บทที่ 630 ปราณสังหารมีอยู่ทุกหนแห่ง
ผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวานล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกตนอย่างสมชื่อ คือลูกรักแห่งสวรรค์อันดับหนึ่ง การที่ขอบเขตยังไม่สูงมากก็เพียงแค่เพราะสาเหตุเดียว นั่นคืออายุยังน้อย
ด้วยเหตุนี้เรื่องของจิตหยินออกจากร่างเดินทางไกลจึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่สำหรับพวกเขา เพียงแต่ว่าจิตหยินของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามออกเดินทางกลับเป็นเรื่องที่หาได้ยาก และสามารถปล่อยจิตหยินออกมาข้างนอกได้เป็นระยะเวลานานในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ปล่อยให้มาอยู่ท่ามกลางฟ้าดินที่ปราณกระบี่เปี่ยมล้นโดยไม่เปิดเผยร่องรอยแม้แต่น้อยเช่นนี้กลับยิ่งเป็นเรื่องประหลาด
เพียงแต่ว่าเมื่อเรื่องแบบนี้มาเกิดกับตัวเฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ที่รวมถึงหมี่อวี้ จึงคร้านจะสืบเสาะให้ลึกซึ้ง
กลับเป็นลู่จือที่มองอยู่นาน แล้วยังใช้เสียงในใจสอบถามเฉินผิงอันโดยตรง “เฉินผิงอัน ก่อนหน้านี้เจ้าล่อให้หย่างจื่อ หวงหลวนลงมือ แรกเริ่มก็คิดจะให้พวกเขาบรรลุผลอยู่แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันวาดวงกลมไว้ในสมุดปิ่งเปิ่น ช่วยหวังซินสุ่ยเลือกผู้ฝึกกระบี่เซียนดินฝ่ายของตัวเองออกมายี่สิบคน ขณะเดียวกันก็ใช้ริ้วคลื่นเสียงในใจตอบกลับลู่จือ “การตกปลาทั่วไป พอเบ็ดหย่อนลงน้า ล่อให้ปลาใหญ่มางับเหยื่อ ต่อให้สุดท้ายแล้วปลาใหญ่จะถูกกระชากขึ้นฝั่ง แต่เหยื่อล่อนั่นยังเหลืออยู่ไหม? เจ้าก็พูดเองว่า สัตว์เดรัจฉานเฒ่าที่มีอายุอยู่มาจนปูนนี้อย่างหย่างจื่อไม่มีทางเป็นคนโง่ ขัดขวางการถอยหนีของพวกมัน แน่นอนว่าต้องให้ข้าเป็นตัวล่อก่อน ไม่อย่างนั้นสถานการณ์ ล้อมฆ่าของเซียนกระบี่ฝ่ายเราย่อมไม่มีทางมั่นคงได้แน่”
ลู่จือขมวดคิ้ว “หากจิตหยินแตกสลาย ก็ต้องมีจุดจบที่รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย เจ้าเป็นถึงอิ่นกวาน ไยต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จิตหยินของผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง แลกเปลี่ยนมาด้วยปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานสูงสุดของใต้หล้าเปลี่ยวร้างสองตน เป็นการค้าที่คุ้มค่ายิ่ง”
ลู่จือลังเลไปเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ที่เฉินผิงอันพูดอ้อมค้อมไปมา อันที่จริงลู่จือ ไม่ค่อยชอบนัก จึงพูดโพล่งไปตรงๆ ว่า “ขอเจ้าช่วยจริงใจต่อกันหน่อย”
เฉินผิงอันเงียบไปครู่หนึ่ง “หากสายอิ่นกวานคิดจะหยัดยืนได้อย่างมั่นคง ลำพังแค่อาศัยผลงานทางการสู้รบที่มองไม่เห็น ยังไม่พอ ปัญหาใหญ่ที่สุดของสายอิ่นกวานก็คือหลบอยู่เบื้องหลัง ปลอดภัยเกินไป ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ แต่กลับไม่เคยปล่อยกระบี่ หากเป็นช่วงเวลาที่สงครามราบรื่นย่อมไม่มีปัญหา แต่เมื่อกำแพงเมืองปราณกระบี่เป็นฝ่ายสูญเสียในสงครามมากเข้า สายอิ่นกวานก็จะถูกวิพากษ์วิจารณ์ นี่เป็นความรู้สึกของคนปกติทั่วไป ดังนั้นข้ารีบจ่ายค่าตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ ไปเสียแต่เนิ่นๆ ก็จะสามารถทำให้สายอิ่นกวานได้รับผลกระทบด้านจิตใจน้อยลง และหากจิตใจของสายอิ่นกวานจดจ่อมุ่งมั่น ยามที่วางแผนคิดกลยุทธ จัดวางกองกำลังจัดตั้งขบวนรบ เมื่อดูจากระยะยาวแล้ว กำแพงเมืองปราณกระบี่จะได้ผลประโยชน์มหาศาล”
ลู่จือส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ที่เจ้าพูดน่าจะเป็นความจริง แต่ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ได้พูดเหตุผลทั้งหมดออกมา”
เฉินผิงอันไม่ได้ปฏิเสธ “คำพูดในใจบางอย่างควรเหลือค้างไว้ก่อน เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ ก็อย่าเพิ่งมาซักไซ้เอาตอนนี้เลย ไม่มีความหมายหรอก”
ยกตัวอย่างเช่นศิษย์พี่จั่วโย่วได้รับบาดเจ็บสาหัส เหตุใดเฉินผิงอันถึงไม่เจ็บแค้นเดือดดาล? เป็นเพราะว่าเขามีกลอุบายลึกลับ เชี่ยวชาญการข่มกลั้นอารมณ์จริงๆ งั้นหรือ? แน่นอนว่าไม่ใช่
เพราะว่าส่วนลึกในใจของเฉินผิงอันหวังให้ศิษย์พี่จั่วโย่วได้มีชีวิตอยู่รอด อีกทั้งยังถามใจตัวเองแล้วไม่ละอาย สรุปก็คือต้องไม่ใช่คำว่า ‘อย่างไรก็ตายอยู่ดี’ (ภาษาจีนใช้คำว่าจั่วโย่วซื่อเก้อสื่อ 左右是个死 แปลตรงตัวได้อีกอย่างคือจั่วโย่วต้องตาย)
ตอนที่อยู่บนลานประลองยุทธของจวนหนิง เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเคยเอ่ยว่าหากเป็นผลลัพธ์ที่ดี ย้อนกลับไปมองชีวิตคน ทุกเรื่องล้วนดีงาม
ก็คือหลักการนี้
ดังนั้นเกี่ยวกับการที่ตอนนั้นเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกักขังจิตหยินของตน ไม่อนุญาตให้ตนมาแจ้งข่าวแก่ศิษย์พี่ว่าจะต้องระวังการลอบโจมตีจากอิ่นกวาน
หลังจบเรื่องเฉินผิงอันไปเยี่ยมศิษย์พี่ที่กระท่อม แต่กลับไม่โกรธเคืองเซียนกระบี่ใหญ่ ผู้อาวุโส ยิ่งไม่อาฆาตแค้น
เรื่องราวทางโลกอย่าได้พูดถึงคำว่า ‘ถ้าหาก’ ไม่มีคำว่าถ้าหากจั่วโย่วถูกเซียวสวิ้นอดีตอิ่นกวานต่อยตายด้วยหมัดเดียวอะไรทั้งนั้น
เฉินผิงอันยุติบทสนทนาครั้งนี้ “ลู่จือ เจ้าแค่ทุ่มเทกายใจปกป้องสายอิ่นกวานให้เต็มที่ แค่มีกระบี่ก็พอ ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองแรงใจกับเรื่องอื่น”
