Skip to content

Sword of Coming 604

บทที่ 604 คนที่กำลังต่อสู้ คืออาจารย์พ่อของข้า

ยามฟ้าสาง ขยับเข้าใกล้ประตูใหญ่ของภูเขาห้อยหัว จากนั้นแค่เดินออกไป ไม่กี่ก้าวก็จะข้ามผ่านใต้หล้าแห่งหนึ่งไปสู่ใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว แต่จ้งชิวกลับถามว่า “โปรดอภัยที่ข้าถามมาก การเดินทางไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ใครเป็นผู้ช่วยเหลือ ระหว่างเดินทางกลับจะมีภัยแฝงหรือไม่”

ชุยตงซานกลับไม่คิดจะปิดบังอะไร ยิ้มเอ่ยว่า “เป็นการช่วยเหลือเล็กๆ จากเส้าอวิ๋นเหยียนเซียนกระบี่เจ้าของเรือนชุนฟาน ก็แค่ใช้เงินเปิดทางเท่านั้น ไม่มีค่า พอให้อาจารย์จ้งต้องเป็นกังวล”

แน่นอนว่าจ้งชิวไม่ได้เชื่อในคำพูดเหล่านี้ของเด็กหนุ่ม คิดจะยื่นเงินส่งให้กับเส้าอวิ๋นเหยียนของเรือนชุนฟาน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเคาะประตูให้อีกฝ่ายยอมเปิดประตูออกมาก่อนถึงจะได้

เพียงแต่ว่าในเมื่อชุยตงซานบอกว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวล จ้งชิวจึงวางใจลงได้ ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายที่ทุกวันนี้ถือว่ามาจากศาลบรรพจารย์เดียวกันบนภูเขาลั่วพั่ว หากมีจุดที่ต้องการให้เขาจ้งชิวออกแรงจริงๆ จ้งชิวก็ยังหวังว่าชุยตงซานจะสามารถบอกความจริงอย่างตรงไปตรงมาแก่เขาได้

สำหรับชุยตงซาน ไม่ใช่แค่เขาจ้งชิวเท่านั้นที่ประหลาดใจ อันที่จริงจ้งชิวยังมองออกว่าคนสามคนได้แก่จูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิงละซานจวินเว่ยป้อ ในฐานะภูเขาลูกเล็กที่มีคุณวุฒิเก่าแก่ที่สุดของภูเขาลั่วพั่ว แท้จริงแล้วพวกเขาต่างก็ให้ความสำคัญกับ ความใกล้ชิดห่างเหินระหว่างตนเองกับยอดฝีมือนอกโลกที่มีรูปโฉมเป็นเด็กหนุ่มผู้นี้มากเหมือนกัน เหตุผลนั้นง่ายดายมาก ‘เด็กหนุ่ม’ ที่มีนามว่าชุยตงซานผู้นี้มีความคิดล้ำลึกเหมือนหุบเหวที่มองไม่เห็นก้นบึ้งมากเกินไป ในฐานะราชครูของหนึ่งแคว้น เขาจ้งชิวเห็นคนมานักต่อนัก ไม่ว่าจะเป็นจักรพรรดิ อัครเสนาบดี แม่ทัพหรือผู้กล้า ในใต้หล้า แม้แต่จิตใจดั้งเดิมของอวี้เจินอี้ที่หันมาฝึกตนแสวงหาการเป็นเซียน

เขาก็ยังมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง หันกลับมามองเด็กหนุ่มชุดขาวที่วันๆ ชอบเล่นสนุกเอะอะมะเทิ่งกับเผยเฉียนผู้นี้ ส่วนลึกในใจของจ้งชิวคล้ายมีลางสังหรณ์บอกกับตัวเขาเองว่า ไม่ไปสืบเสาะความคิดจิตใจของคนผู้นี้ถือเป็นแผนการอันดีเยี่ยมที่สุดแล้ว

คนเฝ้าประตูของที่แห่งนี้คือนักพรตน้อยอ่อนเยาว์ที่มีวัยวุฒิสูงเทียบเท่ากับเทียนจวินใหญ่ของภูเขาห้อยหัว เวลานี้นักพรตน้อยไม่ได้ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ อีกแล้ว แต่จ้องเป๋งมองประเมินคนทั้งสี่อย่างไม่คิดจะปิดบังสายตาของตัวเอง แม้แต่น้อย

จากนั้นนักพรตน้อยที่เคยตบให้ลู่ไถกระเด็นออกจากหอซ่างเซียนด้วยฝ่ามือเดียวผู้นี้ก็ถามคำถามกับคนทั้งสี่ในเวลาเดียวกัน โดยถามเด็กหนุ่มชุดลัทธิขงจื๊อและ แม่นางน้อยที่ถือไม้เท้าเดินป่าด้วยคำถามเดียวกัน

คำถามที่ถามจ้งชิวคือ “ยินดีขึ้นไปจุดธูปหนึ่งดอกที่หอซ่างเซียง (จุดธูป/ปักธูป) หรือไม่? หากจุดธูปได้สำเร็จก็จะสามารถอาศัยสิ่งนี้มาอยู่ในสำนักของข้า ไม่แน่ว่าหลังจากวันนี้ไปเจ้าและข้าอาจเรียกกันเป็นพี่เป็นน้อง แต่ข้าไม่อาจรับประกันได้ว่าความอาวุโสของเจ้าจะขยับขึ้นไปได้อีกก้าว เรื่องนี้จำเป็นต้องบอกกับเจ้าอย่างชัดเจนไว้แต่แรก”

หากเป็นผู้ฝึกตนทั่วไปของใต้หล้าไพศาล ก็คงจะมองคำพูดประโยคนี้ เป็นโชควาสนาที่ลึกล้ำดุจฟ้าดิน

เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างคือคำถามว่า “อาจารย์เจ้าเป็นใคร?”

ถามชุยตงซานว่า “เจ้าเป็นใคร?”

จ้งชิวใช้การรวมเสียงให้เป็นเส้นยิ้มตอบไปว่า “ขอบพระคุณเจินเหรินที่เมตตา แต่ข้าเป็นลูกศิษย์ของลัทธิขงจื๊อ เป็นผู้ฝึกยุทธครึ่งตัว ไม่เคยมีความคิดใดๆ ต่อวิชาตระกูลเซียนของผู้ฝึกตน”

เฉาฉิงหล่างมีสีหน้าเป็นธรรมชาติ ใช้ริ้วคลื่นในหัวใจตอบกลับไปว่า “ใต้หล้าไพศาล การสืบทอดของสำนักคือความสำคัญในสำคัญอีกที ผู้น้อยมิอาจบอกได้ ขอเจินเหรินโปรดอภัยให้ด้วย”

เกี่ยวกับคำตอบที่ถือว่ายังอยู่ในการคาดการณ์นี้ นักพรตน้อยเองก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจสักเท่าไร เขาพยักหน้าถือว่าเข้าใจแล้ว ยิ่งไม่ได้อับอายจนกลายเป็น ความโกรธเคือง

เห็นผู้คนสารพัดรูปแบบอยู่ในภูเขาห้อยหัวมาปีแล้วปีเล่า ช่างไร้รสชาติ น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ก็แค่อยากจะหาความประหลาดใจให้ตัวเองเท่านั้น

แม่นางน้อยคนนั้นถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตที่หล่อหลอมมาจากแส้ไม้ไผ่สีทองจากบ่อสายฟ้า นางไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เงยหน้ามองท้องฟ้าแสร้งทำเป็นหูหนวกเป็นใบ้ ราวกับว่ารู้คำตอบจากเสียงในใจของเด็กหนุ่มคนนั้น จากนั้นนางก็ค่อยๆ ขยับเท้า สุดท้ายไปหลบอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มชุดขาว นักพรตน้อยหลุดหัวเราะพรืด ชื่อเสียงของตนในภูเขาห้อยหัวไม่ได้เลวร้ายสักหน่อย ไอ้เรื่องที่อาศัยอำนาจรังแกคนอื่น เขาไม่เคยทำมาก่อนสักครั้งครึ่งครั้ง มีบางครั้งที่ลงมือก็ล้วนเป็นการอาศัยมรรคกถาอันน้อยนิดและความสามารถอันเล็กน้อยของตนเท่านั้น

เพียงแต่ว่าคำตอบของเด็กหนุ่มที่สวมห่มเนื้อหนังมังสาเป็นคราบร่างของมังกร ที่แท้จริงยุคบรรพกาลนั้นกลับทำให้นักพรตน้อยพูดไม่ออก อยู่ดีๆ ไอ้หมอนี่ก็เอ่ยประโยคหนึ่งขึ้นมา ทั้งไม่ได้รวมเสียงให้เป็นเส้น แล้วก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำโดยใช้เสียงในทะเลสาบหัวใจ แต่พูดออกมาโดยตรงว่า “ข้าก็คือตงซานไงล่ะ”

