บทที่ 90 ฝนตกกระหน่ำ
ต่อให้เฉินผิงอันจะยังคงสงสัยอาเหลียง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า อาเหลียงเป็นคนที่น่าสนใจมากคนหนึ่ง
เขามีลาตัวหนึ่งที่ไม่เคยขี่ เขาไม่เคยเหน็ดเหนื่อยกับการทะเลาะกับเด็กแสบหลี่ไหว เขาคิดแต่จะหลอกให้หลินโส่วอีดื่มเหล้า บอกว่าของดีใต้หล้านี้หนีไม่พ้นสุราและสาวงาม ในเวลาที่เฉินผิงอันฝึกเดินนิ่ง เขาจะต้องเดินวนรอบตัวเด็กหนุ่มแล้วบอกว่าหากฝึกวิชาหมัดนี้สำเร็จต้องอหังการมากอย่างแน่นอน เวลาปะทะก็คือการเหวี่ยงหมัดมั่วซั่ว น่าเสียดายก็แต่การเดินทางในยุทธภพนั้นเน้นย้ำในเรื่องต่อยคนไม่ต่อยหน้า ดังนั้นจึงเป็นการทำลายความปรองดอง เสียบุคลิกภาพ ทางที่สุดคือควรต้องเป็นอย่างเขาที่ใช้คุณธรรมชนะใจคน ใช้หน้าตาพิชิตศัตรู
เขายังโม่กับจูเหอด้วยว่าเวทกระบี่ของตนไร้เทียมทาน บอกว่าหากเขาจับกระบี่ขึ้นมา ก็ร้ายกาจมากเลย แม้แต่ตัวเขาเองยังรู้สึกกลัว นั่นก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคู่ต่อสู้เลย จูเหอที่อยู่ด้านข้างหัวเราะร่าพยักหน้ารับเออออตามไป ทว่าเด็กสาวจูลู่กลับไม่เชื่อ จะให้อาเหลียงใช้ดาบไม้ไผ่เล่มนั้นแสดงความสามารถออกมาให้จงได้ ไม่ต้องถึงกับร่ายเวทกระบี่พลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร แค่ฟันต้นไม้ขนาดเท่าปากถ้วยต้นหนึ่งให้ขาดท่อนก็ถือว่านางแพ้ อาเหลียงบอกว่าวันนี้ไม่เหมาะให้ร่ายเวทกระบี่ แม้ว่าเขาจะอยู่ในขอบเขตตี้เซียน[1]ที่ล้วนสามารถนำหมื่นสรรพสิ่งมาทำเป็นกระบี่ได้ตั้งนานแล้ว แต่จะชักกระบี่แต่ละทีต้องดูอารมณ์ด้วย หากยอดฝีมือไม่มีนิสัยประหลาดจะยังใช่ยอดฝีมืออยู่อีกหรือ ดังนั้นมีเพียงช่วงวันที่ลมแรง หิมะและฝนตกกระหน่ำเท่านั้นถึงจะเกิดอารมณ์ ยกตัวอย่างเช่นวันที่ฝนตกหนัก เมื่อตนชักกระบี่ออกมาก็สามารถโบกตวัดได้อย่างรวดเร็วจนน้ำฝนไม่สัมผัสโดนตัว
จูลู่ถุยใส่เขาหนึ่งทีก็หมุนตัววิ่งจากไป อาเหลียงกลับไม่โกรธ แค่ยิ้มตาหยีพูดกับจูเหอว่า เสี่ยวจูเอ๋ย นิสัยแบบนี้ของลูกสาวเจ้าไม่ค่อยดีเลยนะ แน่นอนว่าหากวันหน้านางขายไม่ออกก็ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าอาเหลียงสามารถเรียกเจ้าว่าพ่อตา ให้เจ้าได้กำไรก้อนโตเทียมฟ้า
นับจากนั้นเป็นต้นมา จูเหอก็ไม่คอยไปพูดจาตีสนิทอาเหลียงอีกเลย อาเหลียงที่ได้แต่ดื่มเหล้าดับกลุ้มเพียงลำพังจึงมีท่าทางหงอยเหงาเล็กน้อย
ไม่บังเอิญเลยก็คือ ผ่านไปได้ไม่กี่วัน ตอนที่พวกเขาใกล้จะถึงแม่น้ำเถี่ยฝู่ กลับมีฝนขมุกขมัวตกลงมาปรอยๆ แม้ว่าจะไม่หนักมากหนัก แต่ก็ถือว่าฝนตก
จูลู่รีบไปขวางทางอาเหลียงที่จูงลาก้มหน้าก้มตาเร่งเดินทาง ฝ่ายหลังทำหน้ามึนงง ถามเด็กสาวว่า แม่นางเจ้าทำอะไรน่ะ อ้อๆ เจ้าจะพูดถึงเรื่องที่ข้าเคยบอกว่าจะฝึกกระบี่ให้เจ้าดูตอนฝนตกใช่ไหม ฮ่าๆ ข้าจำได้ๆ แม่นางน้อย เจ้าอย่าใช้สายตามองนักต้มตุ๋นมามองข้าอย่างนั้นสิ เจ้าน่ะยังเด็กเกินไป ไม่รู้ว่ากฎเกณฑ์ของยอดฝีมือในโลกภายนอกมีมากมาย รู้หรือไม่ว่าฝนเม็ดเล็กเกินไป ต่อให้ข้าแค่ใช้หญ้าต้นหนึ่งมาทำเป็นกระบี่ก็ยังรู้สึกผิดต่อหญ้าต้นนั้น อ้อ ไม่ถูกสิ ผิดต่อสุดยอดเวทกระบี่ของข้า ดังนั้นรอวันใดที่ฝนตกหนักแล้ว ข้าค่อยลงมือ รับรองว่าจะตัดแม่น้ำเถี่ยฝู่ให้ขาดครึ่งเลย ถึงเวลานั้นต่อให้เจ้าจะร้องไห้โวยวายขอให้ข้ารับเป็นศิษย์ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะยอมรับ
จูเหอไม่พูดไม่จาก็กระชากลูกสาวให้เดินต่อ
ฝนปรอยมัวซัว ไม่ส่งผลกระทบต่อการเร่งเดินทาง อาเหลียงยื่นมือคอยจับประคองงอบ ส่ายหน้าถอนหายใจ นาทีนั้นแผ่นหลังของเขาที่จูงลาสีขาวเดินนำอยู่ด้านหน้าสุดดูเปลี่ยวเหงาเล็กน้อย
ที่ไม่ประจวบเหมาะเข้าไปอีกก็คือ ผ่านไปอีกสองวัน เหมือนสวรรค์จะลืมตา ฝนถึงซัดโหมกระหน่ำ
ผลกลับกลายเป็นว่าอาเหลียงคำรามอย่างเดือดดาล มัวมองอะไรอยู่ บนใบหน้าข้าผู้อาวุโสมีดอกไม้ผุดขึ้นมาหรือไง? ยังไม่รีบหลบฝนอีก? หากเป่าผิงของข้าตากฝนจนป่วยขึ้นมาจะทำยังไง? จะดูข้าชักกระบี่เมื่อไหร่ก็ดูได้ พวกเจ้ารู้จักมีใจเมตตาสงสารคนอื่นกันบ้างไหม?! ไม่เห็นหรือไงว่าเป่าผิงของข้าใกล้จะแข็งตายแล้ว?
