Skip to content

Sword of Coming 603

บทที่ 603 เถ้าแก่รองที่อายุน้อย

สายลมเย็นแสงจันทร์สว่างไสว ดวงจันทร์ลาลับพระอาทิตย์ลอยสูงขึ้นฟ้า กลางวันกลางคืนสับเปลี่ยน โชคดีที่ฟ้าดินยังคงมีสายลมฤดูใบไม้ผลิ

ลูกศิษย์สองคนของภูเขาลั่วพั่วไม่ได้นอนหลับเลยตลอดทั้งคืน พวกเขานั่งคุยกันไปเรื่อยเปื่อยอยู่บนหัวกำแพง ก็ไม่รู้ว่าคนทั้งสองไปเอาเรื่องมากมายจากไหนมาคุยกัน โชคดีที่คนผู้หนึ่งคือผู้ฝึกลมปราณที่ขอบเขตเคยถดถอยสู่ก้นเหว ตอนนี้ก็ได้เดิน กลับขึ้นมาบนยอดเขาอีกครั้ง อีกทั้งยังไม่ได้หยุดอยู่แค่กึ่งกลางภูเขาอีกด้วย เส้นทางของชีวิตอมตะยาวไกล เส้นทางเดินขึ้นสู่สวรรค์ยากลำบาก คนอื่นเดิน บางคนวิ่งโดยทิ้งฝุ่นตลบไว้ด้านหลัง นั่นก็คือผู้มีพรสวรรค์ที่แท้จริง อีกคนหนึ่งคือแม่นางน้อยที่ตัวสูงขึ้นอีกนิด ผิวไม่ดำเกรียมเหมือนถ่านดำมากเท่าเก่า ในเรื่องของการฝ่าทะลุขอบเขตบนวิถีวรยุทธก็ยิ่งเหมือนการแทะเมล็ดแตง ต่อให้คุยกันมาทั้งคืนก็ยังมี สีหน้าสดชื่น ไม่มีท่าทางเหนื่อยล้าเลยแม้แต่น้อย

ชุยตงซานลุกขึ้นยืนอยู่บนหัวกำแพง บอกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลตัวสูงกว่าภูเขาทุกลูกบนโลกมนุษย์ ในมือถือแส้ยาวสามารถขับไล่ย้ายขุนเขาได้ไกลเป็นหมื่นลี้ และยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งที่แค่ยกมือขึ้นก็มีทัศนียภาพของแสงจันทร์ส่องสว่าง เหนือมหาสมุทร

ถึงอย่างไรเผยเฉียนก็ฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา ห่านขาวใหญ่กำลังพูดจาไร้สาระอยู่นี่นะ ไม่ใช่อาจารย์พ่อที่เป็นคนพูดเสียหน่อย นางจะฟังหรือไม่ฟัง จะจำหรือไม่จำก็ล้วน ไม่เป็นไร ดังนั้นอันที่จริงแล้วเผยเฉียนจึงชอบคุยกับห่านขาวใหญ่อยู่มาก ห่านขาวใหญ่มักจะมีคำพูดประหลาดที่พูดไม่หมดและเรื่องราวที่เล่าไม่จบอยู่เสมอ ประเด็นสำคัญคือฟังแล้วก็ปล่อยผ่านได้ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ห่านขาวใหญ่ ไม่เคยตรวจสอบการบ้านของนาง ข้อนี้เขาดีกว่าพ่อครัวเฒ่าเยอะมาก พ่อครัวเฒ่า น่ารำคาญยิ่งนัก ทั้งๆ ที่รู้ดีว่านางตั้งใจคัดตัวอักษร ไม่เคยติดหนี้

แต่ก็ยังถามอยู่ทุกวัน ถามอะไรกันนักกันหนา หากมีเวลาว่างมากขนาดนั้นเอาไปตุ๋นเนื้อเค็มหน่อไม้เพิ่มสักหม้อ ผัดขึ้นฉ่ายเต้าหู้แห้งเพิ่มสักจานจะไม่ดีกว่าหรอกหรือ?

พอเผยเฉียนคิดถึงเรื่องนี้ก็น้ำลายไหล นอกจากอาหารที่ถนัดมือพวกนี้แล้ว ยังมีปลาน้อยในลำธารตากแห้งทอดของพ่อครัวเฒ่าที่ยอดเยี่ยมที่สุดไปเลย

ก่อนจะออกเดินทางไกลครั้งนี้ นางตั้งใจพาหมี่ลี่น้อยไปเดินเที่ยวที่ลำธารมารอบหนึ่ง จับปลามาได้ตะกร้าใหญ่ จากนั้นเผยเฉียนก็ไปจับตามองพ่อครัวเฒ่าอยู่ในห้องครัว บอกให้เขาตั้งใจหน่อย จะต้องแสดงฝีมือออกมาสิบสองส่วน นี่จะต้องเอาไปให้อาจารย์พ่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ หากรสชาติแย่ก็คงไม่เข้าท่านัก ผลคือ เพื่อทำปลาน้อยแห้งทอดกรอบนี้ จูเหลี่ยนก็เกือบจะต้องใช้ท่าเดินนิ่งหกก้าวบวกกับท่าหมัดวานรตอนทำด้วยถึงจะทำให้เผยเฉียนพอใจได้ แรกเริ่มเผยเฉียนอยากจะเก็บอาหารของบ้านเกิดเหล่านี้ไว้ในห่อสัมภาระแล้วสะพายเอง นางจะพาพวกมันไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าระยะทางยาวไกล นางกลัวว่า จะเน่าเสียก่อน ดังนั้นพอไปถึงท่าเรือของนครมังกรเฒ่า ได้พบกับชุยตงซานที่เร่งรีบเดินทางมา เรื่องแรกที่ให้ห่านขาวใหญ่ทำก็คือนำน้ำใจเล็กๆ นี้เก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อให้ดี ด้วยเรื่องนี้นางยังได้ทำการแลกเปลี่ยนกับห่านขาวใหญ่อย่างหนึ่ง ปลาแห้งที่เป็น สีทองอร่ามเหล่านั้นจะมีหนึ่งส่วนที่เป็นของเขา จากนั้นระหว่างที่เดินทางเผยเฉียน ก็ใช้สารพัดวิธีมาหลอกกินส่วนที่เป็นของชุยตงซานร่วมกับเขา เคี้ยวกร้วมๆ อย่าง กรุบกรอบ เอร็ดอร่อยนัก ดูเหมือนว่าอาจารย์จ้งกับเจ้าตอไม้น้อยเฉาผู้นั้นก็อยากกินอย่างมาก มีครั้งหนึ่งเผยเฉียนถามอาจารย์ผู้เฒ่าว่าอยากลองชิมหรือไม่ อาจารย์ผู้เฒ่าหน้าบาง ยิ้มบอกว่าไม่ เผยเฉียนก็เลยคิดว่าเฉาฉิงหล่างไม่ต้องการไปด้วย

ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวเฒ่าบ้านตนดีจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร นางต้องยกนิ้วโป้งให้เขาจากใจจริงเลย เพียงแต่บางครั้งเผยเฉียนก็รู้สึกสงสาร พ่อครัวเฒ่า เพราะถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว หน้าตาขี้เหร่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ วิชาหมากล้อมก็ไม่สูง อีกทั้งยังไม่รู้จักพูดจาดีๆ

ดังนั้นก็ถือว่าโชคดีที่เขามีทักษะเชี่ยวชาญในด้านนี้ ไม่อย่างนั้นบนภูเขาลั่วพั่ว ที่ทุกคนต่างก็มีงานยุ่งวุ่นวาย คาดว่าก็คงต้องอาศัยนางให้ออกหน้าให้แล้ว

แต่เรื่องแบบนี้ ทำนานเข้าก็ไม่ใช่เรื่อง เพราะถึงอย่างไรย่อมถูกคนดูแคลน ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์พ่อเคยบอกว่า คนคนหนึ่งหากไม่มีความสามารถแท้จริง อยู่เลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าสวมเสื้อผ้าชุดใหม่ สวมหมวกสูงแล้วจะทำให้คนมองเราสูงขึ้น ต่อให้คนอื่นชื่นชมเจ้าต่อหน้า แต่ลับหลังก็ยังเห็นเจ้าเป็นตัวตลกอยู่ดี หันกลับไปมองพวกชาวไร่ชาวนา พวกเถ้าแก่ในร้าน พวกลูกจ้างระยะยาวของ เตาเผามังกรที่อาศัยความสามารถหาเงินมาดำรงชีพ ชีวิตจะดีหรือร้าย แต่สุดท้าย ก็ยังไม่ถูกนินทาลับหลัง ดังนั้นเผยเฉียนจึงเป็นกังวลมากว่าพ่อครัวเฒ่าจะเดินตัวลอยเกินไปเหมือนกับเฉินหลิงจวินที่ไม่รู้จักโตผู้นั้น กังวลว่าพ่อครัวเฒ่าจะถูกพวก เทพเซียนที่ฝึกตนอยู่บนภูเขาใกล้เคียงชมเชยแล้วจะไม่รู้ว่าตัวเองชื่อแซ่อะไร จึงนำคำพูดของอาจารย์พ่อประโยคนี้บอกกล่าวให้จูเลี่ยนฟังตามแบบฉบับอย่าง ไม่มีตกหล่น แน่นอนว่าเผยเฉียนจดจำคำสอนได้ขึ้นใจ อาจารย์พ่อเคยบอกว่าเวลาใช้เหตุผลกับใคร ไม่ใช่ว่าแค่ตัวเองมีเหตุผลก็พอแล้ว ยังต้องดูที่ขนบธรรมเนียม ดูที่บรรยากาศ และดูที่กาลเทศะ แล้วค่อยมาดูน้ำเสียงและสภาพจิตใจของตน ดังนั้นเผยเฉียนที่ใคร่ครวญดูแล้วจึงเรียกผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่จงรักภักดีมาแล้วทำการ เคาะภูเขากระเทือนพยัคฆ์อย่างงดงามไปครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรแค่หมี่ลี่น้อยพยักหน้ารับคำสั่งสอนอย่างถ่อมตัวก็พอแล้ว หลังจบเรื่องสามารถจดบันทึกลงในสมุด คุณความชอบของเผยเฉียนได้อีกด้วย

