Skip to content

Tales of Herding Gods 113

ตอนที่ 113 หมอเทวะมือศักดิ์สิทธิ์

จากประสบการณ์ของฝูชิงอวิ๋น ปกติแล้วการทลายกําแพงสมบัติเทวะจําเป็นต้องใช้ความพยายามมากกว่าหนึ่งครั้ง บางคนถึงกับต้องพยายามทลายกําแพงหลายพันครั้งถึงจะสามารถทลาย กําแพงได้สําเร็จ

การคํานวณตําแหน่งดาวนั้นเรื่องหนึ่ง แต่การทลายกําแพงก็เป็นอีกเรื่อง

ทลายกําแพงห้าธาตุ จําต้องใช้ความพยายามในการกระแทกกระทั้นกําแพงซํ้าแล้วซํ้าอีกด้วยปราณชีวิต เพื่อสร้างรอยแตกเล็กๆ บนกําแพง และขยายรอยแตกนั้นไปทีละนิดจนกระทั่งสามารถทลายกําแพงได้โดยสมบูรณ์ เมื่อนั้นจึงจะนับว่าทลายกําแพงสําเร็จและกําแพงดังกล่าวก็จะไม่สมานตัวกลับมาขวางกั้น อีกต่อไป

ฉินมู่ทลายกําแพงสําเร็จทันทันใด หลังจากที่นางเพิ่งคุยกับเขาเสร็จและออกจากห้องไป นี่นับว่าเป็นพรสวรรค์ที่หาได้ยากยิ่งกว่ายาก

“ยกเว้นแต่…”

ฝูชิงอวิ๋นใจเต้น เว้นก็แต่ปราณชีวิตของฉินมู่นั้นกล้าแข็งเหนือมนุษย์มนา ด้วยวิธีนี้เขาจึงสามารถทลายกําแพงสําเร็จได้ในครั้งเดียว

“นายน้อย พวกเราลองเทียบวัดปราณชีวิตของตนด้วยการทาบฝ่ามือดูหน่อย”

ฝูชิงอวิ๋นเห็นความฉงนใจของเขาและรีบยิ้มกล่าว “ข้าจะผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ ของข้าไว้ เหลือเพียงทารกวิญญาณและห้าธาตุ ข้าเพียงแต่จะหยั่งดูว่าพลังวัตรของนายน้อยนั้นลึกลํ้าเพียงใด”

ฉินมู่พยักหน้า ฝ่ามือของทั้งสองคนแตะสัมผัสกันและปราณ ชีวิตของแต่ละฝ่ายก็แผ่พุ่งออกมา ฝูชิงอวิ๋นครางเสียงหนัก พร้อมกับเสียงลมหวีดหวือผ่านใบหูนาง โลกรอบตัวนางพุ่งผ่านไปอย่างเร็วจี๋เมื่อนางปลิวกระเด็นถอยหลังไปอย่างรุนแรงทะลุทะลวงเรือนสามสี่หลัง แรงปะทะจึงค่อยซาลงและส่งให้ร่างนางไปแปะติดกับกําแพง

นางแกะตัวเองออกจากกําแพง เนื้อตัวเต็มไปด้วยฝุ่นดินและเงยหน้าขึ้นมอง นางพบว่าตอนนี้นางกระเด็นมาไกลกว่า 60 วา ระหว่างนางกับเขามีตึกสามสี่หลังและผนังของตึกเหล่านั้นมีรูทะลุ เป็นรูปคน มองผ่านรูเหล่านั้นนางเห็นฉินมู่ และอดตัวสั่นสะท้านด้วยความกลัวมิได้

ที่นางใช้นั้นเป็นพละกําลังจากขั้นห้าธาตุ และเพียงแค่แตะสัมผัสกับปราณชีวิตของฉินมู่ นางไม่คาดคิดว่าความห่างชั้นระหว่างเขากับนางจะถ่างไกลขนาดนี้ ทําให้นางรู้สึกหดหู่ใจอย่างช่วยไม่ได้

ทลายความมั่นใจของนาง ทลายอย่างย่อยยับ!

