บทที่ 608 อาจารย์ลุงใหญ่ออกกระบี่ ศิษย์พี่เล็กเล่นหมากล้อม
อีกยี่สิบวันต่อมา เผยเฉียนก็อารมณ์ไม่ใคร่จะดีนัก เพราะชุยตงซานบังคับลากพานางออกไปเดินเตร็ดเตร่นอกจวนหนิง อีกทั้งข้างกายยังมีเจ้าตอไม้เฉาติดตามมาด้วย
คนทั้งสามเดินเล่นไปตามตรอกน้อยถนนใหญ่ของนคร ไปมองดูหอมายาอยู่ไกลๆ จากนั้นก็ลงใต้ไปตลอดทาง ห่านขาวใหญ่ยังชอบเดินอ้อมเส้นทางผ่านเรือนที่ เซียนกระบี่แต่ละท่านเคยพักอาศัยอยู่ แล้วถึงได้ไปที่หัวกำแพงเมือง ยังคงเดินเท้ากันไปเหมือนเดิม แต่หากมีอาจารย์อยู่ด้วยก็อย่าว่าแต่เดินเลย เรียกว่าคลานก็ยังได้ แต่ในเมื่ออาจารย์ไม่อยู่ เผยเฉียนก็เลยแอบบอกเป็นนัยให้เขาเรียกเรือยันต์ออกมา อยู่หลายครั้ง มองพื้นดินจากบนฟ้าจะเห็นชัดเจนมากกว่า แต่ชุยตงซานกลับไม่ตอบตกลง เฉาฉิงหล่างที่อยู่ด้านข้างก็น่าเบื่อนัก เอาแต่ทำตัวเป็นคนใบ้ นี่ทำให้เผยเฉียนรู้สึกว่าเหมือนอยู่ตัวคนเดียวมีกำลังน้อยนิด
เดิมทีเฉาฉิงหล่างคิดจะตั้งใจฝึกตนอยู่ที่จวนหนิง ก็เหมือนอาจารย์จ้งที่ทุกวันนี้คอยเดินเนิบช้าอยู่บนสนามประลองยุทธอยู่ทุกวัน เดินทีหนึ่งก็นานหลายชั่วยาม
เพียงแต่ชุยตงซานไปเคาะประตูเรียกให้เขาออกมาด้วย ต่อให้เฉาฉิงหล่าง จะอยากปฏิเสธ เพราะถึงอย่างไรอาจารย์ก็อุตส่าห์ตั้งใจเลือกสถานที่แห่งนี้ให้เป็นสถานที่ฝึกตนของตน จะผิดต่อความตั้งใจของอาจารย์ไม่ได้
แต่ชุยตงซานกลับส่ายหน้า แสดงท่าทีชัดเจนอย่างยิ่ง เฉาฉิงหล่างครุ่นคิดอยู่เล็กน้อยก็ตอบตกลง ชุยตงซานบอกเขาว่าให้นำไม้เท้าเดินป่าที่อาจารย์มอบให้ไปด้วย เฉาฉิงหล่างจึงเอาไม้เท้าเดินป่าที่เดินทางข้ามพันภูเขาหมื่นแม่น้ำผ่านครึ่งหนึ่งของอุตรกุรุทวีปเป็นเพื่อนอาจารย์มาด้วย เป็นเพียงแค่ไม้ไผ่ปกติ แต่กลับไม่ธรรมดา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วไม้เท้าเดินป่าของเผยเฉียนทำมาจากวัสดุที่ดีที่สุดมีมูลค่า มากที่สุด หลังจากที่ห่านขาวใหญ่เปิดเผยความลี้ลับให้ฟัง เผยเฉียนถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะสะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กออกจากบ้าน
บนหัวกำแพงเมือง เผยเฉียนเดินอยู่บนหัวกำแพงเมืองที่ขยับเข้าใกล้ทางทิศใต้ ตลอดทางได้เห็นเซียนกระบี่ที่น่าสนใจอยู่มากมาย มีเซียนกระบี่สวมชุดสีสันสดใส คนหนึ่งกำลังเดินเล่น มีกระบี่แต่กลับไม่พกกระบี่ไว้ตรงเอว กระบี่ไร้ฝัก พู่ห้อยกระบี่ยาวอย่างถึงที่สุด ปลายด้านหนึ่งของพู่รัดเข้ากับเอว กระบี่ยาวจึงรากระอยู่กับพื้น ปลายกระบี่และคมกระบี่เสียดสีอยู่บนพื้นตลอดเวลา ปราณกระบี่ไหลวนจนเห็นได้อย่างชัดเจน ทำเอาเผยเฉียนที่ได้เห็นอยากจะมองให้มากหน่อย แต่ก็ไม่กล้ามองมากเกินไป
เฉาฉิงหล่างที่เดินอยู่ในมุมสูงที่สุดในบรรดาพวกเขาสามคนมองไปยังชุยตงซาน ชุยตงซานยิ้มเอ่ยว่า “อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ สูงหรือไม่สูง ดูแค่ที่กระบี่อย่างเดียวเท่านั้น”
เฉาฉิงหล่างถึงได้ล้มเลิกความคิดที่จะกระโดดลงจากหัวกำแพงมาเดินบนทางเดิน
ชุยตงซานยิ้มเอ่ยกับเผยเฉียนว่ามองมากหน่อยก็ไม่เป็นไร มาดของเซียนกระบี่คือทัศนียภาพที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในใต้หล้าไพศาล ใต้เท้าเซียนกระบี่ใหญ่ไม่มีทางตำหนิเจ้าหรอก
เผยเฉียนถึงได้กล้ามองอยู่หลายครั้ง
เซียนกระบี่ที่สวมชุดสีสันสดใสผู้นั้นเอาแต่ก้มหน้าครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง ไม่ถือสาสายตาที่มองมาของแม่นางน้อยคนหนึ่งจริงๆ และยิ่งไม่ถือสาที่พวกเขาเดินอยู่บนจุดที่สูงกว่าตน
แน่นอนว่าชุยตงซานย่อมรู้ความเป็นมาของคนผู้นี้ อู๋เฉิงเพ่ยผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตคอขวดหยกดิบ กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีชื่อว่า ‘น้ำค้างหวาน’ วิชากระบี่ของเขาเหมาะแก่การร่วมศึกช่วงท้ายมากที่สุด เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก เพราะบนพื้นมี เลือดสดมากพอ
อู๋เฉิงเพ่ยมีนิสัยปลีกตัวรักสันโดษ รูปโฉมมองดูเหมือนอ่อนเยาว์ ทว่าแท้จริงกลับอายุมากแล้ว คู่รักของเขาเคยถูกปีศาจใหญ่ใช้มือบีบศีรษะจนแตกแล้วอ้าปาก เขมือบกินจิตวิญญาณของสตรีทั้งเป็น
ภายหลังปีศาจใหญ่ตนนั้นได้รับบาดเจ็บสาหัสตอนอยู่บนสนามรบ จึงไปหลบอยู่ในถ้ำใจกลางใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพื่อพักรักษาตัว เก็บตัวเงียบไม่ออกมา แล้วก็ไม่เคยปรากฏตัวบนสนามรบอีกเลย ในขณะที่อู๋เฉิงเพ่ยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะมีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ตัวคนเดียว หรือจะตายไปอย่างไร้ความหมาย ปีศาจใหญ่ตนนั้นก็ถูก คนสังหาร คนผู้นั้นหิ้วศีรษะของมันมาโยนลงข้างเท้าของอู๋เฉิงเพ่ย ยิ้มเอ่ยกับอู๋เฉิงเพ่ยว่าแค่ผ่านทางมาพอดี เลี้ยงเหล้าข้าด้วย
คนทั้งสามยังเจอกับเซียนกระบี่คนหนึ่งที่กำลังคุมเชิงต่อสู้อยู่กับคนอีกคนที่ออกกระบี่ เขานั่งขัดสมาธิพลางดื่มเหล้าไปด้วย มือหนึ่งทำมุทราคาถากระบี่ ผู้เฒ่าหันหลังให้ทางทิศใต้ หันหน้าเข้าหาทิศเหนือ ระหว่างหัวกำแพงเหนือและใต้มีสิ่งหนึ่งที่ไม่รู้ว่าควรเรียกว่าสายฟ้าหรือแสงกระบี่พาดขวาง ใหญ่เท่าปากบ่อโซ่เหล็กของเขตการปกครองหลงเฉวียน แสงกระบี่พร่างพราว สะเก็ดไฟกระเซ็นไปทั่วทิศ และยังมีสายฟ้ากระแทกลงบนหัวกำแพงกับทางเดินอยู่ตลอดเวลา ประหนึ่งงูนับร้อยนับพันตัวที่เลื้อยอย่างว่องไว สุดท้ายก็ผลุบหายเข้าไปในพงหญ้ามองไม่เห็นเงาอีก
เผยเฉียนหวาดกลัวไม่กล้าเดินหน้าต่อ ผู้เฒ่ายิ้มเอ่ยว่า “รู้กฎของที่นี่หรือไม่ หากมีเหล้าก็ผ่านทางไปได้ ไม่อย่างนั้นก็ต้องใช้เวทกระบี่มาเอาชนะข้า หรือไม่ก็ต้องเรียกกระบี่ออกมาแล้วบินอ้อมไปจากหัวกำแพงเมืองแต่โดยดี”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์ของพวกข้า คือเถ้าแก่รองผู้นั้น”
“คานบนไม่ตรงถึงขนาดนั้น แต่คานล่างกลับไม่นับว่าเอียงสักเท่าไร น่าประหลาดยิ่งนัก”
จากนั้นผู้เฒ่าก็เอ่ยอย่างเดือดดาลว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเหล้าสองกา!”
