Skip to content

Sword of Coming 602

บทที่ 602 ถุงเงินใบเล็กของเผยเฉียน

พอจะมองเห็นเค้าโครงของภูเขาห้อยหัวได้ลางๆ

เฉาฉิงหล่างทอดสายตามองไป เอ่ยอย่างไม่กล้าเชื่อว่า “นี่คือตราประทับอักษรภูเขาชิ้นหนึ่งจริงหรือ?”

จ้งชิวกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ต่างบ้านต่างเมือง ช่างมีทัศนียภาพงดงามยิ่งใหญ่มากมายเสียเหลือเกิน”

เผยเฉียนนั่งอยู่บนราวระเบียงกับชุยตงซาน หันหน้ามาเอ่ยเสียงเบาว่า “ปัญญาชนสองคน แต่กลับมีความรู้ไม่เยอะเท่าข้า เจ้าเห็นข้าไหม พอเห็นภูเขา ห้อยหัวนั่น ข้ามีท่าทางประหลาดใจหรือ? ไม่มีเลยสักนิด จะว่าไปแล้วนี่ก็เป็นภัยจากการที่เอาแต่อ่านหนังสืออย่างเดียว ไม่รู้จักออกเดินทาง แต่ข้านั้นไม่เหมือนกัน คัดอักษรไม่หยุด แล้วยังเคยท่องผ่านหมื่นภูเขากับอาจารย์พ่อมาก่อน อาจารย์จ้ง เคยไปเยือนใบถงทวีปที่ใหญ่ขนาดนั้นมาบ้างหรือไม่? เคยไปเยือนแคว้นชิงหลวนของแจกันสมบัติทวีปไหม? อีกอย่างข้าเองก็คัดหนังสือทุกวัน ใต้หล้านี้เรื่องของการคัดหนังสือจนกองกันเป็นภูเขา นอกจากพี่หญิงเป่าผิงแล้ว หากข้าบอกว่าตัวเอง เป็นที่สาม ก็คงไม่มีใครกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นที่สอง!”

ชุยตงซานพูดด้วยใบหน้าฉงน “แต่เมื่อครู่นี้ที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่เห็นภูเขาห้อยหัว ก็ดูเหมือนว่าจะน้ำลายไหลด้วยนะ ท่าทางราวกับอยากจะย้ายมันกลับภูเขาลั่วพั่วอย่างไรอย่างนั้น วันหน้าใครไม่ยอมแพ้ก็เอาตราประทับนี่ไปทุบหัวคนคนนั้น”

เผยเฉียนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “สมบัติชิ้นโตขนาดนั้น ใครเห็นแล้วจะไม่อยากได้บ้างเล่า”

“เกี่ยวกับเรื่องของการคัดหนังสือนี้ อันที่จริงพ่อครัวเฒ่าที่เจ้าดูแคลนความรู้ของเขาค่อนข้างจะร้ายกาจ ในอดีตผู้ที่รับผิดชอบเรื่องการเขียนหนังสือประวัติศาสตร์ของราชสำนักก็เป็นเขาที่ดึงเอาตัวขุนนางบุ๋นผู้รอบรู้ซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าสิบกว่าท่าน และบัณฑิตของสำนักฮั่นหลินที่เปี่ยมไปด้วยพละกำลังและชีวิตชีวาอีก ยี่สิบกว่าคนให้มาช่วยกันเรียบเรียง คัดลอกตำราประวัติศาสตร์ไม่หยุดทั้งกลางวันกลางคืน สุดท้ายเขียนออกมาได้ถึงสิบล้านตัวอักษร ตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็ก ที่เป็นฝีมือของจูเหลี่ยนั้นยอดเยี่ยมอย่างถึงที่สุดจริงๆ หากจะบอกว่าเชี่ยวชาญ อย่างล้ำลึกก็ไม่มากเกินไป ต่อให้เป็นหออักษรทั้งหลายของใต้หล้าไพศาลที่ทุกวันนี้ได้รับความนิยมมากที่สุด ลายมือก็ยังสู้ของจูเหลี่ยนในอดีตไม่ได้ การเรียบเรียงตำราครั้งนี้ถือเป็นการรวบรวมความรู้ที่น่าสนใจที่สุดในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัว น่าเสียดายที่นักพรตเฒ่าจมูกโคบางคนรู้สึกขวางหูขวางตาก็เลยขยับปลายนิ้ว หายนะล่มแคว้นครั้งนั้นเหมือนการจุดไฟเตาเผาบูชาตัวอักษรให้กับขนบธรรมเนียมของบางแห่งในใต้หล้าไพศาล ทำการเผาวัตถุอย่างกระดาษที่ถูกทิ้งและเศษซาก เครื่องกระเบื้องที่มีตัวอักษรโดยเฉพาะ ทั้งหมดถูกเผาทิ้งไปถึงเจ็ดแปดส่วน ความตั้งใจและความทุ่มเทของบัณฑิต ความรู้บนหน้ากระดาษต้องกลับคืนสู่ฟ้าดิน ไปเกินครึ่งในคราวเดียว”