แต่ไม่นาน นางก็ฟื้นฟูจิตใจกลับมาได้และครุ่นคิดในใจ “เขาเป็นจ้าวลัทธิน้อยของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา ย่อมต้องมีพลังวัตรที่กล้าแข็งปานนี้อยู่แล้วล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นจากการต่อสู้ประลองที่หมู่บ้านพิการชรา เขาก็ได้ยัดเยียดความพ่ายแพ้ย่อยยับให้ข้ามาแล้วนี่”

ฉินมู่รีบรุดเข้ามาหานาง ฝูชิงอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร พลังวัตรของนายน้อยแข็งแกร่งอย่างที่คิด ปรมาจารย์และฮูหยินลัทธิตัดสินใจไม่ผิด ตอนนี้เหลือเวลาอีกวันครึ่งก่อนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะเปิดการสอบ นายน้อยควรเร่งรีบปรับรากฐานขั้นวรยุทธ์ให้เสถียร”

ฉินมู่เข้าใจคําแนะนําของนาง ด้วยความสําเร็จในการทลายกําแพงและเปิดสมบัติเทวะอันใหม่ขึ้นมา ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้นในร่างกายของเขา และเขายังคงมิได้ตรวจสอบดูให้ถี่ถ้วน

ฝูชิงอวิ๋นมองไปรอบๆ และหัวเราะขื่นกับตนเอง ตั้งแต่เมื่อฉินมู่มาเยือน หอฟังเสียงฝนก็ประสบเภทภัยไม่หยุดหย่อน ถ้าไม่เป็นศาลากลางนํ้าพังกระเจิดกระเจิง ก็มีตึกโดนเจาะทะลุเป็นรู

“ถึงอย่างไรเขาก็เป็นจ้าวลัทธิน้อย พังถล่มทุกสถานที่ที่เขาไป เคราะห์ดีที่อีกสองวันเขาก็จะไปพังถล่มมหาวิทยาลัยจักรวรรดิแล้ว ฮี่ๆ ปรมาจารย์คงจะต้องปวดหัวแทนและข้าก็จะโล่งตัวในที่สุด…”

ฉินมู่ไม่รู้ว่านางคิดหมายมาดส่งเขาไปถล่มสิ่งก่อสร้างของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาเดินกลับไปยังห้องของตน เด็กหนุ่มนั่งลงอย่างเงียบเงียบและส่งสํานึกรู้ของตนเข้าไปในสมบัติเทวะห้าธาตุ

ในสมบัติเทวะนี้มีนภาประดับดาว และมีดวงดาวห้าดวงส่องแสงจํารัส นอกจากนั้นก็มีแต่ความมืดมิด

สมบัติเทวะห้าธาตุนี่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากสมบัติเทวะทารกวิญญาณ

ฉินมู่ตกตะลึง ไม่มีวิธีการฝึกปรือสําหรับสมบัติเทวะห้าธาตุในวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะ นี่ทําให้เขาปวดเศียรเวียนเกล้า

เขาได้เห็นแผนภาพวิธีฝึกวรยุทธ์ของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะในวังสะกดเภทภัย มันมีเพียงสองภาพแรก และภาพที่สามนั้นไม่ครบสมบูรณ์ ฉินมู่พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะจดจําภาพอันไม่ครบสมบูรณ์นั้น ในภาพที่ขาดแหว่งดังกล่าวมีภาพของดวงดาวทั้งห้าก็จริง แต่นอกจากดวงดาวยังมีห้าเทพยดา และเทพแต่ละองค์ก็ต่างมีรูปลักษณ์กับเส้นทางการโคจรปราณที่แตกต่างกันไป

แต่ทว่า มากกว่าครึ่งของภาพนั้นขาดแหว่งเสียหาย และเส้นทางโคจรปราณที่ชัดเจนก็ลบเลือนไปกับกาลเวลา

