Skip to content

Sword of Coming 587

บทที่ 587 ดื่มเรื่องโสมมในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้น

เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าที่ร้านอีกครั้งก็ห่างจากมรสุมครั้งก่อนไปสิบวันแล้ว เป็นช่วงปลายปี แต่กำแพงเมืองปราณกระบี่กลับไม่มีกลิ่นอายของวันสิ้นปีเข้มข้นเหมือนที่ใต้หล้าไพศาล

เถ้าแก่ใหญ่อย่างเตี๋ยจ้างยิ่งมีชื่อเสียงมากขึ้นจากฝีมือของเถ้าแก่รอง และเตี๋ยจ้างเอง ก็ได้เรียนรู้คัมภีร์การทำการค้าจากเฉินผิงอันไปไม่น้อย ยิ่งนานก็ยิ่งคุ้นเคยกับ การต้อนรับขับสู้ลูกค้า พูดง่ายๆ ก็คือนางได้ทุ่มศักดิ์ศรีหน้าตาทั้งหมดที่มีแล้ว

หากมีคนถามว่า ‘เถ้าแก่ใหญ่ วันนี้เลี้ยงเหล้าหรือไม่? ได้เงินเทพเซียนไปจาก พวกเรามากมายขนาดนี้ก็น่าจะเลี้ยงสักครั้งสิ?’

เตี๋ยจ้างก็จะตอบว่า ‘เซียนกระบี่อย่างเจ้า จ่ายเงินซื้อเหล้าดื่มกับออกกระบี่สังหารปีศาจ ไหนเลยจะต้องให้คนอื่นทำแทนด้วย?’

ต่อให้ลูกค้าทุกคนจะพากันผิวปากแซว ทุกวันนี้เตี๋ยจ้างก็ไม่รู้สึกอะไรแล้ว

หลังจากทักทายเตี๋ยจ้างกับลูกค้าที่คุ้นหน้าคุ้นตากันดีเรียบร้อย เฉินผิงอันก็หิ้ว ม้านั่งตัวเล็กไปนั่งตรงมุมตรอก เพียงแต่ว่าวันนี้ไม่มีใครมาฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจากนักเล่านิทาน เด็กหนุ่มเด็กสาวหลายคนที่พอเห็นเงาร่างของคนชุดเขียวก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินอ้อมผ่านไป

นอกจากเด็กตัวเท่าก้นที่กอดไหเงินคนนั้นซึ่งถูกพ่อแม่กักตัวไว้ที่บ้านแล้ว จางเจียเจินต้องไปทำงานหาเงินที่อื่น ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่กล้ามา

อาจไม่ได้รู้สึกว่าเฉินผิงอันเป็นคนเลวเสมอไป แต่ถึงอย่างไรคนผู้นั้นก็ฆ่าคนตาย ที่ร้านเหล้า มีเด็กๆ หรือไม่ก็ผู้ปกครองของพวกเขาเห็นเองกับตา

นี่คืออารมณ์ทั่วไปของมนุษย์ เฉินผิงอันไม่ประหลาดใจ ยิ่งไม่ถึงขั้นผิดหวัง นั่งอยู่พักหนึ่ง อาบแสงแดดอันอบอุ่นของช่วงปลายฤดูหนาวพลางแทะเมล็ดแตง ไปด้วย จากนั้นก็หิ้วม้านั่งกลับไปที่ร้าน แล้วก็ไม่ได้ช่วยงาน แต่ไปดีดลูกคิดตรวจสอบบัญชีอยู่ที่หลังโต๊ะคิดเงิน เตี๋ยจ้างฉวยโอกาสที่ว่างจากการยกกับแกล้มยกเหล้าไปให้ลูกค้าเดินเข้ามาในร้าน หลังจากลังเลเล็กน้อยก็เอ่ยว่า “กิจการไม่ได้แย่”

เฉินผิงอันปิดสมุดบัญชีลง แบฝ่ามือลูบลงไปบนลูกคิดเบาๆ แล้วเงยหน้าขึ้น ยิ้มถามว่า “อยากถามข้ามาตลอดใช่ไหมว่า คนผู้นั้นใช่สายของเผ่าปีศาจหรือไม่? ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร เจ้าเตี๋ยจ้างที่เป็นสหายของหนิงเหยาและของข้า เฉินผิงอันก็หวังว่าข้าจะบอกคำตอบที่แน่ชัดให้แก่เจ้า?”

เตี๋ยจ้างส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่ได้อยากถามเรื่องนี้ ในใจข้ามีคำตอบอยู่นานแล้ว”

เฉินผิงอันดีดลูกคิดอย่างคล่องแคล่วพลางเอ่ยเนิบช้าว่า “ฝีมือของทั้งสองฝ่ายต่างกัน หรือไม่อีกฝ่ายก็ใช้แผนการที่ลึกล้ำยาวไกล แพ้แล้ว แต่กลับไม่ยอมแพ้ ปากไม่ยอมแพ้ ในใจก็ยิ่งรู้ดีว่าควรทำอย่างไร สถานการณ์เช่นนี้ข้าเคยแพ้มาก่อน และยังไม่ใช่แค่ครั้งเดียว อีกทั้งยังมีสภาพอนาถมากอีกด้วย แต่พอข้ามาทบทวนดูหลังจบเรื่อง กลับได้ประโยชน์มาไม่น้อย กลัวก็แต่ว่าวิธีการที่เจ้ามองออกได้ในปราดเดียว แต่กระนั้นมันก็ยังสร้างความสะอิดสะเอียนให้เจ้าได้อยู่ดีพวกนั้น อีกฝ่ายไม่ได้คิด เลยว่าได้กำไรกี่มากน้อย แค่คิดอยากจะปั่นหัวเจ้าเล่นก็เท่านั้น”

มีอีกประโยคหนึ่งที่เฉินผิงอันไม่ได้พูดออกมา เพราะอีกไม่นานใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะลงมือโจมตีกำแพงเมืองอย่างสุดกำลัง ต่อให้ไม่ใช่สงครามครั้งถัดไป ก็คงไม่ห่างไปไกลมากนัก ดังนั้นหมากตัวเล็กตัวน้อยที่ไม่มีความสำคัญในนครแห่งนี้จึงสามารถนำมาใช้อย่างสิ้นเปลืองได้แล้ว

และนี่ก็เป็นการเตือนพวกหมากในมุมมืดที่ซ่อนอยู่ในจุดลึกยิ่งกว่าอีกทางหนึ่ง

เฉินผิงอันชำเลืองตามองไปนอกประตู “นี่คือการเตรียมลงมือของคนที่อยู่เบื้องหลัง หากข้าประมาทเลินเล่อ คิดว่าแผนการลับในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อยู่ในระดับเดียวกันกับที่ใต้หล้าไพศาล ถ้าอย่างนั้นข้าก็ถูกกำหนดมาแล้วว่า หากไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บ แล้วยังจะพาให้คนข้างกายเดือดร้อนไปด้วย คนวางแผน ที่หลบอยู่เบื้องหลังคนนั้นกำลังจ่ายยาให้ถูกกับอาการของโรค มองออกว่าข้าไม่ชอบความผิดพลาด จึงจงใจให้ข้าคว้าชัยชนะเล็กๆ ไปทีละก้าว”

เตี๋ยจ้างยิ้มกล่าว “ชัยชนะเล็กๆ ? ผังหยวนจี้และฉีโซ่วได้ยินแล้วต้องเต้นผาง สถบด่าหยาบคายแน่นอน ไม่พูดถึงฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ต้องไม่มีทางมาดื่มเหล้าอีกแน่ ต่อให้เป็นเหล้าที่ราคาถูกที่สุดก็ไม่ยินดีจะซื้อ”

เฉินผิงอันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็คือชัยชนะเล็กๆ ครั้งหนึ่ง ผังหยวนจี้และฉีโซ่ว รู้ชัดเจนดี เซียนกระบี่ที่ชมศึกก็รู้ คนที่ควรรู้ล้วนรู้หมด เพราะข้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ที่แท้จริง อีกทั้งข้าไม่ใช่คนในท้องถิ่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่แต่กำเนิด คำพูดของคนผู้นั้นก่อนหน้านี้ แม้ว่าจะจงใจทำให้คนโมโห แต่หลายๆ คำของเขา ล้วนพูดตรงประเด็นจริงๆ น่าเสียดายก็แต่ถ้อยคำทั้งหมดไม่มีเรื่องไม่คาดฝัน จึงยาก ที่จะเอาชนะข้าได้ ก่อนหน้านี้ที่ข้าต่อสู้กับฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ ก็ชนะเพราะข้ามี ‘เรื่องไม่คาดฝัน’ เยอะ”

เตี๋ยจ้างถอนหายใจ “เฉินผิงอัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าน่ากลัวมาก”

ก็เหมือนกับคนสองคนที่เล่นหมากล้อมด้วยกัน แล้วอีกฝ่ายเดาออกทุกก้าวว่า อีกคนจะหมากวางตรงไหน แล้วจะให้อีกคนรู้สึกเช่นไร?

