใจข้าย่อมไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสคิดไว้ อย่างแน่นอน”
จั่วโย่วยกมือขึ้นทำเป็นท่ากุมกระบี่ “คือคนกุมกระบี่ เป็นเหตุให้เวทกระบี่สูงแค่ไหน วิถีกระบี่กว้างใหญ่เท่าไร สำหรับผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเราแล้วก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก ต่อให้ในมือเจ้าจะกุมกระบี่เซียนทั้งห้าเล่มในตำนานเอาไว้ ไม่ว่าขอบเขตของเจ้า ในเวลานี้จะคืออะไร จะใช่เซียนกระบี่หรือไม่ เจ้าต่างหากถึงจะเป็นผู้ที่กุมกระบี่”
จั่วโย่วดึงมือกลับ หันหน้ามาเอ่ยว่า “หากเพียงแค่ชอบสตรีคนหนึ่งก็ออกกระบี่ไม่ได้แล้ว จะถือว่าเป็นเซียนกระบี่ได้อย่างไร? เจ้าเว่ยจิ้นก็แค่มีคุณสมบัติในการฝึกกระบี่ที่ดี ถึงได้มีขอบเขตหยกดิบ นานวันเข้า หากอาศัยเพียงแค่พรสวรรค์และคุณสมบัติเพียงอย่างเดียว พวกมันก็ไม่สามารถประคับประคองให้เจ้าเดินไปสู่จุดสูงได้ ข้าแน่ใจเลยว่า หากเจ้าไม่ยอมฝ่าด่านในใจไปให้ได้เสียที ผลสำเร็จในท้ายที่สุดของเจ้าจะธรรมดามาก และวันหน้าก็ไม่ต้องมาพูดคุยกับข้าแล้ว”
เว่ยจิ้นกระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ พึมพำว่า “แต่ผู้น้อยก็ยังคงรู้สึกว่า บนโลกนี้ มีเพียงความรักชายหญิงเท่านั้นที่ยาวยิ่งกว่าปราณกระบี่ ข้าตัดใจสะบั้นมันให้ขาด ไม่ลง ถึงขั้นไม่ยินดีจะทิ้งมันไป คิดถึงนางก็ดื่มเหล้า เลอะๆ เลือนๆ ดั่งคนที่ถูกผีบังตาอยู่ในภูเขา เมื่อเทียบกับการที่ต้องขาดคนที่ชอบไปหนึ่งคน ได้ดื่มเหล้าน้อยลงไป จากเดิม แล้วสะพายกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูง สำหรับข้าแล้วกลับกลายเป็นว่าแบบนั้น ดียิ่งกว่า”
จั่วโย่วส่ายหน้า “แบบนี้ก็ไร้ทางเยียวยาแล้ว”
เว่ยจิ้นถามหยั่งเชิง “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าผู้น้อยก็ไม่สามารถมาพูดคุยกับผู้อาวุโสได้อีกแล้วใช่ไหม?”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่เว่ยจิ้นไสหัวไปให้ไกล ผีขี้เหล้าเว่ยจิ้นสามารถมาบ่อยๆ ได้”
เว่ยจิ้นหัวเราะเสียงดังกังวาน กระดกเหล้าดื่มคำใหญ่ เตรียมจะถามว่าในใต้หล้าทั้งสี่นี้ มีกระบี่เซียนทั้งหมดสี่เล่ม นี่เป็นเรื่องจริงที่คนทั้งโลกล้วนรู้กันดี เหตุใด จั่วโย่วถึงได้บอกว่ามีห้าเล่ม?
เต๋าเหล่าเอ้อร์แห่งใต้หล้ามืดสลัวมีกระบี่เซียนหนึ่งเล่ม เทียนซือใหญ่แห่งภูเขามังกรพยัคฆ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางได้ครอบครองเล่มหนึ่ง และยังมีบัณฑิต ที่ถูกขนานนามว่าเป็นที่ภาคภูมิใจที่สุดของโลกมนุษย์ผู้นั้นที่ได้ครอบครองเล่มหนึ่ง นอกจากนี้แล้วก็เล่าลือกันว่าหอสยบกระบี่หนึ่งในเก้าหอพิทักษ์เมืองของ ใต้หล้าไพศาล ได้สยบกำราบกระบี่เซียนเล่มสุดท้ายเอาไว้ ใต้หล้าทั้งสี่แห่งกว้างใหญ่ไพศาลถึงเพียงไหน ทว่าอาวุธเซียนก็ยังคงมีอยู่ไม่มาก แต่ก็ไม่ถือว่าน้อย แต่ก็มีเพียงกระบี่ที่คู่ควรกับคำว่า ‘กระบี่เซียน’ เท่านั้นที่ตลอดหมื่นปีมานี้มีอยู่แค่สี่เล่ม ไม่มีทางมีเพิ่มได้อีก
เพียงแต่ว่ารอจนเว่ยจิ้นดื่มเหล้าหมดแล้วถามคำถามนี้อีกครั้ง เขาก็ต้องออกมาจากหัวกำแพงเมืองแห่งนี้แล้ว
เพราะเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสมาแล้ว
เว่ยจิ้นคารวะบอกลาแล้วออกมาจากหัวกำแพงเมือง
เฉินชิงตูยืนอยู่ริมกำแพง “แปลกใจมากใช่ไหมที่ตัวเองมีศิษย์น้องเล็กที่เป็นเช่นนี้ได้?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ แต่กลับไม่ได้เอ่ยอะไร
เด็กหนุ่มจ้าวเกาซู่ได้เรียนวิชากระบี่สิบแปดหยุด
ตอนนั้นจั่วโย่วใช้ปราณกระบี่ตัดขาดจากฟ้าดิน แล้วเฉินผิงอันก็เปิดปาก เอ่ยประโยคนี้ออกมา
ในความเป็นจริงแล้วตอนนั้นเฉินผิงอันใช้เสียงในใจพูด แต่กลับเอ่ยอีกชื่อหนึ่ง จ้าวซู่เซี่ย
อายุน้อยๆ ก็ระมัดระวังได้ถึงขั้นนี้ ขนาดจั่วโย่วยังรู้สึกตกตะลึงนิดๆ
สำหรับการที่เซียนกระบี่จั่วโย่วเพียงแค่พยักหน้ารับแต่ไม่เอ่ยอะไรซึ่งมองดูเหมือนไม่ให้ความเคารพกันมากพอนี้ ผู้เฒ่าเองก็ไม่ได้ถือสา หากแม้แต่ความเย่อหยิ่งน้อยนิดแค่นี้ของจั่วโย่วเขายังให้อภัยไม่ได้ เซียนกระบี่มากมายที่อยู่นครทางเหนือและบนหัวกำแพงแห่งนี้ อยู่ภายใต้กระบี่ของเขาเฉินชิงตู จะยังมีคนรอดชีวิตได้สักกี่คน?