สุดท้ายตอนที่ทุกคนนั่งยองหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้สูงเสียดฟ้า ทุกคนต่างก็พากันจ้องหน้าอาเหลียงเขม็ง
หลี่ไหวยิ้มเสแสร้ง พูดด้วยประโยคเต็มไปด้วยความปรารถนาดีโดยเลียนแบบน้ำเสียงมารดาของตัวเองว่า อาเหลียงเอ๋ย นี่ยังโชคดีที่วันนี้แค่ฝนตก ไม่มีฟ้าผ่า ไม่อย่างนั้นคนแรกที่ต้องโดนผ่าคงเป็นร่างเซียนกระบี่อย่างเจ้า
จูลู่แค่หัวเราะเสียงเย็นติดต่อกัน
แม้แต่หลินโส่วอีที่เฉยชาตลอดมาก็ยังอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองสูง
ตอนนี้จูเหอหมดความสนใจท่านผู้อาวุโสใหญ่ไร้แก่นสารแห่งศาลลมหิมะคนนี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว เอาแต่ก้มหน้าก้มตาแทะอาหารแห้งของตัวเองไป ตลอดทางที่เดินมา หลายครั้งที่ลองหยั่งเชิงแบบไม่ให้คนถูกถามรู้สึกตัว จูเหอก็รู้ว่าว่าอาเหลียงนิสัยประหลาดผู้นี้ ต่อให้จะเป็นผู้ฝึกลมปราณสำนักการทหารจริงๆ แต่ก็ไม่มีทางเป็นยอดฝีมือตี้เซียนที่ใช้กระบี่เก่งกาจอะไรแน่ หากเป็นจริงล่ะก็ อย่าว่าแต่ให้เขาอาเหลียงเรียกตนว่าพ่อตาเลย ต่อให้ตนเรียกเขาว่าพ่อตาก็ยังไม่มีปัญหา
ตลอดทางที่ผ่านมา หลี่เป่าผิงพูดน้อยกว่าตอนที่เพิ่งออกจากร้านตีเหล็กเยอะมาก เอาแต่เดินตามอยู่ข้างกายเฉินผิงอันอาจารย์อาน้อยของนางเงียบๆ ตะกร้าใบเล็กก็ไม่ยอมให้จูเหอหรือจูลู่ช่วยแบก
ส่วนเฉินผิงอันนั้นก็เอาแต่ฝึกท่าหมัดเจี้ยนหลูของตน คนอื่นๆ จึงเห็นกันจนชินตามานานแล้ว
อาเหลียงถูกพวกหลี่ไหวมองจนวางตัวไม่ถูก จึงหมุนตัวหันก้นให้พวกเขา ปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเงินตรงเอวลงแล้วดื่มอั๊กๆ
ฝนค่อยๆ ซาเม็ด อาเหลียงพลันลุกขึ้นยืน บอกว่าจะไปหากิ่งไม้ที่เหมาะมือสักกิ่ง ให้พวกเขาได้ยลเวทกระบี่ชั้นยอดเป็นการเปิดโลก แต่ขณะที่ทุกคนหันมามองหน้ากัน อาเหลียงกลับพูดอีกว่า หากหาไม่เจอก็ช่วยไม่ได้ การที่เซียนกระบี่จะหาวัตถุเหมาะมือสักชิ้นไม่ใช่เรื่องง่าย ก็เหมือนที่บุรุษธรรมดาคิดจะหาสตรีมาแต่งเป็นภรรยานั่นแหละ
ทุกคนมองอาเหลียงที่งอบค่อนข้างเอียงเดินจากไป ไม่มีใครยินดีจะเปิดปากแม้แต่คนเดียว
อาเหลียงเดินไปทางเนินเขา ฝนตกพื้นลื่น เขาจึงเกือบจะสะดุดล้ม ต้องรีบแสร้งทำเป็นว่าปล่อยหมัดสองสามกระบวนท่า เหมือนอุ่นมือรอสำหรับการชักกระบี่
ผลกลับกลายเป็นว่าร่างของอาเหลียงเพิ่งจะพ้นไปจากการมองเห็น ฝนก็พลันตกหนักอย่างไร้ลางบอกเหตุ ทำให้คนรับมือไม่ทัน
เฉินผิงอันลืมตาเห็นว่าลาอยู่ใต้ต้นไม้ห่างไปไม่ไกล คิดอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นยืน “ข้าจะไปหาอาเหลียง”
จูเหอเองก็ลุกตามด้วย “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย อากาศแบบนี้เกิดเรื่องได้ง่าย”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก ตอนที่ข้าขึ้นเขาไปเผาฟืนเก็บสมุนไพร เคยเจอกับอากาศแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง ไม่ต้องเป็นห่วง อีกอย่างที่นี่ก็จำเป็นต้องให้ท่านลุงจูช่วยดูแล ข้าถึงจะวางใจ”
จูเหอครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “เฉินผิงอัน ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ระวังตัวด้วย”
เฉินผิงอันลูบศีรษะหลี่เป่าผิง เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้าไปแปบเดียวก็กลับมา”
……
ไม่เพียงแต่ต้องไปจับตามองการสร้างจวนผู้ตรวจการทางทิศตะวันออกของเมืองเล็กด้วยตัวเอง ยังต้องปรึกษาเรื่องการเลือกที่ตั้งของหอเหวินชางและศาลอู่เซิ่งด้วย ขุนนางดุจบิดาอย่างอู๋ยวนจึงยุ่งจนเท้าแทบไม่ติดพื้นตั้งแต่เช้าจรดเย็น สี่แซ่สิบตระกูลที่นอกจากหกตระกูลที่ย้ายออกจากเมืองเล็กกันทั้งหกตระกูลแล้ว ยังเหลืออยู่อีกแปดตระกูล ต่งหูซื่อหลางฝ่ายขวากรมพิธีการอาศัยเรื่องคัดลอกลายป้ายซุ้มหินเป็นมังกรต่างถิ่นที่ข่มหัวงูเจ้าถิ่นอย่างอู๋ยวน ตอนนี้พวกจอมกะล่อนที่เกิดและเติบโตในเมืองเล็กล้วนคอยดูเรื่องตลกของเขาอู๋ยวนอยู่บนถนนฝูลวี่และในตรอกเถาเย่ แต่เขาก็ยังคงไปเยี่ยมเยือนครบทุกบ้านทุกตระกูล ยุ่งวุ่นวายจนอู๋ยวนริมฝีปากแห้งแตก ลำคอแทบมีควันขึ้น พอกลับมาถึงจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาก็นอนทิ้งตัวบนเก้าอี้ กระตุกคอเสื้อ ดวงตาจ้องเป๋งไปยังลวดลายบนคานห้อง สีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
