บทที่ 606 ใจคนบนโลกนั่งแต่ลำพัง
แม้ว่าจวนหนิงจะไม่อยู่บนถนนไท่เซี่ยง ถนนเสวียนฮู้ ทว่าเรือนหลังนี้กลับไม่เล็กเลยจริงๆ
เฉินผิงอันช่วยคนทั้งสามเลือกเรือนพักสามหลัง เฉาฉิงหล่างคือผู้ฝึกลมปราณ ดังนั้นตำแหน่งเรือนพักของเขาจึงมีความพิถีพิถันมากที่สุด ปราณวิญญาณไม่อาจเบาบางเกินไป แต่ปราณกระบี่กลับไม่อาจหนักมากนัก ไม่อย่างนั้นเฉาฉิงหล่างที่เป็น ผู้ฝึกยุทธคอขวดขอบเขตถ้ำสถิตและกำลังจะเลื่อนขั้นสู่ขอบเขตชมมหาสมุทร ก็คือ ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่ไม่ยินดีจะอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ยังดีที่เฉินผิงอันเข้าใจจวนหนิงอย่างชัดเจน พวกเฉาฉิงหล่างสามคนควรจะพักอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังต้องพิจารณาในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ และข้อพิถีพิถันใหญ่ๆ ข้อใด เรื่องพวกนี้ หนิงเหยาล้วนให้เฉินผิงอันเป็นคนตัดสินใจเอง ไม่จำเป็นต้องบอกหนิงเหยาที่เป็นเจ้าของจวน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องถามเฉินผิงอันที่ตอนนี้ยังถือว่าเป็นคนนอกชั่วคราวว่าตัดสินใจอย่างไร
เผยเฉียนเหมือนนกขมิ้นตัวน้อย นางตัดสินใจแล้วว่าจะบินวนเวียนอยู่รอบกายอาจารย์แม่
แรกเริ่มเฉินผิงอันยังเป็นกังวลว่าเผยเฉียนจะถ่วงเวลาการปิดด่านของหนิงเหยา ผลคือหนิงเหยาเอ่ยมาประโยคหนึ่งว่า บนเส้นทางการฝึกตน มีเวลาใดบ้างที่ไม่ใช่ การปิดด่าน เฉินผิงอันก็หมดคำพูดแล้ว หนิงเหยาพาเผยเฉียนไปดูคลังลับที่จวนหนิงเอาไว้ใช้เก็บสมบัติอาคมตระกูลเซียนและอาวุธบนภูเขา บอกว่าจะมอบของขวัญ พบหน้าให้เผยเฉียนหนึ่งชิ้น ให้เผยเฉียนเลือกเองได้เลย จากนั้นหนิงเหยาค่อยเลือกให้นางอีกหนึ่งชิ้น ถือเป็นการตอบแทนของขวัญที่ได้รับตรงหน้าประตูใหญ่ก่อนหน้านี้
จ้งชิวถามถึงกฎและข้อห้ามของจวนหนิง จากนั้นเขาก็ไปที่ศาลาบนหน้าผาสังหารมังกรเพียงลำพัง
เฉาฉิงหล่างวางห่อสัมภาระไว้ในเรือนของตัวเองเรียบร้อยก็ไปที่เรือนหลังเล็กกับเฉินผิงอัน ระหว่างที่เดินอยู่บนทาง เฉินผิงอันเอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ ยิ้มกล่าวว่า “เดิมทีอยากให้เจ้าและเผยเฉียนไปพักอยู่ในเรือนของข้า ยังจำ ช่วงแรกเริ่มสุดที่พวกเราสามคนเพิ่งรู้จักกันได้ไหม? แต่ตอนนี้เจ้าอยู่ในช่วงสำคัญของการฝึกตน ดังนั้นจึงยึดการฝึกตนเป็นหลัก”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อาจารย์ อันที่จริงนับตั้งแต่ตอนนั้นข้า ก็กลัวเผยเฉียนอย่างมากแล้ว เพียงแต่กลัวว่าจะถูกอาจารย์ดูแคลน จึงพยายามแสร้งทำเป็นว่าไม่กลัวเผยเฉียน แต่ขณะเดียวกันส่วนลึกในใจก็นับถือเผยเฉียนมาก มักจะรู้สึกว่าหากเปลี่ยนข้าไปเป็นนาง ต้องตกอยู่ในสภาพการณ์แบบเดียวกัน คงไม่มีทางเอาชีวิตรอดอยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนได้ แต่ตอนนั้นบนร่างของเผยเฉียนมีเรื่องมากมายที่ข้าไม่เข้าใจ และตอนนั้นข้าก็ไม่ค่อยชอบจริงๆ แต่ข้าหรือจะกล้า ติติงนาง อาจารย์อาจจะไม่รู้ ปีนั้นที่อาจารย์ออกจากบ้านเดินทางไกล เผยเฉียนเล่าให้ข้าฟังถึงเรื่องราวและทัศนียภาพมากมายตอนที่นางออกผจญยุทธภพ ความนัยในถ้อยคำของนาง ข้าย่อมฟังออกอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มถาม “ตอนที่ข้าไม่ได้อยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเจ้า เผยเฉียนเคยแอบตีเจ้าหรือไม่?”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับอย่างแรง แต่กลับไม่กล้าเล่าอย่างละเอียด
เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้ซักถาม