ลู่จือเอ่ยหยอกล้ออย่างที่หาได้ยาก “ใต้เท้าอิ่นกวานช่างมีมาดขุนนางใหญ่โตยิ่งนัก”
เฉินผิงอันจึงได้แต่ฝืนใจเลียนแบบลูกศิษย์ของตน เอาวิชานอกรีตของภูเขาลั่วพั่วออกมาใช้ด้วยการยิ้มบางๆ เอ่ยไปอีกประโยคว่า “วิชาอภินิหารเวทกระบี่ของ เซียนกระบี่ใหญ่ลู่ไม่กี่วันก็เดินขึ้นฟ้าได้ มาดขุนนางของผู้น้อยใหญ่หรือไม่ใหญ่ ในสายตาของผู้อาวุโสแล้วก็ไม่ใช่เรื่องตลกที่เอามาแกล้มสุราเท่านั้นหรอกหรือ”
ลู่จือยิ้มรับ
เฉินผิงอันแบ่งสมาธิออกเป็นสามส่วน
คัดตัวเซียนกระบี่แต่ละคนที่อยู่ในปิ่งเปิ่น ใช้เสียงในใจสื่อสารกับหวังซินสุ่ยที่รับผิดชอบเขียนสมุดปิ่งเปิ่นอยู่เป็นระยะ
คอยจับตามองความเคลื่อนไหวบนม้วนภาพวาดที่กางอยู่บนทางเดินม้า นี่ก็คือหน้าที่ของอิ่นกวาน ใช้อำนาจหาใช่ปล่อยปละละเลย
และยังต้องคอยสังเกตผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิบเอ็ดคนอย่างละเอียด ฟังบทสนทนา การแลกเปลี่ยนสื่อสารระหว่างพวกเขา เหมือนกับขุนนางกรมขุนนางที่คอยสำรวจตรวจสอบทั้งขุนนางฝ่ายในและขุนนางที่ดำรงตำแหน่งอยู่นอกพื้นที่
เฉินผิงอันวางพู่กันลง บีบนวดข้อมือตามความเคยชิน อยู่ดีๆ ก็นึกถึงบทที่หกของตำรา ‘เรือเจินจู’ ข้อหนึ่งในนั้นมีการกล่าวถึง ‘เยาว์วัยมากปัญญา’
สายตาที่มองออกไป ผู้ฝึกกระบี่ทั้งสิบเอ็ดคน หากอยู่ในใต้หล้าไพศาล ด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์ของพวกเขา ไม่ว่าจะด้านการฝึกตนหรือการศึกษาหาความรู้ ก็น่าจะมีคุณสมบัติได้เลื่อนสู่บทนี้ทั้งนั้น
ซึ่งคนเหล่านี้ยังมีความสามารถพิเศษที่โดดเด่นกว่าใคร ยกตัวอย่างเช่นเสวียนเซินที่ไม่ต่างจากแผนที่มีชีวิต การสังเกตและความทรงจำที่เขามีต่อม้วนภาพทั้งสอง แม้แต่เฉินผิงอันก็ยังละอายใจที่สู้ไม่ได้ สำหรับสภาพภูมิศาสตร์ในแต่ะจุดบนสนามรบ ยกตัวอย่างเช่นหลุมใดหลุมหนึ่งปรากฏขึ้นได้อย่างไร ปรากฏตั้งแต่เมื่อไหร่ มันจะส่งผลกระทบอะไรต่อการเข่นฆ่าของสองฝ่ายต่อจากนี้บ้าง ในสมองของ เสวียนเซินเหมือนมีสมุดบัญชีที่รายละเอียดยิบย่อยอย่างถึงที่สุด คนอื่นๆ คิดจะทำ ให้ได้เหมือนเสินเซวียน หากตั้งใจจริงๆ อันที่จริงก็ทำได้ แต่อาจต้องสิ้นเปลืองแรงใจเพิ่มมากขึ้น ไม่มีทางเทียบได้กับเสวียนเซินที่ดั่งน้ามาคลองสำเร็จ มีความสุขไปกับ การทำ
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงให้เสวียนเซินเขียนบันทึกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงบนสนามรบขึ้นมาอีกหนึ่งเล่ม ถึงเวลานั้นก็จะเอาไว้เป็นตำราอ้างอิงที่ผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ จำเป็นต้องอ่าน
หวังซินสุ่ยมีลางสังหรณ์สำหรับการคาดการณ์ต่อสถานการณ์สู้รบขนาดเล็กอย่างน่าตกตะลึง ดังนั้นอันที่จริงแม้ภารกิจของเฉินผิงอันจะเร่งด่วน แต่กลับไม่ตึงเครียดแม้แต่น้อย เขาจะชอบสังเกตดูหวังซินสุ่ย ปลีกตัวจากงานที่ยุ่งเหมือนคนที่แอบ ดื่มเหล้า ในช่วงเวลาสำคัญหลายๆ ครั้ง หากหวังซินสุ่ยรู้สึกว่าการออกกระบี่ของ ผู้ฝึกกระบี่บนม้วนภาพวาดไม่ดีพอไม่สมบูรณ์แบบพอ ถึงขั้นยังมีข้อบกพร่องมากมายเกินไป สีหน้าเขาจะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย หรือหากสมบัติอาคมของฝ่ายศัตรูร่วมมือกันได้อย่างยอดเยี่ยม นั่นก็จะยิ่งทำให้หวงซินสุ่ยร้อนใจ เพียงแต่ว่าบนสนามรบ เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงได้มากมาย หวังซินสุ่ยจึงจะจ้องม้วนภาพเขม็งเพื่อให้จดจำรายละเอียดเหล่านี้ได้ มือก็ไม่หยุดเขียน ลายมือของเขาหวัดมาก บางครั้งอารมณ์ของหวังซินสุ่ยยังหม่นหมอง ราวกับไม่รู้ว่าสิ่งที่เขาคิด สิ่งที่เขาเห็น สิ่งที่เขาบันทึกไว้ สรุปแล้วจะมีประโยชน์หรือไม่ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกกระบี่สายอิ่นกวาน อยู่ห่างจากสนามรบมาไกลเกินไป หรือต่อให้อยู่ในสนามรบ แต่เขา จะสามารถออกกระบี่แทนผู้ฝึกกระบี่คนอื่นๆ ได้หรือไร? ดังนั้นหวังซินสุ่ยจึงเป็นคนที่มีสีหน้าซับซ้อนหลากหลายมากที่สุด บางทีเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตา บนใบหน้าของหวังซินสุ่ยก็มีครบทั้งดีใจ โมโห เศร้าใจและมีความสุขแล้ว บวกกับที่หวังซินสุ่ย ชอบจะพึมพำอยู่กับตัวเอง จึงน่าสนใจอย่างมาก
ความเชี่ยวชาญในการวางแผนคือความสามารถประจำตัวที่คล้ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตอย่างหนึ่งของหลินจวินปี้ ขอแค่มอบข้อมูลที่เพียงพอให้แก่เขา การส่งรายงานที่เพียงพอต่อการประคับประคองสถานการณ์รบแห่งหนึ่ง หลินจวินปี้แทบ ไม่เคยทำพลาด
สำหรับ ‘เรื่องไม่คาดฝัน’ และการตั้งสมมติฐานถึงสถานการณ์ที่ย่าแย่ที่สุด กวอจู๋จิ่วจะเร็วกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว ถึงขั้นที่ยังคิดไปไกลกว่าคนอื่นด้วย
ดังนั้นตำราใจคนของเซียนกระบี่ที่ต่งปู้เต๋อและหลินจวินปี้ร่วมกันเขียนเล่มนั้น พอร่างจริงของเฉินผิงอันนั่งลง นอกจากจะบอกให้เสวียนเซินเขียนบันทึกสถานการณ์จริงบนสนามรบเพียงลำพังแล้ว ก็ยังบอกให้พวกหวังซินสุ่ย กวอจู๋จิ่ว เขียน ‘อะไรก็ได้’ อีกคนละหนึ่งเล่ม ก่อนหน้านี้ชื่อตำราที่เป็นโครงร่างและจุดสำคัญ หลักรองสิบสองเล่มของเฉินผิงอันใช้ตัวอักษรภาคสวรรค์ของแผนภูมิสวรรค์มาตั้งชื่อ ต่อจากนี้ก็ดูเหมือนว่าจะสามารถใช้ตัวอักษรภาคปฐพีมาตั้งชื่อให้กับตำราอีก สิบสองเล่มได้แล้ว