หลังจากที่พ่อครัวเฒ่าฟังจบก็ให้รู้สึกสะท้อนใจนัก ได้รับผลประโยชน์ไปมาก บอกว่านางเติบใหญ่แล้ว เผยเฉียนจึงรู้ว่าพ่อครัวเฒ่าน่าจะฟังเข้าหูแล้ว จึงค่อนข้างจะปลาบปลื้ม

ชุยตงซานเดินเนิบช้าอยู่บนหัวกำแพงขนาดเล็ก คือท่าเดินนิ่งหกก้าว แต่เผยเฉียนรู้สึกว่าห่านขาวใหญ่เดินไม่ได้เรื่อง โยกเยกไปมา ท่าดีทีเหลว เพียงแต่ว่าห่านขาวใหญ่ไม่ได้เรียนวิชาหมัดกับอาจารย์พ่อของตน ถ้าอย่างนั้นก็ช่างเถิด

ไม่อย่างนั้นเผยเฉียนอาจต้องร่ายสัจธรรมหมัดให้เขาฟังอีกหลายประโยค เรื่องบางอย่างในเมื่อทำไปแล้วก็ไม่ควรจะทำอย่างขอไปที ไม่จริงจังไม่ได้เลยจริงๆ

ชุยตงซานเดินไปกลับอยู่บนหัวกำแพงที่เล็กแคบพลางพูดพึมพำกับตัวเองว่า “เล่าลือกันว่าผู้ฝึกตนยุคบรรพกาลสามารถใช้ความซื่อสัตย์จริงใจเข้าฝันไปพบ จิตวิญญาณที่แท้จริงได้ โคจรสามแสง (สมัยโบราณหมายถึงดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาว) ตะวันจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนผัน จุดที่จิตสื่อไป จุดที่แสงดาวชี้ส่อง แสงศักดิ์สิทธิ์สว่างเรืองรอง สาดส่องลงบนกระดูกนับร้อยอย่างมหัศจรรย์ ในชายแขนเสื้อมีถ้ำสวรรค์ที่แตกต่าง ปล่อยให้ข้าทะยานลมขี่เมฆอยู่ด้านใน อิสระเสรีร่วมกับฟ้าดิน ในประโยคนี้มีความหมายยิ่งใหญ่ซุกซ่อนอยู่ หมื่นคาถาหวนคืนกลับสู่จุดเริ่มต้น ดึงเอาประโยคหนึ่งไปจากถ้อยคำของข้า นับแต่โบราณมาเทพเซียนก็ไม่ เก็บเงิน คนเดินบนถนนแค่ต้องมุ่งเดินไปเบื้องหน้า อายุขัยประหนึ่งน้ำค้างหันหา แสงตะวันที่สลายหายไปชั่วพริบตา คนมากมายเป็นตายไม่อาจกลายเป็นเซียน มีเพียงหันหน้าฝึกบำเพ็ญตน ทัศนียภาพบนมหามรรคา เหนือศีรษะมีเทพและเซียน คอยตรวจตราความกว้างใหญ่ไพศาลของม่านราตรี และยังมีที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ น้ำพุเหลือง พันปีหมื่นปีไม่เคยหลับใหล ตรงกลางยังมีคนที่จะตายไม่ตาย ยามว่างจากชีวีตอมตะจึงก้มหน้าลง ช่วยโลกมนุษย์ปลูกผืนนาแห่งความโชคดี”

เผยเฉียนถาม “อาจารย์พ่อของข้าสอนเจ้าหรือ?”

ชุยตงซานหยุดท่าหมัด แบมือตบหน้าผากตัวเอง ไม่อยากพูดอะไร

เผยเฉียนกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไม่ใช่อาจารย์พ่อเป็นคนพูด ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้ดีสักเท่าไร”

ชุยตงซานตั้งท่าไก่ทองยืนขาเดียว ยกมือขึ้นประกบสองนิ้ว เป็นท่าที่มองดูแล้วพิลึกพิลั่น ก่อนชี้ไปที่เผยเฉียน “นิ่ง!”

ร่างของเผยเฉียนพลันชะงักนิ่ง

จากนั้นเผยเฉียนก็แค่นเสียงหึในลำคอ สะบัดไหล่สองข้าง พายุหมัดไหลรินออกมาคล้ายสลาย ‘วิชาอภินิหารตระกูลเซียน’ วิชานั้นไป ร่างของนางจึงกลับคืนมาเป็นปกติ เผยเฉียนยกสองแขนขึ้นกอดอก “ฝีมือกระจอกงอกง่อย มีแต่จะเป็นที่ขบขันของผู้อื่น”

ชุยตงซานแสร้งทำเป็นตกตะลึง ถอยหลังไปสองก้าว พูดเสียงสั่น “จะ จะ เจ้า…เจ้าเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ มาจากสำนักไหน เหตุใดอายุน้อยๆ ก็สามารถทำลายวิชาอภินิหารของข้าได้แล้ว?!”

เผยเฉียนกลอกตามองบน “ตอนนี้ไม่มีคนนอกอยู่ด้วยสักหน่อย จะทำไปให้ใครดู พวกเราสองคนเก็บแรงไว้หน่อยดีกว่ากระมัง เอาแค่พอประมาณก็พอแล้ว”

ชุยตงซานกลับไปนั่งข้างกายเผยเฉียน พูดเบาๆ ว่า “อยากจะให้น้ำมาคลองสำเร็จโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ ก็ไม่ควรตั้งใจฝึกฝนให้ดีหรอกหรือ? ก็เหมือนอย่างวิชาหมัดเขย่าภูเขาซึ่งเป็นสุดยอดวิชาของภูเขาลั่วพั่วเรา ต้องปล่อยหมัด กี่แสนกี่ล้านครั้งถึงจะแสดงฝีมือให้เห็นได้?”

เผยเฉียนหลุดหัวเราะพรืด “นั่นมันคนละเรื่องกัน อาจารย์พ่อบอกแล้วว่า ออกมาท่องยุทธภพอยู่ข้างนอก ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความดี คำว่าจริงใจต้องมา เป็นอันดับแรก!”

พอเผยเฉียนยกเอาอาจารย์พ่อของนาง อาจารย์ของตนออกมาพูด ชุยตงซาน ก็จนปัญญาแล้ว พูดมากไป กลับจะทำให้เขาถูกซ้อมได้ง่าย

เพียงแต่ว่าไม่นานเผยเฉียนก็กดเสียงต่ำเอ่ยว่า “คราวหน้าพอปัญญาชนสองคนมองไม่เห็นพวกเราแล้วค่อยมาตั้งใจฝึกกัน เพราะอาจารย์พ่อยังบอกอีกว่า ไม่ว่า จะเป็นบนภูเขาหรือในยุทธภพ ใจทำร้ายคนอื่นไม่ควรมี แต่ใจที่ป้องกันคนอื่น กลับไม่ควรขาด แสดงความอ่อนแอต่อหน้าศัตรู ย่อมสามารถปกป้องชีวิตตัวเองได้ แสดงความแข็งแกร่งให้ศัตรูเห็น สามารถลดทอนปัญหายุ่งยากไปได้มากมาย”

ชุยตงซานพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย

ภูเขาลั่วพั่วอย่างอื่นนั้นมีไม่มาก แต่หลักการเหตุผลกลับมีมากมาย

ช่วงเช้าตรู่ จ้งชิวกับเฉาฉิงหล่างปัญญาชนหนึ่งแก่หนึ่งเด็กเปิดหน้าต่างออกแทบจะเวลาเดียวกัน แล้วเริ่มอ่านตำราอริยะปราชญ์ยามเช้าตามกำหนดการเหมือนทุกวัน พวกเขานั่งตัวตรงอย่างสำรวม สมาธิจิตใจจมจ่อมอยู่กับตำรา เผยเฉียนหันหน้าไปมองแล้วเบ้ปาก แสร้งทำเป็นดูแคลน แม้บนใบหน้าจะแสดงความไม่แยแส และปาก ก็ไม่เคยเอ่ยอะไร ทว่าในใจกลับยังอดรู้สึกอิจฉาเจ้าตอไม้ผู้นั้นอย่างห้ามไม่ได้ เรื่องการอ่านตำราเรียนหนังสือนี้ อีกฝ่ายเหมือนอาจารย์มากกว่าตนจริงๆ ตัวนาง ต่อให้แกล้งทำก็ยังทำได้ไม่เหมือน ตัวอักษรที่อยู่บนตำราอริยะปราชญ์เหล่านั้นไม่เคยมีความสัมพันธ์อันดีใดกับนางเลย ทุกครั้งตนจะต้องเหมือนตัวขี้ประจบที่ไปเคาะประตูบ้านคนเขา แต่คนเขาไม่ต้อนรับ พวกมันไม่รู้จักเปิดประตูยิ้มรับแขกเสียบ้าง ช่างวางมาดใหญ่โตนัก น่าโมโหจริงๆ

