บทที่ 59 หลับไป
บ้านบรรพบุรุษตระกูลหม่าตรอกซิ่งฮวา เทพเกราะทองที่เดินไปทั่วเมืองเล็กกลับเข้ามาในลานบ้านอีกครั้ง ที่น่าแปลกใจก็คือองค์เทพร่างใหญ่ขนาดนี้เดินไปทั่วสี่ทิศกลับไม่มีใครมองเห็น
เด็กหนุ่มหม่าขู่เสวียนนั่งยองอยู่บนขั้นบันไดนอกประตู พอมองเห็นเทพเกราะทององค์นี้ สีหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง ผู้ฝึกตนสำนักการทหารเขาเจินอู่จึงถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
เห็นเพียงว่าริมฝีปากขององค์เทพที่สวมเสื้อเกราะสีทองวิจิตรอลังการขยับเล็กน้อย แต่หม่าขู่เสวียนกลับไม่ได้ยินเสียงใด จึงหันไปมองผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในห้องอย่างร้อนใจ ฝ่ายหลังถอนหายใจกล่าวว่า “เขาบอกว่าตอนยังมีชีวิตอยู่ ย่าของเจ้าทำบาปมากเกิน ก่อนตายสามจิตเจ็ดวิญญาณ[1]ของนางจึงเป็นเหมือนร่างกายที่ไม่ต่างจากเปลวเทียนกลางสายลม ดังนั้นหลังจากที่ย่าของเจ้าตายไป วิญญาณมนุษย์จึงเน่าเปื่อยไปพร้อมๆ กัน ซ้ำเมืองแห่งนี้ยังแตกต่างไปจากที่อื่น นับตั้งแต่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาก็ปฏิเสธวัตถุดำมืดอย่างดวงวิญญาณมาโดยตลอด เขาจึงไม่พบเศษซากดวงวิญญาณที่เหลืออยู่ของย่าเจ้า”
สีหน้าของหม่าขู่เสวียนดุร้าย เงยหน้าคำรามใส่ทวยเทพองค์นั้น “ข้าไม่สนว่าเจ้าใช้วิธีอะไร จงรีบไปหาดวงวิญญาณของท่านย่ากลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
ผู้ฝึกตนเขาเจินอู่หน้าเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง กลัวว่าหม่าขู่เสวียนจะยั่วยุให้ทวยเทพแซ่อินองค์นี้เดือดดาล กำลังจะอ้าปากเอ่ยปรามเด็กหนุ่ม แต่ไม่รู้ว่าทำไมองค์เทพเกราะทองถึงได้ชิงเปิดปากพูดด้วยภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเสียก่อน “ใช่ว่าไม่ทำ แต่ทำไม่ได้”
หลังกล่าวประโยคนี้จบ องค์เทพผู้มากบารมีที่ถูกปกคลุมอยู่ท่ามกลางแสงสีทองก็มองไปยังผู้ฝึกกระบี่เขาเจินอู่ที่อยู่ในห้อง ฝ่ายหลังสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยกมือทั้งคู่ขึ้นทำท่ากุมก้านธูป หันไปคำนับองค์เทพที่อยู่ในลานบ้านสามครั้ง ทุกครั้งที่ก้มคำนับจะต้องมีปราณสีทองอ่อนเล็กบางราวเส้นผมขุมหนึ่งบินออกมาจากในช่องโพรงหนีหวาน (หมายถึงศีรษะ หัวสมอง) ของผู้ฝึกกระบี่เขาเจินอู่ จากนั้นจึงถูกองค์เทพเกราะทองสูดเข้าจมูกเบาๆ
เมื่อครบสามครั้ง องค์เทพก็พลันทะยานขึ้นสูง ครั้นแล้วจึงกลายร่างเป็นลำแสงสว่างจ้าลำหนึ่งที่พุ่งออกไปจากฟ้าดินแห่งนี้
สีหน้าของผู้ฝึกกระบี่เขาเจินอู่ซีดเซียว ต้องยกเก้าอี้มานั่งแล้วพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ
นี่ก็คือสาเหตุแท้จริงที่พวกชาวบ้านชอบพูดกันว่า “เชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับยาก” (เปรียบเทียบคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่อง แล้วเชิญให้มายุ่งเกี่ยวด้วย พอถึงเวลาจะจัดการกับเขาลำบาก)
หลังดึงสายตากลับมาด้วยสีหน้าเย็นชา หม่าขู่เสวียนก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง นั่งลงข้างศพที่เย็นเฉียบ ยื่นมือไปจับฝ่ามือผอมแห้งของหญิงชรา จ้องใบหน้าของนางเขม็ง เงียบงันไปนาน
ชายสะพายกระบี่ปลดตราพยัคฆ์ที่ผูกอยู่ตรงเอวซึ่งเห็นได้ชัดว่าสีสันหม่นหมองกว่าก่อนหน้านี้เล็กน้อยลงมา แล้วค่อยๆ เก็บเข้าไปในชายแขนเสื้อ