ชุยตงซานเบื่อหน่ายอย่างถึงที่สุด พอเล่าถึงประวัติเก่าแก่ยาวนานของสถานที่แห่งหนึ่งไปแล้วก็โบกชายแขนเสื้อสองข้างขึ้นลง เอ่ยชวนคุยว่า “ลำพังแค่ดูไม่จดจำ จอกแหนลอยคว้างไปตามกระแสคลื่น ไม่เหมือนคนอื่นที่เห็นหนึ่งเป็นหนึ่ง เห็นสอง ได้สอง พอเห็นสามก็รู้เป็นร้อยพัน ทำไปตามลำดับขั้นตอนก็คือเสากลางกระแสน้ำ พอน้ำลอยมากระทบก็เกิดเป็นคลื่นสูงหมื่นจ้างโถมตัวท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลา”

เผยเฉียนถลึงตาใส่ “ห่านขาวใหญ่ สรุปว่าเจ้าอยู่ฝั่งไหนกันแน่? ทำไมแขนเจ้าชอบหันออกไปข้างนอกอยู่เรื่อย (เปรียบเปรยว่าเข้าข้างคนอื่น ไม่เข้าข้างคนของตัวเอง) จะให้ข้าช่วยบิดให้เจ้าไหม?

ตอนนี้การเรียนวรยุทธของข้าสำเร็จไปขั้นใหญ่แล้ว ได้ประมาณหนึ่งส่วนของอาจารย์แล้วล่ะ เวลาออกแรงจะไม่รู้จักหนักเบา เสียงกร๊อบหนึ่งครั้ง นึกจะหักก็หักง่ายๆ พอไปเจออาจารย์พ่อ เจ้าห้ามเอาไปฟ้องเด็ดขาดเลย”

ส่วนที่บอกว่าความรู้ของพ่อครัวเฒ่าหรือการเขียนตัวอักษรอะไรนั่น ใครจะไปเชื่อ

อาจารย์พ่อแค่ใช้ฝ่ามือข้างเดียวกับคำพูดอีกสองสามประโยค ก็สามารถทำให้ พ่อครัวเฒ่ายอมยกธงขาวแล้วสงบใจทำกับข้าวอยู่ในห้องครัวแต่โดยดีได้แล้ว

ชุยตงซานยื่นฝ่ามือออกมา “ขอข้ายืมยันต์กระดาษเหลืองมาแปะหน้าผากให้หายตกใจหน่อย ศิษย์พี่หญิงใหญ่ทำให้ข้าตกใจจะตายอยู่แล้ว”

เผยเฉียนขมวดคิ้วพูด “อย่าเหลวไหลนะ อาจารย์พ่อเคยบอกว่า ออกจากบ้านมาอยู่ข้างนอกห้ามหยิบยันต์ที่เป็นสมบัติของตัวเองออกมาอวดส่งเดช สถานที่ที่มีผู้ฝึกตนรวมตัวกันอยู่มากมาย ง่ายจะทำให้คนอิจฉา พอคนอิจฉาก็เกิดเรื่องถูกผิดได้ง่าย ตนเองไม่ผิดกลับชักนำให้คนอื่นคิดว่าผิด แล้วพอไม่ยอมรับผิดก็จะเกิดทะเลาะ เบาะแว้งกัน สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจกล่าวคำว่า ‘ข้าไม่ผิด’ ออกมาได้ หากอยู่ในสถานที่ที่มีภูตผีและสิ่งศักดิ์สิทธิ์รวมตัวกันมากมายก็จะยิ่งถูกมองเป็นการท้าทาย นี่ข้า ไม่ได้พูดเหลวไหลไปเองนะ ปีนั้นตอนที่ข้าอยู่ใบถงทวีปกับอาจารย์พ่อ ในป่าร้าง ชานเมืองที่ดวงจันทร์ส่องแสงยามราตรีลมพัดแรง ก็เคยได้เจอกับขบวนเทพภูเขา สู่ขอภรรยา ข้าแค่มองมากไปหน่อย มองมากไปแค่ครั้งเดียวจริงๆ พวกภูตผีเหล่านั้น ก็พากันหันมาถลึงตาใส่ข้าอย่างพร้อมเพรียง เจ้าพวกตัวดี เจ้าลองเดาสิว่าเป็นอย่างไร อาจารย์พ่อเห็นข้าได้รับความอยุติธรรมใหญ่เทียมฟ้าก็เลยรีบถลึงตากลับไปทันที พวกองค์เทพและภูตผีของขุนเขาสายน้ำที่แต่ละตนเย่อหยิ่งจองหองเหมือนถูกฟ้าผ่า จากนั้นก็พากันหมอบกราบ คุกเข่าขอร้อง แม้แต่เกี้ยวที่มีสตรีซึ่งไม่รู้ว่าเป็นคนหรือผีนั่งอยู่ก็ยังไม่กล้าไม่มีใครกล้ายกขึ้นมา คาดว่าคงถูกโยนทิ้งจนแตกพังบ้างล่ะ ผ่านไปนานหลายปีขนาดนี้ในใจของข้ายังรู้สึกผิดไม่หายเลย”