มีทั้งภาคสวรรค์ภาคปฐพี ผู้ฝึกกระบี่อยู่ในคำว่าคนสามัคคี นี่ก็ถือว่าเป็น นิมิตหมายอันดี
ต่งปู้เต๋อพลันเอ่ยขึ้นว่า “กลัวก็แต่ว่าค่ายกลใหญ่ของผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะใช้วิธีการที่โง่ที่สุดโดยการบุกรุดหน้าเข้ามา พูดถึงแค่การร่วมมือของพวกเขา อย่างอื่นๆ ไม่ต้องคิดอะไรมาก ไม่คิดต้องการผลงานการสู้รบอะไรเลย แผนการที่ พวกเราวางไว้ในช่วงหลังก็จะเอามาใช้งานไม่ได้ จุดที่น่าปวดหัวที่สุดก็คือขอแค่ พวกเราไม่ได้อะไรมาเลย ก็เท่ากับว่าขาดทุน หากเป็นเช่นนี้จะแก้ไขอย่างไร?”
เฉินผิงอันเงยหน้าขึ้น พูดกลั้วหัวเราะเบาๆ “แก้ไขได้ ศึกโจมตีป้องกันของ กำแพงเมืองปราณกระบี่เคยชินกับการเปิดใหญ่ปิดใหญ่เปี่ยมไปด้วยมาดองอาจ ห้าวหาญมาจนชินแล้ว อันที่จริงนี่ไม่ค่อยดีเท่าไร เมื่อต้องไปอยู่บนสนามรบ พวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีแต่แผนการร้ายเต็มตัว ข้างกายล้วนเป็นสหายร่วมรบที่รบตายไป ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าได้มองพวกมันเป็นหุ่นเชิดไม้ที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ไม่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หลังจากศึกสิบสามผ่านไป เผ่าปีศาจโจมตีเมืองสองครั้ง มาย้อนนึกดูก็ล้วนเป็นการฝึกขัดเกลาฝีมือที่มีการเตรียมการ มาก่อน ตอนนี้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังมีกระโจมทัพหกสิบแห่ง นี่หมายความว่าอะไร หมายความว่าสนามรบทุกแห่งล้วนมีคนนับไม่ถ้วนจับตามองดูอยู่ วัตถุอย่างจิตใจ คนนั้น มีพลังในการแพร่ความรู้สึกเสมอ”
“ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ค่ายกลกระบี่ของฝ่ายตรงข้ามเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดอย่าง ‘ไม่ปราชัยท่ามกลางความมั่นคง’ เกิดขึ้น ก็มีเรื่องให้ทำสามอย่าง เรื่องแรก ต่อจากนี้ค่ายกลกระบี่ของพวกเราให้เรียนรู้จากฉีโซ่วที่สังหารศัตรูอย่างอำมหิตให้มาก ข้อสอง ฆ่าได้แต่ไม่ฆ่า บาดเจ็บสาหัสแต่ไม่ฆ่า ยิ่งมีชีวิตอยู่ไม่สู้ตายก็ยิ่งดี หลังถอนตัวออกจากสนามรบ พวกกลุ่มคนที่บาดเจ็บกลุ่มนี้ก็คือต้นกำเนิดแห่งน้าพุความแค้น ข้อที่สาม พวกเราเลือกคนที่ทะเลาะเก่งเถียงเก่ง อีกทั้งยังชอบเรื่องการทะเลาะถกเถียง ยกตัวอย่างเช่นผู้อาวุโสสองท่านอย่างจ้าวเก้ออี๋กับเฉิงเฉวียนที่ข้าเห็นว่าเหมาะสมที่สุด นอกจากจะออกกระบี่แล้วก็ให้ด่าฟ้าด่าดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งด่า ผู้ฝึกกระบี่ของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ยกตัวอย่างเช่นด่าการโจมตีเมืองถามกระบี่ในครั้งนี้ว่าแท้จริงแล้วก็คือการ ‘นับบรรพบุรุษกลับเข้าวงศ์ตระกูล’ แล้ว คำพูดพวกนี้ เซียนกระบี่ต้องด่า พวกผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยที่เสียงดังหน่อย ยิ่งขอบเขตต่าก็ยิ่งดี ยิ่งต้องด่าให้หนัก เมื่อพวกเราทำทั้งสามเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่มีพื้นที่ให้ผู้ฝึกกระบี่ที่ชีวิตมีค่ามากที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้างคิดอยากทำอะไรเพิ่มมากขึ้นแล้ว แต่หากอีกฝ่ายยินดีจะทำให้มากขึ้น พวกเราก็มีโอกาสแล้ว”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็คลี่ยิ้ม “ก่อนหน้านี้ที่ข้าเข่นฆ่ากับหลีเจิน พวกเจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าไม่แค้นไม่โมโหคำพูดพวกนั้นของเขา? จะเป็นไปได้อย่างไร ตอนนั้นข้าแค้นจนอยากกจะฉีกเนื้อ เลาะหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าลูกกระต่ายนั่นออกมาเลยล่ะ เพียงแต่เพราะเป็นแค่การคุมเชิงกันของคนสองคนเท่านั้น ข้าจึงไม่อาจวอกแวกได้ ได้แต่ข่มกลั้นอารมณ์นั้นเอาไว้ แต่การคุมเชิงของสองกองทัพต่อจากนี้ ผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่นคุมเชิงกับผู้ฝึกกระบี่หลายหมื่น ถึงอย่างไรใจคนก็มีพื้นที่ว่าง จำไว้ว่า แม้พวกเราจะได้มองม้วนภาพทั้งสองในระยะประชิด และตอนนี้ก็เพิ่งจะทดลองทำความเข้าใจกับจิตใจของเซียนกระบี่ฝ่ายเรา แต่ในความเป็นจริงพวกเรา ยิ่งจำเป็นต้องเอาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ ลองคิดถึงว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะมองสงครามครั้งนี้และสงครามทั้งหมดอย่างไร เมื่อคิดจนเข้าใจแล้ว หลายๆ เรื่อง พวกเราก็อาจล่วงรู้ทำนายได้ ไม่เพียงแต่ราบรื่น กลับยังเป็นการสร้างสถานการณ์ให้ตัวเอง กลายเป็นแผนการอย่างโจ่งแจ้งที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่อาจก้าวเดินเข้ามาได้”
หลินจวินปี้เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง เขาพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง ในสนามรบ หากสายอิ่นกวานของพวกเราสามารถเปลี่ยนสนามรบมาเป็นเหมือนฟ้าดินขนาดเล็กได้ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถชิงความได้เปรียบได้ในทุกเรื่อง”
เฉินผิงอันกล่าว “ลองจินตนาการดู หากพวกเราเข้าใจความคิดของบรรพบุรุษใหญ่ ผู้นั้น รวมไปถึงความต้องการของปีศาจใหญ่บนยอดเขาที่ได้นั่งบัลลังก์ทั้งสิบสี่ตน อย่างกระจ่างแจ้งล่ะ? สถานการณ์จะเป็นอย่างไร?”