ชายสะพายกระบี่พักอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้น ไม่ได้เดินไปข้างกายเด็กหนุ่ม แต่ไปนั่งอยู่บนธรณีประตู หันหลังให้อีกฝ่าย เอ่ยเนิบช้า “ย่าของเจ้าน่าจะถูกคนตบบ้องหูอยู่ตรงหน้าประตูด้วยพละกำลังมหาศาล ร่างทั้งร่างจึงกระเด็นเข้ามาตายอยู่ในห้อง คำพูดที่ข้าจะพูดต่อไปนี้ เจ้าอาจจะไม่ชอบฟัง แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรจะได้รู้ความจริง มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าคนที่ลงมือก็คือผู้ฝึกลมปราณ ตอนลงมือไม่รู้จักหนักเบา บวกกับที่ร่างกายของย่าเจ้าไม่แข็งแรง ถึงได้ตายไป ในเมื่อเป็นฝีมือของผู้ฝึกลมปราณ ถ้าอย่างนั้นเกินครึ่งก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิงและเด็กสาวจากต่างถิ่น หรือไม่ก็เป็นการลงมือแก้แค้นจากเด็กสาวที่ก่อนหน้านี้เจ้าจงใจทำลายการเข้าฌานดูน้ำของนางที่สะพาน ความเป็นไปได้ของฝ่ายแรกมีน้อยมาก ทว่าฝ่ายหลังกลับมีมาก เพราะฉะนั้น ขณะที่เจ้าไปยังสุสานไร้ระเบียบเพื่อฆ่าเฉินผิงอันด้วยความกตัญญูที่มีต่อย่าของเจ้า หวังตัดผลกรรมในอดีต แต่เจ้ากลับคาดไม่ถึงเลยว่า พอเจ้าออกจากบ้าน จะมีคนมาท้าทายเจ้าถึงที่พอดี”
หม่าขู่เสวียนยื่นมือข้างหนึ่งที่สั่นเทาออกไป ใช้หลังมือแนบรอยจ้ำเขียวช้ำที่ปูดบวมบนซีกหน้าของย่าตัวเองเบาๆ
เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบา “ดังนั้นจึงเป็นข้า ที่ทำให้ท่านย่าตาย ใช่ไหม?”
ชายสะพายกระบี่กล่าว “หากดูตามสายตาของโลกมนุษย์แล้ว ไม่นับว่าใช่ แต่หากดูตาม…”
หม่าขู่เสวียนไม่ต้องการฟังคนผู้นี้พูดอีก จึงลุกขึ้นยืนกล่าวพร้อมยิ้มเหี้ยม “ล้างเมืองล่มชาติทำไม่ได้ ฆ่าคนบริสุทธิ์พร่ำเพื่อทำไม่ได้ นี่ก็ทำไม่ได้ นั่นก็ทำไม่ได้! ถ้าอย่างนั้นฆ่าคนเพื่อแก้แค้นล่ะ ทำได้หรือไม่?!”
ไม่รอให้ชายวัยกลางคนเอ่ยตอบ หม่าขู่เสวียนก็พูดต่อไปว่า “หากแม้แต่เรื่องนี้ก็ยังทำไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหารไปหาสวรรค์วิมานอะไร? ทำไมข้าไม่เป็นมารร้ายที่ทำทุกอย่างได้สมใจปรารถนาไปเสียเลย? ทำไมตอนนั้นข้าถึงไม่รับปากนักพรตและแม่ชีคู่นั้นไปอยู่สำนักอะไรนั่น?!”
ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ชั่วครู่ถึงกล่าวว่า “ขอแค่เจ้าแบกรับผลลัพธ์ทุกอย่างที่จะตามมาได้ ก็พอ”
“เหมือนอย่างในวันนี้”
“อีกอย่าง อันที่จริงยังมีคำพูดบางอย่างที่ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้พูดให้กระจ่าง ยกตัวอย่างเช่นการฆ่าคน แท้จริงแล้วทุกคนต่างก็มีเส้นบรรทัดฐานกางกั้นอยู่ เจ้าสามารถฆ่าคนได้กี่คน ข้าสามารถฆ่าคนได้กี่คน แน่นอนว่าย่อมต่างกันอย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่เพียงแค่เพราะว่าศักยภาพของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้า หรือขอบเขตของข้าสูงกว่าเจ้า แต่นิสัยและจิตใจของคนคนหนึ่งก็สำคัญมากเหมือนกัน นึ่งร้อยคนที่ฆ่าสังหารไปอาจเป็นคนที่สมควรตายทั้งหมด ทว่าสองสามคนที่เจ้าฆ่าไปอาจมีคนที่ไม่สมควรถูกฆ่ารวมอยู่ด้วย”
หม่าขู่เสวียนพลันหลุดหัวเราะพรืด “ฆ่าไม่ฆ่า หรือควรจะฆ่าอย่างไร ข้าจะถามท่านไปทำไม ข้ายังต้องการให้ท่านช่วยเหลืออีกหรือไง! เกือบลืมไป ตอนนี้ข้ายังไม่ใช่ลูกศิษย์ของเขาเจินอู่อย่างเป็นทางการเสียหน่อย!”