เรื่องบางเรื่องเกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่แม้แต่พวกเฉินซานชิว เจ้าอ้วนเยี่ยนก็ยังไม่รู้ ยกตัวอย่างเช่นตอนที่เฉินผิงอันเขียนตัวอักษรแล้วให้เตี๋ยจ้างช่วยถือกระดาษให้นั้น ตอนนั้นเฉินผิงอันก็ยิ้มกล่าวว่าการเฝ้าตอรอกระต่ายของตนในครั้งนี้ อีกฝ่ายต้องเป็นคนหนุ่ม ขอบเขตไม่สูง แต่ต้องเคยไปเยือนสนามรบทางทิศใต้มาแล้ว อย่างแน่นอน

นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหลายคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ‘มีความรู้สึกร่วม’ เกิดความเห็นใจ รวมถึงรู้สึกเคียดแค้นราวกับมีศัตรูร่วมกัน ไม่แน่ว่าคนผู้นี้ที่อยู่ในหมู่ชาวบ้านของกำแพงเมืองปราณกระบี่อาจจะเป็น ‘คนธรรมดา’ ที่มีชื่อเสียงดีมาก คนหนึ่ง มักจะคอยช่วยเหลือพวกเด็กสตรีและคนชราที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียง หลังจากที่คนผู้นั้นตายไป ผู้บงการเบื้องหลังไม่จำเป็นต้องผลักดันอะไรเลยด้วยซ้ำ แค่อยู่เฉยๆ ก็พอ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เห็นเซียนกระบี่ที่ลาดตระเวนตรวจตรา กำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นเซียนกระบี่เกินไปหน่อยแล้ว คำวิพากษ์วิจารณ์ ในหมู่ชาวบ้านก็จะเกิดขึ้นมาตามธรรมชาติ จากตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน ไปถึงร้านเหล้าเล็กใหญ่ ร้านค้าต่างๆ ค่อยๆ ลามไปถึงจวนตระกูลใหญ่ทีละนิด ดังเข้าหูเซียนกระบี่ใหญ่มากมาย บางคนคงไม่สนใจ บางคนก็จดจำไว้ในใจเงียบๆ แต่ตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกแล้วว่า นี่เป็นเพียงแค่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดเท่านั้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องเป็นเช่นนี้ แล้วนับประสาอะไรกับที่สถานการณ์ก็คงไม่เลวร้ายไปยังไง ถึงอย่างไรก็เป็นแค่กระดานหมากเล็กๆ ที่ผู้บงการเบื้องหลังแสดงฝีมือ เล็กๆ น้อยๆ กระดานเดียวเท่านั้น

เวลานี้เดิมทีเตี๋ยจ้างยังกังวลว่าเฉินผิงอันจะโกรธ คิดไม่ถึงว่ารอยยิ้มของเฉินผิงอันจะยังคงเดิม อีกทั้งยังไม่ใช่รอยยิ้มที่ฝืนใจ ราวกับว่าประโยคนี้ได้อยู่ในการคาดการณ์ของเขาอยู่แล้ว

นี่เป็นครั้งที่สองที่เฉินผิงอันได้ยินคำพูดทำนองนี้

“สามารถพูดประโยคนี้ต่อหน้าข้าได้ ก็แสดงว่าเห็นข้าเป็นเพื่อนจริงๆ แล้ว”

เฉินผิงอันพยักหน้า “คนที่เป็นศัตรูกับข้า ตามหลักแล้วก็ควรจะรู้สึกเช่นนี้”

เตี๋ยจ้างเอ่ย “เจ้าอยู่ข้างกายหนิงเหยา ข้าสบายใจขึ้นมาก”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หลังจากศึกใหญ่ทางทิศใต้ครั้งหน้าผ่านไป หากเจ้ายังยินดีเอ่ยประโยคนี้ ข้าก็จะสบายใจไม่น้อย”

เตี๋ยจ้างพลันมีสีหน้าเคร่งเครียด

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ พูดเสียงเบาว่า “ใช่ นี่ก็คือความตั้งใจของคนที่บงการ อยู่เบื้องหลัง ข้อแรก ต้องการแน่ใจก่อนว่าเฉินผิงอันที่เพิ่งมาถึง ลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ลูกเขยจวนหนิง จะขึ้นไปบนหัวกำแพงเพื่อรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ฝึกกระบี่จริงๆ หรือไม่ ข้อสองกล้าออกจากเมืองไปยังสนามรบทางทิศใต้เพื่อสังหารปีศาจหรือไม่ ข้อสาม หลังออกไปจากหัวกำแพงแล้ว ท่ามกลางการรักษาชีวิตของตัวเองและ การทุ่มเทสุดฝีมือเพื่อเข่นฆ่าศัตรู จะตัดสินใจเลือกและสละสิ่งใดทิ้ง จะเอาตัวเอง ให้รอดก่อนแล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น หรือว่าเพื่อรักษาหน้าตา เพื่อตัวเองและเพื่อ จวนหนิงแล้ว แม้ต้องตายก็ยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้ได้ แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือเฉินผิงอันผู้นั้นรบตายอยู่บนสนามรบทางทิศใต้อย่างผึ่งผาย หากคนบงการเบื้องหลังอารมณ์ดี คาดว่าหลังจบเรื่องอาจจะให้คนช่วยพูดถึงข้าในทางที่ดีอยู่หลายคำด้วย”

เฉินผิงอันเอ่ยสัพยอก “อาจารย์ของข้าเคยนั่งบนเก้าอี้ตัวที่ถูกเจ้าเก็บไว้ เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล ถูกเจ้าเอาไปเก็บรักษาอยู่ในห้องของเรือนหลังเล็ก แห่งนั้น ถ้าอย่างนั้นเจ้าคิดว่าม้านั่งตัวเล็กสองตัวที่ขนาบอยู่ฝั่งซ้ายขวาของท่านอาจารย์เหวินเซิ่ง ไม่ว่าใครก็สามารถมานั่งได้อย่างนั้นหรือ?”

อารมณ์ของเตี๋ยจ้างหนักอึ้ง หยิบเหล้าไหหนึ่งมาเปิดผนึกดินออก รินเหล้าสองถ้วย ตัวเองดื่มไปก่อนอึกใหญ่ แล้วเงียบไปด้วยความอัดอั้น

เฉินผิงอันยกถ้วยเหล้าขึ้นจิบหนึ่งคำ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ดื่มน้อยๆ หน่อย แม้ว่า พวกเราสองคนจะเป็นเถ้าแก่ แต่ดื่มเหล้าก็ต้องจ่ายเงินเหมือนกัน”

เตี๋ยจ้างที่ถือถ้วยเหล้าไว้ในมือทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่พูด

เฉินผิงอันจึงถามว่า “ยังมีคำถามหรือ? ถามได้ตามสบายเลย”

เตี๋ยจ้างถามเสียงเบา “ตอนนั้นคนที่ถือถ้วยลุกขึ้นยืนก่อนคนแรกเป็นหน้าม้า ที่เจ้าจ้างมาหรือ?”

เฉินผิงอันหัวเราะปากกว้าง โบกมือเอ่ยว่า “ไม่ใช่”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ชี้เตี๋ยจ้าง “เถ้าแก่ใหญ่ เจ้าจงเป็นคนทำการค้าอย่างสบายใจเถอะ เจ้าไม่เหมาะจะทำเรื่องที่ต้องวางแผนรับมือกับใจคนเลยจริงๆ หากข้าทำแบบนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเห็นผู้ฝึกกระบี่ทุกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเซียนกระบี่ที่นั่งดูไฟชายฝั่งเป็นคนโง่ที่รู้จักแต่ฝึกกระบี่ แต่ไม่รู้จักใจคน หรอกหรือ? เรื่องบางเรื่องมองดูเหมือนงดงามสมบูรณ์แบบ ได้ผลประโยชน์เยอะที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วจะทำแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด จงใจเกินไป กลับกลายเป็นว่า จะไม่ดี ยกตัวอย่างเช่นข้า ความคิดแรกเริ่มก็คือขอแค่ให้ไม่แพ้ก็พอ ฆ่าคนผู้นั้นได้ ก็ถือว่าไม่ขาดทุนแล้ว หากยังไม่รู้จักพอ ยังจะวาดงูเติมขา กลับจะทำให้คนอื่นดูแคลนเสียเปล่าๆ”

เตี๋ยจ้างถอนหายใจหนักๆ สีหน้าซับซ้อน ชูถ้วยเหล้าในมือขึ้น พูดเลียนแบบประโยคของเฉินผิงอันว่า “ดื่มเรื่องโสมมในโลกมนุษย์ให้หมดสิ้น!”

