บทที่ 60 ผีหลอก
เบื้องใต้กรอบป้ายหน้าจวนผู้ตรวจการ
เฉินตุ้ยบอกเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์แปลกพิสดารทั่วฟ้าดินที่ไม่ค่อยมีคนรู้ เด็กหญิงของเขาตะวันเที่ยงรับฟังด้วยความสนใจ เอ่ยปากจุ๊ชมไม่หยุด “พี่สาว ท่านรู้เรื่องเยอะมากเลย”
เฉินตุ้ยยิ้มบางๆ “รอเจ้าโตเมื่อไหร่ก็จะได้รู้เรื่องมากมาย”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยทีเล่นทีจริง “เวลาปกติเจ้าก็ดูเหมือนคนทั่วไปนี่นา”
หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย ถามว่า “ความหมายของเจ้าก็คือ เวลาอยู่ต่อหน้าซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีของพวกเจ้าต้องก้มหัวถ่อมตัว ประจบประแจงอย่างไร้ศักดิ์ศรีงั้นรึ?”
ซ่งจี๋ซินหัวเราะร่า ยื่นนิ้วชี้มาที่เฉินตุ้ย “แม่นางฟังคำพูดคำจาเจ้าสิ หากอาจารย์ฉีของโรงเรียนเราได้ยินเข้า ท่านต้องขมวดคิ้วแน่นอน รู้หรือไม่ แบบเจ้านี่เรียกว่าไม่ใช่อย่างนี้ก็คืออย่างนั้น ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ฟังปราดๆ เหมือนจะมีเหตุผลมาก แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น ความหมายที่แท้จริงของข้าก็คือ แน่นอนว่าเจ้าจะไม่ประจบเอาใจซ่งจ่างจิ้งก็ได้ แล้วก็ไม่ควรทำเช่นนี้ แต่จะดีจะชั่วเขาซ่งจ่างจิ้งก็เป็นงูเจ้าถิ่น (เปรียบเทียบถึงอันธพาล นักเลงหัวไม้) ตัวที่ใหญ่ที่สุดของต้าหลี ซ้ำยังเป็นปรมาจารย์วิถีการต่อสู้ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ ถูกไหม? ในฐานะที่เจ้าเป็นคนต่างถิ่น เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม เกรงใจเจ้าของบ้านที่ตัวเองมาอยู่อาศัยสักเล็กน้อยก็ไม่สมควรแล้วหรอกหรือ? เหตุใดต้องเอาแต่แสร้งตีสีหน้าเป็นนายท่านใหญ่ แล้วเจ้าเห็นไหม แสร้งก็แสร้งไปแล้ว แสร้งทำเสร็จยังถูกซ่งจ่างจิ้งซ้อมเสียเกือบตาย ถ้ายังจะกล้าพูดจาโอหังต่อหน้าเขา ข้าก็ไม่รู้แล้วว่าควรจะพูดกับเจ้ายังไงดี”
สุดท้ายซ่งจี๋ซินชี้ที่ตัวเองแล้วเอ่ยเยาะหยันตัวเองว่า “ขนาดคนชั่วปากสุนัขอย่างข้ายังรู้กาลเทศะ รู้ว่าเวลาไหนควรพูดอย่างไร”
เฉินตุ้ยสองจิตสองใจ แต่สุดท้ายก็เอ่ยว่า “คงเป็นเพราะพวกเดียวกันเขม่นกันเองกระมัง ข้าเองก็เป็นคนฝึกยุทธ บอกตามตรงว่าสำหรับนักสู้ของแจกันสมบัติทวีปบูรพาพวกเจ้า ข้าไม่เคยเห็นอยู่ในสายตามาตั้งแต่ไหนแต่ไร แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าข้าคิดผิด ผิดมหันต์”
ซ่งจี๋ซินตะลึงไม่น้อย “เจ้านี่ก็เป็นคนตรงดีนะ”
เฉินตุ้ยตอบเรียบๆ “คนฝึกยุทธ หากไม่ยอมรับหมัด จะยอมรับอะไรเล่า”
ซ่งจี๋ซินพลันถามคำถามที่เฉียบคม “ดูเหมือนว่าเหตุผลของคนต่างถิ่นที่มาหาสมบัติและโชควาสนาอย่างพวกเจ้าจะไม่ค่อยเหมือนกับพวกเรา นี่เป็นเพราะหมัดของพวกเจ้าแข็งกว่าหรือ?”