เฉินผิงอันจินตนาการถึงภาพการอยู่ร่วมกันระหว่างเขากับเผยเฉียนตอนที่ตน ไม่อยู่ในบ้านบรรพบุรุษของเฉาฉิงหล่างได้อย่างชัดเจน
แน่นอนว่ายามที่คนทั้งสามอยู่ด้วยกัน เฉินผิงอันก็จะทำเรื่องบางอย่างที่เฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนในตอนนั้นต่างก็ไม่ตั้งใจคิดลึกซึ้ง บางทีอาจเป็นคำพูด บางครั้งก็เป็นเรื่องเล็กน้อย
แต่หลายๆ เรื่องก็ได้แต่ให้เฉาฉิงหล่างไปเผชิญหน้าด้วยตัวเอง ใหญ่ถึงความเป็นความตายของผู้อาวุโส เล็กเท่าคำพูดจุกจิกยิบย่อยที่ทิ่มแทงใจคน ซุกซ่อนอยู่ระหว่างการแทะเมล็ดแตง ซุกซ่อนอยู่ท่ามกลางการคุยเล่นบนม้านั่งตัวเล็ก ซ่อนอยู่ใน จานอาหารบนโต๊ะตัวใหญ่ในบ้านเพื่อนบ้าน
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กอย่างเฉาฉิงหล่างก็อาศัยแค่คำว่าอดทนเท่านั้น อดทนรอให้เมฆทะมึนเคลื่อนหายแสงจันทร์ส่องสว่าง กลางคืนไปกลางวันมา
เฉาฉิงหล่างในเวลานั้นเอาชนะเผยเฉียนไม่ได้จริงๆ แม้แต่จะตีนางคืนก็ยังไม่กล้า ประเด็นสำคัญคือบนร่างของเผยเฉียนในเวลานั้นนอกจากความไม่แยแสแล้ว ยังแฝงพลังอำนาจราวกับหัวหน้าโจรผู้เหี้ยมหาญเอาไว้ หนึ่งเท้ากระทืบรังมด หนึ่งฝ่ามือ ตบให้แมลงบินกระเด็น เฉาฉิงหล่างไม่กลัวก็คงไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีอยู่ครั้งหนึ่งเผยเฉียนถือม้านั่งตัวเล็กจ้องเขาเขม็ง แต่กลับไม่เอ่ยถ้อยคำอาฆาตแม้แต่ครึ่งคำซึ่งถือว่าผิดจากปกติ ตอนนั้นเฉาฉิงหล่างที่ยังเป็นเด็กร่างผอมบางกลัวมากจริงๆ เป็นเหตุให้หลายๆ ครั้งที่เฉินผิงอันไม่อยู่บ้าน เฉาฉิงหล่างจึงได้แต่ถูกเผยเฉียนไล่ให้ไปเป็น เทพทวารบาลอยู่หน้าประตู
เด็กชายนั่งอัดอั้นอยู่บนขั้นบันไดอย่างเดียวดาย ไม่กล้าเข้าไปอยู่ในบ้านของตนเอง เด็กคนนั้นได้แต่มองตาปริบๆ ไปตรงหัวเลี้ยวของตรอก รอคอยให้คุณชายเฉินที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่ รัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่สีชาดไว้ตรงเอวกลับมาบ้าน มีเพียงเขามาถึงในตรอกแล้ว มองเห็นเรือนกายนั้นแล้ว เฉาฉิงหล่างถึงจะสามารถกลับบ้านของตัวเองได้เสียที แล้วยังไม่อาจพูดอะไรได้ ยิ่งไม่อาจฟ้องเขา
เพราะเผยเฉียนฉลาดมากจริงๆ ความฉลาดนั้นเป็นสิ่งที่เฉาฉิงหล่างในเวลานั้นซึ่งเป็นคนวัยเดียวกันไม่อาจจินตนาการได้ถึง แรกเริ่มนางก็เตือนเฉาฉิงหล่างไว้ก่อน แล้วว่า หากคนที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่ แต่มีไอ้จ้อนอย่างเจ้ากล้าฟ้อง เจ้าฟ้องหนึ่งครั้ง ข้าก็จะตีเจ้าหนึ่งครั้ง หากข้าถูกเจ้าตะพาบที่มีเงินแต่ไม่ยอมเอาเงินให้ใครใช้ผู้นั้น ไล่ออกไป กลางดึกก็จะยังปีนกำแพงเข้ามาที่นี่ มาทุบถ้วยไหจานชามของบ้านเจ้า ให้แตก เจ้าขวางได้หรือ?
เจ้านั่นแสร้งทำตัวเป็นคนดี คอยช่วยเจ้าห้ามข้าได้วันสองวัน แต่จะห้ามได้เป็น ปีสองปีเลยหรือ? เขาเป็นใคร แล้วเจ้าเป็นใคร เขาจะอยู่ที่นี่ไปตลอดจริงๆ งั้นหรือ? อีกอย่างเขานิสัยเป็นอย่างไร ข้าก็รู้ดีว่าคนโง่อย่างเจ้ามากนัก ไม่ว่าข้าทำอะไร เขาก็ ไม่มีทางตีข้าจนตาย ดังนั้นเจ้าก็หัดรู้อะไรควรไม่ควรเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นหากผูก ปมแค้นกับข้า ข้าก็สามารถตอแยเจ้าได้นานหลายปี วันหน้าทุกครั้งที่ถึงวันปีใหม่ ถึงอย่างไรครอบครัวของเจ้าก็ต้องสิ้นตระกูลแล้ว ภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่ก็ ซื้อใหม่ไม่ได้แล้ว ข้าก็จะแอบเอาถังน้ำของบ้านเจ้าไปใส่ขี้เยี่ยวของคนอื่นแล้วเอามาสาดให้เต็มประตูบ้านของเจ้า ทุกวันเวลาเดินผ่านบ้านของเจ้าก็จะขว้างก้อนหินใส่ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะจ่ายเงินคอยซ่อมแซมกระดาษหน้าต่างได้เร็วกว่า หรือข้าจะเก็บก้อนหินมาปาได้เร็วกว่ากันแน่