นักพรตน้อยไม่มีอารมณ์จะตอแยอีกฝ่าย เขาก้มหน้าลงอ่านหนังสือต่อ ประตูใหญ่ด้านข้างเปิดออกด้วยตัวเอง

คนทั้งสี่คนเดินตรงไปที่ประตูใหญ่ เผยเฉียนคอยหลบอยู่ในจุดที่ห่างจากนักพรตน้อยที่สุด เวลานี้ห่านขาวใหญ่ขยับไปหนึ่งก้าว นางที่ยืนอยู่ฝั่งซ้ายมือของ ห่านขาวใหญ่ก็ขยับตามไปด้วย ราวกับว่าเมื่อตนมองไม่เห็นนักพรตน้อย นักพรตน้อยก็จะมองไม่เห็นตนอย่างไรอย่างนั้น

หลังจากขึ้นเรือที่นครมังกรเฒ่า ชุยตงซานก็เอ่ยเตือนเผยเฉียนแค่เรื่องเดียว ยามที่เจอกับยอดฝีมือ อย่ามองนานนัก ให้เดินอ้อมผ่านไป พยายามทำตัวให้เป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง

เผยเฉียนจึงถามว่าแบบไหนถึงจะถือว่าเป็นยอดฝีมือ ชุยตงซานจึงยิ้มกล่าวว่าพวกคนที่มองปราดเดียวก็เห็นว่ามีไอเมฆหมอกลอยอยู่เหนือทะเลสาบหัวใจ ก็คือ ยอดฝีมือ เมื่อมองไปแล้วก็ทำตัวเป็นคนตาบอดเลียนแบบเฉินหลิงจวิน แล้วค่อยทำตัวเป็นคนใบ้เลียนแบบหมี่ลี่น้อย

พอเท้าเหยียบลงพื้น ลมหายใจของจ้งชิวก็ไม่ค่อยจะราบรื่นนัก แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก สูดลมหายใจอยู่ไม่กี่ครั้งก็กลับคืนมาเป็นปกติ

ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตเดินทางไกลเช่นเดียวกัน มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวและใต้หล้าไพศาล อันที่จริงกลับมีความต่างกันไม่น้อย

ในฐานะราชครู จ้งชิวสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงและความคิดจิตใจไปมาก รอจนกระทั่งพื้นที่มงคลดอกบัวกลายเป็นพื้นที่มงคลรากบัว ไม่มีมหามรรคาคอยสยบกดทับ เอาไว้อีก อีกทั้งจ้งชิวยังได้ปลดภาระของราชครูลง ไม่ว่าจะเป็นสภาพจิตใจหรือแรงใจ ล้วนถูกถางเปิดออกกว้าง อันที่จริงไม่ต้องรอให้จ้งชิวเดินเข้าไปในภูเขาลั่วพั่ว เขาก็กลายเป็นจ้งชิวสองคนแล้ว ดังนั้นเวลาสิบปีที่ผ่านมานี้ จ้งชิวได้ฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตหกเหมือนน้ำมาคลองสำเร็จ เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตร่างทองก่อน สุดท้าย เมื่อเหตุไม่คาดฝันหรือควรจะพูดว่าโชควาสนาปรากฏขึ้น จ้งชิวที่เป็นดั่งศาลาใกล้น้ำได้ยลจันทร์ก่อน แต่กลับไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในศาลาก็ได้ก้าวข้ามผ่านธรณีประตูใหญ่ อีกแห่งหนึ่ง

มองดูเหมือนว่าเกิดจากวาสนาและโชคชะตา แต่แท้จริงแล้วคือการสั่งสมไว้มากแล้วทยอยนำมาใช้ทีละน้อย

เฉาฉิงหล่างคือคนที่รู้สึกย่ำแย่มากที่สุด สีหน้าของเขาซีดขาวน้อย มือสองข้าง ที่ซ่อนอยู่ในชายแขนเสื้อพากันทำมุทราช่วยสงบจิตวิญญาณของตัวเอง

ล้วนเป็นวิชาที่อาจารย์ลู่เคยถ่ายทอดไว้ให้ในอดีตทั้งสิ้น

เผยเฉียนกลับคืนมาเป็นปกติได้เร็วกว่าเฉาฉิงหล่าง นางโคลงศีรษะด้วยท่าทางลำพองใจ เห็นไหม เส้นทางการฝึกตนของเจ้าตอไม้เฉาข้างกายผู้นี้ ช่างมีภาระหนักอึ้งบนเส้นทางยาวไกล ทำให้นางกังวลอย่างมาก

ก่อนหน้านี้นางชุยตงซานใช้เสียงในใจเอ่ยกับนางประโยคหนึ่งว่า “ข้าจะหยอกเจ้าตัวน้อยนั่นเล่นสักหน่อย”

เผยเฉียนจึงเอ่ยเตือน “อย่าให้เกินกว่าเหตุนะ”

ชุยตงซานคือคนสุดท้ายที่เดินเข้าประตูใหญ่ไป ร่างของเขาเอนมาด้านหลัง ยืดคอยาวราวกับต้องการเห็นให้ชัดว่านักพรตน้อยอ่านหนังสืออะไรอยู่

นักพรตน้อยยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “บนภูเขาห้อยหัว ศิษย์หลานบางคนของข้า ผู้เป็นนักพรตไม่ค่อยเป็นมิตรกับเผ่าพันธุ์เจียวหลงสักเท่าใด”

ร่างของชุยตงซานหายเข้าไปในประตูใหญ่แล้ว คิดไม่ถึงว่าจะถอยก้าวหนึ่งกลับออกมา ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าพูดอะไรนะ?”

นักพรตน้อยอึ้งตะลึง หันหน้าไปมอง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “สรุปว่าเจ้ามีขอบเขตอะไรกันแน่?”

ชุยตงซานหัวเราะร่า “หากข้าบอกว่าตัวเองเป็นขอบเขตบินทะยาน เจ้าจะเชื่อไหม?”

นักพรตน้อยส่ายหน้า

เด็กหนุ่มคนนั้นกลับทำตัวเหมือนคนกินอิ่มที่ว่างงานด้วยการพูดคุยหัวข้อที่ น่าเบื่ออย่างมากนี้ด้วยความจริงจัง เขาถามต่อว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะถามข้าทำไม? หากข้าบอกว่าข้าเป็นขอบเขตก่อกำเนิด ขอบเขตหยกดิบ เจ้าก็จะเชื่ออย่างนั้นหรือ? เป็นเจ้าที่เชื่อข้า หรือว่าเชื่อตัวเจ้าเองกันแน่? ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าเชื่อเจ้า หรือ เชื่อข้าที่อยู่ในใจเจ้า ถ้าอย่างนั้นข้าควรเชื่อว่าเจ้าคนไหนกันแน่ที่เชื่อ?”

นักพรตน้อยอึ้งตะลึงไปนาน ก่อนจะถามว่า “สมองเจ้ามีปัญหาใช่หรือไม่?”

เด็กหนุ่มคนนั้นก็ยังเล่นแง่ไม่ยอมไปไหน ยังคงค้างอยู่ในท่าที่เท้าสองข้าง อยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว แต่ร่างที่เอนมาด้านหลังยังคงอยู่ในใต้หล้าไพศาล “หากทุกข์ภัยอยู่บนมหามรรคาไม่ได้อยู่ที่ตัวเจ้าและข้า เจ้าจะทำอย่างไร? กินยาแล้วมีประโยชน์หรือ?”

นักพรตน้อยหมดคำพูดอย่างสิ้นเชิง

เด็กหนุ่มคนนั้นยิ้มหน้าเป็นเอ่ยว่า “เจ้าเองก็จริงๆ เลยนะ ก่อนหน้านี้ถามข้าว่าสมองมีปัญหาหรือไม่ พอข้าถามว่าเจ้าต้องการยาไหม คราวนี้เจ้ากลับอึ้งงันไปเลยหรือ?”

นักพรตน้อยกล่าวอย่างฉงนว่า “เจ้าเบื่อการมีชีวิตอยู่ขนาดนี้เลยหรือ?”