ฉินมู่ตั้งสติกลับมา และให้สํานึกรู้ของเขาล่องลอยไปในนภาประดับดาวอันสูงลิบลิ่วและเย็นเยือก สํานึกรู้ของเขาพยายามจะลอยล่องขึ้นไปยังดาวดวงใดดวงหนึ่ง

แต่ทว่าเมื่อสํานึกรู้ของเขาลอยขึ้นไป ดวงดาวก็เหมือนลอยเลื่อนหนีขึ้นไปบนท้องฟ้า ระยะห่างระหว่างสํานึกรู้ของเขากับดวงดาวดูจะไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย

ฉินมู่ขมวดคิ้วและหมายที่จะเหาะเหินไปยังดาวดวงอื่น ดาวเหล่านั้นก็ลอยหนีเขาเช่นกันเมื่อเขาพยายามเข้าใกล้พวกมัน

เกิดอะไรขึ้นเนี่ย

ฉินมู่อึ้งไป เขาอยากจะไปดูว่ามีเทพยดาที่ปรากฏในแผนภาพอยู่บนดวงดาวเหล่านั้นไหม แต่ในเมื่อเขาไม่อาจเดินทางไปถึงดวงดาวได้ ก็คงได้แต่รามือ

สํานึกรู้ของเขายังคงอยู่ในสมบัติเทวะห้าธาตุ เขาโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะและพบการเปลี่ยนแปลงประหลาดพิสดารทันที ทันใดนั้นดาวสีส้มพลันสั่นสะท้านและแสงสีแดงเพลิงก็สาด

ส่องทะลวงจากดวงดาวลงมายังสํานึกรู้ของฉินมู่ในวูบเดียว

ฉินมู่พลันรู้สึกว่าสํานึกรู้ของเขานั้นเต็มปริ่มไปด้วยพลังงานอันเร่าร้อนประดุจเพลิงไฟ พลังงานเหล่านั้นเปลี่ยนโครงสร้างสํานึกรู้ของเขา และทําให้สํานึกรู้ของเขาเกิดมีร่างเนื้อขึ้นมา!

ภายใต้เปลวเพลิงที่ลุกกระพือขาของเขาก็งอกเงยออกมาจากสํานึกรู้ ตามมาด้วยแขนและศีรษะ ในระยะเวลาอันสั้น สํานึกรู้ของเขาหลอมรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพลังงานพิสดารนั้นและเขาก็ได้ กลายเป็นสิ่งประหลาดที่มีใบหน้ามนุษย์และร่างของวัว

ฉินมู่อึ้งกิมกี่ เขาก้มหัวลงมองดูและพบว่าร่างกายของเขาเป็นวัวกระทิงสีแดงซึ่งมีหางวัวอันงอกเงยจากบั้นท้ายของเขา ข้างหน้าเขาเปล่าเปลือย และที่ปลายหางมีขนยาวเป็นพู่

ฉินมู่ส่ายหางของตนไปมา หางของเขาเหวี่ยงฟาดไปโดนก้นแน่นปึ้กของตนเอง ทําให้เขารู้สึกแสบเนื้อไม่ใช่เล่น

ขาทั้งสองของเขาก็เป็นขาวัว อันมีน่องแข็งแรงเต็มไปด้วยมัดกล้าม มันหนาราวกับน่องขาช้างสาร แต่ทว่าข้อเท้าของเขานั้นคอดกิ่ว เท้าของเขาก็เป็นกีบวัว

ไม่เพียงเท่านั้น รัศมีแสงอันส่องลงมาจากดวงดาวก็ยังเข้ามารวมตัวก่อรูปและกลายเป็นมังกรสองตัวอันมีเขี้ยวเล็บดูดุร้ายภายใต้เท้าเขา!

เทพแห่งไฟ!