ปีนั้นเรื่องที่เผยเฉียนทำให้เฉาฉิงหล่างทุกข์ทรมานที่สุดยังไม่ใช่การข่มขู่ที่ตรงไปตรงมา ไม่ใช่ถ้อยคำที่เผยเฉียนคิดว่าไม่น่าฟังและน่ากลัวมากที่สุดเหล่านี้ แต่เป็นถ้อยคำอื่นๆ ที่เผยเฉียนพูดด้วยรอยยิ้มอย่างผ่อนคลาย
‘บ้านเจ้ายากจนจนถังข้าวแทบจะสะอาดยิ่งกว่าเตียงแล้ว ประโยชน์เพียง อย่างเดียวของดาวอัปมงคลอย่างเจ้าก็คือไสหัวไปเป็นเทพทวารบาลอยู่นอกบ้านอย่างไรล่ะ รู้หรือไม่ว่าภาพเทพทวารบาลสองภาพต้องจ่ายเงินกี่เหรียญทองแดง ขายตัวเจ้ายังเอามาซื้อไม่ได้เลยด้วยซ้ำ เจ้ามองดูคนอื่นเขาสิ ชีวิตของพวกเขายิ่งนานวันก็จะยิ่งมีคนเพิ่มขึ้น มีเงินมากขึ้น แต่บ้านเจ้ากลับดีนัก คนตายไปหมดแล้ว เงินก็เหลือแค่ไม่กี่เหรียญ? ถ้าถามข้านะ ปีนั้นพ่อเจ้าไม่ได้ไปเป็นคนหาบเร่ขายของตามบ้านหรอกหรือ? ตรงตรอกจ้วงหยวนที่ห่างจากนี่ไปไม่ไกลมีหอนางโลมอยู่เยอะไม่ใช่หรือไร เงินของพ่อเจ้าก็คงใช้ไปกับการลูบคลำมือน้อยๆ ของพวกนางนั่นแหละ’
‘เมล็ดแตงล่ะ หมดแล้ว?! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหุบไหเก็บเมล็ดแตงของเจ้าให้แตก? ฉีกหนังสือเก่าๆ ของเจ้าให้ขาด? รอให้คนแซ่เฉินกลับมาที่โทรมๆ แห่งนี้ เจ้าก็คุกเข่าร้องไห้ดังๆ เถอะ เขามีเงินมาก แค่ซื้อเมล็ดแตงให้เจ้าเยอะหน่อยจะเป็นไรไป อยู่ในโรงเตี๊ยมก็ยังต้องจ่ายเงิน เจ้าน่ะโง่ ส่วนเขาก็เลว
พวกเจ้าล้วนไม่ใช่คนดีอะไร มิน่าล่ะถึงมาสุมหัวอยู่ด้วยกันได้ ถือเป็นความซวยแปดชาติของข้า ถึงได้มาพบพวกเจ้าสองคน’
‘เฉาฉิงหล่าง เจ้าคงไม่ได้คิดว่าไอ้หมอนั่นชอบเจ้าจริงๆ หรอกกระมัง คนเขาก็แค่สงสารเจ้าเท่านั้น เขากับข้าเป็นคนประเภทเดียวกัน รู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นคน แบบไหน? ก็เหมือนกับยามที่ข้าเดินเล่นไปบนถนนใหญ่แล้วมองเห็นว่าบนพื้นมีลูกนกที่ตกลงมาจากรังบนต้นไม้นั่นแหละ ข้าน่ะสงสารมันจริงๆ ก็เลยไปหาก้อนหินมา ทุบมันให้ตายในทีเดียว ให้มันเจ็บปวดน้อยหน่อย มีเหตุผลหรือไม่? ดังนั้นข้าใช่คนดีไหม? เจ้าคิดว่าข้าหน้าด้านก็เลยไม่ยอมไปจากบ้านเจ้าอย่างนั้นหรือ? ข้ากำลังปกป้องเจ้าต่างหาก ไม่แน่ว่าวันใดเจ้าอาจถูกเขาตีตายก็ได้ มีข้าอยู่ด้วยเขาเลยไม่กล้า เจ้ายังไม่ขอบคุณข้าอีกหรือ?’
‘เจ้าจะทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทุกวันไปทำไม เจ้าก็เพิ่งมีพ่อแม่คู่ใหม่ไม่ใช่หรือ? ทำไม หรือตายไปอีกคู่หนึ่งแล้ว? เฮ้อ ช่างเถิด ถึงอย่างไรเจ้าก็ผิดต่อพ่อแม่ที่ตายไปของเจ้ามากที่สุด ผิดต่อชื่อที่พวกเขาตั้งให้ หากเปลี่ยนข้ามาเป็นพ่อแม่เจ้า ไอ้ที่บอกว่าวิญญาณกลับมาหลังผ่านไปเจ็ดวัน เทศกาลผีวันชิงหมิงอะไรนั่น ขอแค่ได้เจอหน้าเจ้าก็คงต้องโมโหจนตายไปอีกรอบ เฉาฉิงหล่าง ข้าว่าเจ้ารีบตายๆ ไปซะเถอะ หากเจ้าตายไปเร็วหน่อยแล้ววิ่งให้เร็วหน่อย ไม่แน่ว่าอาจจะยังตามพ่อแม่เจ้าไปทันนะ แต่จำไว้ว่าไปตายให้ไกลๆ หน่อย อย่าให้ไอ้หมอนั่นเจอได้ เขามีเงิน แต่กลับขี้เหนียวเป็นที่สุด แม้แต่เสื่อผุๆ สักผืนยังไม่ยอมช่วยซื้อให้เจ้า ถึงอย่างไรวันหน้าบ้านหลังนี้ก็ต้องเป็นของข้าแล้ว’
เฉาฉิงหล่างเคยหาเรื่องต่อยตีกับเผยเฉียนสองครั้ง ครั้งหนึ่งเพื่อพ่อแม่ อีกครั้งหนึ่งเพื่อคุณชายเฉินที่ครั้งหนึ่งหายหน้าไปนานไม่ยอมกลับมาบ้าน แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างจะเป็นคู่ต่อสู้ของเผยเฉียนได้อย่างไร เผยเฉียนเห็นคนอื่นต่อยตีกันมาจนชินแล้ว แล้วก็โดนคนอื่นทุบตีจนชินชาแล้วเช่นกัน รับมือกับเฉาฉิงหล่างที่แม้แต่จะลงมือแรงๆ สักครั้งก็ยังไม่กล้า เผยเฉียนยังรู้สึกเบื่อหน่ายด้วยซ้ำ