ทุกคนตะลึงพรึงเพริด
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าทำไม่ได้ คนเราย่อมมีช่วงเวลาที่พละกำลังหมดลง รู้จักยอมรับชะตากรรมก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “หากมีสมุดอี่เปิ่นเล่มหลักเล่มรองที่ไม่บาง อันที่จริง ข้าสามารถสืบสาวเบาะแสไปได้ จากนั้นก็เปิดเอกสารลับเก่าของสายอิ่นกวาน ทำความเข้าใจเรื่องลับวงในของใต้หล้าเปลี่ยวร้างเพิ่มขึ้น ก็น่าจะลองคาดเดาความคิดของปีศาจใหญ่พวกนั้นได้ ข้าไม่มีทางทำให้เสียเรื่องแน่นอน อาจารย์ท่านไม่ต้องวางใจเต็มร้อย แค่วางใจส่วนเดียวก็พอแล้ว…”
เพียงแต่ว่าพอคำเรียกว่าอาจารย์นี้หลุดออกมาจากปาก กวอจู๋จิ่วก็รีบหุบปากฉับทันที โมโหตัวเองที่ไม่รู้จักพูด ทำให้อาจารย์ต้องขายหน้า เพราะถึงอย่างไรก็ควรจะต้องรักษากฎของสายอิ่นกวานเอาไว้บ้าง
เฉินผิงอันเอ่ย “เรียกอาจารย์ก็ไม่เป็นไร ก็เหมือนที่คนอื่นเรียกข้าว่าเฉินผิงอัน ไม่ได้เรียกข้าว่าใต้เท้าอิ่นกวานอย่างอึดอัด แบบนั้นข้ารู้สึกดียิ่งกว่า”
กู้เจี้ยนหลงรู้สึกโล่งอก คลี่ยิ้มกว้างสดใส เพียงแต่ว่าขณะที่กำลังจะพูดจาด้วยความเป็นธรรมสักประโยค
เฉินผิงอันกลับหันหน้ามายิ้มเอ่ยกับเขาก่อนว่า “พี่กู้ กล้ายอมรับว่าตัวเอง ‘อึดอัด’ เชียวหรือ? แค่นี้ก็ติดเบ็ดแล้ว ฝึกฝนจิตใจได้ไม่พอเลยนะ คำพูดด้วยความเกรงใจจากใต้เท้าอิ่นกวาน พวกเจ้าก็เลยจะไม่เกรงใจข้าแล้วจริงๆ งั้นรึ? หากอยู่ที่ ใต้หล้าไพศาล นอกจากที่เจ้าจะฝึกตนอาศัยพรสวรรค์หาข้าวกินแล้ว ก็อย่าได้หวังจะไปอยู่ในวงการขุนนาง วงการนักประพันธ์หรือยุทธภพเลย”
กู้เจี้ยนหลงหน้าม่อยเหมือนบิดาเสีย ดูจากท่าทาง อีกฝ่ายคงคิดจะใช้อำนาจ ข่มเหงตนสินะ?
เฉินผิงอันเอ่ย “ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเซียนกระบี่อวี้ให้คำตอบนั้น อันที่จริง ข้าคงรู้สึกเสียใจภายหลังที่เลือกหัวข้อนั้นมาพูด ทุกท่าน พวกเรานั่งอยู่ที่นี่ ทำเรื่องพวกนี้ ไม่ใช่แค่พวกเราจำเป็นต้องทำเท่านั้น ไม่ใช่แค่พวกผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นอย่างพวกเสวียนเซิน ต่อให้เป็นคนในพื้นที่อย่างต่งปู้เต๋อ ผังหยวนจี้ ก็ไม่ควรจะใช้แขนขาเล็กๆ ไปแบกรับภาระหนักอึ้ง เพราะหากไม่ทันระวัง มันจะหล่นลงกดทับจิตแห่งมรรคา เมื่อเทียบกับการออกกระบี่อย่างสาแก่ใจที่หัวกำแพงเมืองแล้ว ผังหยวนจี้ เจ้าจะเลือกแบบใด?”
ผังหยวนจี้ตอบตามสัตย์จริง “ออกกระบี่”
หวังซินสุ่ยกำลังจะเอ่ยพูด
เฉินผิงอันกลับยิ้มร่าขึ้นมาเสียก่อน “หืม? ซินสุ่ยก็มีคำพูดที่เป็นธรรมจะเอ่ยเหมือนกันหรือ?”