เฉินผิงอันยิ้มตาหยียกถ้วยเหล้าขึ้นชนกับนาง “ขอบคุณเถ้าแก่ใหญ่ที่เลี้ยงเหล้าข้า”

ทางทิศตะวันตกของนครมีคฤหาสน์หลบหนาวของใต้เท้าอิ่นกวานอยู่หลังหนึ่ง และทางฝั่งทิศตะวันออกก็ยังมีคฤหาสน์หลบร้อนอยู่อีกหลังหนึ่ง อันที่จริงล้วนไม่ใหญ่ แต่สิ้นเปลืองทรัพยากรไปมหาศาล

วันนี้ในคฤหาสน์หลบหนาว ในห้องโถงใหญ่ ใต้เท้าอิ่นกวานยืนอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือ ตัวหนึ่งที่สร้างอย่างประณีติงดงาม คือวัตถุตระกูลเซียนของหลิวเสียทวีปแห่ง ใต้หล้าไพศาล เนื้อไม้เป็นสีแดง ลวดลายราวกับสายน้ำ ดุจดั่งเมฆหมอกเคลื่อนคล้อย

ในห้องโถงใหญ่ยังมีเซียนกระบี่ในท้องถิ่นอีกสองคนที่คอยช่วยเหลือสายของอิ่นกวาน บุรุษมีนามว่าจู๋อาน สตรีมีนามว่าลั่วซาน ล้วนเป็นขอบเขตหยกดิบที่อายุมากแล้ว

นอกจากนี้ยังมีผู้ฝึกตนก่อกำเนิดอีกคนหนึ่งที่รับผิดชอบรวบรวมรายงานข่าว กำลังรายงานเหตุการณ์มรสุมในร้านเหล้าตั้งแต่ต้นจนจบอย่างละเอียด แม้แต่ บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของหวงโจวผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขอบเขตชมมหาสมุทรคนนั้นก็ยังถูกสืบเสาะมา รวมไปถึงอาจารย์ ญาติมิตร ผู้อาวุโสเซียนดินที่สนิทสนมคุ้นเคยกัน ฯลฯ ล้วนถูกรายงานให้เซียนกระบี่จู๋อานฟังอย่างละเอียด ส่วนใต้เท้าอิ่นกวานนั้น แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว

นอกจากนี้ยังมีผังหยวนจี้และวิญญูชนลัทธิขงจื๊ออีกคนหนึ่งอยู่รับฟังด้วย วิญญูชนมีนามว่าหวังไจ่ มีความสัมพันธ์กับอริยะลัทธิขงจื๊อคนก่อนที่มาเฝ้าพิทักษ์กำแพงเมืองปราณกระบี่

ใต้เท้าอิ่นกวานหลับตา เดินไปเดินมาอยู่บนเก้าอี้ เรือนกายโยกส่าย มือทั้งคู่ จับผมแกละทั้งสองข้างคล้ายกำลังเดินละเมอ

เซียนกระบี่จู๋อานรับฟังรายงานจากผู้ใต้บังคับบัญชาพลางเปิดอ่านรายงานในมือไปด้วย เพราะต้องการความละเอียด ตัวอักษรที่เขียนย่อมมีมาก ดังนั้นใต้เท้าอิ่นกวานจึงไม่เคยเตะต้องของพวกนี้

ลั่วซานเซียนกระบี่หญิงสวมชุดผ้าฝ้ายคอกลม บนศีรษะประดับดอกไม้สีแดงสดจึงสะดุดตามากเป็นพิเศษ

เรื่องของการรายงาน วิญญูชนหวังไจ่ที่มีหน้าที่คล้ายขุนนางทัดทานในราชสำนักของใต้หล้าไพศาลไม่มีสิทธิ์ข้องเกี่ยวกับกิจธุระที่เป็นรูปธรรม แต่ก็ยังพอจะมีอำนาจในการเสนอความเห็นอยู่บ้าง

หากพูดโดยใช้คำพูดของใต้เท้าอิ่นกวานก็คือ ต้องให้คนต่างถิ่นที่ในมือกุมอำนาจพวกนี้ได้มีโอกาสพูดบ้าง ส่วนอีกฝ่ายพูดแล้ว เราจะฟังหรือไม่ก็ต้องดูที่อารมณ์แล้ว

หวังไจ่ฟังรายงานจบแล้วก็ถามว่า “เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีหลักฐานยืนยันแน่ชัดว่าหวงโจวผู้นี้คือสายลับของเผ่าปีศาจ เฉินผิงอันจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อหรือไม่? ถอยไปพูดหนึ่งก้าว หากเป็นสายของเผ่าปีศาจจริงๆ ก็ควรจะมอบให้พวกเราจัดการ หากไม่ใช่ แล้วเป็นแค่การทะเลาะกันด้วยอารมณ์ ของคนหนุ่ม ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าเห็นชีวิตคนเป็นผักปลาหรือไม่?”

ผังหยวนจี้ขมวดคิ้ว ไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแค่ก้มหน้าดื่มสุรา

ในฐานะลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของใต้เท้าอิ่นกวาน หลายครั้งคำพูดของผังหยวนจี้ได้ผลกว่าเซียนกระบี่ผู้อาวุโสสองคนอย่างจู๋อาน ลั่วซานเสียอีก เพียงแต่ว่าผังหยวนจี้ไม่ชอบมีส่วนร่วมกับเรื่องสกปรกพวกนี้ เอาแต่ตั้งใจฝึกตนอย่างเดียวเท่านั้น

ลั่วซานเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “คนชั่วก็ควรต้องถูกคนชั่วเคี่ยวเข็ญ เคี่ยวเข็ญจน พวกเขาเสียใจภายหลังที่ทำชั่ว พูดอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่จำเป็นต้อง กริ่งเกรงอะไรจริงๆ นั่นแหละ ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตล่างจะด่าต่งซานเกิงก็ยังได้ ขอแค่ต่งซานเกิงไม่ถือสาก็พอ แต่หากต่งซานเกิงลงมือ แน่นอนว่าต้องตายกันไป ข้างหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเฉินผิงอันผู้นั้นกำลังรอให้คนอื่นไปหาเรื่องเขา หากหวงโจว รู้กาลเทศะ ตอนที่เห็นกระดาษแผ่นแรกก็ควรหยุดแต่พอสมควรได้แล้ว จะใช่สาย ของเผ่าปีศาจหรือไม่ สำคัญนักหรือ? ตัวเองโง่เขลาก็อย่าโทษหากคนอื่นลงมือ หนักเกินไป ส่วนเฉินผิงอันผู้นั้น เขาเห็นตัวเองเป็นผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองกระบี่แล้ว? พูดจาโอ้อวดไม่รู้จักละอาย! ศึกใหญ่ทางทิศใต้คราวหน้า ข้าจะให้คนคอยบันทึกขั้นตอนการต่อสู้ของเฉินผิงอันโดยเฉพาะเลยล่ะ”

จู๋อานพูดหน้าเคร่ง “เรื่องแบบนี้เจ้าลั่วซานพูดให้น้อยหน่อยเถอะ”

เซียนกระบี่หญิงลั่วซานพอจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคู่สามีภรรยาของจวนหนิงอยู่บ้าง เพราะในอดีตเคยทะเลาะกันมาก่อน

ส่วนคำพูดประโยคนี้ของลั่วซานก็ไม่ถือว่าเป็นการช่วยพูดแทนเฉินผิงอัน อย่างมากสุดก็แค่โบยไม้ใส่ฝ่ายละห้าสิบที (คือการลงโทษอย่างหนึ่งในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นการปฏิบัติเท่าเทียมกันต่อทั้งสองฝ่าย ความหมายคือให้ทั้งสองฝ่ายแบกรับความรับผิดชอบเท่าๆ กัน) เท่านั้น เพียงแต่ว่าไม้ครึ่งหนึ่งนั้นโบยใส่ศพของคนตาย

หวังไจ่มาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เจ็ดแปดปีแล้ว เคยเข้าร่วมศึกใหญ่หนึ่งครั้ง แต่ไม่ได้เข้าร่วมการเข่นฆ่าสักเท่าไร จะรับหน้าที่คล้ายอาจารย์กระบี่ที่ตรวจตรากองทัพ คอยบันทึกผลงานการต่อสู้ในสนามรบมากกว่า ใต้เท้าอิ่นกวานบอกแล้ว ในเมื่อเป็นวิญญูชน ก็แสดงว่าต้องมีวิชาความรู้อยู่เต็มท้อง อีกทั้งเนื้อหนังยังอ่อนนุ่มบอบบางเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็อย่าไปตีรันฟันแทงกับใครเลย ตอนนั้นหวังไจ่โมโห ไม่น้อย แต่เอาเรื่องนี้ไปพูดกับอริยะลัทธิขงจื๊อแล้วก็ยังไร้ผล

ลั่วซานหัวเราะเสียงเย็นเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นความเห็นของเซียนกระบี่จู๋อาน คืออะไรล่ะ? จะให้เรียกเฉินผิงอันมาถามไหม? เขาคือลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง อีกทั้งยังมีศิษย์พี่ที่วิชากระบี่เลิศล้ำคอยมองอยู่ที่หัวกำแพงเมืองเชียวนะ”

สีหน้าของจู๋อานมืดทะมึน

เพราะตามกฎแล้ว แน่นอนว่าต้องถาม

ทว่าคนหนุ่มผู้นั้นวางตัวได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำหรือคำพูด ก็ล้วนรัดกุมไร้ช่องโหว่ แล้วนับประสาอะไรกับที่เขายังมีที่พึ่งใหญ่ปานนั้น

หวังไจ่เอ่ย “เหวินเซิ่งไม่ใช่เหวินเซิ่งมานานแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่เฉินผิงอันเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ การกระทำก็ควรจะยิ่งสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ไม่ควรฆ่าคนตามอำเภอใจ ต่อให้อาจารย์ผู้เฒ่าที่ไม่มีเทวรูปอยู่ในศาลบุ๋นมานานแล้วผู้นั้นอยู่ด้วย ข้าก็จะยังพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ หากเซียนกระบี่ทั้งสองท่านไม่สะดวก จะออกหน้า ก็สามารถยกเรื่องนี้ให้ผู้น้อยเป็นคนไปถามเฉินผิงอันได้”

จู๋อานถาม “สถานที่ที่จะสอบถาม คือที่นี่ หรือว่าจวนหนิง?”