เด็กหนุ่มก้มหน้ามองใบหน้าของหญิงชราแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันหน้าไปคำรามใส่โต๊ะแปดเซียนในห้องโถงหลัก “ไสหัวออกมานำทางข้า!”
แมวดำตัวหนึ่งเผ่นแผล็วออกมาจากใต้โต๊ะแปดเซียน หม่าขู่เสวียนจึงวิ่งตะบึงออกไปนอกบ้านพร้อมกับมัน
ชายวัยกลางคนไม่ห้ามปราม
ต้องรู้ว่าแคว้นที่ชายวัยกลางคนอยู่อาศัยตกอยู่ท่ามกลางกลียุคตั้งแต่เมื่อหนึ่งร้อยห้าสิบปีก่อน เทือกเขาธารน้ำแหลกสลาย สงครามโกลาหลเกิดขึ้นตลอดร้อยปี เป็นความโหดร้ายที่แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีอยู่บนโลกใบนี้ สุดท้ายเมื่อหายนะของราชวงศ์ใหม่ครั้งนั้นสิ้นสุดลง แจกันสมบัติทวีปบูรพาอันโดดเด่นเลื่องลือที่มีประชากรสิบล้านคนกลับเหลือไม่ถึงแปดแสนคน เป็นเหตุให้สุดท้ายแล้วเด็กอายุไม่มากส่วนใหญ่ล้วนรู้สึกว่าเมื่อคนทั้งหมดใต้หล้าตายไปแล้วก็ไม่จำเป็นต้องเก็บศพฝังลงหลุมอย่างเป็นระเบียบ
ชายผู้นี้ก็คือหนึ่งในเด็กเหล่านั้น
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนช้าๆ เมื่อเทียบกับการเอ่ยเตือนหม่าขู่เสวียนว่านักฆ่าคนนั้นได้ถูกขับไล่ออกไปจากเมืองแล้ว เขาอยากไปหาอาจารย์หร่วนเพื่อสอบถามถึงเรื่องหนึ่งมากกว่า
เหตุใดสำนักพุทธในแจกันสมบัติทวีปบูรพาที่เสื่อมถอยมานับพันปี มีเพียงแคว้นเล็กๆ บางส่วนเท่านั้นถึงจะมองพุทธมามกะเป็นราชครู และในเมืองแห่งนี้สำนักพุทธก็มีศักยภาพอ่อนด้อยที่สุด ทว่าการโคจรของกฎแห่งกรรมกลับเด่นชัดถึงเพียงนี้
ผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารเดินตามหลังเด็กหนุ่มอยู่ไกลๆ
ต่อให้ตอนนี้หม่าขู่เสวียนจะเป็นลูกศิษย์ของเขาเจินอู่แล้ว แต่ชายวัยกลางคนก็ไม่คิดจะสอดมือเข้ายุ่งเกี่ยวกับบุญคุณความแค้นส่วนตัวของเด็กหนุ่ม
บนสมรภูมิรบต้องร่วมเป็นร่วมตาย บนเส้นทางของการฝึกตนต้องรับผิดชอบความเป็นความตายของตัวเอง
แน่นอนว่าไม่มีเรื่องใดที่ตายตัว ก็เหมือนกับที่ก่อนหน้านี้หม่าขู่เสวียนเพิ่งจะเกือบตายอยู่ในกำมือของเฉินผิงอัน แล้วชายวัยกลางคนลงมือช่วยเหลือ เหตุผลนั้นมีอยู่สองข้อ ข้อแรกเป็นเพราะในใจไม่คาดหวังให้คนมีพรสวรรค์อย่างหม่าขู่เสวียนต้องมาตายก่อนวัยอันควร เขาหวังว่าหม่าขู่เสวียนจะได้ฝึกประสบการณ์ขัดเกลาฝีมือจากบนเขาเจินอู่สักพักหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นด้านพรวรรค์หรือด้านอารมณ์ก็ล้วนมีการพัฒนาไปอีกขั้น หวังว่าเด็กหนุ่มจะกลายมาเป็นหนึ่งในบุคคลผู้เป็นตัวแทนของสำนักการทหาร ได้ปลดปล่อยประกายเจิดจ้าอยู่ท่ามกลางโลกวุ่นวายที่เต็มไปด้วยสงคราม อีกข้อหนึ่งก็เพราะท่านฉีเป็นคนเปิดปากด้วยตัวเอง บอกว่าระหว่างหม่าขู่เสวียนกับเฉินผิงอันแค่รู้ผลแพ้ชนะก็พอแล้ว ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นมีคนตาย
ตอนนั้นเขานึกว่าท่านฉีกังวลว่าเด็กหนุ่มจากตรอกหนีผิงจะตาย พอจบเรื่องถึงได้รู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย
ชายวัยกลางคนเดินตามไปด้านหลังเด็กหนุ่มอยู่ไกลๆ ค้นพบว่าหลังจากที่หม่าขู่เสวียนผ่านประสบการณ์เลือดร้อนพุ่งขึ้นศีรษะในช่วงแรกไปแล้ว ฝีเท้าของเขาก็ช้าลงเรื่อยๆ ยิ่งผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น สุดท้ายเหมือนเด็กหนุ่มทั่วไปที่กำลังเดินเล่น เพียงแต่ว่าเมื่อแมวดำตัวนั้นกระโดดจากหลังคาบ้านมาที่ไหล่ของเด็กหนุ่มแล้วกระโดดลงบนดิน จากนั้นจึงหันตัวกลับแล้ววิ่งจากไป เหมือนจะเป็นการบอกเด็กหนุ่มว่าหาเป้าหมายเจอแล้ว เด็กหนุ่มถึงได้เริ่มวิ่งเหยาะๆ อารมณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ฝนวสันตฤดูเม็ดบางที่ตกลงมาแค่ทำให้ผู้คนที่สัญจรบนทางเท้าเดินเร็วขึ้นเท่านั้น ไม่ถึงขั้นต้องเข้าไปหลบฝนอยู่ใต้ชายคา
ชายหญิงหนุ่มสาวที่สวมอาภรณ์หรูหราคู่หนึ่งกำลังเดินออกจากตรอกฉีหลงไปยังถนนใหญ่ ดูเหมือนว่าพวกเขาต่างก็ได้รับโชควาสนา ใบหน้าจึงเต็มไปด้วยความปิติยินดี เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งสอนให้พวกเขาได้รู้จักคำว่าโชคลาภกับโชคร้ายมักจะมาคู่กัน เด็กหนุ่มเริ่มวิ่งจากจุดที่ห่างไปทางด้านหลังของคนทั้งสองประมาณห้าสิบกว่าก้าว พอขยับเข้ามายี่สิบก้าวก็ตะโกนเรียกเสียงดังหนึ่งครั้ง รอจนชายหนุ่มคนนั้นหันหน้ากลับมามอง หม่าขู่เสวียนก็พลันปล่อยหมัดออกไปอย่างไม่มีออมแรง
หมัดพุ่งแสกหน้า
ชายหนุ่มปลิวกระเด็นไปทั้งตัว พอกระแทกลงบนพื้นถนนอย่างแรง ร่างของเขาก็สั่นกระตุกเบาๆ ไม่มีวี่แววว่าจะดิ้นรนลุกขึ้นมายืน
หลังปล่อยไปหนึ่งหมัด เด็กหนุ่มที่เท้าทั้งคู่เหยียบลงบนพื้นก็มายืนเคียงไหล่กับหญิงสาวพอดี
หม่าขู่เสวียนบิดตัว มือซ้ายโบกไปที่ลำคอของหญิงสาวอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ เสียงปังดังหนึ่งครั้ง หญิงสาวผู้ฝึกตนที่สูงกว่าเขาครึ่งศีรษะก็ถูกฝ่ามือของเด็กหนุ่มตบจนหงายผลึ่งลงไปนอนบนพื้น
ศีรษะของเด็กสาวกระแทกลงบนพื้นดินโคลน
หม่าขู่เสวียนยื่นเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงไปบนศีรษะของนาง ก้มหน้าลงจ้องมองดวงหน้าที่ฉายแววมึนงงเขม็ง ก่อนพูดด้วยภาษาทางการที่สง่างาม “ข้ารู้ว่าฆาตกรไม่ได้อยู่ในเมืองแล้ว แต่ไม่เป็นไร ข้าสามารถสืบหาเองได้”
ในดวงตาของหญิงสาวที่มีดวงหน้างดงามอย่างถึงที่สุดเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย รูจมูกและรูหูต่างก็มีเลือดไหลออกมาเป็นเส้นยาว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตะลึงระคนหวาดกลัวของนางมองเด็กหนุ่มดำเกรียมที่กำลังก้มหน้ามองตน
เด็กหนุ่มสีหน้าดุร้าย “ข้าหม่าขู่เสวียนทำลายสมาธิในการฝึกตนของเจ้า ต่อให้การแก้แค้นในภายหลังของเจ้าคือการแร่เนื้อข้าให้ตายทั้งเป็น ข้าก็ยอมรับชะตากรรมได้ จะไม่ทางอาฆาตแค้นเจ้าเด็ดขาด ถึงขั้นที่ว่าต่อให้เจ้าแก้แค้นไม่สำเร็จ หากข้าอารมณ์ดียังอาจจะปล่อยเจ้าไป ยินดีเล่นสนุกเป็นเพื่อนเจ้าได้อีกหลายครั้ง ในสายตาของข้า ประเพณีนิยมบนโลกสมควรจะเปิดเผยตรงไปตรงมาเช่นนี้”