เฉินตุ้ยส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่จำเป็นต้องให้ข้าอธิบาย วันหน้าเมื่อเจ้าได้ออกไปจากเมืองแห่งนี้ เพียงไม่นานก็จะต้องกลายมาเป็นคนแบบพวกเรา รอวันใดเจ้าเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกตนแล้วก็ย่อมเข้าใจได้เอง หาไม่แล้วต่อให้ข้าพูดจนปากฉีก เจ้าก็ไม่มีทางเข้าใจได้”
ซ่งจี๋ซินทอดถอนใจ “เปลี่ยนมาเป็นคนแบบพวกเจ้า แบบนั้นก็น่าเบื่อแย่”
เด็กหญิงเอ่ยแทรกมุขตลก “ถ้าอย่างนั้นก็ไปเที่ยวเล่นที่เขาตะวันเที่ยงของพวกเรา ที่นั่นสนุกนักล่ะ”
ซ่งจี๋ซินลูบศีรษะเล็กๆ ของเด็กหญิง เอ่ยอย่างไม่ใส่ใจนัก “ได้สิ”
เฉินตุ้ยหันหน้าไปมอง รู้สึกตึงเครียดตามสัญชาตญาณ
เห็นเพียงว่าอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีที่สวมชุดคลุมสีขาวรัดเข็มขัดหยกได้มายืนอยู่ตรงป้ายหินสี่เหลี่ยม เขาพูดกับซ่งจี๋ซินว่า “กลับไปเก็บของที่ตรอกหนีผิง เตรียมตัวไปจากที่นี่”
ซ่งจี๋ซินกล่าวยิ้มๆ “ได้เลย จะต้องจากบ้านไกลเมืองแล้ว”
เด็กหญิงถามอย่างอาลัยอาวรณ์ “จากบ้านไกลเมือง คือการแบกบ่อน้ำบ่อหนึ่งไปจากบ้านเกิด[1]หรือ?”
ซ่งจี๋ซินหัวเราะดังลั่น ลุกขึ้นยืนพลางพูดด้วย “ไป พาเจ้าส่งกลับไปที่จวนตระกูลหลี่ก่อน นี่เรียกว่ามีเริ่มต้นต้องมีสิ้นสุด”
ซ่งจี๋ซินจูงมือเด็กหญิงเดินไปหน้าประตูใหญ่ของจวนผู้ตรวจการ หันกลับมาถามว่า “บนถนนฝูลวี่คงไม่มีนักฆ่าปรากฎตัวกระมัง?”
ซ่งจ่างจิ้งตอบยิ้มๆ “เรื่องนี้ต้องถามเพื่อนบ้านของเจ้า”
ซ่งจี๋ซินเบ้ปาก หันกลับไปมองสีท้องฟ้าแวบหนึ่ง เมฆดำกำลังมารวมตัวกัน ลางว่าฝนจะตก
อารมณ์ของเขาพลันดิ่งลงเหวในเสี้ยววินาที
หลังจากที่ส่งเถาจื่อแห่งเขาตะวันเที่ยงกลับไปแล้ว ซ่งจี๋ซินค้นพบด้วยความตื่นตะลึงว่าซ่งจ่างจิ้งกลับมายืนอยู่ใต้ต้นจื่อซุนไหว เขาจึงเดินเร็วๆ เข้าไปหา ถามด้วยความแปลกใจ “รีบร้อนจากไปขนาดนี้เชียวหรือ?”
ซ่งจ่างจิ้งพยักหน้ารับ “เพิ่งได้ข่าวมาเมื่อไม่นานนี้ ข้างนอกมีเรื่องนิดหน่อย จำเป็นต้องให้ข้าไปจัดการด้วยตัวเอง ดังนั้นนั่งรถม้าไปที่ตรอกหนีผิงโดยตรงเลย เก็บของเสร็จแล้วก็ไปทันที”
ซ่งจี๋ซินหันไปมองก็เห็นว่านอกประตูจวนผู้ตรวจการมีรถม้าจอดอยู่สามคัน นี่น่าจะเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เด็กหนุ่มได้นั่งรถม้า
ซ่งจี๋ซินค้อมตัวเข้าไปนั่งในห้องโดยสารของรถม้าคันที่อยู่หน้าสุด ซ่งจ่างจิ้งตามเข้าไปติดๆ แล้วจึงนั่งลงในท่าขัดสมาธิ
ซ่งจี๋ซินกวาดตามองไปรอบด้านที่ว่างเปล่า มีแค่เบาะสานที่ตนเองนั่งทับอยู่ใต้ก้นเท่านั้น ไม่มีความหรูหราวิจิตรอย่างที่จินตนาการไว้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่มีความงดงามตระการตาอันเป็นเอกลักษณ์ใดๆ นี่ทำให้ซ่งจี๋ซินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เดิมทีเด็กหนุ่มยังคาดหวังว่าจะได้เห็นความตกตะลึงของจื้อกุยหลังจากที่ได้ขึ้นมานั่งบนรถม้า
เสียงกีบม้าเหยียบลงบนถนนหินสีเขียวดังกุบกับๆ ถี่กังวาน รถม้าสามคันขับตามกันออกไปจากถนนฝูลวี่
ซ่งจ่างจิ้งเลิกผ้าม่านขึ้นมองทัศนียภาพของเมืองที่อยู่นอกหน้าต่างรถ นับแต่วันนี้เป็นต้นไปราชวงศ์ต้าหลีจะสูญเสียสิทธิ์การปกครองถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้ในนามไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
แต่หากคิดในทางกลับกัน นับตั้งแต่ที่แคว้นต้าหลีถูกสถาปนาขึ้นมาก็ได้อาศัยผลประโยชน์มหาศาลที่ได้จากถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้มาโดยตลอด ถึงได้ขยับเดินทีละก้าวจากกองกำลังที่ยึดครองดินแดนขนาดเล็กทุรกันดาร กลายมาเป็นราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดอันดับหนึ่งทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปบูรพาอย่างทุกวันนี้
ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กในแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล
วันหน้าเกรงว่าคงได้แต่ค้นหาจากในพงศาวดารของพระราชวังต้าหลีเท่านั้น
ซ่งจ่างจิ้งเก็บความคิดทั้งหมดลงไป เอ่ยถามส่งเดช “ไม่บอกลาเฉินผิงอันผู้นั้นสักหน่อยหรือ?”
