Skip to content

Sword of Coming 82

บทที่ 82 อาจารย์และศิษย์ ศิษย์พี่และศิษย์น้อง

ออกมาจากตรอกหนีผิงที่เล็กแคบมืดสลัวมาเดินอยู่ในตรอกเอ้อหลางที่กว้างขวางสว่างไสว ฝีเท้าของเด็กหนุ่มหน้าตาเฉลียวฉลาดเบาและปราดเปรียว ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่แกว่งไกว ในมือถือกลอนคู่ที่ขโมยมาจากผนังตรอกหนีผิง

ชายร่างสูงใหญ่ที่เดิมทีควรปรากฏตัวอยู่ที่จวนผู้ตรวจการ เวลานี้กลับมายืนอยู่นอกประตู คล้ายว่ารออยู่นานแล้ว เขาหลับตาทำสมาธิอยู่ตลอดเวลา พอได้ยินเสียงฝีเท้า ลืมตามองก็เห็นเด็กหนุ่มที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกหน้าคนนั้นจึงรีบเบี่ยงตัว ยืนกุมมือ เอ่ยเสียงเคารพ “ท่านอาจารย์”

เด็กหนุ่มอืมหนึ่งที ยื่นส่งกลอนคู่ให้อู๋ยวน ควักกุญแจออกมาเปิดประตู กำลังจะข้ามธรณีประตูกลับชักเท้าถอยกลับมา แล้วงับประตูสองบานเข้าด้วยกันดังเดิม

อู๋ยวนเกือบจะชนเข้ากับแผ่นหลังของอาจารย์ตัวเอง ขุนนางดุจบิดาของอำเภอหลงเฉวียนผู้นี้รีบถอยหลังออกไปหลายก้าว แปลกใจกับการกระทำของอาจารย์ตัวเองเล็กน้อย

เด็กหนุ่มที่ชื่อชุยฉานใช้มือสองข้างลูบกระชับชายแขนเสื้อ บุ้ยปากไปที่รูปภาพเทพทวารบาลหลากสีสองท่าน “บรรพบุรุษของพ่อตาเจ้าท่านนั้นถูกแขวนไว้ตรงนี้ไง มากบารมีน่าดูเลยใช่ไหมล่ะ?”

คำพูดประหลาดสุดขีดนี้ทำให้อู๋ยวนปวดหัวแปล๊บทันใด

แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยถูกกับพ่อตาที่มียศพลเอกเท่าไหร่นัก แต่กับภรรยาที่ยังไม่แต่งเข้าประตูกลับรักใคร่ปรองดองกันเป็นอย่างดี เป็นคู่สร้างคู่สมที่มีชื่อของเมืองหลวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนึ่งเป็นบัณฑิตหน้าตาหล่อเหลาตระกูลยากจนซึ่งพกเอาความรู้เต็มหัวไปสอบเคอจวี่ที่เมืองหลวง แม้จะสอบตก แต่กลับได้ใจสาวงาม ภายใต้สภาพการณ์ที่ไม่มีใครเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ การได้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของราชครูต้าหลี ชื่อเสียงเลื่องระบือไปทั่วแดน กลายมาเป็นหัวข้องดงามที่ผู้คนพากันหยิบยกมาพูดคุยในพริบตาเดียว จนกระทั่งแพร่ไปถึงพระกรรณขององค์ฮ่องเต้ จึงทรงออกพระราชโองการเรียกอู๋ยวนเข้าเฝ้า

หลังจากนั้นเป็นต้นมา พ่อตาในอนาคตก็หลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งกับอู๋ยวน ไม่คอยพูดกับบุตรสาวว่าจะตัดขาที่สาม (หมายถึงอวัยวะเพศชาย) ของอู๋ยวนให้ขาดอีก

ชุยฉานก้าวข้ามธรณีประตู แล้วกล่าวเหมือนชวนคุย “ข้ากำลังพิจารณาถึงปัญหาข้อหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ประโยคว่า ‘ให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือ เข้าใจหลักการ เคารพผู้มีคุณธรรม ตอบแทนผู้มีความชอบ ผู้ปกครองไม่ต้องลงแรงทำสิ่งใด ใต้หล้าก็สงบสุขได้’ ที่ลัทธิขงจื๊อของพวกเราพูดเต็มปากเต็มคำนั้นจะมีโอกาสเป็นจริงได้หรือไม่?”

อู๋ยวนถามเบาๆ “ท่านอาจารย์ได้คำตอบหรือยัง?”

ชุยฉานเบ้ปาก “ยากมาก”

อู๋ยวนตะลึงงัน

ชุยฉานถามยิ้มๆ “รู้สึกว่าถามประโยคเกินความจำเป็นใช่ไหมล่ะ?”

อู๋ยวนตอบตามจริง “ก็นิดหน่อย”

คงเป็นเพราะการพูดคุยระหว่างอาจารย์กับศิษย์มีความจริงใจตรงไปตรงมาต่อกันเช่นนี้มาโดยตลอด ชุยฉานจึงไม่รู้สึกหงุดหงิด เพียงเหล่ตามองอู๋ยวนแวบหนึ่ง กล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “บนโลกมีเรื่องราวมากมาย จุดที่ควรเห็นค่ามิใช่ผลลัพธ์ แต่เป็นขั้นตอน”

อู๋ยวนปลุกความกล้าเอ่ยถาม “ท่านอาจารย์ช่วยยกตัวอย่างได้หรือไม่?”

ชุยฉานพาอู๋ยวนเดินไปหาโต๊ะสี่เหลี่ยมตัวใหญ่ลงรักสีแดงเบื้องใต้กรอบป้ายของห้องโถงหลังพลางพูดไปด้วย “ยกตัวอย่างเช่นเจ้ากับคุณหนูของพลเอกหยวนที่ตอนนี้ยังรักใคร่หลงใหลกันและกัน เพียงแค่ได้จับมือกันก็ดีใจไปหลายวัน แต่วันใดที่ได้ตบแต่งนางมาเป็นภรรยาอย่างแท้จริง ขึ้นเตียงทำสงครามกันแล้ว เพียงไม่นานเจ้าก็จะรู้สึกผิดหวังว่า ที่แท้ก็แค่เองนี้หรือ”

อู๋ยวนแยกเขี้ยว ไม่ได้รับคำต่อ

ชุยฉานทำท่าบอกให้อู๋ยวนหาที่นั่งเอาเอง ส่วนตัวเองยังคงยืนเงยหน้ามองกรอบป้ายที่อยู่เหนือศีรษะ “แต่แล้วเจ้าจะยอมละทิ้งโอกาสที่จะได้เล่นผีผ้าห่มกับคุณหนูใหญ่ตระกูลหยวนเพียงเพราะผลลัพธ์ที่น่าเบื่อนี้หรือไม่ล่ะ? เห็นได้ชัดว่าไม่”

ตัวชุยฉานเองก็รู้สึกว่าตัวอย่างนี้ยังไม่ค่อยเข้าขั้นนัก “ถ้าอย่างนั้นข้าเปลี่ยนตัวอย่างใหม่ ยกตัวอย่างเช่นการฝึกตน ผู้ฝึกลมปราณทั่วไป ย่อมต้องมีเป้าหมายอยู่ที่ห้าขอบเขตกลาง ส่วนพวกที่มีพรสวรรค์สักหน่อยจะเลือกห้าขอบเขตบน หรือยกตัวอย่างเช่นขุนนาง ผู้ที่มีความทะเยอทะยานน้อย ขอแค่ได้มีระดับขั้นก็พอแล้ว พวกที่ปณิธานยิ่งใหญ่ก็ต้องให้ได้เป็นเสนาบดีชุดเหลืองชุดม่วง จากนั้นบนเส้นทางแห่งการเดินขึ้นภูเขาที่ยาวไกล หลายคนจะเอาแต่จับจ้องทัศนียภาพบนยอดเขา ต้นไม้พุ่มหญ้าข้างกาย ดอกไม้ดอกหญ้าที่ผลิบานใต้ฝ่าเท้าล้วนมองไม่เห็น ต่อให้เห็นก็ไม่มีทางหยุดเดินเพื่อชื่นชมมัน ช่างเสียแรงที่อริยะอบรบสั่งสอนด้วยความจริงใจ ฟ้าดินมีความงามยิ่งใหญ่ยากจะพรรณนาอย่างแท้จริง”