มีเพียงแค่บางครั้ง ประมาณสามครั้งกระมังที่ในที่สุดตัวอักษรบนหน้าหนังสือก็เห็นความจริงใจของนาง หากเอ่ยตามถ้อยคำที่เผยเฉียนกล่าวกับโจวหมี่ลี่เป็นการส่วนตัวก็คือ ตัวอักษรจากก้อนหมึกพวกนั้นไม่ได้ ‘รบตายอยู่บนสนามรบหน้าหนังสือ’ อีกแล้ว แต่ ‘กระโดดออกจากกองสุสาน’ มาสำแดงบารมี ทำให้คนตกใจตายได้เลยจริงๆ ‘

โจวหมี่ลี่ที่ฟังอยู่ก็ตกอกตกใจตามไปด้วย คิ้วขมวดเข้าหากันเป็นปม ท่าทางจะเสียขวัญไม่น้อย เผยเฉียนจึงให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวายืมยันต์แผ่นหนึ่งไปแปะไว้ บนหน้าผาก คืนนั้นโจวหมี่ลี่จึงย้ายนิยายทั้งหมดที่ตัวเองเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี มาที่ห้องของหน่วนซู่ บอกว่าหนังสือพวกนี้น่าสงสารจริงๆ ต่างก็ไม่มีขาให้เดิน นางก็เลยได้แต่ช่วยย้ายบ้านให้พวกมัน ทำเอาหน่วนซู่มึนงงไปหมด แต่หน่วนซู่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรมาก แค่ช่วยโจวหมี่ลี่ดูแลตำราที่เสียหายอย่างหนักเพราะเปิดอ่านบ่อยจัดพวกนั้น

คงจะเหมือนอย่างที่อาจารย์พ่อเคยพูดให้นางฟัง ทุกคนล้วนมีหนังสือเล่มหนึ่งเป็นของตัวเอง บางคนเขียนหนังสือมาทั้งชีวิต ชอบเปิดหนังสือให้คนอ่าน ทว่า แต่ละบทแต่ละตอนมีแต่คำว่ายิ่งใหญ่องอาจ ลมแรงแสงจันทร์สว่าง ไม่สะทกสะท้านต่อผลประโยชน์ที่มาหลอกล่อ ทว่ากลับไม่มีสองคำว่าดีงาม แต่ก็มีคนบางส่วนที่ไม่เคยเขียนคำว่าดีงามลงไปในหนังสือของตัวเอง แต่ทุกบทกลับเต็มไปด้วยความดีงาม พอเปิดออกก็เห็นสกุณาบินล้อมวนอยู่บนต้นไม้ใบหญ้า บุปผาหันหาแสงตะวัน ต่อให้เป็นช่วงเวลาเหน็บหนาวหรือร้อนแผดเผาก็ยังมีภาพเหตุการณ์มีชีวิตชีวาที่มะพลับสุกงอม มองไปทางใดเห็นแต่สีแดงปลั่ง

อยู่กับหน่วนซู่นานวันเข้า เผยเฉียนก็รู้สึกว่าในหนังสือของหน่วนซู่เล่มนั้น ไม่มีคำว่า ‘ปฏิเสธ’

ความต่างสามครั้งของตัวอักษรในตำรา ครั้งหนึ่งคือคราวที่ออกเดินทางไกลร่วมกับอาจารย์พ่อ สองครั้งคือช่วงเวลาที่เผยเฉียนทุกข์ทรมานที่สุดระหว่างถูก ป้อนหมัดบนภูเขาลั่วพั่ว นางใช้ผ้าฝ้ายมัดพู่กันไว้กับมือตัวเอง กัดฟันคัดตัวอักษร แม้สติจะพร่าเลือน เวียนหัวตาลาย ทว่าระหว่างกึ่งหลับกึ่งตื่นนั้นกลับเขียนตัวอักษรได้ดั่งปลาว่ายน้ำ ดุจบัญชาการณ์ทัพจัดตั้งขบวนรบ เกี่ยวกับเรื่องนี้เคยเล่าให้ อาจารย์พ่อฟังมานานแล้ว ตอนนั้นยังไม่ได้มาถึงที่ภูเขาลั่วพั่ว อาจารย์พ่อไม่ได้พูดอะไรมาก เผยเฉียนเองก็คร้านจะคิดอะไรเยอะ คิดว่านี่คงเป็นเหตุการณ์ที่บัณฑิต ทุกคนซึ่งตั้งใจศึกษาหาความรู้ล้วนต้องพบเจอ แต่เหตุการณ์นี้กลับเกิดกับตนแค่ สามครั้ง หากเล่าให้อาจารย์พ่อฟัง แล้วผลกลับกลายเป็นว่าอาจารย์พ่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้มาจนชินหลายพันหลายหมื่นครั้งแล้ว นั่นจะไม่เท่ากับว่าตนหาเรื่องใส่ตัว ทำให้ตัวเองได้กินมะเหงกจากอาจารย์พ่อหรอกหรือ? โดนเขกหัวนั้นไม่เจ็บ แต่น่า ขายหน้านี่นา ดังนั้นเผยเฉียนจึงตัดสินใจแล้วว่า ขอแค่อาจารย์พ่อไม่เป็นฝ่ายถาม เรื่องเล็กๆ นี้ขึ้นมาก่อน นางก็จะไม่มีทางเป็นคนเปิดปากพูดเด็ดขาด

เผยเฉียนพลันถามเสียงเบา “ตอนนี้เจ้ามีขอบเขตอะไรแล้ว เจ้าตอไม้เฉาผู้นั้นพูดคุยด้วยยากยิ่งนัก คราวก่อนข้าเห็นว่าวันๆ เขาเอาแต่อ่านหนังสือ ดูเหมือนว่า จะไม่ได้ตั้งใจฝึกตนสักเท่าไร ก็เลยเอ่ยโน้มน้าวเขาไปด้วยความหวังดี บอกว่าข้า เจ้า แล้วก็เขา พวกเราต่างก็เป็นคนรุ่นเดียวกัน ข้าเรียนวิชาหมัดฝึกวิชากระบี่ เพียงไม่นานก็เรียนเอาสุดยอดวิชาจากอาจารย์พ่อมาได้ถึงสองอย่าง พวกเจ้าไม่ต้องมาเปรียบเทียบกับข้า จะเปรียบเทียบไปไย มีอะไรให้เปรียบเทียบได้ ถูกไหม? แต่เจ้า ชุยตงซานเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรแล้ว เขาเฉาฉิงหล่างเหมือนว่าเพิ่งจะถือเป็นขอบเขตถ้ำสถิตได้อย่างถูไถ แบบนี้จะได้อย่างไร อาจารย์พ่อไม่ได้อยู่ข้างกาย คอยชี้แนะเขาบ่อยๆ แต่นี่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เฉาฉิงหล่างขอบเขตไม่สูง ถูกหรือไม่? เฉาฉิงหล่างผู้นี้น่าเบื่อยิ่งนัก ปากบอกว่าจะขยัน จะตั้งใจ แต่หากถามข้านะ เขาก็ยังไม่ค่อยได้เรื่องอยู่ดี เพียงแต่ว่าเรื่องแบบนี้ ข้าไม่ไปปากมากกับอาจารย์พ่อ หลีกเลี่ยงไม่ให้เฉาฉิงหล่างใช้ใจของคนถ่อยมาวัดใจของยอดฝีมือด้านวิถีวรยุทธ สุดยอดมือกระบี่และนักฆ่าความรู้สึก ดังนั้นตอนนี้เจ้าเป็นขอบเขตชมมหาสมุทรจริงๆ แล้ว ใช่ไหม?”

ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทร”

เผยเฉียนใช้หมัดทุบฝ่ามือ “ถ้าอย่างนั้นเป็นขอบเขตถ้ำสถิตแล้วหรือยัง? ถึงอย่างไรก็น่าจะแตะโดนขอบของเทพเซียนห้าขอบเขตกลางแล้วกระมัง? ช่างเถิด หากยังไม่ใช่ก็ไม่เป็นไร เจ้าเตร็ดเตร่อยู่ข้างนอก ยุ่งทำโน่นทำนี่อยู่ตลอดทั้งปี จะถ่วงเวลาการฝึกตนไปบ้างก็มีเหตุผลพออภัยให้ได้ อย่างมากวันหน้าข้าค่อยไปพูดกับเจ้าตอไม้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าไม่ใช่ขอบเขตชมมหาสมุทร จะบอกแค่นี้เท่านั้น เพราะข้าเห็นแก่หน้าเจ้า ถึงอย่างไรพวกเราสองคนก็สนิทกันมากกว่านี่นะ”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ พูดเลียนแบบน้ำเสียงของเผยเฉียนว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ช่างเข้าอกเข้าใจคนอื่นได้ดี๊ดี”

เผยเฉียนขมวดคิ้วเอ่ย “เป็นผู้ใหญ่แล้ว พูดจาให้ดีๆ หน่อย!”