ชุยตงซานยิ้มบางๆ “เล่าเรื่องจริงจบแล้ว ไหนลองเล่าฉบับไม่จริงบ้างสิ”

เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งที “ฉบับไม่จริงน่ะหรือ ก็มีอยู่เหมือนกัน ก็คืออาจารย์พ่อ ลุกขึ้นยืน เป็นฝ่ายเอ่ยขออภัยหมัวมัวเฒ่าที่เป็นคนนำขบวนก่อน จากนั้นยังกล่าว อวยพรให้พวกเขาอย่างจริงใจ หลังจบเรื่องยังสั่งสอนข้าไปรอบหนึ่ง แล้วยังบอกด้วยว่าเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ผ่านไปสองครั้งแล้ว หากยังทำผิดอีกจะไม่เกรงใจข้าแล้วจริงๆ”

เผยเฉียนขยี้ตา แสร้งทำท่าเช็ดน้ำตาเอ่ยว่า “ต่อให้จะเป็นแค่เรื่องโกหก แต่พอคิดตามก็ยังทำให้คนเสียใจจนน้ำตาไหลได้อยู่ดี”

ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อย่าลืมเก็บขี้ตาไว้ล่ะ ไม่ใช่เช็ดออกหมด”

เผยเฉียนปล่อยหมัดออกไปหนึ่งหมัด ขณะที่อยู่ห่างจากศีรษะของชุยตงซานหนึ่งชุ่น ก็เก็บหมัดมา หัวเราะคิกคัก “กลัวหรือไม่?”

ชุยตงซานอยู่นิ่งๆ ก่อนครู่หนึ่ง จากนั้นก็เหลือกตาสองข้างขึ้น ร่างทั้งร่าง สั่นสะท้านไม่หยุด พูดเสียงอู้อี้ว่า “ช่างเป็นพายุหมัดที่เผด็จการนัก ข้าจะต้องได้รับบาดเจ็บภายในที่สาหัสมากอย่างแน่นอน”

เผยเฉียนประกบสองนิ้วเข้าหากันแล้วจิ้มออกไป “นิ่ง!”

ชุยตงซานรีบหยุดนิ่งไม่ขยับทันที

เผยเฉียนสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เจ้านี่สมควรโดนสั่งสอนจริงๆ

ครู่หนึ่งต่อมา ชุยตงซานก็พูดด้วยน้ำเสียงร้อนรนว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ รีบเก็บวิชาอภินิหารเร็วเข้า!”

เผยเฉียนใช้มือสองข้างเท้าคาง ทอดสายตามองไปทิศไกล เอ่ยเสียงเบาอย่างเนิบช้าว่า “อย่าพูดกับข้า ทำให้ข้าเสียสมาธิ ข้าต้องตั้งใจคิดถึงอาจารย์พ่อแล้ว”

หลังจากนั้นชุยตงซานก็นั่งนิ่งเหมือนก้อนหินจริงๆ เพียงแต่เงยหน้ามองภูเขา ห้อยหัว สิ่งที่คิดอยู่ในหัว ไม่ได้อยู่ที่ภูเขาห้อยหัว ถึงขั้นไม่อยู่ในใต้หล้าไพศาลหรือ ใต้หล้ามืดสลัวที่ห่างไกลยิ่งกว่าด้วยซ้ำ แต่เป็นที่ฟ้านอกฟ้า คิดไปถึงเทวบุตรมาร นอกโลกที่นอกจากผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานแล้วก็ไม่มีใครเดาประวัติความเป็นมาของพวกมันออก

สองปัญญาชนน้อยใหญ่ที่อยู่ห่างไปไม่ไกลอย่างจ้งชิวและเฉาฉิงหล่างเคยชินกับการเล่นก่อกวนของคนทั้งสองนานแล้ว

ในเรื่องของการฝึกตน บางครั้งที่เฉาฉิงหล่างเจอด่านสำคัญหลายอย่างที่จ้งชิว ไม่อาจช่วยไขข้อข้องใจให้ได้ ก็จะไปถามเอาจากชุยตงซานที่เป็นคนร่วมสำนัก เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์ผู้นั้น ทุกครั้งชุยตงซานก็จะพูดถึงแค่เรื่องที่เขาถาม พูดจบก็เริ่มไล่แขก เฉาฉิงหล่างก็จะเอ่ยขอบคุณแล้วขอตัวจากมา เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง

อันที่จริงเฉาฉิงหล่างถือเป็นตัวอ่อนผู้ฝึกตนกลุ่มแรกๆ ตามหลังอวี้เจินอี้ที่ใจ คิดแต่อยากจะเป็นเซียนที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของปราณวิญญาณฟ้าดิน ในพื้นที่มงคลดอกบัวปีนั้น และท่ามกลางหยกงามด้านการฝึกตนกลุ่มเล็กนี้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเฉาฉิงหล่างคือบุคคลที่มีทั้งพรสวรรค์ รากฐานและโชควาสนา ดังนั้น ครั้งที่สองที่ได้พบเผยเฉียน เฉาฉิงหล่างที่ตอนนั้นได้เดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตนแล้วถึงได้พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า ต่อให้ครั้งแรกที่ได้กลับมาพบเจอเผยเฉียนอีกครั้งแล้วเผยเฉียนลงมือกับเขาจริงๆ นางก็ไม่มีทางทำได้สำเร็จ ภายหลังตอนอยู่ ในวัดซินเซียงที่อยู่ติดกับตรอกเล็กเก่าโทรม เฉาฉิงหล่างลงมือห้ามปรามเผยเฉียน อยู่หลายครั้ง อันที่จริงก็ได้เผยให้เห็น…กลิ่นอายของเซียนแล้ว

หากไม่พูดถึงงานพิธีแขวนภาพเหมือน จุดธูปบูชาของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วที่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ร่างของพวกเขาได้เดินทางมาเยือนใต้หล้าไพศาล อันที่จริง การที่จ้งชิวพาเฉาฉิงหล่างท่องไปทั่วยุทธภพของใต้หล้ารากบัว ตามความหมาย ที่แท้จริงแล้วก็ถือว่าได้ออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กที่ในประวัติศาสตร์มักจะมีเจ๋อเซียนจุติลงมายังโลกมนุษย์อยู่เสมอแห่งนั้นแล้ว

จากนั้นก็ได้มาเยือนใต้หล้าที่ใหญ่กว่าบ้านเกิดซึ่งมีเจ๋อเซียนมากมายอย่าง ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ แล้วก็จริงดังคาด ที่นี่มีสามลัทธิ ร้อยสำนักประชันขับขาน ตำราอริยะปราชญ์มากมายดั่งไอหมอกลอยเหนือมหาสมุทร โชคดีที่ซานจวินใหญ่แห่งขุนเขาเหนือเว่ยป้อเป็นฝ่ายเอาวัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งให้จ้งชิวยืมตอนอยู่ท่าเรือภูเขา หนิวเจี่ยว ไม่อย่างนั้นลำพังเพียงแค่เรื่องการเลือกซื้อตำราที่นครมังกรเฒ่า ก็มากพอจะทำให้จ้งชิวตกอยู่ในสภาวะกระอักกระอ่วนที่คำนึงถึงอันนี้แล้วต้องพลาดอันนั้นแล้ว

ตอนนั้นหลังกลับไปถึงเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนก็ได้เตรียมการสำหรับเดินทางออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว จ้งชิวเคยกล่าวกับเฉาฉิงหล่างด้วยความหวังดีว่า ยิ่งฟ้าสูง ยิ่งแผ่นดินกว้างใหญ่ ก็ยิ่งควรจะจดจำคำว่า จะไปไหนต้องบอกให้รู้ถึงที่ ที่จะไป

การที่เดินทางท่องไปทั่วพื้นที่มงคลก่อนจะเดินทางออกจากบ้านเกิด นอกจากเพื่อจ้งชิวที่กักตัวเองอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนมาเกินครึ่งชีวิต และตัวเฉาฉิงหล่างเองก็ต้องการจะทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมของสี่แคว้น ด้วยตัวเองแล้ว ตลอดเส้นทางนั้น จ้งชิวก็ยังได้วาดภาพแผนที่นับร้อยแผ่นร่วมกับ เฉาฉิงหล่างด้วยมือตัวเอง จ้งชิวบอกกับเฉาฉิงหล่างอย่างชัดเจนว่า ต่อจากนี้ใต้หล้าแห่งนี้จะเกิดสถานการณ์ใหม่ดั่งฟ้าคว่ำแผ่นดินพลิกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน จะมี ผู้ฝึกตนถือกำเนิดขึ้นมากมายนับไม่ถ้วน พวกเขาจะพากันขึ้นเขาไปเยี่ยมเยือนเซียน เดินขึ้นสู่ที่สูงเพื่อแสวงหาความจริง แล้วก็จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์และศาลเจ้ามากมาย ถูกแต่งตั้งขึ้น จะมีภูตผีที่เหมือนปลาหลุดรอดจากแหหลายตนไปสร้างความวุ่นวายให้กับโลกมนุษย์

เฉินผิงอันอาจารย์ของเจ้าไม่อาจทุ่มเทเวลาและความคิดจิตใจมาจับตามองที่นี่ได้มากนัก เขาจำเป็นต้องมีคนช่วยแบ่งเบาภาระให้ คอยให้เขาแนะนำเขา ถึงขั้นที่ว่า ต้องมีคนที่ยินดีเอ่ยถ้อยคำซื่อสัตย์ระคายหูอยู่ข้างกายเขา จากนั้นจ้งชิวก็ถาม เฉาฉิงหล่างว่า หากมีวันนั้นจริงๆ จะยินดีพูดหรือไม่ จะกล้าพูดหรือไม่