ชุยตงซานยิ้มพลางโยนเหล้าสองกาไปให้ผู้เฒ่าเซียนกระบี่คนนั้น
ผู้เฒ่ามีนามว่าจ้าวเก้ออี๋ คนที่คุมเชิงกับจ้าวเก้ออี๋ซึ่งนั่งอยู่บนหัวกำแพงเมือง ทางทิศเหนือคือเฉิงเฉวียนผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตถดถอยจากหยกดิบมาสู่ก่อกำเนิด ทั้งสองฝ่ายคือศัตรูคู่อาฆาตกัน
นอกจากเหมือนวันนี้ที่จ้าวเก้ออี๋กดขอบเขตใช้ปราณกระบี่ปะทะกับเฉิงเฉวียนแล้ว ผู้เฒ่าทั้งสองที่มีชาติกำเนิดมาจากตรอกเก่าโทรมเหมือนกันยังเคยด่ากันข้ามทางเดินอีกด้วย ได้ยินมาว่าเวลาส่วนตัวหากทั้งสองฝ่ายต่างก็ดื่มเหล้า ต่างคนต่างถ่มน้ำลาย ใส่กันก็ยังเคยมี
ได้เหล้ามาแล้ว เซียนกระบี่จ้าวเก้ออี๋ก็ยกมือข้างที่ทำมุทรากระบี่ขึ้นเล็กน้อย ประหนึ่งเซียนเหรินยกลำน้ำสายยาวขึ้น ขยับปราณกระบี่ที่ขวางทางขึ้นสูง แล้วจ้าวเก้ออี๋ก็พูดเสียงขุ่นว่า “เห็นแก่เหล้านี่หรอกนะ”
พวกชุยตงซานสามคนกระโดดลงจากหัวกำแพง เดินเนิบช้าไปเบื้องหน้า เฉาฉิงหล่างเงยหน้าขึ้นมองปราณกระบี่ที่เข้มข้นเหมือนกระแสน้ำไหลที่อยู่เหนือหัวเส้นนั้น บนใบหน้าของเด็กหนุ่มถูกแสงสาดส่องจนเป็นประกายระยิบระยับ
เผยเฉียนหลบอยู่ข้างกายชุยตงซาน กระตุกชายแขนเสื้อของห่านขาวใหญ่ “รีบเดินเร็วเข้าสิ”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ อย่าทำให้อาจารย์พ่อของเจ้าต้องขายหน้าสิ”
เผยเฉียนกำไม้เท้าเดินป่าไว้แน่น ก่อนจะวางมาดเดินกำเริบเสิบสานแม้แต่ผีปีศาจยังกลัว เพียงแต่ว่ามือเท้าค่อนข้างจะแข็งทื่อไปสักหน่อย
เดินผ่านลำธารเหนือศีรษะสายนั้นมาไกลแล้ว เผยเฉียนที่ตกใจกลัวแทบตาย ก็เตะเข้าที่น่องเล็กของห่านขาวใหญ่
ทั้งๆ ที่ไม่ได้ออกแรงมาก แต่ร่างทั้งร่างของห่านขาวใหญ่กลับหมุนตลบอยู่ กลางอากาศ พอกระแทกลงพื้นก็งอตัวกอดเข่ากลิ้งหลุนๆ ไปตามพื้น
เผยเฉียนสนิทกับห่านขาวใหญ่มานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลเรื่องนี้เลย ดังนั้นเผยเฉียนจึงหันขวับไปมองเฉาฉิงหล่างทันใด
เฉาฉิงหล่างมองตรงไปเบื้องหน้า “ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
เผยเฉียนผ่อนลมหายใจโล่งอก จากนั้นก็ยิ้มตาหยีถามว่า “เมื่อครู่นี้เจ้ามองเห็นปลาที่ว่ายอยู่ในลำธารไหม? ตัวไม่ใหญ่เท่าไร ตัวหนึ่งสีทอง อีกตัวหนึ่งสีดำ?”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า
เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “หึหึ ยังคงเป็นผู้ฝึกตนอยู่สินะ”
เฉาฉิงหล่างไม่เห็นเป็นสำคัญ
เกี่ยวกับข้อที่ว่าคุณสมบัติของตัวเองเป็นเช่นไร เฉาฉิงหล่างรู้ดีอยู่แก่ใจ เหตุใดปีนั้นมารร้ายติงอิงถึงได้เลือกมาพักอยู่ในเรือนที่ใกล้กับตรอกจ้วงหยวน แล้วเหตุใดสุดท้ายถึงได้เลือกเรือนพักของเฉาฉิงหล่าง ในอดีตอาจารย์จ้งได้อธิบายต้นสายปลายเหตุทั้งหมดให้เขาฟังอย่างละเอียดแล้ว แรกเริ่มสุดนั้นติงอิงเดาว่า ‘ตัวอ่อนเมล็ดพันธ์’ ทั้งหลายที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนซึ่งเป็นที่ซ่อนตัวของสตรีปรมาจารย์ใหญ่แห่งเรือนจิ้งซินผู้นั้น ก็มีเขาเฉาฉิงหล่างเป็นคนหนึ่งในนั้น
เวลานั้นใต้หล้าของบ้านเกิดมีปราณวิญญาณบางเบา คนที่สามารถเรียกได้ว่า ฝึกตนบรรลุมรรคาจนกลายเป็นเซียนได้อย่างแท้จริง มีเพียงอวี๋เจินอวี้เซียนขี่กระบี่ ที่รูปโฉมกลับคืนเป็นเด็กซึ่งเป็นบุคคลอันดับหนึ่งรองจากติงอิงเท่านั้น แต่ในเมื่อตนสามารถถูกมองเป็นเมล็ดพันธ์ผู้ฝึกตนได้ เฉาฉิงหล่างก็จะไม่ดูถูกตัวเองเด็ดขาด แน่นอนว่ายิ่งไม่มีทางประมาท ในความเป็นจริงแล้วเมื่อพื้นที่มงคลดอกบัวถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน น้ำค้างรสหวานพร่างพรมจากฟากฟ้า
ปราณวิญญาณประหนึ่งสายฝนที่พรำลงบนโลกมนุษย์ เมล็ดพันธ์ผู้ฝึกตนทั้งหลายที่เดิมทีล่องลอยไม่หยุดนิ่งอยู่ท่ามกลางแม่น้ำแห่งกาลเวลาก็เริ่มแตกหน่อ ผลิดอกออกผลอยู่บนผืนดินที่เหมาะแก่การฝึกตน
แต่ก็เหมือนอย่างที่อาจารย์ลู่ซึ่งเป็นผู้ที่แอบถ่ายทอดวิชาตระกูลเซียนให้แก่เขาในภายหลังเอ่ย มีพรสวรรค์ฐานกระดูกที่ฟ้าดินเป็นผู้สร้างพ่อแม่เป็นผู้เลี้ยงดู นั่นก็เป็นแค่ก้าวแรกเท่านั้น เมื่อได้รับโชควาสนาได้ยืนอยู่ตรงตีนเขา นั่นจึงจะเป็นก้าวที่สอง หลังจากนี้ยังมีทางเดินขึ้นเขาที่ยาวไกลเป็นพันเป็นหมื่นก้าวให้ก้าวเดิน ขอแค่เจ้าเดินด้วยฝีเท้าที่มั่นคงมากพอก็มีหวังที่จะออกไปตามหาเฉินผิงอัน ถึงจะมีโอกาสเอ่ยขอบคุณเขา ถามเขาว่าเวลาหลังจากนี้ร้อยปีพันปี เฉาฉิงหล่างจะสามารถเดินไปบนมหามรรคาเส้นเดียวกับเขาได้หรือไม่
ชุยตงซานมองเผยเฉียนที่เป็นศิษย์พี่หญิงใหญ่ในนามแวบหนึ่ง
เผยเฉียนสามารถอาศัยพรสวรรค์มองความคิดจิตใจของคนอื่น แต่เขาชุยตงซานไม่ได้มีความสามารถเพียงแค่นี้ เขาไม่เพียงแต่มองใจคนออก ยังรู้ไปถึงส่วนลึกในใจของคนอื่นซึ่งคนผู้นั้นเองไม่เคยรู้
ความทรงจำ การฝึกยุทธ ฝึกปราณกระบี่สิบแปดหยุด รวมไปถึงการคัดตัวอักษรที่แม้จะได้เห็นสัจธรรมยิ่งใหญ่ก็ยังไม่เคยรู้ตัวของเผยเฉียน จนกระทั่งถึงการเรียน วิชาหมากล้อมกับเขาบนเรือข้ามฟาก
ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่า ขอแค่เป็นเรื่องที่เผยเฉียนยินดีจะทำ นางสามารถทำได้ดี ยิ่งกว่าใคร ขอแค่นางอยากเรียน ตั้งใจสืบเสาะค้นหาอย่างแท้จริง นางก็จะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
แต่นี่ยังไม่ถือเป็นความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของเผยเฉียน
จุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเผยเฉียนนั้นอยู่ที่การตัดขาดความคิดทุกอย่าง อีกทั้ง ยังไม่คิดอะไรเกี่ยวกับการสร้างด่านขึ้นมาบนเส้นทางหัวใจตัวเอง ‘ข้าไม่ยินดีจะคิดให้มากความ ความคิดก็จะไม่บังเกิด’ การแสดงออกที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็ยกตัวอย่าง เช่นว่าหลังจากปีนั้นเผยเฉียนได้เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมาถึงภูเขาลั่วพั่ว เผยเฉียนก็เริ่มหยุดการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นส่วนสูงหรือจิตใจ ก็ดูเหมือนว่าจะ ‘หยุด’ อยู่ตรงนั้น
ตัวไม่สูงขึ้นเสียที และยังคงเป็นถ่านดำน้อยอยู่เหมือนเดิม
ถ้าเช่นนั้นการไร้ทุกข์ไร้กังวลของเผยเฉียนก็คือการไร้ทุกข์ไร้กังวลจริงๆ
ขอแค่เป็นเส้นทางที่ไร้ด่านขัดขวาง ความคิดและจิตใจของเผยเฉียนก็จะอยู่ในขอบเขตน่าตะลึงที่ฟ้าดินไร้พันธนาการ เพียงชั่วพริบตาก็เดินไปได้ไกลเป็นพัน เป็นหมื่นลี้
วานรและม้าพยศในใจไม่อาจกักขัง ไม่อาจพันธนาการ? ผู้ฝึกตนที่ระมัดระวังรอบคอบก็เหมือนกับบัณฑิตอ่อนแอที่เดินโซเซไปเบื้องหน้า บนเส้นทางสายใหญ่ มีอันตรายอยู่มากมาย มีโจรซุ่มตัวอยู่ข้างทาง
แต่สำหรับเผยเฉียนแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลกับเรื่องนี้เลย
จนกระทั่งเริ่มฝึกหมัดจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกแผ่นฟ้าคว่ำแผ่นดิน ตัวสูงอย่างรวดเร็ว เริ่มเติบใหญ่แบบรุดหน้าอย่างที่ใครก็มิอาจสกัดขวาง
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นความสุดโต่งอีกอย่างหนึ่ง
นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก แต่กลับมีปัญหาและภัยร้ายที่ไม่เล็กซ่อนแฝงอยู่ เพราะ ‘เผยเฉียนที่เป็นผู้ใหญ่’ ในใจของเผยเฉียนก็เป็นแค่ ‘ลูกศิษย์เผยเฉียน’ ในใจของอาจารย์ของนางตามความคิดนางเท่านั้น
นี่จึงเป็นเหตุให้ในบางระดับ การหยุดนิ่งนี้ของเผยเฉียนจึงไม่ใช่การหยุดนิ่ง ที่แท้จริง และความคิดจิตใจเช่นนี้ของเผยเฉียนก็ไม่ใช่ความคิดที่แท้จริง
บนทางสายนี้ นางเดินเร็วเกินไป ราวกับขี่เมฆทะยานหมอก บนทะเลสาบหัวใจของนางมีเพียงหอเรือนกลางอากาศที่ยังไม่เชื่อมติดกับแผ่นดินอยู่หลังเดียวเท่านั้น
หากไม่เป็นเพราะอาจารย์พ่อของนางจงใจพานางเดินเท้าขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน ต่างคนต่างถือไม้เท้าเดินป่าสะพายหีบไม้ไผ่ เดินไปอย่างระมัดระวัง นำหลักการเหตุผลที่เรียบง่ายที่สุดและกฎเกณฑ์ที่ธรรมดาสามัญที่สุดมาใส่ไว้ใน ‘หีบหนังสือ ใบเล็กในหัวใจ’ ของนาง เผยเฉียนก็จะเหมือนประทัดที่อาจระเบิดได้ทุกเมื่อ ถ้าเช่นนั้นในอนาคตยิ่งนางเรียนวิชาหมัดมากเท่าไหร่ เดินไปบนเส้นทางของวิถีวรยุทธได้ไกลเท่าไหร่ อานุภาพของประทัดที่ระเบิดก็ยิ่งสูงมากเท่านั้น มีความเป็นไปได้มากว่าสักวันหนึ่งเผยเฉียนจะแหย่รังแตนรังใหญ่เทียมฟ้า ทำร้ายคนอื่นแล้วยังทำร้ายตัวเอง
ตอนนี้เผยเฉียนเปลี่ยนไปเยอะมาก ดังนั้นอาจารย์จึงไม่กลัวว่าเผยเฉียน จะเป็นฝ่ายทำผิดอีกแล้ว ต่อให้นางท่องไปในยุทธภพเพียงลำพัง อันที่จริงอาจารย์ ก็ไม่ค่อยเป็นกังวลว่านางจะทำร้ายคนอื่นก่อน กลัวก็แต่ว่าเป็นคนอื่นที่ทำผิด อีกทั้งยังเป็นความผิดที่ชัดเจนอย่างมาก และขอแค่เผยเฉียนอดทนไม่ไหว ก็จะใช้ความผิด ของข้าที่ใหญ่ยิ่งกว่าข่มทับความผิดเล็กๆ ของผู้อื่น นี่ต่างหากจึงจะเป็นผลลัพธ์ที่ชวนให้กลุ้มใจมากที่สุด
อาจารย์ถ่ายทอดวิชาให้แก่ลูกศิษย์ เป็นเรื่องที่ง่ายดายจริงๆ หรือ?
