Skip to content

Sword of Coming 9

บทที่ 9 แม้ฝนจากฟ้าจะตกเป็นวงกว้าง

หนึ่งชายหนึ่งหญิงเลี้ยวเข้ามาในตรอกหนีผิง ชายหนุ่มนั้นสวมกวานทรงสูงไว้ บนศีรษะ ตรงเอวห้อยหยกประดับสีเขียว เมื่อเทียบกับลูกหลานตระกูลหลูผู้ร่ำรวยเป็นอันดับหนึ่งของเมืองเล็กแห่งนี้แล้ว เขากลับดูเหมือนคุณชายสูงศักดิ์ยิ่งกว่า ส่วนหญิงสาวนั้นไม่อาจบอกอายุที่แน่ชัดได้ มองปราดๆ เหมือนดรุณีน้อยคนหนึ่ง ผิวพรรณนุ่มนวล คางเล็กแหลมคล้ายแท่งน้ำแข็งที่เกาะตัวอยู่ปลายชายคาใน หน้าหนาว แต่หากมองอีกทีกลับมีท่วงทำนองของสตรีอายุสามสิบ ดวงตาดั่ง ตานกการเวก เรือนกายโค้งเว้าเย้ายวน ตั้งแต่หัวจรดเท้าให้ความรู้สึกเหมือนสตรี เจ้าเสน่ห์ ยามที่ก้าวเดิน เอวและสะโพกก็ยักย้ายเป็นจังหวะ เป็นท่วงทำนองที่ หญิงสาวในเมืองนี้ไม่มีทางมีได้

หญิงสาวหันซ้ายแลขวาด้วยความสงสัยใคร่รู้ ซ้ำยังยื่นมือออกไปลูบคลำผนังดิน สีเหลือง แต่ก็ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงเบาะแสใดๆ จึงเอ่ยถามอย่างสงสัยว่า “ฝูหนันหัว ที่นี่คือหนึ่งในพื้นที่มงคลที่ถูกอำพรางไว้จริงๆ หรือ? เหตุใดก่อนหน้านี้ตอนที่เหล่าจู่ (คำที่ใช้เรียกขานบูรพาจารย์ของลัทธิเต๋าด้วยความเคารพ) ตระกูลข้าให้ดูแผนที่ลักษณะชัยภูมิของที่แห่งนี้ ถึงไม่ได้เน้นย้ำถึงตรอกนี้มาก่อน?”

ชายหนุ่มตอบไม่ตรงคำถาม “หากเจ้าและข้าเจอเรื่องน่ายินดีจากสถานที่แห่งนี้จริงๆ เจ้าจะตอบแทนข้าอย่างไร?”

หญิงสาวผินตัวมาหา นิ้วทั้งสิบของมือสองข้างสอดประสานกันไว้ด้านหลัง ขับดันให้หน้าอกของนางยิ่งอวบอิ่มตั้งตระหง่าน นางกล่าวกลั้วหัวเราะด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกึ่งจริงกึ่งเล่น “ตามใจเจ้าทุกอย่างเลย ดีไหม?”

ชายหนุ่มไม่คิดว่านางจะพูดตรงๆ อย่างนี้จึงกลายเป็นฝ่ายพูดไม่ออกซะเอง แล้วนับประสาอะไรกับที่ ‘การมาเยี่ยมเยียนญาติมิตร’ ในครั้งนี้ของเขาได้แบกรับหน้าที่สำคัญซึ่งจะเป็นตัวตัดสินว่าในอีกร้อยปีหรืออาจถึงพันปี

ตระกูลของเขาจะรุ่งโรจน์หรือเสื่อมถอย ต่อให้เขาจะเป็นคนเจ้าชู้เสเพลแค่ไหน ก็ไม่กล้ามาพลอดรักโจ่งแจ้ง ‘ภายใต้สายตาของชาวบ้าน’ ทั้งเมืองแบบนี้