และจั่วโย่วก็ไม่แปลกใจที่เฉินชิงตูรู้เรื่องนี้
อยู่เหนือหัวกำแพงเมืองใต้ฝ่าเท้าของทั้งสองฝ่าย เฉินชิงตูก็คือบุคคลที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน คาดว่าคงเป็นรองแค่ยามที่ปรมาจารย์มหาปราชญ์อยู่ในศาลบุ๋น มรรคาจารย์เต๋าเฝ้าพิทักษ์ป๋ายอวี้จิง และศาสดาพุทธประทับแท่นดอกบัวก็เท่านั้น
และนี่ก็คือจุดที่จั่วโย่วจนใจมากที่สุด
แต่ขณะเดียวกันนี่ก็เป็นจุดที่ทำให้จั่วโย่วเคารพเลื่อมใสผู้เฒ่าท่านนี้ที่สุดเช่นกัน
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างพยายามจะโจมตีกำแพงเมืองมานานเป็นหมื่นปี แต่เพราะเหตุใดกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงยังตั้งตระหง่านไม่ล้มลง?
เหล่าปีศาจใหญ่ของตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างล้วนรู้กันดีอยู่แก่ใจว่า ขอแค่เป็นวันหนึ่งที่เฉินชิงตูยังไม่ตาย ต่อให้ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่จะไม่เหลืออยู่แล้ว พวกเขาก็ยังคงไปเยือนภูเขาห้อยหัว ไปเยือนใต้หล้าไพศาลไม่ได้อยู่ดี
แล้วก็มีเพียงเฉินชิงตูเท่านั้นที่สยบเหล่าผู้ฝึกกระบี่จอมพยศเย่อหยิ่งทางเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่มาได้นานเป็นหมื่นปี
มีเพียงผู้เฒ่าคนนี้ที่สามารถเอ่ยประโยคว่า ‘เจ้าอายุยังน้อย ข้าถึงใจกว้างยอมอภัย’ กับอิ่นกวานได้
เฉินชิงตูเอ่ย “รอให้ปัญหาน้อยใหญ่ในนครผ่านไปก่อน เจ้าบอกให้เฉินผิงอัน มาพักที่กระท่อม ตั้งใจฝึกกระบี่ให้ดี เมื่อไหร่ที่เขากลายเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างสมชื่อแล้ว ข้าก็จะออกจากหัวกำแพงเมือง ไปช่วยเขาสู่ขอภรรยาด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นข้าก็ ไม่มีหน้าจะเปิดปากนี้ จะให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสคนหนึ่งแหกกฎทำเรื่องที่ ไม่เคยทำ เหล้าหนึ่งร้าน โรงเรียนเล็กๆ หนึ่งแห่ง ยังซื้อไม่ได้หรอก”
จั่วโย่วเอ่ย “ต้องดูที่ความต้องการของเขา หากถึงเวลานั้นเจ้าไม่ไปตระกูลเหยา ข้าจะไปเอง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แบบนี้ไม่ประเสริฐแล้วนะ ไม่ว่าอาจารย์ของเจ้าอยู่ที่นี่ หรือศิษย์น้องเล็กของเจ้าที่อยู่ที่นี่ ก็ล้วนไม่มีทางพูดเช่นนี้”
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “เจ้าเองก็จับตามองพวกเด็กๆ ของตรอกเก่าโทรมแถวร้านเหล้าด้วยหรือ? เฉินชิงตูที่ไม่เคยสนใจเรื่องอะไร กลับสนใจเรื่องแบบนี้ด้วย?
“ทำไมเล่า?”
เฉินชิงตูย้อนถาม “เวทกระบี่ของข้าสูงกว่าเจ้า ปณิธานกระบี่สูงกว่าเจ้า วิถีกระบี่สูงกว่าเจ้า ความรู้ก็ใหญ่กว่าเจ้า ขนาดเจ้ายังเก็บมาใส่ใจ แล้วข้าจะมองให้มากหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”
จั่วโย่วสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าทนเจ้ามาสองครั้งแล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มบางๆ “จุดที่ปราณกระบี่ยาวที่สุดก็ยังสู้คนอื่นไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องอดทนไปเสียแต่โดยดี”
จั่วโย่วหัวเราะเสียงเย็น “สามครั้ง”
เฉินชิงตูถาม “รู้หรือไม่ว่าทำไมข้าถึงยินดีจับตามองการสอนหนังสือทางฝั่งตรอกแห่งนั้นมากหน่อย?”
จั่วโย่วสีหน้าเฉยชา “นี่เกี่ยวพันกับปัญหาที่ใหญ่ที่สุดข้อหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ออกกระบี่มาหมื่นปี สังหารศัตรูมาหมื่นปี ยิ่งนานก็ยิ่ง มีคนมากขึ้นที่ไม่รู้ว่าสรุปแล้วทำไปเพื่ออะไร เหตุใดถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา แล้วเหตุใดถึงต้องตายไป”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ มองไปทางแสงตะเกียงของนครทางทิศเหนือ ตรงจุดที่เป็นบ้านของชนชั้นสูง แสงไฟสว่างเรืองรองราวกับเวลากลางวัน จุดที่เป็นตรอกเก่า โทรม มืดสนิทไปทั้งแถบ จุดที่สองสถานที่เชื่อมติดกันมีแสงสว่างประปราย
“เป็นตายเพื่ออะไร ถือว่ายังพูดง่าย เพราะถึงอย่างไรใจเห็นแก่ตัวก็เข้มข้น ยากที่จะทำให้คนรู้สึกได้อย่างแท้จริง”
สีหน้าของเฉินชิงตูเปลี่ยวเหงา “ข้าหวังมาตลอดว่าทางฝั่งนั้นจะมีคนที่ลงมือทำเอง คิดเอง และรู้สึกได้ด้วยตัวเอง รู้ต้นสายปลายเหตุ ที่มาของประวัติศาสตร์ทั้งหมด รู้ว่าตัวเองและคนในอดีตต้องจ่ายค่าตอบแทนแบบใดกันแน่ถึงยังคงสามารถทำให้ ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่บนโลกซึ่งต่อให้จะเคียดแค้น น้อยเนื้อต่ำใจหรือ เดือดดาลแค่ไหน ก็ยังคงออกกระบี่ คนและกระบี่ล้วนมุ่งไปทางทิศใต้ ตายก็คือตาย”
ผู้เฒ่ายื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้นช้าๆ “แสงไฟในโลกมนุษย์ มีจุดแรกก่อน หนึ่งกำเนิดสอง สองกำเนิดสาม สามรวมกันเป็นธารดวงดาวสายใหญ่”
จั่วโย่วส่ายหน้า “ช้าไปแล้ว แพ้แล้ว”
เฉินชิงตูยิ้มเอ่ย “จั่วโย่วเอ๋ย ข้อนี้เจ้าก็สู้ศิษย์น้องเล็กของเจ้าไม่ได้แล้ว รู้ดีอยู่แก่ใจว่าแม้จะไร้ประโยชน์ ยากจะเปลี่ยนแปลงจุดจบที่ถูกกำหนดมาแล้ว แต่ก็ยังอดทน ที่จะทำมัน”
จั่วโย่วไม่พูดไม่จา
เฉินชิงตูยิ้มถาม “สี่ครั้งแล้ว?”
