Skip to content

Tales of Herding Gods 114

ตอนที่ 114 ตายคาที่

ฉินมู่ตรวจชีพจรนาง จากนั้นกล่าว “เมื่อสี่เดือนก่อน ตอนที่พี่สาวฝึกวรยุทธ์ จู่ๆ ก็เกิดจุกเสียดสีข้างขึ้นมาใช่หรือไม่ ปัญหามันเริ่มขึ้นตั้งแต่ตอนนั้นแหละ”

ฝูชิงอวิ๋นผงกหัวรัวๆ เหมือนไก่จิกข้าวเปลือก “ข้าจุกเสียดสีข้างหนึ่งครั้งจริงๆ ข้าคิดว่ามันเป็นปัญหาเล็กน้อย จึงไม่ได้ใส่ใจอะไร”

เวลาคํ่าคืนมาถึงโดยไม่รู้ตัว และโคมไฟตกแต่งถูกจุดยกแขวนไว้ตามหัวมุมต่างๆ ของเมืองหลวง ทําให้ที่นี่กระจ่างจ้าดุจกลางวัน ตรอกดอกไม้และถนนต้นหลิวเป็นสถานที่ที่บรรดาบัณฑิตมีชื่อเสียงของเมืองหลวงแวะเวียนอยู่บ่อยๆ ทั้งยังมีขุนนางชั้นสูงและผู้ลากมากดีที่มาเยี่ยมเยือนที่นี่ในยามราตรี ตรอกดอกไม้มิใช่สถานที่ที่ขายเรือนร่างเพียงอย่างเดียว ยิ่งดึกดื่นมากเท่าไร พวกนางก็จะยิ่งไม่ขายเรือนร่างแต่กลับขายศิลปะ

โฉมสะคราญแห่งตรอกดอกไม้รู้ศิลปะทั้งสี่ สามารถร้องเพลง ร่ายรํา และเอื้อนโคลงกลอน สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่ตรงจริตถูกใจชนชั้นสูงแห่งเมืองหลวง

ทว่าในคํ่าคืนนี้ หอโคมเขียวในตรอกดอกไม้ล้วนว่างเปล่า หญิงสาวจากตึกต่างๆ มาต่อแถวกันยาวเหยียดในตรอกหอโคมเขียวไม่มีผู้ใดคอยบริการแขกเหรื่อ และเมื่อลูกค้าเหล่านี้ซึ่งล้วนแต่เป็นบุคคลสําคัญในเมืองหลวงถามพวกสาวๆ พวกนางก็ตอบว่า

“ในหอฟังเสียงฝนมีหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ที่เชี่ยวชาญด้านนรีเวชมาเยี่ยมเยือนและพี่สาวน้องสาวเราต่อแถวกันเพื่อรอพบหมอเทวดา เลยไม่มีเวลาทํามาหากิน ไม่ทราบว่าคุณชายจะมาใหม่วันพรุ่งนี้ได้หรือไม่”

“หมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ผู้เชี่ยวชาญด้านนรีเวชมาที่ตรอกดอกไม้งั้นหรือ”

ที่นอกตรอก ผู้เฒ่าซึ่งใส่ชุดสามัญชนออกมาจากเกี้ยวหาม จากนั้นกล่าวด้วยความตื่นตะลึง “เข้าไปสอบถามคนหลายๆ คน ดูซิว่าความเชี่ยวชาญวิชาแพทย์ของหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้เป็นเช่นไร”

พักใหญ่ๆ บ่าวรับใช้ก็กลับมารายงาน “นายผู้เฒ่า หญิงสาวในตรอกดอกไม้ล้วนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าฝีมือของเขาวิเศษมาก และวิชาแพทย์ของเขาเรียกได้ว่าปาฏิหาริย์”

ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนพึมพํากับตนเองอย่างลังเล และที่ปรึกษาข้างๆ เขาก็กล่าวด้วยเสียงเบา “นายผู้เฒ่าคงจะกําลังคิดถึงบุคคลผู้นั้นในราชวัง…”