เพียงแต่ว่านางก็แค่เบื่อหน่ายอยู่ในใจเท่านั้น เพราะแรงมือที่ลงมือกับเขากลับไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้นจุดจบของเฉาฉิงหล่างทั้งสองครั้งจึงไม่ค่อยดีนัก
เฉินผิงอันพาเฉาฉิงหล่างที่ไม่ได้เป็นเด็กน้อยร่างผอมบางของตรอกเก่าโทรมมานานแล้วเดินเข้าไปในห้องทางฝั่งซ้ายมือที่วางโต๊ะสองตัวไว้ด้านใน เฉินผิงอันให้ เฉาฉิงหล่างนั่งอยู่ข้างโต๊ะตัวที่วางตราประทับ หน้าพัดและโครงพัด ส่วนตัวเอง เริ่มเก็บภาพแผ่นที่และสมุดทั้งหลาย เรื่องของการ ‘ลงบัญชี’ นี้ นักเรียนอย่าง เฉาฉิงหล่าง ลูกศิษย์อย่างเผยเฉียน แน่นอนว่าต้องเป็นฝ่ายหลังที่เรียนรู้จากเขาไปได้มากกว่า
เฉินผิงอันไม่เคยบอกกับใครว่า
ในใจของเขา เฉาฉิงหล่างเพียงแค่มีประสบการณ์ชีวิตคล้ายกับตน ส่วนนิสัยใจคอนั้น อันที่จริงมองดูเหมือนคล้าย แล้วก็มีหลายส่วนที่เหมือนกันอยู่มากจริงๆ เพียงแต่ ความจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นั่นเป็นความรู้สึกอย่างหนึ่งที่ประหลาดมาก
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ถ่วงรั้งความรู้สึกของเฉินผิงอันที่หวังเป็นที่สุดว่าจะสามารถพาเฉาฉิงหล่างออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวในปีนั้นด้วยกันได้ ต่อให้จะทำไม่ได้ แต่ในใจก็คอยคิดถึงเด็กในตรอกเก่าโทรมคนนั้นตลอดเวลา หวังจากใจจริงว่าในอนาคตเฉาฉิงหล่างจะกลายเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิต สามารถสวมชุดของลัทธิขงจื๊อ กลายเป็นบัณฑิตที่แท้จริง เป็นบัณฑิตที่เหมือนกับอาจารย์ฉี และยิ่งรู้สึกเสียใจที่ตัวเองจากมาอย่างฉุกละหุกเกินไป แล้วก็กังวลด้วยว่าตัวเองจะสั่งสอนผิดๆ เฉาฉิงหล่างอายุน้อยเกินไป หลายเรื่องที่สำหรับเฉินผิงอันแล้วเป็นสิ่งถูก แต่พอไปอยู่กับเด็กคนนั้นกลับกลายเป็นว่าไม่ถูก ดังนั้นเมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน ก่อนที่เฉินผิงอันจะได้ครอบครองส่วนหนึ่งในนั้น เฉินผิงอันจึงคิดถึงเฉาฉิงหล่าง มาโดยตลอด เป็นเหตุให้ตอนที่อยู่ในโรงเตี๊ยมริมชายแดนของราชวงศ์ต้าเฉวียน ใบถงทวีป พอเผยเฉียนถามคำถามนั้นกับเขา
เฉินผิงอันจึงตอบไปอย่างไม่ลังเล ยอมรับว่าตัวเองไม่ได้อยากพาเผยเฉียนมาอยู่ข้างกาย หากเป็นไปได้ตนจะพาแค่เฉาฉิงหล่างออกมาจากบ้านเกิด มาที่บ้านเกิดของเฉินผิงอันคนเดียวเท่านั้น
คำโบราณบอกไว้ว่าแม้แต่พระโพธิสัตว์ก็ยังมีไฟโทสะได้
ทว่าถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องที่พบเห็นได้ไม่บ่อยกับตัวเฉินผิงอัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จะโมโหเด็กคนหนึ่งอย่างเผยเฉียนที่ตอนนั้นยังเป็นเด็กเล็กตัวแค่นั้นอย่าง เอาจริงเอาจังด้วยแล้ว ในชีวิตนี้ของเฉินผิงอันก็ยิ่งมีแค่ครั้งนั้นครั้งเดียว
จ้าวซู่เซี่ยเรียนวิชาหมัดได้เหมือนตนที่สุด แต่บนร่างของจ้าวซู่เซี่ย เฉินผิงอันกลับมองเห็นเงาร่างของเพื่อนสนิทอย่างหลิวเสี้ยนหยางได้มากกว่า
ครั้งแรกที่พบเจอกัน จ้าวซู่เซี่ยปกป้องหลวนหลวนอย่างไร ตอนอยู่ในเมืองเล็ก ตลอดหลายปีที่ผ่านมาซึ่งหลังจากได้กลายเป็นคนรู้จักของหลิวเสี้ยนหยาง กลายเป็นสหาย จนกระทั่งได้เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน หลิวเสี้ยนหยางก็ปกป้องเฉินผิงอัน อย่างนั้น