ข้างกายคือเลขาฝ่ายบุ๋นที่มาจากตระกูลสูงศักดิ์ผู้นั้นยืนอยู่ วันนี้เขาไปเยี่ยมเยียนประมุขของตระกูลใหญ่หลายแห่งเป็นเพื่อนอู๋ยวน อาจไม่ถึงขั้นกินน้ำแกงหน้าประตูปิด (หมายถึงเวลาคนไปเยี่ยมเยือนผู้อื่นที่บ้าน แต่เจ้าของบ้านไม่อยู่หรือไม่ได้ให้การต้อนรับ) ทว่ากลับเจอแต่คำปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม ต่างคนต่างผลักกันไปมา คนนี้บอกว่าจะสร้างหอเหวินชางขึ้นที่ภูเขาเครื่องปั้นได้หรือไม่นั้น ต้องไปถามผู้เฒ่าตระกูลหลิว คนนั้นบอกว่าตระกูลเว่ยครอบครองพื้นที่บนสุสานเทพเซียนมากที่สุด มีเพียงผู้เฒ่าตระกูลเว่ยพยักหน้ารับเท่านั้นถึงจะนั่งลงพูดคุยกันได้ จากนั้นตระกูลหลิวและตรูลเว่ยก็พูดอีกว่าเรื่องใหญ่เทียมฟ้าที่เกี่ยวพันกับรากฐานของบรรพบุรุษเช่นนี้ ต้องให้ทุกคนมารวมตัวกันแล้วปรึกษากันอย่างรอบคอบ หาไม่แล้วคงถูกพวกบ้านใกล้เรือนเคียงลอบด่าลับหลังแน่นอน
เลขานุการคนนี้ก็ข่มกลั้นไฟโทสะไว้เต็มท้องเช่นกัน แต่ว่าพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาจนชินตั้งแต่เด็ก แล้วก็คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ในวงการขุนนางเป็นอย่างดี รู้ว่าเป็นขุนนางไม่ง่าย ขุนนางดุจบิดาที่เป็นผู้ปกครองพื้นที่แถบหนึ่งก็ยิ่งไม่ง่ายเข้าไปใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ถึงกับเป็นเดือดเป็นแค้นจนเสียเรื่อง เขาหันไปส่ายหน้าเบาๆ ให้กับเพื่อนร่วมงานสองสามคนที่ตามมาหลังจากได้รับข่าว บอกเป็นนัยไม่ให้พวกเขาราดน้ำมันลงบนกองไฟ เปิดโอกาสให้ใต้เท้าอู๋ได้พักอย่างสงบสักครู่
อู๋ยวนพลันเอ่ยยิ้มๆ “วางใจเถอะ ข้าไม่เป็นไร ตอนนี้แค่รู้สึกอยากดื่มเหล้าของเมืองหลวงเราหน่อยก็เท่านั้น”
พอคุณชายคนนั้นได้ยินประโยคนี้ถึงได้นั่งลง กล่าวน้ำเสียงเสียดาย “น่าเสียดายที่ตระกูลหลี่ย้ายไปเมืองหลวงแล้ว ไม่อย่างนั้นก็สามารถให้หลี่หงเจ้าประมุขตระกูลหลี่ของพวกเขาช่วยเชื่อมสะพานสัมพันธ์ เรื่องบางเรื่องหากได้พูดกันเป็นการส่วนตัวก็คงจัดการได้ง่ายขึ้นเยอะเลย ตระกูลพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับตระกูลหลี่ในเมืองหลวง หากทางนั้นพูดให้ สกุลหลี่ในเมืองเล็กแห่งนี้ต้องเห็นแก่หน้าพวกเขาแน่”
อู๋ยวนถลึงตาตำหนิ “เจ้าโง่หรือไง เส้นสายที่ตระกูลของเจ้าสั่งสมมา ไม่ใช่ว่าจะเป็นเส้นสายของเจ้าด้วย ทุกครั้งที่เจ้าใช้พวกเขาหนึ่งครั้งก็เท่ากับทำให้ตำแหน่งของตัวเองในตระกูลลดฮวบลงไประดับใหญ่ เรื่องแบบนี้ไม่ได้ง่ายดายเหมือนตอนที่เจ้าขอให้คนช่วยเขียนกรอบป้ายก่อนหน้านี้ ดังนั้นเจ้าอย่ามามีเอี่ยวมั่วซั่วด้วยเด็ดขาด”
บุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ก็ไม่ใช่เพราะข้าเป็นห่วงกลัวว่าใต้เท้าอู๋จะดึงดันทำในเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรือไงล่ะ”
อู๋ยวนหลุดหัวเราะพรืด “หากข้าเป็นพวกดึงดันทำในเรื่องที่เป็นจริงไม่ได้ ก็คงตัดขาดพ่อตาพลเอกของตัวเองคนนั้นให้ขาด และพาลูกสาวที่รักของเขาหนีไปด้วยกันนานแล้ว”
ในห้องโถงพลันตกอยู่ท่ามกลางความเงียบ
บุตรหลานตระกูลสูงศักดิ์ข่มกลั้นรอยยิ้ม เอ่ยเสียงเบา “คำพูดอวดดีเช่นนี้ ใต้เท้าอู๋แค่คุยโวให้พวกเราฟังก็พอแล้ว”
อู๋ยวนนอนพิงพนักเก้าอี้อย่างผ่อนคลาย ไม่มีท่าทางกระอักกระอ่วนเพราะถูกเปิดโปงความจริงแม้แต่น้อย กลับยังหัวเราะหน้าระรื่น “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว หากท่านพ่อตามาเยือนด้วยตัวเองจริงๆ ข้าคงก้มหน้าค้อมตัววิ่งเอาน้ำชาไปต้อนรับนานแล้ว แถมยังต้องถามด้วยว่าท่านพลเอกเหนื่อยหรือไม่ ต้องการให้ข้านวดไหล่หรือเปล่า”
เสียงหัวเราะดังครืนอยู่ในห้องโถงใหญ่ของจวนผู้ตรวจการ
แม้แต่เลขาฝ่ายบู๊สองคนที่ตรงเอวแขวนดาบปักลายสีทองก็ยังหันมามองหน้ากันยิ้มๆ