คาดว่าหญิงสาวน่าจะเป็นคุณหนูผู้ถูกทะนุถนอมจากสำนักหรือตระกูล มีหรือที่จะเคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้ นางตกใจจนน้ำตาไหลเต็มหน้าดุจดอกสาลี่ที่ถูกหยาดฝนพร่างพรม เกรงว่าแม้แต่เด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งความชั่วร้ายเอ่ยอะไรไปบ้าง นางก็คงจำไม่ได้แล้ว ได้แต่กล่าววิงวอนว่า “ปล่อยข้าไปเถอะ ขอร้องเจ้าปล่อยข้าไปเถอะ ข้าไม่ได้ฆ่าย่าเจ้า ข้าไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่นิดเดียว…”
เด็กหนุ่มเริ่มเพิ่มน้ำหนักฝ่าเท้า ทำให้ศีรษะของหญิงสาวเริ่มถูกกดจมลงไปในดินโคลน “รู้หรือไม่ว่าข้าเกลียดพวกเจ้าตรงไหนมากที่สุด? นั่นคือหลังจากก่อกรรมทำชั่วแล้วกลับยังทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น! ไม่มีแม้แต่ความละอายใจ ไม่มีเลยสักนิดเดียว…”
เด็กหนุ่มพูดเสียงสะอื้น ดวงตาเต็มไปด้วยความอาฆาตฝังลึกถึงกระดูก
หญิงสาวยื่นมือออกมากุมข้อเท้าของหม่าขู่เสวียนไว้อย่างยากลำบาก สายตาฉายแวววิงวอนน่าสงสาร “ปล่อยข้าไปเถอะ ท่านปู่ข้าคือผู้บัญชาทัพของกองม้าเหล็กไห่เฉา ข้าคือหลานสาวที่เขารักมากที่สุด ข้าสามารถชดเชยให้เจ้าได้ เจ้าต้องการอะไร ข้าล้วนรับปากได้หมด…”
เด็กหนุ่มกล่าวใบหน้าเปื้อนยิ้มแต่ใจไม่ยิ้ม “อ้อ? บังเอิญขนาดนี้เชียว ข้าเองก็เป็นหลานชายของหม่าหลัวฮวาท่านย่าของข้าเหมือนกัน!”
เด็กหนุ่มพลันยกเท้าขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงใช้พื้นรองเท้าปาดไปบนใบหน้าที่งามประณีตของหญิงสาว “กองม้าเหล็กไห่เฉาใช่ไหม? รอข้าก่อน ข้าจะค่อยๆ เล่นสนุกไปกับพวกเจ้า”
เด็กหนุ่มยกเท้าขึ้น หันหน้าไปมองทางซ้ายและขวา ฝั่งซ้ายมือมีชายจากเขาเจินอู่ยืนสะพายกระบี่อยู่ไกลๆ ฝั่งขวามือมีคุณชายท่าทางสุภาพคนหนึ่งยืนกางร่มกระดาษน้ำมันอยู่ข้างชายน่าสงสารที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น กำลังมองมาทางหม่าขู่เสวียน
ลางสังหรณ์บอกกับหม่าขู่เสวียนว่า แท้จริงแล้วเจ้าคนที่ยืนกางร่มอยู่ตรงนั้นกำลังรอให้ตนฆ่าหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างฝ่าเท้า
หม่าขู่เสวียนพลันย่อตัวลงนั่งยอง หญิงสาวคนนั้นพยายามจะขยับหนี แต่กลับถูกเด็กหนุ่มที่เหงื่อโชกไปทั้งร่างกักลำคอเอาไว้ เมื่อหญิงสาวไม่กล้าขยับอีก เด็กหนุ่มถึงได้ปล่อยมือ ใช้ฝ่ามือตบลงไปบนใบหน้าของหญิงสาวครั้งแล้วครั้งเล่าพลางกล่าวยิ้มๆ “จำไว้นะ ข้าชื่อหม่าขู่เสวียน วันหน้าข้าต้องไปตามหาเจ้าแน่ รวมถึงเจ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในเมืองผู้นั้นด้วย เจ้าต้องขอบคุณเขาให้ดี หาไม่แล้วความสัมพันธ์ของพวกเราคงไม่ดีขนาดนี้”
สุดท้ายหม่าขู่เสวียนถ่มน้ำลายลงบนใบหน้าของหญิงสาว
เด็กหนุ่มลุกขึ้นเดินไปหาชายจากเขาเจินอู่ ถามเสียงเบา “คนผู้นั้นคือใคร?”