จั่วโย่วเอ่ย “เปล่า”
เฉินชิงตูพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ซ้อมเจ้าแล้ว เหลือศักดิ์ศรีไว้ให้เจ้าบ้าง วันหน้าเวลาที่ถ่ายทอดวิชากระบี่ให้ศิษย์น้องตัวเองจะได้ไม่ต้องรู้สึกอึดอัดขัดเขินนัก”
จั่วโย่วกล่าว “ตอนนี้คือสี่ครั้งแล้ว”
เฉินชิงตูเอามือไพล่หลังเดินจากไป เพียงทิ้งประโยคหนึ่งเอาไว้ว่า “เมื่อเทียบกับการพูดคุยกับเจ้าแล้ว ข้ายังชอบฟังเฉินผิงอันพูดมากกว่า”
จั่วโย่วครุ่นคิด
ดูเหมือนว่าศิษย์น้องเล็กผู้นั้นจะเป็นที่รักใคร่เอ็นดู มีชะตาต้องกับพวกผู้อาวุโสมากกว่า
……
ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันเดินเล่นมาถึงแท่นสังหารมังกร หนิงเหยายังคงฝึกตน เฉินผิงอันจึงเดินไปบนลานประลองยุทธ แค่เดินเล่นเท่านั้น เดินวนเป็นวงกลม ในขณะที่จะเดินครบเต็มวง ฝีเท้าของเขาก็ขยับเบี่ยงออกไปด้านข้างเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเป็นวงกลมที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หนิงเหยามาหยุดอยู่ข้างกายเขา เฉินผิงอันเองก็ไม่ประหลาดใจ
วิธีการอำพรางตัวของน่าหลันเย่สิง หนิงเหยาเรียนรู้จนเป็นมาตั้งนานแล้ว
ตลอดหลายปีมานี้ วัตถุที่หนิงเหยาหล่อหลอมไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ก่อนกำเนิดที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดเล่มนั้น แต่เป็นวัตถุอีกอย่างหนึ่ง
แต่ต่อให้หนิงเหยาแค่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาก็มากพอจะทำให้นางสังหารพวกผังหยวนจี้ ฉีโซ่วแล้วคว้าชัยชนะมาได้อย่างมั่นคงแล้ว
นี่เป็นเรื่องที่หนิงเหยาเล่าให้ฟังตอนที่เฉินผิงอันคุยกับนางก่อนหน้านี้ ตอนที่เล่านางมีท่าทางสบายๆ เป็นธรรมชาติ แต่สายตากลับจับจ้องเฉินผิงอันเขม็ง
ตอนนั้นเฉินผิงอันกำลังคิดจะยื่นมือไปวางบนหลังมือของนาง จึงได้แต่หดมือกลับเงียบๆ จากนั้นก็ยกมือขึ้นพร้อมหัวเราะเก้อๆ ยกมือขึ้นพัดเอาลมใส่ตัวต่างพัด
คนทั้งสองเดินกันไปทางศาลา
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิอยู่ข้างกายหนิงเหยา
หนิงเหยาคุยเรื่องบทสนทนาเมื่อตอนกลางวันต่อ “คนรุ่นของหวังจงผิง ช่วงแรกเริ่มสุดสามารถรวบรวมได้ประมาณสิบคน เมื่อเทียบกับพวกเราแล้ว ไม่ว่า จะเป็นอายุหรือว่าพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ล้วนเป็นรองอยู่มาก หนึ่งในนั้นคือ หมี่ชวนที่เดิมทีน่าจะมีผลสำเร็จบนมหามรรคาสูงที่สุด น่าเสียดายที่หมี่เฉวียนออกจากเมืองลงสนามรบครั้งแรกก็ตายแล้ว ตอนนี้เหลืออยู่แค่สามคน นอกจากหวังจงผิงที่บาดเจ็บสาหัส ติดร่างแหเดือดร้อนจากศึกของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินสองท่าน ที่มีทั้งฝั่งคนของตัวเองและฝั่งของศัตรู ทำให้ค้างอยู่ที่คอขวดก่อกำเนิดมาโดยตลอด ไม่อาจเดินหน้ามาหลายปีแล้ว ก็ยังมีหวังเวยและซูยง อันที่จริงคุณสมบัติก่อนกำเนิดของซูยงดีกว่าหวังจงผิงที่ปีนั้นอยู่ในลำดับรั้งท้ายเสียอีก แต่จิตแห่งกระบี่ไม่มั่นคง และบริสุทธิ์มากพอ เคยร่วมศึกใหญ่ก็จริง แต่กลับจงใจร่วมการต่อสู้เล็กๆ น้อยๆ ไม่กล้าทุ่มสุดชีวิตของตัวเอง มักจะคิดว่าหากฝึกตนอย่างสงบก็จะมีชีวิตอยู่ได้เป็น ร้อยปี แล้วก็จะสามารถเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนไปทีละก้าวได้อย่างมั่นคง
ถึงเวลานั้นค่อยทุ่มเทฝีมือในการเข่นฆ่า ผลกลับกลายเป็นว่าในศึกฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิดที่อันตรายที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ซูยงไม่เพียงแต่ไม่สามารถเลื่อนเป็นหยกดิบ กลับยังถูกปณิธานกระบี่ของฟ้าดินผลักไสรังเกียจ ขอบเขตจึงถดถอย กลายไปเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองที่ห้องโอสถเละเทะ เต็มไปด้วยรูโหว่ให้ลมเข้า เงียบหายไปนานหลายปี วันๆ เอาแต่มั่วสุมอยู่ตามตรอกซอกซอยของหมู่ชาวบ้าน ทำตัวเป็นผีขี้เหล้านักพนัน มีชีวิตสู้หนูที่วิ่งข้ามถนนไม่ได้ด้วยซ้ำ ตอนที่พวกฉีโซ่ว เป็นเด็กหนุ่มจะชอบเลี้ยงเหล้าซูยงมากที่สุด ขอแค่ได้ดื่มเหล้า ซูยงก็ไม่สนใจแล้วว่า จะถูกคนเยาะเย้ยเห็นเป็นตัวตลกหรือไม่ มีชีวิตเป็นคนก็ไม่ใช่คน เป็นผีก็ไม่ใช่ผี รอจนขอบเขตของพวกฉีโซ่วสูงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกว่าหัวเราะเยาะซูยงไปก็ ไม่มีความหมาย ซูยงก็หันไปคอยรับจ้างวิ่งเต้นทำงานเล็กๆ น้อยๆ ให้ที่หอมายา หากได้เงินมานิดหน่อยก็จะซื้อเหล้าดื่ม แต่หากได้เงินมาเยอะก็จะไปเล่นพนัน”
เรื่องพวกนี้นางเองก็เพิ่งจะไปสืบมาจากป๋ายหมัวมัวเหมือนกัน
เฉินผิงอันถามอย่างตรงไปตรงมา “ซูยงผู้นี้จะรู้สึกอาฆาตต่อคนทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือไม่?”