ดังนั้นเขาจึงรีบเปลี่ยนหัวข้ออย่างว่องไวโดยการชี้ไปยังจุดลึกของตรอกเล็ก กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เทพธิดาไช่ สหายส่วนสหาย การแลกเปลี่ยนส่วนการแลกเปลี่ยน ข้าจำต้องเน้นย้ำอีกรอบหนึ่งว่า ตามข้อตกลงก่อนหน้านี้ สองครอบครัวในตรอกหนีผิง หนึ่งคู่นายบ่าว หนึ่งคู่แม่ลูก ข้าให้เจ้าเลือกก่อนได้ ซึ่งเงินทุนในการลงเดิมพันก็คือ หินรากเมฆที่มีเฉพาะในเขาเมฆาเรืองของพวกเจ้าที่ต้องส่งมาให้นครมังกรเฒ่าของพวกเราสิบก้อนทุกปี”

หญิงสาวพยักหน้ารับ ส่งยิ้มพิมพ์ใจ “ย่อมได้อยู่แล้ว”

ชายหนุ่มเดินไปข้างหน้าช้าๆ พลางพูดต่อว่า “อันดับต่อไป หากเจ้าพบเจอกับโชคดีนอกเหนือจากที่ตระกูลคาดการณ์ไว้ ของชิ้นนั้นจำเป็นต้องมอบให้บุรพาจารย์ของเจ้าและข้าสองฝ่ายเป็นผู้ตัดสิน เพื่อให้ราคาที่เป็นธรรม และหลังจากนั้น เขาเมฆาเรืองของพวกเจ้าก็ต้องจ่ายด้วยหินรากเมฆที่มีราคาเท่ากันมาครึ่งหนึ่ง ไช่จินเจี่ยน เจ้ามีความเห็นต่างหรือไม่? หรือจะพูดอีกอย่างก็คือ เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่า หลังจากที่เจ้ารับปากเรื่องนี้ ณ ที่แห่งนี้เวลานี้ไปแล้ว ยามที่ผลประโยชน์มาอยู่ในมือเรียบร้อย เจ้าจะสามารถพูดเกลี้ยกล่อมให้เหล่าบุรพาจารย์แห่งเขาเมฆาเรืองของ พวกเจ้ายอมรับการเดิมพันในครั้งนี้ได้?”

สีหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมเรียบร้อย ราวคนละคนกับก่อนหน้านี้ ประหนึ่งแม่เล้าแห่งกามโลกีย์ได้กลายร่างมาเป็นฮองเฮามารดาแห่งแผ่นดิน หญิงสาวที่ถูกเรียกว่าไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองผู้นี้กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ได้แน่นอน!”

ชายหนุ่มหรี่ตา สีหน้าคลุมเครือ เขาหยุดฝีเท้า หันไปมองหญิงสาวที่ความสูงพอๆ กับตนตรงๆ “เรื่องไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน ที่วันนี้เจ้าและข้าเป็นพันธมิตร เอื้อผลประโยชน์ต่อกันได้

หาใช่เพราะเจ้าและข้าสองคนถูกชะตากันตั้งแต่แรกพบ หากบุญกุศลที่ เหล่าบุรพาจารย์แต่ละยุคแต่ละสมัยของนครมังกรเฒ่าของข้าและเขาเมฆาเรืองของเจ้าสั่งสมตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมา ต้องมาถูกพวกเราทำพัง จนสร้างความเดือดดาลให้แก่ผู้เฒ่าเหล่านั้น อย่าว่าแต่ข้าฝูหนันหัว หรือเจ้าไช่จินเจี่ยนเลย ต่อให้เป็นพ่อแม่และอาจารย์ของพวกเราก็ไม่อาจแบกรับได้ไหว!”

ไช่จินเจี่ยนอมยิ้มกล่าวว่า “ดังนั้นช่วงเวลาที่ต้องมาอยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ พวกเราต้องตรงไปตรงมาต่อกัน ใช่ไหม?”