ฉินมู่ใจเต้นขึ้นมา เขาเคยเห็นรูปสลักหน้าตาคล้ายคลึงกันนี้ในวิหารเทวะของเมืองเขตมังกร ผู้คนในแดนโบราณวินาศบูชารูปสลักที่หน้าตาเช่นนี้ในฐานะเทพแห่งไฟ

อย่างไรก็ดี พลังงานที่ส่งมาจากดาวธาตุไฟนั้นไม่ได้เข้มข้นแข็งแกร่ง รูปลักษณ์ของเขาที่ก่อรูปขึ้นมาจากพลังงานจึงเป็นเพียงรูปรอยเบาบาง

หรือว่านี่จะเป็นสมบัติเทวะธาตุไฟในสมบัติเทวะห้าธาตุของข้า ถ้าอย่างนั้นแล้วธาตุอื่นๆ ล่ะ…

ขณะที่ฉินมู่คิดอยู่นั่นเอง ดวงดาวสีฟ้าอีกดวงบนท้องฟ้าก็พลันสั่นสะเทือนแสงสีนํ้าอะความารีนพลันพุ่งแผ่มาจากดวงดาว และฉายลงยัง ‘ร่าง’ ของเขาในวูบนั้น!

และในเวลาเดียวกันดวงดาวสีสันแตกต่างกันที่เหลืออีกสาม ดวงก็สั่นสะท้านพร้อมๆ กันแต่ละดวงมีส่งเส้นแสงฉายโชนลงมาใส่ร่างเขาติดๆ กัน

ฉินมู่ครางหนักๆ และร่างเทพไฟของเขาก็เริ่มแตกทําลาย กลับกันรูปลักษณ์อื่นพลันก่อขึ้นมา แต่ในเมื่อธาตุของพลังงานที่ส่งมาจากดาวแต่ละดวงนั้นแตกต่างกันและไม่เพียงแค่ไม่เหมือนกัน มันยังข่มและคัดง้างซึ่งกันและกันอีกด้วย พวกมันปะทะต่อตีกันไปมาในสํานึกรู้ของเขาและทําลายล้างซึ่งกันและกันในการปะทะกันนี้!

ตูม!

เสียงระเบิดดังเลื่อนลั่นมา และสํานึกรู้ของฉินมู่ที่เข้าไปในสมบัติเทวะห้าธาตุก็ถูกทําลายล้างในการระเบิดนั้น ฉินมู่ตาเหลือกวูบแล้วล้มสลบลงไป

เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่ากําลังนอนอยู่บนเตียง และฮู่หลิงเอ๋อกําลังแปะผ้าชุบนํ้าอุ่นหมาดๆ ไว้ที่หน้าผากของเขา และพร้อมๆ กันนั้นเขาก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง ราวกับว่าหัวของเขาคือแตงโมที่ร่วงลงบนพื้นแตกโพละเป็นหลายเสี่ยง

ที่หน้าเตียง หญิงสาวจํานวนหนึ่งยืนอยู่ที่นั่นพลางนิ่วหน้าด้วย ความกังวล

“นายน้อยดูเหมือนจะประสบภาวะธาตุไฟแตกซ่าน โชคดีที่หลิงเอ๋อไปเจอแต่เนิ่นๆ และรีบเรียกพวกเรามา”

ฝูชิงอวิ๋นมีสีหน้าวิตกและกล่าว “นายน้อย ข้าได้เรียกคนมาปรุงกลั่นยาให้แล้ว คงจะเสร็จในไม่ช้า แต่ทว่ามหาวิทยาลัยจะเปิดใน 2 วันนี้และข้าเกรงว่านายน้อยน่าจะไปไม่ทัน ธาตุไฟแตกซ่านจําเป็นต้องใช้เวลามากกว่า 10 วันในการเยียวยา…”