หลังขับออกจากถนนฝูลวี่ ถนนก็ไม่ราบเรียบอีก ร่างของซ่งจี๋ซินจึงไหวโยนเบาๆ เขาส่ายหน้า “ไอ้หมอนั่นจะรอดหรือเปล่ายังบอกได้ยาก หากได้เจอแต่ศพคงขนลุกแย่ เขาเฉินผิงอันไม่มีพ่อไม่มีแม่ แม้แต่เพื่อนสนิทของเขาก็ร่อแร่ใกล้ตายแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าที่เป็นเพื่อนบ้านก็ไม่ต้องรอจัดงานศพให้เขาหรอกหรือ?”
ซ่งจ่างจิ้งอืมรับหนึ่งที
ซ่งจี๋ซินถาม “เด็กหญิงเขาตะวันเที่ยงพูดถึงคนคนหนึ่ง ชื่อหม่าขู่เสวียน เป็นคนตรอกซิ่งฮวา อายุพอๆ กับข้า ดูเหมือนว่าเขาเสนอราคาเป็นเงินก้งหย่างหนึ่งถุง แล้วเปิดเผยที่ซ่อนตัวของเฉินผิงอันและเด็กสาวคนนั้นให้แก่เขาตะวันเที่ยง ท่านรู้หรือไม่ว่าไอ้หมอนี่มีที่มาอย่างไร? ก่อนหน้านี้ข้าแค่เคยได้ยินว่าเขาเป็นคนโง่คนหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าจะอำพรางตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้”
ซ่งจ่างจิ้งครุ่นคิด “นักฆ่าที่ซ่อนตัวอยู่ในตระกูลซ่งก่อนหน้านี้ คนที่ไปลอบฆ่าองค์ชายต้าสุยในตรอกฉีหลงน่ะ เดิมทีพอจะหาเบาะแสเกี่ยวกับเขาได้บ้างเล็กน้อย เห็นว่ามีส่วนหนึ่งเกี่ยวพันอยู่กับเด็กหนุ่มที่ชื่อหม่าขู่เสวียน หลายปีมานี้นักฆ่าที่เป็นนักโทษจำคุกผู้นั้นเคยติดต่อกับหม่าขู่เสวียนเป็นการส่วนตัวอยู่หลายครั้ง อาจมีความสัมพันธ์เป็นอาจารย์กับศิษย์ ตอนนี้เขาเจินอู่ยื่นเท้าเข้าแทรกจึงได้แต่ทิ้งเรื่องนี้ไว้ก่อนชั่วคราว เพราะอย่างไรซะในกองทัพของต้าหลีก็มีลูกศิษย์ของเขาเจินอู่อยู่มากมาย อีกทั้งตำแหน่งก็ไม่ต่ำด้วย”
ซ่งจี๋ซินเอ่ยยิ้มๆ “ท่านอา ท่านเองก็มีช่วงเวลาที่ต้องพูดคำว่า ‘ได้แต่’ เหมือนกันหรือ?”
ซ่งจ่างจิ้งไม่เห็นเป็นสำคัญ “ใครใช้ให้ข้าผู้เป็นอ๋องมีตัวตนเป็นอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีเฮงซวย มีอำนาจล้นฟ้าที่สลัดไม่หลุดนี่ล่ะ”
ตอนที่รถม้าขยับเข้าไปใกล้ตรอกหนีผิง ซ่งจี๋ซินก็พูดด้วยประโยคที่เหมือนแฝงความนัยแต่ก็เหมือนไม่แฝงความหมายใดๆ “เฉินผิงอันเป็นแค่เฉินผิงอันจริงๆ หรือ?”
ซ่งจ่างจิ้งหลุดหัวเราะพรืด “ก่อนหน้าที่จะให้เจ้าย้ายไปอยู่ตรอกหนีผิง จวนผู้ตรวจการได้ตรวจสอบบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเขาอย่างละเอียด จนรู้เส้นสายของพวกเขาชัดเจนดีแล้ว ไม่มีปัญหาใดๆ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับอำนาจร่ำรวยสี่คำนี้เลย ทำไม เฉินตุ้ยผู้นั้นทำให้เจ้าตกใจกลัวหรือ? วางใจเถอะ ข้าผู้เป็นอ๋องพอจะเดาตัวตนของนางได้คร่าวๆ แล้ว สกุลเฉินสายนี้ของนางไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับสายบรรพบุรุษของเฉินผิงอันที่ทิ้งไว้ในเมืองนี้เลย ทำใจให้สบายเถอะ เฉินผิงอันเป็นเพียงแค่เฉินผิงอัน หากพอจะถือว่ามีความสัมพันธ์เป็นเครือญาติกันได้บ้างก็ต้องเป็นสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ยของเฉินซงเฟิงผู้นั้น แต่เจ้าลองคิดดูให้ดี ญาติที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กันมาหลายร้อยปี ยังจะถือว่าเป็นญาติได้อีกหรือ? อีกอย่างสกุลเฉินสายที่อยู่ในเมืองนี้ยังตกต่ำถึงขั้นที่ว่าเหลือเขาเพียงคนเดียวที่ไม่ใช่บ่าวของผู้อื่น แม้อยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง แต่เพราะยากจนก็เลยไม่มีแม้แต่คนถามถึง จะดีจะชั่วเจ้าก็ร่ำเรียนมาบ้าง แม้แต่หลักการนี้เจ้าก็ไม่เข้าใจอย่างนั้นหรือ?”