ฝูหนันหัวที่แม้จะอยู่ในตรอกมืดมนก็ยังดูองอาจสง่างามไม่คลายยิ้มตอบ “นอกจากนี้…”

ฝูหนันหัวหันหน้ากลับไปมองด้านหลังแวบหนึ่ง หลังจากถอนสายตาคืนมา เขาก็เอ่ยเบาๆ ว่า “พวกเราสองคนยังต้องระวังสองคนนั้นด้วย เพราะอย่างไรซะ พวกเขาก็ไม่ใช่คนของสำนักเที่ยงธรรมถูกต้องที่มีชื่อเสียงอย่างเขาตะวันเที่ยง อีกทั้งข้ายังได้ยินมาว่าเดิมทีสองคนนั้นก็เป็นพวกไร้เหตุผล ไม่ค่อยสนกฎระเบียบอะไรอยู่แล้ว”

หญิงสาวร่างสูงโปร่งหรี่ดวงตานกการเวกที่คล้ายจะสามารถพูดได้ของตัวเองลงเล็กน้อย ดั่งจะใช้ดวงตาพูดออดอ้อนฉอเลาะว่า เพราะฉะนั้นข้าไช่จินเจี่ยนถึงได้เลือกคุณชายฝูอย่างเจ้าอย่างไรล่ะ

ฝูหนันหัวเอ่ยเบาๆ ว่า “ไปกันเถอะ แม้จะบอกว่าสถานที่แห่งนี้มีอริยะคอยสยบเพื่อสร้างสมดุลให้กับกองกำลังทุกฝ่าย แต่ก็ควรระวังตัวไว้เป็นการดี แผนที่วางกันมาจะไม่ได้ล่ม สรุปก็คือ เจ้าและข้าจะได้เป็นปลาหลีที่กระโดดข้ามประตูมังกรหรือไม่ ก็อยู่ที่ภารกิจครั้งนี้แล้ว”

ผู้เป็นความภาคภูมิใจแห่งตระกูลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือผู้นี้ยิ่งมั่นใจมากกว่าเดิม เขาพึมพำอยู่ในใจตัวเองว่า ‘มหามรรคารออยู่ตรงหน้า ใครขวางทางข้า จะเทพหรืออรหันต์ก็ฆ่าได้ทั้งสิ้น!’

เขามองไปยังจุดลึกของตรอกเล็กจึงเห็นว่าฝั่งตรงข้ามมีเด็กหนุ่มร่างผอมแห้งคนหนึ่งกำลังเดินมาแต่ไกล

เป็นครั้งที่สองแล้วที่ได้พบกัน

คนทั้งสองเดินหน้าต่อไปอย่างไม่รีบร้อน มองดูคล้ายคู่รักเทพเซียนที่ลงมาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์

หญิงร่างสูงโปร่งเองก็มองเห็นเด็กหนุ่มคนนั้น นางจึงหาเรื่องชวนคุยว่า “เจอกันสองครั้งแล้ว ที่หน้าประตูครั้งหนึ่ง แล้วก็มาที่นี่อีก เจ้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะใช่…?”

นางพูดได้แค่ครึ่งเดียว แน่นอนว่าฝูหนันหัวย่อมรู้ถึงสิ่งที่นางจะพูดในประโยคต่อไป เขาไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เทพธิดาไช่ของข้า ในเมืองแห่งนี้มีทั้งหมด หกร้อยครัวเรือน บวกกับทาสที่ตระกูลใหญ่สิบแซ่เลี้ยงไว้ ประชากรก็มีเกือบห้าพันคน ต่อให้เมืองแห่งนี้จะเป็นสถานที่ซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์แค่ไหน ก็ยังต้องมีจำนวน ที่แน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่ตลอดหลายปีมานี้ พวกคนดีๆ ที่มีฐานกระดูก มีโชค มีวาสนาต่างก็ถูกแบ่งกันไปจนหมดแล้ว ที่คราวนี้พวกเราสามารถมา ‘เก็บตก’ ได้ ก็เพราะบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ยากจะเดาใจเหล่านั้นจงใจทำพลาดให้พวกเราได้มาเก็บก็เท่านั้น”

