บทที่ 601 ลูกศิษย์กับนักเรียนไปพบครูและอาจารย์
ฤดูใบไม้ร่วงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่มีลมพัดใบอู๋ถง ฝนราตรีพรมใบกล้วย นกร้องบนใบบัวแห้งเหี่ยว ลมตะวันตกม้วนตลบ ยวนยางเกาะแผ่นน้ำแข็ง ดอกกุ้ยลอยล่องบนผืนน้ำ
แต่กลับมีสีสันของฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ใบหญ้าเริ่มปลิดปลิวลงจากขั้ว ยามดึกสายลมเยือกเย็น ทั่วทั้งเมืองถูกส่องสว่างด้วยแสงจันทรา
ในใต้หล้าไพศาล เวลานี้กลับเป็นช่วงของลมฝนฤดูใบไม้ผลิ กลอนคู่วันปีใหม่ ภูเขาสายน้ำให้กำเนิดพืชหญ้า ใต้หล้าเต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
ภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนแจกันสมบัติทวีป ในช่วงเวลาที่ แมลงตื่นจากการจำศีล เทวดาบนสวรรค์พลันเปลี่ยนสีหน้า แสงแดดที่สาดส่องกลายมาเป็นเมฆดำทะมึน จากนั้นก็มีฝนห่าใหญ่ตกกระหน่ำลงมา
แม่นางน้อยสามคนนอนฟุบอยู่บนราวระเบียงชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ชมสายฝนไปด้วยกัน
ฝั่งซ้ายขวาของแม่นางน้อยชุดดำวางไม้เท้าเดินป่าสีเขียวมรกตที่สีสดปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้ และไม้คานหาบสีทองเล็กๆ ชิ้นหนึ่ง ในฐานะผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาที่แท้จริงของศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่ว โจวหมี่ลี่แอบตั้งฉายาให้กับไม้เท้าเดินป่าและไม้คานหาบอันเล็กนี้ว่า ‘ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาน้อย’ ‘ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายน้อย’ เพียงแต่ไม่กล้าพูดเรื่องนี้กับเผยเฉียน เผยเฉียนชอบตั้งกฎมากมายนัก น่ารำคาญ มีหลายครั้งที่นาง ไม่อยากเล่นเป็นเพื่อนกับอีกฝ่ายแล้ว
ทว่าเมื่อครั้งที่ทั้งสองฝ่ายทะเลาะกันนั้น เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ไม่กี่วัน โจวหมี่ลี่ก็เริ่มนับนิ้วรอให้เผยเฉียนมาเล่นกับนางแล้ว
เฉินหน่วนซู่เป็นกังวลเล็กน้อย เพราะดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินหลิงจวินเพิ่งจะตัดสินใจว่า ขอแค่เขาเลื่อนสู่โอสถทอง ก็จะเดินทางไปเยือนอุตรกุรุทวีป เพื่อเลียบลำน้ำลงมหานที
เผยเฉียนเปลี่ยนท่าใหม่เป็นนอนหงายหน้า ใช้สองมือรองสอดกันต่างหมอน นอนไขว่ห้างแล้วแกว่งเท้าเบาๆ คิดดูแล้วก็ขยับร่างเล็กน้อย เปลี่ยนทิศทาง หันปลายเท้าไปทางม่านฝนที่อยู่นอกชายคาเรือนไม้ไผ่ ช่วงนี้เผยเฉียนเองก็หงุดหงิดอยู่เหมือนกัน ฝึกวิชาหมัดกับพ่อครัวเฒ่า นางมักจะรู้สึกว่าขาดอะไรไปบางอย่าง จืดชืดไร้รสชาติ มีครั้งหนึ่งนางร้อนใจจึงหันไปคำรามใส่พ่อครัวเฒ่าอย่างเดือดดาล จากนั้นก็ถูกพ่อครัวเฒ่าเตะจนสลบอย่างไม่เกรงใจกันสักเท่าไร หลังจบเรื่องอันที่จริงเผยเฉียนรู้สึกผิดต่อพ่อครัวเฒ่าไม่น้อย แต่ไม่ยินดีจะพูดคำว่าขอโทษ นอกจากประโยคนั้นที่นางพูดค่อนข้างตรงไปหน่อย อื่นๆ ก็ล้วนเป็นพ่อครัวเฒ่าที่ทำไม่ถูกก่อน ป้อนหมัดก็ควรเหมือนท่านปู่ชุยที่ซ้อมนางอย่างเอาเป็นเอาตายสิ ถึงอย่างไรก็ไม่ได้ ฆ่านางให้ตายจริงๆ เสียหน่อย โดนซ้อมนางไม่กลัวอยู่แล้ว แค่หลับตาแล้วก็ลืมตา หาวไม่กี่ทีก็เป็นวันใหม่แล้ว ไม่รู้จริงๆ ว่าพ่อครัวเฒ่าจะกลัวอะไร
ทุกครั้งที่ลงมือเจ้าพ่อครัวเฒ่ากลับไม่ได้ออกแรงอะไรเลย นี่จะนับเป็นอะไรได้ ทุกครั้งที่นางแช่ถังยาจะต้องใช้เงินของอาจารย์ไปมากน้อยแค่ไหน? นางกับหน่วนซู่เคยช่วยกันคำนวณ หากอิงตามวิธีการฝึกวรยุทธของนางในเวลานี้ ต่อให้เผยเฉียนไปที่ร้านของตรอกฉีหลงแล้วลากพี่หญิงสือโหรวมาทำการค้าด้วยกัน ต่อให้เปิดร้านถึงตอนกลางคืน ด้วยเศษเงินน้อยนิดที่นางได้มานั่นก็ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลากี่ร้อยปีถึงจะได้กำไรกลับคืนมา ดังนั้นพ่อครัวเฒ่าเจ้าจะทำอิดๆ ออดๆ ไปไย ทำท่าไม่มีแรงราวกับ คนกินข้าวไม่อิ่มอย่างนั้นแหละ ป้อนหมัดก็ต้องตั้งใจออกหมัด ถึงอย่างไรนางก็ต้องมีจุดจบคือสลบเหมือดอยู่แล้ว อันที่จริงก่อนหน้านี้นางเองก็อดทนข่มกลั้นมา หลายครั้งแล้ว สุดท้ายทนไม่ไหวถึงได้ระเบิดโทสะออกมา
ดังนั้นวันนั้นพอนางตื่นขึ้นมากลางดึกถึงได้วิ่งไปเรียกให้พ่อครัวเฒ่าทำอาหาร มื้อดึกให้ แล้วยังกินข้าวได้มากกว่าเดิม พ่อครัวเฒ่าก็น่าจะเข้าใจว่านี่คือการขอโทษของนางแล้วกระมัง ตอนนั้นพ่อครัวเฒ่าผูกผ้ากันเปื้อนไว้ที่เอว ยังช่วยคีบกับข้าว ให้นาง ท่าทางไม่เหมือนคนโกรธ พ่อครัวเฒ่าคนนี้ อาจจะแก่ไปสักหน่อย ขี้เหร่ไป สักนิด แต่มีอยู่ข้อหนึ่งที่ดีที่สุดก็คือไม่จดจำความแค้น
และยังมีเรื่องชวนหงุดหงิดใจที่ใหญ่กว่านั้น นั่นคือเผยเฉียนเป็นกังวลว่าหากตนทำหน้าหนาติดตามอาจารย์จ้งไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ พ่อครู*จะไม่พอใจ
เผยเฉียนเหลือกตามองบน เจ้าหมอนั่นมาที่บ่อน้ำขนาดเล็กด้านหลังเรือนไม้ไผ่อีกแล้ว
เว่ยป้อทวยเทพแห่งขุนเขาเหนือต้าหลียืนอยู่กลางระเบียง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เผยเฉียน ช่วงนี้อุดอู้หรือไม่?”