อู๋ยวนจมดิ่งสู่ภวังค์ของการครุ่นคิด

ชุยฉานพลันหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “แม้แต่หลักการผายลมสุนัขประเภทนี้ เจ้าก็เชื่อด้วยงั้นหรือ? สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในใต้หล้านี้ก็คือหลักการนี่แหละ”

อู๋ยวนกล่าวอย่างจนใจ “หากเป็นเมื่อก่อน ข้าคงไม่คิดลึกกับปัญหาประเภทนี้ ทว่าอาจารย์ออกจากด่านในครั้งนี้ อันดับแรกก็เปลี่ยน ‘เครื่องแต่งกาย’ แล้วอยู่ดีไม่ว่าดีก็มาหาคนรู้จักในเมืองเล็กแห่งนี้ ศิษย์จึงไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าใดนัก”

หลังเสียงหัวเราะผ่านพ้นไป ชุยฉานก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน “จะว่าไปแล้ว หลักการใหญ่พวกนี้ก็ไม่ใช่คำพูดที่เหลวไหลไปเสียทั้งหมด แม้ข้าจะให้ความสำคัญกับกิจการและคุณความชอบมากกว่าความรู้ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่จำเป็นต้องตั้งใจใฝ่หาความรู้ พูดประโยคที่เป็นความจริงที่สุด มนุษย์ธรรมดาไม่ทุ่มเทกำลังทั้งหมดพยายามทำเรื่องยากลำบากเรื่องหนึ่งให้สำเร็จ ก็ไม่มีคุณสมบัติอะไรให้พูดว่ามีพรสวรรค์หรือไม่มี”

ชุยฉานใช้นิ้วข้างหนึ่งเคาะเบาๆ ลงบนที่เท้าแขน เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ สีหน้าเป็นธรรมชาติ “มีเพียงคนที่เคยพยายามอย่างแท้จริงเท่านั้น ถึงจะเกิดความรู้สึกสิ้นหวังต่อคนที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เมื่อถึงเวลานั้นจะกระจ่างแจ้งในฉับพลัน เขาจะร้องไห้แล้วบอกกับตัวเองว่า ที่แท้ข้าสู้ผู้มีพรสวรรค์คนนั้นไม่ได้จริงๆ”

อู๋ยวนยิ้ม “หลักการของหมากล้อม คิดๆ ดูแล้วผู้เล่นระดับชาติและฉีไต้จ้าว (ฉีไต้จ้าวคือชื่อตำแหน่งขุนนาง คือยอดฝีมือในการเล่นหมากล้อม หมากรุก มีหน้าที่หลักๆ คือคอยเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนฮ่องเต้) ของทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพาคงต้องใช้สภาพจิตใจเช่นนี้เผชิญหน้ากับท่านอาจารย์”

ชุยฉานกระตุกมุมปาก “ทว่ากับเรื่องบางเรื่อง อัจฉริยะบุคคลที่สวรรค์เข้าข้างอย่างข้าก็ยังต้องใช้สายตาแบบนี้จ้องมองคนบางคน”

อู๋ยวนส่ายหน้า “ศิษย์ไม่เชื่อ!”

ชุยฉานยื่นนิ้วออกมาชี้ใต้เท้าผู้ตรวจการที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของความเที่ยงธรรมแล้วหัวเราะร่วน “ใต้เท้าเสี่ยวอู๋ วิธีปลุกระดมเช่นนี้เอามาใช้ไม่ได้เรื่องเลย”

อู๋ยวนหัวเราะร่า กุมมือคารวะเอ่ยวิงวอน “ท่านอาจารย์สายตาเฉียบแหลมยิ่งนัก”

หางตาของอู๋ยวนคอยเหลือบมองไปยังเด็กหนุ่มทึ่มทื่อคนหนึ่งที่ผิวพรรณดุจผลึกใส เขานั่งเหม่อลอย ดวงตาว่างเปล่าอยู่บนม้านั่งตัวเล็กข้างเพดานโล่งกว้างห่างออกไปไม่ไกล มือทั้งคู่วางอยู่เหนือหัวเข่า เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ท่าทางเหมือนนั่งปากบ่อมองท้องฟ้า

อันที่จริงเมื่อครู่นี้ตอนที่เข้ามาในห้อง อู๋ยวนก็มองเห็นเขาแล้ว ทั้งยังรู้สึกตะครั่นตะครอไปทั้งตัว แต่ในเมื่ออาจารย์ไม่ยินดีที่จะเปิดปากพูดก่อน เขาก็ไม่สะดวกที่จะถามอะไร

อู๋ยวนมองกลอนคู่ที่อยู่บนโต๊ะ หยิบแผ่นหนึ่งขึ้นมาอ่านอย่างละเอียด แล้วเงยหน้าถาม “อาจารย์ ใครเป็นคนเขียนกลอนคู่นี้? คนผู้นี้น่าสนใจมากเลย”

ชุยฉานหาวหวอด เปลี่ยนเป็นท่าขดตัวที่ดูเกียจคร้านและสบายยิ่งกว่าเดิม “ตอนนี้ยังชื่อซ่งจี๋ซินกระมัง แต่คาดว่าผ่านไปอีกสักไม่กี่ปีก็น่าจะเปลี่ยนกลับไปใช้ชื่อเดิมที่ถูกขีดทิ้งบนเอกสารของกองกิจการในพระองค์ ซ่งมู่”

อู๋ยวนรู้สึกว่ากลอนคู่ที่เบาบางแผ่นนี้ร้อนลวกมือขึ้นมาทันที

เขาอดถามไม่ได้ว่า “อาจารย์เอากลอนคู่นี้มาทำอะไร?”

ชุยฉานตอบยิ้มๆ “ให้ศิษย์พี่ที่รักของเจ้าคนนั้นได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย จะได้ไม่ต้องคอยพูดว่าข้าอาศัยอายุที่มากกว่า ถึงได้เขียนตัวอักษรได้สวยกว่าเขา ตอนนี้ดีเลย กลอนคู่นี้พี่ชายแท้ๆ ของเขาเขียนเองกับมือ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขายังจะหาข้ออ้างอะไรได้”

อู๋ยวนคิดตามก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะถามเบาๆ “แล้วถ้าเขาบอกว่าซ่งจี๋ซินอยู่บ้านนอกบ้านนา วันๆ ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ เลยเอาแต่ฝึกเขียนตัวอักษร ความขยันจึงช่วยชดเชยข้อด้อย เลยเขียนตัวอักษรได้ดีอยู่บ้างล่ะ?”

ชุยฉานทำหน้าตะลึง “แบบนี้ก็ได้หรือ?”

อู๋ยวนพยักหน้ารับยิ้มๆ “ศิษย์พี่เล็กทำได้แน่”

ชุยฉานส่ายหน้า “พูดไปพูดมา สุดท้ายก็เพราะตีน้อยไป กฎระเบียบก็มาจากไม้เรียวอยู่แล้วนี่นะ”

อู๋ยวนวางกลอนคู่แผ่นนั้นกลับลงไปบนโต๊ะ แล้วพูดเรื่อยเปื่อย “ท่านอาจารย์ของอาจารย์ต้องเจ้าระเบียบมากแน่ๆ”

อู๋ยวนไม่เคยรู้ว่าอาจารย์ของตนรับการสืบทอดมาจากไหน ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่สายวิชาของการสืบทอด เขาก็ยังไม่รู้ เกรงว่าตลอดทั้งต้าหลี บุคคลที่รู้เรื่องนี้คงมีน้อยจนนับนิ้วได้

จู่ๆ ชุยฉานก็ยืดตัวขึ้นตรงเล็กน้อย “ผิดแล้ว อาจารย์สอนข้าก็พอๆ กับที่ข้าสอนพวกเจ้า ดังนั้นอาจารย์ของข้าถึงสอนจนออกมาเป็นลูกศิษย์อย่างข้าไงล่ะ เนรคุณคน ลืมกำพืดของตน อืม ยังหลอกลวงลบล้างบรรพจารย์ด้วย”

อู๋ยวนนึกว่าตัวเองฟังผิดไป

ชุยฉานเอ่ยเสียงเรียบเฉย “เจ้าฟังไม่ผิดหรอก”

เขายืดแขนบิดขี้เกียจ “ตอนที่ข้าไปขอเรียน ยังไม่ได้เป็นพวกหัวรุนแรงอย่างในเวลานี้ แค่กล้าเสนอความเห็นว่า ‘ทั้งความรู้และความสำเร็จ สามารถควบคู่ไปด้วยกันได้’ อาจารย์ก็มอบอักษรแปดคำว่า ‘ตัวการร้ายที่ทำให้สังคมเสื่อมโทรม’ ให้แก่ข้า”