ชุยตงซานสอดสองมือรองใต้ท้ายทอย ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะแถบใหญ่ห้อยระลงมาดุจสายน้ำตก ในสายตาเผยเฉียนก็แค่มองแล้วดูมีค่าเท่านั้น นี่ล้วนเป็นเพราะ อาจารย์พ่อกำชับกับนางมาก่อนว่า ยามอยู่กับคนใกล้ชิด ห้ามนางตั้งใจเพ่งมองทะเลสาบหัวใจรวมถึงสิ่งอื่นๆ ของคนผู้นั้น

เคยมีโอสถทองของตำหนักน้ำค้างวสันต์แห่งอุตรกุรุทวีปคนหนึ่งเข้าไปอยู่ใน ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานแล้วออกมาไม่ได้ ถูกกักตัวอยู่เนิ่นนาน ใช้วิชาอาคมทั้งหมดที่มีก็แล้วแต่ก็ยังถูกขังอยู่ด้านใน สุดท้ายก็ได้แต่อยู่เฉยรอความตาย ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลแต่กลับมีเขาอยู่เดียวดายเพียงลำพัง จิตแห่งเต๋าเกือบจะแตกสลาย แน่นอนว่าซ่งหลันเฉียวผู้ฝึกตนโอสถทองยังคงได้ผลประโยชน์มามากมาย เพียงแต่ประสบการณ์บนเส้นทางหัวใจระหว่างนั้น คิดดูแล้วคงไม่ค่อยดีนัก

เผยเฉียนที่แท้จริงแล้วทุกวันนี้อายุไม่น้อย ไม่ว่าจะส่วนสูงก็ดี สติปัญญาก็ช่าง ในสายตาของชุยตงซานนางก็ยังคงเป็นแม่นางน้อยที่เพิ่งจะอายุสิบกว่าขวบคนนั้น อยู่ดังเดิม

เพียงแต่จุดที่สายตาของเผยเฉียนซึ่งมีพรสวรรค์เลิศล้ำมองไป รวมไปถึงความรู้ความเข้าใจอันลึกซึ่งที่มีต่อเรื่องบางเรื่อง กลับแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ย่อมไม่ใช่ขอบเขตที่เด็กสาวอายุเท่านี้จะมีได้อย่างแน่นอน

ก็เหมือนอย่างที่ก่อนหน้านี้บอกว่าเผยเฉียนออกหมัดเร็วเกินไป ชุยตงซานชี้แนะแค่พอสมควรเท่านั้น เป็นการเตือนเผยเฉียนว่า นางควรจะทำเหมือนอาจารย์พ่อ ของนางที่คิดให้มาก ปล่อยหมัดให้ช้าลงสักหน่อย บางทีแรกเริ่มอาจจะรู้สึกอึดอัด อาจจะถ่วงรั้งขอบเขตบนวิถีวรยุทธอยู่บ้าง แต่หากมองในระยะยาวแล้ว นี่ก็เพื่อให้ สักวันหนึ่งสามารถออกหมัดได้เร็วกว่าเดิม ถึงขั้นเร็วที่สุด สอนให้นางไม่รู้สึกผิดต่อ ฟ้าดินและอาจารย์ได้อย่างแท้จริง หลักการเหตุผลบางอย่างมีเพียงอาจารย์ของ ชุยตงซานเท่านั้นที่สามารถพูดกับเผยเฉียนได้ แต่ถ้อยคำบางอย่างกลับจำเป็นต้องให้คนนอกที่ไม่ใช่เฉินผิงอันเป็นคนพูดกับเผยเฉียน

ไม่หนักไม่เบา ทำไปตามลำดับขั้นตอน ไม่อาจดึงหญ้าช่วยให้เติบโต แล้วก็ไม่อาจให้หลักการเหตุผลยิ่งใหญ่ที่ว่างเปล่าเลื่อนลอยมารบกวนจิตใจของนางได้

อันที่จริงหากว่ากันแค่เรื่องศึกษาตำราออกทัศนาจรไกลของจ้งชิวกับเฉาฉิงหล่าง ไยจะไม่ใช่กำลังทำเพื่อเรื่องที่มองไม่เห็นนี้อยู่เช่นกัน

การที่ทุกคนปฏิบัติต่อเผยเฉียนอย่างจริงจัง มองเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินเช่นนี้

เพราะอะไร?

จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เพราะว่าเจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วใส่ใจที่สุดหรอกหรือ

นอกจากนี้แล้วยังมีสาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการกระทำของตัวเอง เผยเฉียนเอง สิ่งที่นางปรับปรุงแก้ไข ล้วนควรค่าแก่การคาดหวังและรอคอยที่ทุกคนเก็บซ่อนไว้ในใจอย่างระมัดระวังนี้

บนภูเขาลั่วพั่ว ทุกคนถ่ายทอดมรรคา ปกป้องมรรคา

เจ้าขุนเขาหนุ่มปฏิบัติไปตามขนบธรรมเนียมครอบครัวด้วยความเคยชิน

แต่ภูเขาลั่วพั่วในวันหน้าอาจไม่สมบูรณ์แบบเช่นนี้เสมอไป เมื่อรายชื่อบนผัง วงศ์ตระกูลศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่วยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ หน้าแล้วหน้าเล่า พอคนมาก จิตใจคนก็ยิ่งซับซ้อน เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวล อีกแล้ว เพราะเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างต่างก็เติบโตแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์พ่อของพวกเขาและอาจารย์ของตนต้องแบกรับภาระทุกอย่างไว้บนบ่าเพียงลำพัง อีกต่อไป

วันนี้จ้งชิวและเฉาฉิงหล่างต่างก็ไม่ได้ไปเที่ยวภูเขาห้อยหัวกับเผยเฉียนและชุยตงซาน สองฝ่ายแยกกันไปเดินเที่ยว

ชุยตงซานแอบมอบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งให้แก่จ้งชิว บอกว่าให้ยืม เงินหนึ่งอีแปะก็ทำให้วีรบุรุษลำบากใจได้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรให้เกิดขึ้น แล้วนับประสาอะไรกับที่จ้งชิวยังเป็นอริยะด้านอักษร ปรมาจารย์วิถีวรยุทธของพื้นที่มงคลรากบัว ทุกวันนี้ยังเป็น ผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วอีกด้วย อีกอย่างจ้งชิวก็ไม่ใช่ปัญญาชนตกอับ เขาคือคนที่คอยช่วยปกครองแคว้นหนันเยวี่ยน ทำให้แคว้นเจริญรุ่งเรืองในทุกๆ วัน หากไม่เป็นเพราะนักพรตเฒ่าแบ่งพื้นที่มงคลออกเป็นสี่ส่วน อันที่จริงแคว้นหนันเยวี่ยนก็มีแนวโน้มที่จะได้รวบรวมสี่แคว้นในใต้หล้าให้เป็นปึกแผ่นแล้ว จ้งชิวไม่เพียงแต่ ไม่ปฏิเสธ กลับกันยังขอยืมเงินฝนธัญพืชจากชุยตงซานเพิ่มอีกสองเหรียญ

ชุยตงซานตรงดิ่งไปที่เรือนหลิงจือเป็นเพื่อนเผยเฉียน ผลกลับทำให้ เผยเฉียนขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกลัดกลุ้ม สมบัติพวกนั้นมากมายละลานตาก็จริง ไม่ว่ามองชิ้นไหนนางล้วนชอบไปหมด ก็แค่แบ่งเป็นว่าชอบมากหรือชอบเฉยๆ เท่านั้น แต่นางซื้อไม่ไหวเลยสักชิ้น ต่อให้เผยเฉียนจะเดินวนทั้งชั้นบนและชั้นล่าง เดินเข้า ซอกมุมน้อยใหญ่ซ้ายขวาของหอหลิงจือครบแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอของขวัญที่นางสามารถควักกระเป๋าเงินซื้อได้สักชิ้น เผยเฉียนจึงได้แต่เดินออกจากหอหลิงจือด้วยท่าทางเซื่องซึม แล้วก็ไม่ได้ขอยืมเงินจากชุยตงซาน ชุยตงซานเองก็ไม่ได้เปิดปาก บอกว่าจะให้นางยืมเงิน จนกระทั่งคนทั้งสองไปยังตีนหน้าผาหมีลู่ที่มีร้านค้าตั้ง เรียงรายอยู่เต็มเส้นถนน

เผยเฉียนพลันเป็นเหมือนปลาได้น้ำ สีหน้าท่าทางลิงโลดอารมณ์ดี ที่นี่มีของเยอะมาก ราคายังไม่แพงอีกด้วย ของที่มีราคาแค่ไม่กี่เหรียญเงินเกล็ดหิมะมีเยอะแยะมากมาย มีให้เลือกจนตาลาย

ชั่งน้ำหนักถุงเงินแล้วนางก็เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ยามที่เดิน นางยิ้มหน้าบานเป็นกระด้ง เพียงแต่ที่นี่มีคนเยอะ ไม่อย่างนั้นหากไม่ร่ายวิชากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่งก็คงไม่อาจแสดงความดีใจของนางออกมาได้

บนถนนมีผู้คนสัญจรกันขวักไขว่ ผู้ฝึกตนหญิงจากใต้หล้าไพศาลที่มาท่องเที่ยวที่นี่มีค่อนข้างมาก ลำพังเพียงแค่เสื้อผ้าอาภรณ์ของพวกนางที่มีความงดงามแตกต่างกันไปก็ทำให้เผยเฉียนจุ๊ปากไม่หยุดแล้ว มีสตรีโตเต็มวัยที่มวยผมสองข้างสูงเหมือนขุนเขา เสียบด้วยหวีนอแรด กระโปรงยาวชายแขนเสื้อกว้างประหนึ่งเมฆเคลื่อนคล้อย ต่อให้เป็นสตรีที่ไม่ได้หน้าตางดงามก็ยังดูอรชรอ้อนแอ้น และยังมีสตรีที่ม้วนผมสีนิลแล้วรวบขึ้นเป็นมวย ปักปิ่นปักไข่มุกเหมือนกลุ่มบุปผาชูช่อ ทำเอาเผยเฉียนที่เห็นรู้สึกอิจฉายิ่งนัก บนหัวของพวกนางต่างก็แบกภูเขาเงินภูเขาทองลูกเล็กๆ เอาไว้เลยนะเนี่ย

เหตุใดคนในใต้หล้าที่มีเงินเหมือนกับตนถึงได้มีเยอะขนาดนี้นะ?