เผยเฉียนกล่าวอย่างระอาใจ “อุดอู้สิ จะไม่อุดดู้ได้อย่างไร อุดอู้จนปวดกบาลแล้ว”
เผยเฉียนเอาฝ่ามือตบลงบนพื้นเบาๆ ดีดตัวขึ้นยืนจากท่านอนหงาย ฝ่ามือนั้น ตบลงได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม้เท้าเดินป่าจึงดีดตามขึ้นมาด้วย ถูกนางจับไว้ในมือ นางกระโดดขึ้นไปบนราวระเบียงแล้วเริ่มร่ายวิชากระบี่มารคลั่งคำรบหนึ่ง หยดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนถูกตีแตกกระจาย มีหยดน้ำไม่น้อยกระเซ็นมาทางระเบียง เว่ยป้อโบกมือปัดทิ้ง ไม่ได้รีบร้อนเปิดปากเอ่ยธุระของตัวเอง เผยเฉียนออกกระบี่อย่าง เต็มคราบพลางแผดเสียงไปด้วยว่า “นภาสีครามฟ้าผ่าเสียงฆ้องดัง ฝนตกกระหน่ำเหมือนเงินพุ่งมาปะทะใบหน้า รวยแล้วเจ้าข้าเอ้ย รวยแล้วเจ้าข้าเอ้ย…”
ภูเขาลั่วพั่วขาดเงินจริงๆ ข้อนี้ไม่ผิด เป็นเรื่องจริงแท้แน่นอน
แต่ถึงขั้นคิดอยากให้เงินร่วงหล่นลงมาจากฟ้าเช่นนี้ ก็น่าจะมีแต่เด็กหญิงที่แม้แต่ตัวนางเองก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นตัวขาดทุนผู้นี้เท่านั้นแหละที่จะคิดได้
เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ข้ามีจดหมายอยู่ฉบับหนึ่ง ใครอยากอ่าน?”
เผยเฉียนรีบเก็บไม้เท้าเดินป่า กระโดดลงมาจากราวระเบียง โบกมือหนึ่งที เฉินหน่วนซู่ที่ลุกขึ้นยืนต้อนรับซานจวินแห่งขุนเขาเหนืออยู่นานแล้ว รวมไปถึง โจวหมี่ลี่ที่ขยับตัวลุกขึ้นอย่างอืดอาดก็พากันค้อมเอวก้มหัวพร้อมกับเผยเฉียน พูดอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “นายท่านซานจวินอุตส่าห์มาเยือนกระท่อมซอมซ่อ นับเป็นเกียรติอย่างใหญ่หลวง ขอให้ท่านมีเงินทองไหลมาเทมา!”
เว่ยป้อพยักหน้ารับพร้อมยิ้มตาหยี แล้วถึงได้มอบจดหมายที่เขียนด้วยตัวอักษรแบบบจงขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวันไว้บนหน้าซองว่า ‘หน่วนซู่เป็นผู้เปิด เผยเฉียน เป็นผู้อ่าน หมี่ลี่เป็นผู้เก็บ’ ให้แก่แม่หนูหน่วนซู่
เฉินหน่วนซู่รีบเช็ดมือกับชายแขนเสื้อ ยื่นสองมือไปรับจดหมายมาแล้วแกะออกอย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงมอบจดหมายให้เผยเฉียน เผยเฉียนรับจดหมายมาแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิ ยืดเอวตรงอย่างสำรวม แม่นางน้อยอีกสองคนก็นั่งตามไปด้วย ศีรษะเล็กๆ ทั้งสามแทบจะชนกัน เผยเฉียนหันหน้ามาบ่นคำหนึ่งว่าหมี่ลี่เจ้าจับเบาๆ หน่อยสิ ถ้าจดหมายมีรอยยับจะทำอย่างไร หากเจ้ายังซุ่มซ่ามแบบนี้ วันหน้า ข้าจะกล้ามอบหมายงานใหญ่ให้เจ้าไปทำได้อย่างไร?
แม่นางน้อยชุดดำหน้าเบ้ทันที น้ำตาคลอเจียนจะหยด เผยเฉียนจึงรีบคลี่ยิ้ม ลูบศีรษะเล็กของหมี่ลี่น้อยเบาๆ พลางเอ่ยปลอบใจอยู่สองสามคำ
เพียงครู่เดียวโจวหมี่ลี่ก็ยิ้มออก
เว่ยป้อฟุบตัวอยู่บนราวระเบียง ทอดสายตามองไปทิศไกล ฝนตกถี่กระชั้น ฟ้าดินสลัวราง มีเพียงระเบียงแห่งนี้ที่ทัศนียภาพแจ่มกระจ่าง
แม่นางน้อยทั้งสามคนอ่านจดหมายช้ามาก ต่างก็ไม่ยินดีจะพลาดไปแม้แต่คำเดียว แล้วก็รอคอยให้ชื่อของตัวเองปรากฎบนหน้าจดหมาย ต่อให้จะมีแค่ประโยค สองประโยค พวกนางก็น่าจะดีใจได้อีกเป็นนาน
หลังจากเผยเฉียนอ่านอย่างละเอียดไปแล้วหนึ่งรอบ โจวหมี่ลี่ก็เอ่ยว่า “อ่านอีกรอบสิ”
เผยเฉียนพูดเสียงขุ่น “พูดเหลวไหลอะไร”
จากนั้นก็อ่านวนไปอีกสามรอบ แล้วเผยเฉียนก็เก็บจดหมายที่มีแค่สองแผ่น สอดกลับในซองจดหมาย กระแอมอยู่สองสามทีแล้วเอ่ยว่า “พ่อครูบอกไว้ในจดหมายว่าอย่างไร อ่านชัดเจนแล้วหรือยัง? พ่อครูไม่ให้พวกเจ้าสองคนไปที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่ ถึงอย่างไรเหตุผลก็เขียนไว้อย่างชัดเจนจนไม่เหลือพื้นที่ให้ตอบโต้ สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ปัญหาก็มาแล้ว ในใจพวกเจ้ารู้สึก ไม่พอใจหรือไม่? หากมีก็ต้องพูดออกมาดังๆ ในฐานะที่ข้าเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของพ่อครู ข้าจะต้องช่วยอธิบายให้พวกเจ้าเข้าใจกระจ่างชัดให้จงได้”
เฉินหน่วนซู่ยิ้มกล่าว “ข้าไปกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ไหวหรอก ไกลเกินไป ออกจากภูเขาลั่วพั่วไปที่เขตการปกครองหลงเฉวียน แค่คืนเดียวข้าก็อยากกลับขึ้นมาบนภูเขาแล้ว”