ชั่วขณะที่อู๋ยวนนั่งตัวตรง ทุกคนที่อยู่ในห้องโถงล้วนพร้อมใจกันกลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว ส่วนอู๋ยวนก็กล่าวไม่ช้าไม่เร็วว่า “สกุลหลี่ย้ายออกไปแล้ว ตระกูลหลูยืนกรานว่าจะเป็นเต่าหดหัวอยู่ในกระดอง ไม่สนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น สกุลจ้าวผลักภาระโดยการบอกว่าร่างกายท่านบรรพบุรุษของตระกูลไม่ค่อยดี ทุกอย่างต้องรอให้อาการของนางดีขึ้นก่อนค่อยหาข้อสรุป สกุลซ่งในเมืองเล็กลึกล้ำที่สุด สี่ตระกูลใหญ่บนถนนฝูลวี่นี้ เมื่อรวมกันแล้วมีเตาเผามังกรขนาดใหญ่ในครอบครองถึงสิบแห่ง สองแห่งในนามของสกุลหลี่ถูกถ่ายโอนให้กับตระกูลเว่ยและตระกูลหลิวในตรอกเถาเย่ไปแล้ว”
“วันนี้พวกเจ้าจงไปรวบรวมเอกสารที่กระจัดกระจายทั้งหมดของจวนผู้ตรวจการเข้าไว้ด้วยกัน รวมให้เป็นเส้นสายความสัมพันธ์ของสี่แซ่สิบตระกูลหนึ่งฉบับ ข้าอยากจะรู้นักว่าบ่อน้ำเล็กๆ แห่งนี้มีปลากับมังกรปะปนกันมากแค่ไหน ถอยมาพูดอีกก้าว ต่อให้ทำอะไรตระกูลใหญ่อันดับต้นๆ ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไปหาตระกูลอันดับรองลงมา นอกจากสองสามตระกูลที่รองมือรองเท้าให้กับสิบตระกูลแล้ว ยังมีตระกูลหม่าที่มีเงินมากซึ่งปฏิบัติตามคำสั่งของบรรพบุรุษ ไม่ยอมย้ายไปอยู่ถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่อย่างเคร่งครัด พวกเขามีเตาเผามังกรสองแห่ง ในเมื่อตอนนี้ข้ายังควบตำแหน่งผู้ตรวจการงานเตาเผาด้วย ถ้าอย่างนั้นขนาดใหญ่เล็กของเตาเผามังกรพวกนี้ก็ไม่ใช่ข้าที่เป็นคนตัดสินใจหรอกหรือ? ดึงตระกูลเหล่านี้มาเป็นพวกแล้วประคับประคองให้ดี ขณะเดียวกันข้าก็จะทุ่มเงินลงไป ต่อให้ควักเอาสมบัติทั้งหมดของจวนตรวจการออกมา ข้าก็ไม่เสียดาย ข้าไม่เชื่อหรอก ภูเขาเครื่องปั้นพวกเจ้าอาจจะยังรักษาไว้ได้ แต่สุสานเทพเซียนมีพื้นที่กว้างขวางขนาดนั้น หากแบ่งกันไม่เท่าเทียม พวกเจ้าจะยังปกป้องไว้ได้อีกนานเท่าไหร่?”
“น้ำตื้นเต่ามาก วัดเล็กลมปีศาจแรง รอจนบ่อน้ำลดจนเห็นก้น วัดเล็กพังถล่ม ข้าอยากรู้นักว่าเมื่อถึงเวลานั้นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์กลุ่มนี้จะยอมรับผิดขอให้ข้าอภัยอย่างไร”
พูดมาถึงตอนสุดท้าย เดิมทีใต้เท้านายอำเภอควรจะฮึกเหิมห้าวหาญถึงจะถูก คิดไม่ถึงว่าเขากลับถอนหายใจหนึ่งครั้งแล้วตัวอ่อนยวบกลับไปพิงพนักเก้าอี้อีกครั้ง “ชีวิตแบบนี้ไม่เข้าทีเสียแล้ว เมื่อไหร่จะถึงจบสิ้น?! อาจารย์ ไหนบอกว่าพอเมาก็นอนพิงขาสาวงาม ตื่นมามือก็กุมใต้หล้าไว้แล้วอย่างไรล่ะ? ตลอดทั้งจวนผู้ตรวจการ หากไม่ใช่หญิงชราก็เด็กน้อย ไม่มีเด็กสาวเลยสักคนเดียว ไหนบอกว่าสถานที่เลื่องชื่อให้กำเนิดอัจฉริยะบุคคลและสาวงามอย่างไรล่ะ?”
และเวลานี้เอง เด็กหนุ่มหน้าตางามพิสุทธิ์กลางหว่างคิ้วมีใฝแดงถูกข้ารับใช้สองคนยื่นมือขวางไว้นอกประตู เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ “ใต้เท้าอู๋ ถ้าไม่อย่างนั้นเดี๋ยวข้าเขียนจดหมายช่วยเจ้าถามพลเอกหยวนที่เมืองหลวงดีไหม? บอกให้เขาช่วยหาสาวใช้หน้าตาน่ารักมาให้เจ้าสักสองคน?”
อู๋ยวนรีบลุกขึ้นยืนทันที สีหน้ากระอักกระอ่วน ไม่สะดวกที่จะเปิดเผยสถานะราชครูของอาจารย์ตน แล้วก็ไม่มีความกล้ามากพอที่จะตวาดใส่อาจารย์ตนเพื่อปกปิดหูตาของคนอื่นด้วย
ในใจอู๋ยวนเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าทำไมอาจารย์ถึงมาเยือนที่จวนผู้ตรวจการ แถมดูจากท่าทางแล้วเหมือนจะไม่ถือสาว่าจะเป็นการเปิดเผยตัวตนของตัวเองด้วย
ชุยฉานคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเลขาฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊เหล่านั้น เพียงหมุนตัวกลับแล้วทิ้งประโยคหนึ่งไว้ “ตามข้ามา”
อู๋ยวนยื่นนิ้วขึ้นมาทำเสียงชู่ว์ให้ทุกคนในห้องดูสองครั้ง บอกเป็นนัยว่าไม่ให้พวกเขาเอะอะ ส่วนตัวเองเดินเร็วๆ ออกไปนอกธรณีประตู เมื่อเลขานุการฝ่ายบู๊สองคนที่มาจากสมรถูมิรบคิดจะตามติดไปด้วย อู๋ยวนกลับยังคงโบกมือปฏิเสธ
เดินบนถนนก้อนหินสายเล็กที่เงียบสงัดไร้ผู้คน ชุยฉานเอ่ยถาม “นักโทษสกุลหลูขึ้นเขากันไปหมดแล้วรึ?”