สุดท้ายเผยเฉียนเลือกของขวัญสองชิ้น ชิ้นหนึ่งมอบให้อาจารย์พ่อ ว่ากันว่าคือพู่กัน ‘แบบตระกูลจง’ ที่มีชื่อเสียงมานานในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เอาไว้เขียนตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กโดยเฉพาะ ตรงด้ามพู่กันยังสลักตัวอักษรเล็กๆ บรรทัดหนึ่งว่า ‘มาดแห่งความเก่าแก่สูงสง่า วิจิตรบรรจง ล้ำลึกมองไม่เห็นก้นบึ้ง’ ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ด้านในกระบอกพู่กันอันใหญ่ที่ทำจากเครื่องกระเบื้องที่เผาได้อย่างหมดจดงดงามมีพู่กันที่ใช้เขียนตัวอักษรขนาดเล็กรวมกลุ่มกันเป็นช่อ ลำพังเพียงแค่เลือกพู่กันด้ามหนึ่งในนั้นมา เผยเฉียนก็ใช้เวลาไปถึงหนึ่งก้านธูป ชุยตงซานที่อยู่ด้านข้างช่วยวางแผนให้คำแนะนำ เผยเฉียนกลับไม่ฟังคำพูดจู้จี้ของเขา เอาแต่ตั้งใจเลือกของตัวเองไป ทำเอาเถ้าแก่ที่มองดูอยู่เบิกบานยิ่งนัก ไม่รู้สึก เบื่อหน่ายแม้แต่น้อย กลับกันยังรู้สึกว่าน่าสนใจ คนต่างถิ่นมากมายที่มาเยือน ภูเขาห้อยหัว ไม่มีใครที่ขาดแคลนเงินทองเลยจริงๆ เห็นคนที่ทุ่มทองพันชั่งซื้อของมามากแล้ว แต่คนคิดที่คิดเล็กคิดน้อยอย่างแม่หนูถ่านดำผู้นี้กลับพบเห็นได้น้อยนัก

อีกชิ้นหนึ่งเป็นของขวัญพบหน้าที่เผยเฉียนคิดว่าจะมอบให้อาจารย์แม่ ต้องจ่ายเงินไปมากถึงสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ คือกระดาษจดหมายลายเมฆหลากสีแผ่นหนึ่ง เมฆหลากสีบนกระดาษจดหมายเคลื่อนคล้อยอ้อยอิ่ง บางครั้งก็เห็น แสงจันทร์โผล่วับแวม งดงามจนแทบละสายตาไม่ได้

ได้ของขวัญมาสองชิ้น ถุงเงินใบน้อยที่มีเงินเหรียญทองแดง เศษเม็ดเงิน และ ทองก้อนเมล็ดแตงที่เป็นเงินของโลกมนุษย์อยู่มากกว่า อันที่จริงก็ไม่ได้ฟีบแบนไป สักเท่าไร เพียงแต่ว่าอยู่ดีๆ ก็เหมือนขาดเสาหลักไป เผยเฉียนจึงทอดถอนใจไม่หยุด นางเก็บมันใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ช่วยไม่ได้ ขนาดถาดหยกใบใหญ่ บนท้องฟ้า (เปรียบเปรยถึงดวงจันทร์) ยังมีมืดมีสว่าง มีกลมมีเสี้ยว เงินน้อยในถุงเงินก็มีการพบการพราก ทั้งสองเรื่องนี้ต่างก็ยากจะสมบูรณ์แบบมานับแต่โบราณกาล อันที่จริงไม่จำเป็นต้องเสียใจเลย แต่เผยเฉียนกลับไม่รู้เลยว่า ห่านขาวใหญ่ที่ไม่เคยช่วยเหลืออะไรเลยนอกจากยืนอยู่ข้างๆ ผู้นั้น ในระหว่างที่ซื้อของจุกจิกจากสองร้าน เขาได้แอบแลกเปลี่ยนเหรียญเงินเกล็ดหิมะทั้งหลายที่นางควักออกจากกระเป๋ากลับมาจากเถ้าแก่

ผู้ฝึกตนกินแสงอรุโณทัยดื่มน้ำค้าง ล้างไขกระดูก บรรลุมรรคากี่ส่วน รูปโฉมก็จะยิ่งโดดเด่นมากเท่านั้น

เพียงแต่ว่า ‘เด็กหนุ่มผู้สง่างาม’ ที่เนื้อหนังมังสาโดดเด่นเช่นชุยตงซานซึ่งไม่ว่าจะเดินไปที่ไหนก็เหมือนกล้วยไม้ เหมือนต้นไม้หยกที่งอกงามอยู่ในถ้ำสถิตตระกูลเซียนนี้ ยังคงเป็นทัศนียภาพอันงดงามที่หาได้ยากยิ่ง

ดังนั้นตลอดทางสายตาที่มองมาทางเขาจึงมีเยอะมาก อีกทั้งสำหรับเทพเซียนบนภูเขาจำนวนไม่น้อยแล้ว มารยาทพิธีการของโลกมนุษย์ที่พันธนาการมนุษย์ธรรมดา จะนับเป็นอะไรได้ ดังนั้นยามที่ผู้ฝึกลมปราณหญิงคนหนึ่งซึ่งมีองค์รักษ์มากมายให้การพิทักษ์เดินสวนไหล่ผ่านชุยตงซานไป นางจึงหันหน้ามายิ้มให้ พอหันกลับเดินออกไปด้ไม่กี่ก้าวก็ยังหันกลับมามองใหม่ ยิ่งมองจิตใจยิ่งหวั่นไหว จึงเปลี่ยนเป็นหมุนตัวเดินเร็วๆ ขยับเข้ามาใกล้เด็กหนุ่ม นึกอยากจะยื่นมือไปบีบแก้มเด็กหนุ่มผู้หล่อเหลาดูสักที ผลคือพอเด็กหนุ่มสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ร่างของสตรีก็หายไปไม่เหลือร่องรอย

สตรีที่มากับนางรวมไปถึงพวกองค์รักษ์ต่างก็ตะลึงลานทำอะไรไม่ถูก ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าองค์รักษ์ห้ามปรามผู้ติดตามที่เป็นเด็กรุ่นหลังทุกคนซึ่งเตรียมจะซักไซ้เอาความผิดอีกฝ่ายเอาไว้ ตัวเองเป็นฝ่ายเดินหน้าไปขออภัย เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีไฝแดงกลางหว่างคิ้วผู้นั้นยิ้มตาหยีไม่เอ่ยคำใด สุดท้ายเป็นเพราะ แม่นางน้อยผิวออกดำที่ในมือถือไม้เท้าตระกูลเซียนซึ่งผ่านการหล่อหลอมมาแล้ว เป็นคนเอ่ยปาก เด็กหนุ่มถึงได้สะบัดชายแขนเสื้อ บนถนนจึงมีร่างของสตรี หล่นกระแทกพื้นนอนพังพาบ เด็กหนุ่มไม่แม้แต่จะชายตามองผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิด เพียงค้อมเอวยื่นมือไปตบซีกหน้าของสตรีผู้นั้นเบาๆ ด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไร จากนั้นก็เดินหน้าเคียงข้างแม่นางน้อยต่อไป

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างของเด็กหนุ่มพลันส่ายไหว ยื่นมือมากุมขมับ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ วิชาอภินิหารใหญ่ที่ใช้มือหนึ่งปิดแผ่นฟ้า ตลอดพันปีที่ผ่านมาไม่เคยปรากฏมาก่อนวิชานี้เผาผลาญปราณวิญญาณของข้าไปมากเหลือเกิน เวียนหัวๆ จะทำอย่างไรดีๆ”

เผยเฉียนยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก รีบยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งให้ห่านขาวใหญ่ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังหน่อย เดินช้าๆ”

เผยเฉียนชะลอฝีเท้าคล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา

เพียงแต่พอนางเดินช้า ห่านขาวใหญ่ก็ช้าตามไปด้วย นางจึงได้แต่เพิ่มความเร็วฝีเท้า รีบเดินให้ห่างจากพวกกลุ่มคนที่อยู่ด้านหลัง