นางเคยชินกับการอยู่อาศัยในที่แห่งหนึ่งนานๆ โดยไม่ย้ายถิ่นฐานไปไหนแล้วจริงๆ เมื่อก่อนอยู่หอเก็บหนังสือหลันจือของสกุลเฉาแคว้นหวงถิง ตอนนี้มาอยู่ใน เขตการปกครองหลงเฉวียนที่ใหญ่ยิ่งกว่า แล้วนับประสาอะไรกับที่เมื่อก่อนยังต้องคอยหลบเลี่ยงผู้คนราวกับเป็นโจรอย่างไรอย่างนั้น ตอนนี้ไม่เพียงแต่บนภูเขาลั่วพั่ว เวลาไปที่ตรอกฉีหลงของเมืองเล็ก ไปที่จังหวัดหลงเฉวียน ล้วนสามารถไปได้ อย่างเปิดเผย ดังนั้นเฉินหน่วนซู่จึงชอบที่นี่ อีกอย่างนางยังชอบการที่มีงานให้ง่วนทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอีกด้วย
โจวหมี่ลี่ยกสองแขนกอดอก พยายามตีหน้าให้นิ่ง แต่ก็ยังคงยากที่จะปกปิดความลำพองใจเอาไว้ได้ “เจ้าขุนเขาบอกแล้วว่าต้องการให้ผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาอย่างข้า คอยจับตามองบ่อน้ำน้อยนั่นให้ดี ภารกิจใหญ่หลวงขนาดนี้ ดังนั้นอีกเดี๋ยวพอลงไปจากเรือนไม้ไผ่ ข้าก็จะย้ายผ้าปูที่นอนไปไว้ข้างบ่อน้ำ”
อันที่จริงหากแม่นางน้อยชุดดำไม่พยายามอดทนไว้อย่างยากลำบาก เวลานี้คงยิ้มปากกว้างดุจดอกไม้ผลิบานไปนานแล้ว
เฉินผิงอันบอกไว้ในจดหมายแล้วว่า ตอนที่เขาอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่ได้เล่าเรื่องราวขุนเขาสายน้ำที่เกี่ยวกับภูตน้ำใหญ่ของทะเลสาบคนใบ้ให้คนมากมายฟังแล้ว! อีกอย่างยังมีบทเยอะมากด้วย ไม่ได้เหมือนกับในนิยายหลายเรื่องที่แค่เผยโฉมก็ถูกคนตีตาย ข้าช่างแข็งแกร่งยอดเยี่ยมนัก ที่นั่นคือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งเชียวนะ เรื่องแบบนี้เมื่อก่อนแม้แต่ฝันนางก็ยังไม่กล้าฝันเลย
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที เอ่ยเนิบช้าว่า “นี่หมายความว่าพวกเจ้าสองคนยังพอจะมี มโนธรรมในใจอยู่บ้าง วางใจเถอะ ข้าจะถือเสียว่าไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่แทนพวกเจ้า วิชากระบี่มารคลั่งนี้ของข้า คนใต้หล้าไพศาลไม่รู้จักของดี คิดดูแล้ว เมื่อไปถึงที่นั่น พอเซียนกระบี่ที่มากมหาศาลเหล่านั้นได้เห็นวิชากระบี่ล้ำโลกของข้าจะต้องมองจนตาถลนแน่นอน จากนั้นก็ร่ำร้องขอรับข้าเป็นศิษย์ แต่ข้าก็คงได้แค่ ถอนหายใจเบาๆ ส่ายหน้าเอ่ยประโยคหนึ่งว่า ขอโทษด้วย ข้ามีอาจารย์แล้ว พวกเจ้าคงได้แต่ต้องร้องไห้แล้ว สำหรับเซียนกระบี่ที่เกิดมาไม่ถูกเวลาพวกนี้ นี่ช่างเป็นเรื่องราวของความเสียใจที่น่าเศร้าน่าเวทนาน่าทอดถอนใจจริงๆ”
เฉินหน่วนซู่ยิ้มถาม “พอไปเจอนายท่าน เจ้ากล้าพูดแบบนี้กับเซียนกระบี่ไหม?”
เผยเฉียนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต้องไม่กล้าอยู่แล้ว ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่า นี่เป็นแค่เรื่องราวหนึ่งเท่านั้น”
โจวหมี่ลี่พยักหน้ารับอย่างแรง รู้สึกว่าบางครั้งพี่หญิงหน่วนซู่ก็สมองไปค่อยเฉียบไวนัก แย่กว่าตนเยอะเลย
เฉินหน่วนซู่ควักเมล็ดแตงกำหนึ่งออกมา เผยเฉียนกับโจวหมี่ลี่ต่างก็คว้ากันมา คนละกำอย่างคุ้นเคย เผยเฉียนถลึงตา โจวหมี่ลี่ที่คิดว่าจะแอบกำเมล็ดแตงกำใหญ่ที่สุดมาได้ตัวแข็งทื่อโดยพลัน
สีหน้าของนางไม่แปรเปลี่ยน ราวกับว่าถูกเผยเฉียนร่ายเวทกักตัวใส่อีกครั้ง จากนั้นก็คลายกำมือออกเล็กน้อย ทำให้เมล็ดแตงหลายเมล็ดหลุดรอดจากร่องนิ้วกลับคืนไปยังฝ่ามือของเฉินหน่วนซู่ เผยเฉียนถลึงตาอีกครั้ง โจวหมี่ลี่ถึงได้เอาคืนกลับไปอีกเกินครึ่ง แบมือออกเห็นว่ายังมีอยู่เยอะมากก็แอบชอบใจอยู่กับตัวเอง
เฉินหน่วนซู่หยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาวางบนพื้น หากอยู่ในสถานที่อื่น ของภูเขาลั่วพั่วก็ไม่เป็นไร แต่อยู่ที่เรือนไม้ไผ่ ไม่ว่าจะชั้นหนึ่งหรือชั้นสอง ก็ห้ามทิ้งเมล็ดแตงส่งเดช
เผยเฉียนกล่าว “เว่ยป้อ เรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าซึ่งเขียนบอกไว้บนจดหมาย หากเจ้าจำไม่ได้ ข้าก็สามารถไปเตือนเจ้าที่ภูเขาพีอวิ๋นทุกวันได้ ตอนนี้ข้าขึ้นเขาลงห้วย ได้สบาย ไปมาเหมือนสายลม!”
เว่ยป้อยิ้มตอบ “ไม่ต้อง”
เผยเฉียนถามอย่างเป็นกังวล “ไม่ต้องจริงๆ หรือ? ข้ากลัวว่าเจ้าจะไม่เก็บไปใส่ใจ”
เว่ยป้อหันหน้ามาเอ่ยสัพยอกว่า “เจ้าไม่ควรเป็นกังวลว่าจะอธิบายให้พ่อครูของเจ้า ฟังเรื่องการประลองยุทธระหว่างเจ้ากับป๋ายโส่วครั้งนั้นอย่างไรหรอกหรือ?”