หวังซินสุ่ยรีบขับเรือตามกระแสลมทันที “ใต้เท้าอิ่นกวาน ข้าเห็นด้วยกับผังหยวนจี้”
หวังซินสุ่ยค่อนข้างจะพิเศษจริงๆ ถือเป็นผู้ฝึกกระบี่มีพรสวรรค์ประเภทที่ความคิดแล่นเร็วมาก แต่กลับออกกระบี่ตามไม่ทัน เพราะขอบเขตยังไม่สูงมากพอ ดังนั้นยามอยู่บนสนามรบจึงมักจะช่วยให้เสียเรื่องอยู่เสมอ พูดไม่ได้ว่าหวังซินสุ่ย ทำอะไรส่งเดช
เพราะในความเป็นจริงแล้วทุกความเห็นของหวังซินสุ่ยล้วนมีประโยชน์ แต่ตัวหวังซินสุ่ยเองมิอาจใช้กระบี่เอ่ยถ้อยคำแทน สหายของเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน ดังนั้นหวังซินสุ่ยถึงได้มีตำแหน่งหนึ่งในห้าเรื่องเด็ดใหม่เอี่ยมของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ ก่อนลงสนามรบข้าทำได้ ตีกันไปแล้วช่างข้าเถิด
โชคดีที่ไม่เคยได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่สำหรับการลงสนามรบเข่นฆ่าศัตรูนั้น หวังซินสุ่ยมีความคิดที่ซับซ้อนมาก ไม่ใช่กลัวว่าตัวเองจะรบตาย แต่กลับรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัว จิตดั้งเดิมของตัวเองจึงเจออุปสรรคไปทุกที่
เฉินผิงอันหัวเราะ “คำพูดตามมารยาทก็พูดไปพอสมควรแล้ว ต่อจากนี้ข้าอาจออกไปจากที่นี่ ไปเดินเตร็ดเตร่อยู่รอบๆ เป็นระยะ หากไม่พอใจก็จำไว้ว่าต้อง เก็บอารมณ์เอาไว้ให้ดี การออกจากเมืองไปเข่นฆ่าต่อจากนี้ พวกเจ้าย่อมไม่มีโอกาสอย่างแน่นอน แต่ข้ากลับสามารถทำได้ เชิญพวกเจ้าอิจฉาได้ตามสบาย”
เติ้งเหลียงที่มีนิสัยสุขุมแต่กลับขาดไหวพริบถามว่า “ลูกหลานชนชั้นสูงย่อมไม่พาตัวไปเสี่ยงอันตราย เมื่ออยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ คำพูดนี้คือคำพูดระยำ แต่อยู่กับพวกเรา ใต้เท้าอิ่นกวานขอให้ท่านโปรดคิดพิจารณาให้ดีก่อนลงมือ ต่อให้จะต้องออกจากหัวกำแพงเมืองไปสังหารปีศาจจริงๆ ก็ต้องอำพรางร่องรอยให้ดี สายอิ่นกวานของพวกเรา หากไม่มีใต้เท้าอิ่นกวานนั่งบัญชาการณ์ หากถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนผู้นำกลางคัน นั่นก็คือข้อห้ามใหญ่หลวงของสำนักการทหาร”
“ความหวังดีรับไว้แล้ว คำพูดตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ควรจะเป็นกฎข้อหนึ่งของสายอิ่นกวานเรา ยามที่ปิดประตูล้วนถือเป็นคนครอบครัวเดียวกัน คนครอบครัวเดียวกันแม้จะพูดจาไม่น่าฟังไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี”
เฉินผิงอันเอ่ย “แต่คนที่สามารถสังหารข้าได้อย่างหย่างจื่อ หวงหลวนยังไม่กล้าเสี่ยงอันตรายลงมือ สัตว์เดรัจฉานตนอื่นๆ ไม่มีความจำ ไม่เชื่อไม่กลัว ถ้าอย่างนั้นก็ลองมาหาข้าดูได้”
เติ้งเหลียงนึกถึงความสำเร็จจากการส่งหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่หญิงเซี่ยซงฮวาก่อนหน้านี้ก็ไม่เอ่ยอะไรอีก
เฉินผิงอันลุกขึ้น “ข้าจะไปคุยกับผู้อาวุโสน่าหลันเซาเหว่ยและผู้อาวุโสเยี่ยนหมิงเสียหน่อย”
เฉินผิงอันคว้าแผ่นหยก ‘อิ่นกวาน’ มาห้อยไว้ตรงเอว เขาต้องการไปหาคน บนเส้นทางเดียวกันทั้งสองคนเพื่อพูดคุยเรื่องเรือข้ามฟากของภูเขาห้อยหัว นี่ไม่ใช่ว่ากระบี่บิน ‘อิ่นกวาน’ พูดคุยแค่คำสองคำแล้วจะคุยกันรู้เรื่องได้ จำเป็นต้องคุยกัน ต่อหน้า
คำพูดบางอย่างต้องให้เขาใช้สถานะของอิ่นกวานพูดเท่านั้นถึงจะได้จริงๆ
เดินอยู่บนเส้นทางเดินม้า เฉินผิงอันที่สีหน้าซีดเซียวพึมพำกับตัวเองว่า “ความรู้ของใต้หล้า มีเพียงเรือราตรีที่ยากจะรับมือมากที่สุด”
หมี่อวี้มองแผ่นหลังของคนหนุ่มผู้นั้น ในใจก็เกิดความคิดประหลาดบางอย่างที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้จิตหยินของเฉินผิงอันมานั่งบัญชาการณ์สายอิ่นกวาน
คือความมหัศจรรย์
ทุกคำพูดทุกการกระทำล้วนทำให้คนรู้สึกตกใจหวาดเสียว ทุกคำพูดล้วนมี ความนัยลึกล้า เป็นการสั่งสมบารมีอำนาจอย่างที่มองไม่เห็น ค่อยๆ กุมอำนาจของ อิ่นกวานไว้แน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นทำให้คนอดพยายามใคร่ครวญถึงความคิดของเฉินผิงอันไม่ได้
ถ้าอย่างนั้นเฉินผิงอันในเวลานี้ก็ดูเหมือนว่าสภาพจิตใจเที่ยงตรงยิ่งกว่า
แบบไหนดีกว่ากัน หมี่อวี้ก็บอกไม่ถูก
อันที่จริงจะดีกะผายลมอะไรล่ะ
จะดีจะชั่วข้าผู้อาวุโสก็คือผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่ง ทว่าพอมาอยู่ที่นี่กลับกลายเป็นคนที่ไม่มีสิทธิ์มีเสียงมากที่สุด โดยเฉพาะเมื่อหมี่อวี้คิดถึงบุญคุณความแค้นระหว่างตนกับสายเหวินเซิ่ง จิตใจก็ยิ่งย่าแย่
สุดท้ายหมี่อวี้ลูบคลำปลายคาง พึมพำว่า “สมองข้าไม่เฉียบไวจริงๆ งั้นหรือ?”
เฉินผิงอันพลันหันหน้ามาตะโกนเรียก “เซี่ยนกระบี่หมี่ ไปกับข้า คาดว่าอีก ไม่นานเซียนกระบี่หมี่คงต้องยุ่งวุ่นวายแล้ว”
หมี่อวี้แข็งใจเดินตามอีกฝ่ายไป
เพียงแต่ว่าพอเฉินผิงอันพูดอย่างนี้ หมี่อวี้ก็โล่งอกขึ้นมาก ที่แท้ก็เป็นเรื่องดี ยังได้ไปผ่อนคลายอารมณ์ที่ภูเขาห้อยหัวได้บ้าง
ไม่เพียงเท่านี้ เฉินผิงอันยังเป็นฝ่ายสอบถามหมี่อวี้ถึงความคิดบางอย่างว่าพอจะทำได้หรือไม่
หมี่อวี้เองก็ตอบไปตามสัตย์จริง ปฏิเสธทุกความเห็นที่เขาบอกมา
และดูเหมือนว่าใต้เท้าอิ่นกวานอายุน้อยผู้นี้ก็ไม่ได้หมดอาลัยตายอยากสักเท่าใด
เส้าอวิ๋นเหยียนเจ้าเรือนชุนฟานที่อยู่ในภูเขาห้อยหัวขึ้นชื่อเรื่องเก็บตัวเงียบอยู่อย่างสันโดน