เด็กหนุ่มถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ใช้มันค้ำพื้นทุกก้าวที่เดินไป เขาแอบหันหน้ากลับไป คลี่ยิ้มกว้างเจิดจ้า โบกมือให้กับสตรีผู้นั้น

สตรีที่ปวดหัวราวจะแตกหน้าซีดขาว เวียนหัวตาลาย พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ทะเลสาบหัวใจไม่มีริ้วคลื่นใดๆ กระเพื่อมขึ้นแม้แต่น้อย ราวกับว่าถูกภูเขาลูกหนึ่ง ที่กลบทับทะเลสาบหัวใจของนางได้อย่างพอดิบพอดีกดทับเอาไว้

ผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดคนนั้นแอบลอบสังเกตทะเลสาบหัวใจของคุณหนูตัวเองก็ให้ตื่นตะลึงสุดขีด ความคิดในใจก่อนหน้านี้ที่ยังลังเลว่าควรจะหาโอกาสกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาดีหรือไม่ เวลานี้พลันสลายหายไปเกลี้ยง ไม่เพียงเท่านี้ ยังใช้เสียงในใจ เปิดปากอีกครั้งว่า “ขอผู้อาวุโสโปรดอภัยที่คุณหนูของข้าล่วงเกินท่านด้วยเถิด”

เด็กหนุ่มไม่ได้หันกลับมา เพียงแค่ใช้ไม้เท้าเดินป่าในมือทิ่มลงพื้นเบาๆ พละกำลังเพิ่มจากเดิมเล็กน้อย ยิ้มบางๆ ใช้เสียงในใจเอ่ยกับผู้ฝึกตนก่อกำเนิดตัวน้อยๆ คนนั้นว่า “สตรีใจกล้าผู้นี้สายตาไม่เลว ข้าจะไม่ถือสานาง พวกเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ วาดงูเติมขา ดูจากวิธีการฝึกตนของเจ้า น่าจะมาจาก สำนักซานเหอของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นสายของ ‘ฝ่าเทียนกุ้ยเจิน’ หรือว่าสายของ ‘เซี่ยงตี้ฉางหลิว’ ที่โชควาสนาไม่ได้เรื่อง แต่ก็ ไม่เป็นไร กลับไปบอกกับฉินจือหลันบรรพจารย์ตระกูลเจ้าสักคำว่า เลิกอ้างว่าบาดเจ็บ ปิดด่านแกล้งตายได้แล้ว เจ้าบอกกับนางไปตามตรงว่า ปีนั้นที่แพ้ด่านถามใจแก่ข้าสามครั้งติด แสร้งเล่นแง่หลบหน้าไม่ยอมมาพบหน้าข้าใช่ไหม ได้ผลประโยชน์ ไปแล้วยังบอกว่าได้รับความไม่เป็นธรรมใช่ไหม ข้าก็แค่คร้านจะทวงหนี้นางเท่านั้น แต่ตอนนี้เรื่องนี้ยังไม่จบ วันหน้าข้าจะไปตบดวงหน้าน้อยๆ อมชมพูของนางเอง หากไม่ตบจนหน้าเละก็จะไม่ยอมเลิกรา”

ขุนเขาที่อยู่ในทะเลสาบหัวใจของสตรีพลันมลายหาย ราวกับว่าถูกทวยเทพมาเคลื่อนย้ายออกไป ดังนั้นฟ้าดินขนาดเล็กของผู้ฝึกลมปราณหญิงจึงกลับคืนมา ใสสะอาด ทะเลสาบหัวใจกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

จิตแห่งเต๋าของผู้ฝึกตนเฒ่าก่อกำเนิดสั่นสะเทือน รู้สึกขมขื่นอย่างลึกล้ำ ทั้งอนาถทั้งระทม คิดไม่ถึงเลยว่าจากทวีปแผ่นดินกลางเดินทางไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้มาถึงภูเขาห้อยหัว แค่ข้อพิพาทเล็กๆ น้อยๆ กลับกลายเป็นการหาหายนะใหญ่เทียมฟ้า มาให้บรรพจารย์ของสำนักเสียได้

เด็กหนุ่มคนนั้นคือขอบเขตเซียนเหริน? หรือขอบเขตบินทะยาน?

ในใจของก่อกำเนิดเฒ่าเศร้าสลด หากผู้ฝึกตนผูกปมแค้นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กับพวกเทพเซียนที่แท้จริงบนยอดเขาทั้งหลาย นั่นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่ต่อเนื่องไป หลายปีหลายสิบปี แต่เป็นความเชื่อมโยงยาวนานร้อยปีพันปี ความอาฆาตแค้น ไม่มีช่วงเวลาหยุดลง

เด็กหนุ่มหันหน้ามามองแม่นางน้อยที่ให้ตนยืมไม้เท้าเดินป่า เห็นว่าหน้าผากนางมีเหงื่อผุดซึม ร่างกายขึงเกร็ง ระหว่างหัวคิ้วคล้ายจะมีความละอายใจเล็กๆ

ชุยตงซานก็ใช้เสียงในใจยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เจ้าเพิ่งจะเรียนวิชาหมัดมานานเท่าไรเอง ไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าเองก็เหมือนกับอาจารย์ที่ท่องผ่านบนภูเขาล่างมาจนชินแล้ว คำพูดและการกระทำย่อมรู้หนักรู้เบา สามารถดูแลตัวเองให้ดีได้ ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลาย ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่แบ่งสมาธิมาเป็นห่วง ศิษย์พี่หญิงใหญ่แค่ก้มหน้าก้มตาคัดอักษรฝึกวิชาหมัดไปก็พอ”

เผยเฉียนอัดอั้นไม่เป็นสุข ใช้วิธีการรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธตอบกลับไปด้วยอารมณ์ที่ไม่ใคร่จะร่าเริงนัก “แต่ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของอาจารย์พ่อนะ ในฐานะศิษย์พี่หญิงใหญ่ ยามอยู่บนภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะดูแลหน่วนซู่และหมี่ลี่น้อยให้ดี ออกมาจากภูเขาลั่วพั่วก็ควรจะเอามาดของศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกมา ไม่อย่างนั้นจะเรียนวิชาหมัดไปเพื่ออะไร ไม่ใช่เพื่อให้ตัวเองได้โอ้อวดบารมีอำนาจเสียหน่อย…”

ชุยตงซานยิ้มถาม “แล้วทำไมจะมีไว้ให้ตัวเองโอ้อวดบารมีอำนาจไม่ได้เล่า?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างฉงน “ข้าท่องภูผาธาราร่วมกับอาจารย์พ่อมาเป็นระยะทางยาวไกลขนาดนั้น ไม่เห็นว่าอาจารย์พ่อจะเคยโอ้อวดเลย”

ชุยตงซานส่ายหน้าพลางยิ้มกล่าว “เพราะอาจารย์หวังว่าเจ้าจะท่องยุทธภพได้อย่างมีความสุข ทำตามใจปรารถนาได้มากหน่อย ขอแค่ไม่เกี่ยวพันกับความผิดความถูกที่ร้ายแรง ก็ควรจะให้ตัวเองมีอิสระเสรีมากสักหน่อย

ทางที่ดีที่สุดคือให้บนเส้นทางนั้นมีเสียงของคนที่อยู่รอบข้างคอยปรบมือไชโยโห่ร้องอย่างตกตะลึงระคนชอบใจ บอกว่าแม่นางคนนี้มีวิชาหมัดที่สง่างามยิ่งนัก ร้ายกาจสุดๆ ไปเลย วิชากระบี่ก็ช่างเลิศล้ำ หากจอมยุทธหญิงผู้นี้ไม่ได้มาจากสำนักชั้นสูง ก็ช่างเป็นเรื่องที่ไร้เหตุผลสิ้นดี”

พอเผยเฉียนคิดถึงภาพเหตุการณ์นี้ตามไปก็ให้เบิกบานใจสุดขีด

เพียงแต่ว่าพอนึกถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ อยู่ดีๆ เผยเฉียนก็รู้สึกเป็นกังวลใจ นางถามเสียงเบาว่า “ผ่านภูเขาห้อยหัวไปก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว ได้ยินว่าที่นั่น มีผู้ฝึกกระบี่มากมายนับไม่ถ้วน ผู้ฝึกกระบี่เชียวนะ แต่ละคนร้ายกาจไม่แพ้กัน คือ ผู้ฝึกลมปราณที่เก่งกาจที่สุดในใต้หล้านี้แล้ว พวกเขาจะรังแกคนต่างถิ่นอย่าง อาจารย์พ่อของข้าหรือไม่ แม้ว่าอาจารย์พ่อจะมีวิชาหมัดสูงที่สุด มีวิชากระบี่สูงที่สุด แต่ถึงอย่างไรก็ตัวคนเดียว หากผู้ฝึกกระบี่ของที่นั่นรวมตัวกันขึ้นมา คนหลายร้อยหลายพันคนกรูกันเข้าใส่ แล้วในบรรดานั้นยังมีเซียนกระบี่อีกแปดคนสิบคนซ่อนตัวอยู่ด้วย อาจารย์พ่อจะรับมือไม่ไหวหรือไม่”