ซ่งจี๋ซินยังคงไม่ถอดใจ “แล้วบรรพบุรุษสิบแปดรุ่นก่อนสิบแปดรุ่นนี้ล่ะ? ไม่เคยมีบุคคลยิ่งใหญ่ที่พรสวรรค์เลิศล้ำเลยหรือ? ไม่มีเลยสักคนเดียว?”
ซ่งจ่างจิ้งกล่าวยิ้มๆ “ที่แท้เจ้าก็หวังให้ชาติกำเนิดของเฉินผิงอันมีความพิเศษบ้าง?”
ซ่งจี๋ซินพยักหน้ารับ ไม่ได้ปกปิดความคิดของตัวเอง “หากเขาไม่เหมือนกับคนทั่วไป ข้าถึงจะรู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง”
ซ่งจ่างจิ้งยิ่งใคร่รู้ จึงกล่าวอย่างสนใจว่า “ไอ้หมอนั่นรังแกเจ้าอย่างไรกันแน่ ถึงได้ทำให้เจ้าจำฝังใจขนาดนี้? แต่จากความเข้าใจที่ข้ามีต่อเด็กหนุ่มคนนั้น เขาไม่เหมือนคนที่…”
ซ่งจี๋ซินตัดบทคำพูดของอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีด้วยเสียงหัวเราะเย็นชา “คนในพื้นที่เล็กๆ วิสัยทัศน์อาจจะไม่กว้างไกล บ่อน้ำตาเลยตื้น แต่ไม่ควรคิดว่าพวกเขาเป็นคนโง่เด็ดขาด ดีก็ดีจนจิตใจบริสุทธิ์งดงาม ร้ายก็ร้ายจนบนหัวมีแผลเน่าเปื่อยใต้ฝ่าเท้ามีน้ำหนองไหล (เปรียบเปรยถึงคนที่ชั่วร้ายตั้งแต่หัวจรดเท้า ชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด) และยังมีคนบางส่วนที่โง่จริงๆ จนไร้ทางเยียวยา ซ้ำยังอาจถึงขั้นทั้งโง่ทั้งชั่ว”
ซ่งจ่างจิ้งยิ่งไม่เข้าใจ “แล้วเฉินผิงอันถือเป็นคนประเภทไหน?”
ซ่งจี๋ซินถอนหายใจ ตอบอย่างขุ่นเคือง “เขาไม่ใช่คนประเภทไหนทั้งนั้น เป็นคนโง่อย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นข้าถึงได้อัดอั้นเป็นพิเศษยังไงล่ะ”
……
หนิงเหยานั่งยองอยู่หน้าม้านั่งตัวยาว สำรวจใบหน้าที่หลับสนิทของเฉินผิงอันอย่างละเอียด ในใจเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
วิชาอภินิหารนี้ มหัศจรรย์จนไร้คำบรรยาย
ท่านอนประหลาดของเฉินผิงอันทำให้ตั้งแต่หัวจรดเท้าของเด็กหนุ่มแผ่กลิ่นอายของการปลดเปลื้องเปลือกนอก เผยให้เห็นโฉมหน้าดั้งเดิมที่แท้จริง
แม้หนิงเหยาจะอธิบายไม่ถูก แต่สำหรับความดีความเลวของวิชาอภินิหารแล้ว เด็กสาวเกิดมาก็มีประสาทสัมผัสที่เฉียบไวอย่างถึงที่สุด
หนิงเหยาหันหน้าไปถามอย่างใคร่รู้ “ท่านคือคนนำทางในด้านการฝึกตนของเฉินผิงอันหรือ?”
ผู้เฒ่าสูดยาสูบดังฟืด ยกขาขึ้นไขว่ห้าง มองไปยังม่านฝนดำมืดด้านนอก ยิ้มตอบ “ฝึกตน? นี่เรียกว่าการฝึกตนแล้วหรือ? ทำไม ตอนนี้ฟ้าดินด้านนอกมีคนที่มีคุณสมบัติให้ก่อตั้งสำนัก เรียกตัวเป็นบุรพาจารย์เพิ่มขึ้นมาอีกคนหนึ่งแล้วหรือ? ถึงได้ทำให้กระแสนิยมบนโลกถดถอย สภาพการณ์บนเส้นทางการฝึกตนตกต่ำลงทุกปี? คงไม่ถึงขั้นนั้นกระมัง ท่านทั้งหลายเหล่านั้นล้วนไม่ได้กินหญ้า ในเมื่อตัวเองเป็นเทาเที่ย[2]ไปแล้วก็ได้แต่เดินต่อไปบนเส้นทางที่ไม่อาจหวนกลับสายนี้ ย่อมไม่ทางปล่อยให้คนนอกมาแบ่งน้ำแกงไปถ้วยหนึ่ง[3]แน่นอน
หนิงเหยามึนงงไปหมด “ผู้อาวุโสหยาง ท่านกำลังพูดถึงอะไรน่ะ?”