เด็กหนุ่มตีหน้าเคร่งเอ่ยว่า “ฟ้าดินให้กำเนิดมนุษย์ ควรจะตอบแทนอย่างไร? สุดท้ายแล้วก็ต้องตอบแทนด้วยความตายไม่ใช่หรือ”

นักพรตน้อยขมวดคิ้วมุ่น ปิดหน้าหนังสือ เตรียมจะกระชากไอ้หมอนี่กลับมาที่ภูเขาห้อยหัวแล้วซ้อมให้หนักๆ สักครา สรุปแล้วอีกฝ่ายมีขอบเขตอะไร ย่อมเป็นดั่งหินที่ผุดเมื่อน้ำลดเอง คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นเห็นท่าไม่ดีจึงเผ่นหนีไปแล้ว

ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็เอนตัวออกมาหัวเราะคิกคักกับนักพรตน้อยอีก “รวมเล่มซงเจียน ที่มองดูเหมือนจะมีแต่ความเศร้ารันทดเกินครึ่งเล่มนี้ไม่มีอะไรให้น่าอ่านเลยจริงๆ สุดท้ายบัณฑิตผู้ลุ่มหลงในรักคนนั้นก็ตาย ทว่าสตรีกลับไม่ได้ตายตามเพื่อบูชารัก แต่กลับไปแต่งงานกับคนอื่น ให้กำเนิดเด็กน้อยตัวอ้วนท้วนกลุ่มใหญ่ เจ้าว่าน่าโมโหหรือไม่ น่าโกรธหรือไม่? นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ที่น่าโมโหที่สุดก็คือบัณฑิตคนนั้น กลับชาติมาเกิดใหม่ กลายมาเป็นลูกชายของลูกชายสตรีผู้นั้น สุดยอดไปเลย ประเสริฐยิ่งนัก!”

นักพรตน้อยพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ เค้นรอยยิ้มออกมา เอ่ยเนิบช้าว่า “มา พวกเรามาคุยกันดีๆ เถอะ”

ในที่สุดเด็กหนุ่มชุดขาวก็ยอมไสหัวไปอย่างรู้กาลเทศะ ไม่คิดจะคุยเพิ่มกับตนอีกแม้แต่ประโยคเดียว

รอจนเจ้าตะพาบผู้นั้นจากไป นักพรตน้อยที่หงุดหงิดใจก็รีบเปิดหนังสือไปถึง ตอนจบ แล้วก็พลันเบิกตากว้าง ในหนังสือนั่นคือฉากจบแบบสุขบริบูรณ์แท้ๆ

ชุยตงซานกลับมาอีกรอบ กล่าวอย่างเป็นกังวลว่า “ลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง เล่มที่เจ้าอ่านคือฉบับที่คนรุ่นหลังเอามาตีพิมพ์ใหม่หลังจากที่ผู้จัดจำหน่ายตำราใจดำทำการปรับปรุงแก้ไข ฉากจบของฉบับแรกที่ยังไม่ถูกตัดไม่ได้จบสวยงามเช่นนี้ เพราะหากเป็นจุดจบแบบเดิมยอดขายก็ไม่ทะลุเป้า ร้านหนังสือขายไม่ค่อยออก ไม่เชื่อหรือ? ของเจ้าเล่มนี้เป็นฉบับที่หออวี้ซานของสกุลหลิวตุนซีของหลิวเสียทวีปเป็นผู้จัดพิมพ์ใช่ไหมล่ะ? เฮ้อ ตำราที่ไม่ถือว่าเป็นฉบับหายากหรือฉบับสมบูรณ์แบบนี้ ยังอ่านอย่างตั้งใจปานนั้น อ่านฉบับพิมพ์ของหอเหวินกวนก็ยังดีนี่นา แต่ก็มีนิยายรักประโลมโลกที่ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัดชุดหนึ่งที่ทุกครั้งเมื่อชายหญิงได้พบเจอกัน เนื้อหาไม่เพียงแต่ไม่ลดน้อยลงกลับยังเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก นั่นน่ะดีเยี่ยมสุดๆ ไปเลย หากเจ้ามีเงินแล้วก็ยังมีเวลา จะต้องไปหาซื้อมาให้ได้นะ!”

นักพรตน้อยเอ่ยถาม “เจ้ามีหรือ?”

เด็กหนุ่มชุดขาวกล่าวอย่างจนใจ “ข้าเป็นถึงผู้ฝึกตนใหญ่ห้าขอบเขตกลาง จะจ่ายเงินเก็บนิยายบุรุษมากความสามารถกับโฉมสะคราญที่มีหลายฉบับพวกนี้ไปทำไม”

นักพรตน้อยถอนหายใจ เก็บตำราเล่มนั้นลงไป อ่านนานไปก็หงุดหงิดใจ สุดท้ายถึงพูดอย่างจริงจังว่า “คนที่หากนับตามความอาวุโสแล้วถือว่าเป็นศิษย์หลานของข้าคนนั้น ดูเหมือนว่าจะตรวจสอบประวัติความเป็นมาของเจ้าไม่เจอ”

คนผู้นั้นยิ้มตาหยี พยักหน้าเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นก็บอกเขาว่าไม่ต้องตรวจสอบแล้ว มีชีวิตอยู่จนเอียน ระวังจะถูกฟ้าผ่าตาย เจ้าคิดว่าอยู่ในภูเขาห้อยหัวที่ใหญ่ขนาดนี้ จะสง่างามได้เหมือนข้าที่นึกจะไปก็ไป นึกจะมาก็มาระหว่างฟ้าดินใหญ่ทั้งสองแห่ง ได้หรือ? ใช่ไหม?”

ในที่สุดนักพรตน้อยก็ลุกขึ้นยืน

ทันใดนั้นพื้นที่ใกล้ในระยะประชิด นักพรตน้อยที่เรือนกายเหมือนเด็กธรรมดา ในหมู่ชาวบ้านทั่วไป กลับเหมือนขุนเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่พลันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

ชุยตงซานโบกมือเป็นการอำลา “อย่าคิดจะเฝ้าตอรอกระต่ายเลย ยิ่งอย่าคิดว่าจะปิดประตูปล่อยสุนัข เทพเซียนใหญ่ห้าขอบเขตกลางอย่างข้า แค่ยกมือยกเท้าแผ่นดินก็ไหวภูเขาก็สะเทือนแล้ว ไม่ทันรอให้พวกเจ้ากลัว ข้าก็กลัวตัวเองก่อนแล้ว”

นักพรตน้อยคิดจะแหกกฎสักครั้งเพื่อไปลากตัวคนผู้นี้ออกจากกำแพงเมืองกระบี่กลับมาที่อาณาเขตภูเขาห้อยหัว คิดไม่ถึงว่าเทียนจวินใหญ่ที่เฝ้าพิทักษ์อยู่บน ยอดเขาเดียวดายจะพลันใช้เสียงในใจเอ่ยกับเขาอย่างเฉยชาว่า “ปล่อยเขาไป”

นักพรตน้อยหันหน้ากลับไป มองไกลไปยังเงาร่างที่อยู่บนยอดเขาเดียวดาย ด้วยสายตาเย็นชา “เจ้าคิดจะใช้กฎเกณฑ์มาห้ามปรามการกระทำของข้างั้นหรือ?”

เทียนจวินใหญ่ที่อยู่คนละสายกับนักพรตน้อยหัวเราะเสียงเย็น “กฎเกณฑ์? กฎเกณฑ์ล้วนมีข้าเป็นคนตั้ง เจ้าไม่ยอมรับเรื่องนี้มานานหลายปี แต่ข้าเคยใช้กฎเกณฑ์มาข่มเจ้าสักครั้งไหม? ก็มรรคกถาต่างกันเท่านั้น”

นักพรตน้อยเดือดดาลหนัก เดินวนอยู่ที่เดิม

แล้วจู่ๆ ก็มีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมาอีกครั้ง พูดด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ถูกคนต่างถิ่นทำให้รำคาญใจ ถูกคนของตัวเองทำให้อึดอัดใจ โมโหจะตายอยู่แล้ว มันน่าโมโห ให้ตายจริงๆ”

เมื่อนักพรตน้อยโกรธาอย่างแท้จริงก็ชักนำให้ฟ้าดินเกิดภาพเหตุการณ์ผิดปกติ ทะเลเมฆเหนือภูเขาห้อยหัวพลิกตลบ คลื่นยักษ์โถมตัวอยู่บนมหาสมุทร เทพเซียน ตีกัน แต่กลับเดือดร้อนให้เรือจำนวนนับไม่ถ้วนที่จอดเทียบท่าโยกคลอนขึ้นลง ผู้คนพากันแตกตื่น แต่กลับไม่รู้สาเหตุ

เทียนจวินใหญ่แห่งภูเขาห้อยหัวที่สร้างฟ้าดินขนาดเล็กขึ้นมาตรงประตูใหญ่ ตีนเขานานแล้วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “หยุดเมื่อพอสมควรเถอะ”

ชุยตงซานถึงได้เดินเข้าไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ เสียที

หลักการเหตุผลบางอย่างที่เล็กเท่าเมล็ดงาเมล็ดถั่ว เมื่อเอามาโต้เถียงกับหมัดที่ใหญ่ที่สุดของภูเขาห้อยหัวจนได้คำตอบอย่างชัดเจนแล้ว ถ้าอย่างนั้นเรื่องยุ่งยากนับหมื่น ที่อยู่ตรงหน้าก็ล้วนมีคนคอยช่วยคลี่คลายปัญหาให้เอง