หนิงเหยาคิดแล้วก็ส่ายหน้า “น่าจะไม่ เมื่อหลายปีก่อนตอนที่อาเหลียงไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะดื่มเหล้าหรือเป็นเจ้ามือเดิมพัน ก็มักจะมีซูยง คอยติดตามอยู่ข้างกายเสมอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีเพียงหวังเวยที่เป็นเซียนกระบี่แล้ว ในอดีตตอนที่เป็น ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองก็กลายเป็นผู้ถวายงานปลายแถวของตระกูลฉี เมื่อยี่สิบปีก่อนเลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนได้สำเร็จจึงเปิดจวนของตัวเอง แต่งสตรีแซ่ใหญ่คนหนึ่งมาเป็นคู่บำเพ็ญเพียร ก็ถือว่าชีวิตสุขสมบูรณ์ดี ตอนอยู่ที่ร้านเหล้าข้าได้ยินคนคุยกันว่า ดูเหมือนหวังเวยจะเป็นคนมาที่หลังแต่เดินนำไปก่อน สามารถกลายมาเป็น เซียนกระบี่ได้ ค่อนข้างจะทำให้คนอื่นประหลาดใจอยู่เหมือนกัน”
หนิงเหยาเอ่ย “หวังเวยไม่ค่อยสะดุดตาจริงๆ นั่นแหละ ตอนที่อายุประมาณ เก้าสิบปีก็ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบน ในใต้หล้าไพศาล แน่นอนว่าหาได้ยาก แต่เมื่ออยู่ที่นี่ เขาหวังเวยได้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีชีวิตรอดมาได้ จึงกลายมาเป็นผู้นำของคนสิบกว่าคนของปีนั้น และก็ง่ายที่จะถูกนำมาเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับคนรุ่นอดีต หวังเวยธรรมดามากเกินไปจริงๆ หากเปรียบเทียบกับรุ่น ของพวกเราก็อย่าว่าแต่ผังหยวนจี้ ฉีโซ่วและเกาเหย่โหวเลย แม้แต่พวกซานชิวกับ เจ้าอ้วนเยี่ยนก็ยังดูแคลนหวังเวยที่เป็นเซียนกระบี่แล้วก็ยังชอบก้มหัวค้อมเอว ให้ผู้อื่น”
หนิงเหยาเอ่ยเสียงเบา “เพียงแต่ว่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าจะเป็น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตอะไร สามารถมีชีวิตรอดอยู่ได้ก็ถือว่าเป็นความสามารถที่ใหญ่ที่สุด หากตายไป ผู้มีพรสวรรค์ก็ดี เซียนกระบี่ก็ช่าง จะนับเป็นอะไรได้ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวอย่างพวกเรา วันนี้ดื่มเหล้าหัวเราะเยาะพวกคนตกอับ เหน็บแนมว่าหวังเวยไม่สมกับเป็นเซียนกระบี่ บางทีศึกใหญ่ครั้งหน้าผ่านไป หวังเวยดื่มเหล้ากับสหายแล้วพูดถึงคนหนุ่มสาวบางคนก็อาจเป็นการพูดถึงคนที่ตายไปแล้วก็ได้”
หนิงเหยาพลันเอ่ยว่า “ขอเหล้าให้ข้าหนึ่งกา”
เฉินผิงอันยื่นมือออกมา ส่งเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ของร้านตัวเองไปให้ หนิงเหยาจึงเริ่ม ดื่มเหล้า “ท่านปู่ของเสี่ยวตงต่างหากถึงจะถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง ขอบเขตถ้ำสถิตขึ้นไปอยู่บนหัวกำแพง ขอบเขตชมมหาสมุทรลงมาจากหัวกำแพง ขอบเขตประตูมังกรก็เริ่มสังหารปีศาจขอบเขตเดียวกันไปหลายสิบตน กับปีศาจขอบเขตโอสถทองไปอีกสามตน ได้ฉายาว่าคนบ้ากระบี่ ภายหลังออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปขัดเกลาปณิธานกระบี่ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง ตอนที่กลับมาก็ได้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนแล้ว ศึกใหญ่หลังจากนั้นก็สังหารปีศาจไปนับไม่ถ้วน ตอนนั้นท่านปู่ของเสี่ยวต่งก็ถูกขนานนามให้เป็นคนหนุ่มที่มี หวังว่าจะเป็นเซียนกระบี่ขอบเขตบินทะยานมากที่สุด”
ต่งกวานพู่สมคบคิดกับปีศาจใหญ่ หลังจากเรื่องราวถูกเปิดเผย ฝูงชนก็พากันเดือดดาล ไม่รอให้ใต้เท้าอิ่นกวานลงมือด้วยตัวเอง ก็ถูกผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่เฉินชิงตูใช้หนึ่งกระบี่สังหารด้วยมือของตัวเอง
ปีนั้นเฉินผิงอันที่อยู่บนหัวกำแพงก็เคยเห็นภาพเหตุการณ์นี้กับตาตัวเองเช่นกัน