ผู้ฝึกกระบี่ตอบราบเรียบ “คือว่าที่เจ้าขุนเขาในอนาคตของสำนักกวานหูซึ่งเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ชื่อว่าชุยหมิงหวง ชาติกำเนิดโดดเด่น ครั้งนี้เขาเดินทางมาเพื่อนำวัตถุสยบความชั่วร้ายกลับคืน สติปัญญาเลิศล้ำ วันหน้าต้องระวังเขาไว้ให้มาก หากไม่ผิดจากที่คาด เจ้าถูกเขาหมายหัวเอาไว้แล้ว”
หม่าขู่เสวียนขมวดคิ้ว “คนผู้นี้ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากอาจารย์ฉีที่โรงเรียนอย่างมาก”
ผู้ฝึกกระบี่หลุดหัวเราะพรืด “เจ้านึกว่าพวกบัณฑิตจะมีสักกี่คนที่สามารถรักษาเจตนารมณ์เดิมไว้ได้เหมือนกับท่านฉี?”
เขาลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังเลือกที่จะอธิบายให้อีกฝ่ายฟัง “โลกภายนอกต่างเล่าลือกันว่าหลังจากที่อาจารย์ผู้มีพระคุณของท่านฉีพ่ายแพ้ เขาก็ขอบเขตถดถอย จิตใจแหลกสลาย ถึงได้ยอมตอบรับการถูกเนรเทศมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ แม้จะต้องแบกรับการรุกรานจากอานุภาพสวรรค์อยู่ตลอดเวลา แต่ก็สามารถทำทุกอย่างได้ดังที่ตัวเองต้องการ ข้าว่า มันอาจไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป”
หม่าขู่เสวียนไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เขาหันหน้ากลับไปจึงเห็นว่าชายที่กางร่มคนนั้นกำลังนั่งยองอยู่ข้างหญิงสาว น่าจะกำลังปลอบใจนางอยู่
หม่าขู่เสวียนดึงสายตากลับคืนมา ก่อนจะเดินเคียงบ่าไปกับชายสะพายกระบี่ ฝีเท้าของเด็กหนุ่มที่เดินกลับไปยังตรอกซิ่งฮวาหนักแน่นอย่างยิ่ง
ชายวัยกลางคนเปิดปากพูด “เจ้าบาดเจ็บไม่เบา อย่าปล่อยให้มีโรคร้ายแอบแฝงทิ้งเอาไว้ หาไม่แล้วจะส่งผลกระทบต่อการฝึกตนในวันหน้า”
หม่าขู่เสวียนยื่นมือออกมาปาดน้ำฝนที่พรมเต็มใบหน้าทิ้ง พลันถามว่า “เมืองแห่งนี้ของพวกเรา นับเป็นอะไรสำหรับคนนอกเหล่านั้น?”
ผู้ฝึกกระบี่ตอบ “คงเหมือนกับธารสายเล็กนอกเมืองสายนั้นกระมัง มีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน (เปรียบเปรยว่ามีทั้งคนดีคนเลวแยกไม่ออก) มีทั้งส่วนที่น้ำตื้นเขินสูงไม่ถึงหัวเข่า แล้วก็มีทั้งบ่อน้ำลึกที่มองไม่เห็นก้น”
หม่าขู่เสวียนเอ่ยถาม “เมื่อก่อนตอนที่คนต่างถิ่นมาหาของวิเศษหรือฝึกประสบการณ์ที่นี่ เคยมีใครจมน้ำตายหรือไม่?”
ผู้ฝึกกระบี่ยิ้ม ส่ายหน้ากล่าวว่า “ก่อนหน้านี้แทบจะไม่มี ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขและร่ำรวย ทุกคนล้วนปิติยินดี ครั้งนี้เป็นข้อยกเว้น”
—-
ร้านตระกูลหยางมีเด็กสาวท่าทางองอาจคนหนึ่งแบกเด็กหนุ่มก้าวเร็วๆ ข้ามธรณีประตูร้านเข้ามาแล้วถามลูกจ้างวัยกลางคนผู้หนึ่งว่า “ผู้เฒ่าหยางอยู่หรือไม่?”