แต่กระนั้นอารมณ์ของชุยตงซานก็ยังไม่ใคร่จะดีนัก

นักพรตน้อยคนนั้นก็มีมรรคกถาเพียงเท่านั้น ทว่าประวัติความเป็นมากลับไม่ธรรมดา ไม่พูดถึงอาจารย์ของนักพรตน้อย แต่ใครบางคนที่มีความเกี่ยวข้องกับนักพรตน้อยอย่างลึกล้ำยังเป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่ในจุดสูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง ซึ่งอันที่จริงชุยตงซานเกลียดขี้หน้าเขามานานหลายปีแล้ว

เพียงแต่พอคิดว่าตนได้แต่เกลียดขี้หน้า แต่กลับไม่สามารถกดอีกฝ่ายลงบนพื้นแล้วสั่งสอนให้รู้ว่าเป็นคนควรทำตัวอย่างไรได้ทันที ได้แต่รอคอยไปก่อน รอให้โอกาสนั้นมาถึง ชุยตงซานก็ให้รู้สึกอึดอัดขัดใจยิ่งนัก

ตนเป็นคนมีเหตุผลขนาดนี้ คบหาสหายกว้างขวางไปทั่วใต้หล้า ใต้หล้านี้ก็ไม่ควรมีความแค้นใดที่ปล่อยให้ค้างคาข้ามคืนสิ

พอคิดถึงขอบเขตของเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานในทุกวันนี้ ชุยตงซานก็ยิ่งหงุดหงิดเข้าไปใหญ่

ดังนั้นสีหน้าจึงไม่ค่อยน่ามองนัก

เผยเฉียนถามอย่างเป็นกังวลใจ “พูดจาไม่น่าฟังก็เลยถูกคนซ้อมเข้าให้? ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอก เสียเปรียบบ้างเล็กน้อยก็ต้องอดทนให้มาก”

ชุยตงซานส่ายหน้า ไม่ได้พูดสัพยอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ของตัวเองอย่างที่หาได้ยาก

สายของเหวินเซิ่ง บุญคุณความแค้นก็ดี การอบรมสั่งสอนก็ช่าง ระหว่างอาจารย์และศิษย์ ระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง ไม่ว่าใครทำอะไรก็ล้วนควรให้เป็นเรื่องในบ้านตัวเองที่ปิดประตูตีกันอยู่ภายใน

สายเหวินเซิ่งของข้า นับตั้งแต่อาจารย์มาจนถึงลูกศิษย์ เคยทำร้ายใคร เพียงเพราะความปรารถนาส่วนตัวบ้างหรือไม่?

ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ต้องตกอยู่ในสถานะที่ได้แต่ให้คนอื่นซึ่งอยู่สูงส่งเกินใครบนฟ้าร่วมมือกันมาเจ้ากี้เจ้าการ ชี้ไม้ชี้มือบงการ?

สายของเหวินเซิ่งจะยังมีควันธูปให้พูดถึงอีกได้อย่างไร?

นี่เป็นคำพูดที่กล่าวผิดจริงๆ หรือ?

ไม่เลย!

อย่าว่าแต่ตลอดทั้งใต้หล้าไพศาลเลย พูดถึงแค่แจกันสมบัติทวีปที่เล็กที่สุด จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าบนภูเขาลั่วพั่วแขวนภาพเหมือนของใครเอาไว้บ้าง?

ตลอดร้อยปีที่ผ่านมา ความผิดอยู่ที่ชุยฉานผู้นั้น แน่นอนว่าก็ต้องอยู่ที่เขา ชุยตงซานด้วย!

แล้วก็อยู่ที่ซิ่วไฉเฒ่าตกอับที่ขังตัวเองอยู่ในสวนกงเต๋อหลิน! อยู่ที่จั่วโย่วที่ไปหลบอยู่ในมหาสมุทรเพื่อเยี่ยมเยียนเซียนกับมารดาอะไรนั่น! แล้วก็อยู่ที่เจ้าคนโง่เง่าที่สุด ที่เอาแต่กินข้าวไม่ออกแรง สุดท้ายก็ไม่รู้ว่าหายหัวไปอยู่ที่ไหน!

หากในอนาคตอาจารย์ของข้าชุยตงซาน ลูกศิษย์ของเจ้าซิ่วไฉเฒ่า ศิษย์น้องเล็กของเศษสวะอย่างพวกเจ้าสองคนที่มีแต่ตบะและขอบเขตเสียเปล่า แต่กลับไม่เคยรู้ว่าควรจะแบ่งเบาภาระให้สำนักอย่างไร ต้องมามีจุดจบเช่นนี้เหมือนกัน? ควรจะทำอย่างไร?

ยังจะเห็นทุกคนบนโลกเป็นศัตรู นั่งหยัดหลังตั้งตรง เงยหน้ามองแต่ละคนที่อยู่บนฟ้าเพียงลำพังแบบนั้นอีกหรือ?

ข้าชุยตงซาน?

วันหน้าหากต้องพิทักษ์แจกันสมบัติทวีปจนตัวตาย หากมีภัยใหญ่จากการที่แผ่นดินของทั้งทวีปจมดิ่ง สุดท้ายเจ้าตะพาบเฒ่าก็ยังไม่อาจตายได้ แต่เขาชุยตงซานสามารถตายได้

เผยเฉียนถามเสียงเบา “เป็นอะไรไป? เจ้าบอกข้ามาเถอะ หากข้าช่วยได้ก็จะช่วย ต่อให้ช่วยเจ้าไม่ได้ก็ยังคอยโบกธงร้องไห้กำลังใจเจ้าได้”

ชุยตงซานคลี่ยิ้ม “พอคิดว่ายังสามารถได้มาพบกับอาจารย์อีกครั้ง ข้าก็ดีใจ ดีใจจริงๆ”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ จากนั้นก็เอ่ยสั่งสอนด้วยท่าทางจริงจังว่า “ถ้าอย่างนั้น ก็เก็บเอาไว้หน่อย อย่าดีใจครั้งเดียวหมด ต้องเอาความดีใจในวันนี้เหลือไว้ใช้วันพรุ่งนี้ วันมะรืน วันมะเรื่องบ้าง ทำแบบนี้หากวันหน้ามียามใดที่เสียใจก็สามารถเอาออกมาทำให้ดีใจได้แล้ว”

ชุยตงซานพลันหัวเราะ คราวนี้เขาอารมณ์ดีจริงๆ แล้ว

เพราะจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่า เรื่องหนึ่งที่อาจารย์ของตนเชี่ยวชาญที่สุดในชีวิตนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นการมีชีวิตอยู่ต่อไป

ชุยตงซานเงยหน้าขึ้นมอง

กำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาเพิ่งเคยมาเยือนครั้งแรกจริงๆ

ได้ยินมาว่าเจ้าคนที่ลืมไปแล้วว่าแซ่จั่วนามโย่วหรือแซ่โย่วนามจั่วผู้นั้น ทุกวันนี้ ก็มานั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่บนหัวกำแพง? ลมทะเลกินไม่อิ่มก็วิ่งมากิน พายุลมกรดอีก สมองจะไม่เลอะเลือนได้หรือ?

พอคิดถึงว่าตนเคยมีศิษย์น้องเช่นนี้ก็ให้กลัดกลุ้มนิดๆ ขึ้นมาอีก

ชุยตงซานหรี่ตาลง “ไป ตรงไปที่หัวกำแพงเมืองเลย! ที่นั่นกำลังมีเรื่องสนุกให้ชม”

เผยเฉียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “เรื่องสนุกใหญ่แค่ไหนก็เทียบการไปพบอาจารย์พ่อของข้าได้หรือ?!”

ชุยตงซานพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “อาจารย์ของข้าอยู่ที่นั่นนี่นา ดูจากท่าทางแล้วกำลังจะต่อสู้กับผู้อื่นด้วย”

เผยเฉียนกระทืบเท้า พูดหน้าหมอง “คนที่นี่เป็นอะไรกันไปหมดนะ ดีแต่จะรังแกคนนอกอย่างอาจารย์พ่อของข้า!”

เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึก กำไม้เท้าเดินป่าแล้ววิ่งตะบึงนำหน้าทุกคนไปด้วยความเร็วราวกับบิน

ชุยตงซานหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ก่อนจะหันหน้าไปยิ้มบางๆ ให้นักพรตหญิงท่าทางมีอายุคนหนึ่งของเรือนซือเตา “ขอยืมหน่อยๆ อันที่จริงข้ายากจนมาก”

เรือยันต์ลำหนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า

ชุยตงซานฟุบตัวอยู่บนราวรั้ว ตะโกนเรียก “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ทำอะไรน่ะ?”