เผยเฉียนทำสีหน้าเหลอหรา “อะไรนะ? ป๋ายโส่วคือใคร? ข้าไม่เคยเจอคนผู้นี้ มาก่อนเลยนะ? เว่ยป้อเจ้าฝันอยู่หรือไร หรือว่าเป็นข้าที่ฝัน ตื่นมาก็เลยลืม?”
แม่นางน้อยสามคนสุมหัวปรึกษากันมานานขนาดนี้ สุดท้ายดันได้ข้อสรุปแบบนี้หรือ?
เว่ยป้อยกนิ้วโป้ง พูดชื่นชม “เฉินผิงอันต้องเชื่อแน่นอน”
โจวหมี่ลี่เอามือป้องปาก เอนตัวไปกระซิบอยู่ข้างหูเผยเฉียน พูดขอความดีความชอบเบาๆ “เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าคำกล่าวนี้ใช้ได้ผลที่สุด ไม่ว่าใครก็เชื่อทั้งนั้น ซานจวินเว่ยป้อไม่ถือว่าเป็นคนที่โง่มากนักก็ยังเชื่อไม่ใช่หรือ?”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ “ลงบันทึกคุณความชอบเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง! แต่พวกเราตกลงกัน ไว้ก่อนว่า ต้องแยกเรื่องส่วนรวมและส่วนตัวอย่างชัดเจน ขอแค่เป็นการจดบันทึก ลงในสมุดบัญชีเล่มเล็กของข้า ก็จะไม่เกี่ยวข้องกับศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วของ พวกเรา!”
วันนี้โจวหมี่ลี่อารมณ์ดีมาก นางโคลงศีรษะยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “อะไรกันๆ จดบันทึกคุณความชอบอะไรกัน พวกเราคือเพื่อนรักกันนะ!”
เว่ยป้อกล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เคยมีประโยคขึ้นต้นของบทกลอนเขียนไว้ว่า ‘ส่งสหายออกจากด่านแร้นแค้น’ ซึ่งขานรับอยู่กับประโยค ‘ข้าจึงคิดถึงบ้านเกิด’ อยู่ไกลๆ เป็นเหตุให้นักประพันธ์รุ่นหลังขนานนามว่าเป็น ‘การขึ้นต้นที่สูงที่สุด’”
โจวหมี่ลี่ขมวดคิ้วบางๆ ของตนเป็นปม “หมายความว่าอย่างไร?”
เผยเฉียนตอบ “ก็แค่พูดประโยคสองประโยคให้เข้ากับสถานการณ์จะได้ขอเมล็ดแตงพวกเรากินน่ะสิ”
*เกี่ยวกับคำเรียกเฉินผิงอันของเผยเฉียนกับชุยตงซาน
เนื่องจากช่วงต้นผู้แปลไม่ได้แยกคำเรียกขานเฉินผิงอันของเผยเฉียนกับชุยตงซาน โดยให้ทั้งสองคนเรียกเฉินผิงอันเป็นอาจารย์ทั้งคู่ เพราะหากแปลจากภาษาจีนโดยไม่ได้ลงรายละเอียดลึกถึงรากศัพท์ คำที่ตัวละครทั้งสองใช้ แม้ภาษาจีนจะแตกต่าง แต่กลับสามารถแปลได้ว่าอาจารย์เหมือนกัน อีกทั้งนิยายแปลจีนส่วนใหญ่ หากเป็นคำที่ความหมายโดยรวมเหมือนกันเช่นคำว่าอาจารย์นี้ ก็จะใช้คำว่าอาจารย์มากกว่าคำอื่นๆ อย่างเช่นคำว่าครู และเข้าใจว่าเนื้อเรื่องไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดข้อนี้
แต่เนื่องจากเนื้อเรื่องในตอนต่อๆ ไปอาจมีการดำเนินเรื่องหรือบทสนทนาที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายละเอียดนี้ เพื่อให้ไม่ผู้อ่านขาดอรรถรสและสามารถทำความเข้าใจเนื้อเรื่องได้ลึกซึ้งขึ้น จึงขอเปลี่ยนคำเรียกเฉินผิงอันของเผยเฉียนจากอาจารย์เป็นพ่อครู ส่วนชุยตงซานยังคงเรียกอาจารย์ดังเดิม
และเพราะตอนนี้เป็นตอนที่เนื้อหาแสดงให้เห็นความต่างของคำเรียกขานของคนทั้งสองได้ชัดเจนที่สุด จึงจะเริ่มมีการปรับใช้คำจากตอนนี้เป็นต้นไป
ในภาษาจีนชุยตงซานเรียกเฉินผิงอันว่าเซียนเซิง (先生)เผยเฉียนเรียกเฉินผิงอันว่า ซือฟู่ (师父)ซึ่งคำว่าซือฟู่นี้หากแปลแยกทีละคำตามรากศัพท์จะได้คำว่าครูและคำว่าพ่อ จึงให้เผยเฉียนเรียกว่าพ่อครู อีกทั้งยังสอดคล้องกับเนื้อหาช่วงต้นๆ ที่เผยเฉียนมักกล่าวกับคนอื่นว่าเฉินผิงอันเป็นพ่อของตน
ทั้งนี้คำว่าครูหรืออาจารย์ในภาษาจีนมีอีกหลายคำซึ่งใช้ต่างกันไปตามช่วงยุคสมัย ส่วนคำว่าเซียนเซิง (先生)กับ ซือฟู่ (师父)นั้น หากแปลอย่างลึกซึ้งแล้ว เซียนเซิงคือผู้ที่ถ่ายทอดวิชาความรู้ เป็นผู้รอบรู้เชี่ยวชาญสรรพวิชา ให้ความรู้สึกเป็นทางการ เป็นคำเรียกขานที่ให้เกียรติ ส่วนซือฟู่ก็คือผู้ที่ถ่ายทอดทักษะวิชาความรู้เช่นเดียวกัน เพียงแต่จะให้ความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมมากกว่า ระหว่างเผยเฉียนกับชุยตงซาน หากอิงตามคำเรียกขานนี้แล้ว เผยเฉียนจึงจะมีความใกล้ชิดกับเฉินผิงอันมากกว่าชุยตงซาน
สุดท้ายนี้ผู้แปลต้องกราบขออภัยผู้อ่านเป็นอย่างสูงในความไม่รอบคอบนี้และจะระมัดระวังไม่ให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นอีก