คนผู้นั้นเห็นว่าลักษณะของเด็กสาวไม่ธรรมดาจึงไม่กล้าเพิกเฉย พยักหน้าตอบว่า “เพิ่งจะเก็บตัวยาสมุนไพรในลานด้านหลังเสร็จ พวกเจ้ามีธุระหรือ?”
เด็กสาวพยักหน้ากล่าวเสียงหนัก “พวกเราสนิทกับหยางเหล่าโถว อยากจะขอตำรับยาตำรับหนึ่งจากเขา”
ลูกจ้างร้านลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายก็ไม่ซักไซ้ เพียงพาพวกเขาไปยังห้องหลักที่ลานด้านหลัง ผู้เฒ่าคนหนึ่งกำลังใช้กระบอกยาสูบเคาะผิวโต๊ะเบาๆ มุมหนึ่งในห้องห่างไปไกลมีชายฉกรรจ์เนื้อตัวสกปรกผู้หนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือคนเฝ้าประตูฝั่งตะวันออกของเมือง ชายโสดเจิ้งต้าเฟิง อาจเป็นเพราะของสิ่งหนึ่งย่อมสยบของสิ่งหนึ่งได้เสมอ เมื่อเจอกับหยางเหล่าโถว เจิ้งต้าเฟิงถึงได้ไม่กล้าหายใจเสียงดัง ไม่เหลือท่าทางเจ้าเล่ห์กวนโอ๊ยดั่งในยามปกติอีกเลย
หยางเหล่าโถวโบกกระบอกยาสูบ เจิงต้าเฟิงจึงรีบเผ่นออกจากห้อง จากไปพร้อมกับลูกจ้างร้านทันที
หยางเหล่าโถวมองไปยังเด็กหนุ่มที่ตัวเองคุ้นเคยซึ่งถูกแบกอยู่บนหลังของเด็กสาว เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันในเวลานี้ริมฝีปากซีดขาว สั่นเทิ้มไปทั้งร่าง มือทั้งคู่พยายามคล้องไว้ที่ลำคอของเด็กสาวสุดชีวิต
หยางเหล่าโถวลุกขึ้นยืนอย่างไม่รีบไม่ร้อน มือหนึ่งไพล่หลัง มือหนึ่งถือกระบอกยาสูบ เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กสาว ประสานสายตากับเด็กหนุ่ม ถามเสียงแหบ “บอกกับเจ้าตั้งกี่ครั้งแล้วว่า ยิ่งชีวิตต่ำต้อยไร้วาสนามากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องรู้จักรักและถนอมชีวิตมากเท่านั้น ทำไม เจอแค่อุปสรรคเล็กน้อยก็จะเป็นจะตายซะแล้วรึ ทำไมตอนนั้นเจ้าไม่จากไปพร้อมกับแม่ของเจ้าเสียเลยล่ะ? จะได้ไม่ต้องยุ่งยากแบบนี้ อาจารย์เหยาของเจ้าพูดถูกแล้ว ตอนเขายังมีชีวิตอยู่มักจะพร่ำพูดว่าสามขวบดูจนแก่ สามขวบดูจนแก่[2] ชีวิตเจ้าไม่ยืนยาว ต่อให้สอนสิ่งดีๆ แก่เจ้าก็เสียเปล่า เพราะต้องถูกโยนทิ้งลงดินแต่เนิ่นๆ ไม่ต่างกัน”
หนิงเหยาปากอ้าตาค้าง ในความทรงจำของนาง หยางเหล่าโถวควรจะเป็นผู้เฒ่าใจดีมีเมตตาที่ยิ้มตาหยีทั้งวันถึงจะถูก
ไหนเลยจะเคยคิดว่าเขาจะเป็นตาแก่ปากร้ายช่างเหน็บแนมแบบนี้
ผู้เฒ่ายังเอ่ยเสียดสีต่อ “เจ็บปวดมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ เขาพูดไม่ออกมานานแล้ว
ตอนนั้นหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนหลังของเด็กสาว อาจเป็นเพราะฤทธิ์ยาถดถอย อาการจึงเริ่มออก เพียงแต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าพอจะทนได้ รอจนหนิงเหยาแบกเขามาใกล้สะพานแบบคาน เขาก็รู้ว่าตัวเองทนไม่ไหวอีกต่อไป หนิงเหยาจึงถึงขั้นไม่สนใจจะไปเก็บดาบที่อยู่กลางทางริมธารน้ำ แต่รีบแบกเขามาที่ร้านตระกูลหยางทันที