วันนี้เส้าอวิ๋นเหยียนไปเยือนจวนหยวนโหรวหนึ่งในสี่จวนส่วนตัวขนาดใหญ่ ตำหนักสุ่ยจิงและสวนดอกเหมยล้วนเป็นทางผ่าน แต่เขาเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ
เพราะร่ายใช้เวทอำพรางตา บวกกับที่ตัวเส้าอวิ๋นเหยียนเองไม่ใช่คนที่ชอบปรากฎตัว ดังนั้นคนที่จำเซียนกระบี่ท่านนี้ได้จึงมีน้อยเพียงหยิบมือ
สุดท้ายเส้าอวิ๋นเหยียนไปเจอร้านเหล้าร้านหนึ่ง ใช้คาถาเคาะประตู ริ้วคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา ประตูเปิดอ้า เส้าอวิ๋นเหยียนเดินข้ามธรณีประตูเข้าไป กิจการของร้านยังซบเซา นอกจากตนแล้วก็ไม่มีลูกค้าอีกแม้แต่คนเดียว
เขาดื่มเหล้าลืมทุกข์จอกหนึ่งอยู่ในพื้นที่มงคลหวงเหลียนที่ยังหลงเหลืออยู่แห่งนี้
ดูเหมือนว่านี่เป็นเรื่องที่ยอดฝีมือแทบทุกคนที่เดินทางมาเยือนภูเขาห้อยหัวล้วนจำเป็นต้องทำ
ผู้เฒ่าคนหนึ่งนั่งงีบหลับอยู่หลังโต๊ะคิดเงิน บนโต๊ะวางกรงนกหยกมรกตสลัก บทกวีรูปแปดสมบัติ ด้านในมีนกขมิ้นน้อยอยู่ตัวหนึ่ง มันเองก็งีบหลับเหมือนผู้เฒ่า
คนหนุ่มที่ชื่อสวี่เจี่ยเห็นเส้าอวิ๋นเหยียนแล้วก็ดีใจมาก หลักๆ แล้วก็เพราะในใจคอยนึกถึงเถาน้ำเต้าของเจ้าของเรือนชุนฟานผู้นี้อยู่เสมอ ดังนั้นวันนี้สวี่เจี่ยที่ขึ้นชื่อเรื่องความขี้เกียจในสายตาลูกค้าซึ่งสนิทคุ้นเคยกันจึงขยันขันแข็งมากเป็นพิเศษ เขารีบยกเหล้าไหหนึ่งมาวางไว้บนโต๊ะ อันที่จริงสวี่เจี่ยไม่เคยพูดคุยกับเส้าอวิ๋นเหยียน แต่เคยได้ยินมาว่าเซียนกระบี่ที่มีชาติกำเนิดจากอุตรกุรุทวีปผู้นี้ ในอดีตตอนที่เพิ่งมาเยือนภูเขาห้อยหัวก็เคยมาดื่มเหล้าที่นี่เพราะได้ยินชื่อเสียงมานาน แต่กลับไม่มีเงินพอให้จ่ายค่าเหล้า จึงจ่ายค่าเหล้ากาหนึ่งของร้านด้วยน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกหนึ่งที่อยู่บนเถาน้ำเต้าเส้นนั้น แล้วก็ดื่มจนเมาเละเหมือนขี้โคลน ภายหลังหาเงินมาได้จึงนึกเสียใจภายหลัง หมายจะเอาเงินฝนธัญพืชกองใหญ่มาซื้อคืนตามราคาตลาด แต่เถ้าแก่ ไม่ตอบตกลง แล้วเซียนกระบี่เส้าก็คงขุ่นเคืองเถ้าแก่ ถึงได้ไม่เคยมาดื่มเหล้าที่ร้าน อีกเลย
เส้าอวิ๋นเหยียนยืนอยู่ด้านล่างกำแพงแถบนั้น มองประเมินอยู่สองสามครั้ง ก็ยิ้มเอ่ยว่า “ไม่ได้มาแค่เจ็ดแปดร้อยปี ไม่นึกว่าผนังจะถูกเขียนเกือบเต็มแล้ว กิจการของร้านดีขนาดนี้เชียวหรือ?”
สวี่เจี่ยบ่นว่า “คนเปรียบเทียบกับคนชวนให้คนโมโหตาย ได้ยินว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่มีร้านเหล้าที่ขายเหล้าชั้นเลว เพิ่งจะเปิดร้านได้ปีกว่า แต่ป้ายสงบสุข นั้นกลับแขวนไว้เต็มผนังสามแถบแล้ว”
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ยขออภัยลูกจ้างร้านหนุ่มคำหนึ่ง หิ้วเหล้าลืมทุกข์ไปนั่งบนโต๊ะตัวเดียวกับที่เคยนั่งเมื่อครั้งที่มาดื่มเหล้าที่นี่เป็นครั้งแรก รินเหล้าหนึ่งถ้วย มองไปทางโต๊ะคิดเงิน ยิ้มเอ่ยว่า “เถ้าแก่ เถาน้ำเต้าเส้นนั้นได้ให้แม่นางน้อยคนหนึ่งเอาไปไว้ที่ภูเขาสุ่ยจิงของอุตรกุรุทวีปแล้ว ผ่านไปอีกสิบกว่าปี น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นก็จะ สุกงอมหล่นลงพื้น ถึงเวลานั้นต้องรบกวนให้เถ้าแก่ส่งคนไปเอาที่นั่นแล้วล่ะ เกี่ยวกับว่าน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนี้จะเป็นของใคร ข้าได้บอกกล่าวกับภูเขาสุ่ยจิงไว้ก่อนแล้ว แค่คนปรากฏตัว ก็เอาน้ำเต้าไปได้เลย ง่ายดายเพียงเท่านี้”
ผู้เฒ่าอืมรับหนึ่งที ลืมตาขึ้นชำเลืองมองสวี่เจี่ย “เจ้าจะไปหรือไม่?”
สวี่เจี่ยถาม “หากข้าออกไปจากร้านแล้วคุณหนูกลับมาพอดี จะทำอย่างไร?”
ผู้เฒ่าด่ายิ้มๆ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ ไยลูกกระต่ายน้อยอย่างเจ้าถึงยืนกรานจะแขวนคอตายใต้ต้นไม้ต้นเดียวให้ได้แบบนี้? ลูกสาวของข้าคนนั้น ความงามก็ไม่มี รูปร่างก็ไม่ได้เรื่อง สมองก็ไม่ค่อยจะสมประดี ทั้งยังมีคนที่ชอบพออยู่นานแล้ว จะคู่ควรกับเจ้าได้อย่างไร?”
สวี่เจี่ยพูดอย่างขุ่นเคือง “นับตั้งแต่เด็กข้าก็อยู่ที่นี่ เคยได้พบเจอสตรีสักกี่คนกัน? ไม่ชอบคุณหนู แล้วจะให้ไปชอบใคร?! ชอบตาเฒ่าสกปรกอย่างท่านงั้นรึ?!”
ผู้เฒ่าเองก็ไม่โกรธ บุตรสาวออกจากบ้านไปนานหลายปี ในร้านจึงมีแค่หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเฝ้าอยู่ในสถานที่ที่เงียบเหงาแห่งนี้ แล้วก็ได้อาศัยลูกศิษย์ของตนนี่แหละที่เพิ่มกลิ่นอายความครึกครื้นขึ้นมาหน่อย เขาตัดใจด่าอีกฝ่ายไม่ลง หากด่าแรงเกินไป แล้วอีกฝ่ายจะออกจากบ้านไปด้วย ร้านคงขาดทุนแย่
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ยิ่งต้องให้เจ้าไสหัวออกไป ไปเดินดูภายนอกบ้าง สตรีงดงงามที่แท้จริง มีให้เจ้าเลือกจนตาลายเลยล่ะ”
สวี่เจี่ยพยักหน้ารับ “ข้าเองก็เริ่มคิดถึงเฉาสือแล้ว พอไปเอาน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อุตรกุรุทวีปแล้วจะไปหาเขาที่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สวี่เจี่ยก็ลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะคิดเงิน หิ้วกรงนกขึ้นมาแล้ว แกว่งส่าย พลางเอ่ยสั่งสอนไปด้วย “เจ้าโง่ เหตุใดปีนั้นถึงมองรากฐานวิถีวรยุทธของเฉินผิงอันผู้นั้นไม่ออก ชอบทำเป็นป่วยกระเสาะกระแสะแกล้งตายนักใช่ไหม?”