เผยเฉียนเงยหน้าขึ้นมองแล้วก็อึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง ห่านขาวใหญ่มีเงินขนาดนี้ เชียวหรือ? จากนั้นนางก็กระโดดขึ้นสูง ใช้ไม้เท้าเดินป่าแตะรั้วของเรือเบาๆ ร่างก็ พลิ้วกายเข้าไปในเรือได้อย่างง่ายดาย

ขณะที่ขยับเข้าใกล้หัวเรือมากขึ้นเรื่อยๆ เผยเฉียนก็คีบยันต์กระดาษเหลือง แผ่นหนึ่งออกมา เพียงแต่ว่าหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ใส่กลับไปในชายแขนเสื้อ

อาจารย์พ่ออยู่ที่นั่น จะต้องกลัวอะไร

หากอาจารย์พ่อเห็นเข้าก็ยังพูดง่าย ก็แค่กินมะเหงกทีหนึ่ง แต่หากอาจารย์แม่เห็นเข้า มอบความทรงจำที่ไม่ดีที่ทำให้นางเข้าใจตนผิดไปไกล แบบนั้นจะชดเชยกลับคืนมาได้อย่างไร?

แต่จะให้โขกหัวตึงๆๆ ให้อาจารย์แม่โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่า สักเท่าไร

ชุยตงซานนั่งอยู่บนราวรั้วหัวเรือ แกว่งเท้าสองข้าง ชายแขนเสื้อใหญ่โบกสะบัด

เด็กหนุ่มเหมือนเมฆขาวก้อนใหม่เอี่ยมของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแห่งนี้

ผู้ฝึกกระบี่ ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่

จุดที่สายตามองไปเห็น ล้วนมีแต่ผู้ฝึกกระบี่

ผู้ฝึกลมปราณที่พลังพิฆาตรุนแรงที่สุด สังหารศัตรูได้เร็วที่สุดของใต้หล้า ก็คือ เจ้าคนพวกนี้

เผยเฉียนได้แต่กล้ายื่นหัวออกจากรั้วไปครึ่งศีรษะ แล้วยังใช้สองมือกุมหัวเอาไว้ พยายามจะบดบังใบหน้าของตน จากนั้นก็เบิกตากว้าง ไล่มองหาเงาร่างของ อาจารย์พ่อของตนบนหัวกำแพงเมืองอย่างละเอียด

วิชากระบี่มารคลั่งที่ตนสร้างขึ้นมาชุดนั้นน่าจะยังขาดกำลังไฟบางอย่างอยู่ ช้าสักหน่อยค่อยร่ายมันออกมาก็แล้วกัน

ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ตนมีลาน้อยที่อาจารย์พ่อรับปากว่าจะมอบให้ตนเสียก่อน แล้วค่อยพาพวกหลี่ไหวไปท่องยุทธภพด้วยกันหลายๆ รอบ จากนั้นค่อยเก็บเงิน ซื้อกระบี่ดีๆ ที่แท้จริงมาสักเล่ม ระหว่างนี้ยังต้องประลองบุ๋นกับคนหัวขาว (หมายถึงป๋ายโส่ว ป๋ายแปลว่าขาว โส่วแปลว่าหัว/ศีรษะ/ผู้นำ) อีกหลายรอบ จะรีบร้อนไปไย วันหน้าค่อยว่ากัน

บนหัวกำแพงเมือง

พวกนักพนันน้อยใหญ่ทั้งหลายอึ้งงันเป็นไก่ไม้

เคยพบเจออาเหลียงที่ใจดำมากมาแล้ว แต่ยังไม่เคยเจอเถ้าแก่รองที่ใจดำ จนทำให้คนโกรธจนผมชี้ตั้งชันเช่นนี้มาก่อนเลยจริงๆ

พวกนักพนันที่เดิมพันว่าหนึ่งหมัดจะล้มอวี้เจวี้ยนฟูได้ต่างก็แพ้กันแล้ว คนที่เดิมพันว่าจะชนะได้ภายในสามหมัดห้าหมัดก็แพ้เช่นกัน ส่วนพวกที่เดิมพันว่าห้าหมัดขึ้นไป แต่อยู่ภายในสิบหมัดก็ยังคงแพ้อยู่ดี คนที่เดิมพันภายในร้อยหมัด มารดามันเถอะ ก็ยังแพ้เสียยับเยิน ยังไม่ต้องพูดถึงพวกคนที่ลงเดิมพันบนโต๊ะพนันเหล่านี้

ต่อให้เป็นพวกเจ้ามือ แต่ละคนก็ยังหน้าดำทะมึน ไม่มีใครมีสีหน้าดีได้เลยสักคน สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าเจ้าพวกคนมีเงินที่สมองมีรูมากมายขนาดนั้นโผล่มาจากไหน จำนวนคนมีไม่มาก มีแค่เพียงหยิบมือเท่านั้น พวกเขาดันเดิมพันว่าเฉินผิงอัน จะเอาชนะอวี้เจวี้ยนฟูได้หลังจากผ่านไปร้อยหมัด! แถมยังไม่ได้ทุ่มเดิมพันก้อนใหญ่แบบธรรมดาด้วย!

ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนที่ลงเดิมพันกับอาเหลียง จะดีจะชั่วเจ้ามือก็ยังพอจะชนะได้เงินมาบ้าง แต่ตอนนี้กลับดีนัก ทุกครั้งนอกจากพวกที่โผล่มา อย่างกะทันหันซึ่งมีเพียงน้อยนิดแล้ว ทั้งนักพนันและเจ้ามือล้วนถูกฆ่าตายเกลี้ยง!

ตั้งแต่ต้นจนจบเถ้าแก่รองผู้นั้นยังไม่ได้ออกหมัดสักครั้ง กลับปล่อยให้อวี้เจวี้ยนฟูออกหมัดรวดเร็วน่าครั่นคร้าม ตอนนี้นางปล่อยหมัดออกไปไม่ต่ำกว่าร้อยหมัดแล้ว

แต่เถ้าแก่รองกลับไม่มีมโนธรรมสักนิด เพราะจิตสำนึกของเขาถูกหมาข้างทางของใต้หล้าไพศาลคาบไปกินหมดแล้ว ส่วนพวกเขา หากพูดจาที่ไม่ผิดต่อมโนธรรม ในใจ หากยินดีพูดออกมาตามความรู้สึกที่แท้จริง ถ้าอย่างนั้นถึงแม้เถ้าแก่รองจะแค่ป้องกันไม่โจมตี ไม่ออกหมัดสักครั้งเดียว แต่การต่อสู้ครั้งนี้ เขาก็ดูดีจริงๆ

ผู้ฝึกยุทธหนุ่มขอบเขตร่างทอง สามารถหลบพายุหมัดหรือรับหมัดหนึ่งที่พุ่งใส่อย่างจังได้ แล้วยังทำได้เหมือนเมฆคล้อยน้ำไหล เปี่ยมไปด้วยพลังอันน่าเกรงขาม หากว่ากันแค่ท่วงท่าและพลังอำนาจก็เหมือนเซียนกระบี่ออกกระบี่ ทำได้เช่นนี้ ก็นับว่ามีเถ้าแก่รองคนเดียวแล้ว

ทว่าพวกเขาต่างก็มาเพื่อโกยเงินเข้ากระเป๋ากันนะ ต่อให้เจ้าเถ้าแก่รองเฉินผิงอันจะต่อสู้ได้ดูดีแค่ไหน แต่สามารถเอามาใช้แทนเงินได้ไหม? สามารถดื่มเหล้า ถ้ำสวรรค์จู๋ไห่สิบการ้อยไหได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินหรืออย่างไร?

มีผู้ฝึกกระบี่ผู้เฒ่าคนหนึ่งที่แพ้พนันจนหมดตัวเริ่มยุแยงเหล่าพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันว่า “หลังจากการต่อสู้ครั้งนี้ผ่านไป พวกเรามาหาโอกาสเอากระสอบป่าน ครอบหัวเฉินผิงอันแล้วซ้อมเขาหนักๆ สักรอบดีไหม?”