หนิงเหยาดื่มเหล้าพลางเอ่ยว่า “หลังจากที่ท่านปู่เสี่ยวต่งตายไปได้ไม่นาน ก็มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า ปีนั้นที่ข้าถูกลอบสังหารในหอมายา ก็คือแผนการที่ ท่านปู่เสี่ยวต่งวางแผนเองกับมือ”
หนิงเหยาหัวเราะ “ข้าไม่เชื่อหรอก เพียงแต่ว่ามีคนปากมาก ข้าจะขวางก็ขวางไม่อยู่”
เฉินผิงอันถาม “ไม่พูดถึงว่าความจริงเป็นอย่างไร ได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น เจ้าเสียใจหรือไม่?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ดี ไม่อย่างนั้นช่วงนี้นอกจากไปฝึกกระบี่ ที่หัวกำแพง ข้าก็คงไม่ออกจากบ้านแล้ว”
หนิงเหยาถามอย่างสงสัย “นอกจากที่แม่หนูลวี่ตวนถูกลอบฆ่า ยังจะมีเรื่องเกิดขึ้นอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว มีคนคิดจะทดสอบฝีมือของข้า ขณะเดียวกันก็พยายามทำให้จวนหนิงโดดเดี่ยว พูดไปพูดมาก็คือยังอยากให้เจ้าเสียสมาธิ ขัดขวางการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้า เมื่อก่อนไม่มีโอกาส เกิดเรื่องคดีที่หอมายา เรื่องของ ต่งกวานพู่ แล้วยังมีการออกกระบี่ด้วยมือของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ใครก็ไม่กล้า ลงมือต่อจวนหนิงอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ข้ามาเยือนที่นี่ก็จะมีจุดให้ลงมือได้แล้ว”
หนิงเหยาถาม “ทำไมถึงได้รู้สึกว่าเจ้าไม่รำคาญเรื่องพวกนี้เลยสักนิด? อันที่จริงข้ารำคาญมาก เพียงแต่รู้ว่ารำคาญไปก็ไร้ประโยชน์ ก็เลยไม่ไปสนใจ แล้วก็ไม่คิดให้มากความด้วย”
เฉินผิงอันยื่นมือไปขอกาเหล้า หนิงเหยาจึงเตรียมจะยื่นส่งมาให้ตามจิตใต้สำนึก แต่ไม่นานก็หันมาถลึงตาใส่เฉินผิงอันแทน
เฉินผิงอันที่ไม่ได้สมใจจึงเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อต่อ “ฝีมือของเฉินผิงอันคนต่างถิ่นเป็นอย่างไร ก็หนีไม่พ้นเรื่องของตบะและจิตใจ หมัดของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเป็นอย่างไร เริ่นอี้ ผู่อวี๋ ฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ได้ช่วยพิสูจน์ให้ข้าแล้ว ส่วนจิตใจคน หนึ่งอยู่จุดสูง หนึ่งอยู่จุดต่ำ หากอีกฝ่ายเชี่ยวชาญการวางแผนก็จะต้องลองหยั่งเชิงดู ยกตัวอย่างเช่นหากกวอจู๋จิ่วถูกลอบฆ่า จวนหนิงกับตระกูลกวอที่มีผู้ฝึกกระบี่กวอเจี้ยเฝ้าพิทักษ์ก็จะต้องห่างเหินกันไปอย่างสิ้นเชิง นี่ไม่เกี่ยวกับว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ย เป็นคนมีคุณธรรมหรือไม่ เพราะตลอดทั้งตระกูลกวอได้มีหนามแหลมตำใจกัน มานานแล้ว แน่นอนว่าตอนนี้แม่นางน้อยไม่เป็นอะไรก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว จะทดสอบจุดต่ำของจิตใจคนได้อย่างไร ง่ายมาก หากมีเด็กในตรอกตายไปสักคนหนึ่ง กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างก็จบเห่แล้ว ข้าก็จะไม่ไปเป็นนักเล่านิทานที่นั่นอีก หากไป ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าจะไม่มีใครมาฟังเรื่องเล่าสายน้ำขุนเขาจากข้าอีก สังหารกวอจู๋จิ่วยังต้องจ่ายค่าตอบแทนที่ไม่เล็ก แต่สังหารเด็กในตรอกไปคนหนึ่ง ใครจะสนใจ? แต่หากข้าไม่สนใจ ผู้ฝึกกระบี่มากมายขนาดนั้นในกำแพงเมือง ปราณกระบี่ จะมองข้าเฉินผิงอันอย่างไร? หากสนใจ ควรจะสนใจอย่างไรถึงจะถือว่าสนใจ?”
หนิงเหยาฟังจนหัวคิ้วขมวดมุ่นเป็นปม
ฟังเข้าสิ ป๋ายหมัวมัวพูดผิดแล้ว เห็นๆ กันอยู่ว่าเจ้าหมอนี่วางแผนรอบคอบรัดกุมไปเสียทุกเรื่อง ไม่ว่าเรื่องอะไรก็คิดถึงไปหมด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จะต้องกลุ้มไปไย ในเมื่อข้าคิดได้แล้ว โอกาสของพวกเขาก็จะน้อยลงแล้ว เพียงแต่ว่าเรื่องบางเรื่องต่อให้คิดได้ก็ต้องรอให้อีกฝ่ายลงมือเสียก่อน”
หนิงเหยาถาม “ยกตัวอย่างเช่น?”