“มีหูตาทั่วไปหมดทุกที่ อย่าพูดอะไรมาก” ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนถอนหายใจแล้วกล่าวต่อ “คนผู้นั้นใน

ราชวังถูกความเจ็บไข้กัดกินมานานโขแล้ว แม้แต่หมอหลวงก็ไม่อาจช่วยอะไรได้ ตรวจหาสาเหตุก็ไม่เจอ อย่าว่าแต่จะรักษา พวกเราเพียงแต่หวังว่าจะหาหมอเทวดาที่สามารถต่อชีวิตให้นางได้ แต่ข้าเกรงว่าเวลากําลังร่อยหรอลงไปทุกที คําพูดนั้นมิใช่หลักฐานชี้ชัด เจ้าเรียกหมอหลวงเสี้ยวมาที่นี่ และให้เขาไปทดสอบหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์แห่งตรอกดอกไม้”

“รับคําสั่ง!”

ไม่นานนัก หมอหลวงเสี้ยวก็มาถึงแล้วโค้งคํานับ “นายผู้เฒ่า ท่านเรียกข้ามาที่นี่มีคําสั่งอันใด”

“ที่นอกตรอกดอกไม้นี้ เจ้าไม่ต้องเคร่งพิธีมาก” ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนอธิบายต่อ “ในตรอกดอกไม้นี้มีหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์มาเยี่ยมเยือน ไม่ทราบว่าข้าจะขอให้ใต้เท้าเสี้ยวไปทดสอบทักษะความสามารถของเขา เพื่อดูว่าเขาจะมีความสามารถเพียงพอที่จะรักษาเยียวยาคนผู้นั้นในราชวังได้หรือไม่”

หมอหลวงเสี้ยวมีเส้นผมหงอกขาวทั้งศีรษะ แต่ขนคิ้วเขาเป็นสีเขียวตลอด และดวงตาก็แดงจํ้า เขายิ้มหยันกล่าว “ตรอกดอกไม้นี่จะมีหมอเทวดาได้อย่างไร นี่เป็นแค่นักต้มตุ๋นก็หมายจะแสวงหาชื่อเสียงด้วยการหลอกลวงเด็กกับผู้หญิง ทําไมพวกเราจะต้องไปพบเขาด้วยล่ะ”

ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนขมวดคิ้ว หมอหลวงเสี้ยนพลันใจตกวูบ เขารีบกล่าวทันที “นายผู้เฒ่า ข้าไม่จําเป็นต้องไปพบเขาหรอกเพียงแค่ดูใบสั่งยาที่เขาเขียนก็พอ”

เมื่อเขากล่าวจบ เขาก็ชิงใบสั่งยาจากมือของหญิงนางหนึ่งในตรอกดอกไม้ผู้ซึ่งเข้าพบหมอเทวดามา เมื่อเขาดูจบ ก็ยิ้มหยันแล้วกล่าว “ดูนี่สินายผู้เฒ่า สมุนไพรที่เขาใช้ล้วนแต่เป็นสมุนไพรราคาถูก คนที่มีฝีมือแค่นี้จะเข้าเฝ้าไปรักษาคนผู้นั้นในวังได้อย่างไร”

ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนตอบอย่างใจเย็นและแช่มช้า “สมุนไพร ไม่ว่าจะถูกหรือแพง ล้วนแต่เท่าเทียมกัน พวกมันล้วนแต่เป็นสิ่งที่ใช้เพื่อช่วยชีวิต หญิงสาวในตรอกดอกไม้มิใช่ชนชั้นสูงและไม่มีเงินทองมากนัก สามารถใช้สมุนไพรราคาถูกมารักษาโรคได้นับว่าเป็นฝีมือที่แท้จริง เจ้าและข้าจะเข้าไปและดูเขาสักหน่อย ให้เจ้าเป็นคนทดสอบเขา”