หวังไจ่ฟังออกถึงความนัยในคำพูดของเซียนกระบี่ท่านนี้ จึงถอยมาเลือกลำดับรองด้วยการเอ่ยว่า “ข้าสามารถไปเยี่ยมเยือนถึงจวนพวกเขา ไม่ทำให้เฉินผิงอันต้องรู้สึกลำบากใจมากเกินไป”

ลั่วซานกระตุกมุมปาก “แบบนี้ก็ดี ไม่อย่างนั้นข้าก็กลัวว่าเท้าหน้าของเฉินผิงอันเพิ่งจะมาถึงคฤหาสน์ เท้าหลังของเซียนกระบี่ใหญ่จั่วก็ตามมาติดๆ แล้ว”

ผังหยวนจี้ถอนหายใจ เก็บกาเหล้า ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หวงโจวจะใช่หมากที่เผ่าปีศาจวางไว้หรือไม่ ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปอาจจะยังสับสน แต่พวกเราจะยังไม่รู้อีกหรือ?”

หวังไจ่เอ่ย “ข้าก็แค่ว่าไปตามเนื้อผ้า หวงโจวผู้นี้มีชื่อเสียงที่ดีอยู่ในตรอกต้าอวี่หลิ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บันทึกการเข่นฆ่าในสนามรบของเขา ข้าได้อ่านมา อย่างละเอียดแล้ว ซึ่งตัวเขาก็คู่ควรกับคำประเมินว่าทุ่มเทอย่างสุดความสามารถ ขอข้าพูดประโยคไม่น่าฟังสักคำ ผู้ฝึกกระบี่อย่างหวงโจวนี้ แม้ว่าขอบเขตจะไม่สูง สังหารศัตรูไปไม่มาก แต่กลับเป็นรากฐานในการหยัดยืนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่ายๆ แม้แต่จะทำให้พอเป็นพิธีสักนิดก็ยังไม่ทำ ข้าก็กล้าแน่ใจเลยว่า มีแต่จะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ทั่วไปหลายคนรู้สึกเสียขวัญกำลังใจ แยกแยะ การลงโทษและการให้รางวัลอย่างชัดเจนก็คือกฎเหล็กของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทำไม เป็นลูกศิษย์ของอริยะ เป็นศิษย์น้องของเซียนกระบี่ใหญ่แล้วก็ร้ายกาจมาก นักหรือ?”

กล่าวมาถึงตรงนี้ หวังไจ่ที่มีสีหน้าหนักแน่นก็มองไปยังเซียนกระบี่สองท่าน อย่างจู๋อานและลั่วซาน เวลานี้บนร่างของวิญญูชนลัทธิขงจื๊อมีพลังอำนาจของคำกล่าวที่ว่าแม้คนนับพันนับหมื่นจะขัดขวาง ข้าก็ยังบุกรุดไปเบื้องหน้าอย่างห้าวหาญอยู่

ใต้เท้าอิ่นกวานลืมตาขึ้น มายืนอยู่ริมขอบของเก้าอี้แล้วโยกตัวไปมาหน้าทีหลังทีเหมือนตุ๊กตาล้มลุก นางไม่คิดจะหันไปมองบัณฑิตผู้นั้นแม้แต่น้อย เพียงพูดอย่างเกียจคร้านว่า

“คนอย่างหวงโจวผู้นี้ หากในนครมีหนึ่งหมื่นคน ข้าสังหารไปแค่เก้าพันเก้าร้อยเก้าสิบเก้าคน เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสก็คงด่าว่าข้าบกพร่องต่อหน้าที่แล้ว แล้วก็คงต้องลงโทษไม่ให้ข้าดื่มเหล้าไปนานอีกกี่ปีกี่ปีกี่ปี”

หลังจากที่นางเปิดปากพูด

เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านอย่างจู๋อานและลั่วซานต่างก็พากันลุกขึ้นยืน

ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็ยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งท่าเงี่ยหูราวกับรอฟัง พระราชโองการอย่างไรอย่างนั้น

ใต้เท้าอิ่นกวานยกมือขึ้นปิดปากที่กำลังหาวหวอด “เพราะสงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นติดๆ กันหลายครั้ง สมองของพวกเจ้าก็เลยกระทบกระเทือนจนใช้การไม่ได้แล้ว ใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็กินข้าวเยอะๆ ดื่มน้ำมากๆ อย่าเอาแต่ฝึกกระบี่ ฝึกกระบี่แล้วก็ฝึกกระบี่ เพราะง่ายที่จะฝึกจนสมองเสียหาย พวกเจ้ายังถือว่าดี ส่วนคนบางคน ที่เรียนหนังสือจนสมองเลอะเลือนไปแล้ว ข้าคงช่วยไม่ได้หรอก”

สีหน้าของวิญญูชนหวังไจ่เป็นปกติ

ใต้เท้าอิ่นกวานยังคงพยักหน้าพูดอยู่กับตัวเอง “แม้ว่าข้าจะไม่ชอบเฉินผิงอันผู้นั้น แต่เวลานี้พอเอามาเปรียบเทียบดูกลับรู้สึกว่ามองเขาแล้วสบายตาขึ้นมาก เฮ้อ นี่เพราะอะไรกันนะ? เพราะอะไรกันนะ?”

นางชี้ไปที่ลั่วซาน “ไหนเจ้าลองว่ามาสิ”

ลั่วซานยิ้มกล่าว “เพราะคืนนี้พระจันทร์สวย”

ใต้เท้าอิ่นกวานพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

หวังไจ่ยืนนิ่งไม่ขยับ

ใต้เท้าอิ่นกวานรู้สึกนับถือหนังหน้าของพวกบัณฑิตเหล่านี้จริงๆ จึงหันไปขยิบตาให้จู๋อาน ฝ่ายหลังจึงเริ่มหาข้ออ้างพาหวังไจ่ออกไปจากห้องโถงที่ปรึกษางานทันที

และลั่วซานก็พาผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นจากมาด้วย

จึงเหลือแค่อาจารย์และศิษย์สองคน

ผังหยวนจี้ยิ้มกล่าว “อาจารย์ สายของหย่าเซิ่งเกลียดชังสายของเหวินเซิ่งขนาดนี้เลยหรือ?”

ใต้เท้าอิ่นกวานกวักมือเรียก ผังหยวนจี้จึงเดินมาหยุดอยู่ข้างเก้าอี้ไท่ซือตัวนั้น ผลกลับถูกใต้เท้าอิ่นกวานจับแก้มแล้วบิดเต็มแรง “หยวนจี้ เจ้านี่แหละที่ถือว่า ฝึกกระบี่จนหัวสมองเลอะเลือนมากที่สุด!”

ยามอยู่กับอาจารย์สองคน ผังหยวนจี้ก็ไม่ได้พิถีพิถันอะไรมากนัก เขาสลัดหลุดจากมือเล็กๆ ของใต้เท้าอิ่นกวาน นวดคลึงแก้มของตัวเองแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “อาจารย์โปรดไขข้อข้องใจให้ด้วย”

ใต้เท้าอิ่นกวานเหลือกตามองบน “เหตุใดข้าถึงได้มีลูกศิษย์โง่ๆ แบบนี้ได้นะ เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าหวังไจ่กำลังตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับเฉินผิงอัน? เขากำลังจับพวกเรามัดรวมกันเพื่อให้ช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเฉินผิงอันต่างหาก เรื่องง่ายๆ แค่นี้ เจ้าก็ยังมองไม่ออกอีกหรือ? แต่ข้าจะไม่ให้เขาสมใจหวังหรอก ถึงอย่างไรเฉินผิงอัน ผู้นั้นก็เป็นพวกฉลาดทันคน เขาไม่สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว”

ผังหยวนจี้ใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้ารับ ขณะเดียวกันก็อดเดือดดาลไม่ได้ เจ้าหวังไจ่ผู้นี้ถึงขั้นกล้าใช้อุบายกับอาจารย์ของตนเชียวหรือ?