สิ่งที่เหมือนเฉินผิงอันอย่างแท้จริง อันที่จริงกลับเป็นสายตาขาดกลัวที่แอบมองประเมินโลกใบนี้ของเผยเฉียน คือการคาดเดาใจคนเดิมพันใจคนของสุ่ยจิ่งเฉิง และตอนนี้ก็มีเด็กหนุ่มอีกคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่เหมือนเขาเช่นกัน ไม่ใช่จางเจียเจินที่ช่วยงานอยู่ในร้านเหล้า แต่เป็นเด็กหนุ่มยากจนจากตรอกซัวลี่ คนหนึ่งที่ชื่อว่าเจี่ยงชวี่ ทุกครั้งที่เฉินผิงอันไปเป็นนักเล่านิทานอยู่ในตรอก เด็กหนุ่มเป็นคนที่พูดน้อยที่สุด ทุกครั้งจะนั่งอยู่ห่างไปไกลที่สุด แต่กลับเป็นเขาที่คิดเยอะที่สุด ตั้งใจเรียนวิชาหมัดมากที่สุด ดังนั้นจึงเรียนวิชาหมัดไปได้มากที่สุด ดังนั้นหลายครั้งที่พบเจอหน้ากันและได้พูดคุยถึงจุดที่ตรงใจพอดี เด็กหนุ่มจึงมีท่าทางร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด แต่สายตากลับมีความเด็ดเดี่ยว เฉินผิงอันจึงสอนท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูซึ่งเป็น หนึ่งในกระบวนท่าของวิชาหมัดเขย่าขุนเขาให้กับเด็กหนุ่มเจี่ยงชวี่โดยเฉพาะ
ทุกครั้งที่เจี่ยงชวี่นั่งอยู่ตรงนั้น มองดูเหมือนตั้งใจฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำจาก นักเล่านิทาน แต่สายตา สีหน้า รวมไปถึงถ้อยคำกระซิบกระซาบเบาๆ กับคนสนิทของเด็กหนุ่ม ล้วนเต็มไปด้วยหัวใจที่แสวงหาชื่อเสียงลาภยศซึ่งมองเห็นได้อย่างพร่าเลือน
เฉินผิงอันไม่รู้สึกมีอคติเลยแม้แต่น้อย ก็แค่รู้สึกเสียใจนิดๆ เท่านั้น
ไม่มีใครรู้ว่าเหตุใดปีนั้นตอนที่เว่ยป้ออยู่หน้าเรือนไม้ไผ่ของภูเขาลั่วพั่วถึงได้พูดเรื่องสองสามเรื่องของอาเหลียง
แล้วเหตุใดเด็กหนุ่มเฉินผิงอันถึงได้น้ำตาอาบหน้า แล้วเหตุใดนอกจากความเลื่อมใสแล้ว ส่วนลึกในใจยังซุกซ่อนความละอาย ความเสียใจและความจนใจที่ยากจะใช้ถ้อยคำมาบรรยายเอาไว้ด้วย นั่นคืออารมณ์อย่างหนึ่งที่เว่ยป้อในเวลานั้นไม่เคยรับรู้
แทบจะทุกคนล้วนคิดว่าการเดินทางไกลครั้งแรกของเฉินผิงอันคือการคุ้มกันพวกหลี่เป่าผิงเดินทางไปขอศึกษาต่อที่สำนักศึกษาต้าสุย คือเฉินผิงอันที่พยายามปกป้องมรรคาเพื่อพวกเขาอย่างสุดชีวิต และเมื่อมองจากผลลัพธ์ก็ดูเหมือนว่า เฉินผิงอันจะทำให้ดีไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ไม่ว่าใครก็ตามที่เป็นคนนอกล้วนไม่อาจชี้นิ้วตำหนิเขาได้
แต่ปีนั้นหลังจากที่เด็กหนุ่มรองเท้าเตะได้พบกับอาเหลียงเป็นครั้งแรก อันที่จริงนั่นต่างหากถึงจะเป็นการทดสอบใหญ่อีกครั้งหนึ่งในชีวิตของเฉินผิงอัน การชักคะเย่อในใจที่เงียบเชียบ
เฉินผิงอันหวังให้ตัวเองในสายตาของชายฉกรรจ์สวมงอบที่เรียกตัวเองว่า มือกระบี่ ก็คือคนที่อาจารย์ฉีฝากความหวังไว้ให้ เฉินผิงอันหวังให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น เพื่อที่ตัวเองจะได้พิสูจน์ว่าเป็นตนไม่ผิดแล้ว จึงเป็นเหตุให้การเดินทางที่มีจุดเริ่มต้นจากริมลำคลอง และจากลากันที่จุดพักม้าเมืองหงจู๋ เฉินผิงอันคอยพยายามที่จะคาดเดาความคิดของอาเหลียงอยู่ตลอดเวลา เอาตัวเข้าไปอยู่ในสถานการณ์แล้วคิดว่ายอดฝีมือนอกโลกคนหนึ่งที่ปรากฏกายกะทันจะชอบอะไร
หรือไม่ชอบอะไร คอยคาดเดาว่าสหายของอาจารย์ฉีที่พกดาบ แต่กลับบอกว่าตัวเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นจะชอบเด็กรุ่นหลังที่เป็นแบบใด เด็กหนุ่มคนหนึ่ง ต่อให้เขาไม่ชอบ รู้สึกดูแคลน แต่เฉินผิงอันก็จะไม่มีทางทำให้อีกฝ่ายเกิดอคติในใจโดยเด็ดขาด ดังนั้นทุกคำพูดทุกการกระทำของเฉินผิงอันในเวลานั้นล้วนเกิดจากความจงใจ ผ่านการครุ่นคิดมาอย่างลึกซึ้ง เด็กหนุ่มอายุน้อยที่เดินทางท่องอยู่ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใสจะยังมีอารมณ์คอยชื่นชมขุนเขาชมสายน้ำอยู่อีกงั้นหรือ?
