Skip to content

Tales of Herding Gods 1

1. อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด

‘อย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด’

เป็นวลีที่บอกเล่าต่อกันมานมนานในหมู่บ้านชราพิการ แม้ว่าจะไม่มีผู้ใดรู้ว่าคำกล่าวนี้เริ่มขึ้นเมื่อใด แต่มันเป็นข้อเท็จจริงโดยมิต้องสงสัย

ในหมู่บ้านชราพิการ ท่านยายซีจ้องมองดวงอาทิตย์ที่กำลังดิ่งลับเหลี่ยมเขาด้วยใจกระสับกระส่าย เมื่อดวงตะวันตกสิ้นแสง ทันใดนั้นโลกทั้งโลกก็จมอยู่ในความเงียบงัน ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดๆ สิ่งเดียวที่อาจเห็นได้คือความมืดอันแผ่สยายกลืนกินภูเขา แม่น้ำ และดงป่า กระทั่งมาถึงหมู่บ้านพิการชราและฮุบรวบทั้งหมู่บ้านไว้ในอุ้งเล็บของมัน

สี่มุมรอบอาณาเขตหมู่บ้านมีรูปสลักหินโบราณสี่ตน รูปสลักเหล่านั้นเก่าครำคร่า แม้กระทั่งท่านยายซีก็ไม่รู้ว่าผู้ใดสลักเสลารูปปั้นเหล่านี้ไว้ และตั้งไว้เมื่อใด

เมื่อความมืดครอบคลุม รูปสลักทั้งสี่ต่างเปล่งแสงเรืองหรี่ในห้วงอันธการ เมื่อเห็นรูปสลักส่องแสงเช่นที่เคย ท่านยายซีและผู้ชราคนอื่นๆ ในหมู่บ้านก็ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ความมืดมิดภายนอกยิ่งมายิ่งหนาทึบ แต่ด้วยแสงพิทักษ์ของบรรดารูปสลักหิน หมู่บ้านชราพิการก็ยังคงปลอดภัย

ทันใดนั้น ใบหูของท่านยายซีก็กระดิกพร้อมกับเปล่งเสียงอุทานด้วยความตระหนก “ทุกคน ฟังสิ! มีเสียงทารกร้องอยู่ข้างนอกนั่น!”

ตาเฒ่าหม่าซึ่งอยู่ข้างๆ ส่ายหน้าแล้วกล่าวตอบไป “เจ้าคงหูแว่วไปเอง…เอ๊ะ มีเสียงทารกร้องจริงๆ ด้วย!”

เว้นก็แต่เฒ่าหนวก ผู้ชราทั้งหมดต่างก็หันไปมองซึ่งกันและกันเมื่อพวกเขาได้ยินเสียงร้องของเด็กทารกแว่วสะท้อนท่ามกลางความมืดมนภายนอกหมู่บ้าน แต่ว่าหมู่บ้านที่ห่างไกลเช่นนี้จะมีทารกมาปรากฏอยู่ใกล้ๆ ได้อย่างไรกัน

“ข้าจะไปดู!”

ท่านยายซีเริ่มเต้นเมื่อนางเขย่งวิ่งไปยังรูปสลักตนหนึ่งในหมู่บ้าน เฒ่าหม่ารีบรุดตามไปด้วยเช่นกัน “ยัยแก่ซี เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง ออกจากหมู่บ้านตอนนี้เท่ากับรนหาที่ตาย!”

“สิ่งร้ายในความมืดนั่นกลัวรูปสลักหิน ข้าคงไม่ตายเร็วนักหรอกหากว่าแบกรูปสลักนี้ออกไปด้วย!”

ท่านยายซีโก้งโค้งตัวลงหมายจะแบกอุ้มรูปสลักศิลา ทว่าด้วยความหลังค่อมของนาง ทำให้มิอาจยกรูปสลักหินขึ้นไปบนหลังได้

เฒ่าหม่าส่ายหน้าระอา “มาให้ข้าทำแทน ข้าจะช่วยแบกรูปปั้นให้!”