ใต้เท้าอิ่นกวานโบกมือ “นี่จะนับเป็นอะไรได้ เห็นได้ชัดว่าหวังไจ่กำลังสงสัยตระกูลต่ง แล้วก็สงสัยข้าด้วย หรือพูดอีกอย่างก็คือ นอกจากเฉินชิงตูและอริยะของสามฝ่ายที่เฝ้าพิทักษ์ที่แห่งนี้แล้ว ไม่ว่าตระกูลใหญ่ตระกูลใด หวังไจ่ก็รู้สึกกังขาทั้งนั้น

ยกตัวอย่างเช่นใต้เท้าอิ่นกวานอย่างข้า หวังไจ่ก็สงสัยเหมือนกัน เจ้าคิดว่า อริยะลัทธิขงจื๊อที่แพ้ให้ข้าคนนั้นเป็นตะเกียงประหยัดน้ำมันหรือไร หลังจากที่ตัวเองต้องคอตกไปจากที่นี่ จะยัดคนโง่คนหนึ่งเข้ามาในกำแพงเมืองปราณกระบี่ เพื่อให้ตัวเองขายหน้าอีกครั้งหรือ?”

ผังหยวนจี้ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “เรื่องพวกนี้ข้าไม่เชี่ยวชาญเลย”

ใต้เท้าอิ่นกวานยกสองมือทำมุทรากระบี่แล้วโบกสะบัดส่งเดช พลางเอ่ยว่า “เจ้าจะเชี่ยวชาญเรื่องพวกนี้ไปทำไม? เจ้าก็คือใต้เท้าอิ่นกวานคนถัดไปแน่นอน อยู่แล้ว ออกกระบี่สวบๆๆ พรวดๆๆ แล้วสามารถฆ่าคนตายได้ก็พอแล้ว”

ผังหยวนจี้กล่าว “ทีอาจารย์ยังเชี่ยวชาญมากเลยไม่ใช่หรือ?”

นางเอ่ย “ก็ข้าคืออาจารย์ของเจ้านี่นา”

ผังหยวนจี้พยักหน้ารับ “มีเหตุผล”

ใต้เท้าอิ่นกวานยกเท้าขึ้นถีบ “เจ้าคนหน้าด้าน พูดจาเลียนแบบข้ารึ? เอาเงินมา! หรือจะเอาเหล้ามาใช้หนี้แทนก็ได้!”

ผังหยวนจี้โยนเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งไปให้ ใต้เท้าอิ่นกวานจึงเก็บไว้ในจักรวาลชายแขนเสื้อ นางแอบสะสมเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อยเหมือนมดย้ายรัง ตอนนี้นางไม่สามารถดื่มได้ แต่นางสามารถเก็บไว้ก่อนได้นี่นา

ช่วงปลายปี หนิงเหยาถามเฉินผิงอันว่าทำไมถึงไม่เตรียมกลอนคู่ ภาพเทพทวารบาล ปีนั้นตอนที่อยู่ในเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจู หนิงเหยาเดินผ่านเรือนหลังต่างๆ แล้วก็ให้รู้สึกว่ามีกลิ่นอายความเป็นมงคลอย่างยิ่ง จึงคิดถึงความรู้สึกนั้นขึ้นมา

เฉินผิงอันยิ้มถามว่า แล้วที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีของพวกนี้ขายด้วยหรือ? หนิงเหยาจึงบอกว่าเจ้าก็สามารถเขียนเอง วาดเองได้นี่นา

เฉินผิงอันจึงบอกว่าเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ไม่จำเป็นต้องจงใจพิถีพิถันกับเรื่องพวกนี้

หนิงเหยาจึงเริ่มมีโทสะเล็กน้อย บอกว่าจะไปสนทำไมว่าพวกเขาคิดอะไร

เฉินผิงอันกลับบอกว่าต้องสนสิ

หนิงเหยาจึงเริ่มโมโหขึ้นมาจริงๆ แล้ว เฉินผิงอันจึงอธิบายเหตุผลให้นางฟัง อย่างละเอียด สุดท้ายบอกว่าเรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เขายังอยู่ในกำแพงเมือง ปราณกระบี่อีกนาน ไม่แน่ว่าวันหน้าเขาอาจมีโอกาสได้ขายกลอนคู่ปีใหม่ ภาพเทพทวารบาลก็ได้ ก็เหมือนอย่างที่ทุกวันนี้ร้านเหล้าน้อยใหญ่ในนครล้วนมี ความเคยชินในการแขวนคำโคลงคู่หน้าร้าน

หนิงเหยาถึงได้ยอมปล่อยตามใจเขา

เมื่อรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้ว เฉินผิงอันก็ต้องไปที่หัวกำแพงเมืองกระบี่อีกรอบเพื่อไปฝึกกระบี่กับศิษย์พี่จั่วโย่ว

คราวนี้เขาฉลาดแล้ว พกเอาขวดกระเบื้องยาทาไปด้วย คิดว่าจะจัดการกับ อาการบาดเจ็บตั้งแต่ที่หัวกำแพงเมืองเสียเลย เวลาคนอื่นเห็นจะได้ไม่ต้องรู้สึกตกใจ เพราะถึงอย่างไรก็เป็นช่วงวันปีใหม่แล้ว เพียงแต่ว่าคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต กลางดึก หนิงเหยาที่ฝึกตนในศาลาของแท่นสังหารมังกรเสร็จ รอคอยอยู่นานก็ยังไม่เห็น คนมาหา จึงไปที่หัวกำแพงเมือง นางถึงได้เห็นว่าเฉินผิงอันที่นอนคว่ำกำลังพันแผลให้กับตัวเองอยู่ห่างจากจั่วโย่วไปสิบก้าว คาดว่าก่อนหน้านั้นคงบาดเจ็บไม่น้อยเลยจริงๆ ไม่อย่างนั้นด้วยความเคยชินในการหล่อหลอมเรือนกายในระดับที่รุนแรง เหมือนใกล้ตายของเฉินผิงอันแล้ว ป่านนี้ก็คงบังคับเรือยันต์กลับจวนเหยาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นไปแล้ว

หนิงเหยานั่งลงข้างกายเฉินผิงอัน หันหน้ามาขึงตาใส่จั่วโย่วแล้วพูดตำหนิว่า “นี่มันช่วงวันปีใหม่นะ!”

จั่วโย่วอัดอั้นอยู่นาน กว่าจะพยักหน้าเอ่ยว่า “คราวหน้าจะระวัง”

เฉินผิงอันแอบหัวเราะชอบใจ

สุดท้ายจั่วโย่วเอ่ย “เคยมีมหาปราชญ์ถามคำถามสวรรค์อยู่ริมแม่น้ำ ทิ้งคำถาม ไว้ให้กับคนรุ่นหลังหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามข้อ ภายหลังมีบัณฑิตคนหนึ่งตอบคำถามหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามข้อของมหาปราชญ์อยู่ในห้องหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องนี้ เจ้าสามารถ ลองไปทำความเข้าใจดูได้”

เฉินผิงอันรับปาก เกี่ยวกับเรื่องการซื้อหนังสือ สามารถให้เฉินซานชิวช่วยเหลือได้ เจ้าหมอนี่ชอบเก็บสะสมหนังสืออยู่แล้ว

เฉินผิงอันหยิบเรือยันต์ออกมา หนิงเหยาเป็นคนบังคับ เดินทางกลับไปที่จวนหนิงด้วยกัน

แต่ละครอบครัวของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีการกินอาหารมื้อวันสิ้นปี แต่ในจวนเหยาแห่งนี้ วันนั้นเฉินผิงอันเข้าครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารมากมายเต็มโต๊ะ

สหายก็ต้องมีสหายเป็นของตัวเอง

นอกจากต่งฮว่าฝูที่ค่อนข้างจะเก็บตัวสันโดษ ไม่มีคนวัยเดียวกันที่คุยกันรู้เรื่องเท่าไรแล้ว เยี่ยนจั๋วก็มีภูเขาเล็กๆ อีกลูกหนึ่งเป็นของตัวเอง เฉินซานชิวที่มีมิตรสหายกว้างขวางก็ยิ่งมีภูเขามากกว่า

ในช่วงเดือนหนึ่ง วันนี้เฉินซานชิวพาเพื่อนรักสามคนของตัวเองไปดื่มเหล้าที่ร้านของเตี๋ยจ้าง

คนทั้งสี่นั่งอยู่บนโต๊ะตัวเดียวกัน คนหนึ่งคือลูกหลานแซ่ใหญ่นามว่าฟ่านต้าเช่อ ดื่มเหล้าจนเมามาย ตีโพยตีพายจะเป็นจะตาย น้ำมูกน้ำตาไหลนองเต็มหน้า