ชุยตงซานพูดไม่ออก

ไม่ว่าจะเปลี่ยนมาเป็นใครก็คงรับมือไม่ไหวทั้งนั้นกระมัง

แต่การที่เผยเฉียนคิดมากกับทุกเรื่อง อีกทั้งยังคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเข้าไว้ก่อน กลับถือว่าเป็นความเคยชินที่ดี นี่คงจะเป็นเพราะนางได้เห็นและได้ยิน มามาก คือการสั่งสอนโดยทำตัวเป็นแบบอย่างที่อาจารย์มีต่อนางกระมัง

หวังว่าสิ่งนี้จะไม่ใช่แค่ค่อยๆ เติบโตภายใต้น้ำค้างท่ามกลางสายลมวสันต์ ท่ามกลางขุนเขาเขียวสายน้ำใสเท่านั้น

แต่ในค่ำคืนมืดมิด ท่ามกลางโคลนตมเละเหลวหรือไม่ก็ในผืนดินแห้งแล้ง จะมีดอกไม้ดอกหนึ่งงอกงามขึ้นมา ฟ้ายังไม่สว่าง แสงอรุณยังไม่ส่องมาถึง บุปผาก็ ผลิดอกเบ่งบานแล้ว

ต่อให้ลมฝนจะพัดกระหน่ำให้โค่นหัก แต่บุปผาของข้าก็จะยังผลิบานอีกครั้ง

ความหวังแท้จริงที่ใหญ่ยิ่งกว่ากลับไม่อาจผลิดอก ยิ่งไม่มีทางออกผล ชีวิตคนมากมายล้วนถูกกำหนดมาแล้วว่าจะเป็นได้แค่ต้นหญ้าเล็กๆ ต้นหนึ่ง แล้วก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่าต้องมีวันที่ได้พบกับสายลมวสันต์ ได้อาบแสงแดดอันอบอุ่นนั้น

โลกมนุษย์เป็นเช่นนี้

เหตุใดไม่ปฏิบัติต่อกันด้วยความดีให้มาก

ผ่านมรสุมเล็กๆ ที่ตีนเขาหน้าผาหมีลู่มา เผยเฉียนก็หาข้ออ้างบอกว่า จะต้องพาชุยตงซานกลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยให้ได้ บอกว่าวันนี้นางเดินเหนื่อยแล้ว ภูเขาห้อยหัวไม่เสียทีที่เป็นภูเขาห้อยหัว เส้นทางภูเขาทอดยาวเดินได้ยากลำบากเสียจริง นางต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว

ชุยตงซานไม่อาจบอกกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ตามตรงได้ว่าตนไม่ใช่ขอบเขต ชมมหาสมุทร ไม่ใช่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่แท้จริงแล้วคือขอบเขตหยกดิบ ยิ่งไม่อาจ บอกได้ว่าขอบเขตหยกดิบของตนในเวลานี้เมื่อเทียบกับก่อกำเนิดของหลี่ถวนจิ่ง ผู้ฝึกกระบี่ของแจกันสมบัติทวีปในอดีต และเทียบกับจื่อเสวียนแห่งตำหนักหยวนหลิงของอุตรกุรุทวีปทุกวันนี้ ก็ยังไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า

ประเด็นสำคัญคือตนบอกไปแล้วก็ใช่ว่านางจะเชื่อนี่นา

เว้นเสียจากอาจารย์เป็นคนพูด และคาดว่ายามที่แม่นางน้อยเพิ่งจะยอมเชื่อว่าเป็นความจริงก็คงเอ่ยประโยคง่ายๆ มาประโยคหนึ่งว่า พยายามให้มากขึ้นอีกหน่อย ห้ามหยิ่งทระนงลำพองตนเด็ดขาด

ขอบเขตของทุกคนนอกเหนือจากของอาจารย์พ่อ ในสายตาและในใจของ เผยเฉียนแล้ว คาดว่าคงไม่ใช่ขอบเขตแท้จริงอะไรเลยกระมัง

บนเส้นทางระหว่างกลับไปยังโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย ชุยตงซานร้องเอ๊ะหนึ่งที แล้วอุทานอย่างตกตะลึงว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ บนพื้นมีเงินตกอยู่”

เผยเฉียนก้มหน้าลงมอง แล้วจึงกวาดตามองไปรอบด้านก่อน จากนั้นก็ใช้ความไวดุจฟ้าผ่าไม่ทันยกมือป้องหูยกเท้าเหยียบลงบนเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญนั้น จากนั้นทรุดตัวลงนั่งยอง เก็บเงินขึ้นมา เทียบกับการออกหมัดแล้วยังคล่องแคล่วว่องไว ยิ่งกว่า

เผยเฉียนลูบเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้วกล่าวอย่างตกตะลึงระคนยินดี “เหรียญที่ออกจากบ้านไปของข้า!”

ชุยตงซานตกใจสะดุ้งโหยงกระโดดถอยหลังไปหนึ่งก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง “บนโลกยังมีบุพเพวาสนาแบบนี้ด้วยหรือ?!”

พอไปถึงทางเลี้ยวของตรอกที่ตั้งโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย เผยเฉียนที่ตั้งใจมองไป บนพื้นมาตลอดทางก็เก็บเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่ไร้บ้านให้กลับมาจากร่อง ของแผ่นหินบนถนนได้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะยังคงเป็นเหรียญที่ตนตั้งชื่อให้ นี่ก็คือวาสนาใหญ่เทียมฟ้าอีกครั้งหนึ่งแล้วนะเนี่ย

จากนั้นเผยเฉียนก็หัวเราะปากกว้าง หันหน้ามาจ้องห่านขาวใหญ่พลางพูด กลั้วหัวเราะว่า “ไม่แน่ว่าก่อนพวกเราจะเข้าไปในโรงเตี๊ยม พวกมันทั้งสาม อาจได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง”

ชุยตงซานเอ่ย “ใต้หล้าจะมีเรื่องที่บังเอิญขนาดนี้เชียวหรือ?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับ “มีสิ ไม่มีความบังเอิญก็แต่งหนังสือไม่สำเร็จนี่นะ” (เป็นคำเปรียบเปรยอย่างหนึ่ง ความหมายก็คือบังเอิญมาก ประจวบเหมาะอย่างมาก)

น่าเสียดายก็แต่เดินไปทั่วตรอกเล็กมารอบหนึ่งแล้ว บนพื้นกลับไม่มีเงิน แล้วก็ ไม่มีความบังเอิญ

ดังนั้นเผยเฉียนจึงลากชุยตงซานไปเดินด้วยกันอีกรอบแล้วรอบเล่า ชุยตงซานเองก็มีความอดทนดีเยี่ยม แล้วก็ได้แต่เปลี่ยนความตั้งใจเดิม แอบโยนเหรียญเงิน เกล็ดหิมะที่เดิมทีคิดว่าจะเอาไว้หลอกกินปลาน้อยทอดกรอบออกไป เผยเฉียนนั่งยองลงบนพื้น หยิบถุงเงินขึ้นมา ชูเหรียญเกล็ดหิมะเหรียญนั้นขึ้นสูง ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กลับบ้านกันนะ”

ไปถึงโรงเตี๊ยม เผยเฉียนนอนฟุบตัวอยู่บนโต๊ะ ด้านหน้าวางเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญเอาไว้ บอกให้ชุยตงซานหยิบเอาปลาน้อยทอดเหลืองอร่ามในวัตถุจื่อชื่อออกมา บอกว่าเอามาฉลองที่เงินเกล็ดหิมะของนางกลับมาบ้านซึ่งไม่รู้ว่าหล่นลงมาจากฟ้า ผุดออกมาจากดิน หรือว่ามีเท้าเดินกลับมาเองกันแน่

ชุยตงซานกินปลาน้อยทอดกรอบ ทว่าเผยเฉียนกลับไม่ได้กิน

ชุยตงซานพูดเสียงอู้อี้ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เจ้าไม่กินหรือ?”

เผยเฉียนที่นอนฟุบอยู่บนโต๊ะเอาแก้มแนบแขนข้างหนึ่ง นางหันหน้ามองไป นอกหน้าต่าง ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ข้าไม่หิวน่ะ”

ชุยตงซานจึงเปลี่ยนจากสวาปามมาเป็นค่อยๆ เคี้ยวอย่างละเอียด

เผยเฉียนมองไปนอกหน้าต่างอยู่ตลอดเวลา นางเอ่ยเสียงเบาว่า “นอกจาก ผู้อาวุโสในสายตาและในหัวใจของอาจารย์พ่อแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าขอบคุณใคร มากที่สุด?”