“ยกตัวอย่างเช่นป่าวประกาศไปทั่วว่าข้าคือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง คือศิษย์น้องของจั่วโย่ว เรื่องพวกนี้ยังดี ได้แค่ทำให้เจ็บๆ คันๆ เท่านั้น เพราะผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ยอมรับในตบะที่แท้จริงของกันและกันมากกว่า”
เฉินผิงอันเอ่ยอีกว่า “หรือยกตัวอย่างเช่นผู้ฝึกกระบี่หนุ่มบางคนที่ไม่มีหลักแหล่งดื่มเหล้าเมามายแล้วยกเรื่องในอดีตของจวนหนิงมาพูดต่อหน้าข้า มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าคำพูดที่ใช้จะไม่สุดโต่งเกินไปนัก เพราะไม่อย่างนั้นจะดูเป็นฝ่ายไม่มีเหตุผล มีแต่จะชักนำให้ฝูงชนเดือดดาล ไม่แน่ว่าพวกลูกค้าที่มาดื่มเหล้าคนอื่นๆ อาจลงมือช่วยเหลือข้าด้วย ดังนั้นอีกฝ่ายควรจะใช้คำพูดอย่างไรก็ต้องร่างบทมาไว้เสียก่อน ใคร่ครวญหากำลังไฟที่พอเหมาะพอดี ทั้งสามารถทำให้ข้าเดือดดาลจนลงมือ แล้วก็ ไม่ถือว่าเขาเป็นคนที่ยั่วยุข้า เป็นคำพูดผดุงคุณธรรมที่มาจากความรู้สึกล้วนๆ สุดท้ายเมื่อหมัดของข้าปล่อยออกไป ไม่ว่าจะฆ่าเขาตายหรือไม่ หลังจบเรื่องล้วนต้องเป็นข้า ที่ขาดทุน เลือดลมที่พลุ่งพล่านของคนหนุ่มอยู่ได้ไม่นาน กลอุบายลึกล้ำเกินไปไม่ใช่ ผู้ฝึกกระบี่”
หนิงเหยาคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นวันหน้าพวกเราไปที่ร้านเหล้าเตี๋ยจ้างให้น้อยลง? เจ้าไปกลับแค่ระหว่างหัวกำแพงเมืองกับจวนหนิง คงไม่มีใครตั้งใจ มาขวางทาง ไม่อย่างนั้นร่องรอยจะเด่นชัดเกินไป ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมือง ปราณกระบี่มีเยอะ แต่คนโง่มีไม่มาก”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ยังต้องไป”
หนิงเหยาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร
“นักบัญชีชอบดีดลูกคิดคำนวณ แต่ก็ยังมีชีวิตให้ต้องใช้ ไม่มีทางคิดคำนวณต้นทุนและผลกำไรอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ข้าเป็นใคร? ใช้ชีวิตที่ไม่มีอะไรเลยมาจนเคยชินแล้ว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ ยังต้องกลัวเรื่องพวกนี้อีก หรือไร?”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มองไปทางลานประลองยุทธ แล้วเอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าได้ยินคำพูดระยำมานานหลายปีขนาดนั้น ข้าเองก็อยากฟังกับหูตัวเองบ้าง เมื่อก่อนเจ้า ไม่ยินดีจะสนใจพวกเขาก็ช่างเถิด ตอนนี้ข้าอยู่ข้างกายเจ้าแล้ว แต่ยังมีคนกล้าคิดร้ายต่อเจ้า พาตัวเองมารนหาที่ถึงถิ่นของเรา หากข้ายังไม่ปล่อยหมัดใส่เขาตรงๆ หรือยังจะต้องเลี้ยงเหล้าเขาด้วย?”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าว “ต้องเป็นเรื่องของหมัดที่ปล่อยไปได้ อย่างง่ายดายแน่นอน เพราะขอบเขตของอีกฝ่ายจะสูงมากไม่ได้ ต้องสู้เริ่นอี้ไมได้แน่ๆ เพราะถ้าสูงเกินไปก็จะไม่มีใครเห็นใจ”
หนิงเหยาถาม “จะไปที่ร้านเมื่อไหร่?”
นี่ก็คือนิสัยของหนิงเหยา
เฉินผิงอันไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
ปีนั้นตอนอยู่ที่เมืองเล็ก หากไม่พูดถึงความรักความชื่นชอบ อันที่จริงนิสัย การลงมือทำเรื่องต่างๆ ของหนิงเหยาได้ส่งอิทธิพลต่อเฉินผิงอันอย่างมาก
หนึ่งในนั้นก็คือประโยคที่ว่า ‘มหามรรคาไม่ควรเล็กแค่นี้’ นี่ทำให้ภายหลังที่ เฉินผิงอันเดินออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้วมองการฝึกตนบนภูเขา จึงไม่เคยต้องแหงนหน้ามองเทพเซียนบนภูเขาอย่างแท้จริงมาก่อน
และการลงมือรวดเร็วฉับไวของหนิงเหยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าทีที่ว่า ‘เรื่องมาถึงขั้นนี้ ควรจะทำอย่างไร’ ถึงจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนั้น เฉินผิงอันก็ยังจดจำได้อย่างลึกซึ้งมาจนถึงวันนี้
มีจิตใจที่ใสกระจ่างและปรุโปร่งเช่นนี้ ถึงได้ไม่กลัวปัญหายุ่งยากร้อยพันที่คาดไม่ถึง ไม่ว่าเรื่องอะไรเกิดขึ้นก็แค่จัดการแก้ไขมันไปเท่านั้น
เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “รอให้ข้ารักษาบาดแผลให้หายดีเสียก่อน อีกฝ่ายจะได้มีโอกาสวางแผนได้เรียบร้อยด้วย บอกตามตรง มีหลายๆ ครั้งที่ข้าร้อนใจ แทนศัตรูด้วยซ้ำ นึกอยากจะสอนพวกเขาเสียเลยว่าควรจะออกกระบวนท่าอย่างไร ถึงจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันยังทำให้คนเคียดแค้นสะอิดสะเอียน ได้ที่สุดด้วย”
หนิงเหยาไม่เอ่ยอะไร
เฉินผิงอันนั่งลงข้างกายหนิงเหยา เอ่ยเบาๆ ว่า “อย่ารู้สึกว่าข้าเปลี่ยนไป กลายไปเป็นคนแปลกหน้า ข้าเป็นแบบนี้มาโดยตลอด แต่ก็เหมือนอย่างที่พูดกับเจ้าก่อนหน้านี้ มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้นที่ข้าไม่เคยคิดมาก นี่ไม่ใช่ถ้อยคำไพเราะ น่าฟังอะไร เป็นเพียงถ้อยคำที่มาจากใจจริงเท่านั้น”
หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ “หากไม่ชอบข้า หากไม่มาที่นี่ เจ้าก็ไม่ต้องเจอกับเรื่องมากมายขนาดนี้ เจ้าสามารถมีชีวิตที่ดีกว่านี้ได้ ถึงขั้นสามารถรอให้อนาคตกลายเป็นเซียนกระบี่ก่อนแล้วค่อยมาหาข้าก็ยังได้ ข้าก็จะยังรอเจ้าอยู่เหมือนเดิม”
ป๋ายหมัวมัวพูดถูกแล้ว หนิงเหยาต้องเป็นตัวของตัวเอง แล้วก็ต้องเชื่อใจเฉินผิงอัน ถ้อยคำที่เก็บไว้ในใจก็ควรพูดกับเขาไป มีหนึ่งประโยคก็พูดหนึ่งประโยค ไม่ต้องสนใจว่ามีเหตุผลหรือไม่ ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่ชอบใช้เหตุผลที่สุดแล้ว ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่ต้องกังวลว่าทั้งสองฝ่ายจะไม่มีเรื่องให้พูดคุยกัน