ความหมายคร่าวๆ ของเว่ยป้อ เฉินหน่วนซู่จะต้องเข้าใจกระจ่างชัดที่สุด เพียงแต่โดยทั่วไปแล้วนางจะไม่เป็นฝ่ายเอ่ยอะไรก่อน ต่อมาก็เป็นเผยเฉียน เพราะทุกวันนี้นางเองก็ไม่แย่ ถึงอย่างไรหลังจากที่พ่อครูจากไป นางก็ไม่อาจไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนได้อีก ก็เลยเปิดหนังสือหลายเล่มอ่านเอาเอง ตำราที่อาจารย์พ่อ*ทิ้งไว้ในชั้นหนึ่งนางอ่านจบหมดแล้ว จากนั้นก็มีตำราบางส่วนที่ให้หน่วนซู่ช่วยซื้อมาให้ ถึงอย่างไรนางก็ไม่สนสี่สนแปดอะไรทั้งนั้น ท่องไว้ก่อนค่อยว่ากัน ในเรื่องของการท่องตำราจดจำสิ่งของนั้น เผยเฉียนเชี่ยวชาญกว่าเฉินหน่วนซู่เสียอีก หากไม่เข้าใจหรือเข้าใจแค่ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะข้ามไปก่อน เผยเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจมากนัก บางครั้ง หากอารมณ์ดีก็จะถามคำถามจากพ่อครัวเฒ่า แต่ไม่ว่าอย่างไร เผยเฉียนก็มักจะ รู้สึกว่าหากเปลี่ยนมาเป็นอาจารย์พ่อที่เป็นคนตอบคำถาม คงจะดีกว่านี้มาก ดังนั้น จึงค่อนข้างรังเกียจการถ่ายทอดความรู้และไขข้อข้องใจจากพ่อครัวเฒ่าที่มีความรู้ แค่ครึ่งๆ กลางๆ อยู่บ้าง ไปๆ มาๆ พ่อครัวเฒ่าก็หมดอาลัยตายอยากไปเอง มักจะชอบพูดจาไร้สาระว่าความรู้ของตัวเขาไม่ได้แย่ไปกว่าของอาจารย์จ้งเลย แน่นอนว่าเผยเฉียนย่อมไม่เชื่อ จากนั้นมีครั้งหนึ่งที่ทำกับข้าว พ่อครัวเฒ่าก็เลยจงใจใส่เกลือมากกว่าปกติ
เฉินหน่วนซู่เดินเอาเมล็ดแตงกำมือหนึ่งไปส่งให้เว่ยป้อ
เว่ยป้อเอ่ยขอบคุณด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยื่นสองมือออกไปรับ จากนั้นก็เอนหลังพิงราวรั้ว เริ่มแทะเมล็ดแตงพลางคุยเล่นกับแม่นางน้อยทั้งสาม
บนฝ่ามือข้างหนึ่งที่แบออก มีเมล็ดแตงอยู่หนึ่งกองและเปลือกเมล็ดแตงอีกหนึ่งกอง ภูเขาใหญ่กลายเป็นภูเขาเล็ก และภูเขาเล็กก็กลายเป็นภูเขาใหญ่ สุดท้ายเหลือภูเขาเพียงลูกเดียว
นอกราวระเบียงคือลมฝน
ในระเบียงคือความอบอุ่น
เว่ยป้อรู้ความคิดภายในใจของเฉินผิงอัน
คือต้องการให้ลูกศิษย์สองคนและนักเรียนคนหนึ่ง**รีบไปเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ให้เร็วสักหน่อย หากไปช้ากว่านั้น คนของใต้หล้าไพศาลจะยังมีโอกาส ได้เห็นกำแพงเมืองปราณกระบี่จริงๆ หรือ? จะยังสามารถไปเยือนที่นั่นราวกับไปท่องเที่ยวขุนเขาสายน้ำ มองเป็นทัศนียภาพแห่งหนึ่งในสวนที่ใต้หล้าไพศาลบุกเบิก มาได้อีกหรือ?
เพียงแต่ว่าไม่ได้เขียนบอกไว้ในจดหมาย และเว้ยป้อก็ยังมองออกถึงความเป็นกังวลอีกอย่างหนึ่งของเฉินผิงอัน จ้งชิวราชครูแห่งแคว้นหนันเยวี่ยนคนเดียวต้องพาเด็กสองคนอย่างเฉาฉิงหล่างที่ก่อนหน้านี้เคยพาท่องไปทั่วพื้นที่มงคลรากบัวแล้ว รวมไปถึงเผยเฉียนอีกคนหนึ่ง อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ค่อยวางใจสักเท่าใด แต่ภูเขา ลั่วพั่วในทุกวันนี้ จูเหลี่ยนที่แทบจะถือว่าเป็นเจ้าของภูเขาลั่วพั่วครึ่งตัวได้แล้วย่อมไม่มีทางจากไปได้ คนในม้วนภาพอีกสามคนที่เหลือต่างก็มีภาระหน้าที่แตกต่างกันไป ต่างก็มีความต้องการบนมหามรรคาที่ไม่เหมือนกัน ส่วนเขาเว่ยป้อก็ยิ่งออกจาก แจกันสมบัติทวีปไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เฉินผิงอันเป็นกังวลอย่างแท้จริง ก็คือการขาดแคลนปรมาจารย์ใหญ่วิถีวรยุทธและผู้ฝึกตนบนภูเขาลั่วพั่ว ส่วน ‘โจวเฝย’ ผู้ถวายงานที่เป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้วผู้นั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะเชื้อเชิญตัวเจียงซ่างเจินมาได้ เขาก็ไม่มีทางเปิดปากแน่นอน
อันที่จริงหากจดหมายฉบับนี้มาถึงเร็วกว่านี้ย่อมดีกว่า เพราะสามารถให้พวกเขาไปเยือนนครมังกรเฒ่าพร้อมกับหลิวจิ่งหลงแห่งอุตรกุรุทวีป แล้วค่อยไปเยือน ภูเขาห้อยหัวกับกำแพงเมืองปราณกระบี่
ตอนนี้ในใจเว่ยป้อจึงวางแผนเตรียมจะที่ลองทำบางอย่าง ดูว่าชุยตงซานที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับเสมอผู้นั้นจะสามารถช่วยคลายความทุกข์ให้แก่อาจารย์ของตน ได้หรือไม่
ไม่กี่วันต่อมา ภูเขาพีอวิ๋นก็ได้รับกระบี่บินส่งจดหมายลับ ในจดหมายบอกให้จ้งชิว เผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างเดินทางลงใต้ไปก่อน แล้วไปรอเขาชุยตงซานที่ นครมังกรเฒ่า
จากนั้นทุกคนก็จะโดยสารเรือข้ามฟากเดินทางไปหาอาจารย์ของเขา อย่างครึกครื้นด้วยกัน
พอได้ยินว่าห่านขาวใหญ่ผู้นั้นจะตามไปด้วย ความกลัดกลุ้มเล็กๆ ที่เดิมทีมีอยู่ ในใจเผยเฉียนก็สลายหายไปสิ้น
เดิมทีนัดหมายกันว่าอีกประมาณครึ่งเดือนจะมีการถามหมัดอีกครั้ง อวี้เจวี้ยนฟูกลับเปลี่ยนใจ บอกว่าไว้ค่อยกำหนดวันอีกที
พวกนักพนันในนครก็ไม่ร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรเถ้าแก่รองคนนั้น ก็มีฝีมือการเล่นพนันที่ไม่ธรรมดา หากรีบร้อนเกินไป กลับง่ายที่จะหลงกลอีกฝ่าย
เพียงแต่พวกนักพนันเก่าแก่ที่ประสบการณ์โชกโชนกลับเริ่มคิดไม่ตก กลัวก็แต่ว่า อวี้เจวี้ยนฟูแม่นางน้อยคนนั้นจะไม่ทันระวังดื่มเหล้าของเถ้าแก่รองเข้าไป สมองเกิดเสียขึ้นมา ผลกลายเป็นว่าจากการประลองฝีมือดีๆ กลับกลายไปเป็น การช่วยกันร้องช่วยกันรับ ถึงเวลานั้นจะเอาเงินมาจากที่ไหน? ตอนนี้มาลองคิดดูแล้ว อย่าว่าแต่พวกนักพนันที่ประมาทเลย ต่อให้เป็นพวกเจ้ามือก็ยังไม่สามารถหากำไร เงินเทพเซียนจากตัวของเฉินผิงอันได้สักกี่มากน้อย