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ยินดี แล้วก็กล้าด้วย

จ้งชิวถามอีกว่า หากเจ้ากับอาจารย์ถกเถียงกันจนไม่ได้ข้อสรุป ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองมีเหตุผล ควรจะทำอย่างไร

เด็กหนุ่มตอบอีกครั้ง จะโต้เถียงกันเพราะต้องการแค่เอาชนะไม่ได้ จำเป็นต้องหาข้อดีมาชดเชยข้อเสีย หาหลักการเหตุผลมาจากคำพูดของอีกฝ่าย แล้วต่างคนก็ต่างนำมาขัดเกลากันเอง นี่ก็จะมีโอกาสทำให้พื้นที่มงคลรากบัวมีมหามรรคาเส้นหนึ่งที่สรรพชีวิตในใต้หล้าล้วนมีอิสระเสรีปรากฎขึ้น

สุดท้ายจ้งชิวยังถามว่า หากในอนาคตมหามรรคาของพวกเจ้าทั้งสอง ถูกกำหนดให้ต้องช่วงชิงแก่งแย่งกันเอง และจะไม่มีทางเลือกอย่างอื่นนอกจาก ต้องเลือกอย่างหนึ่งสละทิ้งอย่างหนึ่ง เจ้าควรจะทำอย่างไร?

คำตอบสุดท้ายของเฉาฉิงหล่างคือ ทำไปดูไป คิดไปทำไป จ้งชิวรู้สึกปลาบปลื้ม แล้วก็ไม่ถามอะไรอีก

ตอนนี้ความคิดส่วนใหญ่ของอาจารย์จ้งท่านนี้ยังเป็นเรื่องที่ว่า หลังจากที่คนทั้งสองเดินทางออกจากพื้นที่มงคลรากบัวและภูเขาลั่วพั่วของต้าหลีแล้ว ควรจะศึกษา หาความรู้อย่างไร ส่วนเรื่องการฝึกตนของผู้ฝึกลมปราณนั้น จ้งชิวจะไม่ก้าวก่าย เฉาฉิงหล่างมากเกินไป ฝึกตนเพื่อพิสูจน์มรรคาและความเป็นอมตะ นี่ไม่ใช่เรื่อง ที่ข้าจ้งชิวถนัด ถ้าอย่างนั้นก็พยายามอย่าไปเจ้ากี้เจ้าการกับเฉาฉิงหล่างจะดีกว่า

อันที่จริงเฉาฉิงหล่างคือนักเรียนที่ควรค่าแก่การวางใจอย่างแท้จริง แต่ถึงอย่างไรตัวจ้งชิวเองก็ไม่เคยเห็นทัศนียภาพของใต้หล้าแห่งนั้นมาก่อน บวกกับที่เขา ฝากความหวังไว้กับเฉาฉิงหล่างมาก ดังนั้นจึงอดพูดประโยคแรงๆ บางอย่างออกไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ใต้หล้าน้อยใหญ่ทั้งสองแห่งมีทัศนียภาพไม่เหมือนกัน ทว่าหลักการเหตุผล กลับใช้ด้วยกันได้ การสำรวจบนเส้นทางของชีวิตคนทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นการ ใช้ชีวิตอย่างปลอดภัยซึ่งสำคัญอย่างถึงที่สุด หรือกลยุทธวิธีการในการศึกษาหาความรู้ที่เล็กแคบมากกว่า ล้วนต้องมีปัญหายากไม่อย่างนั้นก็อย่างนี้ปรากฎขึ้น จ้งชิวไม่คิดว่าความรู้อันน้อยนิดของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอบเขตการเรียนวรยุทธที่ต่ำเตี้ยนั้น จะสามารถปกป้องและถ่ายทอดวิชาให้เฉาฉิงหล่างที่อยู่ในใต้หล้าไพศาลได้มากนัก ในฐานะคนที่เกิดและเติบโตมาในพื้นที่มงคลดอกบัวในอดีต นอกจากติงอิงแล้ว คงจะมีแต่เขาจ้งชิวและอดีตสหายรักอย่างอวี้เจินอี้เท่านั้นที่ถือว่าเป็นคนกลุ่มน้อยซึ่งพอจะอาศัยเส้นทางของแต่ละคนก้าวเดินไปบนที่สูงได้อย่างมั่นคง บุคคลที่ปีนจาก ก้นบ่อขึ้นมาที่ปากบ่อ เมื่อเข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของฟ้าดินได้อย่างแท้จริง ก็สามารถจินตนาการได้ว่ามรรคกถาจะสูงส่งเพียงใด