นกขมิ้นในกรงเป็นพันธ์เดียวกับนกขมิ้นของลู่เฉินเจ้าลัทธิสามแห่งใต้หล้ามืดสลัว
เพียงแต่ว่าตัวหนึ่งทดสอบชะตาบุ๋น ตัวหนึ่งทดสอบชะตาบู๊
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “เถ้าแก่ มีเรื่องราว สามารถเล่าให้ฟังได้ไหม?”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ดื่มเหล้าของเจ้าไปเถอะ แค่เรื่องดื่มเหล้าดับทุกข์ให้เป็นเหมือนเหล้าปกติทั่วไป ย่ำยีของดีเช่นนี้ หากไม่เป็นเพราะเห็นแก่น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้น ของเจ้า ข้าก็ไม่คิดจะขายเหล้าให้เจ้าด้วยซ้า”
เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มเหล้าพลางถามชวนคุยว่า “ตำหนักสุ่ยจิ่งยังคงฝันกลางวันว่าจะร่ำรวยรุ่งโรจน์ เอาแต่คิดจะหาเงิน เปลี่ยนความคิดไม่ได้แล้ว แต่จวนหยวนโหรว กลับขนย้ายทรัพย์สินออกจนเกลี้ยงแล้ว ทว่าเรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ ข้าแค่อยากรู้ว่าวันหน้าร้านของเถ้าแก่จะไปเปิดที่ไหน? เหล้าหมักตระกูลเซียนนับร้อยนับพันชนิดของใต้หล้า ข้าเคยดื่มมาเกือบหมดแล้ว แต่เหล้าที่ดื่มแล้วชวนให้คิดถึงได้เสมอก็มีแต่ เหล้าลืมทุกข์ของเถ้าแก่และเหล้าภูเขาชิงเสินของถ้าสวรรค์จู๋ไห่เท่านั้น”
ผู้เฒ่าชำเลืองตามองลูกศิษย์ที่ยังทะเลาะกับนกขมิ้นในกรง ตัวเขาเดินอ้อมโต๊ะคิดเงินออกมา ยกเหล้ามาหนึ่งไห มานั่งข้างโต๊ะของเส้าอวิ๋นเหยียน รินเหล้าหนึ่งชาม ต่างคนต่างดื่มกันไป
ผู้เฒ่าเอ่ย “ข้าเป็นคนนอกโลก เจ้าคือคนนอกสถานการณ์ แน่นอนว่าเจ้าจะต้องสบายมากกว่า แล้วยังจะดึงดันเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทำไม? ในเมื่อเข้ามายุ่งด้วยแล้ว ไม่ว่าร้านของข้าจะเปิดอยู่ตรงหน้า หรือเปิดอยู่ริมขอบฟ้า ต่อให้ได้คำตอบแล้ว แต่เจ้ายังจะได้ดื่มเหล้าอีกหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนมองไปทางประตูใหญ่ของร้านเหล้าที่มีไอหมอกขาวลอยอบอวลแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า ในอดีตเคยรับปากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไว้เรื่องหนึ่ง ไม่ทำไม่ได้”
ผู้เฒ่าถาม “หนีไม่ได้หรือ?”
แต่ไม่นานผู้เฒ่าก็พยักหน้าอยู่กับตัวเอง “ยาก”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ไม่ต้องหนี ขอแค่ไม่เดินอาดๆ ออกไปจากภูเขาห้อยหัว ทำตัวลับๆ ล่อๆ สักหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว”
ผู้เฒ่าเงียบไปพักหนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังกล้าอยู่ต่ออีกหรือ? ด้วยขอบเขตและเวทกระบี่อันน้อยนิดของเจ้า ไม่มากพอหรอก ช่างรนหาที่ตายจริงๆ โง่ตายสู้ เมาตายไม่ได้จริงๆ ช่างเถิด ข้าจะยกเหล้าให้เจ้าเปล่าๆ อีกสักไหก็แล้วกัน”
เส้าอวิ๋นเหยียนเอ่ย “ทางฝั่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใต้เท้าอิ่นกวานก่อกบฏหนีไปเข้าพวกกับใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว”
ผู้เฒ่าเลิกคิ้ว “แม่นางน้อยเซียวสวิ้นผู้นั้นเคียดแค้นใต้หล้าไพศาลขนาดนี้เชียวหรือ?”
เส้าอวิ๋นเหยียนยิ้มกล่าว “ได้ยินว่ามีอิ่นกวานคนใหม่แล้ว หากเถ้าแก่เดาออก ข้าก็จะไม่ดื่มเหล้ากานี้ของท่านเปล่าๆ แล้ว เถ้าแก่สามารถเดาได้สามครั้ง”
ผู้เฒ่าครุ่นคิด “คือโฉวเหมียวที่ปีนั้นตามอาเหลียงไปเก็บเงินได้มากสุดและ ไกลที่สุด หรือว่าแม่หนูหนิงเหยา? คงจะไม่ใช่เด็กคนนั้นที่เซียวสวิ้นถูกใจกระมัง ชื่ออะไรแล้วนะ”
สวี่เจี่ยเอ่ย “ดูเหมือนจะชื่อผังหยวนจี้”
เส้าอวิ๋นเหยียนหัวเราะฮ่าๆ “ได้ดื่มเหล้าลืมทุกข์กาหนึ่งโดยไม่ต้องเสียเงิน อารมณ์ดีจริงๆ”
เส้าอวิ๋นเหยียนดื่มเหล้าลืมทุกข์ทีเดียวสองการวด แล้วเดินโซเซออกจากร้านไปอย่างเมามาย รู้สึกว่าไม่เสียเที่ยวที่มาที่นี่
เถ้าแก่ผู้เฒ่าก็เล่าเรื่องน่าสนใจบางอย่างให้เขาฟัง ยกตัวอย่างเช่นเรื่องวงในบางอย่างเกี่ยวกับใต้หล้าแห่งที่ห้า ขุนเขาสายน้ำงดงามยาวไกลหมื่นลี้พันลี้ ทุกพื้นที่ล้วนเป็นสถานที่ฮวงจุ้ยดีเลิศ ซากปรักบรรพกาล ถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลใหม่เอี่ยม หลายแห่งล้วนว่างเปล่ารอให้คนไปครอบครอง ทางฝั่งของใต้หล้ามืดสลัวก็ดูเหมือนว่าจะได้น้ำแกงไปส่วนหนึ่ง โชควาสนาบนมหามรรคาที่เหลือเชื่อมากมายล้วนรอให้คน มีวาสนาไปช่วงชิง ประโยคหนึ่งที่มีน้ำหนักมากที่สุดของเถ้าแก่ผู้เฒ่า คือความลับที่แม้แต่เส้าอวิ๋นเหยียนก็ยังไม่เคยได้ยินมาก่อน ถึงขั้นคิดไม่ถึงด้วยซ้ำ ผู้เฒ่าบอกว่าอริยะลัทธิขงจื๊อมากมายไม่เพียงแต่ตายไปอย่างเงียบเชียบท่ามกลางการบุกเบิกที่ดิน สร้างความมั่นคงให้แก่ฟ้าดินในแม่น้ำแห่งกาลเวลาสายยาวนี้ อันที่จริงคนที่รบตายไปก็มีอยู่ไม่น้อย โชคดีที่หลี่เซิ่งที่สามารถ ‘สะบั้นความเชื่อมโยงฟ้าดิน’ ผู้นั้นยังคง มีชีวิตอยู่ เขานำพาอริยะลัทธิขงจื๊อหลายคนทยอยกันไปที่นั่น คุมเชิงอยู่กับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ดื้อดึงบางส่วนอยู่ตรงจุดที่ห่างไปไกลไม่มีใครล่วงรู้นอกม่านฟ้าอยู่นาน
ตอนนั้นเส้าอวิ๋นเหยียนอดไม่ไหวถามคำถามหนึ่ง “ใต้หล้าอีกสามแห่งที่เหลือ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือ?”