ชุยฉานเริ่มขยับนั่งตัวตรงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องตรงเข้าไปที่ดวงตาของลูกศิษย์ตัวเอง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าอะไรคือสิ่งที่น่าโมโหที่สุด? นั่นคืออาจารย์ท่านนี้ของข้าไม่รอให้ข้าพูดข้อเสนอแนะจนจบก็ตัดบทข้าเสียแล้ว อาจารย์ที่แต่ไหนแต่ไรมามีชื่อเสียงเลื่องลือด้านการสั่งสอนที่เข้มงวดถึงขั้นไม่ยินดีจะครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้ให้นานอีกหนึ่งวัน หนึ่งชั่วยาม หรือแม้แต่หนึ่งก้านธูป แต่เลือกจะโยนประโยคแปดคำนั้นใส่หน้าข้า ข้ามีศิษย์น้องอยูคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เขาถามปัญหายากในตำราจากอาจารย์ อาจารย์จะต้องขบคิดพิจารณาอยู่เป็นนาน ก่อนจะสั่งสอนชี้นำอย่างตั้งใจ เพราะกลัวว่าจะเกิดข้อผิดพลาด มีครั้งหนึ่ง เจ้ารู้หรือไม่ว่าอาจารย์ของข้าต้องใช้เวลาคิดนานเท่าไหร่ถึงจะหาคำตอบให้เขาได้?”

ชุยฉานยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว

อู๋ยวนพยายามคิดให้เป็นจำนวนที่มากที่สุด แล้วลองถามหยั่งเชิง “หนึ่งเดือน?”

บัดนี้ราชครูต้าหลีที่เผยกายด้วยรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มหน้าตาใสพิสุทธิ์มีสีหน้าแปลกประหลาดอย่างถึงที่สุด คล้ายจะยิ้มแต่ไม่ใช่ยิ้ม คล้ายจะร้องไห้แต่ก็ไม่ได้ร้อง “สิบปี”

อู๋ยวนกลืนน้ำลาย ไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว

ชุยฉานพ่นลมหายใจหนักๆ หนึ่งครั้ง กล่าวเย้ยหยันตัวเอง “คนเก่า เรื่องเก่า กองกระดาษเก่าๆ ล้วนไม่สำคัญอีกแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ต่อให้มันยังสำคัญ แต่ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า?”

ชุยฉานลุกขึ้นยืน เก็บกลั้นอารมณ์ซับซ้อนที่หาได้ยากลงไป พูดกับอู๋ยวนว่า “วันนี้ที่ให้เจ้ามาที่นี่เพราะจะให้เจ้าพบกับคนผู้หนึ่ง ข้าจะไปทำธุระบางอย่างก่อน เจ้าไปรอที่หน้าประตู”

อู๋ยวนเหมือนคนได้รับอภัยโทษ จึงลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปทันที

ชุยฉานเดินเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มหน้าตาประณีตบรรจงสุดขีด แต่สีหน้ากลับทึ่มทื่อ พอนั่งยองลงก็ยกมือลูบคลำปลายคาง คล้ายกำลังมองหาข้อบกพร่อง

ท่ามกลางแสงอาทิตย์อัสดง อู๋ยวนพาชายสวมงอบคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ชุยฉานถึงได้ลุกขึ้นยืน หันมาพูดกับพวกเขาสองคน “คนกันเอง หาที่นั่งตามสบาย”

หลังจากที่คนผู้นั้นนั่งลงเรียบร้อยก็ปลดงอบลงเบาๆ เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาแต่ซีดขาวเหมือนคนป่วย จิงชี่เสินตลอดทั้งร่างย่ำแย่สุดขีด คล้ายบาดเจ็บสาหัส ไอไม่หยุด มีกลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยมา

สีหน้าอู๋ยวนเคร่งเครียด “ชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหู?!”

จากนั้นอู๋ยวนก็หันไปมองอาจารย์ของตัวเองอย่างรวดเร็ว

ชุยฉาน ชุยหมิงหวง ราชครูต้าหลี สำนักศึกษากวานหู

หรือว่า?

อู๋ยวนชาไปทั้งหนังศีรษะ ใจสั่นระรัว เริ่มกังวลแล้วว่าตัวเองจะรอดออกไปจากบ้านหลังนี้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่ได้หรือไม่

ท่านอาจารย์ฆ่าคน มักมีคำพูดติดปากว่า ทำไปตามกฎ

แต่ปัญหาก็คือผู้ฝึกลมปราณของราชวงศ์ต้าหลีแทบจะไม่มีใครที่สามารถเข้าใจกฎเกณฑ์ของท่านอาจารย์ได้

ต่อให้ลูกศิษย์ผู้สืบทอดอย่างอู๋ยวนก็ไม่เคยกล้าคิดว่าตัวเองเข้าใจความคิดของอาจารย์อย่างแท้จริง

ชุยฉานยกเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มที่นั่งเหม่อลอย หันหลังให้กับอู๋ยวนและชุยหมิงหวง พูดกลั้วหัวเราะ “ไม่ต้องตื่นเต้น คนหนึ่งคือลูกหลานในตระกูลที่ข้าชื่นชมอย่างที่หาได้ยาก อีกคนหนึ่งคือลูกศิษย์ผู้น่าภาคภูมิใจที่มีหวังว่าจะได้สืบทอดวิชาความรู้ไปจากข้า ดังนั้นพวกเจ้าสองคนไม่ต้องเดากันไปมา สามารถคิดไปในทางที่ดีได้”

อู๋ยวนปลุกความกล้าถามว่า “ท่านอาจารย์มาจากสกุลชุย?”

ชุยฉานไม่ได้สนใจ

ชุยหมิงหวงยิ้มเจื่อน “อาจารย์ลุงถูกตระกูลชุยขับออกจากตระกูลนานแล้ว แถวยังออกคำสั่งว่าชีวิตนี้ไม่อาจเข้าร่วมศาลบรรพชน ตายไปก็ห้ามฝังร่วมสุสาน”

สีหน้าของอู๋ยวนเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

ชุยฉานที่ไม่ได้หันหน้ากลับมาพูดด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ เรื่องฉาวโฉ่ในอดีตพวกนี้ ฮ่องเต้ผู้ทรงพระปรีชาฌานของพวกเราทรงทราบมาตั้งแต่แรกแล้ว ใช่แล้ว ชุยหมิงหวง ไม่ว่าปัญหาใดๆ ที่อู๋ยวนจะพบเจอหลังจากนี้ เจ้าจงพูดออกมาให้หมด”

อู๋ยวนพลันฉุกคิดขึ้นมาได้จึงถามปัญหาที่ใหญ่ที่สุดออกไปโดยตรง “การตายของฉีจิ้งชุน คือฝีมือของท่านอาจารย์?”

ชุยฉานไม่เต็มใจจะเปิดปากพูด

สีหน้าของชุยหมิงหวงยังคงเป็นปกติ ตอบกลับไปว่า “ก่อนหน้านี้ฉีจิ้งชุนได้รับจดหมายลับฉบับหนึ่งที่มาจากสำนักศึกษาซานหยา คนที่เขียนจดหมายบอกกับฉีจิ้งชุนว่า อาจารย์คนที่ซ่อนตัวอยู่ในกงเต๋อหลิน (คือสถานที่แห่งหนึ่งแปลตรงตัวว่าสวนป่าแห่งคุณธรรม จุดศูนย์รวมแห่งคุณธรรม) ของโรงเรียนบางแห่งของพวกเขาได้ตายจริงๆ แล้ว”

อู๋ยวนขมวดคิ้ว นี่คือความลับใหญ่เทียมฟ้าที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เกรงว่าคงมีบุคคลระดับผู้นำของสามโรงเรียนใหญ่และเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อเท่านั้นที่ถึงจะมีสิทธิ์รู้เรื่องราวภายใน แต่ข่าวลืออื่นๆ อู๋ยวนเองก็เหมือนกับเมล็ดพันธ์ปัญญาชนของตระกูลสูงศักดิ์หลายคนที่พอจะได้ยินผ่านหูมาบ้าง