ผู้เฒ่าตะลึง “ผู้อาวุโสในตระกูลเจ้าไม่ได้เล่าให้ฟังถึงบัญชีแค้นเก่าเก็บของตาแก่พวกนั้นหรือ?”
หนิงเหยาส่ายหน้า “คนรุ่นท่านปู่ของข้าจากโลกนี้ไปเร็ว ส่วนพ่อแม่ข้าก็ไม่ชอบพูดเรื่องของใต้หล้าแห่งอื่น เพราะกลัวว่าข้าจะหนีออกจากบ้าน”
หยางเหล่าโถวหันหน้ามามองประเมินเด็กสาวอย่างละเอียด สุดท้ายโพล่งออกมาหนึ่งประโยค “บนกำแพงเมืองแห่งนั้น ตอนนี้เหลือตัวอักษรอยู่กี่ตัว?”
หนิงเหยาตอบไปตามตรง “รุ่นปู่ของข้ามีวีรบุรุษผู้กล้าหาญปรากฏขึ้นหลายคน ดังนั้นในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งร้อยปีก็มีตัวอักษรสลักเพิ่มมาอีกสองตัว ตอนนี้รวมทั้งหมดก็สิบแปดตัว”
ผู้เฒ่าทอดถอนใจ “สิบแปดตัวอักษรแล้วหรือนี่ เต้าฝ่า (กถามรรค) เฮ่าหราน (ซื่อตรงและยิ่งใหญ่) ซื่อเทียน (สี่สวรรค์) หลังหกคำนี้ ยังมีคำไหนเพิ่มมาอีก?”
หนิงเหยาเอ่ยเสียงหนักแน่น “เหลยฉือจ้งตี้ (บ่อสายฟ้าสถานที่สำคัญ) สี่คำ เจี้ยนชี่ฉางฉุน (ปราณกระบี่คงอยู่ยาวนาน) อีกสี่คำ ฉี เฉิน ต่ง”
หยางเหล่าโถวขมวดคิ้วถาม “แม่นางน้อย อักษรตัวที่เหลือถูกเจ้ากินไปแล้วรึ?”
หนิงเหยากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ลืมไปแล้ว!”
ผู้เฒ่าไม่ได้ซักไซ้เอาความจนถึงที่สุด แต่เปลี่ยนคำถามใหม่ “ยังคงเป็นกฎเดิมคือทุกครั้งที่สังหารเผ่าปีศาจขอบเขตบินทะยานได้หนึ่งคน ถึงจะมีสิทธิ์สลักตัวอักษรตัวหนึ่งลงไปบนกำแพงเมืองใช่ไหม?”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว “ทำไมท่านถึงรู้สถานการณ์ที่บ้านเกิดข้ามากมายขนาดนี้?”
ผู้เฒ่ายิ้ม “ในอดีตเมื่อนานมาแล้วมีผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นคนหนึ่งติดนิสัยชอบบันทึกเรื่องราว ประเพณีนิยม ขนบธรรมเนียมอันเป็นเอกลักษณ์และวิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละถิ่นที่เขาเดินทางผ่านล้วนถูกบันทึกเอาไว้ สุดท้ายเขามาตายอยู่แถวๆ เมืองเล็กของพวกเรา ข้าเลยไปเก็บสมุดบันทึกเล่มหนาของเขากลับมา เวลาอยู่ว่างๆ ก็ชอบเอามาเปิดอ่าน”
หนิงเหยาสงสัยในความเป็นจริงของคำพูดประโยคนี้
ผู้เฒ่าเหมือนมีตาหลัง “จะเชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า”
หนิงเหยาพินิจท่วงท่าของเฉินเผิงอันที่เหมือนการลืมจิตตนของลัทธิเต๋าหรือไม่ก็การเข้าฌานของศาสนาพุทธ จึงถามว่า “เขาเป็นอะไรไป?”
หยางเหล่าโถวเอ่ยเนิบช้า “ตายน้อย”
คนนอนเรียกว่าตายน้อย
หนิงเหยารู้สึกระอาใจเล็กน้อย ผู้เฒ่าร้านตระกูลหยางคนนี้หากไม่พูดจาบาดหูยากเข้าใจ ก็ต้องเอ่ยด้วยคำพูดแปลกประหลาดเสมอ
ผู้เฒ่าพึมพำอยู่กับตัวเอง “แม่นางน้อย ข้าถามเจ้า เมื่อคนคนหนึ่งพร่ำท่องอยู่ในใจ หรือที่เรียกว่าเสียงหัวใจ แท้จริงแล้วคือเสียงของใครกันแน่”
หนิงเหยาตะลึง ครั้นจึงตกสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด
และไม่นานนางก็หลับตาลงเพ่งสมาธิโดยอัตโนมัติ หลังจากนั้นก็สะลึมสะลือเหมือนจะหลับ สุดท้ายนางกลับผงกศีรษะอย่างแรงหนึ่งครั้งแล้วหลับสนิทไปทันที
หยางเหล่าโถวลุกขึ้นยืน เดินอ้อมเด็กสาวมาหยุดตรงหน้าเด็กหนุ่ม ใช้กระบอกยาสูบชี้หนิงเหยา แต่พูดกับเด็กหนุ่มว่า “ดูคนอื่นเค้าบ้างสิ แค่คำแนะนำเล็กน้อย แค่พูดไม่กี่คำก็ทลายเขตปราการไปได้แล้ว แล้วหันมาดูเจ้า ไม่มีความสามารถอะไรบ้างเลย ดีแต่ชอบอวดเก่ง เจ้าอวดเก่งให้ใครดู สวรรค์งีบหลับมากี่ปีแล้ว จะยังมีอารมณ์มาสนใจคนอย่างเจ้างั้นหรือ?”