ใต้หล้าไพศาลซับซ้อนแค่ไหน ความเป็นความตายมีมากเท่าไร ไม่ใช่เรื่องในหมู่ชาวบ้านร้านตลาดที่มีแต่หมาเห่าไก่ขันเท่านั้น แต่ต้องมีฟ้าถล่มดินทลาย มีน้ำแม่ พลิกมหาสมุทรตลบ มีเหตุไม่คาดฝันมากมายที่แม้แต่เขาเฉินผิงอันก็ยังไม่อาจแน่ใจได้ว่าดีหรือเลว หากเผยเฉียนเจอกับมันเข้า เฉินผิงอันจะกล้าวางใจจริงๆ ได้อย่างไร
อาจารย์ต้องฝึกฝนจิตใจเพื่อลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาคนนี้มากจริงๆ
เพียงไม่นานพวกเขาก็เดินผ่านผู้ฝึกกระบี่กลุ่มหนึ่งที่กำลังนั่งฝึกกระบี่กันอยู่บนพื้น จากนั้นเผยเฉียนก็ตาแหลมหันไปเห็นสตรีชนชั้นสูงของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่ชื่ออวี้เจวี้ยนฟู นางกำลังนั่งอยู่บนหัวกำแพงด้านหน้า อวี้เจวี้ยนฟูไม่ได้ฝึกกระบี่ เพียงแค่นั่งกินแผ่นแป้งย่างอยู่ตรงนั้น
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เขายืดอกตรง เดินด้วยท่าสายตามีเพียงท้องฟ้าไม่เห็นหัวใคร ไม่แย่ไปกว่าท่าประจำของศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเองแม้แต่น้อย
เผยเฉียนไม่รู้ว่าห่านขาวใหญ่คิดอะไรอยู่ แต่ได้เจอผู้ฝึกกระบี่ทีเดียวมากมายขนาดนี้ คงจะใจสั่นแต่ต้องแกล้งทำเป็นไม่กลัวกระมัง
อันที่จริงความประทับใจที่เผยเฉียนมีต่ออวี้เจวี้ยนฟูไม่นับว่าเลวร้าย เพราะอวี้เจวี้ยนฟูคนนี้นับว่าใจกว้างไม่น้อย
เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก ตอนนั้นอวี้เจวี้ยนฟูพ่ายแพ้ในการถามหมัด ถูกอาจารย์กดหัวกระแทกเข้ากับกำแพงก็ยังไม่เห็นว่านางจะโกรธ
หากเฉินยวนจีและป๋ายโส่วต่างก็ใจกว้างเช่นนี้ได้ก็คงจะดี
หัวกำแพงเมืองกว้างมากพอ อวี้เจวี้ยนฟูไม่เงยหน้า เพียงแค่ทอดสายตามองไปยังฟ้าดินกว้างใหญ่ทางทิศใต้เท่านั้น
พวกเผยเฉียนที่ในมือของแต่ละคนมีไม้เท้าเดินป่าทยอยกันเดินผ่านไป
ห่างจากอวี้เจวี้ยนฟูไปไม่ไกลยังมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
เผยเฉียนขมวดคิ้ว
เหยียนลวี่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกรที่นั่งอยู่บนเบาะกำลังรับฟังวิชากระบี่ที่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเป็นผู้ถ่ายทอดหันมองคนทั้งสามแวบหนึ่ง แล้วก็ไม่มองอีก
ว่ากันว่าเป็นพวกเดียวกันกับเฉินผิงอันผู้นั้น ดูจากท่าทางแล้วก็เหมือนอยู่จริงๆ
ชุยตงซานชำเลืองตามองหนังสือในมือของเด็กหนุ่มแล้วพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้ม ดีมาก ถือเป็นศิษย์ลูกศิษย์หลานของตนครึ่งตัวแล้ว
พอจะมีประโยชน์อยู่บ้างเล็กน้อย
หลินจวินปี้ปิดหนังสือลง เงยหน้ามองคนทั้งสามแล้วยิ้มบางๆ
ชุยตงซานส่งยิ้มกลับคืน เผยเฉียนแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เฉาฉิงหล่างพยักหน้าทักทายกลับคืน
แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างต้องรู้ตัวตนของคนผู้นี้แล้ว ตอนที่อาจารย์แกะสลักตัวอักษรอยู่ในเรือนได้เล่าเรื่องศึกเฝ้าด่านสองครั้งให้ฟังง่ายๆ ไม่พูดถึงความดี ความเลว เพียงแค่อธิบายถึงความคิดและการลงมือช้าเร็วของทั้งฝ่ายเฝ้าด่านและ ฝ่ายโจมตีด่านเท่านั้น
คนทั้งสามจากไปไกล
หลินจวินปี้อ่าน ‘ตำราเมฆหลากสี’ ต่ออีกครั้ง
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ แม้เขาจะไม่ยินดีฝ่าทะลุขอบเขตรวดเดียวติดกัน ดังนั้นขอบเขตในเวลานี้จึงยังไม่สูง แต่กระนั้นภายใต้การถ่ายทอดวิชาความรู้ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย เขาก็ยังรับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดมรรคาครึ่งตัวให้กับสหาย อีกทั้งเขาที่ฝึกกระบี่อยู่ที่นี่ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่เพียงคนเดียวที่สามารถคว้าจับปณิธาน กระบี่โบราณบริสุทธิ์เสี้ยวหนึ่ง อีกทั้งยังรั้งมันไว้ในช่องโพรงลมปราณที่สำคัญได้ อีกด้วย ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดซึ่งมีเหยียนลวี่ เจี่ยงกวนเฉิง จูเหมยเป็นหนึ่งในนั้นต่างก็เคยคว้าจับปณิธานกระบี่ที่โผล่มาแค่แวบเดียวก็หายไปได้
เหยียนลวี่ยังจับได้มากกว่าหนึ่งครั้งด้วยซ้ำ แต่น่าเสียดายที่ไม่อาจรั้งเอาไว้ได้อยู่ หลินจวินปี้ไม่เคยแพร่งพรายความลับสวรรค์ เซียนกระบี่ขู่เซี่ยนั้นรู้ดี แต่ก็ไม่เคยพูดออกมาเช่นกัน
หลินจวินปี้คิดว่ารอให้รวบรวมปณิธานกระบี่ที่เซียนกระบี่ยุคบรรพกาลทิ้งไว้ให้ครบสามเสี้ยวเสียก่อน หากยังไม่มีใครทำสำเร็จ เขาถึงจะบอกว่าตัวเองได้รับ ปราณกระบี่ส่วนหนึ่งมา ถือว่าเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับพวกเขา หลีกเลี่ยงไม่ให้ปณิธานในการฝึกกระบี่ดิ่งลงเหว
ทุกครั้งที่คนทั้งสามเดินไปถึงจุดที่ไร้ผู้คน ชุยตงซานก็จะเพิ่มความเร็วฝีเท้า เผยเฉียนสามารถตามไปได้ทัน อีกทั้งลมหายใจยังราบรื่นผ่อนคลายอย่างถึงที่สุด อีกด้วย
ทว่าเฉาฉิงหล่างกลับเป็นคนที่ต้องยากลำบากกว่าใคร
เดินอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ แล้วยังต้องเดินตามชุยตงซานกับเผยเฉียนที่เดินเร็วราวกับ ‘บิน’ แน่นอนว่าต้องทรมานยิ่งกว่าการเดินเนิบช้า ทำสมาธิอยู่ในจวนหนิงมากนัก
บางครั้งชุยตงซานจะหยุดเดิน ให้เฉาฉิงหล่างนั่งพักนิ่งๆ อยู่สักชั่วยาม
เผยเฉียนที่เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำจะฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพงเมือง เท้าคางมองไปทางทิศใต้ หวังว่าจะได้เห็นปีศาจใหญ่สักตัวสองตัว แน่นอนว่าให้นางได้เห็นแค่แวบเดียวก็พอแล้ว ทั้งสองฝ่ายอย่าได้ทักทายกันเลย ไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตรไม่มีความแค้นใดๆ ต่อกันเสียหน่อย รอให้นางกลับไปถึงใต้หล้าไพศาล แล้วกลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วที่เป็นบ้านเกิดเมื่อไหร่ก็จะได้มีเรื่องไปเล่าให้หน่วนซู่และหมี่ลี่ฟังแล้ว นางจะเล่าว่า เจ้าพวกปีศาจใหญ่ตัวดีพวกนั้น ยืนอยู่ด้านนอกหัวกำแพง ใกล้กับนาง ในระยะประชิด พวกเขาจ้องตากันไปมา แต่นางกลับไม่กลัวแม้แต่น้อย
นางยังต้องชะเง้อคอออกไปมองถึงจะมองเห็นหัวของปีศาจใหญ่ สุดท้ายยังใช้ ไม้เท้าเดินป่าร่ายวิชากระบี่มารคลั่งขู่ให้พวกมันกลัวไปหนึ่งคำรบ
น่าเสียดายที่เดินอยู่บนหัวกำแพงมาหลายวัน นางก็ยังไม่เคยได้เห็นปีศาจใหญ่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแม้แต่ตนเดียว
เผยเฉียนที่นอนฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพงเมืองจึงถามชุยตงซานว่าเหตุใดปีศาจใหญ่อะไรนั่นถึงได้ขี้ขลาดนัก
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “ไม่ใช่ว่าไม่มีปีศาจใหญ่ แต่เป็นเพราะมีกระบี่บินของ เซียนกระบี่ใหญ่เซียนกระบี่อาวุโสบางท่านบินไปถึง เมื่อเทียบกับจุดที่สายตาของเจ้ามองเห็นแล้วยังไกลกว่ามากนัก”
เผยเฉียนหันหน้ามาถาม “อาจารย์ลุงใหญ่ต้องเป็นคนหนึ่งในนั้นด้วยใช่ไหม?”
ชุยตงซานเหลือกตาทำหน้าผี นั่งขัดสมาธิ เรือนกายสั่นยะเยือก
เผยเฉียนเอ่ยเบาๆ ว่า “อาจารย์ลุงใหญ่ตีเจ้าจริงๆ หรือ? วันหน้าข้าจะตำหนิอาจารย์ลุงใหญ่ให้เอง เจ้าอย่าได้อาฆาตแค้นเลย เข้าประตูบานเดียวกันได้ก็คือ คนบ้านเดียวกัน พวกเราไม่จุดธูปขอบคุณคุณพระคุณเจ้าก็ถือว่าผิดมากแล้ว”
เพราะชุยตงซานไม่ชอบกราบไหว้พระโพธิสัตว์ ต่อให้จะเข้าวัดน้อยใหญ่เป็นเพื่อนนาง แต่ชุยตงซานก็ไม่เคยพนมมือไหว้พระ ยิ่งไม่มีทางคุกเข่าโขกหัวคำนับ
เผยเฉียนก็เลยแอบช่วยไหว้พระแทนเขา บอกกับพระโพธิสัตว์เบาๆ ว่าอย่าได้ ถือโทษโกรธเคืองเลย
อันที่จริงบนหัวกำแพงนี้ก็คือบนฟ้าแล้ว
บนฟ้ามีลมแรง พัดให้ชุดสีขาวของชุยตงซานปลิวสะบัด จอนผมสองข้างก็ปลิวไปตามสายลม
อยู่ดีๆ ก็นึกถึงการเดินทางทัศนศึกษาในปีนั้นขึ้นมา
มีจำนวนคนมากกว่า อีกทั้งทุกคนยังมีหีบไม้ไผ่
จำได้ว่าตอนนั้นชุยตงซานจงใจเล่าให้พวกเป่าผิงฟังถึงเรื่องราวของผู้ถือตนสันโดษที่มีชื่อเสียงเลื่องลือในประวัติศาสตร์ทั้งหลาย
ตอนนั้นหลี่ไหวฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ เพียงแค่จดจำเอาไว้แล้ว นี่ก็คือเด็ก อย่างมากสุด ก็คงแค่รู้สึกว่าเดิมทีวิถีทางโลกก็เป็นอย่างนี้อยู่แล้วกระมัง
ทว่าใบหน้าของเซี่ยเซี่ยกลับเต็มไปด้วยความดูแคลน นี่ก็คือความคิดปกติทั่วไปของเด็กหนุ่มเด็กสาว รู้สึกว่าวิถีทางโลกก็เป็นเช่นนี้ ในความเป็นจริงแล้วต่อให้เป็นคนที่อายุมากกว่านี้ก็ยังจะรู้สึกเช่นนี้อยู่ดี
แต่หลินโส่วอีกลับบอกว่าผู้ถือตนสันโดษที่แท้จริงต้องไม่มีคนบนโลกรู้จัก ยิ่งไม่มีทางมาปรากฏอยู่บนหน้าหนังสือ เหตุใดถึงต้องลดค่าของ ‘ผู้ถือตนสันโดษ’ เช่นนี้ด้วย
ส่วนแม่นางน้อยสวมชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนนั้น คือคนที่คิดไปไกลมากที่สุด บอกว่าต้องดูที่ว่าผู้ถือตนสันโดษบนหน้าหนังสือกับผู้ถือตนสันโดษที่ไม่รู้ชื่อมีจำนวนฝ่ายละเท่าไร ถึงจะสามารถได้ข้อสรุปที่ถูกต้องชัดเจน
ส่วนเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่เวลานั้นยังไม่ถือว่าเป็นอาจารย์ของตนก็ทำเพียงแค่ นั่งฟังอยู่ข้างกองไฟเงียบๆ จดจำความคิดของทุกคนเอาไว้ บางครั้งก็เติมฟืนแห้ง เข้าไปในกองไฟ
ชุยตงซานใช้สองมือกุมไม้เท้าเดินป่า ยิ้มกล่าวว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ไข่มุกเนื้อไม้ลูกเล็กที่อาจารย์ของข้ามอบให้เจ้า เก็บไว้ดีแล้วหรือยัง”
เผยเฉียนกลอกตา “คำพูดไร้สาระพูดให้น้อยหน่อย น่ารำคาญจริงๆ”
จากนั้นเผยเฉียนก็พลันคลี่ยิ้ม หมุนตัวกลับ หันหลังให้ทางทิศใต้ หยิบถุงเงินออกมาอย่างระมัดระวัง ด้านในคือไข่มุกไม้เม็ดหนึ่งที่ไม่ถือว่ากลมกลึงมากนัก
วันนั้นตนสร้างคุณความชอบครั้งใหญ่ ช่วยอาจารย์คิดหาวิธีการใหม่ๆ ในการหาเงิน อาจารย์จึงตกรางวัลตน บอกว่าให้นางเก็บไว้ให้ดี อาจารย์เก็บรักษาอย่างดีมานานหลายปีแล้ว หากหายไป รับรองว่าได้กินมะเหงกจนเต็มอิ่มแน่
ทุกคำสั่งสอนของอาจารย์ต้องเงี่ยหูตั้งใจฟัง
ชุยตงซานถาม “รู้ประวัติความเป็นมาของไข่มุกเม็ดนี้ไหม?”