เวลาสั้นๆ เพียงร้อยปี เทวรูปที่ในอดีตถูกยกขึ้นบูชาไว้ในลำดับที่สี่ของศาลเจ้าบุ๋นลัทธิขงจื๊อกลับถูกปลดลงมาจากตำแหน่งอริยะแห่งบุ๋น ย้ายมาไว้ในตำแหน่งของปราชญ์แห่งบุ๋นทั้งเจ็ดสิบสององค์ที่ถูกบูชาร่วม จากนั้นก็ลดจากตำแหน่งปราชญ์เอกที่ถูกบูชาร่วมลงมาด้านหลังอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งอยู่ด้านล่างสุด และช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิในปีนี้ก็ยิ่งถูกย้ายออกจากศาลเจ้าบุ๋นโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีคนพยายามที่จะแอบนำเทวรูปนั้นไปบูชาในวัดเต๋าแห่งหนึ่ง แต่กลับถูกจับได้ สุดท้ายจึงถูกพวกชาวบ้านที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ ผลักล้มและทุบตีจนแตกหัก คัมภีร์และบทความทั้งหมดทั่วทั้งราชสำนักที่อริยะท่านนี้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งชีวิตเขียนไว้ล้วนถูกเผาทำลาย กฎหมายและนโยบายการปกครองทั้งหมดที่อนุมานไว้ก็ถูกราชวงศ์ใหญ่ต่างๆ ล้มล้าง ชื่อถูกห้ามเอ่ยถึงและถูกลบทิ้งจากประวัติศาสตร์

อันดับแรกคือสถานการณ์ที่เลวร้ายลงในทุกๆ วัน ตามมาด้วยความเสื่อมถอยใกล้ดับสูญ สุดท้ายก็จากไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ จากไปอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย

ชุยหมิงหวงเล่าแผนการชั่วร้ายน่าพรั่นพรึงอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย “ตอนนี้สำนักศึกษาซานหยาถูกลบฐานะหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาทิ้งไปแล้ว แม้ว่าต้าหลีของพวกเจ้าจะไม่พอใจกับเรื่องนี้นัก เพราะอย่างไรซะสำหรับเรื่องการอบรมสั่งสอนราษฎร รวมถึงการช่วยให้ต้าหลีหลุดพ้นจากสถานะของคนเถื่อนทิศเหนือแล้ว ฉีจิ้งชุนและสำนักศึกษาต่างก็มีคุณความชอบยิ่งใหญ่ เมื่อไม่มีสำนักศึกษาคอยดึงดูดพวกคนสูงศักดิ์ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ระบบของขุนนางฝ่ายบุ๋นต้าหลีย่อมต้องได้รับการโจมตีที่รุนแรง แต่ด้วยแนวโน้มของสถานการณ์ที่ดำเนินไป สุดท้ายแล้วต้าหลีก็ไม่อาจเป็นตั๊กแตนที่ขวางหน้ารถ ฮ่องเต้ต้าหลีก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะไปหาเรื่องกลุ่มอิทธิพลทั้งบนและล่างภูเขามากมายขนาดนั้นเพียงเพื่อฉีจิ้งชุนคนเดียว”

“ในเมื่อความช่วยเหลือจากภายนอกพึ่งพาไม่ได้แล้ว ดังนั้นหลังจากที่ฉีจิ้งชุนได้รับจดหมายแล้ว เขาจะสามารถอาศัยกำลังของคนคนเดียวมารักษาฐานะของสำนักศึกษาซานหยาไม่ให้ถูกถอดถอนได้อย่างไร ปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าข้อนี้วางอยู่บนโต๊ะหนังสือตรงหน้าของฉีจิ้งชุนพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น”

“แต่เขารู้ดีอยู่แก่ใจตัวเองว่า เมื่อเวลาหกสิบปีผ่านไป แล้วเขาเดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้าเช่นนั้นความจริงอันน่าครั่นคร้ามที่ว่า แม้เขาจะจำศีลอำพรางตัวอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แต่ขอบเขตไม่เพียงไม่ถดถอย กลับกันยังเพิ่มขึ้นสูงนั้น ย่อมนำแรงกดดันที่มหาศาลยิ่งกว่าเดิมจากบุคคลยิ่งใหญ่บางคนในลัทธิขงจื๊อมาสู่ตัว แน่นอนว่าไม่เพียงแต่ลัทธิขงจื๊อ ลัทธิเต๋าและยังมีบุคคลใหญ่คนอื่นๆ ในบรรดาเมธีร้อยสำนักที่ต่างก็คันไม้คันมือเต็มที เพราะอย่างไรซะกว่าจะกำราบคนเก่าได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หากมีคนใหม่มาเพิ่มอีกก็น่าตลกเกินไป”

ชุยหมิงหวงเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง หันไปมองชุยฉาน ผู้อาวุโสในตระกูลที่ยังคงจ้องนิ่งไปที่เด็กหนุ่มคนนั้นโดยไม่รู้ตัว

สายตาของชุยหมิงหวงเต็มไปด้วยความเคารพเลื่อมใส “ในเวลาอย่างนี้ การปรากฏตัวก่อนกำหนดของหร่วนฉงก็กลายมาเป็นตัวตัดสินสถานการณ์ ตัดขาดทางถอยเส้นที่เดิมทีมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าฉีจิ้งชุนจะเลือกเดินไปอย่างสิ้นเชิง”

ไม่รู้ว่าชุยฉานลุกขึ้นยืนตั้งแต่เมื่อไหร่ เขากำลังใช้นิ้วมือเบิกเปลือกตาของเด็กหนุ่มเบาๆ พอได้ยินคำพูดของชุยหมิงหวงจึงพึมพำเบาๆ ว่า “เหล้าล่ะ? เมื่อครู่นี้ตอนเดินผ่านร้านเหล้าน่าจะซื้อมาสักสองสามไห”

ชุยหมิงหวงเห็นว่าอู๋ยวนมีท่าทางสงสัยจึงอธิบายว่า “หร่วนฉงมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูตั้งแต่เนิ่นๆ แม้ปรมาจารย์สำนักการทหารท่านนี้จะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในเมือง รักษาความเป็นกลางเอาไว้อย่างเด็ดขาด แต่การดำรงอยู่ของหร่วนฉง เดิมทีก็มีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่แล้ว นี่หมายความว่าฉีจิ้งชุนไมอาจเปิดปากต่อรองกับอริยะสี่ฝ่ายของสามลัทธิหนึ่งสำนัก เสนอให้ตัวเองอยู่ในเมืองเล็กที่เป็นเหมือนกรงขังต่อไปอีกเป็นเวลาหกสิบปี ใช้สิ่งนี้มาแลกกับการที่สำนักศึกษาซานหยาจะสามารถอยู่รอดไปได้อีกหกสิบปี”

ชุยหมิงหวงยิ้มบางๆ “อาจารย์ของตัวเองตายแล้ว บทความและตำราของอาจารย์ก็ไม่มีใครอ่านอีก นโยบายการปกครองก็ไม่มีคนนำไปใช้ ส่วนสำนักศึกษาซานหยาที่ฉีจิ้งชุนสร้างขึ้นมาบนพื้นที่ป่าเถื่อนกันดารด้วยความยากลำบากหลังจากมาอยู่แจกันสมบัติทวีปบูรพาก็ไม่มีแล้วเช่นกัน ไม่มีพื้นที่ให้หยัดยืนอยู่บนโลกได้อีก สถานที่ที่ปลอดภัยซึ่งประคับประคองให้เขาก้าวเดินมาได้ถึงทุกวันนี้ก็เหมือนว่าจะไม่มีแล้ว ไม่ตายแล้วจะทำยังไงได้อีก? ขอแค่เขาฉีจิ้งชุนตายไป ถึงจะทำให้คนบางคนรู้สึกว่าหมดสิ้นซึ่งภัยคุกคาม แน่นอนว่าย่อมคร้านจะสนใจสำนักศึกษาซานหยาที่แตกออกเป็นเสี่ยงๆ และในความเป็นจริงแล้วหากไม่มีฉีจิ้งชุน อย่าว่าแต่เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาที่สมชื่อเลย เกรงว่าสำนักศึกษาซานหยาที่อยู่ในขอบเขตของต้าหลีคงมีรากฐานได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของสำนักศึกษากวานหูพวกเรา”

ฉุยชานเอ่ยวิจารณ์ “รากฐานของสำนักศึกษากวานหูมีเหลือแหล่ แต่พลังชีวิตกลับไม่มากพอ หากไม่เป็นเพราะการดำรงอยู่ของสำนักศึกษาซานหยาบีบให้สำนักศึกษากวานหูจำเป็นต้องทำการเปลี่ยนแปลงมากมาย และเกรงว่าน่าจะยิ่งแย่ไปมากกว่านั้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงจากสงครามใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอันดับต่อมา มีแต่จะเดินไปทีละก้าวอย่างเชื่องช้า จนกระทั่งสาบสูญไปสิ้น”

ชุยหมิงหวงเอ่ยชื่นชมจากใจจริง “อาจารย์ลุงช่างมีความรู้ที่แท้จริงและสายตาเฉียบแหลมลึกซึ้งยิ่งนัก แค่เอ่ยปากก็จี้ถูกจุดสำคัญ!”