คนผู้หนึ่งเอ่ยอย่างระอาใจว่า “คนผู้นี้เจ้าเล่ห์นัก ถึงเวลานั้นใครจะเป็น ครอบกระสอบใส่หัวใครก็ยังไม่แน่ แต่พวกเราสามารถรวบเงินกันจ้างให้เซียนกระบี่ลอบออกกระบี่ได้ แบบนั้นคงจะน่าเชื่อถือมากกว่า”

ดังนั้นจึงมีคนเสนอความเห็นแบบหยั่งเชิงว่า “ได้ยินว่าช่วงนี้เซียนกระบี่เถาเหวิน แตกหักกับเถ้าแก่รองแล้ว คล้ายว่าจะแบ่งส่วนแบ่งกันไม่ลงตัว อีกทั้งเถาเหวินยังขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่ไม่เห็นแก่หน้าใครทั้งนั้น ไม่สู้จ่ายเงินจ้างให้เขาลงมือ? ไม่อย่างนั้นหากเป็นเซียนกระบี่ทั่วไปคงไม่ค่อยยินดีออกกระบี่เพียงเพื่อเงินเทพเซียนแค่เท่านี้ เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองที่สมควรโดนแทงเป็นพันครั้งผู้นี้ก็ยังมีศิษย์พี่ใหญ่เป็น เซียนกระบี่ใหญ่นะ”

แล้วก็มีผู้ฝึกกระบี่ที่ทั้งฉลาดเฉลียวและประสบการณ์โชกโชนคนหนึ่งเอ่ยคล้อยตามขึ้นว่า “นั่นสิๆ ขอบเขตเซียนเหรินต้องไม่มีทางลงมือแน่ ขอบเขตก่อกำเนิดก็อาจไม่สำเร็จเสมอไป ดังนั้นจึงยังต้องเป็นขอบเขตหยกดิบนั่นแหละดี ข้าว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่มีนิสัยซื่อสัตย์ตรงไปตรงมาอย่างเถาเหวินไม่มีทางฉี่ลงกาเดียว กับเถ้าแก่รองหรอก ให้เถาเหวินลงมือต้องสำเร็จได้แน่! แล้วนับประสาอะไรกับที่ เถาเหวินยังขาดเงินมาโดยตลอด ราคาคงไม่สูงสักเท่าไร”

แต่กระนั้นก็ยังมีคนบ่นพึมพำขึ้นมาว่า “หากเถาเหวินผู้นั้นไม่ได้แตกหักกับเถ้าแก่รองจริงๆ เล่า ถึงเวลานั้นพวกเราจะไม่ถูกเถ้าแก่รองเล่นงานกันหมดหรอกหรือ?”

ทันใดนั้นทุกคนต่างก็รู้สึกขุ่นเคือง เริ่มช่วยกันระดมความคิด เพียงไม่นาน ก็มีคนเสนอขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นหยวนชิงสู่เซียนกระบี่จากทักษินาตยทวีป? ทักษินาตยทวีปคือพื้นที่อิทธิพลของสายหย่าเซิ่ง ไม่ค่อยถูกกับสายของเถ้าแก่รอง สักเท่าไร

พอจะเป็นไปได้ไหม? จะปลอดภัยกว่าเถาเหวินหรือเปล่า? ทุกคนต่างก็พูดกันว่าหยวนชิงสู่รังเกียจร้านเหล้าที่หลอกลวงคนไม่ใช่หรือ?”

“หยวนชิงสู่น่าจะเสี่ยงไปสักหน่อย ข้าว่าเกาขุยก็ไม่เลว สนิทสนมกับผังหยวนจี้ขนาดนั้น คาดว่าคงเกลียดขี้หน้าเถ้าแก่รองไม่ใช่แค่วันสองวันแล้ว”

จู่ๆ ก็มีคนบ่นขึ้นว่า “สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่านี่จะเป็นหลุมใหญ่ที่ขุดไว้รอพวกเรากระโดดลงไปอีกหรือไม่?”

มีคนถอนหายใจแล้วกัดฟันพูด “ชีวิตช่างยากลำบากเสียจริง ทุกวันนี้ยามข้า ผู้อาวุโสเดินอยู่บนถนน เห็นใครก็คิดว่าเป็นหน้าม้าของเจ้าเถ้าแก่รองใจดำผู้นั้น ไปเสียหมด!”

คนอื่นๆ ต่างก็พากันเงียบงัน

นอกจากคำพูดเปิดโปงความลับสวรรค์ของคนสุดท้ายและพวกคนที่ร้องเฮโลตามคนอื่นอย่างส่งเดชแล้ว อย่างน้อยที่สุด เจ้าพวกคนที่เปิดปากเสนอความคิดเห็นนั่น ก็น่าจะมีสักครึ่งหนึ่งที่เป็นหน้าม้าของเถ้าแก่รองผู้นั้นจริงๆ

บนหัวกำแพง เฉินผิงอันยังคงไม่รีบไม่ร้อน คอยหลบเลี่ยง แต่หากหลบไม่ทันก็จะยกมือขึ้นบังหมัดของอวี้เจวี้ยนฟูที่พุ่งมา

รับหมัดของนางร้อยครั้ง ไม่โดนจังๆ สักครั้ง

นี่ก็คือความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอัน

จากนั้นก็ถือโอกาสมองประเมินผู้ฝึกยุทธรุ่นเดียวกันในใต้หล้าที่หากไม่นับเฉาสือแล้ว ก็ถือว่าออกหมัดได้เร็วที่สุดและมีหมัดที่หนักที่สุดตรงหน้าไปด้วย

ขณะเดียวกันเฉินผิงอันเองก็ค่อยๆ ตรวจสอบหาช่องโหว่และชดเชยให้กับปณิธานหมัดของตัวเองไปทีละนิด มองดูเหมือนเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่แน่นอน ราวกับว่าจะสะบั้นแต่ก็สะบั้นไม่ขาด จะแพ้ก็ไม่แพ้ แต่ความจริงแล้วกลับช้าเร็ว ได้อย่างมีขั้นมีตอน เป็นไปตามใจปรารถนา ทุกอย่างอยู่ในการควบคุม

ดังนั้นเมื่อใดที่อวี้เจวี้ยนฟูไม่ซุกซ่อนฝีมือที่แท้จริงอีกต่อไป ใช้เรือนกาย ที่คล่องแคล่วว่องไวที่สุดปล่อยหมัดเต็มแรงต่อยโดนเฉินผิงอันจังๆ เน้นๆ ได้สำเร็จ นั่นก็คือช่วงเวลาที่เฉินผิงอันจะเอาคืนบ้างแล้ว

ซึ่งเขาเองก็จะใช้หมัดที่เร็วที่สุดและหมัดที่มีพละกำลังหนักหน่วงที่สุดเช่นกัน

อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ต้องยำเกรงสิ่งใด ทั้งการออกหมัดและ สภาพจิตใจล้วนไร้อุปสรรคขัดขวาง

ประลองฝีมือกับอวี้เจวี้ยนฟูไม่ค่อยเหมือนกับเฝ้าด่านถามกระบี่กับฉีโซ่ว ผังหยวนจี้ก่อนหน้านี้สักเท่าไร ฝ่ายหลังมีเรื่องให้ต้องคอยกังวลมากมาย ต้องคอยระมัดระวังอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทั้งยังต้องพยายามทำให้ตัวเองไม่แพ้พร้อมกับกุมชัยชนะเล็กๆ ซึ่งค่อนข้างยากลำบาก เพราะหากเขาชนะเพิ่มมากี่ส่วนก็คือเรื่องไม่คาดฝันที่อาจจะเพิ่มเข้ามาเมื่อเขาออกไปจากหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ที่กลุ่มอิทธิพลซับซ้อนแห่งนี้ แต่เมื่อมาเจอกับอวี้เจวี้ยนฟูที่ทั้งสองคนต่างก็เป็น คนต่างถิ่น อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวเหมือนกัน เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากเรื่องพวกนี้เลย

ก็เหมือนอย่างที่เขาพูดกับน่าหลันเย่สิงก่อนหน้านี้ ขนาดตัวเขาเฉินผิงอันเอง ก็ยังใคร่รู้ว่าเมื่อเบื้องหน้ามีศัตรู ปณิธานหมัดกลั่นรวมถึงขีดสุด แล้วตนแสดงฝีมืออย่างเต็มที่ จะสามารถออกหมัดได้เร็วแค่ไหน

การออกหมัดของผู้ฝึกยุทธเช่นข้า!

เมื่อข้าผู้เป็นผู้ฝึกยุทธออกหมัด ใครบ้างไม่อยากให้คนใต้หล้ารู้สึกว่าตัวข้าคือสวรรค์อยู่เบื้องบน จนพวกเขาได้แต่เก็บมือเก็บหมัดไม่กล้าปล่อยออกไป!

เรือยันต์ลำหนึ่งเคลื่อนมาถึงอย่างเชื่องช้าแต่กลับสะดุดตาอย่างถึงที่สุด ปราดเปรียวประดุจปลาว่ายน้ำ ลอดทะลุมาท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ ที่ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สุดท้ายหยุดอยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองแค่สิบกว่าก้าว การประลองฝีมือของผู้ฝึกยุทธสองคนที่อยู่บนหัวกำแพง มองเห็น…เรือนกายล่องลอยประดุจควันสองสายได้อย่างชัดเจน

รอจนเผยเฉียนได้เห็นอาจารย์พ่อของตนจริงๆ นางก็ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน อะไรแล้ว ไปนั่งอยู่บนรั้วหัวเรือกับห่านขาวใหญ่ วางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บน หัวเข่า

มองไปมองมา อารมณ์ของเผยเฉียนก็เริ่มซับซ้อน

นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นอาจารย์พ่อที่เป็นเช่นนี้

นับตั้งแต่ที่ตนได้พบเจอกับอาจารย์พ่อ หลังจากนั้นก็มีการกลับมาพบกันอีกครั้งครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูเหมือนว่าอาจารย์พ่อจะไม่เคยฮึกเหิมเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิตเช่นนี้มาก่อน