หญิงสาวก็หัวเราะหยันตัวเอง รู้สึกขายหน้ากับความคิดที่ไร้เดียงสาของตน

ลังเลอยู่ชั่วครู่ สุดท้ายฝูหนันหัวก็ยังคงกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ว่าบุรพาจารย์ของเจ้าถ่ายทอดเจตนารมณ์สวรรค์ให้เจ้าฟังแค่ไหน แต่บิดาข้ากลับบอกเรื่องหนึ่งแก่ข้า นั่นคือ หลังจากเข้ามาในสถานที่แห่งนี้แล้ว ถ้าเจอคนที่ทำให้ใจของเจ้าเกิดความ เหน็บหนาว จำเป็นต้องเป็นฝ่ายถอยหนีไปให้ไกล ห้ามไปยั่วยุท้าทายเด็ดขาด

เพราะอย่างไรซะสถานที่แห่งนี้ก็เป็นที่มังกรซ่อนพยัคฆ์ซุ่ม ลึกล้ำสุดจะหยั่ง พวกคนที่ทำให้เจ้ารู้สึกรังเกียจ มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นคู่ต่อสู้ที่มาตามหาของล้ำค่าในเมืองเช่นเดียวกัน ส่วนคนที่ทำให้ใจเจ้าอยากใกล้ชิดสนิทสนม ก็อาจจะเป็นคนที่มีบุญหนักของที่แห่งนี้ ทั้งยังมีหวังที่จะเปลี่ยนวาสนาให้กลายมาเป็นของตน เมื่อถึงเวลานั้นขอแค่ไม่ฆ่าใครง่ายๆ ไม่ทำลายกติกาเก่าๆ ที่ไม่อาจเขย่าคลอนพวกนั้น นอกจากนี้แล้วจะซื้อ จะหลอก หรือจะแย่งชิงมา ก็ดูที่…”

ไช่จินเจี่ยนยกมุมปากขึ้นโค้ง “ก็ดูที่อารมณ์ของพวกเราแล้ว”

แต่แล้วนางก็พลันขมวดคิ้ว “คุณชายฝู เหตุใดเจ้าถึงไม่ให้ข้าพาลูกหลานสกุลจ้าวที่เป็นคนท้องถิ่นมาด้วยล่ะ แม้ว่าก่อนจะเดินทาง ข้าเองก็เรียนภาษาท้องถิ่นของที่แห่งนี้มาบ้าง…”

ฝูหนันหัวส่ายหัวกล่าวตัดบทคำพูดของหญิงสาว “พวกคนตระกูลใหญ่โตเหล่านั้นมักจะมีความสัมพันธ์ลับๆ กับภายนอกเสมอ ที่พวกเขาสามารถส่งข้อมูลบางส่วนออกไปอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวใต้ปลายจมูกของอริยะได้โดยที่ไม่ถูกมองว่าล้ำเส้น ก็เพราะผ่านการสั่งสมมาหลายรุ่นหลายสมัย รากฐานจึงแน่นหนา ที่พึ่งที่แท้จริงของตระกูลเหล่านี้ ขนาดนครมังกรเฒ่าและเขาเมฆาเรืองของพวกเราก็ยังเป็นรอง ระดับหนึ่ง อีกอย่างการที่ยืมแรงคนนอกมาใช้ก็ไม่ใช่เรื่องดี ง่ายที่จะเกิดปัญหา แทรกซ้อนตามมา และอาจทำให้งานใหญ่พลาด อีกเดี๋ยวหากเจ้าไม่อยากพูด ข้าจะช่วยพูดแทนให้ก็ได้”

นางกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ก็แค่พูดไปเรื่อยเปื่อย ข้าไม่ใช่คนบอบบางขนาดนั้น”

ฝูหนันหัวยิ้มตอบ ไช่จินเจี่ยนเองก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก

จะอย่างไรแล้ว สหายที่เพิ่งกลายมาเป็นพันธมิตรกันได้แค่ชั่วคราวก็สู้คนในครอบครัวไม่ได้อยู่ดี

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในสายตาของบางคนที่มีใจทะเยอทะยาน ต้องได้ทุกอย่างสมใจปรารถนา ต่อให้เป็นปู่กับหลาน พ่อกับลูก สามีกับภรรยา หรือพี่กับน้อง มีหรือจะนับเป็นอะไรได้?