ในที่สุดชุยฉานก็ไม่เสียเวลาอยู่กับเด็กหนุ่มที่ไม่มี “ความเป็นคน” แม้แต่นิดคนนั้นอีกต่อไป เขาไปยืนอยู่ข้างบ่อน้ำที่ไม่มีน้ำ เงยหน้ามองท้องฟ้าสีครามสดใสเหมือนกับเด็กหนุ่ม พอถอนสายตากลับมาก็เอ่ยข้อสรุปที่ประหลาดมากประโยคหนึ่ง “ดังนั้นข้าจึงตั้งใจจัดการทดสอบครั้งใหญ่ ผู้สอบมีเพียงคนเดียว นั่นก็คือเด็กกำพร้าตรอกหนีผิงที่ชื่อเฉินผิงอันผู้นั้น เขามีภูมิหลังที่ธรรมดาอย่างมาก แต่กลับมีประสบการณ์ในการเติบโตที่น่าสนใจอย่างยิ่งยวด”

อู๋ยวนยิ่งมึนงงไม่เข้าใจเรื่องราว นี่หมายความว่าอย่างไร?

ชุยฉานเริ่มเดินรอบบ่อน้ำช้าๆ มือทั้งคู่ไพล่หลัง ก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง “ตามหลักแล้ว ภายใต้สถานการณ์ที่ฉีจิ้งชุนต้องตายอย่างแน่นอน เขาจะต้องดิ้นรนก่อนตายเป็นครั้งสุดท้าย ดังนั้นจึงมีสามคนที่จำเป็นต้องจับตามอง หม่าจานศิษย์น้องที่ร่วมเผชิญความลำบากเป็นเพื่อนเขาในถ้ำสวรรค์หลีจู จ้าวเหยาเด็กรับใช้ที่ถูกถ่ายทอดความรู้ด้วยมือต่อมือ และซ่งจี๋ซินที่มองดูเหมือนความสัมพันธ์ธรรมดา เพราะทั้งสามคนนี้มีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าฉีจิ้งชุนจะฝากฝังความหวังไว้ให้”

“คิดจะให้หม่าจานสืบทอดควันธูปของสำนักศึกษาซานหยาต่อไป ต่อให้จะมีลูกศิษย์แค่คนเดียวก็ไม่เป็นไร”

“คิดจะให้จ้าวเหยานำความรู้ที่ได้รับจากอาจารย์ไปสร้างความรุ่งโรจน์ ส่วนที่ว่าจะอยู่ในราชสำนักต้าหลีหรือไม่ หรืออาจถึงขั้นที่ว่าจะอยู่ในแจกันสมบัติทวีปบูรพาหรือไม่นั้น ก็ไม่สำคัญอีกแล้ว”

“ตอนแรกที่ข้ารู้ว่าฉีจิ้งชุนยกตำราทั้งหมดให้กับซ่งจี๋ซิน ข้าก็นึกว่าซ่งจี๋ซินจะเป็นหนึ่งในคนที่ได้รับการสืบทอดควันธูปจากเขา แต่เพียงไม่นานข้าก็ค้นพบว่านี่คือวิธีอำพรางตาเท่านั้น”

ตอนที่ชุยฉานพูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มเงียบงันเป็นเวลานาน คล้ายว่ากำลังค่อยๆ อนุมานย้อนทวนไปทีละก้าว เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าไม่พลาดจุดใดไป

อู๋ยวนเอ่ยแทรกอย่างระมัดระวัง “ด้านหลังคาถาอำพรางตา ก็คือคนที่ชื่อเฉินผิงอัน?”

ชุยฉานที่ถูกขัดจังหวะความคิดพลันเงยหน้ามองอู๋ยวนด้วยสายตาเย็นชา

อู๋ยวนรีบลุกขึ้นยืน หน้าผากหลั่งเหงื่อเย็น กุมมือคารวะก้มหน้าพูด “ขออาจารย์โปรดอภัยด้วย”

ชุยฉานจึงสาวเท้าเดินต่ออีกครั้ง “หม่าจานถือว่าเป็นลูกศิษย์ของคนผู้นั้นครึ่งตัว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับฉีจิ้งชุนแล้วยังห่างชั้นกันไกลนัก ใจสูงกว่าฟ้า ชะตาบางกว่ากระดาษ หมายถึงคนผู้นี้นั่นเอง”

“ข้าบอกให้ชุยหมิงหวงไปหลอกหม่าจาน หลอกเขาว่าสามารถเป็นเจ้าขุนเขาคนต่อไปของสำนักศึกษาซานหยาแทนที่ฉีจิ้งชุนได้ แม้ว่าในนามจะไม่ได้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาต่อไป แต่สำนักศึกษายังอยู่ จึงจำเป็นต้องมีเจ้าขุนเขา เมื่อเป็นเช่นนี้ สำหรับสายบุ๋นของฝ่ายฉีจิ้งชุน สำหรับองค์ฮ่องเต้ของต้าหลีเรา แท้จริงแล้วยังถือว่าพอจะมีเกียรติอยู่บ้าง และนี่ก็คือจุดจบที่กองกำลังฝ่ายต่างๆ ยอมรับได้ตั้งแต่เริ่มแรก”

“แต่ข้าไม่ชอบนี่นา จุดจบที่มีความสุขพร้อมหน้าพร้อมตาเช่นนี้น่าเบื่อเกินไป จะอย่างไรซะเดิมทีฝ่ายในของลัทธิขงจื๊อเองก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่พอใจอยู่แล้ว พวกเขาต้องการให้เหวินเซิ่ง ฉีจิ้งชุนและสำนักศึกษาซานหยาหายไปพร้อมกันทั้งสามฝ่าย เพื่อที่ว่าจะมีใครเกิดจากอยากจะพลิกฟื้นมันกลับมาอีกครั้ง”

“ดังนั้นข้าจึงเสนอแนะให้สร้างสำนักศึกษาใหม่บนยอดเขาพีอวิ๋น และโรงเรียนสามแห่งของลัทธิขงจื๊อก็รับปากว่าภายในห้าสิบปีจะยกระดับสำนักศึกษาแห่งนี้ให้กลายมาเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษา พอฮ่องเต้ของพวกเราได้ฟังก็รู้สึกว่าไม่เลว เทียบกับซี่โครงไก่อย่างฉีจิ้งชุนแล้ว เมื่อเปลี่ยนมาเป็นหุ่นเชิดที่ยอมเชื่อฟังทุกคำสั่งจากต้าหลี แน่นอนว่าย่อมเหมาะสมกับแผนการยิ่งใหญ่ที่จะยึดครองทิศใต้ของต้าหลีมากกว่าไม่ใช่หรือ?”

“ดังนั้นชุยหมิงหวงจึงไปหลอกหม่าจานอีกครั้ง เขากับเขาว่าในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ก็ไม่สู้เลือกข้อที่ดีรองลงมา ถือโอกาสเปลี่ยนสำนักเสียใหม่ ตัดขาดความสัมพันธ์กับสำนักศึกษาซานหยาอย่างสิ้นเชิง พอกลับมาเมืองเล็กก็สามารถเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาคนใหม่ได้เลย อีกทั้งยังเป็นเจ้าขุนเขาคนแรกของสำนักศึกษาแห่งใหม่ด้วย เทียบกับสำนักศึกษาซานหยาที่ต้องคอยฟังคำพูดคนอื่น คอยยืมจมูกคนอื่นหายใจแล้ว จะไม่ยิ่งดีกว่าหรือ?”

ชุยฉานยังคงเดินไปอย่างต่อเนื่อง แต่หันมามองชุยหมิงหวงที่กำหนดลมหายใจทำสมาธิเงียบๆ “ปัญหาเกิดในช่วงเวลานี้ใช่หรือไม่?”