หยางเหล่าโถวกลับมานั่งตำแหน่งเดิม มองไปยังม่านฝนนอกห้องที่เริ่มตกหนักมากขึ้นทุกที เม็ดฝนเทกระหน่ำกระทบลงบนพื้นดินจนเกิดเสียงเปาะแปะถี่กระชั้น สีหน้าของผู้เฒ่าเศร้าใจเล็กน้อย “ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ เลือกไปเลือกมา เฟ้นหาคนมามากมายเพียงนั้น ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ไม่ฝากความหวังไว้มากที่สุดจะกลับกลายมาเป็นคนที่ชะตาชีวิตแข็งแกร่งที่สุด”
……
เด็กชายร่างผอมแห้งคนหนึ่งแบกผักป่าตะกร้าใหญ่ไว้บนหลัง ในมือถือพวงปลาตัวน้อยเจ็ดแปดตัวที่ร้อยด้วยหญ้าหางสุนัขเดินอยู่ในตรอก หลังจากที่เด็กชายเปิดประตูหน้าบ้านของตัวเองออก เพิ่งเดินเข้าไปในลานก็มีคุณชายน้อยสวมผ้าแพรต่วนจากบ้านข้างๆ เหยียบม้านั่งปีนขึ้นมาบนกำแพงที่ไม่สูงนักอย่างคุ้นเคย เขานั่งยองอยู่ตรงนั้นโดยไม่สนใจว่าจะทำให้อาภรณ์ราคาแพงสกปรก กล่าวยิ้มๆ ว่า “นี่ เจ้าคนแซ่เฉิน ขึ้นเขาลงห้วยไปเก็บอาหารอีกแล้วหรือ? ความสามารถในการพึ่งภูเขากินของบนภูเขา พึ่งแม่น้ำกินของในแม่น้ำของเจ้านี่ไม่เบาเลยจริงๆ วันหน้าพาข้าขึ้นไปเล่นด้วยได้หรือไม่? ข้าจะให้เงินเจ้าเป็นรางวัลดีไหม?”
เด็กชายผอมแห้งคลี่ยิ้ม “ไม่ต้องให้เงินข้าหรอก”
คุณชายน้อยที่ทั่วร่างแผ่รัศมีความร่ำรวยเบ้ปาก “ไม่ดีกว่า ข้าไม่เห็นจะอยากไป”
เด็กชายปลดปลาตัวเล็กตัวน้อยบนหญ้าหางสุนัขออกทีละตัว ตัวที่ใหญ่ที่สุดยาวประมาณฝ่ามือ ตัวเล็กมีขนาดแค่นิ้วหัวแม่มือเท่านั้น เด็กชายเขย่งปลายเท้าเอาปลาตากแดดไว้บนขอบหน้าต่าง ถ้าแห้งเมื่อไหร่ก็กินได้ทันที ไม่ต้องทาเกลือ แล้วก็ไม่ต้องควักไส้เอาเครื่องในออก หาใช่เด็กชายกลัวความยุ่งยาก แต่เป็นเพราะหากไม่ทำอย่างนี้ก็คงเหลือเนื้ออยู่แค่ไม่กี่ตำลึง อย่างไรซะกินแบบนี้ก็กรอบดี อร่อยอย่างมาก
หลังจากคุณชายน้อยที่นั่งอยู่บนกำแพงลานบ้านพูดจบ อันที่จริงเขาก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง เพราะในความเป็นจริงแล้วเขาอิจฉาเพื่อนบ้านวัยเดียวกันคนนี้มาโดยตลอด ทุกครั้งที่อีกฝ่ายกลับบ้านมักจะไม่มามือเปล่า จะต้องมีกระต่ายป่า ปลาหนีชิว ปลาในแม่น้ำ หรือผลไม้ป่ากลับมาด้วยเสมอ ทำเอาเขาที่มองเห็นจิตใจหวั่นไหวอย่างยิ่ง หาใช่อยากกินไม่ แค่เห็นแล้วอิจฉาตาร้อนเท่านั้น แต่เขาที่เป็นคนชอบเอาชนะจึงไม่เต็มใจจะแก้ไขคำพูด บวกกับที่เห็นท่าทางคล่องแคล่วว่องไว ไร้ทุกข์ไร้กังวลของคนแซ่เฉินบ้านข้างๆ เลยรู้สึกไม่สบอารมณ์เล็กน้อย
เจ้าเฉินผิงอัน ทุกวันยากจนจนไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกปากหม้อ ต้องนอนอยู่ในบ้านเก่าโทรมหลังคารั่วแปดทิศ พอถึงวันปีใหม่ แม้แต่พุทราเชื่อมสักไม้ก็ยังไม่มีปัญญาจะหามากิน เจ้ายังจะมีความสุขอะไรอีก?