อู๋ยวนส่ายหน้า “ยังเหลือนักโทษอีกหกร้อยคนที่ยังมาไม่ถึงทางขึ้นของภูเขาจวินเสินทางทิศเหนือสุด และตัวตนของคนกลุ่มนี้ก็สูงศักดิ์มากที่สุด ส่วนใหญ่ล้วนเป็นลูกหลานผู้มีคุณความชอบของราชวงศ์สกุลหลู อายุไม่เยอะ ระหว่างสิบสี่สิบห้าถึงยี่สิบปี”
อู๋ยวนถามอย่างสงสัย “คนพวกนี้ท่านอาจารย์จัดเตรียมมาไว้ตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่หรือ?”
ชุยฉานกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “สวรรค์มีลมและเมฆที่ไม่อาจคาดการณ์ อาจารย์ของเจ้าตอนนี้ถือว่าเป็นมังกรที่ว่ายอยู่ในน้ำตื้นแล้ว (เปรียบเปรยว่าคนตกอยู่ในสภาวะยากลำบาก) ดังนั้นจึงต้องมายืนยันกับเจ้าให้แน่ใจอีกครั้ง ตอนนี้เจ้าไม่ต้องสนใจเรื่องอะไรทั้งนั้น จงควบม้าเร็วไปที่ทางขึ้นภูเขาเสินจวิน ตามหานักโทษเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อว่าเซี่ยอวี๋ลวี่ แล้วส่งตัวเขาไปเมืองหลวง”
อู๋ยวนถามอย่างระวัง “คราวนี้คนสนิทซึ่งเป็นญาติสายตรงกับซ่งจ่างจิ้งเป็นผู้คุ้มครองพวกเขามาส่งที่อำเภอหลงเฉวียนด้วยตัวเอง จู่ๆ ข้าไปขอตัวคนมาแบบนี้ พวกทหารนิสัยหยาบกระด้างไม่เห็นหัวใจกลุ่มนั้นจะยอมปล่อยคนมาแต่โดยดีหรือ?”
ชุยฉานโบกมือ กล่าวหงุดหงิด “ข้าย่อมวางแผนรับมือไว้ทางนั้นอยู่แล้ว เจ้าแค่เผยโฉมก็พอ”
อู๋ยวนกล่าวอย่างเป็นกังวล “อาจารย์ แล้วทางท่าน?”
ชุยฉานแค่นเสียงเย็น “ยังไม่ตายหรอก!”
อู๋ยวนไม่มัวลังเลอีกต่อไป รีบตะโกนเรียกเลขาฝ่ายบู๊สองคนนั้นให้ควบม้าออกจากเมืองไปพร้อมกัน
เพียงอาจารย์ขยับปาก ลูกศิษย์ก็วิ่งขาลาก
ชุยฉานรอจนอู๋ยวนจากไปแล้ว เขาถึงเดินอยู่บนเส้นทางสายเล็กในจวนผู้ตรวจการเพียงลำพัง สีหน้ามืดทะมึน “ไม่ระวังเพียงนิดก็แพ้ทั้งกระดาน…ยังไม่แพ้ทั้งหมด พังล้มทั้งกระดานคือเรื่องจริง แต่ไม่เป็นไร ขอแค่มีโอกาสจะชนะสักเสี้ยวก็พอแล้ว ทนไป ถือซะว่าเป็นการอบรมขัดเกลานิสัยและจิตใจ อย่างมากก็แค่เปลี่ยนมาเล่นกระดานใหม่”
“ก็ไม่ใช่ว่าข้าทนจนอาจารย์ตายไปก่อน แล้วก็ทนจนเจ้าฉีจิ้งชุนตายตามไปหรอกหรือ?”
“เอ๊ะ? ทำไมพูดไปพูดมาถึงรู้สึกเหมือนตัวเองคือเต่าตัวหนึ่ง?”
สุดท้ายชุยฉานถอนหายใจ “โชคชะตาของนางดีเยี่ยมมาโดยตลอด ช้าไม่มาสายไม่มา ดันมาเอาในเวลาอย่างนี้ ข้าคงได้แต่พยายามเก็บเม็ดหมากที่เหลืออยู่กลับมาให้ได้มากที่สุดเท่านั้น จะได้ไม่ถูกนางเก็บรวบไปทั้งหมด ถ้าแบบนั้นข้าคงโมโหตายจริงๆ แน่!”
หลังจากนั้นก็มีนักการของจวนผู้ตรวจการเดินมาไกลๆ แล้วก็ได้ยินว่าเด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่งกำลังบ่นเสียงดังอยู่ตรงนั้น “ข้าไม่โกรธ ไม่มีอะไรน่าโกรธ…ข้าไม่โมโห ไม่มีอะไรน่าโมโห…แม่งเอ๊ย ไม่น่าโมโหห่าอะไร! นายท่านโมโหจะตายอยู่แล้วโว้ย!”
……
ร้านตีเหล็ก ใต้ชายคาที่วางเก้าอี้ไม้ไผ่ใหม่เอี่ยมสีเขียวดุจจะคั้นน้ำ สีสันน่ารักไว้สามตัว
เด็กสาวชุดเขียวลุกขึ้นแล้วเดินจากไปด้วยความโมโห ทิ้งอาจารย์หร่วนที่สีหน้าเป็นปกติและสตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงไม่เปลี่ยนเอาไว้
ตรงธารน้ำห่างออกไปไกลมีเด็กสาวกุมกระบี่ ผู้เฒ่าสวมเสื้อแขนกว้างและชายร่างกำยำยืนอยู่
สตรีแต่งงานแล้วที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังของเด็กสาวผมหางม้า เมื่อครู่นี้นางใช้เวทคาถาเล็กๆ อย่างหนึ่งจงใจทำให้เด็กสาวโกรธ เพื่อที่นางจะได้ออกไป สตรีแต่งงานแล้วถึงได้ถามเข้าประเด็น “อาจารย์หร่วนกับอาจารย์ฉีมีข้อตกลงร่วมกันงั้นรึ? ดังนั้นข้างกายเฉินผิงอันถึงได้มีนักสู้ตระกูลหลี่ติดตามไปด้วย?”
หร่วนฉงตอบอย่างตรงไปตรงมา “เปล่า”
สตรีแต่งงานแล้วจึงถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคงเพราะภูเขาสามลูก อาจารย์หร่วนถึงได้รับปากว่าจะปกป้องเฉินผิงอัน?”
หร่วนฉงพยักหน้ารับ “ใช่ ข้ารับปากเขาว่า ก่อนหน้าที่เขาจะไปจากต้าหลี จะรับประกันไม่ให้มีเรื่องไม่คาดฝันที่ร้ายแรงเกิดขึ้นกับเขา”
สตรีแต่งงานแล้วเงยหน้าขึ้นมองสีท้องฟ้ามืดครึ้มเพราะฝนกำลังจะตกหนัก “อาจารย์หร่วน ข้าจะให้คนซื้อภูเขาทั้งสี่ลูกรอบๆ ภูเขาเสินซิ่วใหม่เพื่อเป็นของแถมให้กับเจ้า ถือเป็นของขวัญพบหน้าจากต้าหลี เป็นอย่างไร?”