เถ้าแก่ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
เส้าอวิ๋นเหยียนยังอยากจะถามหาเหตุผล
ในฐานะของบรรพบุรุษหนึ่งในเมธีร้อยสำนัก ผู้เฒ่ากลับเอ่ยว่า “ไม่ต้องรู้ดีที่สุด”
เส้าอวิ๋นเหยียนเดินเล่นไปตลอดทาง กลับไปถึงจวนของตัวเองที่ทัศนียภาพพอๆ กับจวนหยวนโหรว
ทุกสถานที่ที่เหยียบผ่านล้วนเต็มไปด้วยปราณสังหาร
เพราะล้วนอยู่บนภูเขาห้อยหัว
เปียนจิ้งที่เดินทางมาท่องเที่ยวกำแพงเมืองปราณกระบี่ร่วมกับเซียนกระบี่ขู่เซี่ย หลินจวินปี้ กลับไม่ได้ร่วมสังหารศัตรูที่หัวกำแพงเมือง แล้วก็ไม่ได้เดินทางไปยัง ทักษินาตยทวีปร่วมกับพวกคนหนุ่มสาวอย่างเจี่ยงกวนเฉิง
เปียนจิ้งพักอยู่ที่สวนดอกเหมย เล่นหมากล้อมกับถัวเหยียนฮูหยิน อารมณ์สุนทรีเป็นอย่างยิ่ง
แต่วันนี้เปียนจิ้งออกมาจากสวน ไปที่ศาลาจัวฟ่าง มองเรือข้ามฟากแต่ละลำ ที่เดินทางไปกลับ
ศาลาจัวฟ่างถูกมองเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่ไม่สมชื่อมากที่สุดของ ภูเขาห้อยหัว แต่กระนั้นก็ยังมีคนสัญจรเบียดเสียดอยู่ทุกวัน ศาลาเล็กๆ นอกจาก ยามค่ำคืนดึกสงัดแล้ว มักจะมีคนมาออกันเนืองแน่นเสมอ
เปียนจิ้งไม่ได้ไปร่วมวงความครึกครื้นที่นั่น เขานั่งอยู่บนราวรั้วของหอชมทัศนียภาพหยกขาวริมหน้าผาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่นอกศาลาจัวฟ่าง ใช้เสียงในใจพูดคุยกับตัวเอง
เปียนจิ้งยิ้มถาม “เจ้าชอบคุยโวบ่อยๆ ว่าตัวเองเป็นเพื่อนเก่ากับเฒ่าหูหนวกไม่ใช่หรือ คุกของเฒ่าหูหนวกไม่มีเซียนกระบี่คนอื่นเฝ้าพิทักษ์เลย ไม่มีโอกาสจะสร้างความเคลื่อนไหวอะไรขึ้นเลยจริงๆ หรือ?”
“เป็นไปไม่ได้ อย่าไปหาเรื่องซวยใส่ตัวจะดีกว่า”
เปียนจิ้งทอดถอนใจ “ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆ บุคคลของใต้หล้าเปลี่ยวร้างอย่าง พวกเจ้าต่างก็มีขอบเขตสูงขนาดนี้ เหตุใดถึงยังคร่ำครึกันเช่นนี้”
“ในใจมีอุบายมากมาย อ้อมไปอ้อมมา นี่ก็ถือเป็นการฝึกตนบนมหามรรคาด้วยหรือ?”
เปียนจิ้งพูดเรื่องไหนไม่พูด ดันมาพูดเรื่องที่จี้ใจคน เขายิ้มถามว่า “เต๋าเหล่าเอ๋อร์ที่ทำให้เจ้าต้องมาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ เป็นผู้ไร้ศัตรูเทียมทานจริงๆ หรือ?”
“หากไม่ได้ประมือกับเขาอย่างแท้จริงก็ไม่มีทางรู้ถึงความน่ากลัวของเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นผู้นี้เลย”
เปียนจิ้งรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายที่กุ้ยฮูหยินของนครมังกรเฒ่า แจกันสมบัติทวีปไม่ได้ตอบรับคำเชิญของถัวเหยียนฮูหยินพวกเรา”
“น่าเสียดายจริงๆ เพราะถึงอย่างไรร่างจริงของสตรีผู้นั้นก็คือเผ่าพันธุ์ตำหนัก ดวงจันทร์ดั้งเดิม หากนางยินดีมาเข้าร่วมแผนการใหญ่ครั้งนี้ โอกาสชนะของพวกเราจะมีมากขึ้น”
เปียนจิ้งยิ้มกล่าว “พวกเราหรือ? ต้องเป็นเจ้าถึงจะถูก ข้าก็แค่ตัวละครเล็กๆ ที่ ไม่มีอิสระในตัวเอง”
“ไม่มีอิสระในตัวเอง แต่จิตใจกลับเสรี เจ้าเลิกทำตัวเป็นโสเภณีที่ตั้งป้ายคุณธรรมให้ตัวเองเสียทีเถอะ”
เปียนจิ้งเอ่ย “จากข่าวล่าสุดของถัวเหยียนฮูหยิน มีเซียนกระบี่ไม่น้อยที่จิตใจหวั่นไหว สภาพการณ์ในตอนนี้กระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เรียกได้ว่าอับจนหนทาง คาดว่าคงอยากจะฉลกหนังแร่เนื้อของเถ้าแก่รองผู้นั้นเต็มทีแล้ว”
คราวนี้ ‘ตาแก่หนังเหนียว’ ผู้นั้นไม่ได้พูดกับเปียนจิ้ง
เปียนจิ้งมองเรือข้ามฟากเหล่านั้น แต่ละคนมีสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานอย่างที่ยากจะปกปิด เปียนจิ้งจึงยิ้มเอ่ยว่า “มองคนพวกนี้ อีกทั้งยังมีมากขนาดนี้ ข้าก็อารมณ์ดีขึ้นมา ไม่เหลือความละอายใจอะไรแล้ว”
มาถึงภูเขาห้อยหัว ทำการค้ากับกำแพงเมืองปราณกระบี่ ใช้สินค้าแลกสินค้า คุ้มค่าที่สุด กลับไปพร้อมกำไรเป็นกอบเป็นกำ พร้อมของเต็มไม้เต็มมือ เมื่อไปถึงทวีปของตัวเอง เอาไปแลกเปลี่ยนผลัดมือ กำไรที่ได้ชวนให้คนตกตะลึง
สามปีไม่เปิดร้าน เปิดร้านทีกินได้สามปี ก็พูดถึงเรือข้ามทวีปที่ทำการค้าสารพัดสารเพพวกนี้นั่นเอง
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยิ่งเป็นช่วงศึกใหญ่ การไปกลับทุกครั้งของเรือข้ามฟาก ก็จะยิ่งได้กำไรมหาศาลเสมอ เพราะมีเบี้ยให้กดราคาได้อย่างหน้าเลือด
เปียนจิ้งพยักหน้าเอ่ยว่า “มีความผิดความถูกเสียที่ไหน มีแค่จุดยืนเท่านั้น หลักการเหตุผลถูกต้องที่สุด เห็นด้วยอย่างยิ่ง”
เปียนจิ้งกวาดตามองไปรอบด้าน
อีกไม่นานก็จะผลัดฟ้าดินแล้ว