เฉินผิงอันกลับไม่ได้พูดอะไรกับหนิงเหยา เพียงหยิบแท่นสังหารมังกรก้อนเล็กๆ ที่หนิงเหยามอบให้ตอนที่จากลากันที่ภูเขาห้อยหัวในปีนั้นออกมา ด้านหน้าและด้านหลังของมันสลักคำว่า ‘หนิงเหยา’ ‘ไร้เดียงสา’ เฉินผิงอันก้มหน้ามองสองคำว่า หนิงเหยา ประกบสองนิ้วงอลงแล้วเคาะลงบนชื่อนั้นเบาๆ ถลึงตาใส่ ตีไปด่าไปด้วยว่า “เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้ใจกล้าขนาดนี้ แถมยังเก่งกาจนัก ทำให้ข้าเสียใจจะตายอยู่แล้ว หากเจ้ายังไม่รู้ความอยู่แบบนี้ วันหน้าข้าจะแกล้งทำเป็นไม่สนใจเจ้าแล้วนะ…”
หนิงเหยาเบี่ยงตัวหันข้างไปฟุบลงบนราวรั้ว ยิ้มจนตาหยี ขนตาส่ายไหวเบาๆ
แสงจันทร์นวลลออ วาดคิ้วให้แก่นาง
……
เถ้าแก่รองของร้านเหล้าที่หลายวันมานี้ไม่ได้ปรากฏตัว วันนี้กลับมาดื่มเหล้าที่ร้านอย่างหาได้ยาก เขาไม่ได้แย่งที่นั่งกับลูกค้า แต่นั่งยองอยู่ด้านข้างเป็นเพื่อนผู้ฝึกกระบี่ส่วนหนึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี มือหนึ่งของเขาถือถ้วยเหล้า มือหนึ่งถือตะเกียบ บนพื้นด้านหน้าวางกับแกล้มจานเล็กที่ใส่ผักดองของร้านตระกูลเยี่ยนเอาไว้ แต่ละคนล้วนทำเช่นนี้ ไม่รู้สึกว่าน่าอายอะไร ตามคำบอกของเถ้าแก่รอง ชายชาตรีเซียนกระบี่ ค้ำฟ้ายันดิน แค่จานกับแกล้มวางบนพื้นจะเป็นไรไป นี่เรียกว่าเซียนกระบี่เข้ากับ คนอื่นได้ง่าย เซียนกระบี่ไม่ถือสากับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เจ้าลองไปดื่มเหล้าที่เหลาสุราใหญ่โตค่าเหล้าแพงหูฉี่ที่อื่นดูสิ จะมีโอกาสแบบนี้ไหม? เจ้าลองเอากับแกล้มวางบนพื้นดูสิ? ต่อให้ลูกจ้างในร้านไม่ขัดขวาง ลูกค้าที่นั่งอยู่ด้านข้างไม่พูดอะไร แต่ก็ต้องมีคนมองมาอย่างดูแคลนอยู่ดีไม่ใช่หรือ? แต่ที่ร้านของพวกเรามีเรื่องยุ่งยากใจ แบบนี้ไหม? ไม่มีทางมีแน่นอน
ผู้ฝึกกระบี่ที่มาดื่มเหล้าที่นี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผีขี้เหล้าที่กระเป๋าเงินค่อนข้างแฟบแบนเหล่านั้นรู้สึกว่ามีเหตุผลอย่างยิ่ง
วันนี้ยังไม่มีเซียนกระบี่คนใดมาดื่มเหล้า เฉินผิงอันจิบเหล้าคำเล็กๆ ยิ้มคุยกับ ผู้ฝึกกระบี่สองคนข้างกายที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดี
อยู่ดีๆ ก็มีคนหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งลุกขึ้นยืน ถือถ้วยเหล้าเดินโซซัดโซเซ มาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน เรอดังเอิ้กหนึ่งที ก่อนพูดด้วยดวงตาหรี่ปรือเพราะ ความเมามายว่า “เจ้าก็คือเฉินผิงอันลูกเขยของจวนหนิงคนนั้นน่ะหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ายิ้มรับ
คนผู้นั้นเตรียมจะพูดต่อ เฉินผิงอันกลับยกมือขึ้น ตะเกียบสองอันในมือกระทบกันเบาๆ เตี๋ยจ้างที่สีหน้าเคร่งเครียดก็วิ่งเข้าไปในร้าน แล้วหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา
คนผู้นั้นไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ยังคงพูดต่อไปว่า “เจ้าคู่ควรกับหนิงเหยาหรือ? ข้าว่าไม่เลย เอาชนะพวกผังหยวนจี้สี่คนได้แล้วยังไง เจ้าก็ยังไม่คู่ควรกับหนิงเหยาอยู่ดี แต่เจ้าน่ะโชคดี คู่ควรกับจวนหนิง รู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
เฉินผิงอันคีบผักดองขึ้นมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ชูกาเหล้าขึ้น ชี้ไปด้านหลังตัวเอง
เตี๋ยจ้างสะบัดกระดาษให้คลี่ออก ด้านบนเขียนประโยคหนึ่งว่า ‘วันนี้ใครก็ตามที่พูดเรื่องในอดีตของจวนหนิงกับข้า จะต้องดื่มสุราลงทัณฑ์ เหล้าที่ดื่มก่อนจะเห็นตัวอักษรพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน’
ลูกค้าหลายสิบคนที่อยู่ในร้านเหล้าตอนนี้ต่างก็เริ่มกลั้นหายใจทำสมาธิ บางคน ไม่ดื่มเหล้ากินกับแกล้มอีกต่อไป บางคนยังคงดื่มเหล้าเคล้ากับแกล้มอยู่เหมือนเดิม เพียงแค่เคลื่อนไหวช้าลง
คนผู้นั้นไม่สนใจสิ่งใด เขากระดกเหล้าดื่มอึกใหญ่ เหล้าหกกระฉอกออกมาจากถ้วยขาวจำนวนไม่น้อย ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย พูดอย่างเดือดดาลว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่เกือบจะไม่เหลืออยู่แล้ว ใต้เท้าอิ่นกวานลงสนามรบ เป็นผู้นำการต่อสู้คนแรก
ปีศาจใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามก็หนีการต่อสู้ไปโดยตรง ความเป็นความตายหลังจากนั้น พวกเราล้วนชนะมาตลอด ชนะมาตลอดทาง ขาดอีกแค่ครั้งเดียว ขาดอีกแค่ครั้งเดียวเจ้าพวกปีศาจใหญ่สัตว์เดรัจฉานที่ต่อสู้เก่งที่สุดในใต้หล้าเหล่านั้นก็จะต้องถลึงตาถลน แต่เซียนกระบี่ใหญ่คู่รักเทพเซียนของจวนหนิงพวกเจ้ากลับดีนัก สัตว์เดรัจฉานฝั่งตรงข้ามขาดอะไร เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านของจวนหนิงก็สมคบกันมอบสิ่งนั้นให้…เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างหน้าด้าน แพ้แล้วยังจะจู่โจม กำแพงเมือง แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของเรายังมีหน้าตาให้ต้องรักษา! เจ้าตัวดี เป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งใช่ไหม เป็นศิษย์น้องเล็กของจั่วโย่วใช่หรือไม่? รู้หรือไม่ว่าเหตุใดเมื่อหลายปีก่อนหอจิ้งเจี้ยนของภูเขาห้อยหัวถึงไม่ยอมแขวนภาพเหมือนของเซียนกระบี่แค่สองท่านนี้? เจ้าคือท่านเขยของจวนหนิง คือลูกรักแห่งสวรรค์ อันดับหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเจ้าลองมาพูดเองดีไหม?”