ไม่ใช่ดูเหมือน แต่เป็นไม่เคยเลย

ตรงหัวใจ ตรงหว่างคิ้วของอาจารย์พ่อล้วนไร้ความกลัดกลุ้มกังวลใจ

ยามนี้อาจารย์พ่อเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเดียวจริงๆ

อาจารย์พ่อของนางในเวลานี้ก็คือตัวเขา เฉินผิงอัน

เผยเฉียนทั้งดีใจ ทั้งเสียใจ

หมัดทั้งสองของนางวางไว้บนไม้เท้าเดินป่าเบาๆ ดวงตาทั้งคู่ของแม่นางน้อย ที่ผิวออกดำมีประกายแสงเจิดจ้าของตะวันจันทรา

ชุยตงซานยิ้มบางๆ เขาสะบัดปลายแขนเสื้ออย่างไม่ให้เป็นที่สังเกต ริ้วคลื่นเล็กๆ กระเพื่อมขึ้น แต่กลับสามารถบดบังภาพเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดกับนางเอาไว้ได้

ห่างจากเรือยันต์ไปไม่ไกลมีผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งขี่กระบี่เล่มใหญ่ยักษ์ ด้านหลังมีหัวเล็กๆ มากมายที่บ้างอยู่สูงต่ำ บ้างอยู่ซ้ายขวายืนอยู่

มีเด็กคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “เฉินผิงอันผู้นี้ ไม่ได้ความๆ โดนหมัดไปมากมายขนาดนั้นก็ยังไม่รู้จักตอบโต้กลับคืนเสียบ้าง ต้องแพ้แน่นอน!”

มีเด็กหลายคนพากันเอ่ยคล้อยตาม น้ำเสียงที่ใช้พูดต่างก็แฝงไว้ด้วยแววเศร้าโศกในความโชคร้ายและเจ็บใจในความไม่เอาไหนของเถ้าแก่รองที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วผู้นี้

จะดีจะชั่วเถ้าแก่รองอย่างเจ้าก็ถือเป็นคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เราครึ่งตัวแล้ว ผลกลับต้องแพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธต่างถิ่นจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางผู้นั้น ไม่อาย บ้างหรือ?

ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนนั้นทำเพียงแค่ชมศึกอยู่เงียบๆ ด้วยรอยยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร

ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ต้องแพ้เดิมพัน นักพนันแต่ละคนที่อยู่บน หัวกำแพงเมืองล้วนไม่มีสีหน้าดีๆ กันทั้งนั้น สายตาก็ไม่เป็นมิตรเหมือนกับกระบี่บิน ดูจากท่าทางแล้วทุกคนล้วนแพ้กันทั้งนั้น

มีเด็กคนหนึ่งหันหน้าไปมองถ่านดำน้อยที่อยู่บนเรือลำเล็กแปลกประหลาดลำนั้น ดูท่าแล้วอายุคงไม่มาก

เขาจึงถาม “นี่ เจ้าเป็นใคร เมื่อก่อนไม่เห็นเคยเจอเจ้าเลย?”

เผยเฉียนหันหน้ามากล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ข้า”

เด็กหนุ่มกลอกตามองบน “แล้วอาจารย์ของลูกศิษย์คือใครล่ะ?”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ก่อนจะคลี่ยิ้มกว้างสดใส “อาจารย์ของข้าก็คือคนบน หัวกำแพงที่ออกหมัดแค่ครั้งเดียวก็จะชนะได้ทันทีคนนั้น!”

เด็กคนนั้นเบ้ปาก พึมพำว่า “ที่แท้ก็เป็นลูกศิษย์ของอวี้เจวี้ยนฟูเองหรือ? ข้าว่าไม่สู้เจ้าเป็นลูกศิษย์ของเถ้าแก่รองยังดีเสียกว่า”

เผยเฉียนอึ้งตะลึง เด็กๆ ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ต่างก็โง่งมแบบนี้กันหมดหรือ? ดูท่าแล้วไม่เห็นจะดีเหมือนสหายหัวขาวคนนั้นเลยนะนี่?

คิดมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็รีบกวาดตามองไปรอบด้าน คนเยอะมากจริงๆ มองไม่เห็นป๋ายโส่วของสำนักกระบี่ไท่ฮุยผู้นั้นเลย

แบบนี้แหละดีแล้ว ทางที่ดีที่สุดป๋ายโส่วควรจะออกไปจากกำแพงเมือง ปราณกระบี่ได้แล้ว

เผยเฉียนไม่มองหาอีก มองมาดยามอาจารย์พ่อออกหมัดให้มากจะดีกว่า

เฮ้อ น่าจะเป็นเพราะอาจารย์พ่อโดดเด่นเกินไป ศัตรูในกำแพงเมืองปราณกระบี่ถึงได้มีเยอะแบบนี้

น่าเสียดายที่ผู้ฝึกกระบี่ตาไร้แวว แต่ก็น่าชื่นชมนักที่อาจารย์พ่อไร้ศัตรูเทียมทาน

บนหัวกำแพงเมือง เซียนกระบี่บางท่านที่ทะยานลมอยู่กลางทะเลเมฆเพ่งสายตาก้มหน้ามองไปยังสนามรบเบื้องล่างก่อน จากนั้นก็เป็นพวกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินที่พอจะสัมผัสได้ถึงเบาะแสอะไรบางอย่าง

ส่วนผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นๆ ล้วนยังคงถูกปิดหูปิดตา ไม่รู้เลยว่าแพ้ชนะ จะตัดสินกันในเวลาแค่เสี้ยวเดียวแล้ว

อวี้เจวี้ยนฟูเดินออกไปหนึ่งก้าวเรือนกายก็เหมือนสายฟ้าแลบปลาบ กระทั่ง ไม่เห็นเงาร่างของนางแล้ว จุดเดิมที่นางยืนอยู่ถึงเพิ่งจะเกิดเสียงกัมปนาท ริ้วคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่ากระเพื่อมขึ้นมา อวี้เจวี้ยนฟูใช้ความเร็วที่ถือว่าเร็วกว่าก่อนหน้านี้มากแล้ว พริบตาเดียวก็มาหยุดอยู่เบื้องหน้าเจ้าคนที่โดนหมัดนางไป สามร้อยสามสิบเอ็ดหมัด แต่อันที่จริงกลับไม่ส่งผลใดๆ ต่อพลังการต่อสู้ของเขาเลยแม้แต่น้อย ครั้นจึงกระแทกเข่าเข้าที่หน้าอกของเขา หมัดหนึ่งพุ่งตามไปติดๆ ต่อยเข้าที่หน้าผากของเฉินผิงอัน ทำให้ศีรษะของอีกฝ่ายเหวี่ยงไปด้านหลัง อวี้เจวี้ยนฟูที่ ต่อยโดนอีกฝ่ายแล้วก็ถอยทันที อาศัยปณิธานหมัดที่แผ่กระเพื่อมมาจากหน้าผากของอีกฝ่ายและแรงเหวี่ยงหลังจากที่พายุหมัดของตัวเองกระแทกไปโดน ช่วยให้ร่าง ของอวี้เจวี้ยนฟูถอยห่างออกไปหลายสิบจั้งในชั่วพริบตา

ในเมื่อการออกหมัดของตนเทียบกับกระบี่บินของเซียนกระบี่ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้น ก็ใช้วิธีเอามืดทื่อแล่เนื้อ อันที่จริงนี่ก็คือเจตจำนงเดิมในการถามหมัดของนาง เขาไม่รีบร้อน นางก็ยิ่งไม่รีบร้อน แค่ต้องค่อยๆ สะสมข้อได้เปรียบ แล้วปล่อยหมัดเช่นนี้ให้สำเร็จอีกสิบกว่าครั้ง นางก็จะมีโอกาสชนะ เมื่อสะสมโอกาสชนะมากเข้า ก็คือชัยชนะ!