หร่วนฉงแค่นเสียงเย็น “เจ้ายังต้องใช้เงินอีกหรือ? เหรียญทองแดงแก่นทองแต่ละถุงนั้นก็เป็นแค่สิ่งที่ออกจากมือซ้ายไปเข้ามือขวาของฮ่องเต้ต้าหลีเท่านั้น จะต้องทำให้สิ่งที่เกินความจำเป็นทำไม?”
สตรีแต่งงานแล้วส่ายหน้าพูดยิ้มๆ “กฎก็คือกฎ ไม่ใช่ว่าข้าเป็นคนชอบเคารพกฎ แต่เป็นเพราะกฎของอาจารย์หร่วนที่อยู่ตรงหน้า หรือไม่ก็กฎของฮ่องเต้ที่อยู่ในเมืองหลวงต่างก็ใหญ่กว่าสถานะของข้า ดังนั้นข้าจึงจำเป็นต้องเคารพกฎ แม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนดีอะไร ทว่าล้วนทำทุกอย่างโดยดูตามกำลังของตัวเองมาโดยตลอด”
หร่วนฉงไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับกับเรื่องนี้ เพียงถามว่า “ทำไมเจ้าต้องยืนกรานจะฆ่าเด็กหนุ่มคนนั้น? อีกทั้งยังยอมจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลโดยไม่คิดเสียดาย แต่ก็ต้องรีบสังหารเขาให้จงได้? ถึงขนาดที่รอให้เขาไปถึงชายแดนต้าหลีแล้วค่อยลงมือ ก็ยังไม่ได้?”
สตรีแต่งงานแล้วไม่ได้ใช้น้ำเสียงเน้นหนัก แต่สายตากลับเด็ดเดี่ยวมากเป็นพิเศษ “เขาจำเป็นต้องตาย เมื่อเขาตายไปก็ถือว่าเป็นผลกรรมของลัทธิพุทธอย่างที่ลาหัวโล้น (เป็นคำด่าหลวงจีน) ชอบพูดกัน เรื่องนั้นที่บิดาเขาถูกสังหาร รวมถึงเรื่องที่อาศัยเขาให้ช่วยมู่เอ๋อร์ของข้าช่วงชิงโชควาสนามาได้มากกว่าเดิม ทุกอย่างล้วนหยุดอยู่ที่ข้า…”
หร่วนฉงเอ่ยเสียงเรียบ “เป็นเพราะเจ้ามีเวทอภินิหารนอกรีตที่ไม่อาจเปิดเผยซึ่งสามารถตัดขาดผลกรรมได้กระมัง?”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มน้อยๆ ไม่ปฏิเสธ ไม่ยอมรับ
หร่วนฉงส่ายหน้า “แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่เจ้ารีบร้อนจะฆ่าคน”
“มู่เอ๋อร์ของข้าใกล้จะได้เข้าเมืองหลวงต้าหลีแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นจะมีโชควาสนายิ่งใหญ่เยื้องกรายมาเยือน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีเรื่องแทรกซ้อน ข้าจำเป็นต้องถอนรากถอนโคนเสียตั้งแต่เนิ่นๆ”
สตรีแต่งงานแล้วเห็นว่าผู้ชายที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีสีหน้าเฉยเมยไม่สั่นคลอนก็ได้แต่เปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ เลือกที่จะแสดงความจริงใจกับอริยะสำนักการทหารท่านนี้ จึงอธิบายอย่างละเอียด “ปมในใจของมู่เอ๋อร์ หากเอาไปไว้กับนักพรตทั่วไปคงไม่มีอะไรน่ากังวล มหามรรคายาวไกล ต่อให้ก่อนหน้าที่เขาจะฝ่าสู่ห้าขอบเขตกลาง จะไม่สามารถกำจัดมันได้ด้วยตัวเอง ต้าหลีก็ยังมีวิธีใช้พลังภายนอกมาบังคับกำจัดทิ้งอยู่ดี อย่างมากก็แค่ทิ้งมารในใจขนาดใหญ่เล็กไม่อาจคำนวณเอาไว้ ตอนที่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนจะเปลี่ยนมาเป็นอันตรายอย่างถึงที่สุด ทว่าตอนนี้โชควาสนาครั้งนี้ที่เมืองหลวงไม่คอยใคร จึงจะเพิกเฉยไม่ได้ บวกกับที่เจ้าสวะชุยฉาน ราชครูใหญ่ชุยที่มีสมญานามว่าคำนวณแม่นยำไร้ช่องโว่กลับกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และเห็นได้ชัดว่าจนถึงท้ายที่สุดแล้วก็ไม่อาจทำลายจิตใจที่บริสุทธิ์ของเด็กหนุ่มคนนั้นลงได้ จึงช่วยไม่ได้ ข้าก็ได้แต่ถอยมาใช้วิธีรองลงมา ใช้ศีรษะของเฉินผิงัอนมาฝืนบิดคลายปมในใจของมู่เอ๋อร์”
ตอนที่สตรีแต่งงานแล้วพูดถึงตรงนี้ก็กล่าวต่ออย่างจนใจว่า “ใช่ว่าจะไม่เคยคิดโกหกมู่เอ๋อร์ บอกกว่าเฉินผิงอันกลายมาเป็นชาวบ้านร้านตลาดตัวเล็กๆ ธรรมดาคนหนึ่งในการทดสอบใหญ่ของชุยฉาน หรือข้ายังถึงขั้นสามารถปั้นแต่งรายละเอียดทั้งหมดให้ไร้รูโหว่ แล้วนำไปแสดงให้เขาดูก็ยังได้ แต่ข้าไม่อาจรับความเสี่ยงครั้งนี้ได้ หากอนาคตมู่เอ๋อร์รู้ความจริงเขา วันนี้พรสวรรค์ของเขาดีเกินไป หากได้โชควาสนานั้นมา กลับจะกลายมาเป็นภัยร้ายแอบแฝง มีความเป็นไปได้ที่จิตแห่งการฝึกตนจะแหลกสลายลงในเสี้ยววินาที”
เวลานี้ฝนห่าใหญ่ก็ได้เทกระหน่ำลงมาจากแผ่นฟ้า
ม่านฝนหนักอึ้งดุจเหล็ก
หร่วนฉงไม่สนใจฝนด้านนอกที่ตกไม่ลืมหูลืมตา ถามว่า “ปมในใจอะไร ถึงได้วุ่นวายขนาดนี้?”