เผยเฉียนส่ายหน้า แบฝ่ามือออก ในมือประคองไข่มุกเนื้อไม้ที่ฝีมือแกะสลักค่อนข้างหยาบนั้นเอาไว้ บนพื้นผิวยังมีรอยเส้นเอียงๆ อีกหลายรอย ราวกับว่าคนที่ทำไข่มุกไม้เม็ดนี้ฝีมือไม่ค่อยดี สายตาก็ไม่ค่อยได้เรื่องเช่นกัน
เพียงแต่อาจารย์มอบให้ ต่อให้มีทองหมื่นชั่งก็ยากจะหาซื้อได้ และต่อให้เอาทองมาร้อยล้านชั่งก็ไม่ขาย
เฮ้อ หากไม่เป็นเพราะฝีมือการแกะสลักแย่ไปสักหน่อย ไม่อย่างนั้นในศาลบรรพจารย์เล็กๆ ของนาง และในใจนาง ไข่มุกเม็ดนี้ก็จะมีตำแหน่งสูงส่งเทียบเท่ากับไม้เท้า เดินป่าบวกกับหีบไม้ไผ่ใบเล็กได้แล้ว
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “เจ้าของเล่นเล็กๆ ชิ้นนี้ เมื่อเทียบกับมีดแกะสลักเล่มที่เฉาฉิงหล่างได้มา อาจารย์ของเจ้าเก็บรักษาเป็นอย่างดีมานานกว่าเสียอีก”
เผยเฉียนถามอย่างใคร่รู้ “ไข่มุกน้อยมีเรื่องราวยิ่งใหญ่หรือ?”
ชุยตงซานส่ายหน้า “ไม่ได้มีเรื่องราวยิ่งใหญ่อะไร ไข่มุกน้อยเรื่องราวเล็กๆ”
เผยเฉียนเอ่ย “พูดจาครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถือเป็นวีรบุรุษ รีบพูดให้จบเลยนะ!”
ชุยตงซานลูบไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวที่วางไว้บนหัวเข่าเบาๆ เอ่ยว่า “เป็นช่วงเวลายามเด็กที่อาจารย์พ่อของเจ้าออกไปเก็บสมุนไพร เขาฟันต้นไม้ต้นหนึ่ง สะพายตะกร้าไว้บนหลังพร้อมกับแบกมันลงมาจากภูเขา พอมาถึงที่บ้านก็ทำสร้อยประคำเส้นหนึ่งให้กับพระโพธิสัตว์ ครั้งสุดท้ายที่ไปไหว้พระโพธิสัตว์ในสุสานเทพเซียนจึงเอาไป แขวนไว้บนมือของพระโพธิสัตว์ ภายหลังก็ไม่ได้ไปเยือนที่นั่นอีกนาน ตอนที่ไปเยือนอีกครั้ง เนื่องจากผ่านลมผ่านฝนผ่านหิมะมามากมาย บนมือของพระโพธิสัตว์จึงไม่มีสร้อยลูกประคำนั้นเหลืออยู่แล้ว อาจารย์พ่อของเจ้าเก็บลูกประคำนี้มาจากบนพื้นได้แค่ลูกเดียว ดังนั้นตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ ข้างกายของอาจารย์พ่อจึงเหลือแค่ลูกประคำลูกนี้เท่านั้น ถูกเก็บซ่อนไว้ในไหเล็กๆ ใบหนึ่งตลอดเวลา ทุกครั้งที่ออกจากบ้านก็ตัดใจเอาติดตัวไปด้วยไม่ได้ เพราะกลัวว่าจะทำหาย ดังนั้นอาจารย์พ่อบอกให้เจ้าตั้งใจเก็บรักษาไว้ให้ดี เจ้าก็ต้องเก็บรักษาไว้ให้ดีจริงๆ”
เผยเฉียนกำมือแน่น ก้มหน้าลง
ในภาพม้าวิ่งแห่งแม่น้ำกาลเวลานั้น ม้วนภาพของเรื่องราวเล็กๆ นี้ ปีนั้นชุยตงซาน จงใจตัดออก ตั้งใจไม่ให้นางได้เห็น
ชุยตงซานเอ่ยต่อว่า “ตอนที่อาจารย์ยังเด็ก ขอพรพระโพธิสัตว์แล้วได้ผลหรือไม่? น่าจะถือว่าไม่ได้ผลมากกว่ากระมัง ตอนนั้นอาจารย์เพิ่งจะตัวแค่นั้น เคยเรียนหนังสือมาก่อน เคยรู้จักตัวอักษรไหม? แต่ชีวิตนี้ของอาจารย์เคยโทษคนบ่นฟ้าเพราะ ความทุกข์ยากที่ตัวเองต้องเผชิญบ้างหรือไม่? อาจารย์เดินทางไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ เคยมีใจคิดทำร้ายคนอื่นไหม? ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้าวางตัวอยู่ร่วมกับคนบนโลกโดยเลียนแบบอาจารย์ไปเสียทุกเรื่อง ไม่มีความจำเป็น อาจารย์ก็คืออาจารย์ เผยเฉียน ก็คือเผยเฉียน ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ถึงอย่างไรใต้หล้านี้ก็ยังคงมีความงดงามที่ ไม่เคยมีใครรู้ ต่อให้พวกเราเบิกตากว้างแค่ไหน บางทีอาจจะมองไม่เห็น อาจจะไม่เคยล่วงรู้ไปตลอดชีวิต ดังนั้นพวกเราจึงไม่อาจเห็นแค่ความไม่ดีงามเท่านั้น”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “มนุษย์ธรรมดาไหว้พระขอพรพระโพธิสัตว์ ถ้าอย่างนั้น ข้าถามเจ้า พระโพธิสัตว์ถือลูกประคำเอาไว้ กำลังขอพรกับใครอยู่กันแน่?”
ชุยตงซานถามเองตอบเอง “ก็แค่ขอพรตัวเองเท่านั้น”
เฉาฉิงหล่างพลันเปิดปากเอ่ยว่า “กรอบป้ายมหาบัณฑิตในเมืองเล็กบ้านเกิดของอาจารย์ก็มีกรอบป้ายคำว่า ‘ไม่แสวงหาสิ่งนอกกาย’ อยู่”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “หลักการเหตุผลมากมาย เดิมทีก็เชื่อมโยงถึงกัน ความรู้ของลัทธิขงจื๊อพวกเรา อันที่จริงก็มีขั้นตอนที่แสวงหาสิ่งที่อยู่ภายในตัวเองแล้วขยับเข้าไปในจุดที่ลึกกว่าเดิม ปัญหาก็มีเหมือนกัน นั่นก็คือการอ่านหนังสือการเรียนหนังสือในอดีตมีธรณีประตูใหญ่อยู่ ผู้ที่สามารถเรียนหนังสือศึกษาหาความรู้ได้นั้น ส่วนใหญ่มักจะมีฐานะทางบ้านที่ไม่เลว ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยในหมู่ชาวบ้าน แล้วก็ไม่จำเป็นต้องไปงัดข้อกับผลได้ผลเสียที่อยู่ระดับล่างมากเกินไป เพียงแต่ว่าเมื่อกาลเวลาผันผ่าน ยิ่งบัณฑิตมีมาก ความรู้ในอดีตก็ยิ่งไม่พอให้ใช้ เพราะหลักการเหตุผลของอริยะปราชญ์แค่สอนให้เจ้าเดินไปยังจุดสูงเท่านั้น ไม่ได้สอนเจ้าว่าควรจะหาเงินมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างไร ไม่มีทางสอนเจ้าว่าควรจะต่อสู้กับความคิดในใจที่เหมือนต่อยตีกับคนชั่วอย่างไร ประโยคที่ว่า ‘ใกล้ชิดวิญญูชน ห่างไกลคนถ่อย’ แค่หกคำนี้ พอให้พวกเราที่เป็นคนรุ่นหลังใช้หรือ? ข้าว่าหลักการเหตุผลนั้นดีมากพอ แต่กลับไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไร”
“บัณฑิตแทบทุกรุ่นมักจะรู้สึกว่าวิถีทางโลกที่ตนเผชิญอยู่ในปัจจุบันไม่ค่อยดี จึงด่าฟ้าด่าดิน โทษตัวเองตำหนิคนอื่น นั่นเป็นเพราะว่าตัวเองอ่านหนังสือมามากแล้ว พออายุเยอะหน่อย เส้นทางชีวิตยาวหน่อย เห็นเรื่องไม่ดีงามมามากยิ่งกว่าเดิม ความเข้าใจที่มีต่อความทุกข์ยากก็ยิ่งลึกล้ำ ถึงมีความเข้าใจในแง่ลบเช่นนี้? แท้จริงแล้ววิถีทางโลกไม่ได้เปลี่ยนไปเป็นดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้แย่ลงสักเท่าไรหรือไม่? ความเป็นไปได้พวกนี้ ควรจะต้องลองตรองดูให้มากขึ้นหรือไม่? ในความเป็นจริงแล้วความทุกข์ยากที่มากกว่านั้นไม่มีใครพูดออกมา และไม่มีเขียนไว้ในหนังสือ ต่อให้ เขียนแล้วตัวอักษรก็มีไม่มาก”
“บุคคลและเรื่องราวที่ดีงาม เมื่อเทียบกับความเจ็บทางกายแล้ว นับแต่โบราณมาก็ดูเหมือนว่าอย่างแรกจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอย่างหลัง อีกทั้งฝ่ายหลังยังมักจะใช้ จำนวนน้อยต่อกรกับจำนวนมาก แต่กลับเอาชนะได้ทุกครั้ง”
เผยเฉียนเงียบงัน
เฉาฉิงหล่างหยุดการฝึกตน เริ่มหันมาฝึกฝนจิตใจ
ชุยตงซานมีสีหน้าเหนื่อยล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “ไม่ใช่ว่าหลักการเหตุผลไม่ดีแล้วก็ไม่ถูกต้อง แต่เป็นเพราะดีเกินไปและถูกต้องเกินไปก็เลยทำได้ยาก เมื่อทำไม่ได้ ก็มักจะมีคนมากมายที่ไม่ได้ตำหนิคนและเรื่องราวไร้เหตุผลที่อยู่ข้างกาย แต่กลับหันไปโทษหลักการเหตุผลและอริยะปราชญ์แทน เพราะอะไร? เพราะหลักการเหตุผลบนตำราพูดไม่ได้ หากอริยะปราชญ์ได้ยินเข้าก็ไม่มีทางทำอะไร จะทำอย่างไร? นี่ก็เลย มีถ้อยคำเก่าแก่ที่มีความหมายกลางๆ มากมายปรากฏขึ้น รวมไปถึง ‘คำสุภาษิต’ อีกมากมายหลากหลาย ยกตัวอย่างเช่นประโยคที่ว่ายินดีหาเรื่องวิญญูชน แต่ไม่คิดหาเรื่องคนถ่อย มีเหตุผลไหม? ดูเหมือนว่าหากคิดให้ลึกซึ้งก็มักจะรู้สึกว่ามีบางอย่าง ไม่ถูกต้อง ไม่มีหรือ? จะไม่มีได้อย่างไร ใต้หล้านี้คนแทบทุกคนล้วนเป็นต้องใช้ชีวิต แต่ละวันให้ผ่านพ้นไป กำลังทรัพย์ควันธูปทั้งหมดล้วนเกิดจากการสั่งสม เหรียญทองแดงทีละเหรียญ ดังนั้นพอคิดเช่นนี้ ประโยคนี้ก็มีค่าดุจทองคำดุจหยกจริงๆ”
ชุยตงซานเอนตัวนอนหงายไปด้านหลัง “ข้ารำคาญพวกคนที่ฉลาดแต่ฉลาดไม่พอพวกนั้นที่สุด ในเมื่อทำลายกฎและได้รับผลประโยชน์ไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรหุบปากแล้วเสพสุขกับผลประโยชน์ที่อยู่ในกระเป๋าตัวเองให้ดีเถอะ ยังจะออกมาโอ้อวด ความฉลาดน้อยนิดอีก พอข้าเห็นเข้า…เผยเฉียน เฉาฉิงหล่าง พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่า ช่วงแรกเริ่มสุด ศิษย์พี่เล็กของเจ้าที่อยู่อีกปลายด้านหนึ่งของอารมณ์และจิตใจ คิดอย่างไร?”