ผู้ชราอีกคนเดินกะเผลกมาใกล้ๆ แล้วกล่าว “เฒ่าหม่า เจ้าแบกรูปปั้นนั้นไม่ได้หรอกด้วยแขนด้วนข้างเดียวน่ะ ให้คนแขนครบอย่างข้าทำแทนดีกว่า”

เฒ่าหม่าถลึงตาจ้องอีกฝ่าย “เจ้ายังจะเดินไหวอีกหรือ ไอ้เป๋เอ๊ย แม้ข้าจะมีแขนเดียว แต่กำลังก็เหลือเฟือเว้ย”

ว่าแล้วก็กางขาย่อตัวยกรูปสลักอันหนักอึ้งนั้นด้วยมือเพียงข้างเดียว “ยัยแก่ซี ไปกันได้แล้ว!”

“หุบปาก หยุดเรียกข้าว่ายัยแก่! เฒ่าเป๋ เฒ่าใบ้ ในเมื่อหมู่บ้านนี้ขาดรูปสลักหินไปหนึ่งตน พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองด้วย อย่าให้สิ่งร้ายในความมืดมาสัมผัสได้!”

ยามที่เฒ่าหม่าและท่านยายซีย่างเท้าออกจากหมู่บ้านพิการชรา สิ่งลี้ลับน่าพรั่นพรึงลอยล่องแหวกว่ายในความมืดรอบๆ ตัวพวกเขา หากแต่เมื่อรูปสลักศิลาเปล่งประกายแสงโชน พวกมันก็หวีดร้องเสียงประหลาดก่อนล่าถอยกลับไปสู่ความมืดมิด

หลังจากที่เสาะหาตามเสียงทารกร้องกว่าร้อยก้าวเดิน เฒ่าหม่าและท่านยายซีก็มาถึงริมฝั่งแม่น้ำใหญ่ อันเป็นจุดกำเนิดเสียงทารก แสงจางของรูปสลักมิอาจส่องทางให้เห็นไกลพอ ทั้งคู่จึงต้องอาศัยโสตประสาทในการค้นหาที่มาที่แน่นอนของเสียง ย้อนไปทางต้นน้ำหลายสิบก้าวจึงค้นพบว่าเข้าใกล้จุดกำเนิดเสียงเต็มที แต่ในขณะเดียวกันแขนเดียวของเฒ่าหม่าก็ล้าแทบสุดกำลัง สายตาคมกล้าของท่านยายซีเสาะพบแสงเรืองเล็กๆ ส่องประกายอยู่ไกลๆ แสงเรืองหรี่ดังกล่าวส่องจากตะกร้าสานอันเกยติดกับริมฝั่งน้ำ ที่เดียวกับจุดกำเนิดเสียงร้องของเด็กทารก

“นั่นเด็กจริงๆ ด้วย!”

ท่านยายซีรุดเข้าไปหมายดึงตะกร้าขึ้นมา และต้องตระหนกเมื่อมิอาจดึงขึ้นมาได้ ภายใต้ตะกร้าคือสองมือขาวซีดที่บวมอืดจากการแช่น้ำ สองมือนั้นพยุงตะกร้าและทารกน้อยเหมือนพยายามดันให้ถึงฝั่ง

“วางใจเถอะ เด็กปลอดภัยแล้ว” ยายเฒ่ากล่าวอย่างอ่อนโยนแก่สตรีที่จมอยู่ใต้น้ำ

ราวกับว่าร่างไร้วิญญาณของสตรีนางนั้นสดับรู้คำรับรองของท่านยายซี มือของนางปล่อยจากตะกร้า นางจมหายไปกับความมืดเมื่อกระแสน้ำพัดพาร่างของนางไป

ท่านยายซียกตะกร้าขึ้น ภายในตะกร้าคือเด็กทารกที่ห่อหุ้มไว้ด้วยผ้าอ้อม จี้หยกส่องแสงวาบวามวางอยู่บนผ้าอ้อมอีกที ประกายแสงของจี้หยกช่างเหมือนกับแสงเรืองของรูปสลักหิน เพียงแต่อ่อนล้าริบหรี่กว่าเท่านั้น จี้หยกนี้เองที่ช่วยปกปักษ์ทารกน้อยในตะกร้าจากสิ่งร้ายอันซุ่มซ่อนในความมืด

แสงที่โรยราของจี้หยกทำได้เพียงป้องกันภยันตรายแก่ทารกมิอาจช่วยเหลือสตรีนางนั้น

“เด็กผู้ชายนี่นา”

เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านชราพิการ คนในหมู่บ้านทั้งหมดซึ่งล้วนแต่แก่เฒ่า อ่อนแรง ป่วย และพิการ ต่างมารวมตัวกัน ท่านยายซีลอกผ้าอ้อมออกเพื่อเพ่งพิศดูทารกให้ถนัดถนี่ เมื่อนั้นปากของนางอันแทบไม่เหลือฟันซี่ดีก็ฉีกเป็นรอยยิ้มแฉ่ง “ในที่สุด หมู่บ้านพิการชราของเราก็มีสมาชิกที่ครบสามสิบสอง!”