เรือข้ามฟากมาถึงภูเขาห้อยหัว ชุยตงซานก็พาคนทั้งสามไปที่โรงเตี๊ยมของ เรือนหลิงจือโดยตรง อันดับแรกเขาเลือกห้องพักสี่ห้องที่แพงที่สุดอย่างไม่ใคร่จะ เต็มใจนัก ถามว่ามีห้องที่แพงกว่านี้ดีกว่านี้หรือไม่ ทำเอาผู้ฝึกตนของเรือนหลิงจือ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี มังกรข้ามแม่น้ำที่มาเยือนภูเขาห้อยหัว พวกคนรวย ที่ไม่ขาดแคลนเงินเทพเซียนนั้นมีอยู่ไม่น้อยจริงๆ แต่คนที่พูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้กลับมีไม่มาก ดังนั้นผู้ฝึกตนหญิงจึงบอกว่าไม่มีหรอก คงเป็นเพราะทนรับกับสายตาท้าทายของเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นไม่ไหวจริงๆ กล้าทำตัวเป็นพวกที่กินอิ่มว่างงานอยู่ในภูเขาห้อยหัว คิดว่าตัวเองเป็นบุคคลใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ งั้นหรือ? ผู้ฝึกตนหญิง โอสถทองที่ดูแลงานทั่วไปของโรงเตี๊ยมจึงตอบโต้กลับไปประโยคหนึ่งว่า ในภูเขา ห้อยหัวนี้หากจะให้ดีกว่าโรงเตี๊ยมของตนก็มีแค่เรือนพักส่วนตัวสี่แห่งอย่าง จวนหยวนโหรว เรือนชุนฟาน สวนดอกเหมยและตำหนักสุ่ยจิงแล้ว

เด็กหนุ่มคนนั้นใช้หมัดทุบฝ่ามือ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่าถ้าอย่างนั้นก็บอกแต่แรกสิ แล้วก็พาอีกสามคนที่เหลือออกมาจากโรงเตี๊ยมเรือนชุนฟานโดยตรง เผยเฉียน เดินตามห่านขาวใหญ่ออกจากประตูของโรงเตี๊ยมไปอย่างฉงนสนเท่ห์ อันที่จริง เมื่อครู่นี้นางพอใจกับโรงเตี๊ยมมาก

ทอดสายตามองไป สิ่งที่แขวนไว้บนผนัง ปูไว้บนพื้น และยังมีบนร่างของสตรีผู้นั้น ดูเหมือนจะเป็นของที่มีค่าทั้งสิ้น ดังนั้นนางจึงถามเบาๆ ว่าเจ้ารู้จักเรือนสี่แห่ง นั่นหรือ? ชุยตงซานหัวเราะคิกคัก บอกว่าไม่ถือว่ารู้จักทั้งหมด แต่เทพแห่งโชคลาภหลิวของจวนหยวนโหรวและเจ้าของสวนดอกเหมย ในอดีตเคยคบค้าสมาคมกัน มาก่อน พบเจอกันแล้วพูดคุยกันอย่างถูกคอ ชนจอกสุราพลางหัวเราะแย้มยิ้ม เป็นมารยาทที่จำเป็นต้องมี แต่ในใจกลับขอให้อีกฝ่ายตายเร็วๆ แล้วก็กลับมาเกิดใหม่เร็วๆ ในใต้หล้าไพศาลเขาชุยตงซานมีเพื่อนที่ดีแบบนี้อยู่มากมาย

เผยเฉียนจึงยิ่งอัดอั้น ถ้าอย่างนั้นจะเข้าพักกินดื่มแบบไม่ต้องจ่ายเงินได้อย่างไร ผลคือชุยตงซานเดินอ้อมไปอ้อมมา สุดท้ายพาคนทั้งสามเดินเข้าไปในตรอกเล็ก เข้าพักในโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยแห่งนั้น! จ้งชิวกับเฉาฉิงหล่างย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้ อยู่แล้ว

แรกเริ่มเผยเฉียนยังโมโหอยู่บ้าง ผลคือพอชุยตงซานมานั่งในห้องของนาง รินน้ำชา ให้นางหนึ่งถ้วย แล้วเอ่ยประโยคหนึ่งว่า เงินของนักเรียน ใช่เงินของอาจารย์หรือไม่ ถ้าเป็นเงินของอาจารย์ แล้วใช่เงินของอาจารย์พ่อเจ้าหรือเปล่า ถ้าเป็นเงินของอาจารย์พ่อเจ้า เจ้าที่เป็นลูกศิษย์ก็ควรจะช่วยประหยัดหรือไม่

ดวงตาเผยเฉียนพลันเป็นประกาย คิดดูแล้วทุกอย่างนี้เชื่อมโยงติดต่อกัน ไร้ช่องโหว่ ช่างมีเหตุผลยิ่งนัก!