ชุยหมิงหวงพยักหน้ารับ “น่าจะเกิดความกังขาในช่วงเวลานี้ จึงเริ่มแสร้งแสดงความนอบน้อมและคล้อยตามข้า ตอนนั้นเขาไม่เผยพิรุธ แม้ข้าจะมีการป้องกันด้วยความระวังตัว แต่ก็คาดไม่ถึงว่ายามที่สวะอย่างหม่าจานผู้นี้ลงมืออำมหิตขึ้นมา จะทุ่มสุดชีวิต ไม่กักเก็บพลัง ยอมให้เส้นชีพจรปริแตก ช่องโพรงระเบิดแหลก แต่ก็สังหารข้าให้ได้”

ชุยฉานพยักหน้ารับ “แม้หม่าจานฝีมืออ่อนด้อยจนเทียบฉีจิ้งชุนไม่ติด แต่จะอย่างไรซะก็เป็นลูกศิษย์คนผู้นั้นมาสิบกว่าปี จะมองเขาเป็นคนโง่อย่างเดียวไม่ได้”

ชุยหมิงหวงใช้มืออุดปาก ถ่มเลือดคั่งออกมาหนึ่งคำ หลังจากกำหมัดแน่น สีหน้ากลับผ่อนคลายกว่าเดิมหลายส่วน ใบหน้ามีเลือดฝาดเพิ่มขึ้นมา เอ่ยถามว่า “อาจารย์ลุง เหตุใดต้องอนุญาตให้เหล่าฟูจื่อ (老夫子 เป็นคำเรียกขานอาจารย์ในโรงเรียนยุคโบราณ) ที่เหลือเพียงคนเดียวของสำนักศึกษาซานหยาคนนั้นพานักเรียนออกไปจากต้าหลี มุ่งหน้าไปยังต้าสุยอันเป็นแคว้นของศัตรู สืบทอดชื่อของสำนักศึกษาซานหยาต่อไปด้วย? แล้วฮ่องเต้ต้าหลียอมตอบรับได้อย่าง? เรื่องนี้ข้าผู้น้อยคิดไม่ตกมาโดยตลอด”

ชุยฉานเดินเนิบช้า “หนึ่งคือต่อให้จะรักษาสำนักศึกษาซานหยาเอาไว้ได้ แต่ก็มีแค่ชื่อเท่านั้น เมื่อไม่มีกรอบป้ายอักษรทองว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองสำนักศึกษาแล้ว ก็ถือว่ามีแค่เปลือกเปล่าๆ ไม่อาจช่วงชิงตำแหน่งบัณฑิตที่โดดเด่นที่สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพากับสำนักศึกษากวานหูที่เจริญรุ่งเรืองมากขึ้นในทุกๆ วัน สองคือหากมีสำนักศึกษาแห่งใหม่ก่อตั้งขึ้นมาบนภูเขาพีอวิ๋น รองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษากวานหูจะมาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่ แน่นอนว่าเจ้าขุนเขาคนที่สองย่อมต้องเป็นวิญญูชนแห่งกวานหูที่นั่งอยู่ข้างกายเจ้าคนนี้ ข้อสาม ต้าสุยยอมรับตัวสุนัขไร้บ้านของสำนักศึกษาซานหยาผู้นั้นไว้ก็เท่ากับรับเผือกร้อนลวกมือไป ต้าหลีของพวกเราอาจจะสามารถหาข้ออ้างประกาศศึกกับต้าสุยได้ทุกเมื่อ พอถึงเวลานั้นก็ไม่เท่ากับว่าสำนักศึกษาซานหยาอยู่บนแผนที่ของต้าหลีเหมือนเดิมหรอกหรือ?”

“ใครต่างก็รู้ว่าสำนักศึกษาซานหยามีระดับเท่ากับกว๋อจื่อเจียน (สถาบันการศึกษาสูงสุด) ของราชสำนักต้าหลี ทว่ามีฮ่องเต้ของราชวงศ์ไหนบ้างที่กล้าพูดว่าสำนักศึกษากวานหูคือโรงเรียนส่วนตัวของตน? ดังนั้นวันใดที่ต้าหลีสามารถครอบครองสำนักศึกษาแห่งหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ คือสิ่งที่แม้แต่ในยามพระสุบิน ฮ่องเต้ก็ทรงใฝ่หาจะได้มาครอบครอง แน่นอนว่าก็ไม่แน่เสมอไปที่ลึกๆ ในใจของฮ่องเต้จะไม่อยากชดเชยให้ฉีจิ้งชุน ตลอดเวลาหลายปีที่ฉีจิ้งชุนดำรงตำแหน่งเจ้าขุนเขา ต่อให้เขาจะไม่ยินดีคุกเข่าก้มหัวให้แก่ฝ่าบาท แต่ฝ่าบาทกลับชื่นชมฉีจิ้งชุนมากจากใจจริง อาจถึงขั้นเคารพยำเกรงเขาด้วยซ้ำ”

ชุยฉานพลันหัวเราะ “แน่นอนว่าเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ ข้าต้องการ ข้าต้องการหมากล้อมหนึ่งกระดานที่เป็นเช่นนี้ทั้งหมด”

“นอกจากข้าจะต้องการให้ฉีจิ้งชุนตายอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ข้ายังต้องการให้เขาเดินตามหมากที่ข้าวางไว้ เลือกหมากตัวที่ข้าหวังว่าเขาจะเลือก สุดท้ายข้าจะเป็นคนทำลายทุกอย่างกับมือตัวเอง ก่อนที่ฉีจิ้งชุนจะตายไป หากในมือยังกำเมล็ดพันธ์หลายเมล็ด หรือไม่ถือธูปไว้หลายก้าน ก็ได้แต่ต้องส่งมอบให้คนที่อยู่ข้างกายเท่านั้น”

“สายบุ๋นมักจะเน้นย้ำในเรื่องการสืบทอดวิชาความรู้ ยังถึงขั้นศรัทธาในทฤษฎีอย่างหนึ่งที่บอกว่า ลูกศิษย์ในสำนักสามารถตายกันหมดได้ แต่ควันธูปห้ามขาดสายเด็ดขาด ดังนั้นแล้วควันธูปและชะตาแห่งสายบุ๋นคืออะไร ไม่อาจอธิบายได้อย่างชัดเจน คาดว่าฉีจิ้งชุนคงจับต้นสายปลายเหตุได้แล้ว ข้ายังคงคิดไม่ตก ไม่กล้าแน่ใจนัก จึงจำเป็นต้องใช้เรื่องจริงมาพิสูจน์ความคิดของตัวเอง”

“ดังนั้นข้าจึงจัดการทดสอบใหญ่ครั้งนี้ขึ้นมา จัดวางกระดานหมาก ทั้งเพื่อใช้ตัดขาดควันธูปสายบุ๋นของคนผู้นั้น ทั้งยังเป็นโอกาสในการตื่นรู้ของข้า”

ชุยฉานเดินมาหยุดอยู่ด้านหลังเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่บนม้านั่ง ยื่นมือออกไปตบศีรษะของเขาเบาๆ เอ่ยกลั้วหัวเราะ “มีกลอนบทหนึ่งกล่าวไว้ว่า” เซียนลูบเส้นผมข้า มัดผมข้า สืบทอดคาถาอมตะให้แก่ข้า ช่างเป็นบทกลอนที่…เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งเซียน”

ข้อต่อทั่วร่างกายเด็กหนุ่มส่งเสียงลั่นกร๊อบๆ สุดท้ายถึงลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยท่าทางแข็งทื่อ ดวงตาทั้งคู่ของเขาเริ่มสาดประกายแห่งชีวิตเจิดจ้า รอจนยืนตัวตรงแล้ว หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับชุยฉานที่ประกอบเรือนกายนี้ให้ตนกับมือของเขาเอง เด็กหนุ่มยังพูดสื่อสารไม่ได้ เหมือนเด็กทารกที่หัดพูดอ้อแอ้ แต่กลับกระโดดโลดเต้นด้วยความปิติยินดี ขณะเดียวกันก็มีความเคารพเลื่อมใสต่อชุยฉานมาตั้งแต่แรกเริ่ม

อย่าว่าแต่อู๋ยวนที่ไม่ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนเลย แม้แต่ชุยหมิงหวงที่พอเห็นภาพเหตุการณ์นี้ก็ยังปากอ้าตาค้างไปเช่นกัน

ไม่รู้เป็นอย่างไร วันนี้พอได้ยินคำพูดประโยคนี้ของอาจารย์แล้ว อู๋ยวนรู้สึกเพียงเย็นเยียบไปทั้งร่าง มีแรงแต่ไร้กำลัง จึงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “อาจารย์ ไม่สามารถฆ่าคนให้จบๆ เรื่องกันไปหรอกหรือ? จำเป็นต้องอ้อมค้อมขนาดนี้เชียว?”