เฒ่าเป๋ ผู้ซึ่งเหลือขาเพียงข้างเดียวเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ากะจะเลี้ยงเขาจริงๆ น่ะหรือ ยัยแก่ซี? พวกเราดูแลตัวเองยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ! ข้าว่าส่งเขาไปให้คนอื่นเลี้ยงดีกว่า…”

ท่านยายซีมีน้ำโหขึ้นมา “ข้า! ยายแก่คนนี้ ตกเด็กมาได้ด้วยกำลังของข้าเอง ทำไมจะต้องยกไปให้คนอื่น”

สมาชิกหมู่บ้านทั้งหมดหงอทันที และไม่กล้าขัดคอนางอีกต่อไป ในตอนนั้นผู้ใหญ่บ้านถูกหามมาบนแคร่ สถานการณ์ของเขานั้นย่ำแย่กว่าผู้ชราอื่นๆ ด้วยว่าอย่างน้อยผู้ชราเหล่านั้นก็ยังแขนขาเหลืออยู่บ้าง ทว่าผู้ใหญ่บ้านไร้แขนปราศจากขาโดยสิ้นเชิง แต่ถึงอย่างไรทุกคนในหมู่บ้านก็เคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่ท่านยายซีผู้ดุร้ายก็มิกล้าล่วงเกิน

“ในเมื่อพวกเราตกลงว่าจะเลี้ยงเขา ตั้งชื่อให้เขาหน่อยดีไหม” นางเอ่ยถาม

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวตอบไป “ยัยเฒ่า เจ้าเห็นสิ่งอื่นในตะกร้าอีกหรือไม่”

ท่านยายซีหันไปรื้อตะกร้าดูจนถ้วนถี่ แล้วสั่นศีรษะ “นอกจากจี้หยกนี้ ก็ไม่มีอะไรแล้ว มีคำว่า ‘ฉิน’ สลักอยู่บนจี้ เนื้อหยกทั้งไร้ราคีและมีพลังอำนาจพิสดาร นี่ต้องไม่ใช่สิ่งสามัญธรรมดาแน่…หรือว่าจะมาจากตระกูลใหญ่”

“ตั้งชื่อเขาว่าฉิน หรือให้แซ่ว่าฉินดีล่ะ”

ผู้ใหญ่บ้านใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนให้คำตอบ “ให้เขาแซ่ฉิน นามมู่ เรียกฉินมู่ เมื่อเขาโตขึ้น สอนให้เขาเลี้ยงแกะเลี้ยงวัว นั่นน่าจะพอเลี้ยงชีพเขาได้”

“ฉินมู่” ท่านยายซีจ้องมองทารกแบเบาะผู้ซึ่งไม่เกรงกลัวนางแถมยังหัวเราะเอิ้กอ้ากอย่างไร้กังวล

เสียงขลุ่ยแว่วสะท้อนข้ามฝั่งน้ำ โคบาลหนุ่มน้อยนั่งอยู่บนหลังวัวเล่นท่วงทำนองพลิ้วไหวจากเลาขลุ่ย อายุของเด็กเลี้ยงวัวราวสิบเอ็ดถึงสิบสองปี เขามีเครื่องหน้าที่งามละเอียด มีริมฝีปากแดงเรื่อและฟันขาวสะอาด คอเสื้อของเขาที่เปิดออกครึ่งหนึ่งเผยให้เห็นจี้หยกห้อยลงมากลางอก

เด็กผู้นี้ย่อมเป็นทารกที่ท่านยายซีเก็บได้จากริมฝั่งน้ำเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว ท่านยายซีอุตส่าห์ไปเสาะหาแม่วัวมาเพื่อว่ายามที่ฉินมู่ยังแบเบาะจะได้มีน้ำนมดื่มกิน ทว่าไม่มีใครรู้ว่าท่านยายซีไปได้แม่วัวมาจากไหน