คุณชายน้อยบนกำแพงที่มีชื่อว่าซ่งจี๋ซินไม่อาจเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้ได้เลย
……
วันหนึ่งเด็กชายที่ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารการกิน แต่ต้องมาอยู่ที่ตรอกหนีผิงกลับมาถึงบ้านด้วยสภาพจมูกเขียวหน้าบวมเป่ง เนื้อตัวเต็มไปด้วยโคลน
เด็กหญิงที่เพิ่งกลายมาเป็นสาวใช้คนสนิทของเขาถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ให้ตายซ่งจี๋ซินก็ไม่ยอมพูด หลังกลับเข้าห้องตัวเองก็ปิดประตู ขึ้นไปนอนบนเตียง
วันนี้เขาทะเลาะกับคนอื่น ซ้ำยังถึงขั้นลงมือต่อยตีกันด้วย มีคำพูดชั่วร้ายบางคำที่ตอนนี้ยังวนเวียนอยู่ข้างหูเขา ทำให้หัวใจของเด็กชายที่หยิ่งในศักดิ์ศรี ภาคภูมิใจในตัวเองสูงเหมือนถูกมีดกรีด สีหน้าของเขาเดี๋ยวๆ ก็เศร้าเสียใจ เดี๋ยวๆ ก็เปลี่ยนมาเป็นดุร้าย
“เจ้าก็แค่มีเงินมากหน่อยไม่ใช่หรือ? มีอะไรให้น่าลำพองนักหนา ขนาดเฉินผิงอันเจ้าก็ยังสู้ไม่ได้ แม้ว่าพ่อแม่เขาจะตายไปแล้ว แต่จะดีจะชั่วก็ยังรู้ว่าพ่อแม่ของเขาเป็นใคร เจ้าหรือรู้ไม่ว่าพ่อแม่ของตัวเองเป็นใคร?”
เด็กชายตระกูลซ่งนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง ไม่ว่าอย่างไรก็นอนไม่หลับ
วันที่สองเด็กคนนี้ไม่ได้ขึ้นมานั่งยองบนกำแพงบ้านเพื่อคุยเล่นกับเพื่อนบ้านเหมือนยามปกติ แต่เดินเข้าประตูมาในบ้านของเฉินผิงอันอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
หลังจากเขาพูดประโยคหนึ่งกับเฉินผิงอันแล้ว ไม่นานนักเฉินผิงอันก็ออกไปจากเมือง ไปเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรตั้งแต่อายุยังน้อย ผิดต่อคำสาบานที่เคยให้ไว้กับมารดาก่อนที่นางจะลาจากโลกใบนี้ไป
……
เงาร่างของคนผู้หนึ่งยืนลับๆ ล่อๆ อยู่หลังประตูห้องโถงหลักของร้าน พอหยางเหล่าโถวหันหน้าไปมองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงหันกลับมา คล้ายไม่อยากจะมองให้รำคาญสายตา
พอเห็นท่าทางของผู้เฒ่า เงาร่างนั้นก็ดูเหมือนคนได้รับบาดเจ็บ
แต่คนที่ทำให้เขาบาดเจ็บมากกว่าคือสตรีแต่งงานแล้วคนหนึ่งที่เดิมทีตนควรเรียกว่าพี่สะใภ้ นางมือหนึ่งถือร่ม อีกมือหนึ่งผลักศีรษะของเขาอย่างแรง ส่วนตัวเองก็เดินก้าวยาวๆ เข้าไปในห้องหลักของลานด้านหลัง พอเห็นผู้เฒ่านางก็ตั้งท่าจะแหกปากตะโกน
หยางเหล่าโถวถอนหายใจ รีบลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง ปิดประตูลง ยืนอยู่บนขั้นบันได พอเห็นหญิงแต่งงานแล้วที่วางท่าว่าจะซักไซ้เอาความผิดกับเขา แม้แต่ความอยากสูบยาสูบของผู้เฒ่าก็เหือดหายไปด้วย
สตรีที่แต่งงานแล้วหยุดฝีเท้า ยกมือข้างหนึ่งเท้าเอวบริภาษ “ทำอะไร กันขโมยงั้นหรือ?! หยางเหล่าโถว จะดีจะชั่วท่านก็เป็นอาจารย์ของสามีข้า เหตุใดถึงชอบทำเรื่องไร้ศีลธรรมพวกนี้? หลี่เอ้อเป็นลูกจ้างร้านยาอยู่ดีๆ ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงไล่เขาออก? ร้านตระกูลหยางเป็นของท่านงั้นรึ? หลี่เอ้อนอนกับอาจารย์แม่ หรือว่านอนกับลูกสาวของอาจารย์เขาหรือไง?!”