ต่อให้ความตั้งใจเดิมของเฉินผิงอันคือหวังให้ตัวเองสามารถคุ้มครองพวกเป่าผิง ไปส่งถึงสำนักศึกษาอย่างปลอดภัยได้สำเร็จ และบุรุษประหลาดที่จูงลา พกดาบไม้ไผ่จะไม่ทำร้ายพวกเขาแม้แต่ปลายเล็บ แต่พอเวลาผ่านไป ย้อนกลับมามองดูชีวิต ช่วงนั้นของตน คิดถึงหนึ่งครั้ง เฉินผิงอันก็จะเสียใจหนึ่งครั้ง แล้วก็มักจะอยาก ดื่มเหล้าอยู่บ่อยๆ
ชีวิตคนเมื่อเดินผ่านมาแล้วก็คือผ่านมาแล้วจริงๆ ไม่ใช่บ้านเกิดไม่ใช่มาตุภูมิ ไม่อาจหวนย้อนกลับ
บางครั้งที่หันกลับไปมอง จะยังไม่อยากดื่มเหล้าได้อย่างไร
เจี่ยงชวี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ในตอนนี้ที่ระมัดระวังตัว กับเฉินผิงอันที่ท่องผ่านขุนเขาสายน้ำด้วยความกังวลคิดหนัก จะไม่เหมือนกันได้อย่างไร
เฉาฉิงหล่างเคลื่อนไหวอย่างอ่อนโยน มองตราประทับและหน้าพัดบางส่วนที่แกะสลักและเขียนตัวอักษรไว้เรียบร้อยแล้ว เขาพลันสังเกตเห็นว่าอาจารย์ของตนเอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่เงียบๆ ตรงโต๊ะด้านข้าง
เฉาฉิงหล่างไม่กล้ารบกวนการใช้ความคิดของอาจารย์ จึงหยิบเอามีดแกะสลักเล่มเล็กที่ดูเก่าแก่ แต่กลับยังคมกริบดังเดิมออกมาวางลงบนโต๊ะเบาๆ
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดอาจารย์ถึงมอบสิ่งนี้ให้กับตน แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างไม่ได้คิดว่าเพราะมีดแกะสลักทำมาจากวัสดุที่ธรรมดาเกินไป เขาจึงจะไม่เห็นค่าของมัน ตรงกันข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ของขวัญที่อาจารย์มอบให้กะทันหันชิ้นนี้ ยิ่ง ‘ไม่มีค่า’ เท่าไหร่ ก็ยิ่งคู่ควรให้ตนเก็บรักษาเป็นอย่างดีมากเท่านั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ยิ้มกล่าวว่า “คิดเรื่องบางอย่างในอดีตนิดหน่อย”
เฉาฉิงหล่างก็ลุกขึ้นตามเรียบร้อยแล้ว
เฉินผิงอันยื่นมือออกมากดลงบนความว่างเปล่า “วันหน้าไม่ต้องมีพิธีการยิบย่อยเช่นนี้อีก เป็นตัวของตัวเองมากๆ หน่อย”
เฉาฉิงหล่างยิ้มพลางพยักหน้ารับ แต่กลับรอให้อาจารย์นั่งลงบนเก้าอี้ก่อน เขาค่อยนั่งตาม
เฉินผิงอันสอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ โน้มร่างมาด้านหน้า มองมีดแกะสลัก เล่มเล็กที่อยู่บนโต๊ะแล้วยิ้มเอ่ยว่า “มีดแกะสลักเล่มนี้ เถ้าแก่ร้านแถมให้ข้าตอนที่ ข้าซื้อตราประทับหินหยกในร้านแห่งหนึ่งของเมืองหลวงต้าสุ้ยเมื่อครั้งที่ออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก ยังจำพวกแผ่นไม้ไผ่แกะสลักที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนหน้านี้ ได้กระมัง แต่ละตัวอักษรล้วนใช้มีดแกะสลักเล่มนี้แกะออกมา เดิมทีมันก็เป็นของที่ ไม่มีราคาค่างวด แต่กลับเป็นของที่มีความหมายมากในชีวิตข้า”
เฉาฉิงหล่างลุกขึ้นยืน ถอยหลังไปสองสามก้าว ประสานมือโค้งคารวะ
เฉินผิงอันกล่าวอย่างจนใจ “มีความหมายก็แค่มีความหมายเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเอาจริงเอาจังขนาดนี้ สิ่งของที่มีความหมายต่อข้ามีมากนักล่ะ ส่วนใหญ่ล้วนไม่มีราคา หากเจ้าใส่ใจแบบนี้ทุกครั้ง ถ้าอย่างนั้นข้าก็ยังมีรองเท้าสานอยู่อีกกองใหญ่ เจ้าต้องการด้วยหรือไม่? ข้ายกให้เจ้าคู่หนึ่ง เจ้าก็โค้งคารวะครั้งหนึ่ง ใครขาดทุน ใครได้กำไร? ดูเหมือนว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ขาดทุนกันทั้งคู่ เรื่องที่ทั้งอาจารย์ทั้งลูกศิษย์ต่างก็ไม่ได้กำไรเช่นนี้ อย่าทำเลยจะดีกว่า”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้ายิ้มกล่าว “อาจารย์ รองเท้าสานนั้นช่างเถิด ข้าสามารถถักเองได้ ไม่แน่ว่าฝีมืออาจดีกว่าอาจารย์ด้วย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากพูดถึงเรื่องความรู้ เรื่องของการฝึกตน อาจารย์ครึ่งๆ กลางๆ อย่างข้า บางทีอาจสู้เจ้าไม่ได้จริงๆ มีเพียงเรื่องถักรองเท้าสานนี่แหละ อาจารย์ท่องไปทั่วหล้า ยากนักที่จะพบศัตรูในเรื่องนี้ได้”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันเอ่ยหยอกล้อว่า “หากอิงตามคำพูดของหลี่ถวนจิ่งอดีตเจ้าสวนลมฟ้าคนก่อน ถ้าการถักรองเท้าสานก็เป็นเส้นทางสายใหญ่แห่งการฝึกตนวิชาหนึ่ง ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็คือห้าขอบเขตล่างที่เพิ่งได้เผชิญโลกกว้าง ไม่รู้ว่าทัศนียภาพ ห้าขอบเขตบนของการถักรองเท้าเป็นเช่นไร”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “อาจารย์บอกว่าใช่ก็ใช่นั่นแหละ”
เฉินผิงอันพูดต่อไม่ออก มาลองนึกๆ ดู ตอนนี้ภูเขาลั่วพั่วบ้านของตน ขาดขนบธรรมเนียมแบบใดบ้าง หญ้ายอดกำแพงไม่ขาด ตัวขี้ประจบขอบเขตบินทะยานก็ไม่ขาด ล้วนถูกลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของตนและพวกจูเหลี่ยนพาเลี้ยว เข้ารกเข้าพงไปหมดแล้ว เป็นเหตุให้แม้แต่กวอจู๋จิ่วลูกศิษย์ครึ่งตัวผู้นั้นก็ยังเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่แม้ไม่มีใครสั่งสอนก็ยังเข้าใจได้เองเหมือนกับเผยเฉียนไปด้วย ดังนั้นจึงยังขาดความเย่อหยิ่งในศักดิ์ศรีอย่างเฉาฉิงหล่างนี่แหละ
เฉินผิงอันจึงยิ้มอย่างปลาบปลื้ม ในที่สุดตนก็มีลูกศิษย์ดีๆ ที่เป็นคนปกติกับเขาบ้างแล้ว