เฉินซานชิวก็ระอาใจมากเหมือนกัน ชายหนุ่มหญิงสาวอีกสองคนที่เหลือซึ่งมี ชาติกำเนิดไม่ต่างจากฟ่านต้าเช่อก็จนปัญญา แล้วนับประสาอะไรกับที่ชายหญิงคู่นี้ ก็คือคู่รักกัน อยู่บนโต๊ะเหล้าวันนี้พวกเขาไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก เพราะสตรี ในดวงใจของฟ่านต้าเช่อฐานะไม่เหมาะสมคู่ควรกัน ตระกูลของฟ่านต้าเช่อเหนือกว่า แต่คิดไม่ถึงว่ากลับยังถูกสตรีผู้นั้นทิ้งไปหาลูกหลานตระกูลใหญ่อีกคน ตอนนี้ก็น่าจะเริ่มพูดคุยเรื่องการแต่งงานกันแล้ว เรื่องนี้พวกสหายของเฉินซานชิวก็รับมือไม่ทันเหมือนกัน ต่างก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดสตรีขอบเขตชมมหาสมุทรที่มีชื่อว่าอวี๋เชี่ยผู้นั้น ถึงได้ทิ้งฟ่านต้าเช่อ หันไปอยู่ในอ้อมกอดของคนอื่นแทน

ตัวฟ่านต้าเช่อเองก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงดื่มจนเมาเละ พูดจาไม่รู้เรื่อง

เห็นเฉินผิงอัน ฟ่านต้าเช่อก็ตะโกนเสียงดัง “โอ้ นี่มันเถ้าแก่รองของพวกเราไม่ใช่หรือ นานๆ จะโผล่มาสักที มาดื่มเหล้าด้วยกัน ดื่มเหล้า!”

เฉินผิงอันมาที่ร้านเพียงลำพังเพราะจะมาคิดบัญชีกับเตี๋ยจ้างพอดี แต่ถูกเฉินซานชิวขยิบตาเรียกให้ไปช่วยคลี่คลายสถานการณ์ เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย สำหรับฟ่านต้าเช่อกับอวี๋เชี่ยนั้น เขาแค่เคยเจอมาสองครั้ง ไม่เคยได้พูดคุยอะไรกัน แล้วตอนนี้จะให้คุยอะไรได้ ดังนั้นพอนั่งลงบนม้านั่งตัวยาวข้างกายเฉินซานชิว จึงทำเพียงแค่หยิบเหล้ามาสองไห เปิดออกเองหนึ่งไหแล้วดื่มเหล้าเงียบๆ เท่านั้น ฟ่านต้าเช่อดื่มไปเยอะแล้ว เอาแต่เสียใจอยู่กับตัวเอง ดวงตาที่หรี่ปรือกลบไปด้วยน้ำตา มองดูแล้วคงจะเสียใจอย่างสุดแสนจริงๆ

ที่น่าสงสารที่สุดก็คือ ดื่มเหล้าไปมากมายขนาดนั้น แต่กลับยังไม่เมาตาย แล้วก็ยังลืมทุกข์ไม่ได้

ช่วยไม่ได้ บางครั้งการดื่มเหล้าดับทุกข์กลับมีแต่จะยิ่งเป็นการสาดเกลือลงบนบาดแผล ยิ่งหัวใจเจ็บปวดเท่าไรก็ยิ่งยากจะดื่มมากเท่านั้น หวังให้ใจตายด้าน เจ็บปวดตายกันไปข้าง

เฉินซานชิวก็ไม่ได้ต้องการให้เฉินผิงอันพูดอะไร ก็แค่ลากคนมาดื่มเหล้าด้วยกันเพิ่มอีกคนเท่านั้น

เฉินผิงอันฟังไปฟังมาก็พอจะเข้าใจได้บ้างแล้ว เพียงแต่ว่าความสัมพันธ์ของ ทั้งสองฝ่ายตื้นเขิน เฉินผิงอันจึงไม่ยินดีจะเปิดปากพูดอะไร

สามารถทำให้ฟ่านต้าเช่อเจ็บปวดปานจะขาดใจเช่นนี้ได้ ต่อให้ดื่มเหล้าไปมากมายขนาดนี้ก็ยังตัดใจพูดถึงอวี๋เชี่ยผู้นั้นแรงๆ สักคำไม่ลง เฉินผิงอันเคยลองสังเกตอีกฝ่าย คือสตรีคนหนึ่งที่ดื่มเหล้าแต่ไม่เคยเมา บุคลิกดีมาก แม้ว่าจะมีชาติกำเนิด ไม่ค่อยดี แต่กลับมีกลิ่นอายของตำราอย่างที่หาได้ยากจากตัวของสตรีในกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วก็มีความใจกว้างผึ่งผายอยู่หลายส่วน การที่เฉินผิงอันเคยลอบสังเกตนางก็เพราะตอนนั้นนางมีการกระทำหนึ่งที่ทำให้เฉินผิงอันจำได้แม่นยำ ตอนนั้น พวกเฉินซานชิว ฟ่านต้าเช่อนั่งล้อมอยู่บนโต๊ะเหล้าตัวเดียวกัน บังเอิญเจอกับ เซียนกระบี่ท่านหนึ่งที่อวี๋เชี่ยรู้จัก นางจึงลุกขึ้นไปดื่มคารวะอีกฝ่าย ตอนนั้นอวี๋เชี่ย ยื่นมือไปกุมมือของเซียนกระบี่อย่างเป็นธรรมชาติ อันที่จริงท่าทางนั้นอยู่ในขอบเขต ที่พอเหมาะพอควร ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังไม่รู้สึกว่าเสียมารยาทอะไร และบุรุษ ที่เป็นเซียนกระบี่ผู้นั้นก็ไม่ได้คิดอะไรไปไกล แต่เฉินผิงอันกลับจดจำได้อย่างชัดเจน เพราะบนโต๊ะเหล้าน้อยใหญ่ของใต้หล้าไพศาล เฉินผิงอันก็เคยเจอสตรีที่มีลักษณะทำนองเดียวกันนี้มาก่อน บุคลิกสุภาพสง่างาม ท่วงท่าเยือกเย็นสุขุม ทำให้บุรุษชื่นชมได้เป็นอย่างดี ภาพเหตุการณ์ทำนองเดียวกันนี้ ไม่ได้บอกว่าอวี๋เชี่ยเป็นหญิงกากีอะไร ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ เพราะนั่นก็คือการรู้จักวางตัวเข้าสังคมที่มีการกะน้ำหนักความเหมาะสมได้อย่างดีเยี่ยม

ยังไม่ต้องพูดว่าเฉินผิงอันรับได้หรือไม่ แต่โดยรวมแล้วก็คือพอจะเข้าใจได้ ชีวิตคนมีจุดใดบ้างที่ไม่ได้อยู่บนเส้นทางของการฝึกตน ต่างคนก็ต่างต้องมีวิธีในการหยัดยืนเอาชีวิตรอด

การกระทำและคำพูดมากมาย ความพยายามในเวลาปกติที่คนอื่นไม่เห็นอยู่ในสายตา ก็คือยันต์คุ้มกันกายแต่ละแผ่นที่คนบางคนแลกเปลี่ยนมาให้ตัวเองเงียบๆ แต่เห็นได้ชัดว่าฟ่านต้าเช่อไม่เข้าใจ ถึงขั้นยังไม่เคยเก็บเอามาใส่ใจ คงเป็นเพราะในใจของเขา สตรีที่ตัวเองรักก็คือคนที่รู้กาลเทศะอยู่แล้ว

สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว ฟ่านต้าเช่อชอบอีกฝ่ายมากเกินไป และยังเป็นความชอบแบบสุดจิตสุดใจอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเข้าใจ ความชื่นชอบ รวมไปถึงการใช้ชีวิตที่ยากลำบากของอีกฝ่ายอย่างแท้จริงเสมอไป

อีกทั้งฟังจากคำพูดของฟ่านต้าเช่อ หลังจากได้ยินอวี๋เชี่ยบอกว่าต้องการแยกทางกับตน เขาก็สับสนมึนงงไปอย่างสิ้นเชิง ถามนางว่าตัวเองทำอะไรผิดไปหรือไม่ เขาสามารถแก้ไขได้

แต่อวี๋เชี่ยกลับยืนกรานหนักแน่น บอกแค่ว่าทั้งสองฝ่ายไม่เหมาะสมกัน ดังนั้นท่ามกลางคำพูดมากมายของฟ่านต้าเช่อที่เมามายในวันนี้ จึงมีประโยคหนึ่งที่บอกว่า ทำไมถึงจะไม่เหมาะสมกันเล่า ทำไมเดินมาถึงวันนี้ถึงเพิ่งจะค้นพบว่าไม่เหมาะสมกัน?

ฟ่านต้าเช่อพลันตะโกนขึ้นมาว่า “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามรู้สึกว่าอวี๋เชี่ยเป็นผู้หญิงไม่ดี ห้ามคิดแบบนี้เด็ดขาด!”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ตกลง!”