ชายที่ถูกดักรออยู่กลางทางจนต้องย้อนกลับมาที่นี่อีกครั้งทำคอย่น หลบอยู่ด้านหลังประตู ใจอยากจะขุดหลุมฝังตัวเองยิ่งนัก
ท่านอาจารย์มีนิสัยอย่างไร แล้วภรรยาของหลี่เอ้อเป็นคนแบบไหน เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร ดังนั้นเขาถึงรู้สึกว่าครั้งนี้หากตนไม่ตายก็ต้องถูกถลกหนังชั้นหนึ่งแน่
หยางเหล่าโถวสีหน้าไร้อารมณ์ “พูดจบแล้ว? พูดจบแล้วก็ไปหอนที่บ้านซะ ได้ยินมาว่าทางฝั่งตะวันตกสุดของเมืองมีเสียงแมวครวญหาคู่ ไม่เคยขาดระยะตลอดทั้งปี ตอนกลางวันร้องกลางคืนก็ร้อง ทำเอาคนหลายคนรำคาญจนต้องย้ายบ้านหนี…”
สายตาของผู้เฒ่ามองไปยังชายฉกรรจ์เจิ้งต้าเฟิงที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเย็นชา
เจิ้งต้าเฟิงหน้าม่อยคอตก “อาจารย์ หลี่เอ้อไปทำธุระตามที่ท่านสั่งแล้ว ตอนนี้คงยังกลับมาไม่ได้”
สีหน้าผู้เฒ่ามืดทะมึน
เจิ้งต้าเฟิงถึงขั้นคิดอยากจะคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอนแล้ว
หญิงแต่งงานแล้วโยนร่มน้ำมันในมือทิ้ง นั่งแปะลงไปบนพื้นที่เต็มไปด้วยน้ำฝนแล้วเริ่มคร่ำครวญเสียงดัง “ตาแก่หนังเหนียว ชอบการร่วมประเวณีผิดศีลธรรม ขนาดภรรยาของลูกศิษย์ตัวเองก็ยังไม่ละเว้น”
ผู้เฒ่ายกเก้าอี้ตัวเล็กใต้ชายคาออกมาแล้วนั่งลงเนิบช้า หยิบยาเส้นออกจากถุงห้อยเอว ขยำเป็นก้อนยัดเข้าไปในปากกระบอกแล้วสูบ เงยหน้าพ่นควันขึ้นสู่ท้องฟ้า ไม่สนใจหญิงแต่งงานแล้วแม้แต่น้อย
เจิ้งต้าเฟิงมองสตรีผู้นั้นตบพื้นน้ำกระจายกลิ้งไถลเถลือกอยู่ในลานกว้าง ฝนตกหนักขนาดนี้ แถมหญิงสาวยังเกิดมาพร้อมเรือนกายอวบอิ่มเต็มตึง เสื้อผ้าก็บางเฉียบ เป็นเหตุให้ลูกจ้างร้านหลายคนรีบมาชมเรื่องสนุก แต่ละคนแอบมองอาหารตากันอย่างปรีดา
หญิงออกเรือนแล้วร้องไห้ปริ่มจะขาดใจ แต่จู่ๆ กลับหยุดชะงักคล้ายถูกคนบีบคอกะทันหัน นางขยี้ตาตัวเอง จากนั้นก็รีบลุกขึ้นยืน หยิบร่มกระดาษน้ำมันวิ่งหนีไป
สตรีแต่งงานแล้ววิ่งพลางตะโกนไปด้วย “ผีหลอก!”
ผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก “ขี้หนูบนแท่นวางกระถางธูป เทพรังเกียจผีสะอิดสะเอียน”
—-
[1] สำนวนว่าจากบ้านไกลเมือง ภาษาจีนคือ 背井离乡 หากแปลตรงตัวจะได้ว่าแบกบ่อน้ำ/หันหลังให้บ่อน้ำไปจากบ้านเกิด
[2] เทาเที่ย (饕餮) กล่าวกันว่าเป็นโอรสองค์ที่ห้าของมังกร เป็นสัตว์ประหลาดในจินตนาการชนิดหนึ่งซึ่งปรากฎในคัมภีร์ซานไห่จิง เป็นอสูรกายที่แทนความตะกละ ละโมภ ไม่รู้จักเพียงพอ
[3] ปล่อยให้คนนอกมาแบ่งน้ำแกงไปถ้วยหนึ่ง มาจากเหตุการณ์ในยุคที่ฉู่และฮั่นทำสงครามกัน เซี่ยงอวี่เป็นกังวลว่าหากยังคุมเชิงกันต่อไปเป็นระยะเวลานานจะไม่ส่งผลดีต่อตนเอง จึงจับบิดาของหลิวปังมาแล้วป่าวประกาศว่าหากหลิวปังไม่ยอมแพ้จะสังหารบิดาเขาแล้วเอาเนื้อมาตุ๋นน้ำแกงกิน หลิวปังได้ยินก็บอกว่าพวกเราสองคนเป็นพี่น้องร่วมสาบานกัน บิดาข้าก็เหมือนบิดาเจ้า หากฆ่าแล้วก็แบ่งน้ำแกงถ้วยหนึ่งให้เขากินด้วย สุดท้ายเซี่ยงอวี่ได้รับการเกลี้ยกล่อมจากเซี่ยงป๋อจึงไม่ได้ลงมือฆ่าคน ซึ่งคนรุ่นหลังนำคำว่าแบ่งน้ำแกงหนึ่งถ้วยนี้มาเปรียบเปรยถึงการแบ่งผลประโยชน์