แม้ว่าสมาชิกหมู่บ้านชราพิการล้วนแต่ดุร้ายทมิฬ แต่ทุกคนเมตตารักใคร่ฉินมู่เป็นอย่างยิ่ง ท่านยายซีเป็นช่างเย็บผ้า ฉินมู่ก็ใช้เวลาส่วนใหญ่เรียนวิธีเย็บปักจากท่านยายซี เรียนรู้วิธีแสวงหาและกลั่นสมุนไพรจากนักปรุงยา เรียนวิชาขาจากท่านปู่เป๋ เรียนวิธีฟังตำแหน่งเสียงจากท่านปู่บอด และเรียนวิธีหายใจอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่บ้านแขนขาด้วน เช่นนี้แล้ววันเวลาของเขาจึงผ่านไปอย่างรวดเร็ว

วัวตัวนั้นเป็นแม่นมให้กับเขาตั้งแต่ตอนเป็นทารก คราแรกท่านยายซีกะว่าจะขายนางทิ้งไปเมื่อหมดประโยชน์ แต่ฉินมู่ไม่อยากให้ขาย งานเลี้ยงวัวจึงตกเป็นหน้าที่ของเขา

ฉินมู่มักจะพาวัวไปกินหญ้าตามริมฝั่งแม่น้ำ พลางชื่นชมขุนเขาเขียวและเมฆสีขาวอมฟ้า

“ฉินมู่! ฉินมู่ ช่วยข้าที!”

ทันใดนั้น แม่วัวที่ฉินมู่กำลังขี่อยู่ก็เริ่มต้นส่งเสียงพูด ทำให้เขาตระหนกจนกระโดดลงจากหลังของมัน ฉินมู่เห็นน้ำตาเอ่อคลอในดวงตาของแม่วัว นางกล่าวด้วยภาษามนุษย์ “ฉินมู่ เจ้าดื่มกินนมของข้ามาแต่เล็ก นับได้ว่าเป็นมารดาคนหนึ่งของเจ้า เจ้าต้องช่วยข้า”

ฉินมู่กระพริบตาปริบและถามกลับ “ข้าจะช่วยเจ้าได้อย่างไรล่ะ”

วัวตอบว่า “ใช้เคียวที่เอวของเจ้า กรีดเข้าไปในหนังของข้า แล้วข้าก็จะสามารถหลุดหนีไปได้”

ฉินมู่ลังเล แม่วัวจึงสำทับ “หรือเจ้าลืมบุญคุณค่าน้ำนมเสียแล้ว”

ฉินมู่จึงหยิบเคียวออกมากรีดหนังวัวเป็นแนวยาว กล่าวไปแล้วก็น่าประหลาด ภายใต้หนังวัวนั้นว่างเปล่า ไม่มีโลหิตหลั่งไหล หนำซ้ำภายในยังโล่งกว้างไม่มีทั้งเลือดเนื้อและกระดูก

เมื่อหนังวัวถูกกรีดขาดออกจากกันได้ครึ่งหนึ่ง หญิงสาววัย 20-30 ก็โผล่มุดออกมาจากข้างใน สองขาของนางถูกรัดไว้ในขาวัว เนื้อหนังนางกับหนังวัวเชื่อมต่อกันแนบแน่น ทว่าช่วงบนของนางเป็นอิสระจากหนังวัวเรียบร้อยแล้ว

ผมเผ้าของนางกระเซอะกระเซิง นางรีบฉวยคว้าเคียวในมือฉินมู่ที่กำลังตกใจ แล้วใช้เคียวนั้นตัดหนังวัวที่รัดขานางอยู่ด้วยตนเองภายในสองสามกรีด สีหน้าของนางแปรเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งชั่วร้าย นางวาดเคียวไปจ่อที่คอของฉินมู่พลางหัวร่อเสียงเย็นเยือก “เจ้าเด็กชั่วร้ายอุบาทว์ เพราะเจ้า ข้าถึงถูกสาปให้เป็นวัว กว่าสิบเอ็ดปีนี้ข้าได้แต่เคี้ยวเอื้องกินหญ้าเพื่อผลิตนมให้เจ้ากิน! ข้าเพิ่งให้กำเนิดลูกน้อยที่น่าสงสาร นังแม่มดสารเลวนั่นก็มาสาปข้าให้เป็นวัวมาป้อนนมเจ้า! และบัดนี้ข้าเป็นอิสระแล้ว! ข้าจะฆ่าเจ้าซะแล้วค่อยตามไปสังหารคนชั่วช้าในหมู่บ้านนี้ให้หมด!”