ชุยฉานหัวเราะเสียงดังลั่น รอมาตั้งนาน ในที่สุดก็ได้ยินคำถามที่น่าสนใจอย่างแท้จริงสักที จึงจุ๊ปากพูด “การช่วงชิงแห่งมหามรรค ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอย่างการฆ่าล้างโคตร สังหารดับตระกูลในโลกมนุษย์ คิดจะถอนรากถอนโคนอย่างแท้จริงนั้นยากมากๆ หลายครั้งการฆ่าคน กลับยิ่งทำให้เรื่องง่ายๆ กลายเป็นปัญหายุ่งเหยิง ดังนั้นต้องฆ่าจิตใจ เหตุใดผู้ฝึกตนถึงสูงได้ถึงสิบห้าชั้น? เพราะฝึกจิตใจอย่างไรล่ะ ส่วนผู้ฝึกยุทธ์ที่ฝึกพลังกายกลับสูงเพียงเท่านี้ ขั้นที่เก้าก็คือขั้นสูงสุด คิดจะเลื่อนสู่ขั้นที่สิบ ยากเสียยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์”

จู่ๆ ชุยฉานก็กระโดดเข้าไปในบ่อน้ำที่อยู่ตรงข้ามกับเพดานเปิดอ้า เหยียบลงบนหินไข่ห่านห้าสีที่ฝังเลื่อมอยู่ตรงก้นบ่อ เริ่มเดินอยู่ในบ่อน้ำดังใจปรารถนา เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับตอนเดินบนพื้นดินแล้ว การเดินในบ่อน้ำนี้ยากลำบากมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เขาครุ่นคิดแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเล่าสองกรณีที่เป็นความลับไม่แพร่งพรายให้กบในกะลาอย่างพวกเจ้าทั้งสองฟังก็แล้วกัน ฟังจบแล้ว จะค้นพบว่าวิธีการพวกนี้ของข้า ก็เพียงแค่นี้ ก็เพียงแค่นี้เอง”

“มียอดฝีมือคนหนึ่งที่ในอดีตเกือบจะช่วยสำนักการทหารก่อตั้งสำนัก แม้จะล้มเหลวเนื่องจากขาดความพยายามในขั้นสุดท้าย แต่จะอย่างไรซะก็เป็นคนที่มีโชคชะตายิ่งใหญ่ติดตัว จึงไม่มีใครกล้าลงมือสังหารคนผู้นี้ สุดท้ายเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหล่าอริยะที่แท้จริงเหล่านั้นจัดการกับคนผู้นี้อย่างไร? โยนเขาเข้าไปไว้ในพื้นที่มงคลแห่งนี้ จัดส่งตัวหมากให้ไปอยู่ข้างกายเขาทุกชาติทุกภพเพื่อคอยลดทอนปณิธานแห่งสำนักการทหารของเขาอย่างต่อเนื่อง ชาตินี้ให้เขากลายมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในชนบท แต่กลับไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องกินเรื่องอยู่ ชาติถัดไปทำให้เขากลายเป็นคนขายเนื้อหยาบกระด้างนิสัยขี้ขลาดอ่อนแอ แต่กลับมีคนดีอยู่เคียงข้าง อีกชาติหนึ่งกลายมาเป็นคุณชายเสเพลผู้เยาะเย้ยถากถางสังคม แม้เงินทองจะหมดสิ้น แต่ก็ยังฟื้นคืนกลับมาได้ อีกชาติหนึ่งกลายมาเป็นฮ่องเต้ผู้เชี่ยวชาญด้านบุ๋นในยุคสันติ สรุปก็คือถูกคนกำเล่นอยู่ในฝ่ามือเช่นนี้ทุกชาติทุกภพ ตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ใช่ว่าพวกคนรุ่นหลังของสำนักการทหารจะไม่อยากลงมือช่วยเหลือ แต่ก็ได้แค่กล้าลงมืออย่างลับๆ พยายามที่จะปลุกสติปัญญาของบรรพจารย์สำนักการทหารท่านนั้น ทว่าความหวังช่างเลือนราง คิดจะแข่งด้านตบะ แผนการและความอดทนกับตาแก่เหล่านั้นน่ะหรือ? จะชนะได้อย่างไร?”

“แล้วก็มีผู้กล้าสำนักการทหารอีกคนหนึ่ง พลังการต่อสู้แข็งแกร่ง สร้างความสะท้านสะเทือนไปทั่วโลก สุดท้ายไม่ระวังแค่ครั้งเดียวกลับแพ้ทั้งกระดาน จิตวิญญาณแตกซ่านเพียงเพื่อสตรีที่เป็นหุ่นเชิดคนหนึ่ง พวกอริยะจึงคว้าโอกาสไว้ทันที สามจิตหกวิญญาณล้วนถูกพวกเขาแบ่งแยกจนหมดสิ้น จากนั้นทำให้เขากลายเป็นเจ๋อเซียน[1] อันดับหนึ่งของพื้นที่มงคลแต่ละแห่ง ดวงวิญญาณทุกดวงของเขาล้วนยกระดับจากพื้นที่มงคลมาสู่ฟ้าดินของพวกเรา อีกทั้งการเดินบนมหามรรคายังราบรื่น ทุกคนล้วนกลายเป็นผู้พิชิตของพื้นที่แห่งนี้ แล้วพวกเจ้าคิดว่าพวกเขาเก้าคนที่ตบะต่ำสุดคือชั้นสิบ หรือไม่ก็วรยุทธ์ขั้นที่เจ็ดนี้จะยินยอมสละปณิธานของตนเองเพื่อ ‘รวมกันเป็นคนเดียว’ หรือไม่?”

“ฟังดูแล้วเหมือนว่าจะไม่ซับซ้อนเท่าใดนัก แต่หากร่ายใช้ขึ้นมาจริงๆ กลับเป็นเวลาที่ยาวนานอย่างถึงที่สุด”

ตอนที่ชุยฉานกล่าวมาถึงตรงนี้ เขาก็พูดอย่างปลงอนิจจังว่า “การแก่งแย่งบนมหามรรคาช่างโหดเหี้ยมอำมหิตยิ่งนัก”

ชุยฉานยืดแขนบิดขี้เกียจเต็มแรง มือทั้งคู่นวดคลึงลำคอ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หม่าจานตายไปพร้อมกับความละอายใจและเดือดแค้น จ้าวเหยาสูญเสียตัวตนเจ้าของตราประทับอักษร ‘ชุน’ ถ้าเช่นนั้นอันดับต่อไปก็เหลือแค่ตัวอักษรจิ้งที่สร้างความเสียหายให้กฎเกณฑ์ใหญ่แล้ว”

“เด็กกำพร้าตรอกเก่าโทรมที่ยากจนข้นแค้นสุดขีด ได้เผชิญมาแล้วทุกความยากลำบาก จุดลึกในหัวใจปรารถนาความสงบสุขมากเกินกว่าสิ่งใด ตอนนี้ความฝันกลายมาเป็นความจริงแล้ว อยู่ดีๆ ก็กลายมาเป็นคนที่มีเงินร่ำรวยที่สุดในเมืองเล็ก แล้วจู่ๆ ก็ได้รับโอกาสที่พันปียากจะพานพบ สามารถเก็บภูเขาห้าลูกบนพื้นที่มงคลไว้ในกระเป๋าของตัวเองได้ทั้งหมด สามร้อยปี สามร้อยปีเต็มที่ความร่ำรวยซึ่งเป็นดั่งน้ำเส้นเล็กไหลยาวล้วนเป็นของเขาทั้งหมด”

“นอกจากการมอบถ่านติดไฟให้ท่ามกลางหิมะตกเหล่านี้แล้ว (เปรียบเปรยว่าให้ความช่วยเหลือในยามยากลำบาก) ข้ายังช่วยเพิ่มดอกไม้บนผ้าแพร (ส่งเสริมให้สิ่งที่ดีอยู่แล้วยิ่งดีขึ้นไปอีก) ให้กับเขาอีกสองครั้ง ครั้งแรกคือช่วยให้เขาเลือกภูเขาลั่วพั่ว ซึ่งภูเขาลูกนี้ข้าจะบอกให้ต้าหลีแต่งตั้งเทพพิทักษ์ภูเขามาหนึ่งองค์ เจ้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะตะลึงและดีใจมากเลยหรือไม่? ครั้งที่สองก็คือร้านฉ่าวโถวและร้านยาสุ่ยที่อีกไม่นานจะขายในราคาต่ำ หากไม่ผิดจากที่คาด เขาเฉินผิงอันก็จะเป็นคนซื้อไว้อย่าง ‘สมเหตุสมผล’ ลองคิดตามดูสิ ภูเขาห้าลูกนอกเมืองเล็กที่จะมีเงินทองเข้ามาทุกวัน และร้านเก่าแก่สองร้านในเมืองเล็ก วันหน้าด้านล่างภูเขามีนายอำเภออู๋ยวนที่เพียงแค่พบหน้าก็เหมือนคนรู้จักกันมานาน บนภูเขามีอาจารย์ชุยรองเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาที่ให้ความเอื้อเอ็นดู พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า เด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องแสวงหาอีกแล้ว?”