ดังนั้นนักพนันเฒ่าคนหนึ่งที่หลังจากดื่มเหล้าเข้าไปจึงเอ่ยประโยคปลงอนิจจัง ว่า สีครามเกิดจากต้นครามแต่เข้มกว่าคราม (เปรียบเปรยว่าศิษย์เก่งกว่าครู) วันหน้าบนโต๊ะพนันน้อยใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่พวกเราคงต้องเจอกับ ลมคาวฝนเลือดกันแล้ว
ในเมื่อไม่มีกระท่อมให้พักอาศัย ถึงอย่างไรอวี้เจวี้ยนฟูก็เป็นสตรี ไม่สะดวก จะปูผ้านอนอยู่บนหัวกำแพงทุกวัน ดังนั้นจึงทำเหมือนเซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ไปพักอยู่ในจวนของเซียนกระบี่ซุนจวี้เฉวียน เพียงแต่ว่าทุกวันจะต้องไปกลับหัวกำแพงเมืองเพื่อฝึกหมัดหลายชั่วยาม ซุนจวี้เฉวียนไม่มีความประทับใจอันใดต่อกลุ่มเจ้าลูกกระต่ายเยี่ยนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง ทว่าสำหรับคุณหนูตระกูลอวี้ของแผ่นดินกลางผู้นี้กลับรู้สึก ไม่เลว จึงเผยตัวอยู่หลายครั้งอย่างที่หาได้ยาก คอยให้คำแนะนำโดยใช้เวทกระบี่มาพูดถึงวิชาหมัด ทำให้อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง
หลินจวินปี้นอกจากจะไปฝึกกระบี่บนหัวกำแพง ยามอยู่ในจวนซุนส่วนใหญ่ ก็มักจะนั่งเล่นหมากล้อมเพียงลำพัง เพื่อทำความเข้าใจกับ ‘ตำราเมฆหลากสี’ ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งใต้หล้าเล่มนั้น
เรื่องที่หลินจวินปี้สนใจมีอยู่สามเรื่อง สถานการณ์ใหญ่ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง การฝึกตน หมากล้อม
สถานการณ์ใหญ่เป็นเช่นไร ตอนนี้หลินจวินปี้ได้แต่มองดูอยู่ด้านข้างเท่านั้น การฝึกตนเป็นเช่นไร ไม่เคยเกียจคร้าน ส่วนวิชาหมากล้อม อย่างน้อยในราชวงศ์ เส้าหยวน เด็กหนุ่มก็แทบจะไม่เจอกับคู่ต่อสู้แล้ว คนที่เขาอยากพบเจอที่สุดก็คือซิ่วหู่ ชุยฉาน
ศิษย์พี่เปียนจิ้งชอบไปที่หอมายา เวลานี้จึงไม่เห็นแม้แต่เงา
และเซียนกระบี่ขู่เซี่ยก็ไม่เคยห้ามปรามเปียนจิ้งที่ไม่เอาจริงเอาจังผู้นั้น เรื่องของการฝึกกระบี่ ขอแค่กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองแล้ว ถ้าอย่างนั้นใต้ฝ่าเท้าของ แต่ละคนก็มีเส้นทางเป็นของตัวเอง แค่เดินหน้าขึ้นสู่ที่สูงไปก็พอ
หากไร้เส้นทางนี้ จะสร้างโอสถได้อย่างไร
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ของราชวงศ์เส้าหยวนกลุ่มนี้ อวี้เจวี้ยนฟูพอจะพูดคุยกับ จูเหมยได้อยู่บ้าง
เพียงแต่คำว่าพูดคุยนี้ แท้จริงแล้วเป็นจูเหมยที่พร่ำพูดเจื้อยแจ้วอยู่คนเดียว บวกกับที่อวี้เจวี้ยนฟูเองก็รับฟังได้อย่างไม่มีเบื่อหน่าย
จูเหมยยังช่วยซื้อตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่เล่มหนาหนักมาให้อวี้เจวี้ยนฟู ตอนนี้ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็มีการจัดพิมพ์ที่นับว่าประณีตงดงามแล้ว ว่ากันว่าเป็นฝีมือของตระกูลเยี่ยน น่าจะพอได้ทุนคืนอยู่บ้าง แต่ไม่อาจได้กำไรมามากนัก
วันนี้จูเหมยมานั่งดื่มชาในห้องของอวี้เจวี้ยนฟู มองอวี้เจวี้ยนฟูที่พลิกเปิดตำราตราประทับอ่านอย่างตั้งใจ จูเหมยก็ถามอย่างใคร่รู้ว่า “พี่หญิงอวี้ ได้ยินมาว่า ท่านตรงจากทวีปเกราะทองมาถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่อยากไปพบว่าที่สามีบ้างเลยหรือ? อันที่จริงหลังจากที่ท่านออกจากบ้านเกิดไป ไหวเฉียนผู้นั้นก็มีชื่อเสียงมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างเช่นว่าเป็นสหายกับเฉาสือ กับหลิวโยวโจว หรืออย่างเช่นว่าทำให้ พวกคนหนุ่มสาวมากมายในสำนักอักษรจงรู้สึกเจ็บปวดเสียใจ มีข่าวลือดีๆ เกี่ยวกับเขาแพร่ไปมากมาย พี่หญิงอวี้ เป็นเพราะท่านไม่ชอบการหมั้นหมายที่มีมาตั้งแต่เด็กนี่เฉยๆ ก็เลยอยากเอาชนะพวกผู้อาวุโส หรือว่าเคยคบค้าสมาคมกับไหวเฉียนเป็นการส่วนตัวมาก่อน ก็เลยรู้สึกว่าชื่นชอบไม่ลงจริงๆ”
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ย “ทั้งสองอย่าง”
จูเหมยถามอีกว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่ต้องพูดถึงไหวเฉียนผู้นี้แล้ว มาพูดถึงเซียนกระบี่ผู้เฒ่าโจวกันดีไหม? ดูเหมือนว่าการลงมือในแต่ละครั้งของเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนี้ล้วนน่าเหลือเชื่ออย่างมาก คราวก่อนที่ลงมือก็คล้ายว่าเพราะต้องการทวง ความเป็นธรรมให้พี่หญิงอวี้ ตอนนี้ยังมีข่าวลือที่น่าเชื่อถือแพร่ไปมากมาย บอกว่า การลงมือของเทพเซียนผู้เฒ่าโจวครั้งนั้นอำมหิตเกินไป อันที่จริงก็ได้ถูกผู้อำนวยการของสถานศึกษาท่านหนึ่งซักไซ้เอาความผิดแล้ว”
อวี้เจวี้ยนฟูลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยว่า “เรื่องโกหก”
จูเหมยเบิกตากว้าง สายตาเต็มไปด้วยแววคาดหวัง