ที่นอกประตู เด็กสาวสองคนกําลังเคี่ยวยา และกลิ่นหอมของตัวยาลอยเข้ามาในห้อง ฉินมู่พยายามยันกายลุกขึ้นนั่งและสูดจมูกฟุดฟิดดมกลิ่นยาก่อนที่จะกล่าว “สํานึกรู้และจิตวิญญาณของข้าบาดเจ็บเสียหาย ยาที่พวกเจ้าตระเตรียมนั้นนับว่าจัดไว้ได้ถูกโรค แต่ทว่ามันขาดสมุนไพรนักบวชนํ้าลึก รีบเตรียมใบนักบวชนํ้าลึกมา 2 ตําลึง…พยุงข้าไป เดี๋ยวข้าหลอมปรุงยาเอง”

ฝู่ชิงอวิ๋นตระหนกใจ จ้าวลัทธิน้อยรู้วิชาปรุงยาด้วยหรือนี่

นางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แล้วสั่งให้พวกสาวๆ ไปจัดเตรียมสมุนไพรที่ว่ามา นางช่วยพยุงร่างฉินมู่และพบว่าสํานึกรู้ของฉินมู่นั้นบอบบางอย่างยิ่ง ทําให้เขายากจะขยับตัวเคลื่อนไหว ดังนั้นนาง

จึงให้คนไปยกหม้อหลอมยาและเตาไฟหลอมยาเข้ามาในห้อง

ฉินมู่กัดฟันทนความปวดศีรษะของตนและโคจรปราณชีวิต

เพื่อยกหม้อหลอมยาขึ้น เขาเขย่ามันเบาๆ และหม้อยานั้นก็ร่วงลงพื้น ทว่าตัวยาและนํ้าในหม้อกลับลอยอยู่กลางอากาศด้วยปราณชีวิตของเขา เด็กสาวที่ไปหาใบนักบวชนํ้าลึกมาโยนสมุนไพรตัวนี้เข้าไปในนั้นอย่างไม่ลังเล

ท่วงท่ามือของฉินมู่แปรเปลี่ยนไปมาไร้กฎเกณฑ์ และไม่นานนักเขาก็ผสมผสานฤทธิ์พลังยาทั้งหมดเข้าด้วยกัน เขาทําท่าดึงเบาๆ เศษสมุนไพรก็ร่วงลงมาจากก้อนนํ้ากลางอากาศก้อนนํ้านั้น พลันระเหยอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเหลือยาเซียนเป็นเม็ดๆ สีแดงสามสี่เม็ด

ฉินมู่กินยาเซียนสีแดงนั่นเข้าไป และรีดเร้นฤทธิ์พลังยาในนั้น อาการปวดหัวของเขาค่อยทุเลาลงไปเรื่อยๆ แต่ทว่าเขาก็ยังคงมีอาการปวดหัวจี๊ดเป็นระยะ “พรุ่งนี้เช้าข้าจะต้องหลอมปรุงยาอีกขนานแล้วจึงจะหายเป็นปลิดทิ้ง”

พวกสาวๆ ในห้องฟังแล้วก็ทึ่งสุดๆ วิธีการหลอมปรุงยาของฉินมู่นั้นดูบริสุทธิ์เรียบง่าย ทว่าการเปลี่ยนแปรภายในนั้นมหัศจรรย์ละลานตา

บาดเจ็บจากธาตุไฟแตกซ่านนั้นมิใช่เรื่องเล็กๆ ยานี่มีผลดีขนาดนั้นเชียวหรือ ถึงกับจะช่วยให้เขาฟื้นฟูคืนมาภายในครึ่งวัน?

“หากว่าวิชาฝึกปรือของข้ายังไม่พัฒนาไปอีกขั้น ข้าก็คงยังไม่สามารถฝึกปรือสมบัติเทวะห้าธาตุและมิอาจใช้พลังในนั้นรวมเป็นพลังวัตรของข้าได้”

ฉินมู่ฟื้นเรี่ยวแรงขึ้นมาและยืนขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ารีบร้อนไปหน่อย จึงทําให้พี่สาวทั้งหลายต้องเป็นห่วง”