นางร้องเรียกหนึ่งคำ ไม้เท้าเดินป่าก็ลอยเข้ามาอยู่ในมือ ครั้นจึงร่ายวิชา กระบี่มารคลั่งอยู่ในห้องอย่างอารมณ์ดี

ต่อมาชุยตงซานก็ออกจากโรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยไปอย่างลับๆ ล่อๆ เผยเฉียนเอง ก็คร้านจะสนใจเขา หากห่านขาวใหญ่ถูกคนรังแกอยู่ด้านนอกแล้วมาร่ำร้อง ระบายทุกข์กับศิษย์พี่ใหญ่อย่างนางก็ไม่มีประโยชน์

เพราะนางคือนักฆ่าความรู้สึกผู้ร้ายกาจ

ตอนที่ชุยตงซานกลับมาถึงโรงเตี๊ยมอย่างลับๆ ล่อๆ พอๆ กับตอนที่จากไป ก็เป็นช่วงเวลากลางดึกแล้ว เขายืนอยู่กลางระเบียงนอกห้องของเผยเฉียน พบว่านางยังคงฝึกท่าเดินนิ่งอยู่ในห้อง

เผยเฉียนเดินนิ่งไปอย่างเชื่องช้า กึ่งหลับกึ่งตื่น ฝุ่นผงรอบด้านและเส้นแสงจันทร์รอบกายที่ยากจะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าราวกับว่าถูกปณิธานหมัดของนางบิดให้บิดเบือน

ตรงกรอบหน้าต่าง หน้าต่างพลันเปิดออกด้วยตัวเอง ชุดสีขาวหิมะแถบใหญ่ ร่วงพลิ้วลงมา เผยให้เห็นผีแขวนคอตายที่ห้อยหัวลงมาจากเบื้องบน คอหักเอียงลิ้น จุกปาก

เผยเฉียนที่ยังคงสะลึมสะลืออาศัยสัญชาตญาณใช้ความเร็วราวฟ้าร้องไม่ทัน ยกมือป้องหูแปะยันต์แผ่นหนึ่งไว้บนหน้าผาก ก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว ยื่นมือมา คว้าจับ ไม้เท้าเดินป่าที่วางเอียงพิงโต๊ะถูกคว้ามาอยู่ในมือ ครั้นจึงใช้ไม้เท้าต่างกระบี่ ทิ่มออกไปยังหว่างคิ้วของผีที่แขวนคอตายตนนั้น เสียงปังดังหนึ่งครั้ง ผีชุดขาว ถูกกระบี่โจมตีให้ล่าถอย เผยเฉียนดีดปลายเท้า ปล่อยไม้เท้าหลุดออกจากมือ กระโดดออกไปจากหน้าต่าง ตั้งท่าหมัดเตรียมจะออกหมัด แน่นอนว่าต้องใช้ กระบวนท่ากองทัพม้าเหล็กทะลวงขบวนรบเปิดทาง จากนั้นค่อยใช้ท่าเทพตีกลองสายฟ้ามาแบ่งแพ้ชนะ ส่วนแบ่งเป็นตายนั้นอยู่ที่ว่าเผยเฉียนจะสามารถประคับประคองตัวไว้ได้นานแค่ไหน ไม่ได้อยู่ที่คู่ต่อสู้ เพราะท่านปู่ชุยเคยบอกว่า ผู้ฝึกยุทธออกหมัด เบื้องหน้าไร้คน

ทุกอย่างนี้ทำเสร็จในรวดเดียวดุจสายน้ำไหลเมฆเคลื่อนคล้อย สำหรับเผยเฉียนแล้วถึงขั้นที่ว่านางไม่ต้องครุ่นคิดถึงสิ่งใดด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นเหตุให้การออกหมัด บริสุทธิ์มากเป็นพิเศษ

ผลคือได้เห็นเจ้าห่านขาวใหญ่ผู้นั้นกำลังยืนหาวอยู่ ชุยตงซานเหลียวซ้ายแลขวา “ศิษย์พี่หญิงใหญ่เองหรือ ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ออกมาชมทัศนียภาพหรือไร?”

เผยเฉียนกล่าวอย่างมีโทสะ “ดึกดื่นแกล้งทำมาหลอกเป็นผี หากถูกข้าต่อยให้ตายด้วยหมัดเดียวจะโทษใคร”

ชุยตงซานยิ้มถาม “ออกหมัดเร็วเกินไป เร็วกว่าความคิดของผู้ฝึกยุทธ จะดีเสมอไปหรือ? ถ้าอย่างนั้นคนที่ออกหมัดคือใครกันแน่?”

เผยเฉียนอึ้งตะลึง ก่อนจะกล่าวอย่างสงสัย “นี่เจ้าพูดเรื่องอะไร?”

ชุยตงซานเหลือกตามองบน “ข้าจะไปฟ้องอาจารย์ บอกว่าเจ้าตีข้า”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้ามาหลอกข้าก่อนนะ!”

สุดท้ายคนทั้งสองก็กลับมาคืนดีกัน พากันมานั่งบนกำแพงของลานบ้าน มองดวงจันทร์ของใต้หล้าไพศาล

ใบหน้าของชุยตงซานประดับรอยยิ้มน้อยๆ ได้ยินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกวันนี้น่าสนใจอย่างมาก ถึงขั้นมีคนกล้าพูดว่าสายของเหวินเซิ่งทุกวันนี้ นอกจาก จั่วโย่วแล้ว มีเฉินผิงอันเพิ่มขึ้นมาอีกคนแล้วอย่างไร สายของเหวินเซิ่ง อริยะอักษรไม่ใช่อริยะอักษร ส่วนระบบสายบุ๋นก็ยิ่งน่าสงสาร แล้วยังจะมีควันธูปให้พูดถึง อีกหรือ?