เผยเฉียนส่ายหน้า
เฉาฉิงหล่างตอบ “ไม่กล้าคิดหรอก”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “นั่นก็คือลากเอาทุกสรรพชีวิตในใต้หล้าให้นอนหลับไปพร้อมกับข้า”
มือหนึ่งของเผยเฉียนถือไข่มุกลูกประคำ อีกมือหนึ่งกระตุกชายแขนเสื้อของ ห่านขาวใหญ่ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แต่กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าทำแบบนี้ไม่ได้นะ!”
เฉาฉิงหล่างเอ่ยปลอบใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ลืมไปแล้วหรือว่าศิษย์พี่เล็กพูดว่าอย่างไร ‘ช่วงแรกเริ่มสุด’ ความคิดหลายอย่างเกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงไป นั่นกลับกลายเป็นว่าจะเป็นการลด ‘หมื่นหนึ่ง’ นั้นอย่างแท้จริง”
“ในใจข้ามีคุณธรรมและความชื่นมื่นเบิกบาน จะสนไปไยว่าวิถีทางโลกเลอะเลือนแค่ไหน”
ชุยตงซานเอ่ยเยาะหยันตัวเอง “ชั่วชีวิตนี้เห็นความชั่วร้าย ความเห็นแก่ตัวของ ใจคนมามากมาย อย่าว่าแต่ตั้งใจมองไปเลย ต่อให้ไปหลบอยู่ไกลๆ ไม่ยอมรับรู้ก็ยังได้กลิ่นเหม็นเน่าของความชั่วร้ายโชยมาปะทะจมูก อีกทั้งปัญหายังอยู่ตรงนี้ ข้าดันชอบที่จะไปรับรสดมกลิ่นมัน แล้วยังมีความสุขกับการทำเช่นนั้น แต่ความอดทนของข้า ก็มีไม่ค่อยมากเท่าไร ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงเป็นอาจารย์เป็นนักปราชญ์ที่แท้จริงไม่ได้ อย่าว่าแต่อาจารย์เลย แค่จ้งชิว ข้าก็ยังเปรียบเทียบด้วยไม่ได้”
ลองกลับมานึกย้อนดู ที่แท้ซิ่วไฉเฒ่าก็พูดถูกมาตั้งนานแล้ว ยอดฝีมือที่ศึกษาความรู้ได้อย่างลึกซึ้ง บางทีอาจมีเจ้าชุยฉาน ผู้ที่สามารถดูแลปกครองปวงประชา ก็อาจจะมีเจ้าชุยฉานอยู่เช่นกัน แต่คนที่สามารถสอนหนังสืออยู่ในโรงเรียน อีกทั้ง ยังทำได้ดีอีกด้วย ในสำนักของข้ามีเพียงเสี่ยวฉีกับเหมาเสี่ยวตงเท่านั้น
ชุยตงซานลุกขึ้นยืน “ไปชมทัศนียภาพกันต่อเถอะ ระหว่างฟ้าดินมีความงามมากมายรอข้านานเป็นพันเป็นหมื่นปี ไม่ควรจะทำให้มันผิดหวัง”
เฉาฉิงหล่างเข้าใจเหตุผลดี เขาจึงรีบลุกขึ้นยืนทันที
เผยเฉียนเก็บไข่มุกเม็ดนั้นลงไปอย่างระมัดระวัง ลุกขึ้นยืนอย่างอิดออด อันที่จริงนางอยากกลับไปบ้านของอาจารย์พ่อกับอาจารย์แม่มากแล้ว
เวลานี้คาดว่าคงเป็นนางคนเดียวที่ถูกปิดหูปิดตา
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมจ้งชิวถึงได้ ‘เดินเล่น’ อยู่บนลานประลองยุทธของจวนหนิงทั้งวันทั้งคืน
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ จุดที่ห่างจากที่นี่ไปไกลแสนไกล ภิกษุรูปหนึ่งนั่งอยู่เพียงลำพัง พนมมือท่องภาษาธรรม
คนที่รู้เรื่องนี้ คาดว่าก็คงมีแต่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าอย่างเฉินชิงตูแล้ว
จากนั้นเผยเฉียนก็เดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง ผู้ฝึกกระบี่ของสำนักกระบี่ไท่ฮุย ที่ฝึกกระบี่อยู่บนหัวกำแพงเมืองก็ได้เห็นแล้ว เพียงแต่ว่ามีแค่อาจารย์หลิวที่อยู่ ป๋ายโส่วกลับไม่อยู่
เผยเฉียนรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก
ฉวยโอกาสที่บริเวณใกล้เคียงไม่มีใครอยู่ นางจึงร่ายวิชากระบี่มารคลั่ง อย่างอารมณ์ดีไปคำรบหนึ่ง
เฉาฉิงหล่างขยับออกห่างนางไปไกลหน่อย กลัวว่าจะได้รับบาดเจ็บ
ส่วนชุยตงซานก็โดนไม้ฟาดไปหลายที
หลังจากนั้นพวกเผยเฉียนสามคนก็เจอกับเซียนกระบี่หญิงที่ประหลาดมากคนหนึ่ง
นางกำลังนั่งโล้ชิงช้าอยู่บนหัวกำแพง
เผยเฉียนรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง ชิงช้านี้ดูน่าสนุกอย่างมาก มีเพียงเชือก สองเส้นที่สูงทะลุเข้าไปในชั้นเมฆ รวมไปถึงแผ่นไม้แผ่นหนึ่งที่เซียนกระบี่หญิงนั่งอยู่ ไม่มีโครงที่เอาไว้แขวนชิงช้า แต่ดูเหมือนว่ามันจะสามารถแกว่งไกวแบบนี้ได้ตลอดเวลา
ชุยตงซานวิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปยิ้มถาม “พี่สาวท่านนี้ ต้องการให้ข้าช่วยไกวชิงช้าหรือไม่?”
เซียนกระบี่หญิงมีนามว่าโจวเฉิง ดูเหมือนนางกำลังจมอยู่กับความคิดตัวเอง จึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ตามคำกล่าวของนครทางทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่หญิงผู้นี้สติวิปลาสไปนานแล้ว ทุกครั้งที่มีศึกใหญ่เกิดขึ้น นางไม่เคยออกจากหัวกำแพงเมืองไปสังหารศัตรู จะเฝ้าอยู่ที่ชิงช้านี้อย่างเดียว ไม่อนุญาตให้เผ่าปีศาจตนใดเข้ามาใกล้ในระยะร้อยจั้งพันจั้ง หากเข้ามาใกล้ก็จะต้องตาย ส่วนคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่เองนั้น ไม่ว่าจะเป็นเซียนกระบี่ผู้ฝึกกระบี่หรือพวกเด็กๆ ที่มาเล่นสนุก ขอแค่ไม่ เสียงดังให้นางหนวกหู โจวเฉิงก็ไม่เคยสนใจ
ชุยตงซานยังคงไม่ถอดใจ “พี่หญิงโจว ข้าคือตงซานนะ”
พี่หญิงเทพเซียนคนนี้ทั้งขาวทั้งกลมกลึง งดงามจริงๆ
คุยกับนางกี่ประโยคก็ล้วนดีทั้งสิ้น
โจวเฉิงที่โยกตัวไปพร้อมชิงช้าหันหน้ามามอง ไม่ได้มองเด็กหนุ่มชุดขาว แต่มองแม่นางน้อยที่ผิวออกดำเล็กน้อยคนนั้น นางยิ้มกล่าวว่า “อยากมานั่งสักหน่อยไหม?”
เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างขลาดๆ ว่า “พี่หญิงโจว ช่างเถิด ข้าไม่รบกวนท่านดีกว่า”
โจวเฉิงยิ้มกล่าว “ข้าสามารถรับลูกศิษย์แทนอาจารย์ได้ เจ้ามาเป็นศิษย์น้องเล็กของข้า แต่หากมีอาจารย์แล้วก็ไม่เป็นไร แค่แขวนชื่อไว้ก็พอ ข้าจะถ่ายทอดเวทกระบี่อย่างหนึ่งให้แก่เจ้า ไม่แย่ไปกว่าวิชากระบี่ชุดนั้นของเจ้าเลย มหามรรคาของ ทั้งสองฝ่ายมีต้นกำเนิดเดียวกัน เพียงแต่คุณสมบัติของข้าไม่พอ เดินไปไม่ถึงยอดเขา แต่เจ้ากลับมีความหวังอย่างมาก”
ต่อให้เป็นชุนตงซานก็ยังรู้สึกประหลาดใจอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่านั่นเป็นแค่การเสแสร้งเท่านั้น
พี่สาวเซียนกระบี่ท่านนี้ ใช้ได้เลยนี่นา
ไม่ทำให้ตนผิดหวังจริงๆ เป็นไปตามหลักเหตุผล และอยู่ในการคาดการณ์
ทว่าเผยเฉียนตกใจจนน้ำตาไหลแล้ว
หรือว่าผู้อาวุโสเซียนกระบี่ท่านนี้มีวิชาอภินิหารยิ่งใหญ่จนสามารถได้ยินคำพูดหยอกล้อของตนบนเรือข้ามฟากนอกภูเขาห้อยหัว? ข้าก็แค่โม้กับห่านขาวใหญ่ไปอย่างนั้นเองนะ
โจวเฉิงพลันปิดปากหัวเราะ “ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องกลัวนะ วันหน้ามาที่นี่บ่อยๆ”
เผยเฉียนก็หัวเราะตามไปด้วย เพียงแต่ว่ามองดูแล้วน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก
โจวเฉิงคิดแล้วก็ยื่นมือมากระตุกเชือกยาวเส้นหนึ่ง จากนั้นบิดหมุนข้อมือหนึ่งก็มีเส้นด้ายสีทองกลุ่มหนึ่งผุดขึ้นมา นางโยนมันไปให้แม่นางน้อยที่ตัวเองถูกชะตาเบาๆ “รับไปแล้วก็ไม่ต้องเอามาคืนข้า แล้วก็ห้ามเอาไปทิ้ง ไม่อยากเรียนก็ปล่อยมันไว้ อย่างนั้น ไม่มีปัญหาอะไร”
การกระทำของเซียนกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มักจะทำให้คนรู้สึกประหลาดใจได้เสมอ
ชุยตงซานมองเผยเฉียนที่หน้าแหยไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ที่ไหนก็ยิ้มเอ่ยว่า “ยังไม่ขอบคุณพี่หญิงโจวอีกหรือ?”