ฉินมู่ตกตะลึงและจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าหญิงนางนี้พูดถึงอะไรกันแน่

ในชั่ววินาทีที่หญิงบ้าจะเฉือนคอฉินมู่ให้ตายตก นางก็รู้สึกเย็นวูบที่กลางหลัง ครั้นก้มหน้าลงดูก็แลเห็นปลายคมมีดทะลุโผล่มาจากอกของนาง

“มู่เอ๋อ ปู่นักปรุงยาของเจ้าเรียกให้รีบกลับบ้านไปดื่มยา” ศพของหญิงผู้นั้นล้มลงไปกองกับพื้น เบื้องหลังนาง เจ้าของรอยยิ้มแช่มชื่นและมือมีดที่เลือดยังไหลหยดติ๋งๆ คือท่านปู่เป๋จากหมู่บ้าน

“ท่านปู่เป๋!” ฉินมู่ยืนตัวชาและมองทื่อไปยังหนังวัวและซากร่างของสตรีบนพื้น

“ไป กลับบ้าน กลับบ้าน…” ปู่เป๋ตบบ่าเด็กชายพร้อมหัวเราะในคอ

ระหว่างที่ฉินมู่ย่างเท้าเดินกลับหมู่บ้านแบบใจไม่อยู่กับตัว เขาก็เหลียวไปเห็นปู่เป๋โยนศพทิ้งลงแม่น้ำอย่างไม่ยี่หระ

ภาพที่เห็นเขย่าขวัญเขาจนไม่รู้ว่าตนเองกลับมาถึงหมู่บ้านตั้งแต่เมื่อไหร่

“ฉินมู่! เจ้าเด็กที่น่าตาย ข้าบอกเจ้าแล้วไง ว่าอย่าออกไปข้างนอกยามฟ้ามืด!”

เมื่อราตรีมาเยือน รูปสลักหินทั้งสี่มุมหมู่บ้านก็เริ่มส่องแสงอีกครั้ง ท่านยายซีคว้าคอฉินมู่ซึ่งเตรียมจะลอบออกไปสำรวจหนังวัวดูอีกครั้ง แล้วลากกลับเข้ามาในหมู่บ้าน

“ท่านยาย ทำไมเราถึงออกไปไม่ได้ตอนที่ฟ้ามืดล่ะ” ฉินมู่เงยหน้าถาม

“เมื่อท้องฟ้ามืดดำ สิ่งร้ายน่าสยองก็ออกมาแหวกว่ายในความมืด ถ้าเจ้าออกไปข้างนอก ก็มีแต่ตายสถานเดียว” ท่านยายซีกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่ง “รูปสลักหินในหมู่บ้านปกป้องพิทักษ์พวกเรา ทำให้สิ่งร้ายในความมืดไม่กล้าเข้ามาในหมู่บ้าน”

“งั้นหมู่บ้านอื่นๆ ก็มีรูปสลักหินเช่นนี้เหมือนกันใช่ไหมท่านยาย?” ฉินมู่ถามด้วยความพิศวง

ท่านยายซีพยักหน้า แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังแลออกไปนอกหมู่บ้านด้วยสีหน้ากังวล พึมพำกับตนเอง “เฒ่าเป๋น่าจะกลับมาได้แล้ว…ไม่น่าใช้ให้มันออกไปเลย หมอนั่นเหลือขาแค่ข้างเดียว…”

“ท่านยาย วันนี้ข้าเจอเรื่องแปลกๆ”

ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะบอกเล่าท่านยายซีเรื่องผู้หญิงที่โผล่มาจากข้างในแม่วัว ท่านยายซีฟังแล้วก็ตอบอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าหมายถึงหญิงคนนั้นน่ะหรือ เฒ่าเป๋บอกข้าแล้ว แถมจัดการเรียบร้อยดี ตอนเจ้าสี่ขวบหย่านมได้ ข้าก็บอกแล้วว่าขายวัวไปซะ แต่เจ้าก็ไม่ยอม เลยให้เจ้าเลี้ยงมันต่อ ทีนี้ดูสิ เป็นอย่างไร เป็นเรื่องจนได้ ข้าก็บอกแล้วว่าถ้าปล่อยให้เจ้ากินนมวัวจนถึงสี่ขวบเจ้าต้องรักใคร่ผูกพันแม่วัวแน่ๆ”