“เจ้าเฒ่าหนังเหนียวแซ่เหยาผู้นั้นเล่นงานข้า บอกให้เด็กหนุ่มคนนั้นรู้ความจริงว่า พ่อแม่ของเขาไม่มีทางถูกปราณหยางทำร้ายจนไม่อาจไปเกิดเป็นคนใหม่ได้เพียงเพราะเขาเกิดวันที่ห้าเดือนห้า พอเด็กหนุ่มที่ผิดคำสาบานที่ให้ไว้กับแม่เขาจึงอึ้งงัน แล้วก็วิ่งตะบึงจากเตามังกรกลับไปยังเมืองเล็กราวกับเป็นบ้า อาจารย์หร่วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าเด็กหนุ่มที่เจ็บแค้นเจียนบ้าจนคิดฆ่าคนทำอะไร? เขาทั้งไม่ได้ไปหามู่เอ๋อร์ แล้วก็ไม่ได้กลับบ้าน แต่กลับรออยู่นอกตรอกหนีผิ รอจนมู่เอ๋อร์เดินออกจากบ้านมาเดินเล่นเพียงลำพังถึงได้ไล่ตามเขาไป สุดท้ายจับมู่เอ๋อร์ของข้ากดลงกับผนังตรอกหนีผิง เกือบจะบีบคอเขาตาย แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วเขาไม่ได้ฆ่าคน อีกทั้งต่อให้เขาคิดจะฆ่าจริงๆ คนที่ตายก็มีแต่จะเป็นเขาเท่านั้น น่าเจ็บใจพวกสายลับเดนตายที่ซ่อนตัวอยู่ในที่มืดพวกนั้นที่ทำตามกฎของฝ่าบาทอย่างเคร่งครัดว่า ขอแค่มู่เอ๋อร์ไม่ตายก็ห้ามยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด เจ้าพวกสวะ พวกสวะสมควรตาย”
สตรีแต่งงานแล้วที่พยายามพูดความลับนี้ด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายมีท่าทางเหนื่อยล้าและจนใจอย่างที่หาได้ยาก “บนโลกจะมีคนต่ำช้าที่นิสัยประหลาดแบบนี้อยู่ได้อย่างไร? การกระทำนี้ของเขากลับกลายมาเป็นปมที่ใหญ่ที่สุด แทบจะกลายมาเป็นเงื่อนตายในใจของมู่เอ๋อร์ข้า ตลอดหลายปีมานี้เขาถึงขั้นสะดุ้งตื้นจากฝันอยู่หลายครั้ง เพราะมู่เอ๋อร์ไม่เคยเข้าใจว่า ‘เจ้าเฉินผิงอัน ทำไมถึงไม่สังหารข้า ทำไมถึงต้องเลือกตอนที่จื้อกุยไม่อยู่ด้วย? หากเปลี่ยนมาเป็นข้าซ่งจี๋ซิน ต่อให้หั่นร่างเจ้าเฉินผิงอันออกเป็นแปดชิ้นก็ยังไม่สาแก่ใจ แล้วต้องทำต่อหน้าญาติหรือเพื่อนที่สนิทของเจ้าด้วย ถึงจะดีที่สุด’ เมื่อสืบสาวกันถึงแก่นแล้ว ก็ถือว่าข้าหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัวแท้ๆ”
ฝนเม็ดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองกระแทกลงบนพื้นดิน เหมือนน้ำตาของเด็กวัยเดียวกันสองคนเมื่อครั้งอดีต
คนหนึงนอนกองอยู่บนพื้น สองมือกุมลำคอ ตกใจจนร้องไห้โฮ
อีกคนหนึ่งคือเด็กยากจนสวมรองเท้าแตะที่เดินใช้มือปิดหน้าเดินเข้าไปยังปากทางตรอกหนีผิง
เหมือนกระจกบานหนึ่ง ยิ่งสว่างไสวไร้ตำหนิมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสามารถสาดสะท้อนจุดด่างพร้อยของคนที่ส่องมันออกมาได้มากเท่านั้น
หลังจากความเงียบงันอันยาวนานผ่านพ้นไป สตรีแต่งงานแล้วก็เก็บความคิดทั้งหมดลง ลังเลอยู่เล็กน้อยจึงถามว่า “การสร้างสะพานแห่งนั้น อาจารย์หร่วนน่าจะพอเดาได้กระมัง?”
ใบหน้าของหร่วนฉงเต็มไปด้วยความรังเกียจ “หากรู้แต่แรกว่าเป็นเช่นนี้ ข้าคงไม่มาที่นี่”
สตรีแต่งงานแล้วเลิกคิ้วสูง เอ่ยเสียงหนัก “ดังนั้นสุดท้ายแล้วก่อนที่มู่เอ๋อร์จะไปจากเมืองเล็กจึงจำเป็นต้องไปจุดธูปไหว้ที่นั่น เพราะทุกอย่างที่เขามีในวันนี้ล้วนเป็นเพราะการตายของลูกหลานเชื้อพระวงศ์ต้าหลีคนแล้วคนเล่า! สี่คำว่าเฟิงเซิงสุ่ยฉี่บนกรอบป้ายเหนือสะพานแบบคานแห่งนั้นมีจำนวนขีดเท่าไหร่ คนก็ตายไปมากเท่านั้น คนพวกนี้ใช้ชีวิตของตัวเองแลกมาด้วยความสำเร็จของเขา!”
สีหน้าของอาจารย์หร่วนมืดทะมึน ดูเหมือนไม่มีความคิดที่จะเอ่ยอะไร
สตรีแตงงานแล้วลุกขึ้นยืนช้าๆ ด้วยสีหน้ากระปรี้กระเปร่า ก้มหน้าจ้องมองหร่วนฉงนิ่งๆ เอ่ยเนิบช้าด้วยน้ำเสียงแหบต่ำล่อลวงใจคน “อาจารย์หร่วน หากรู้สึกว่าภูเขาทั้งสี่ลูกยังคงไม่คู่ควรกับคำสัญญาคำเดียวที่เจ้าให้ไว้กับเด็กหนุ่ม ก็ไม่เป็นไร ขอแค่อาจารย์หร่วนเปิดราคา ขอแค่เจ้ายอมเปิดปาก ทุกอย่างล้วนปรึกษากันได้ ยกตัวอย่างเช่นทางฝ่ายต้าหลี เมื่อข้ากลับไปยังเมืองหลวงแล้วก็สามารถพูดเกลี้ยกล่อมฝ่าบาท ขอให้เปิดประตูอำนวยความสะดวกแก่บุตรสาวของเจ้ายามที่ต้องบรรลุมรรคาในอนาคต แม้จะไม่รู้ว่าคืออะไร แต้ขาสามารถรับปากอาจารย์หร่วนแทนฝ่าบาทได้ว่า เมื่อถึงเวลานั้นราชสำนักต้าหลีจะต้องช่วยเหลืออย่างเต็มกำลังแน่นอน! นอกจากตัวข้าเองแล้ว ชุยฉานราชครู หรือแม้แต่ซ่งจ่างจิ้งก็ล้วนสามารถช่วยหร่วนซิ่วของเจ้าเมื่อโอกาสในการบรรลุมรรคาของนางมาถึง!”