รอยยิ้มของฝูหนันหัวสุภาพ ท่วงท่าหน้าตามีสง่า ประหนึ่งบุตรชายตระกูลสูงศักดิ์ในโลกมนุษย์

ที่เขายอมเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ บอกเล่า ‘เคล็ดลับ’ ที่บิดาถ่ายทอดแก่ตัวเองให้ไช่จินเจี่ยนฟัง เหตุผลนั้นง่ายมาก

เมื่อเปรียบเทียบกับอีกสองคนที่เหลือซึ่งเดินทางมาพร้อมกันก่อนหน้านี้ ชายวัยกลางคนที่พูดน้อย และเด็กสาวชุดดำที่เย่อหยิ่งเย็นชา ก้าวแรกที่ฝูหนันหัวข้ามผ่านประตูเมืองที่เป็นเพียงรั้วไม้ง่ายๆ เข้ามา เขาก็เกิดจิตสังหารต่อไช่จินเจี่ยนแห่ง เขาเมฆาเรือง หญิงสาวผู้เป็นพันธมิตรที่อยู่ข้างกายในเวลานี้ทันที!

ฝูหนันหัวยื่นมือไปกุมหยกประดับตรงเอวของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

มังกรเฒ่าโปรยพิรุณ แย่งภารกิจสวรรค์

บุรุษไร้ศัตรู หยกไม่ห่างกาย

ไช่จินเจี่ยนครุ่นคิดเล็กน้อยก็หลับตาลง ครู่หนึ่งเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งจึงกล่าวว่า “ซ่งจี๋ซิน กู้ช่าน…ข้าเลือกกู้ช่านก็แล้วกัน”

ฝูหนันหัวเลิกคิ้วขึ้น “ได้ ตกลงตามนี้!”

ในการมองเห็นของคนทั้งสอง เมื่อเด็กหนุ่มคนนั้นเดินกระโดดซ้ายที เลี้ยวขวาที จนกระทั่งมาถึงมุมหนึ่งของตรอกก็เตรียมจะผลักประตูบ้านให้เปิดแล้วเดินเข้าไป

ฝูหนันหัวพาไช่จินเจี่ยนเดินเร็วๆ ขึ้นหน้าไปหา เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “บังเอิญมาก พวกเราได้เจอกันอีกแล้ว”

เด็กหนุ่มผู้ยากจนคนนี้ก็คือ เฉินผิงอันที่เดินออกมาจากบ้านของกู้ช่าน พอได้ยินเสียงเขาก็หันหน้ามา พยักหน้ารับ เอ่ยถามว่า “มีธุระอะไรหรือ?”

ฝูหนันหัวกล่าวด้วยภาษาถิ่นของเมืองอย่างคล่องแคล่ว “ที่นี่ชื่อตรอกหนีผิงใช่ไหม อยากถามเจ้าว่าที่นี่มีคนชื่อซ่งจี๋ซิน และเด็กที่ชื่อกู้ช่านอาศัยอยู่ใช่หรือเปล่า ข้าคือ คนจากเมืองหลวง ครอบครัวของข้าเป็นสหายกับบิดาของซ่งจี๋ซิน ส่วนพี่สาวที่อยู่ ข้างกายข้าคนนี้แซ่ไช่ เป็นคนในครอบครัวของแม่กู้ช่าน พวกเราสองคนเลยเดินทางมาพร้อมกัน พอดีเลยที่พวกเขาทั้งสองคนต่างก็อยู่ตรอกเดียวกัน เจ้าว่าบังเอิญไหม รู้สึกเหมือนอะไรก็พอเหมาะพอเจาะไปหมด บังเอิญมากเลยจริงๆ”

ฝูหนันหัวยิ้มเป็นมิตร ต่อให้จะกำลังพูดอยู่กับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่เป็นคน ระดับล่างของเมือง เพื่อเอาใจเด็กหนุ่ม เขาที่เรือนกายสูงโปร่งยังยอมก้มตัวลงเล็กน้อย และพูดกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทางนี้ตลอดเวลา ทั้งไม่ดูเสแสร้งเกินไปจนคนรู้สึกว่าเขามีเจตนาไม่ดี ทั้งทำให้คนมองรู้สึกว่าเขาเป็นคุณชายอ่อนโยนผู้ถ่อมตน

เด็กหนุ่มที่เงยหน้ามองอีกฝ่ายอืมรับหนึ่งที เขาส่งยิ้มเขินอายแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “บังเอิญมาก”

ฝูหนันหัวยิ่งยิ้มกว้าง กล่าวเสียงอบอุ่น “ถ้าอย่างนั้นบ้านของคนทั้งสองอยู่ที่ไหนหรือ?”

คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มจะส่ายหน้า “ก่อนหน้านี้ไม่นานข้ายังเป็นลูกศิษย์ของเตาเผามังกรแห่งหนึ่ง จึงต้องไปอยู่อาศัยนอกเมืองนานหลายปี เพิ่งจะย้ายกลับเข้ามา เลยยังไม่คุ้นเคยกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง เจ้าลองไปถามคนอื่นดูดีไหม?”

ฝูหนันหัวยังคงยิ้ม ไม่ได้รีบร้อนพูดอะไร คล้ายกำลังคิดหาคำพูด

หญิงสาวสูงโปร่งจึงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ ว่า “น้องชาย โกหกไม่ดีนะ เจ้ารู้สึกว่าพวกเราเป็นคนเลวหรือ? อีกอย่างกลางวันแสกๆ อย่างนี้พวกเราจะทำเรื่องชั่วร้ายอะไรได้?”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ “แต่ข้าไม่รู้จริงๆ นะ”

ไช่จินเจี่ยนหันมาถามฝูหนันหัวด้วยภาษาเดิมของตัวเอง “เด็กคนนี้อยากได้ของตอบแทนหรือเปล่า?”

ฝูหนันหัวสีหน้าเป็นปกติ “ไม่เหมือน”

สีหน้าของหญิงสาวสูงโปร่งเริ่มแสดงถึงความหงุดหงิดที่พยายามอำพรางเอาไว้ “หากไม่ได้จริงๆ พวกเราก็ไล่ถามไปทีละบ้านแล้วกัน จะอย่างไรก็ต้องหาเจอ”

ฝูหนันหัวโบกมือให้นาง ก่อนจะพยายามหลอกล่อเด็กหนุ่มด้วยความอดทน “หากเจ้าช่วยพวกเรา ข้าจะมอบของอย่างหนึ่งให้กับเจ้า ดีไหม?”

เด็กหนุ่มเกาหัว เรือนกายของเขาผอมบาง สายตาใสซื่อ

ฝูหนันหัวพลันยืดตัวขึ้นตรง

ผลก็คือ เขามองไปเห็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายของตำรากำลัง นั่งยองอยู่บนกำแพงห่างไปไม่ไกล และอีกฝ่ายก็กำลังมองประเมินพวกเขา

ใกล้ๆ เด็กหนุ่มที่สวมอาภรณ์สุภาพเรียบง่ายมีสาวน้อยคนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของนางโผล่พ้นกำแพงมาแค่ครึ่งเดียว ดวงหน้าใสพิสุทธิ์ สะอาดสะอ้าน คิ้วดกดำ

นาทีนั้นฝูหนันหัวก็พลันแน่ใจ

เด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ต้องเป็นของในกระเป๋าของตนแน่นอน

เด็กหนุ่มคนนั้นลุกขึ้นยืน ตะโกนถามเสียงดัง “พวกเจ้ามาตามหาคนรึ?”

ฝูหนันหัวและไช่จินเจี่ยนจำต้องเงยหน้ามอง ฝ่ายแรกกล่าวว่า “ใช่ ข้ามาหาเจ้า พี่สาวที่อยู่ข้างกายข้าคนนี้มาหากู้ช่าน เจ้าช่วยหน่อยได้หรือไม่?”

เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักข้ารึ?”