“นี่นายน้อยมีทักษะยอดเยี่ยมด้านการฟื้นฟู ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้ด้านนรีเวชหรือไม่?” เด็กสาวผู้หนึ่งโพล่งถาม

ฉินมู่กล่าว “ตราบใดที่เกี่ยวกับวิชาแพทย์ ข้ารู้ตั้งแต่สากกระเบือยันเรือรบ”

เด็กสาวผู้นั้นมีสีหน้าแดงขวยเขิน “ข้าปวดมดลูกเล็กน้อย ข้าไม่รู้ว่านายน้อยจะ…”

ฉินมู่ตรวจชีพจรข้อมือนางจากนั้นเผยยิ้ม “เรื่องเล็ก ปราณภายในของเจ้าไม่ได้รับการดูแลและทําให้เจ้ามีมดลูกที่ค่อนข้างเย็น ข้าจะเขียนใบสั่งยาให้”

เด็กสาวอีกคนรีบก้าวเข้ามาส่งพู่กันและหมึกให้กับเขา ฉินมู่รับพู่กันมาและเขียนใบสั่งยา “ยาตัวนี้เรียกว่ายาเซียนอุ่นมดลูกเมื่อเจ้ากินเข้าไป มันจะช่วยหล่อเลี้ยงปราณภายในและทําลายรากเหง้าของความเจ็บป่วย”

สายตาของเด็กสาวคนอื่นๆ ในห้องพลันลุกวาว สาวกู่ขิมซึ่งใบหน้าแดงฉานจากความเอียงอายกล่าวถามด้วยเสียงแผ่วเบา “นายน้อย ข้าก็มีปัญหานิดหน่อย…”

“นายน้อย ดูให้ข้าด้วยสิ!”

“นายน้อย รอบเดือนของข้ามาไม่ปกติ…”

ฝูชิงอวิ๋นรู้สึกหัวสมองโป่งพอง นางตะโกนลั่น “นายน้อยเพิ่งเจ็บป่วยจากธาตุไฟแตกซ่านและยังไม่หายดี พวกหล่อนหยุดเซ้าซี้นั่นนี่ได้แล้ว และปล่อยให้นายน้อยได้พักผ่อนเงียบๆ!”

ฉินมู่ยิ้มแย้ม “นี่ไม่รบกวนข้าเลยสักนิด ในเมื่อข้าไม่สามารถฝึกวรยุทธ์ได้หลังจากเจ็บป่วยจากธาตุไฟแตกซ่าน ก็พอดีแหละข้าจะได้ช่วยพวกพี่สาวเยียวยาร่างกายระหว่างที่ข้าพักและไม่มีอะไรทํา มันไม่ได้ใช้พลังงานมากมายอะไร ยิ่งไปกว่านั้นข้ากินอยู่ในสถานที่ของพี่สาวอวิ๋นเอ๋อ ข้าจะไม่ตอบแทนความมีนํ้าใจที่พวกเจ้าดูแลข้าได้อย่างไร”

เมื่อฟังดังนั้น พวกสาวๆ ก็ตื่นเต้นยินดีและรีบเข้าแถวต่อกัน ฉินมู่ตรวจอาการความเจ็บไข้ของพวกนางและเขียนใบสั่งยาให้ทีละคน สาวปี่แป้เห็นว่าฝูชิงอวิ๋นยังคงอยู่ในห้องจึงแย้มยิ้มแล้วเอ่ย ถาม “พี่ ทําไมยังอยู่ที่นี่ล่ะ”

ฝูชิงอวิ๋นแค่นเสียงไม่ตอบ สักพักนางจึงเข้ามาบ้างและยื่นข้อมือออกไปพลางเม้มริมฝีปาก กล่าวด้วยเสียงเบา “นายน้อยวรยุทธ์ของข้าถึงแม้จะสูงแต่ร่างกายของข้าก็มีปัญหา สามสี่เดือนที่ผ่านมา ข้าเจ็บไข้จากมังกรแดงไม่สมดุล บางครั้งมันก็มา บางครั้งมันก็ไม่มา…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version