ผู้เฒ่าหัวเราะร่า “เจ็บสินะ ถ้าอย่างนั้นก็จงแบกรับมันแต่โดยดีเถอะ”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เหลือบตามองหนิงเหยา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “ให้เขานั่งบนเก้าอี้ตัวยาวนั้น!”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เริ่มบ่นพึมพำ “ให้ผู้หญิงแบกมา ไม่รู้จักอายบ้างเลย”
หนิงเหยาข่มกลั้นความเดือดดาล ค่อยๆ วางเฉินผิงอันให้นั่งลงบนเก้าอี้ยาวอย่างระมัดระวัง เพียงแต่ว่านางเพิ่งจะปล่อยมือ เด็กหนุ่มก็ทำท่าโงนเงนจะล้มพับ
หนิงเหยากำลังจะยื่นมือออกไปประคอง แม้ปากจะพูดไม่ได้ แต่สายตาของเด็กหนุ่มกลับบอกเป็นนัยว่าไม่ต้องการให้นางช่วยเหลือ
ผู้เฒ่าสูบยาจากกระบอกที่ทำเองหนึ่งคำ มองบรรยากาศรอบกายเด็กหนุ่มพลางจุ๊ปากพูด “ช่างสมกับเป็นคนลูกหลานตระกูลตกต่ำ ดีนัก ถามใจไม่ละอาย ถามใจตัวเองแล้วไม่ละอายจริงๆ”
ผู้เฒ่าไม่สะทกสะเทือนกับความเจ็บปวดที่เสียดลึกไปถึงกระดูกของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย “หลิวเสี้ยนหยางมีชะตาชีวิตที่ดีแค่ไหน เจ้ามีชีวิตที่ต่ำต้อยแค่ไหน หลายปีมานี้ยังไม่รู้แจ้งแก่ใจอีกหรือ? เขาตายครั้งหนึ่งก็มากพอให้เจ้าตายได้สิบครั้ง รู้หรือไม่?”
หนิงเหยาทนฟังคำพูดเย็นชาซ่อนแฝงความนัยของผู้เฒ่าคนนี้ไม่ไหวอีกต่อไปจึงกล่าวเสียงหนัก “ผู้เฒ่าหยาง ช่วยระงับความเจ็บปวดให้เฉินผิงอันก่อนได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าหลังค่อมหันหน้ามาเหลือบมองเด็กสาว เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ผู้ชายของเจ้าน่ะหรือ?”
หนิงเหยามองกลับด้วยสายตาเดือดดาล
ผู้เฒ่าไม่สนใจเด็กสาว หันกลับไปมองเด็กหนุ่ม
ผู้เฒ่าจมสู่ภวังค์ของตัวเอง
สุดท้ายเขาก็เบ้ปาก ถอนหายใจ ใช้กระบอกยาสูบเคาะที่ไหล่เฉินผิงอันหนึ่งที ที่แขนและขาจุดละสองที
พริบตานั้น เด็กหนุ่มก็อยู่ในเอนตัวนอนตะแคงบนม้านั่งยาว ใช้ข้อมือยันศีรษะ
ผู้เฒ่าตวาดเบาๆ “หลับไปซะ!”
เฉินผิงอันพลันหลับตาลง แล้วก็เริ่มกรนดังสนั่นราวเสียงฟ้าผ่า
—-
[1] สามจิตเจ็ดวิญญาณ (三魂七魄 ซานหุนชีพั่ว) คือองค์ประกอบในการเป็นมนุษย์ที่สำคัญ ซานหุนหรือสามจิตได้แก่ 1.วิญญาณฟ้า วิญญาณส่วนนี้จะเป็นอมตะ เมื่อคนเราตายจะกลับคืนสู่สวรรค์ แต่เนื่องจากมีกรรมผูกพัน ไม่อาจขึ้นสวรรค์ได้ ก็จะถูกจองจำในคุกสวรรค์ 2.วิญญาณดิน เมื่อตายแล้วจะไปสู่นรก เพื่อชำระชดใช้บุญและบาป 3.วิญญาณมนุษย์ เมื่อตายแล้ว วิญญาณนี้จะอยู่ในโลกมนุษย์ต่อไป เช่น อยู่ในหลุมศพ หรือป้ายวิญญาณ เพื่อรับการเซ่นไหว้จากลูกหลาน ส่วนชีพั่วหรือเจ็ดวิญญาณ แท้จริงแล้วก็คือความรู้สึกหรืออารมณ์ทั้ง 7 อันประกอบไปด้วยชอบ เกลียด เศร้า สุข กลัว รัก และ ความอยากหรือความหวัง
[2] สามขวบดูจนแก่ คือ พฤติกรรมของเด็กสามขวบจะสามารถคาดการณ์ได้ว่าในอนาคตเด็กคนนี้จะเป็นอย่างไร หรือหากเจาะความหมายให้ลึกซึ้งขึ้นไปอีกก็คือการกระทำของคนคนหนึ่งในปัจจุบันมักจะส่งอิทธิพลต่อทั้งชีวิตของเขา