ฉินมู่อายจนหน้าแดง หย่านมตอนสี่ขวบถือว่าช้าไปนี๊ดดดนึงจริงๆ ก็เถอะ แต่นั่นใช่ประเด็นไหมท่านยาย

“ท่านยาย ผู้หญิงคนนั้นโดนท่านปู่เป๋ฆ่าไปแล้ว”

“ฆ่าได้ดี”

ท่านยายซีกล่าวแย้มยิ้ม “นับว่ายังปรานีไปด้วยซ้ำ นางควรจะตายไปตั้งแต่เมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้ว หากมิใช่เพราะต้องการนมเลี้ยงดูเจ้า นางจะมีชีวิตยืนยาวจนป่านนี้หรือ”

ฉินมู่ดูงุนงงกับคำพูดดังกล่าว

ท่านยายซีปรายตามองฉินมู่แล้วอธิบายเพิ่ม “หญิงนางนั้นเป็นภริยาของเจ้าเมืองเขตมังกร เมืองที่ห่างจากที่นี่ไปกว่าพันลี้ ตัวผัวนางนี่เจ้าชู้ตัณหากลับส่วนตัวเมียนี่ก็ขี้หึงริษยา เจ้าเมืองเขตมังกรชอบมั่วชู้สู่หญิง พรากลูกสาวคนดีๆ เขาไปทั่ว แต่เมื่อใดที่เจ้าเมืองพร่าพรหมจรรย์หญิง ภริยาเจ้าเมืองก็จะส่งคนไปสังหารหญิงสาวเหล่านี้ให้ตายตกอย่างทรมาน ข้าลอบเข้าเมืองเขตมังกรหมายขจัดนางหญิงที่ต่ำช้านี้ แต่บังเอิญไปเห็นว่านางเพิ่งคลอดบุตรและนมกำลังเต่งเต้า เมื่อคิดถึงเจ้าที่กำลังต้องการนมมาเลี้ยงดู ข้าจึงเปลี่ยนร่างนางให้กลายเป็นแม่วัวซะ แล้วลากนางกลับมาเลี้ยงนมเจ้า ไม่คิดเลยว่านางหญิงผู้นี้จะหลุดจากผนึก มาพูดภาษาคนได้ แถมยังเกือบจะทำร้ายเจ้าเข้าเสียแล้ว”

ฉินมู่เบิกตาจ้องอย่างตกตะลึง ถามเสียงอ่อย “ท่านยายซี ผู้คนตัวเป็นๆ กลายเป็นวัวได้อย่างไร”

ท่านยายซีหัวเราะเหอะๆ เผยให้เห็นฟันที่หักเกไปกว่าครึ่งปาก “เจ้าอยากเรียนวิธีทำไหมล่ะ ลัทธิของข้า…อ้าว เฒ่าเป๋กลับมาแล้ว!”

ฉินมู่หันไปมองตาม เห็นชายขาเดียวเดินมาด้วยไม้ค้ำยัน บนหลังมีเหยื่อที่เขาล่ามาได้ เดินกะเผลกๆ จากคลื่นความมืดที่แผ่สยายไล่หลังเขาเข้ามาติดๆ ท่านยายซีตะโกนเร่งเร้า “เฒ่าเป๋ที่น่าตาย รีบมาเร็วเข้า!”

“มีอะไรต้องรีบล่ะยัยแก่”

เฒ่าเป๋ก้าวด้วยจังหวะปกติธรรมดาเข้ามาในหมู่บ้าน ความมืดอันเข้มข้นก็กลืนเข้ามาถึงเขตแดนพอดี เหยื่อที่เขาแบกมานั้นเป็นเสือร้ายตัวเป็นๆ หางของมันโดนความมืดกวาดกลืน เสือร้ายพลันร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ฉินมู่จ้องมองโดยไวเห็นหางเสือขาดหายไปทั้งเส้นเหลือแต่กระดูก ทั้งเลือดเนื้อขนหนังล้วนแต่อันตรธานไปราวกับว่าถูกอะไรกัดทึ้ง

สายตาของเขาเลื่อนไปจ้องความมืดอันคลี่คลุมอยู่ภายนอก ความมืดนั้นดำดิบยิ่งกว่าน้ำหมึก ไม่เผยให้เห็นสิ่งใด

“อะไรอยู่ในความมืดกันแน่นะ” เขาได้แต่สงสัยอยู่ในใจ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version