อวี้เจวี้ยนฟูเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ผู้เฒ่าโจวสั่งสมคุณความชอบไว้มาก ขอแค่ไม่ทำเกินกว่าเหตุ ทางสำนักศึกษาและสถานศึกษาก็ไม่มีทางไปหาเรื่องเขา เรื่องนี้เจ้ารู้ คนเดียวก็พอแล้ว อย่าได้เอาไปแพร่งพรายกับใคร”
จูเหมยพยักหน้ารับ
อวี้เจวี้ยนฟูยังเอ่ยเตือนเพิ่มอีกประโยค “หากเจ้าไม่อาจควบคุมปากของตัวเองในเรื่องนี้ได้ แล้วปล่อยให้คนอย่างพวกเหยียนลวี่ได้ยินเรื่องนี้เข้า ก็จะกลายเป็นจุดอ่อนที่ไม่เล็กเรื่องหนึ่ง เจ้าระวังไว้หน่อย”
จูเหมยได้แต่พยักหน้ารับต่อ
แล้วจู่ๆ จูเหมยก็ปิดปากหัวเราะ
อวี้เจวี้ยนฟูกำลังจ้องมองอักษรบนตราประทับประโยคหนึ่งในตำราตราประทับ จึงไม่ได้สนใจการกระทำนี้ของเด็กสาว
นกกระยางขาวยืนบนหิมะยามทิวา หมึกดำราตรีไร้แสงไฟ
อวี้เจวี้ยนฟูเห็นประโยคนี้ ใจก็กระตุกไปเล็กน้อย ปีนั้นการสอนหมัดของเฉาสือ ตามหลักแล้ว ไม่ว่าเฉาสือจะรับน้ำใจหรือไม่ นางก็ควรจะตอบแทนเพื่อแสดงการขอบคุณ
เพียงแต่นางก็แค่อ่านตำราตราประทับเท่านั้น ไม่มีทางที่จะไปซื้อตราประทับหรือพัดพับพวกนั้น
จูเหมยทนความสงสัยในใจไม่ไหวจริงๆ นางหุบยิ้ม ถามว่า “พี่หญิงอวี้ ชื่อนี้ของท่านเป็นมาอย่างไร? มีข้อพิถีพิถันหรือไม่?”
อวี้เจวี้ยนฟูยังคงเปิดตำราตราประทับอ่านอย่างต่อเนื่อง นางส่ายหน้า “ก็มีอยู่ แต่ไม่ได้น่าสนใจอะไร ข้าเป็นสตรีคนหนึ่ง นับตั้งแต่เด็กมาก็รู้สึกว่าชื่ออวี้เจวี้ยนฟูนี้ ไม่น่าฟัง เพราะไม่อาจเปลี่ยนชื่อในผังวงศ์ตระกูลได้ ตอนที่ข้าท่องอยู่ในยุทธภพ ก็เลยเปลี่ยนเองไปเรื่อยเปื่อย ตอนอยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ใช้ชื่อปลอมว่า อวี้ฉี่อวิ๋น พอไปถึงทวีปเกราะทองก็เปลี่ยนใหม่เป็นชื่อสือไจ้ซี วันหน้าเจ้าสามารถเรียกชื่อนี้ได้โดยตรง เรียกข้าว่าสือไจ้ซีฟังเพราะกว่าพี่หญิงอวี้”
จูเหมยเอ่ยเรียกเบาๆ อย่างซุกซน “ไจ้ซี ไจ้ซี”
อวี้เจวี้ยนฟูรู้สึกจนใจเล็กน้อย นางส่ายหน้าแล้วอ่านตำราตราประทับต่อ
‘ใครกันบนหัวกำแพงที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล’
‘มวยผมโลกมนุษย์เมฆดารดาษ’
‘เหล้าเซียนกลอนพุทธะ กระบี่ร่วมหมื่นปี’
และยังมีตราประทับที่คู่กันอย่างเช่น ‘ก้มกราบฟ้านอกฟ้า’ ‘มรรคกถาสาดส่องโลกธาตุ’
‘กระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ’ ‘กลับคืนมาพร้อมความยิ่งใหญ่เที่ยงธรรม’
‘รินเหล้าให้ท่านเต็มหนึ่งจอก’ ‘ตะวันจันทราลอยล่องในจอกของท่าน’
อวี้เจวี้ยนฟูเปิดตำราตราประทับอ่านอยู่นาน ยิ่งอ่านก็ยิ่งมีโทสะ ทั้งๆ ที่เป็นบัณฑิตที่พอจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่กลับไม่เอาการเอางานเช่นนี้!
เปิดไปอีกหน้าหนึ่ง เห็นตราประทับสามคำว่า ‘ห่านชนกำแพง’
อวี้เจวี้ยนฟูนึกถึงกำแพงสูงใหญ่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่ใช่แค่สูงเสียดฟ้าเท่านั้น นางถึงขั้นอดกลั้นไม่ไหว กว่าจะกลั้นยิ้ม ตีหน้าเคร่งแค่นเสียงในลำคอ อย่างเย็นชาได้ไม่ใช่เรื่องง่าย
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอยู่กับฉีจิ่งหลงที่ร้านเหล้า
ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เรื่องที่ถือว่าย่ำยีวัตถุสวรรค์ให้สิ้นเปลืองมากที่สุด ก็คือไม่ดื่มเหล้าอย่างตรงไปตรงมา ยังร่ายใช้วิชาอภินิหารของผู้ฝึกตน คนแบบนี้ เมื่อเทียบกับคนโสดแล้วยังถูกคนดูแคลนมากกว่าเสียอีก
ฉีจิ่งหลงยังคงกินแค่บะหมี่หยางชุนหนึ่งชามและผักดองหนึ่งจานเท่านั้น
ผู้ฝึกกระบี่ผีขี้เหล้าทั้งหลายที่อยู่รอบด้านแอบส่งสายตาให้กัน ดูจากท่าทางนี้แล้ว ทุกคนต่างก็รู้สึกว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่มาจากอุตรกุรุทวีปท่านนี้จะต้องคอแข็งอย่างที่ ไม่อาจประเมินได้ ต้องดื่มเหล้าได้เก่งมากแน่ๆ
ไม่แน่ว่าอาจเป็นอย่างที่เถ้าแก่รองพูดไว้ว่า ความสามารถในการดื่มของเขาถึงขอบเขตที่เรียกว่า ‘ข้านั่งอยู่บนโต๊ะเหล้าเพียงลำพัง คนอื่นๆ ล้วนนอนกันอยู่ใต้โต๊ะ’
ป๋ายโส่วชอบมาที่นี่ เพราะสามารถดื่มเหล้าได้ แม้ว่าคนแซ่หลิวจะกำชับมาก่อนแล้วว่า ทุกครั้งดื่มได้แค่ชามเดียวเท่านั้น แต่ด้วยความสามารถในการดื่มของเขา ชามเดียวก็พอจะให้เขาเมากรึ่มๆ ได้แล้ว
แล้วนับประสาอะไรกับที่ตัวเฉินผิงอันเองก็บอกแล้วว่า ชามขาวที่ร้านใหญ่ขนาดนั้น คนดื่มจะเมาก็เป็นเรื่องปกติ ไม่ได้เกี่ยวกับว่าคอแข็งไม่แข็งอะไรเลย
ฉีจิ่งหลงทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าวว่า “รู้สึกว่าต่อให้แม่นางหลูไม่เอ่ยอะไร แต่ถ้อยคำในสายตา ที่มองเจ้านั้น ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับกันยังเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นเจ้าก็เลยไม่สบายใจ?”