เผยเฉียนไม่กล้ากุมหมัดคารวะ ได้แต่ประสานมือโค้งคำนับแทน
เดินห่างมาจากเซียนกระบี่หญิงและชิงช้าประหลาดแล้ว เผยเฉียนถึงได้กล้า ยื่นมือมาเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก ถามว่า “ไม่เป็นไรจริงๆ หรือ?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หากอาจารย์ถามเจ้าก็บอกไปว่าเก็บมาได้จากบนพื้น หากอาจารย์ไม่เชื่อ เดี๋ยวข้าจะพูดให้เขาเชื่อเอง”
เผยเฉียนกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย
เฉาฉิงหล่างกลั้นยิ้ม
จากนั้นมีอยู่วันหนึ่ง เผยเฉียนพลันเงยหน้ามองม่านฟ้ายามราตรี เฉาฉิงหล่างมองตามสายตาของนางไปถึงจะพอมองเห็นได้อย่างเลือนรางว่าบนจุดสูงของหัวกำแพง มีทะเลเมฆจุดหนึ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของแสงอาทิตย์อัสดง
ว่ากันว่าตรงนั้นมีเซียนกระบี่ท่านหนึ่งมักจะนอนหลับอยู่ตลอดทั้งปี เหมือนนอนอยู่บนเตียงผ้าฝ้ายหลากสีขนาดใหญ่
ชุยตงซานเหลือบตามองครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่มองอีก เจ้าคนที่ชอบสีสันฉูดฉาดผู้นี้ มีนามว่าหมี่อวี้ เป็นขอบเขตหยกดิบที่อาศัยเงินเทพเซียนดันขึ้นมา เพราะว่ามีพี่ชายดี เซียนกระบี่หมี่ฮู่ที่พลังพิฆาตของกระบี่บินไม่ถือว่าน้อย หากไม่เป็นเพราะยอมสละ โชควาสนาและรากฐานมากมายของตัวเองเพื่อมาปลูกฝังน้องชายคนนี้ อันที่จริงเดิมที่หมี่ฮู่ก็น่าจะเป็นขอบเขตเซียนเหรินแล้ว เพียงแต่ว่าผลได้ผลเสียของเรื่องนี้ ต่อให้ คนนอกจะรู้สึกว่าไร้ความหมายแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังเป็นการเลือกของตัว เซียนกระบี่หมี่ฮู่เอง หมี่ฮู่ชื่นชอบการเข่นฆ่าศัตรู ทุกครั้งล้วนเป็นการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยม
เล่าลือกันว่าครั้งที่น่าเวทนาที่สุดคือร่างกายและจิตวิญญาณของเขาเกือบจะถึงขั้น ‘ภูเขาสายน้ำปริแตกพังทลาย’ ทว่าเขาไม่เพียงแต่ขอบเขตไม่ถดถอย กลับกันยังสามารถหยัดยืนอยู่บนขอบเขตได้อย่างมั่นคง อีกทั้งยังมีความหวังว่าจะฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนไปสู่ระดับสูงอีกขั้นหนึ่งได้
ส่วนเซียนกระบี่หมี่อวี้ที่แสร้งทำตัวสุภาพงามสง่าได้มากกว่าใครในกำแพงเมืองปราณกระบี่ผู้นี้ นับว่าได้รับความนิยมในกลุ่มสตรีโตเต็มวัยไม่น้อย ไม่เพียงเท่านี้ เขายังมีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสตรีต่างถิ่นหลายคนด้วย
ชุยตงซานไม่ได้คิดจะหยุดอยู่ที่นี่ เป้าหมายในการเดินทางมาครั้งนี้อยู่ที่ เซียนกระบี่ใหญ่อีกคนหนึ่งที่ปากไม่มีหูรูดอย่างเยว่ชิง
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของอีกฝ่าย เล่มหนึ่งมีนามว่า ‘น้ำพุร้อยจั้ง’ เล่มที่สอง มีนามว่า ‘กระจอกเมฆบนฟ้า’ ไม่ว่าจะเป็นการจับคู่เข่นฆ่ากับคนอื่น หรืออยู่บนสนามรบ พลังพิฆาตก็ล้วนยิ่งใหญ่ทั้งคู่
แน่นอนว่าชุยตงซานในเวลานี้ไม่อาจเอาชนะ ‘ตัวสำรองสิบคน’ ที่มีชื่อเสียง เลื่องลือผู้นี้ได้ แต่ตนมีอาจารย์ แล้วอาจารย์ก็มีศิษย์พี่ใหญ่นี่นะ
เพียงแต่ชุยตงซานอุตส่าห์ไม่ไปหาเรื่องคนอื่นแล้ว แต่ปัญหากลับพุ่งเข้ามาหาเขาด้วยตัวเองเสียนี่
นี่ทำให้ชุยตงซานดีใจจะตายอยู่แล้ว
หมี่อวี้เซียนกระบี่ที่นอนอยู่บนเมฆเรืองรองลุกขึ้นนั่ง ยื่นมือออกมาปัดไอเมฆลี้ลับที่ราวกับปุยนุ่นออก ยิ้มถามว่า “พวกเจ้าก็คือลูกศิษย์ของเฉินผิงอันหรือ?”
ชุยตงซานยื่นมือมารั้งเผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างให้อยู่ข้างกาย แล้วก็ยกมือข้างนั้นเกาหัว “มีอะไรจะชี้แนะหรือ?”
หมี่อวี้ยิ้มกล่าว “ไม่เรียกว่าชี้แนะหรอก ข้าไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดมรรคาของพวกเจ้า เสียหน่อย ก็แค่รู้สึกปลาบปลื้มใจเท่านั้น ควันธูปสายเหวินเซิ่งบางเบา ตอนนี้อยู่ดีๆ กลับมีคนโผล่มาเยอะขนาดนี้ เฉินผิงอันมีความสามารถไม่น้อย ไม่เสียแรงที่เป็น ลูกศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่ง น่าชื่นชมน่ายินดี ควันธูปโชติช่วง มิน่าล่ะถึงอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราได้เจริญรุ่งเรืองเช่นนี้”
ชุยตงซานเอ่ยเสียงเบา “หากผู้อาวุโสยังพูดจาแปลกแปร่งอยู่เช่นนี้ ผู้น้อยก็คงต้องพูดจาแปลกแปร่งบ้างแล้วนะ”
หมี่อวี้เหมือนได้ยินเรื่องตลกใหญ่เทียมฟ้า เขาหัวเราะดังลั่นไม่หยุด สะบัดชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง เมฆหลากสีที่อยู่ข้างกายก็พลันแผ่กระจายตัว “เชิญพูดได้ตามสบาย ข้ายังไม่ถึงขั้นถือสาเด็กน้อยอย่างพวกเจ้าหรอก”
ชุยตงซานถามอย่างขุ่นเคืองว่า “เยว่ชิงผู้นั้นคือพ่อที่เป็นชู้กับแม่ท่านหรือ?”
ร่างของหมี่อวี้โน้มมาด้านหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หมายความว่าอย่างไร?”
เห็นเพียงว่าเด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ยอย่างน้อยใจว่า “พูดจาให้ระคายหูคนอื่นยังต้องมีเหตุผลด้วยหรือ หากท่านบอกแต่แรก ข้าก็คงไม่พูดแล้ว”
เหงื่อไหลรินมาตามสันหลังของเผยเฉียน เตรียมตัวพร้อมสำหรับตะโกนเรียกอาจารย์ลุงใหญ่อยู่ทุกเมื่อ ส่วนอาจารย์ลุงใหญ่จะได้ยินหรือไม่ ไม่ต้องสนใจ ถึงอย่างไรก็น่าจะพอเอามาข่มขู่คนได้อยู่กระมัง
เฉาฉิงหล่างกลับยิ้มเอ่ยคล้อยตามว่า “ศิษย์พี่เล็กมีเหตุผล”
นี่เป็นครั้งแรกที่เผยเฉียนรู้สึกว่าเจ้าตอไม้เฉาพอจะใช้ได้อยู่เหมือนกัน
ก่อนหน้านี้ไม่เห็นรู้สึกว่าเขาใจกล้าเลยนี่นา คิดมาตลอดว่าเขาขี้ขลาดยิ่งกว่าหมี่ลี่เสียอีก
หมี่อวี้ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะลงบนความว่างเปล่าเบาๆ ราวกับกำลัง สองจิตสองใจว่าควรจะ ‘อธิบายเหตุผล’ อย่างไร
เด็กหนุ่มชุดขาวเอ่ยว่า “ก็ได้ๆ ข้าผิดไปแล้ว เยว่ชิงไม่ใช่พ่อที่เป็นชู้กับแม่ท่าน ผู้น้อยยอมรับผิดจากใจจริง ผู้อาวุโสมีวิชากระบี่เลิศล้ำค้ำฟ้า อีกทั้งยังพูดเองด้วย คงไม่กลับคำกลายเป็นว่าถือสาผู้น้อยหรอกกระมัง”
หมี่อวี้เพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด
เขาหมี่อวี้ พี่ชายหมี่ฮู่ บวกกับเยว่ชิงเซียนกระบี่ใหญ่ที่พลังพิฆาตโดดเด่นเหนือใคร แค่นี้พอหรือไม่? หมี่อวี้รู้สึกว่าน่าจะพอแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่พี่ชายของตนและเยว่ชิงเองก็มีสหายอยู่ไม่น้อยเลยจริงๆ
ส่วนอีกฝ่ายกลับมีแค่จั่วโย่วคนเดียว
ส่วนเฉินผิงอันอะไรนั่น แล้วก็ลูกกระต่ายสายเหวินเซิ่งที่ระดับความอาวุโสต่ำ ยิ่งกว่าพวกนี้ จะนับเป็นอะไรได้?
หมี่อวี้ลุกขึ้นยืน เตรียมจะหาเหตุผลที่ฟังขึ้นมาสั่งสอนมดตัวน้อยใต้ฝ่าเท้าของตนพวกนี้สักหน่อย เซียนกระบี่พูดอะไร ไม่ว่าจะน่าฟังหรือไม่ ก็ล้วนต้องตั้งใจฟัง หุบปากเงียบไปแต่โดยดี
เผยเฉียนเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว รวมเสียงให้เป็นเส้นเอ่ยกับชุยตงซานว่า “ห่านขาวใหญ่ เจ้ารีบไปหาอาจารย์ลุงใหญ่เร็วเข้า! ข้ากับเฉาฉิงหล่างขอบเขตต่ำ เขาไม่มีทางฆ่าพวกเราแน่!”
แล้วนางก็แอบกระซิบกับเฉาฉิงหล่างว่า “อีกเดี๋ยวไม่ว่าข้าทำอะไร เจ้าก็ห้ามลงมือ แล้วก็ห้ามพูดด้วย! อย่าเปิดโอกาสให้เขาเล่นงานเจ้าได้!”
ชุยตงซานเกาหัว
ศิษย์พี่หญิงใหญ่
เจ้าไม่รู้จริงๆ ว่าอาจารย์ลุงใหญ่ของตนเป็นคนอย่างไร
ปีนั้นแม้แต่ฉีจิ้งชุนไอ้หมอนี่ก็ยังซ้อมเสียอ่วม นั่นยังเป็นคนกันเองด้วยนะ ถ้าอย่างนั้นเขาจั่วโย่วลงมือกับคนอื่น ออกกระบี่ใส่คนอื่น จะออมมือได้หรือ?
พริบตานั้น
ตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เกิดเสียงสายฟ้าคำรามครืนครั่นพุ่งตรงเข้ามาทางตำแหน่งนี้
หมี่อวี้หรี่ตาลง จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เรียกกระบี่บินออกมา แต่กลับไม่กล้าวางท่าว่าจะสังหารศัตรู เพียงแค่ป้องกันไว้เท่านั้น
ปราณกระบี่พุ่งมาถึงในเสี้ยววินาที แหวกผ่าค่ายกลกระบี่ของเซียนกระบี่หมี่อวี้มาได้อย่างง่ายดาย มีคนผู้หนึ่งยืนอยู่เหนือก้อนเมฆที่สลายไปเกินครึ่ง กระบี่ยาวที่อยู่ตรงเอวยังคงไม่ออกจากฝัก
หมี่อวี้ยืนนิ่งไม่กล้าขยับ
จนกระทั่งบัดนี้ หมี่อวี้ขอบเขตหยกดิบถึงได้ค้นพบว่า ยามที่มองคนผู้นี้เดินลึก เข้าไปในถิ่นของศัตรู ใช้หนึ่งกระบี่รับมือกับปีศาจใหญ่สองตัวอยู่ไกลๆ กับการที่ตนต้องเป็นศัตรูกับเขาเอง คือฟ้าดินสองอย่างที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
คนผู้นั้นที่ปราณกระบี่ของทั้งร่างล้วนถูกเก็บไปหมดยืนอยู่ข้างกายหมี่อวี้ แต่กลับไม่ได้มองหมี่อวี้ เพียงมองไปเบื้องหน้า พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมยว่า “สายของเหวินเซิ่ง หลักการเหตุผลหนักเกินไป กระบี่ผุๆ เล่มนั้นของเจ้ารับไม่ไหว เศษสวะอย่างเจ้าคู่ควรด้วยหรือ?”
เฉาฉิงหล่างประสานมือคารวะ “เฉาฉิงหล่างแห่งภูเขาลั่วพั่วคารวะท่านอาจารย์ลุงใหญ่”
เผยเฉียนรีบพูดเสริม แล้วก็ประสานมือคารวะตามไปด้วย “เผยเฉียนแห่งภูเขาลั่วพั่ว น้อมต้อนรับท่านอาจารย์ลุงใหญ่ที่ใหญ่ที่สุด!”
พอยืดตัวขึ้น เผยเฉียนก็ยังรู้สึกไม่สาแก่ใจ ดังนั้นจึงกำหมัดแน่น เขย่งเท้ายืดคอชะเง้อ โบกมือไปยังแผ่นหลังที่อยู่ในมุมสูงนั้นอย่างแรง “อาจารย์ลุงใหญ่ต้องระวังนะ ไอ้หมอนี่ใจดำนักล่ะ!”