“แต่ว่า…”

ตอนที่ชุยฉานพูดสองคำนี้ รอยยิ้มของเขาก็เปลี่ยนมาเป็นคลุมเครือแฝงเลศนัย ก่อนพูดเหมือนพึมพำกับตัวเอง “เรื่องราวบนโลกใบนี้ หวาดกลัวสองคำนี้ที่สุด”

เขาพูดต่อไปว่า “แต่ว่าในช่วงเวลานี้ ตอนที่ออกไปคือรถม้าสองคัน รถลากเทียมวัวหนึ่งคัน ตอนที่กลับมากลับมีแค่รถม้าหนึ่งคัน รถลากเทียมวัวหนึ่งคัน แถมยังขาดอาจารย์ชุยแห่งสำนักศึกษากวานหูผู้อ่อนโยนสง่างาม และอาจารย์หม่าของโรงเรียนยังตายไปอีกคน จากนั้นสารถีคนนั้นจะไปหาเฉินผิงอัน บอกกับเด็กหนุ่มว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งอาจารย์ฉีและอาจารย์หม่าของโรงเรียนต่างก็หวังให้เขาพา…เด็กนักเรียนทั้งหกนั้นรีบเดินทางไปยังสำนักศึกษาซานหยาบนแผ่นดินแคว้นต้าสุยซึ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตกับราชสำนักต้าหลีเพื่อขอเล่าเรียนต่อ การเดินทางในครั้งนี้ ระยะทางยาวไกลยากลำบาก ทั้งเสือและหมาป่าต่างก็จับจ้องอยู่รอบกาย สุดท้ายสารถีคนนั้นจะพูดเกลี้ยกล่อมเด็กหนุ่มด้วยความเข้าอกเข้าใจว่า หากอาจารย์ฉียังมีชีวิตอยู่ ต้องไม่หวังให้เจ้าเดินทางเข้าไปเสี่ยงอันตรายที่สำนักศึกษาซานหยาของต้าสุยแน่”

อู๋ยวนเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “หากพวกเด็กๆ ที่ตกใจเสียขวัญเหล่านั้นอยากจะอยู่ต่อในเมืองเล็ก ก็ไม่เท่ากับว่าช่วยให้เฉินผิงอันมีเหตุผลที่ไม่ต้องออกไปจากเมืองหรอกหรือ? แผนการครั้งนี้ของท่านอาจารย์จะไม่เสียเปล่า?”

ชุยหมิงหวงหัวเราะ “หลังจากที่เด็กๆ เหล่านั้นออกจากเมืองเล็กไปได้ไม่นาน คนในตระกูลของพวกเขาก็ถูกบีบให้ย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงต้าหลีหมดแล้ว แน่นอนว่าต้าหลีไม่ได้ขาดตระกูลสูงศักดิ์อย่างพวกเขา แต่ทุกตระกูลจะต้องทิ้งคนเอาไว้บางส่วนเพื่อคอยบอกเด็กๆ เหล่านั้นว่าการเข้าไปอยู่ในสำนักศึกษาซานหยาคือโอกาสที่หาได้ยากขนาดไหน รวมถึงบิดามารดาและผู้อาวุโสในตระกูลคาดหวังให้พวกเขาได้ไปอยู่ที่สำนักศึกษาเพื่อกลับมาพร้อมความสำเร็จมากแค่ไหน”

ชุยฉานยืนอยู่ด้านใต้เพดานเปิดอ้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

อู๋ยวนถามด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม “อาจารย์จะมั่นใจได้อย่างไรว่าการทดสอบครั้งใหญ่นี้จะสามารถทำให้ควันธูปสายบุ๋นของฉีจิ้งชุนถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิง”

ชุยฉานเลิกคิ้วสูง หันหน้ามามองอู๋ยวน พูดยิ้มๆ “เจ้าฟังไม่ออกหรือไรว่า ข้ากับฉีจิ้งชุนคือศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักกัน? ในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ของเขา ข้าเคยช่วยเขาไขข้อข้องใจในตำราลัทธิขงจื๊อแทนอาจารย์ที่ออกไปทัศนาจรข้างนอกเป็นเวลาสามปีเต็ม ดังนั้นมหามรรคาของเขาเป็นอย่างไร ข้าชุยฉานจะไม่เข้าใจเชียวหรือ?”

ชุยฉานเดินออกมาจากบ่อน้ำ พึมพำเสียงเบา “สุภาพชนผู้เที่ยงธรรม จิตใจซื่อสัตย์บริสุทธิ์…ก็เพียงเท่านี้เอง เพียงแต่ว่าเจ้าฉีจิ้งชุนผู้นี้ชะตาดีเกินไป ถึงขนาดได้ครอบครองตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตถึงสองตัว หากไม่ได้ตายอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าอาจมีตัวอักษรแห่งชะตาชีวิตสามตัวอย่างที่ในอดีตไม่เคยมีปรากฎมาก่อน และในอนาคตก็จะไม่มีใครเหมือน เขาไม่ตาย แล้วใครจะตาย?”

ชุยฉานเดินไปทางประตูใหญ่ “ข้าทุ่มกำลังวางแผนเสียใหญ่โตเพียงนี้ก็แค่เพื่อเรื่องเล็กเท่านี้ เล็กเท่านี้เอง”

ชุยฉานยกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ประกบกัน จุ๊ปากพูด “หากยังแพ้อีกล่ะก็…”

สองสามคำหลังสุดที่ชุยฉานพูดนั้นเบามากจนไม่อาจได้ยิน

ชุยฉานเพิ่งจะเปิดประตูก้าวข้ามธรณีประตูไป พลันหยุดชะงัก ราชครูต้าหลีที่เดิมทีคิดจะออกไปซื้อสุรากลับหมดอารมณ์จะดื่มกะทันหัน

ดังนั้นเขาจึงนั่งลงไปบนธรณีประตูเสียเลย

อู๋ยวนและชุยหมิงหวงมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มที่ค่อนข้างบอบบางแล้วหันมามองหน้ากันเอง ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

ชุยฉานสอดมือสองข้างไว้ในชายแขนเสื้อ ค้อมตัวลง มองไปยังบ้านที่อยู่ฝั่งตรงข้าม รูปเทพทวารบาลสีขาวดำราคาถูก กลอนคู่ที่ความหมายของถ้อยคำเรียบง่าย อักษรตัวฝูอัปลักษณ์ที่แปะกลับหัว

ชุยฉานพูดงึมงำกับตัวเอง “ฉีจิ้งชุน สุดท้ายแล้วเจ้าก็ยังต้องผิดหวัง”

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่น้ำเสียงอ่อนโยนแฝงแววหัวเราะดังขึ้นเบาๆ “อย่างนั้นหรือ”

ชุยฉานไม่มีท่าทีตกตะลึงกับเสียงนี้ ยังคงจ้องมองไปไกล พยักหน้า “เมื่อถึงเวลานั้น ข้าค่อยดื่มเหล้าก็ยังไม่สาย”

—-

[1] เจ๋อเซียน ในอดีตหมายถึงเซียนที่ถูกลดขั้นให้กลายเป็นคนธรรมดา ภายหลังขยายความไปถึงคนของลัทธิเต๋าที่มีความรู้ความสามารถโดดเด่น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version