กลับกลายเป็นเฉาฉิงหล่างที่รู้สึกอึดอัดเสียเอง เขาเอื้อมมือไปหยิบพัดไม้ไผ่ที่บนหน้าพัดเขียนตัวอักษรและบนโครงของพัดก็แกะสลักตัวอักษรเอาไว้ พัดพับมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อที่ค่อนข้างสุภาพไพเราะ หนึ่งในนั้นก็คือคำเรียกว่า ‘ลมเย็น’
ตัวอักษรบนหน้าพัดย่อมสะดุดตามากที่สุด แค่มองก็รู้ทันที แต่ส่วนที่เฉาฉิงหล่างชอบจริงๆ กลับเป็นตัวอักษรเล็กๆ ขนาดเท่าหัวแมลงวันที่เรียงกันเป็นแถวอยู่บนซี่พัดขนาดใหญ่ เหมือนเด็กคนหนึ่งที่แอบซ่อนตัวไม่กล้าพบเจอใคร ตัวอักษรนั้นเขียนได้เล็กมากๆ บางทีหากคนที่ซื้อพัดเป็นคนที่ไม่ละเอียดอ่อน ไม่สังเกตให้ดีก็คงคิดว่าเป็นพัดไม้ไผ่เล่มหนึ่งที่มีแค่ตัวอักษรบนหน้าพัด ไม่มีตัวอักษรที่ถูกแกะสลักเอาไว้ หลายเดือนหลายปี ชีวิตนี้ชาตินี้ คงไม่มีทางรู้ได้เลย
เฉาฉิงหล่างหุบพัดพับ ถือไว้ในมือ จ้องนิ่งไปที่อักษรแถวนั้น แล้วเงยหน้ายิ้มกล่าวว่า “มิน่าเล่าอาจารย์ถึงได้ชอบดื่มเหล้า”
เฉินผิงอันยิ้มชอบใจ
ตัวอักษรที่แกะสลักไว้บนไม้ไผ่คือคำว่า
เรื่องราวบนโลกดุจความฝัน ดื่มเหล้าไม่กลัวว่าจะเมาพับ ไม่ดื่มกลับเป็นคน ในความฝัน
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “หากชอบ ข้าก็ยกให้เจ้า”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้าคลี่ยิ้ม “มิกล้าถ่วงรั้งการหาเงินของอาจารย์”
เฉินผิงอันหยิบพัดอีกเล่มหนึ่งขึ้นมาโบกลมเย็นเข้าใส่ตัว พูดกลั้วหัวเราะว่า “อาจารย์ของเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้น”
เฉาฉิงหล่างถาม “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาแกะสลักตัวอักษรบน ตราประทับกันดีไหม?”
เฉินผิงอันรีบวางพัดลงทันที ยิ้มตอบ “ดีสิ”
เฉาฉิงหล่างกลั้นยิ้ม หยิบตราประทับที่เป็นหินสีขาวราวหิมะซึ่งเขาถูกใจตั้งแต่แรกเห็นขึ้นมา ถือมีดแกะสลักไว้ในมือ แต่แล้วก็รู้สึกลังเลเล็กน้อย จึงได้แต่ถามเบาๆ ว่า “อาจารย์ แกะสลักตัวอักษรกับเขียนตัวอักษรไม่ค่อยเหมือนกัน แล้วเมื่อก่อน ข้าก็ไม่เคยทำเรื่องแบบนี้ หากลงมือครั้งแรกแล้วแกะสลักผิดไป จะไม่สิ้นเปลือง ตราประทับชิ้นหนึ่งไปเปล่าๆ หรอกหรือ?”
จิตของเฉินผิงอันขยับเล็กน้อย กระบี่บินสืออู่ก็บินออกมาจากช่องโพรง ถูกเขาถือไว้ในมือ เฉินผิงอันกล่าวด้วยสีหน้าไม่แยแสว่า “ตราประทับพวกนี้เป็นแค่ของธรรมดาทั่วไปในกำแพงเมืองปราณกระบี่ คือหินชนิดหนึ่งที่มีเต็มภูเขา จะหยิบเอามาจากไหนก็ได้ ไม่ได้มีราคาอะไร แต่หากเจ้ากังวลจริงๆ ถ้าอย่างนั้นก็แกะสลักตัวอักษรให้ช้า สักหน่อย เมื่อมือช้าใจเร็ว ความผิดพลาดก็จะน้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่พวก ผู้ฝึกกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ยังพูดง่าย เดิมทีก็ไม่ค่อยถือสาจุดบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ บนตัวอักษรอยู่แล้ว ขอแค่ตัวอักษรบนตราประทับ มีความหมายดีก็ต้องขายออกได้แน่”
เฉินผิงอันมือหนึ่งถือ ‘มีดแกะสลัก’ สืออู่ อีกมือหนึ่งถือตราประทับ คิดว่าจะมอบให้เฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนคนละชิ้น เขาจึงครุ่นคิดถึงเนื้อหาของตัวอักษร เนิ่นนาน ก็ยังไม่เริ่มลงมือ
ดังนั้นจึงกลับกลายเป็นว่าเฉาฉิงหล่างที่เพิ่งเคยแกะสลักเป็นครั้งแรก แต่กลับร่ายถ้อยคำไว้ในใจคร่าวๆ อยู่ก่อนแล้วได้เริ่ม ‘ลงพู่กัน’ ก่อน หลังจากเขียนตัวอักษร ตัวแรกเสร็จ เฉาฉิงหล่างก็สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หยุดพักเล็กน้อย พอเงยหน้ามองไปก็เห็นว่าอาจารย์ยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด
เฉาฉิงหล่างจึงก้มหน้าแกะตัวอักษรต่ออีกครั้ง
หลังจากที่เผยเฉียนหวนกลับมา มีประโยคหนึ่งที่อัดอั้นอยู่ในใจเฉาฉิงหล่างมานาน เพียงแต่เด็กหนุ่มไม่คิดจะบอกอาจารย์ ไม่อย่างนั้นจะตกเป็นที่สงสัยว่าเป็นคนขี้ฟ้อง เป็นคนที่ชอบว่าร้ายผู้อื่นลับหลัง
‘หากไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเผยเฉียนไม่ดีแค่ไหน ก็ไม่มีทางเข้าใจว่าตอนนี้เผยเฉียนดีแค่ไหน’
เกี่ยวกับเผยเฉียนที่จากลากันไปนานแล้วได้กลับมาพบกันใหม่อีกครั้ง ต่อให้ จะพูดถึงแค่เรื่องของส่วนสูงที่เหตุใดถึงต่างไปจากจินตนาการของเขามากขนาดนั้น อันที่จริงตอนที่อยู่ตรงหัวเลี้ยวของถนนในพื้นที่มงคลอันเป็นบ้านเกิด เด็กหนุ่มถือร่มที่มีบุคลิกสง่างามก็รู้สึกประหลาดใจมากแล้ว
ภายหลังได้กลับมาพบกันอีกครั้ง เฉาฉิงหล่างก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเดิม
กระทั่งตามเผยเฉียนไปที่วัดซินเซียง เฉาฉิงหล่างถึงพอจะเข้าใจขึ้นมาได้บ้าง ภายหลังมาถึงภูเขาลั่วพั่ว ความสงสัยก็เริ่มน้อยลง เริ่มคุ้นชินกับการเปลี่ยนแปลงและไม่เปลี่ยนแปลงของเผยเฉียนแล้ว กระทั่งถึงทุกวันนี้ แม้ว่าจะยังไม่เข้าใจต้นสาย ปลายเหตุได้อย่างเต็มที่ แต่อย่างน้อยที่สุดเฉาฉิงหล่างก็ไม่เป็นเหมือนช่วงแรกๆ ที่เข้าใจผิดคิดว่าเผยเฉียนได้ยึดครองเรือนกายของผู้ฝึกตนบางคนมา หรือเปลี่ยน จิตวิญญาณไปส่วนหนึ่งหรือไม่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดนิสัยใจคอของเผยเฉียนถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้?