หมอหลวงได้แต่กัดฟันรับและตามเขาเข้าไปในตรอกดอกไม้ ตรอกดอกไม้นี้ยาวลึกอย่างยิ่ง และข้างในล้วนแต่เป็นสตรีจากหอโคมเขียวต่อแถวกันรอเข้าพบหมอเทวดา ผู้เฒ่าและหมอหลวงเบียดเข้าไปในหอฟังเสียงฝนด้วยความยากลําบาก และเมื่อพวกเขาเข้าไปในหอฟังเสียงฝน พวกเขาก็เห็นหนุ่มน้อยรูปหล่อในชุดปักลายกําลังตรวจรักษาคนไข้อยู่

หมอหลวงเสี้ยวแค่นเสียงหยันอีกครา “เฮอะ ดูเขาสิ เพิ่งจะอายุสิบสี่สิบห้าก็เที่ยวไปหลอกต้มตุ๋นเงินผู้คนไปทั่ว คราวนี้นายผู้เฒ่าจะยอมรามือได้หรือยัง ดูที่คลื่นปราณชีวิตของเขาสิ แม้ว่ามันจะลึกลํ้า แต่มันก็โงนเงนไม่เสถียรเป็นระยะ นี่แปลว่าเขากําลังประสบภาวะธาตุไฟแตกซ่าน สําหรับผู้ที่รักษาตัวเองยังทําไม่ได้ ยังมีนํ้าหน้าออกมาหลอกลวงเงินผู้คน! นายผู้เฒ่า พวกเรากลับกันดีกว่า”

ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนกล่าวอย่างไม่อนาทรร้อนใจ “ข้าบอกให้เจ้าไปทดสอบเขา เจ้าก็ไปสิ”

หมอหลวงเสี้ยวจึงได้แต่ก้าวออกไปข้างหน้า เขาผลักพวกสาวๆ ที่ต่อแถวออกไป แล้วทรุดตัวลงนั่งเบื้องหน้าฉินมู่ เขายื่นข้อมือออกมา แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ตรวจดูซิ ว่าข้ามีความป่วยไข้อะไร”

ฉินมู่สะดุ้งและเงยหน้าขึ้นมองผู้เฒ่าคนนี้ เขาไม่ตรวจชีพจรของอีกฝ่าย แต่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “สุภาพบุรุษชราผู้นี้ ท่านกําลังป่วยหนัก!”

หมอหลวงเสี้ยวแค่นเสียงหยันแล้วลุกขึ้น “เจ้ามันนักต้มตุ๋น! กล้าดีอย่างไร…”

“ท่านเป็นนักปรุงยาใช่หรือไม่?”

ฉินมู่กล่าวต่อ “บนเนื้อตัวท่านที่กลิ่นยาหลายพันชนิด และ ท่านห้อมล้อมตนเองไว้ด้วยยาสมุนไพรมาตลอดหลายปี สูดดมเอาฤทธิ์พลังยา ยิ่งไปกว่านั้นท่านยังจัดยาบํารุงให้ตนเองบ่อยๆ ทั้งยังอาบแช่ในนํ้ายาสมุนไพร ท่านยังคงดื่มกินยาเซียนและยาวิเศษที่ปรุงหลอมขึ้นมาเป็นว่าเล่นแต่ทว่าเพราะท่านขาดความชํานาญในการแพทย์ และไม่สามารถขจัดพิษในยาสมุนไพรออกไปได้ และบัดนี้ในร่างกายท่านสะสมพิษหลายร้อยชนิด คิ้วของท่านเป็นสีเขียว และดวงตาเป็นสีแดง นี่แปลว่าพิษเหล่านั้นซึมเข้าไปใน ผิวหนังฝังลึกในดวงตา ถึงขั้นนี้แล้วใครก็ช่วยท่านไม่ได้ ข้าเองก็จนปัญญากับความเจ็บไข้ของท่าน มีก็แต่ท้าวยมราชที่อาจจะพอช่วยท่านได้ในตอนนี้”