ฉีจิ่งหลงไม่เอ่ยคำใด ชำเลืองตามองกาเหล้า รู้สึกอยากดื่มขึ้นมาตงิดๆ แล้ว
เฉินผิงอันยิ้มอ่อนไม่พูดอะไรเช่นกัน แสร้งวางท่าลึกล้ำ
สถานการณ์เช่นนี้ของเจ้า ข้าผู้อาวุโสจะรู้ได้อย่างไรว่าควรทำเช่นไร
และใต้หล้าไพศาลในเวลานี้ เรือข้ามฟากลำหนึ่งที่มุ่งตรงจากนครมังกรเฒ่ามายังภูเขาห้อยหัว ตรงหัวเรือมีปัญญาชนน้อยใหญ่สองคนที่สวมชุดเขียวเหมือนกันกำลังยืนชมทัศนียภาพอยู่เงียบๆ ส่วนเด็กหนุ่มหน้าตางดงามที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้ว สวมชุดสีขาวราวหิมะกลับกำลังเล่นสนุกเจี๊ยวจ๊าวอยู่กับแม่นางน้อยคนหนึ่งที่ผิวค่อนข้างดำ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า ทำราวกับว่าข้างกายไร้ผู้คน
เด็กหนุ่มวิ่งเผ่นหลบหลีกไม้เท้าเดินป่านั้น ชายแขนเสื้อใหญ่โบกสะบัดดุจหิมะโปรดปราย ตะโกนโหวกเหวกว่า “จะได้เจออาจารย์ของข้าและอาจารย์พ่อของเจ้าแล้ว ดีใจหรือไม่?!”
แม่นางน้อยไล่กวดตามไปตีเจ้าห่านขาวใหญ่พลางตะเบ็งเสียงตอบกลับว่า “ดีใจ ดีใจจริงๆ !”
………………….
*จากฟีดแบคที่ผู้อ่านเสนอมา ผู้แปลได้อ่านความเห็นของทุกท่านแล้วนะคะ ต้องขอขอบคุณทุกความเห็นมากๆ ค่ะ
สุดท้ายนี้ผู้แปลตัดสินใจให้เผยเฉียนเรียกเฉินผิงอันว่าอาจารย์พ่อแทนพ่อครูนะคะ เพราะจริงๆ แล้วผู้แปลก็รู้สึกติดว่าเป็นคำที่ไม่ค่อยเข้ากับนิยายจีน ให้ความรู้สึกเหมือนนิยายไทยมากกว่า เพียงแต่จากตอนแรกที่หาข้อมูล คำว่าครูในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กประถมที่ใช้เรียกและดูจะมีความสนิทสนมมากกว่าคำว่าอาจารย์ แต่จะให้ใช้คำว่าครูเดี่ยวๆ เลย เวลาเรียกในบทสนทนาอาจดูแปลกๆ เลยเลือกใช้ พ่อครูอย่างที่อธิบายไปเมื่อตอนที่แล้วค่ะ
ความจริงในเรื่องนี้ยังมีคำจีนคำอื่นที่แปลว่าอาจารย์ซึ่งใช้กับตัวละครอื่นอยู่อีกค่ะ เช่นจ้งชิว อาจารย์จ้ง ภาษาจีนจะไม่ใช้คำว่าเซียนเซิงหรือซือฟู่ แต่จะใช้คำว่าฟูจื่อ (夫子)ซึ่งเป็นคำเรียกแทนอาจารย์ในสมัยโบราณและยังแปลว่านักปราชญ์ได้ อีกด้วย แต่ผู้แปลแปลรวมเป็นคำว่าอาจารย์ และบางบริบทอาจแปลเป็นปัญญาชนค่ะ ดังนั้นตัวละครอื่นๆ จึงจะเรียกจ้งชิวว่าอาจารย์จ้ง บางคำที่แปลเป็นไทยเข้าใจได้มากกว่า ผู้แปลจะพยายามเลี่ยงการทับศัพท์ค่ะ เพราะหากมีคำทับศัพท์มากเกินไป แล้วเป็นคำที่ใช้กับตัวละครที่ไม่ได้ออกบ่อย กลัวผู้อ่านจะสับสนค่ะ
**เรื่องนี้นอกจากคำเรียกอาจารย์ที่ใช้ไม่เหมือนกันแล้ว คำเรียกลูกศิษย์ก็ใช้ต่างกันค่ะ เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างจะใช้ภาษาจีนคำว่าตี้จื่อ (弟子)ส่วนชุยตงซานใช้คำว่าเซวี๋ยเซิง(学生)ความหมายโดยรวมเหมือนกันคือแปลว่าลูกศิษย์/นักเรียน ในเนื้อเรื่องที่เป็นคำบอกเล่า หากมีการแยกสองคำนี้ ผู้แปลจะแทนคำว่าตี้จื่อเป็น ลูกศิษย์และเซวี๋ยเซิงเป็นนักเรียน แต่คำเรียกตัวเองจะยังคงให้ชุยตงซานเรียกตัวเองว่าศิษย์เหมือนเดิมค่ะ
***ในเรื่องเฉาฉิงหล่างเรียกเฉินผิงอันว่าเซียนเซิงเหมือนกับชุยตงซานค่ะ ซึ่งเรียกมาก่อนตั้งแต่ที่จะได้เป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอันอีก เพราะคำว่าเซียนเซิงนอกจากความหมายว่าครูอาจารย์แล้ว ยังแปลไปได้อีกห้าความหมายซึ่งใช้ต่างกันไปตามบริบท ยังเป็นคำที่ใช้เรียกปัญญาชน คำที่แสดงการให้เกียรติ เทียบกับภาษาปัจจุบัน ก็คือคำว่าคุณ/ท่าน… นอกจากนี้ยังแปลว่าหมอดูได้อีกด้วยค่ะ