ชุยตงซานรู้ดี แต่กลับส่ายหน้าบอกว่าไม่รู้

ชุยตงซานยังรู้อีกด้วยว่า ในใจของอาจารย์ตนได้ซุกซ่อนความเสียดาย ‘เล็กๆ ’ สองอย่างที่ไม่เคยบอกกับใครเอาไว้

หนึ่งคือการเติบโตของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง ดังนั้นปีนั้นตอนที่อยู่ บนทะเลสาบของสำนักศึกษาต้าสุย ทุกคนถึงได้เล่นสนุกอย่างเหลวไหลเช่นนั้น

หนึ่งคือคนจิ๋วสีทองคนหนึ่งที่คล้ายว่าจะเดินทางจากไปไกลไม่อาจหวนคืนกลับบ้านเกิดมาได้

ความเสียดายเหล่านี้ บางทีอาจอยู่คู่กับอาจารย์ไปตลอดชีวิต แต่ก็เหมือนจะเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องดื่มเหล้าก็สามารถเอามาพูดได้อีกเหมือนกัน

เผยเฉียนเอ่ยเนิบช้า “คือพี่หญิงเป่าผิงกับอาจารย์แม่ที่กำลังจะได้ไปเจอน่ะ”

ชุยตงซานคีบปลาน้อยทอดกรอบขึ้นมา ยิ้มถามว่า “ทำไมล่ะ”

เผยเฉียนกล่าว “ข้าน่ะคิดนะว่า ปีนั้นทุกคนต่างก็คิดว่าเป็นอาจารย์พ่อที่ปกป้องพวกพี่หญิงเป่าผิงออกเดินทางไกลไปขอศึกษาต่อ แต่ข้ารู้ดีว่าการออกเดินทางไกล ครั้งแรกของอาจารย์พ่อ เป็นพี่หญิงเป่าผิงที่อยู่เคียงข้างอาจารย์พ่อ ตอนนั้น พี่หญิงเป่าผิงยังเป็นแม่นางน้อยคนหนึ่ง สะพายหีบหนังสือไผ่เขียวใบเล็ก สวมรองเท้าสานเป็นเพื่อนอาจารย์พ่อที่ยังเป็นเด็กหนุ่ม เดินทางผ่านขุนเขาเขียวสายน้ำใสมากมายขนาดนั้นไปด้วยกัน ดังนั้นข้าจึงชอบพี่หญิงเป่าผิงมากเป็นพิเศษ”

“ต่อมาก็ต้องเป็นอาจารย์แม่ที่อาจารย์พ่อชอบน่ะสิ หากไม่เป็นเพราะอาจารย์แม่ ต่อให้อาจารย์พ่อจะเดินทางไกลขนาดนั้นแล้วยังคงเป็นอาจารย์พ่อที่ดีที่สุดในใต้หล้าคนนั้นได้อีก แต่ตัวอาจารย์พ่อเองต้องไม่มีทางผ่านวันเวลาหลายปีเหล่านี้มาด้วยความสุขแน่นอน แต่จะเป็นยิ่งเดินก็ยิ่งเหนื่อย เหนื่อยมากๆ จะพูดอย่างไรดีล่ะ ทุกครั้งที่อาจารย์พ่อเจอกับเรื่องที่ต้องให้เขาจัดการแก้ไขด้วยตัวเอง ขอแค่คิดถึงว่า ในสถานที่ที่ห่างไปไกลมากๆ ยังมีอาจารย์แม่รอคอยเขาอยู่เสมอ ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าอาจารย์พ่อจะเดินทางคนเดียวไปไกลแค่ไหน แต่ก็เหมือนว่าบนพื้นล้วนมี เหรียญทองแดงเหรียญแล้วเหรียญเล่าให้ก้มเก็บ อาจารย์พ่อจะไม่มีความสุข ได้อย่างไร?”

ชุยตงซานกล่าวอย่างคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “แบบนี้เองหรือ หากพี่หญิงใหญ่ ไม่พูด ชั่วชีวิตนี้ข้าก็อาจจะไม่รู้เลยก็ได้”

เผยเฉียนลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ไม่ต้องคิดว่าตัวเองโง่ บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา นอกจากอาจารย์พ่อก็มีข้านี่แหละที่ฉลาดเฉลียวที่สุดแล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะอะไร?”

ชุยตงซานกลั้นยิ้ม ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ “ขอศิษย์พี่หญิงใหญ่โปรดไขข้อข้องใจ ให้ข้าด้วย”

เผยเฉียนลุกขึ้นยืน โน้มตัวมาข้างหน้า กวักมือเรียก “ข้าจะแอบบอกเจ้า”

ชุยตงซานยืดคอยาวออกไปหาก็ถูกเผยเฉียนเขกมะเหงกใส่หัวชุดใหญ่ เมื่อครู่นี้ห่านขาวใหญ่กินปลาแห้งไปกี่ตัวก็โดนมะเหงกไปเท่านั้น

เผยเฉียนนั่งกลับลงไปที่เดิม แบมือสองข้างแล้วทำท่ากดลงปราณลงสู่จุดตันเถียน พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เข้าใจแล้วใช่ไหม?”

ชุยตงซานชำเลืองตามองปลาแห้งที่เหลืออยู่บนโต๊ะ เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “กินสิ กินให้สบายใจ กินได้ตามสบาย ถือเสียว่าเป็นของที่อาจารย์พ่อเหลือไว้ให้ ลูกศิษย์อย่างเจ้ากิน หากจิตสำนึกเจ้ายังสงบอยู่ได้ก็กินให้มากหน่อย”

ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง บนอาณาบริเวณกว้างใหญ่ไพศาลคล้ายกับทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง พื้นที่ใจกลางมีขุนเขาตระหง่านลูกหนึ่งตั้งอยู่ มันสูงใหญ่กว่าเทือกเขาทุกสายในใต้หล้า

บนภูเขาไม่มีวัดวาอารามใดๆ กระทั่งปีศาจที่มาสร้างกระท่อมฝึกตนสักตนก็ยังไม่มี เพราะนับแต่โบราณมาสถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่ต้องห้าม ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา คนที่กล้าเดินขึ้นเขาก็มีเพียงห้าขอบเขตบนเท่านั้นที่ถึงจะมีคุณสมบัติให้ไปกราบไหว้ยอดเขาได้

วันนี้มีผู้เฒ่าหลังค่อมร่างกายผ่ายผอมเหมือนท่อนฟืนสวมชุดสีเทาผู้หนึ่ง พาลูกศิษย์คนใหม่ที่เพิ่งรับมาเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน เพื่อไปพบตัว ‘เขาเอง’

ขณะที่ค่อยๆ เดินขึ้นสู่ที่สูง ผู้เฒ่าจูงมือเล็กๆ อ่อนนุ่มของเด็กน้อย ชายแขนเสื้ออีกข้างหนึ่งโบกสะบัดพัดแรงไปตามพายุลมกรดบนท้องฟ้า

ผู้เฒ่าชุดเทาหันหน้าไปมอง ในจุดที่ห่างไปไกลสุดแสนมีผู้เฒ่าตาบอดคนต่างถิ่นผู้หนึ่งยังคงบงการหุ่นเชิดเกราะทองให้เคลื่อนย้ายภูเขาลูกใหญ่ ผู้เฒ่าส่ายหน้า

เด็กน้อยที่ถูกจูงมือเงยหน้าขึ้นถามว่า “จะมีสงครามอีกแล้วหรือ?”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ “เพราะเมื่อก่อนข้าไม่อยู่ ดังนั้นจึงเป็นแค่การทะเลาะกัน เล็กๆ น้อยๆ ทำให้เฉินชิงตูได้เห็นเรื่องขบขันมานานนับหมื่นปี”

กำแพงเมืองปราณกระบี่ กิจการบนโต๊ะพนันของบ่อนพนันน้อยใหญ่รุ่งเรืองกันสุดขีด เพราะว่าบนหัวกำแพงกำลังจะมีการประลองฝีมือครั้งที่สองของผู้ฝึกยุทธหนุ่มสาวขอบเขตร่างทองสองคนซึ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ของใต้หล้าไพศาลเกิดขึ้น

สตรีถามหมัด ส่วนฝ่ายชายนั้น แน่นอนว่าต้องเป็นการป้อนหมัด แพ้ชนะ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องคาดเดากันแล้ว

เถ้าแก่รองผู้นั้น แม้จะบอกว่าทั้งนิสัยใจคอ นิสัยยามดื่มเหล้าหรือนิสัยยามพนันล้วนแย่ไม่แพ้กัน แต่วิชาหมัดนับว่ายังพอถูไถอยู่บ้าง

วันนี้บนหัวกำแพงเมือง

อวี้เจวี้ยนฟูผู้ฝึกยุทธซึ่งเป็นสตรีจากแผ่นดินกลางรวบรวมสมาธิ ปณิธานหมัด ก็ไหลรินดั่งกระแสน้ำในมหานที

อยู่ห่างกันหลายสิบก้าว คนหนุ่มชุดเขียวปักปิ่นหยกไม่เพียงแต่ถอดรองเท้าหุ้มแห้ง ยังม้วนชายแขนเสื้อและรัดขากางเกงแน่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

บนหัวกำแพงสองฝั่งมีนักพนันน้อยใหญ่ที่บ้างก็นั่ง บ้างก็ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่ด้านนอกเบียดเสียดกันแน่นขนัด พอเห็นภาพนี้ทุกคนต่างก็ลงเดิมพันว่าจะช่วงชิงชัยชนะได้ภายในสามหมัด ห้าหมัด หรือมากสุดก็คือภายในสิบหมัดอย่างไม่มีลังเล

เถ้าแก่รองชาติสุนัขยังคิดจะอาศัยข่าวลือเล็กๆ ที่จริงเท็จปะปนกัน รวมถึง เวทอำพรางตาชั้นหยาบมาหลอกเอาเงินพวกข้าอีกหรือ? คราวนี้เถ้าแก่รองต้องสะดุดล้มหัวทิ่มแล้ว เจ้ายังอ่อนด้อยอายุน้อยเกินไปนัก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version