จั่วโย่วหันหน้ามามอง อยู่ดีๆ ก็มีศิษย์หลานโผล่มาสองคน อันที่จริงในใจเขา ก็รู้สึกขัดเขินนิดๆ รอจนชุยตงซานไสหัวไปไกลๆ อย่างรู้กาลเทศะแล้ว จั่วโย่วถึงได้พยักหน้าให้เด็กหนุ่มชุดเขียวกับแม่นางน้อยคู่นี้ นี่น่าจะถือว่าเป็นการพูดว่า ‘อาจารย์ลุงใหญ่ทราบแล้ว’ ได้แล้ว
จั่วโย่วเอ่ย “หมี่อวี้ เจ้าจะเรียกเยว่ชิงและหมี่ฮู่มา หรือจะให้ข้าช่วยทักทาย พวกเขาแทนเจ้า?”
หมี่อวี้หน้าซีดขาว
เพราะว่าตัวเขาตกอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็ก ไม่เพียงแค่นี้ แค่เขาเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็มีปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุดเหมือนกระบี่บินนับพันนับหมื่นเล่มที่พากัน หันปลายกระบี่แหลมคมมาทางเขา
ชุยตงซานยกสองมืออุดปาก แต่กลับกดเสียงพูดเน้นย้ำทีละคำช้าๆ ว่า “อาจารย์ ลุงใหญ่ ต้องชนะนะ”
จากนั้นชุยตงซานก็ไปหลบอยู่ด้านหลังเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่าง
เพราะกังวลจริงๆ ว่าอาจารย์ลุงใหญ่ผู้นี้จะปล่อยกระบี่ใส่ตนอีกรอบ
เรื่องสังหารปีศาจ จั่วโย่วเคยทุ่มเทแรงใจทั้งหมดอย่างแท้จริงด้วยหรือ?
นอกจากคนไม่กี่คนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ก่อนจะมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ก็ยังไม่เคยรู้ ดังนั้นจึงเพิ่งจะมารู้เอาตอนนี้
ชุยตงซานคลี่ยิ้มเมตตา เจ้าตะพาบที่พอจะมีเวทกระบี่เล็กๆ น้อยๆ อย่างจั่วโย่วผู้นี้ ไม่ซ้อมคนกันเอง แต่เล่นงานคนนอกก็พอจะช่วยคลายโทสะได้บ้างจริงๆ
เผยเฉียนเหน็บไม้เท้าเดินป่าไว้ใต้รักแร้ มือสองข้างวางไว้เบื้องหน้า ปรบเข้าด้วยกันเบาๆ
ชุยตงซานยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ผ่านวันนี้ไป เรื่องที่สายเหวินเซิ่งไม่มีเหตุผลก็จะ แพร่ไปทั่วกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว”
เผยเฉียนถาม “ทำไมล่ะ?”
เฉาฉิงหล่างแค่นเสียงเย็นเอ่ยว่า “คนอื่นรู้สึกว่าหลักการเหตุผลหลายๆ อย่างมักจะอยู่บนมือของผู้อ่อนแอที่เปลี่ยนจากผู้แข็งแกร่งมาเป็นผู้อ่อนแอ นี่ก็เพราะ พวกเขาไม่เคยมีความรู้สึกร่วมด้วย”
ชุยตงซานหัวเราะร่า “อย่าเลียนแบบเด็ดขาดเชียวนะ”
เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า “ข้าแค่รู้ว่ามีเรื่องพวกนี้ และข้าก็เรียนรู้จากแค่อาจารย์เท่านั้น”
จั่วโย่วไม่ได้สนใจชุยตงซาน พอถอนสายตากลับมาแล้วก็ทอดมองไปเบื้องหน้า สีหน้าเฉยชา ก่อนจะเอ่ยต่อว่า “หมี่อวี้ เยว่ชิง ออกจากเมืองไปเปิดศึกกับข้า แค่แบ่งแพ้ชนะเท่านั้น เมื่อแพ้ก็ยอมรับความพ่ายแพ้ซะ แต่หากยินดีจะให้ตัดสิน เป็นตายก็ไปตายได้เลย”
เซียนกระบี่หมี่อวี้ใช้เสียงในใจเอ่ยว่า “ข้าขอยอมแพ้เจ้า และจะยังเอ่ยขออภัยด้วย”
เยว่ชิงกลับไม่ได้เอ่ยตอบ
ดังนั้นร่างของจั่วโย่วจึงวูบหายไป ไปหาเยว่ชิงผู้นั้น
เวลานี้เจ้าเยว่ชิงถึงเพิ่งจะรู้ว่าควรทำตัวเป็นคนใบ้ใช่ไหม?
ก่อนหน้านี้ข้าจั่วโย่วใช้กระบี่งัดปากเจ้าให้เอ่ยถ้อยคำระยำเหล่านั้นหรือไร?
ชุยตงซานเรียกเรือยันต์ออกมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “จะรอดูอะไร ไม่มีอะไรน่าดูหรอก กลับบ้านๆ อาจารย์ลุงใหญ่ของพวกเจ้ายามตีกับผู้อื่นไร้ข้อพิถีพิถัน ไร้ความสุภาพและไร้อารยธรรมที่สุดแล้ว”
ชุยตงซานกับเผยเฉียนนั่งอยู่ด้านข้างฝั่งซ้ายขวาของเรือคนละฝั่ง ต่างคนต่างถือไม้เท้าเดินป่าแล้วยังทำท่าเหมือนแจวเรือ ชุยตงซานพูดจาน่าเชื่อถือบอกกับ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ของเขาว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะเดินทางกลับได้เร็วยิ่งกว่าเดิม
เฉาฉิงหล่างรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อย มองเผยเฉียนที่ออกแรงพายเรือเต็มกำลังแล้วยังหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ก็ไม่รู้ว่านางเชื่อจริงๆ หรือแค่รู้สึกสนุกกันแน่
เวลานี้ชุยตงซานมีสีหน้าสดชื่นปลอดโปร่ง ฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนเรือข้ามฟาก กระดกก้นใช้สองมือต่างไม้พายแล้วออกแรงพายอย่างตั้งใจ
ก่อนหน้านี้ที่ตนโดนกระบี่นั้นไป นอกจากจะพูดเรื่องเป็นการเป็นงานได้จบแล้ว ก็ยังได้พูดถึงคุณความชอบยิ่งใหญ่ของเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงไปด้วย การค้าครั้งนี้ ไม่ขาดทุนจริงๆ
ดึกดื่นค่อนคืนกว่าจะกลับไปถึงจวนหนิง
เผยเฉียนไม่ได้เจอกับอาจารย์แม่ที่อยู่ระหว่างการปิดด่านก็อดผิดหวังนิดๆ ไม่ได้
เฉินผิงอันกับชุยตงซานไปคุยธุระกันที่ศาลาหน้าผาสังหารมังกร
เฉาฉิงหล่างไปฝึกตนยังที่พักของตัวเอง
เรื่องที่เซียนกระบี่ใหญ่สองท่านเปิดศึกบนหัวกำแพงแพร่ไปทั่วกำแพงเมือง ปราณกระบี่อย่างรวดเร็ว
ว่ากันว่าเซียนกระบี่เยว่ชิงถูกจั่วโย่วบังคับลากออกมาจากหัวกำแพงเมือง ร่างของเขาถูกตีกระเด็นไปทางทิศใต้
นี่ก็คือการต่อสู้ตัดสินเป็นตายโดยที่ไม่เหลือพื้นที่ให้เยว่ชิงเลือกแล้ว
สุดท้ายได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลายท่านพากันห้ามปราม
กลางดึกคืนนี้ แสงกระบี่ทางทิศใต้สว่างโชติช่วงราวกับดวงตะวันลอยกลางนภา เป็นเหตุให้ตลอดทั้งนครถูกสาดสะท้อนราวกับเวลากลางวัน
สุดท้ายแล้วก็ไม่เกิดเรื่องใหญ่ร้ายแรงอย่างการมีคนตาย
ถึงอย่างไรกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็เห็นเรื่องใหญ่กันมาจนชินตาแล้ว ก็แค่จะมีคน ดื่มเหล้าเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
กิจการของร้านเตี๋ยจ้างจึงดีมากขึ้นกว่าเดิม
ช่วงนี้น่าหลันเย่สิงพลันรู้สึกว่าสายตาที่ยายแก่ป๋ายเลี่ยนซวงมองตนน่าขนลุก อยู่ไม่น้อย
ลองนับนิ้วดูถึงได้ค้นพบว่าช่วงนี้จำนวนครั้งที่นางเรียกตนว่าสุนัขเฒ่าน่าหลันเหมือนจะน้อยลงไปมาก และความน่าเกรงขามก็ด้อยกว่าเดิมเยอะ
นี่ทำให้น่าหลันเย่สิงรู้สึกขนพองสยองเกล้าอยู่สักหน่อย
จากนั้นก็ได้เจอกับเด็กหนุ่มชุดขาวที่ยิ้มกว้างเรียกตนว่าท่านปู่น่าหลัน น่าหลันเย่สิงเดินเคียงบ่าไปกับเขา แล้วจึงถามว่า “ตงซานอ่า ช่วงนี้เจ้าไปพูดอะไรกับป๋ายหมัวมัวหรือไม่?”
ชุยตงซานพยักหน้ารับ “ใช่สิ ป๋ายหมัวมัวคือผู้อาวุโสของจวนหนิงนะ ผู้น้อยย่อมต้องพูดคุยทักทายด้วยอยู่แล้ว”
น่าหลันเย่สิงยิ้มกล่าว “นอกจากทักทายแล้วยังพูดอะไรอีกหรือไม่?”
ชุยตงซานกระทืบเท้า พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “ก็น่าจะพูดอะไรบางอย่างนั่นแหละ แต่ทำไมถึงลืมได้นะว่าพูดอะไรไปบ้าง ข้าคนนี้ไม่ชอบจดจำความแค้น ยิ่งจดจำ เรื่องอะไรไม่ค่อยได้ ไม่ดีเลยจริงๆ”
น่าหลันเย่สิงหยุดอยู่ที่เดิม มองเด็กหนุ่มชุดขาวที่กระโดดผลุงไปด้านหน้าจน ชายแขนเสื้อใหญ่สะบัดเป็นวงกว้าง แล้วก็ให้นึกถึงช่วงเวลาแรกเริ่มสุดที่คนทั้งสองเรียกกันเป็นพี่เป็นน้องขึ้นมา
เช้าตรู่ของวันนี้เผยเฉียนเรียกให้ชุยตงซานไปเป็นผู้คุมกันตน จากนั้นนางก็ถือ ไม้เท้าเดินป่า สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็ก เดินอาดๆ อยู่บนถนนที่เงียบสงัดนอกกำแพงสูงของจวนตระกูลกวอ
บังอาจเกินไปแล้ว ไร้มารยาทเกินไปแล้ว ศิษย์พี่หญิงใหญ่มาเยือนแล้วแต่กลับไม่ออกมาต้อนรับ ยังถือเป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวของอาจารย์พ่อตนได้อีกหรือ? ไม่ได้หรอกนะ
ช่างเถิด ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่านางไม่มีวาสนากับศิษย์พี่หญิงใหญ่ วันหน้า ภูเขาลั่วพั่วย่อมไม่มีที่ทางสำหรับนาง แล้วก็อย่ามาโทษว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ให้โอกาสก็แล้วกัน ให้แล้วแต่รับไว้ไม่ได้อีก น่าสงสาร น่าเวทนาจริงๆ
คิดไม่ถึงว่าบนหัวกำแพงจะมีศีรษะหนึ่งโผล่มา สองมือวางค้ำไว้บนหัวกำแพง สองเท้าลอยต่องแต่ง นางถามว่า “นี่ เจ้าตัวเล็กบนถนนนั่นน่ะ เจ้าเป็นใครกัน? ไม้เท้าเดินป่าและหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าสวยจริงๆ แค่ยิ่งขับให้เจ้าดูดำขึ้นไปอีก ก็เท่านั้น”
เผยเฉียนยืนอยู่ที่เดิม หันหน้าไปมอง
กวอจู๋จิ่วเบิกตากว้างมองเผยเฉียน ถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคงไม่ใช่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ที่สำหรับในใจข้าแล้วหน้าตางดงามราวบุปผา เป็นโฉมสะคราญงามล่มบ้านล่มเมือง วิชาหมัดไร้เทียมทาน เรือนกายสูงแปดจั้งหรอกนะ?”
เผยเฉียนถอนสายตากลับมา มองไปยังห่านขาวใหญ่ด้วยแววตาลำบากใจ
ทว่าห่านขาวใหญ่กลับไร้คุณธรรม แสร้งทำตัวหูหนวกเป็นใบ้เสียอย่างนั้น
ดังนั้นพอกลับมาถึงจวนหนิง ยามฟุบตัวอยู่บนโต๊ะของอาจารย์พ่อ เผยเฉียนจึงมีท่าทางเซื่องซึมเล็กน้อย
เฉินผิงอันวางตราประทับที่อยู่ในมือลง ยิ้มถามว่า “ทำไม เจอแม่นางน้อยลวี่ตวนผู้นั้นแล้วก็เลยอารมณ์ไม่ค่อยดีงั้นหรือ?”