เฉินผิงอันจิบเหล้าหนึ่งคำ แล้ววางตะเกียบลงบนจานกับแกล้มเบาๆ
เตี๋ยจ้างโยนกระดาษแผ่นนั้นทิ้ง แล้วหยิบอีกแผ่นออกมาจากชายแขนเสื้อ นางพลันสะบัดกระดาษกางออก ‘ผู้ที่พูดถึงพ่อแม่ของหนิงเหยา กินหมัดข้าหนึ่งหมัด ขอร้องไปก็ไร้ประโยชน์’
คนผู้นั้นชำเลืองตามองแล้วก็หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่เสียแรงที่เป็นบัณฑิต สายของเหวินเซิ่ง ความรู้ยิ่งใหญ่จริงๆ แม้แต่เรื่องนี้ก็ยังเดาได้? ทำไม ต้องการต่อยข้าให้ตายด้วยหมัดเดียวงั้นรึ?”
คนผู้นั้นขว้างถ้วยเหล้าลงพื้นอย่างแรงจนแตกละเอียด “ดื่มเหล้าของจวนหนิงเจ้า ข้าสะอิดสะเอียนแทบตายอยู่แล้ว!”
เฉินผิงอันที่ในมือยังถือถ้วยขาวซึ่งมีเหล้าบรรจุอยู่เกินครึ่งลุกขึ้นยืนช้าๆ
คนหนุ่มผู้นั้นยืดคอออกมา ชี้ไปที่หัวของตัวเอง “มาสิ ขอข้าสักหมัด แน่จริงก็ต่อยเข้ามาตรงนี้เลย”
เขาพูดแดกดันว่า “สองครั้งที่มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนบังเอิญเป็นช่วงพักระหว่างศึกใหญ่พอดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลูกศิษย์เหวินเซิ่งเดาออกมาตั้งแต่แรกแล้วหรือไม่? ถึงอย่างไรก็ล้วนเป็นความสามารถ เอาชนะศึกสี่ครั้งได้ แล้วยังสังหาร ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรอย่างข้าได้ จะไม่เรียกว่าความสามารถได้อย่างไร? แสร้งไปทำท่าฝึกหมัดอยู่ที่หัวกำแพงเมือง ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่อยากสังหารปีศาจ แต่เป็นเพราะปีศาจเห็นเฉินผิงอันแล้วก็เลยไม่กล้ามาโจมตีสินะ? ข้าว่าความสามารถของเจ้าใหญ่กว่าเซียนกระบี่ทุกคนรวมกันเสียอีก เจ้าว่าใช่หรือไม่ เฉินผิงอัน?!”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเศษถ้วยที่แตกอยู่บนพื้น
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนั้นเบิกตากว้าง “เงินค่าเหล้า? ข้ามี ข้าผู้อาวุโสไปที่หัวกำแพงเมืองมาครั้งหนึ่ง ไปที่ทิศใต้มาอีกครั้งหนึ่ง เงินที่ได้มาไม่มากนัก แต่แค่ซื้อเหล้าห่วยๆ ของเจ้าไม่กี่ชาม กลับเหลือเฟือ!”
เขาเตรียมจะควักเงินเทพเซียนออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเจ้าคน ที่สวมชุดเขียวผู้นั้นเอ่ยขึ้นว่า “เงินค่าเหล้าถ้วยนี้ เจ้าไม่ต้องจ่าย”
ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตชมมหาสมุทรผู้นี้หัวเราะฮ่าๆ แน่ใจแล้วว่าคนผู้นั้นไม่กล้า ลงมือจึงเตรียมจะพูดต่ออีกสักสองสามประโยค
เพียงแต่ว่าเสี้ยววินาทีนั้น
ศีรษะของผู้ฝึกกระบี่หนุ่มก็ต้องรับหนึ่งหมัดเต็มๆ
ต่อยจนร่างของเขาหมุนคว้าง หัวทิ่มลงพื้น สองขาชูขึ้นฟ้า แล้วร่างก็อ่อนยวบทรุดลงพื้นตายคาที่ทันที ไม่เพียงเท่านี้ จิตวิญญาณยังแหลกสลายไปหมด ตายจนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
เฉินผิงอันถือถ้วยเหล้าด้วยมือซ้าย ใช้มือขวาชี้ไปที่ศพนั้นแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าติดค้างเงินค่าเหล้าถ้วยหนึ่งแทนเผ่าปีศาจ ศึกใหญ่ทางทิศใต้ครั้งต่อไป ใต้หล้าเปลี่ยวร้างต้องใช้คืนให้ข้าเฉินผิงอัน!”
เฉินผิงอันชูถ้วยเหล้าในมือขึ้นสูง กวาดตามองไปรอบด้าน พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “จอกเล็กถ้วยใหญ่เหล้าไม่กี่ตำลึง ดื่มเรื่องโสมมบนโลกให้หมดสิ้น! ว่าที่เซียนกระบี่ ทุกท่าน ก่อนจะเดินทางไปยังทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง มีใครยินดีร่วมดื่มกับข้า เฉินผิงอันบ้าง?!”
ลูกค้าทุกคนที่นั่งอยู่ รวมถึงผู้ฝึกกระบี่ที่นั่งอยู่กับพื้นเหล่านั้น มีคนลุกนำขึ้นมาก่อน ผู้คนจึงพากันลุกตาม
ลุกขึ้นพร้อมเหล้าเต็มถ้วย
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปยังทิศไกล พูดเสียงก้องกังวานว่า “กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรา! เซียนกระบี่คนใดนึกแค้นที่สังหารศัตรูได้ไม่มากพอ ก็สามารถมาดื่มร่วมกันได้!”
ในวันนี้คนทั่วทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ ผู้ฝึกกระบี่ เซียนกระบี่ที่ดื่มเหล้า มีมากเป็นพิเศษ