ฟ่านต้าเช่อชูถ้วยเหล้าขึ้น ดื่มเหล้าไปครึ่งถ้วย เพราะว่าเหล้าอีกครึ่งหนึ่งล้วนหกออกหมด มองเฉินผิงอันที่นั่งอยู่ข้างกายเฉินซานชิว ทว่าแท้จริงแล้วสายตากลับไร้แวว เขาถามเสียงสั่นว่า “เจ้าลองบอกหน่อยสิ ข้าผิดตรงไหน? ทำไมนางอวี๋เชี่ยนึกจะบอกว่าแต่งงานก็แต่งงานกับคนอื่นไปแล้ว? เรื่องของความรักนี้ คนดีมักจะต้องเสียเปรียบอยู่เสมอเลยหรือ? เพราะว่าเจ้าตะพาบผู้นั้นพูดคำหวานได้เก่งกว่า เอาใจสตรีได้ เก่งกว่าหรือ?

ข้าควักใจมามอบให้นางอวี๋เชี่ย เหตุใดถึงกลายเป็นแย่ไปได้? ครอบครัวข้าควบคุมเข้มงวด เงินเทพเซียนมีไม่มาก แต่ขอแค่เป็นของที่นางชอบ ต่อให้เงินข้าไม่พอ แต่มีครั้งใดบ้างที่ข้าไม่ยืมเงินซานชิวเพื่อเอามาซื้อให้นาง?”

ฟ่านต้าเช่อหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันเจ้าเป็นคนนอก คนที่อยู่นอกสถานการณ์ย่อมมองเห็นชัดเจนกว่า เจ้าลองบอกหน่อยสิว่าข้าผิดตรงไหนกันแน่?”

เฉินผิงอันถาม “นางรู้หรือไม่ว่าเจ้ายืมเงินจากเฉินซานชิว?”

ฟ่านต้าเช่ออึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “มารดาเถอะ ข้าจะไปรู้ได้อย่างไรว่านางรู้หรือไม่! หากข้ารู้ เวลานี้อวี๋เชี่ยก็คงนั่งอยู่ข้างกายข้าแล้ว แล้วรู้หรือไม่รู้จะเกี่ยวอะไรกันด้วย อวี๋เชี่ยควรจะนั่งอยู่ตรงนี้ ดื่มเหล้าร่วมกับข้า ดื่มเหล้ากับข้า…”

กล่าวมาถึงช่วงสุดท้าย น้ำเสียงก็แผ่วเบา คนหนุ่มมีเพียงความเสียใจเท่านั้น

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก วางถ้วยเหล้าลง ถามเสียงเบาว่า “นางรู้หรือไม่รู้ ไม่มีเกี่ยวเลยจริงๆ หรือ?”

ฟ่านต้าเช่อพลันแผดเสียงดังลั่น “เฉินผิงอัน เจ้าอย่ามาพูดจาเหน็บแนมเสียดสีผู้อื่น ทำตัวเป็นคนยืนพูดไม่ปวดเอว เจ้าชอบหนิงเหยา หนิงเหยาก็ชอบเจ้า พวกเจ้า ล้วนเป็นคนในกลุ่มเทพเซียน พวกเจ้าไม่รู้หรอกว่ารสชาติชีวิตคนธรรมดาเป็นเช่นไร!”

เฉินซานชิวเตรียมจะเปิดปากเตือนฟ่านต้าเช่อให้พูดจาหยาบคายให้น้อยลงหน่อย แต่กลับถูกเฉินผิงอันยื่นมือมากดแขนเบาๆ เขาส่ายหน้าบอกเป็นนัยแก่เฉินซานชิวว่า ไม่เป็นไร

และเฉินผิงอันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแค่ดื่มเหล้าไปเงียบๆ

แต่ดูเหมือนว่าในที่สุดฟ่านต้าเช่อก็หาวิธีคลายความทุกข์ได้ จึงเริ่มหันมาเล่นงานเฉินผิงอันแทนด้วยการพูดคำหยาบมากมาย ยังดีที่แค่เกี่ยวกับความรักชายหญิงเท่านั้น

เฉินซานชิวหน้าเขียว แม้แต่เตี๋ยจ้างก็ยังขมวดคิ้ว คิดว่าควรจะปล่อยหมัดต่อย ให้อีกฝ่ายหมดสติไปเลยดีหรือไม่

เฉินผิงอันสีหน้านิ่งสงบอยู่ตลอดเวลา รอจนฟ่านต้าเช่อพูดถ้อยคำที่มาจาก ความโมโหซึ่งแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังรู้สึกว่าไร้เหตุผลจบก็แผดเสียงร้องไห้โฮ

เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยว่า “ตัวเองทำได้ไม่ดีพอ รั้งคนเขาไว้ไม่ได้ ก็อย่าได้หาข้ออ้างให้ตัวเอง โทษว่าตัวเองเป็นคนดี รู้สึกว่าการชอบสตรีคนหนึ่งอย่างหมดใจก็เป็น เรื่องผิด อย่าอ้างว่าตัวเองปากไม่หวานพูดจาไม่น่าฟังเหมือนคนอื่น สายตาตัวเอง ไม่ได้เรื่องก็ต้องยอมรับแต่โดยดี หลายคนๆ เวลาชอบใคร นอกจากจะชอบ อีกฝ่ายแล้ว อันที่จริงก็เป็นการชอบตัวเองด้วย หลงใหลเคลิบเคลิ้มอยู่กับ ความรู้สึกนั้น รักจะเป็นจะตาย ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลก็แค่ทำให้ตัวเองดูเท่านั้น แม้แต่คนที่ตัวเองตาบอดไปชอบ หรือไม่ก็เสี่ยงดวงไปชอบคิดอย่างไรกันแน่ แม้แต่เรื่องที่ว่าอีกฝ่ายมีค่าพอให้ตัวเองทุ่มเทขนาดนี้หรือไม่ก็ยังไม่รู้เลย ถึงอย่างไรก็ต้อง ให้ตัวเองรู้สึกซาบซึ้งใจก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ฟ่านต้าเช่อตบโต๊ะดังลั่น “เจ้าหุบปาก!”

เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “พอเกิดเรื่องแล้วเสียใจก็มาดื่มเหล้า แล้วค่อยหาข้ออ้างให้ตัวเองอีกสักสองสามข้อ อย่างเช่นว่าความจริงใจของคนดีไม่มีค่าแม้แต่เหรียญทองแดงเดียวอะไรนั่น เจ้าฟ่านต้าเช่อโชคไม่ดีที่ยังพอมีฐานะอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นข้ออ้างคงมากกว่านี้ แล้วก็จะยิ่งกลัดกลุ้มมากกว่านี้ ราวกับว่าการที่รั้งสตรีคนหนึ่งไว้ไม่ได้ก็คือหายนะที่เกิดจากเงิน ส่วนข้อที่ว่าท่ามกลางความรักของชายหญิงครั้งนี้จะสามารถรับผิดชอบต่อตัวเองก่อน แล้วถึงจะสามารถรับผิดชอบต่อสตรี ได้อย่างแท้จริงหรือไม่ จำเป็นต้องคิดด้วยหรือ?

ข้าว่าไม่จำเป็นหรอก ข้าผู้อาวุโสเสียใจจะตายอยู่แล้ว ยังจะต้องคิดว่าตัวเอง เคยทำผิดอะไรด้วยหรือ แล้วแบบนั้นจะทำให้ตัวเองซาบซึ้งใจได้อย่างไร?”

ฟ่านต้าเช่อโงนเงนลุกขึ้นยืน ใบหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย “เจ้าคนแซ่เฉิน มาสู้กันสักทีดีไหม?!”

เฉินผิงอันโบกมือ “ไม่สู้ล่ะ ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นเพื่อนของเฉินซานชิว ถึงได้พูดประโยคที่ไม่น่าฟังมากหน่อย”

เฉินผิงอันกระดกดื่มเหล้าในถ้วยจนหมดในรวดเดียว แล้วก็รินอีกชาม จากนั้น ก็ดื่มจนหมด “พูดมากไป เจ้าก็ถือเสียว่าข้าเมาก็แล้วกัน ข้าขอโทษเจ้าตรงนี้”

ฟ่านต้าเช่อหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ข้ารับคำขอโทษจากเจ้าเฉินผิงอันไม่ไหวหรอก!”

อันที่จริงเพื่อนสองคนของฟ่านต้าเช่อก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจในตัวเฉินผิงอัน

มีใครเขาเกลี้ยกล่อมคนอื่นแบบเจ้าบ้าง? นี่ไม่ใช่การราดน้ำมันลงบนกองเพลิงหรอกหรือ?

ฟ่านต้าเช่อจ้องเฉินผิงอันเขม็ง “เจ้าเคยผ่านประสบการณ์เรื่องอะไรมาสักเท่าไรเชียว คู่ควรจะพูดถึงหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่พวกนี้ด้วยหรือ?”