เผยเฉียนอืมรับหนึ่งที “อาจารย์พ่อ ข้าไม่ได้มาฟ้องท่านลับหลังอะไรหรอกนะ แต่ข้าไม่ค่อยชอบนางเท่าไรเลย”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ศาลบรรพจารย์บนภูเขาลั่วพั่วของพวกเราไม่มีกฎบอกว่าจะต้องชอบใครมากกว่าใครเสียหน่อย ขอแค่ต่างฝ่ายต่างรักษากฎก็เพียงพอมากแล้ว”
เผยเฉียนรีบลุกขึ้นนั่ง พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกลง! ไม่อย่างนั้นหากต้องให้ข้าแกล้งทำเป็นชอบนางต้องยากมากแน่ๆ !”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ต้องจงใจทำเช่นนี้ แต่ก็จำไว้ว่าห้ามมองคนอื่น ด้วยอคติเด็ดขาด จะได้เป็นเพื่อนกันหรือไม่ก็ต้องดูที่โชควาสนา”
เผยเฉียนคลี่ยิ้มดุจบุปผาผลิบาน
กวอจู๋จิ่วอะไรนั่น ต่อให้ได้กลายเป็นลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วแล้วก็ยังต้องเรียก ข้าว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่อยู่ดีไม่ใช่หรือ?
เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะขยับตัวนั่งตรงอย่างสำรวม “ต่อจากนี้อาจารย์จะพูดถึงเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวพันกับความถูกความผิด ต่อให้อาจารย์ถามเจ้า เจ้าจะไม่ตอบอะไรก็ได้ แต่หลังจากที่ความเสียใจผ่านไปแล้ว เจ้าคิดถึงอะไรขึ้นมาได้ก็บอกอาจารย์ ขณะเดียวกันก็จำไว้ว่า ในเมื่ออาจารย์ยินดีจะพูดจาแรงๆ กับเจ้า นั่นก็เป็นเพราะรู้สึกว่าเจ้าสามารถรับได้ เพราะยอมรับว่าเผยเฉียนคือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของข้า อีกอย่างไม่ใช่อาจารย์ไม่รู้ว่าเผยเฉียนในอดีตคือใคร แต่กระนั้นยังยินดีจะรับเจ้า เป็นลูกศิษย์ นั่นก็แสดงว่าไม่ได้มองแค่ความดีของเจ้าและการเปลี่ยนแปลงไปในทาง ดีขึ้นของเจ้า ถูกหรือไม่?”
เผยเฉียนหน้าซีดขาว นางเองก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวมเช่นกัน มือทั้งสองกำ เป็นหมัด พยักหน้ารับเบาๆ ด้วยสายตาเด็ดเดี่ยว
เฉินผิงอันถึงได้เอ่ยต่อว่า “วันนี้อาจารย์จะพูดเรื่องในอดีตกับเจ้า ไม่ใช่พลิก บัญชีเก่ามาซักไซ้เอาผิด แต่ก็สามารถพูดว่าพลิกบัญชีเก่าได้ เพราะอาจารย์รู้สึกมาโดยตลอดว่าความผิดความถูกนั้นดำรงอยู่มาโดยตลอด นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่เป็นรากฐานที่สุดในใจของอาจารย์ ข้าไม่หวังว่าความดีของเจ้าในวันนี้จะสามารถกลบทับความผิดในอดีตได้ ขณะเดียวกันอาจารย์เองก็เห็นด้วยจากใจจริงว่า ความดีของเจ้า ในวันนี้ได้มาไม่ง่าย และอาจารย์ยิ่งไม่มีทางเอาความผิดของเจ้าในอดีตมาปฏิเสธ ความดีของเจ้าในตอนนี้และในอนาคต ไม่ว่าจะเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ อาจารย์ล้วนให้ความสำคัญและทะนุถนอมเห็นค่า”
เผยเฉียนตาแดงก่ำ ยกมือขึ้นมาเช็ดดวงตา ก่อนจะรีบวางมือลงทันใด “อาจารย์พ่อโปรดพูด เผยเฉียนฟังอยู่”
สีหน้าของเฉินผิงอันเด็ดเดี่ยว ไม่ได้จงใจกดเสียงลงต่ำ เพียงแค่พูดเนิบช้าด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ข้าเคยถามเฉาฉิงหล่างว่าปีนั้นตอนที่อยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัว เขาเคยเป็นฝ่ายหาเรื่องต่อยตีกับเจ้าก่อนหรือไม่ เขาบอกว่าเคย ข้าจึงถามเขาอีกว่า ปีนั้นเผยเฉียนเคยพูดต่อหน้าเขาหรือไม่ว่า นางเผยเฉียนที่อยู่บนถนนใหญ่เคยได้เห็นบางสิ่งที่คนข้างกายติงอิงถือไว้ในมือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเฉาฉิงหล่างตอบว่าอย่างไร? เฉาฉิงหล่างตอบอย่างไม่ลังเลว่าเจ้าไม่เคยพูด ข้าเลยบอกกับเขาว่าให้พูดความจริง ไม่อย่างนั้นอาจารย์จะโกรธ เฉาฉิงหล่างก็ยังบอกว่าไม่เคย”
เผยเฉียนหน้าเบ้ ริมฝีปากสั่นระริก น้ำตาพลันไหลอาบเต็มใบหน้า “เคย อาจารย์ เคย ข้าเคยพูด วันนั้นเฉาฉิงหล่างเสียใจมากราวกับเป็นบ้า เขาเป็นฝ่ายมาต่อยตีกับข้าก่อน ข้ายังยกม้านั่งฟาดเขาด้วย”
เฉินผิงอันนั่งอยู่ตรงนั้น เอ่ยว่า “เผยเฉียน ควรจะทำอย่างไร เจ้าลองไปคิดเองและลงมือทำ แต่อาจารย์จะบอกกับเจ้าว่า ในชีวิตของพวกเราทุกคน ไม่เพียงแต่เจ้า ตัวอาจารย์เองก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าความผิดทุกอย่างที่ทำลงไป ต่อให้เราจะรู้ว่าทำผิด แล้วจะมีโอกาสให้แก้ไขชดเชยได้ ถึงขั้นที่ว่าความผิดหลายๆ อย่าง ต่อให้พวกเราทำผิดแล้วอยากแก้ไข ก็ไม่มีโอกาสอีกแล้ว ไม่มีแล้ว นอกจากนี้ข้าเองก็หวังให้เจ้าเข้าใจว่า ไม่ใช่ว่าเฉาฉิงหล่างไม่คิดจดจำความแค้น ไม่ใช่ว่าเขารู้สึกว่านี่เป็นเรื่องไม่สำคัญ เพียงแต่เขายินดีจะให้อภัยเจ้า ทว่าคนอื่นให้อภัยกับการที่เราทำผิด คือคนละเรื่องกัน เรื่องราวทางโลกก็ซับซ้อนเช่นนี้ บางทีพวกเราอาจเป็นคนดีที่ทำความดี แต่ความผิดมากมายก็ยังคงอยู่ ยังคงอยู่ตลอดมา ต่อให้ทุกคนต่างก็จำไม่ได้แล้ว แต่ตัวเองก็ยัง จำได้ ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเหตุผลมากมาย มีเหตุผลนับร้อยนับพันให้ทำความผิด แล้วความผิดจะไม่ใช่ความผิดอีกต่อไป”
เผยเฉียนนั่งร้องไห้โฮอยู่ตรงนั้น
เฉินผิงอันลุกขึ้นขยับมานั่งบนม้านั่งยาวข้างกายนาง “วันนี้อาจารย์พ่อของเจ้าทำให้เจ้าเสียใจแบบนี้ แล้ววันหน้าหากเจ้าทำผิดอีก อาจารย์พ่อก็ยังจะทำเช่นนี้อีก เจ้าจะทำอย่างไร?”
เผยเฉียนยื่นมือข้างหนึ่งออกมากระตุกชายแขนเสื้อของอาจารย์พ่ออย่างกล้าๆ กลัวๆ พูดเสียงสะอื้นว่า “อาจารย์พ่อไม่ต้องการข้าแล้วใช่ไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่ใช่ กว่าจะสอนเผยเฉียนคนเมื่อวานให้กลายเป็นเผยเฉียนวันนี้ได้ ตัดใจทิ้งไม่ลงหรอก”
เขาหันตัวมาลูบหัวของเผยเฉียนเบาๆ พูดกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า “เพราะบางครั้งชีวิตของอาจารย์ก็ยากลำบากมากนี่นา”
แล้วเผยเฉียนก็ร้องไห้ปานจะขาดใจอีกครั้ง
คิดถึงพ่อแม่ระหว่างที่เดินทางลี้ภัยด้วยกัน คิดถึงขอทานน้อยในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนที่นอนอยู่บนสิงโตหินนับดวงดาวในวันที่อากาศร้อนจัด คิดถึง ท่านปู่ชุยที่จากไปโดยไม่บอกลานาง แล้วก็พลันคิดถึงเรื่องทุกอย่าง
ทุกเรื่องที่ไม่ยินดีคิด เรื่องที่ยินดีคิดแต่กลับไม่กล้าคิด ล้วนพากันไหลบ่าทะลัก สู่หัวใจในฉับพลัน
กลางระเบียงนอกห้องมีฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งถูกสร้างขึ้นอย่างเงียบเชียบ
เฉาฉิงหล่างเปลี่ยนจากยืนมาเป็นนั่งลงบนพื้น เอนหลังพิงผนัง
ชุยตงซานศิษย์พี่เล็กนั่งอยู่ข้างกายเขา
และศิษย์พี่เล็กคนนี้ก็รักษาฟ้าดินเล็กแห่งนั้นเอาไว้ขณะที่พาเขาออกมาจากเรือนอย่างเงียบเชียบ
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “ในใจรู้สึกดีขึ้นเยอะแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่เล็ก”
ชุยตงซานเอ่ย “ได้เจอกับอาจารย์ของพวกเรา ไม่ใช่เรื่องสมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดินอะไรทั้งนั้น เจ้าและข้ามาพยายามไปร่วมกัน”
เฉาฉิงหล่างถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก้มตัวคารวะอยู่นานไม่ยอมยืดตัวขึ้นมา
ชุยตงซานพลันโหวกเหวกขึ้นว่า “ไม่ได้การๆ มาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ถูกอาจารย์ลุงใหญ่ใช้หนึ่งกระบี่ฟาดให้ร่วงลงจากหัวกำแพงก็ถูกท่านปู่น่าหลันรังแก ข้าต้องเอามาดของศิษย์พี่เล็กออกมาใช้เสียหน่อย ต้องหาคนมาเล่นหมากล้อมด้วยแล้ว! พวกเจ้ารอไปก่อนเถอะ อีกไม่นานก็จะได้ยินเรื่องราวอันรุ่งโรจน์ของศิษย์พี่เล็กแล้ว! ชนะเขา จะไปยากอะไร ชนะสามครั้งห้าครั้งติดก็ไม่นับเป็นผายลมอะไรได้ มีเพียงชนะจน ตัวเขาเองอยากจะแพ้ต่อไป นั่นต่างหากถึงจะแสดงให้เห็นว่าวิชาหมากล้อมของ ศิษย์พี่เล็กเจ้าพอจะใช้ได้”
เมฆขาวก้อนหนึ่งล่องลอยไปทางหัวกำแพงเมืองอย่างเนิบช้า
ไปหาคุณชายใหญ่หลินจวินปี้ผู้นั้นแล้ว
ระหว่างทางที่มุ่งไป ชุยตงซานถึงกับคิดคำพูดโหมโรงไว้เรียบร้อยแล้ว
คุณชายหลิน บังเอิญยิ่งนัก ยังอ่าน ‘ตำราเมฆหลากสี’ อยู่อีกหรือ บอกตามตรง อันที่จริงข้าเองก็เล่นหมากล้อมเป็นเหมือนกัน วิชาหมากล้อมของเจ้าสูงขนาดนี้ เจ้ายอมต่อให้ข้าสักสามเม็ดเป็นอย่างไร ไม่เกินไปกระมัง? ข้าเป็นใคร? ข้าคือตงซานนะ
ชายแขนเสื้อดุจดั่งเมฆขาว
ชุยตงซานหันหน้าหาท้องฟ้าหันหลังให้พื้นดิน มือเท้าโบกสะบัดเป็นท่าว่ายน้ำ
ดินและน้ำของพื้นที่หนึ่งหล่อเลี้ยงคนแบบหนึ่ง ราชวงศ์เส้าหยวนนั่นคือสถานที่ ที่ดีจริงๆ