ฝูหนันหัวกล่าวยิ้มๆ “ข้าย่อมไม่รู้จักเจ้า แต่ข้ารู้จักใต้เท้าซ่งที่ตอนนี้ประจำตำแหน่งอยู่ในกรมพิธีการ”

ซ่งจี๋ซินถามตรงๆ อย่างไม่มีอ้อมค้อม “ช่วยเจ้าตามหากู้ช่านเด็กขี้มูกยืดนั่น ย่อมได้ แต่ข้าจะได้อะไร?”

ฝูหนันหัวปลดหยกสีเขียวตรงเอวออกแล้วโยนไปให้เด็กหนุ่มที่ยืนอยู่บนกำแพงเตี้ยโดยไม่ต้องหยุดคิด “มันเป็นของเจ้าแล้ว”

หลังจากซ่งจี๋ซินรับมาไว้ในมือ เขาก็แอบตกใจเล็กน้อย แต่ไม่แสดงออกทางสีหน้า เพียงก้มหน้าพูดกับจื้อกุยสาวใช้ว่า “เจ้าไปเถอะ”

นางพยักหน้ารับ เดินออกจากลานบ้าน เมื่อสาวน้อยมายืนรออยู่เงียบๆ กลางตรอกเล็กแคบ ตลอดทั้งตรอกหนีผิงก็เหมือนจะสว่างไสวขึ้นมา

ฝูหนันหัวหันไปเอ่ยกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะยิ้มๆ ว่า “ไอ้หนู จะสอนเจ้าสักประโยค แม้ฝนจากฟ้าจะตกเป็นวงกว้าง แต่ก็ไม่อาจหล่อเลี้ยงหญ้าที่ไร้รากได้”

จากนั้นเขาก็เดินไปหาเด็กสาวผู้นั้นเป็นคนแรก

หญิงสาวร่างสูงโปร่งไม่ได้เดินตามไป นางหันมาถามเด็กหนุ่มเบาๆ ด้วยสายตาสนุกสนาน “เจ้ารู้หรือไม่ว่า หมายความว่าอะไร?”

ดวงตาของนางเป็นประกายแวววับ จู่ๆ ก็รู้สึกสนุกสนานขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ ไม่รอให้เด็กหนุ่มตอบ นางก็หัวเราะอย่างเบิกบานแล้วชิงตอบเสียเอง “อันที่จริง ก็คือ บอกให้เจ้ารู้ว่า เจ้าพลาดโชควาสนาครั้งใหญ่ไปแล้ว ต่อให้เป็นขี้เล็บที่คุณชายท่านนี้แคะออกมาจากซอกเล็บก็ยังมากพอจะให้เจ้าใช้ชีวิตอยู่ ‘ล่างเขา’ แห่งนี้ไปได้สบายๆ ชั่วชีวิต

แต่ที่เจ้าโชคดีก็คือ ชั่วชีวิตนี้เจ้าคงไม่มีทางรู้ว่าวันนี้ตัวเองได้พลาดอะไรไป นับเป็น โชคดีในความโชคร้าย หาไม่แล้วเจ้าคงเสียใจจนไส้เขียวเป็นแน่”

ฝูหนันหัวได้ยินคำพูดของนางอย่างชัดเจน รู้สึกเพียงว่านางกำลังสีซอให้ควายฟัง

นอกเมืองเล็กแห่งนี้ ความต่างระหว่างคนกับคนด้วยกัน โดยเฉพาะระยะห่างในการแบ่งฐานะสูงต่ำนั้นห่างไกลยิ่งกว่าระยะทางระหว่างโลกของคนเป็นกับโลกของ คนตายเสียอีก

ไช่จินเจี่ยนเดินถอยหลังไปหาสาวใช้คนนั้น ดังนั้นนางจึงยังหันมาเผชิญหน้ากับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะ “แม้ฝนจากฟ้าจะตกเป็นวงกว้าง แต่ก็ไม่อาจหล่อเลี้ยงหญ้าที่ ไร้รากได้ จำไว้ล่ะ”

สีหน้าเด็กหนุ่มยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ตะโกนไปดังๆ ว่า “ระวัง ข้างหลังเจ้ามี…”

ร่างของไช่จินเจี่ยนพลันแข็งทื่อ

เด็กหนุ่มพูดเสียงเบาลง “ขี้หมา”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version