เฉินซานชิวพูดกับฟ่านต้าเช่อ “พอได้แล้ว! เมาแล้วอย่าคลุ้มคลั่ง!”

สีหน้าของฟ่านต้าเช่อเปลี่ยวเหงา เดินเซไปทีหนึ่ง กว่าจะคว้าโต๊ะไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย พูดเสียงสะอื้นว่า “ซานชิว”

เฉินซานชิวถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน “พอเถอะ คิดเงินกันเถอะ”

เฉินผิงอันมองเฉินซานชิวอย่างขออภัย เฉินซานชิวยิ้มพลางพยักหน้าให้

เฉินผิงอันลุกเดินออกมาจากโต๊ะ เดินไปหาเตี๋ยจ้าง

ฟ่านต้าเช่อพลันคว้าถ้วยเหล้าขว้างไปข้างกายเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า แต่ไม่ได้หมุนตัวกลับ เฉินซานชิวเดินอ้อมโต๊ะออกมารั้งตัวฟ่านต้าเช่อเอาไว้ คำรามอย่างเดือดดาลว่า “ฟ่านต้าเช่อ! เจ้าดื่มเหล้าจนสมอง ไม่เหลือแล้วหรือไร!”

เตี๋ยจ้างทำท่าจะลงมือ เฉินผิงอันที่หันหลังให้โต๊ะส่ายหน้าให้นาง

ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจที่มีหรือไม่มีเหตุผล ความเสียใจของคนคนหนึ่ง ในช่วงเวลาที่อารมณ์ดำดิ่งมักจะดำรงอยู่ยาวนานเสมอ

ฟ่านต้าเช่อดิ้นรนจะสลัดให้หลุด ตะโกนใส่แผ่นหลังคนชุดเขียวว่า “เฉินผิงอัน! เจ้าจะนับเป็นผายลมอะไรได้ เจ้าไม่เข้าใจอวี๋เชี่ยเลยสักนิด เจ้ากล้าพูดถึงนางแบบนี้ ข้าไม่จบกับเจ้าง่ายๆ แน่!”

เฉินผิงอันหันหน้ากลับมา เอ่ยว่า “รอให้เจ้าสร่างเมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน”

ฟ่านต้าเช่อไม่ทันระวังศอกเข้าที่หน้าอกของเฉินซานชิว สะบัดตัวหลุดออกมาได้ สองมือของเขากำเป็นหมัด ดวงตาแดงก่ำ หอบหายใจเสียงดัง “เจ้าว่าข้าได้ แต่ห้ามว่าอวี๋เชี่ยแม้แต่ครึ่งคำ แค่ครึ่งคำก็ไม่ได้!”

เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ยว่า “ข้าพูดกับเจ้าด้วยจิตใจที่สงบเป็นกลาง นี่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าฟ่านต้าเช่อทำถูกมากแค่ไหน ก็แค่ข้าได้รับการอบรมสั่งสอนมาจากทางบ้านเท่านั้น”

เตี๋ยจ้างมองแผ่นหลังของเฉินผิงอัน

นาทีนี้นางรู้สึกเคารพกริ่งเกรงเขาเล็กน้อย เหมือนกับเวลาปกติที่นางได้เห็น พวกเซียนกระบี่ที่สูงส่งเกินใครเหล่านั้น

อาเหลียงมักจะพูดบ่อยๆ ว่า พวกผู้อาวุโสเซียนกระบี่ที่วางบารมีไว้บนใบหน้า ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัว คนที่ต้องเคารพยำเกรงอย่างแท้จริง กลับกลายพวกที่ เวลาปกติพูดคุยได้ง่าย

เพราะคำว่ามุมแหลมคมของนิสัย ไม่ใช่หินก้อนเล็กที่หล่นเข้าไปในรองเท้า แล้วคอยทิ่มตำเท้าให้ทุกคนรู้สึกเจ็บยามก้าวเดินอยู่ตลอดเวลา แต่เป็นหินไข่ห่าน ที่อยู่ในลำธาร มองดูเหมือนว่าใครจะคว้าจับมาอย่างไรก็ได้ แต่หากเอามากัดจริงๆ กลับจะทำให้คนฟันหักเอาได้

เฉินซานชิวเองก็โมโหอย่างหนัก ผลักเข้าที่ไหล่ของฟ่านต้าเช่อจนฝ่ายหลังเซ ไปด้านหน้าหลายก้าว “ไป ไปตีกับเขา ตีให้เต็มที่ ไปตีเองเลย! หากตายหรือพิการ ข้าก็จะคิดเสียว่าดวงซวยที่เห็นเจ้าเป็นเพื่อนรัก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังจะแบกเจ้า กลับบ้านด้วยตัวเอง!”

ฟ่านต้าเช่อพลันยืนนิ่ง เหมือนถูกลมพัดให้สมองแจ่มชัดคืนสติ บนหน้าผาก มีเหงื่อผุดซึมออกมา

คิดไม่ถึงว่าเฉินผิงอันผู้นั้นจะยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจ ใครบ้างที่ไม่เคย เมาเหล้าอาละวาด แต่ก็อย่าลืมจ่ายเงินค่าเหล้าล่ะ”

เฉินซานชิวเสียใจจนไส้เขียว หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้แต่แรกก็คงไม่ปล่อยให้ฟ่านต้าเช่อเรียกให้เฉินผิงอันมาดื่มเหล้าด้วยกัน ตอนนี้ยังต้องลากเอาฟ่านต้าเช่อ กลับบ้านไปด้วยกันอีก

หากหนิงเหยารู้เรื่องนี้ตนต้องจบเห่แน่ วันหน้ายังจะเข้าไปเป็นแขกในจวนหนิง ได้หรือไม่ก็เป็นอีกเรื่อง

เตี๋ยจ้างเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเฉินผิงอัน ถามว่า “เจ้าไม่โกรธหรือ?”

เฉินผิงอันนั่งยองลงบนพื้น เก็บเศษถ้วยพวกนั้นมา ยิ้มกล่าวว่า “โกรธแล้วอย่างไรเล่า หากเป็นแบบนี้ทุกครั้ง…”

เตี๋ยจ้างเองก็ทรุดตัวนั่งลง ช่วยเขาเก็บกวาดเศษซากเละเทะ แต่พอไม่ได้ยินประโยคหลังของอีกฝ่ายก็เลยหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ขอแค่เจตนาเดิมของคนที่พูดไม่ได้เลวร้าย ใต้หล้านี้ก็ไม่มีถ้อยคำไม่น่าฟัง หากมีจริงๆ ก็เป็นเพราะตัวเราเองยังฝึกอบรมบ่มเพาะจิตใจได้ ไม่ดีพอ”

เตี๋ยจ้างกลั้นยิ้ม “แล้วเจ้าคนที่ถูกต่อยตายด้วยหมัดเดียวก่อนหน้านี้ล่ะ?”

เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจังเต็มไปด้วยเหตุผล “ยังไม่พูดถึงเจตนาของคนผู้นั้นที่ชั่วร้าย ข้าเองก็ไม่ได้บอกนี่นาว่าอบรมฝึกฝนจิตใจได้ดีพอแล้ว”

เก็บเศษชิ้นส่วนถ้วยขาวบนพื้นไปแล้ว เฉินผิงอันก็ไปเก็บเศษซากบนโต๊ะต่อ นอกจากเหล้าที่เหลือเกินครึ่งไหซึ่งยังดื่มไม่หมดแล้ว เหล้าอีกไหหนึ่งที่ตัวเองหิ้วมา วางก่อนหน้านี้ก็ยังไม่ถูกแกะผนึกดิน เพียงแต่พวกเฉินซานชิวได้คิดเงินรวม ไปหมดแล้ว นับว่ายังมีคุณธรรมอยู่บ้าง

เฉินผิงอันอารมณ์ดีมาก เขารินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย อีกไหหนึ่งที่เหลืออยู่นั้นคิดว่าจะเอากลับไปให้ผู้อาวุโสน่าหลันที่จวนหนิง

เตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ก็แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น

เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงลำพัง ปีหนึ่งผ่านไป ปีใหม่อีกปีก็มาเยือน

เหนียนเหนียนสุ้ยสุ้ย สุ้ยสุ้ยเหนียนเหนียน สุ้ยสุ้ยผิงอัน ผิงผิงอันอัน (เป็นการเล่นคำพ้องเสียงอย่างหนึ่ง ประโยคแรกและประโยคสองหมายถึงทุกปีทุกเวลา/ตลอดไป ประโยคที่สามแปลว่าแตกเพื่อความปลอดภัย เป็นคำพูดแก้เคล็ดในช่วงวันปีใหม่ ของจีน หากทำของแตกจะถือว่าเป็นลางไม่ดี จึงต้องพูดว่าแตกเพื่อความปลอดภัย คล้ายให้เป็นการฟาดเคราะห์อย่างหนึ่ง ประโยคสุดท้ายแปลว่าสงบสุขปลอดภัยตลอดไป)

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version