หร่วนฉงถามไม่ตรงคำตอบ “ขอแค่ข้ารับปากก็คงเท่ากับว่าไปเกี่ยวข้องกับสกุลซ่งแห่งต้าหลีของพวกเจ้า และนี่ก็คือหนึ่งในแผนการของเจ้ากระมัง?”
สตรีแต่งงานแล้วไม่เหมือนคนพูดโกหก หรือบางทีก็คงไม่กล้ามองอริยะคนหนึ่งเป็นคนโง่กระมัง “แน่นอน หาไม่แล้วฝ่าบาทผู้หมั่นเพียร มัธยัสถ์ประหยัดครองเรือนของเราท่านนั้นจะยอมปล่อยให้ข้าทำตัวเหลวไหลหรือ? แม้ว่าเขาจะไม่มีอคติกับการที่สตรีเข้ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง หรืออาจถึงขั้นบอกกับข้าโดยตรงว่า หากไม่อาจควบคุมสตรีที่อยู่ข้างกายของตนได้ดี แล้วจะปกครองแผ่นดินให้ดีได้อย่างไร หากข้าทำลายชาติทรมานอาณาประชาราษฎร์จริงๆ ก็เท่ากับเขาไร้ความสามารถ”
“แต่เรื่องบางเรื่องเขาได้กล่าวอย่างชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ห้ามไม่ให้ข้ากระทำไปโดยพลการ เพราะข้าจะต้องจ่ายค่าตอบแทนที่สาสม”
“ข้าคนนี้มีข้อได้เปรียบที่ดีมากอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือความจำดี”
ในที่สุดหร่วนฉงก็ไม่คิดจะปิดบังความดูหมิ่นของตัวเองอีกต่อไป เขาปรายตามองสตรีแต่งงานแล้ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยชา “วันหน้าเจ้าห้ามเข้ามาในรัศมีพันลี้รอบอำเภอหลงเฉวียนอีก ขอแค่ถูกพบตัว ก็อย่ามาโทษว่าข้าตีผู้หญิง”
สตรีแต่งงานแล้วจ้องมองใบหน้าของหร่วนฉง ถอนหายใจหนึ่งที “ช่างเถอะๆ อย่างมากก็แค่รอให้ถึงชายแดนของต้าหลีก่อนค่อยว่ากัน วันนี้มารบกวน อาจารย์หร่วนโปรดอย่าถือสา ต่อให้อาจารย์หร่วนจะไม่ชอบสตรีแต่งงานแล้วอย่างข้า ก็อย่าได้เกิดอคติกับฝ่าบาทของเราเพียงเพราะเรื่องนี้”
ตอนที่นางเดินลงบันได หร่วนฉงเอ่ยว่า “เก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้น เฉินผิงอันเป็นคนทำเองกับมือ”
สตรีแต่งงานแล้วอึ้งตะลึง จงใจบิดเบือนความหมายแท้จริงที่หร่วนฉงต้องการจะสื่อ ยิ้มหวานกล่าวว่า “ทำไม อาจารย์หร่วนอยากจะบอกว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอันคนนั้นจับก้นข้าทางอ้อมอย่างนั้นรึ?”
สตรีแต่งงานแล้วจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังลั่น เดินตรงเข้าไปในม่านฝน ปล่อยให้ฝนที่เทกระหน่ำเปียกซึมไปทั่วร่าง
หุ่นอรชนอ้อนแอ้น เส้นเว้าเส้นโค้งเผยเด่นชัด
หร่วนฉงไม่มองนาง สีหน้าของเขาไร้อารมณ์
……
ฝนตกหนักอีกครั้งหนึ่งแล้ว
เฉินผิงอันที่โตเป็นเด็กหนุ่มเดินขึ้นไปบนยอดเขา มองเห็นว่าบนเนินเขาด้านหลังมีชายสวมงอบที่ค่อยๆ สอดดาบไม้ไผ่กลับเข้าฝักช้าๆ ยืนอยู่ อีกฝ่ายหันหน้ากลับมายิ้มสดใสให้กับตน “ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ได้เจอกับเด็กหนุ่มที่น่าสนใจกว่าเจ้ามากคนหนึ่ง มักจะได้ยินเขาพร่ำท่องกลอนประโยคหนึ่งอยู่ประจำ เป็นกลอนที่ดีมากจริงๆ ไม่สู้เจ้าลองฟังดูบ้าง คนจากบ้านป่าพบเรื่องไม่พารื่นรมย์ รู้แต่เจ็บแค้นเดือดดาล พาลให้มีดวิเศษในใจพังมลาย”
อาเหลียงที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่เดินเข้ามาหาเด็กหนุ่มช้าๆ ยื่นนิ้วชี้ไปที่ศีรษะของอีกฝ่าย “แต่ข้าไม่ใช่จอมยุทธ์อะไร แค่รู้สึกว่ากลอนบทนี้เหมาะที่จะทอ่งหลังจากที่ฆ่าคนในสภาพอากาศเช่นนี้ สาเหตุที่แท้จริงที่ข้ามาหาเจ้าที่หนึ่ง หนึ่งคือถือโอกาสมาเก็บน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ สองคือปิ่นบนศีรษะของเจ้า ฝ่ายหลังสำคัญกว่าฝ่ายแรกเป็นร้อยเท่าเลยกระมัง”
บนเนินเขาด้านหลังชายที่ดาบไม้ไผ่กลับเข้าสู่ฝักแล้วมีศพสองศพนอนอยู่ในสภาพนิ่งสงบ
ล้วนเป็นนักสู้และนักพรตที่มีตบะเป็นอันดับหนึ่งของต้าหลี
เฉินผิงอันถาม “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
ชายผู้นั้นเดินเข้ามาช้าๆ ฝ่ามือกุมด้ามกระบี่ หยุดเท้าลงตรงหน้าเฉินผิงอัน เสยงอบขึ้น ตอบพร้อมยิ้มบางๆ “ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม”
—-
[1] ตี้เซียน คือ หนึ่งในลำดับชั้นของเซียน คือเซียนที่เมื่อพลังยินเปลี่ยนไปเป็นพลังหยางอย่างสมบูรณ์ ร่างกายจะอยู่ได้โดยไม่ต้องกินอาหาร น้ำดื่ม หรือเสื้อผ้า ไม่รู้ร้อนรู้หนาว อาศัยอยู่ในโลก