ชุยตงซานหัวเราะ พูดกับเผยเฉียนว่า “พรุ่งนี้พวกเราไปเที่ยวภูเขาห้อยหัวกันรอบหนึ่งก่อน วันมะรืนค่อยไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ เจ้าก็ได้จะไปพบ อาจารย์พ่อแล้ว”

เผยเฉียนเอ่ย “ภูเขาห้อยหัวมีอะไรให้น่าเดินเที่ยวกัน พรุ่งนี้พวกเราไปที่ กำแพงเมืองปราณกระบี่เลยเถอะ”

ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ภูเขาห้อยหัวมีของดีมากมายขนาดนั้น พวกเราจะไม่ซื้อของขวัญติดไม้ติดมือกันไปหน่อยหรือ?”

เผยเฉียนรู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็ถูก จึงหยิบเอาถุงหอมที่เป็นถุงเงินซึ่งน้ากุ้ยแห่งนครมังกรเฒ่ามอบให้ออกมาจากชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง แล้วเริ่มนับเงินของตัวเอง

ชุยตงซานเอาสองมือสอดรองใต้ท้ายทอย ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามีเงิน ไม่ต้องให้เจ้า จ่ายหรอก”

เผยเฉียนนับเหรียญทองแดงทุกเหรียญ แม้แต่เศษก้อนเงินก็ยังไม่ยอมปล่อยผ่านไป นางนับอย่างละเอียดถี่ถ้วน เพราะถึงอย่างไรเงินส่วนตัวของนางตอนนี้ก็มีเงิน เทพเซียนอยู่น้อยนิด น่าสงสารยิ่งนัก ดังนั้นทุกครั้งที่นับเงินนางจะต้องลูบพวกมัน ให้นานหน่อย พูดกระซิบกับพวกมันเบาๆ เวลานี้พอได้ยินคำพูดของชุยตงซาน นางก็ส่ายหน้าพูดเสียงเบาโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้น “เป็นของขวัญที่ซื้อให้อาจารย์พ่อนะ ข้าไม่ต้องการเงินเทพเซียนของเจ้าหรอก”

ชุยตงซานพูดหยอก “เหรียญทองแดงน้อย เศษก้อนเงินน้อยและเงินเทพเซียนที่อยู่เป็นเพื่อนเจ้ามานานขนาดนี้ เจ้าตัดใจปล่อยให้พวกมันออกไปจากรังเล็กๆ อย่างถุงหอมได้ลงคอหรือ? หากแยกจากกันคราวนี้ ชั่วชีวิตนี้อาจไม่ได้พบหน้าพวกมันอีกแล้ว ไม่สงสาร ไม่เสียใจหรือ?”

เผยเฉียนคีบเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งที่นางตั้งชื่อให้มันชูขึ้นสูงแล้วแกว่งส่ายเบาๆ “ก็ช่วยไม่ได้นี่นา หากเจ้าตัวน้อยพวกนี้ต้องจากไปก็คือต้องไป ถึงอย่างไรข้าก็จะคิดถึงพวกมันอยู่แล้ว บนสมุดบัญชีเล่มเล็กของข้าได้เขียนชื่อพวกมันเอาไว้โดยเฉพาะ ต่อให้พวกมันจากไปแล้ว ข้าก็ยังสามารถช่วยพวกมันหาลูกศิษย์และนักเรียนมาเพิ่มได้ ถุงหอมใบนี้ของข้าก็คือศาลบรรพจารย์เล็กๆ แห่งหนึ่งนะ เจ้าคงไม่รู้กระมัง เมื่อก่อนข้าเคยเล่าให้แค่อาจารย์พ่อฟัง แม้แต่กับพวกหมี่ลี่หน่วนซู่ก็ยังไม่เคยเล่าให้ฟัง ตอนนั้นอาจารย์พ่อยังชมข้า บอกว่าข้ามีความตั้งใจดีมาก เจ้าไม่รู้หรอก เพราะฉะนั้นย่อมเป็นอาจารย์พ่อที่สำคัญที่สุด มีแต่อาจารย์พ่อที่จะขาดไปไม่ได้”

เผยเฉียนวางเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นกลับลงถุงแล้วเอาถุงหอมใบเล็กใส่กลับไปไว้ในชายแขนเสื้อ นางแกว่งเท้าเอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นข้าจึงขอบคุณสวรรค์ที่ส่ง อาจารย์พ่อมาให้ข้า”

เผยเฉียนคิดแล้วก็เอ่ยอีกว่า “แต่หากวันใดสวรรค์กล้าเอาอาจารย์พ่อกลับไป…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็อ้าปากกว้างร้องคำรามเลียนแบบหมี่ลี่น้อย พูดอย่างเดือดดาลว่า “ข้าดุร้ายนักล่ะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version