ราวกับว่าเดินจากสุดโต่งด้านหนึ่งไปสู่สุดโต่งอีกด้านหนึ่ง
เด็กหนุ่มจิตใจละเอียดอ่อนทั้งยังรอบคอบ อันที่จริงต่อให้จะเป็นการเดินทางไกลครั้งแรกหลังออกมาจากภูเขาลั่วพั่ว เขาก็ยังคงมีความกังวลที่ไม่เล็กไม่ใหญ่บางอย่างอยู่ดี
แต่พอได้ยินคำสั่งสอนระหว่างอาจารย์และศิษย์บนหัวกำแพง
เด็กหนุ่มก็วางใจได้อย่างเต็มที่แล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉาฉิงหล่างพลันรู้สึกใจฝ่อขึ้นมาเล็กน้อย บอกว่าไม่ได้ฟ้อง แต่ดูเหมือนว่าเมื่อครู่นี้ตนก็แอบฟ้องลับหลังเผยเฉียนไปไม่น้อยเลยนี่นา
เฉาฉิงหล่างรวบรวมสมาธิแกะสลักตัวอักษรอีกครั้ง
โดยไม่ทันรู้ตัวเด็กกำพร้าในตรอกทรุดโทรมของปีนั้นก็กลายมาเป็นเด็กหนุ่ม ผู้สวมชุดลัทธิขงจื๊อที่มีมาดสง่างามแล้ว
เฉาฉิงหล่างคิดว่าจะมอบตราประทับชิ้นนี้ให้อาจารย์ของตน
เฉินผิงอันยังคิดไม่ออกว่าจะแกะสลักอะไรดี จึงได้แต่วางตราประทับในมือลงไป เก็บกระบี่บินสืออู่เข้าไปไว้ในช่องโพรงลมปราณ หันไปหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนบน หน้าพัดแทน
เฉาฉิงหล่างเงยหน้าขึ้นมองเฉินผิงอัน เนิ่นนานก็ไม่ยอมถอนสายตากลับมา
เฉินผิงอันไม่ได้เงยหน้า แต่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติของเด็กหนุ่มแล้ว จึงยิ้มเอ่ยว่า “เป็นอะไรไป? แกะสลักผิดหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนอันใหม่แล้วแกะใหม่ เพียงแต่ว่าตราประทับอันที่แกะผิดก่อนหน้านี้ หากเจ้ายินดีก็เก็บเอาไว้ อย่าทิ้งไป”
“ข้าไม่ได้แกะสลักผิด”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า เงียบไปนานก็พึมพำว่า “ได้พบเจอกับอาจารย์ คือความโชคดีของข้าอย่างยิ่ง”
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะทันใด แต่ก็ยังไม่เงยหน้า คิดแล้วก็พยักหน้าพูดพึมพำกับตัวเองว่า “อาจารย์ได้พบเจอศิษย์ก็ดีใจมากเหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างก้มหน้าแกะสลักตัวอักษรต่ออีกครั้ง
เฉินผิงอันเขียนหน้าพัดเสร็จก็หันหน้ามาถามว่า “แกะสลักคำว่าอะไร?”
เฉาฉิงหล่างรีบยกมือขึ้นบังตราประทับเอาไว้ “ยังแกะสลักไม่เสร็จ วันหน้าอาจารย์ก็จะได้รู้เอง”
เฉินผิงอันหัวเราะ ลูกศิษย์คนนี้ของเขาไม่ค่อยเหมือนกับลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาที่ตอนนี้คงกำลังยุ่งอยู่กับการเอ่ยถ้อยคำประจบเยินยอสักเท่าไรจริงๆ
เฉาฉิงหล่างนั่งตัวตรง สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ แกะสลักตัวอักษรอย่างระมัดระวัง เมื่อจิตใจสงบนิ่งมือก็มั่นคง
ใช้มีดแกะสลักที่อาจารย์มอบให้แกะตัวอักษร คราวหน้าที่ต้องจากลากัน ค่อยมอบตราประทับที่อยู่ในมือชิ้นนี้ให้อาจารย์
เฉาฉิงหล่างยังแกะสลักไม่เสร็จ ระหว่างที่แกะสลักเขาหลับตาลง ในสมองปรากฏภาพงดงามที่เขาจินตนาการมานานมากแล้ว สิ่งที่คิดในใจก็คือสิ่งที่มือเขียนไป
‘อาจารย์นั่งอยู่แต่ลำพัง ลมฤดูใบไม้ผลิพลิกเปิดหน้าหนังสือ’