ทว่าสองเท้าของอวี้เจวี้ยนฟูเพิ่งจะเหยียบลงพื้น นางก็พลันรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนรุนแรง

หนึ่งหมัดผ่านไป อวี้เจวี้ยนฟูไม่เพียงแต่ถูกเอาคืนด้วยหนึ่งหมัดที่ต่อยลงมาบนศีรษะจนศีรษะของนางเหวี่ยงสะบัดไปด้านหลัง อีกทั้งเพื่อยั้งไม่ให้เรือนกาย กระเด็นออกไป อวี้เจวี้ยนฟูยังต้องทิ้งร่างทั้งร่างนอนหงายไถลครูดออกไปตลอดทาง ไม่เพียงเท่านี้ อวี้เจวี้ยนฟูยังต้องอาศัยสัญชาตญาณเปลี่ยนเส้นทางเพื่อหลบหมัดต่อไปของเฉินผิงอันที่นางแน่ใจว่าพละกำลังต้องมหาศาลอย่างแน่นอน

ทว่านาทีถัดมา อวี้เจวี้ยนฟูหลบแล้วก็จริง แต่ดูเหมือนว่าคนชุดเขียวผู้นั้น จะรอตนอยู่ตรงนั้นนานแล้ว นี่เป็นความรู้สึกที่ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด ขณะเดียวก็แปลกใหม่อย่างถึงที่สุด เพราะในอดีตคนที่คุมเชิงกับนางจะแค่รออยู่ มุมใดมุมหนึ่ง ไม่มีทางลงมือ ทว่าบนหัวกำแพงเมืองในวันนี้ คู่ต่อสู้เปลี่ยนไปแล้ว จึงไม่มีความเกรงใจกันเลยแม้แต่น้อย หนึ่งหมัดปล่อยลงมา ทำเอาอวี้เจวี้ยนฟูที่ยัง ไม่อาจหยัดตัวลุกขึ้นมาได้หัวกระแทกลงพื้นก่อนแผ่นหลังและสองเท้าเสียอีก

ใบหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูแตกยับอาบไปด้วยเลือด

สายตาของอวี้เจวี้ยนฟูยังคงสงบนิ่ง ให้ศอกดันพื้น พลิกตะแคงร่างแล้วหมุนตัวเหวี่ยงออกไปในแนวขวาง สุดท้ายถอยร่นโดยหันหน้าเข้าหาเฉินผิงอัน สองเข่างอลงเล็กน้อย มือทั้งสองสอดกันกั้นขวางไว้เบื้องหน้า

อีกหมัดหนึ่งพุ่งมาปะทะโดยตรง เพียงแต่ว่าท่าของนิ้วมือทั้งสิบที่ไม่สะดุดตานั้นของอวี้เจวี้ยนฟูต้องไม่ใช่กระบวนท่าหมัดที่นางร่ำเรียนมาอย่างแน่นอน

แต่เป็นวิชาเทพเซียนอย่างหนึ่งที่อวี้เจวี้ยนฟูใคร่ครวญออกมาเพื่อใช้รับมือกับกระบวนท่าหมัดนั้นของเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ไม่ให้พวกมันเชื่อมโยงติดกันเป็น เส้นเดียว!

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “พอจะฉลาดอยู่บ้าง”

แต่จุดที่เขาสนใจอย่างแท้จริงกลับไม่ได้อยู่บนสนามรบที่ไม่ต้องคาดเดาก็รู้แล้วว่าใครแพ้ใครชนะครั้งนี้ แต่อยู่ที่การเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าเล็กๆ น้อยๆ ทั้งหมดของ ทุกคนที่อยู่นอกสนามรบ ยิ่งเป็นคนที่สีหน้าไร้อารมณ์ หรือคนที่ยิ่งยิ้มแย้มผ่อนคลาย ชุยตงซานก็ยิ่งสนใจ

หนึ่งหมัดผ่านไป อวี้เจวี้ยนฟูก็ไม่อวดเก่งฝืนทนเหมือนก่อนหน้านี้อีก นางทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง สองมือค้ำยันพื้น ตีลังกากลับหลัง พอข้อเท้าสัมผัสพื้น ก็เพิ่มแรงค้อมเอวขยับตัวไถลออกข้างไปหลายสิบจั้ง

แต่กลับพบว่าเฉินผิงอันเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม จุดที่เขายืนอยู่ ปราณกระบี่ถอยร่นกระจายตัวไป ปณิธานกระบี่กับปณิธานหมัดขัดเกลากันเอง ทำให้เรือนกายที่มั่นคงดุจขุนเขาของเฉินผิงอันบิดเบือนเหมือนม้วนภาพวาดที่มีรอยยับน้อยๆ

อวี้เจวี้ยนฟูไม่ถอยหนีกลับยังบุกเข้าหา ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะแลกหมัดกับเจ้าเฉินผิงอัน!

อวี้เจวี้ยนฟูกระโจนไปเบื้องหน้า หนึ่งหมัดปล่อยออกไป ไม่มีอะไรมาหยุดยั้งได้

คิดไม่ถึงว่าหลังจากที่คนผู้นั้นขยับเข้ามาใกล้ก็คล้ายจะเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่คิดจะใช้หมัดตอบหมัดกับนางแล้ว ร่างของเขาพลิกหมุน เบี่ยงเอวหลบฉาก ไม่เพียงแต่หลบหนึ่งหมัดหนึ่งคนของอวี้เจวี้ยนฟูมาได้ กลับกันเมื่อมาอยู่ข้างหลัง ของอวี้เจวี้ยนฟูยังใช้มือข้างหนึ่งกดท้ายทอยของนางเอาไว้ จากนั้นก็วิ่งตะบึงไป ตลอดทาง เอาหน้าของอวี้เจวี้ยนฟูกดกระแทกเข้ากับหัวกำแพงเมืองทั้งอย่างนั้น

ชุยตงซานพูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เห็นหรือยัง ยอดเขาของปณิธานหมัด อันที่จริงไม่ได้อยู่ที่การออกหมัดอย่างไร้ยำเกรง แต่อยู่ที่คนออกหมัด หยุดหมัด แล้วออกหมัดอีกครั้ง หมัดเป็นไปดังใจปรารถนาของข้า เมื่อเป็นดังใจแล้วมือไม้ก็คล่องแคล่ว นี่ก็คือความเชี่ยวชาญอย่างถึงแก่น นี่ก็คือวิชาหมัดที่ได้มาตรฐานอย่างแท้จริง ไม่อย่างนั้นเมื่อครู่นี้หากหมัดนั้นของอาจารย์ไม่เปลี่ยนเส้นทาง ปล่อยหมัดโดยคล้อยไปตามสถานการณ์ สตรีผู้นั้นก็ไม่ตายก็น่าจะร่อแร่ใกล้ตายแล้ว”

เผยเฉียนมองตาไม่กะพริบ บ่นเบาๆ ว่า “เจ้าอย่าเสียงดังสิ”

ชุยตงซานเองก็ไม่ถือสา อย่าเห็นว่านางทำท่าไม่ใส่ใจ ดูเหมือนว่าจะจำอะไรไม่ได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทัศนียภาพมากมายที่นางคิดว่ามองไปแล้วแต่กลับจดจำไม่ได้ เสียงระหว่างฟ้าดินที่ฟังไปแล้วแต่กลับคล้ายไม่ได้ยินอะไรสักอย่าง อันที่จริงล้วนอยู่ในใจของนาง ขอแค่จำเป็นต้องคิดถึง จำเป็นต้องเอาออกมาใช้ นางก็จะจำได้ทันที

อวี้เจวี้ยนฟูนั่งอยู่บนพื้นเอนหลังพิงผนัง เงยหน้ามองเฉินผิงอันผู้นั้น “ยังมีครั้งที่สาม”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีครั้งที่สามแล้ว เจ้าและข้าต่างก็รู้กันดีอยู่แก่ใจ หากเจ้าไม่ยอมแพ้ ก็ได้ รอเจ้าฝ่าทะลุขอบเขตแล้วค่อยว่ากัน”

อวี้เจวี้ยนฟูกลืนเลือดสดลงคอ แล้วก็ไม่คิดจะเช็ดคราบเลือดบนใบหน้า ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ผู้ฝึกยุทธประลองฝีมือกัน ยิ่งประลองมากก็ยิ่งมีประโยชน์ หรือเจ้ากลัวว่า หนิงเหยาผู้นั้นจะเข้าใจผิด?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “กลัวสิ”

อวี้เจวี้ยนฟูพูดไม่ออก

ยามนี้เฉินผิงอันถึงได้เงยหน้ามองเรือยันต์ลำนั้น ยกมือขึ้นกุมเป็นหมัดแล้วโบกเบาๆ ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มาแล้วหรือ”

เผยเฉียนกระโดดผลุงขึ้น หนีบไม้เท้าเดินป่าไว้ใต้รักแร้ ยืนอยู่บนรั้วของหัวเรือ ใช้สองมือปรบกันเบาๆ เลียนแบบหมี่ลี่น้อย

เฉาฉิงหล่างเดินมาตรงหัวเรือ เด็กหนุ่มเองก็คลี่ยิ้มกว้างสดใสอย่างที่หาได้ยาก

ชุยตงซานยังคงนั่งอยู่ที่เดิม สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ก้มหน้าลงเอ่ยทักทาย “ศิษย์คารวะอาจารย์”

หากรวมจั่วโย่วที่ตอนนี้นั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพงห่างออกไป

ถ้าเช่นนั้นกำแพงเมืองปราณกระบี่ในวันนี้

สายเหวินเซิ่งที่ถูกมองว่าควันธูปเจือจางจนมองข้ามไปได้แล้ว

กลับมีจั่วโย่วเซียนกระบี่ใหญ่ มีเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด มีเผยเฉียน ผู้ฝึกยุทธขอบเขตสี่ขั้นสูงสุด มีชุยตงซานขอบเขตหยกดิบ และมีเฉาฉิงหล่าง คอขวดขอบเขตถ้ำสถิต

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version