หมอหลวงเสี้ยวโลดเต้นด้วยความเดือดดาล เขาโมโหสุดโต่ง จนฉีกยิ้มแล้วเอ่ยถาม “นักปรุงยากระจ้อย แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน”

ฉินมู่ลังเลก่อนกล่าวตอบ “หากว่าท่านไม่มีโทสะ ท่านก็อาจจะ มีชีวิตอยู่ได้อีกสักพัก แต่ถ้าท่านมีโทสะและไฟโทสะพุ่งเข้าโจมตีหัวใจ ด้วยการผสมผสานกับพิษในตัวยาท่านก็จะเหลือเวลาอีกสิบ

…”

หมอหลวงเสี้ยวโกรธจัดขึ้นทุกที และกล่าวด้วยเสียงเย็นชา “เจ้าว่าข้าจะเหลือเวลามีชีวิตอีกแค่สิบวันอย่างนั้นเรอะ หากข้าไม่ตายในสิบวันล่ะ?”

ฉินมู่ขมวดคิ้วแล้วกล่าวต่อ “เก้า แปด เจ็ด…”

หมอหลวงเสี้ยวไม่อาจควบคุมโทสะได้อีกต่อไปรังสีของเขาพวยพุ่งฟาดทําลายโต๊ะเบื้องหน้าฉินมู่เป็นผุยผง จากนั้นจึงแค่นเสียงกล่าว “เจ้ากําลังว่าข้าจะตายบัดเดี๋ยวนี้เรอะ หากว่าข้าไม่ตาย ข้าจะส่งเจ้าไปตายแทน!”

“สาม สอง หนึ่ง”

เมื่อฉินมู่กล่าวคําว่า ‘หนึ่ง’ นั่นเอง หมอหลวงเสี้ยวก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจราวกับว่าหัวใจของเขาถูกฉีกทึ้งออกเป็นชิ้นๆ พลังวัตรของเขาพลันสูญเสียการควบคุม และผิวหนังตลอดทั่วตัวเขาก็โป่งพองระเบิดปะทุโลหิตกระเด็นกระจัดกระจายราวกับนํ้าตก ทําให้เขากลายเป็นมนุษย์เลือด ร่างของเขาพลันเน่าเปื่อยอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้าก็สลายกลายเป็นนํ้าหนองกองหนึ่ง

“ข้าช่วยท่านไม่ได้จริงๆ”

ฉินมู่ส่ายหัว “ท่านไม่น่ามีโทสะ นี่แหละคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นหากท่านทานยาที่ท่านหลอมปรุงเอง โดยไม่มีความรู้วิชาแพทย์ที่เพียงพอ พี่สาวอวิ๋นเอ๋อ ข้าจําเป็นต้องรายงานการตายนี้ให้ทางการทราบหรือไม่”

ในตรอกดอกไม้พลันปั่นป่วนอลม่าน ผู้เฒ่าในชุดสามัญชนเองก็ตื่นตระหนกเขาพยักหน้าอย่างเงียบงัน จากนั้นหันกายออกไปจากตรอกดอกไม้

วันถัดมา ฉินมู่รักษาความป่วยไข้อันเกิดจากธาตุไฟแตกซ่านของตนได้สําเร็จ รวมทั้งขจัดอันตรายซ่อนเร้นในร่างกาย ตอนนั้นเขาถึงเปิดรับรักษาคนไข้อีกครั้ง และไม่นานแถวยาวเหยียดก็ปรากฏขึ้นมาในตรอกดอกไม้ ฝูชิงอวิ๋นแอบรู้สึกกังวล แทนที่จะเป็นหอนางโลม สถานที่ของนางกลับกลายเป็นร้านยาไปเสียแล้ว

เมื่อยามบ่ายมาถึง ฝูชิงอวิ๋นรีบกล่าวทันที “นายน้อย พรุ่งนี้เป็นวันสอบใหญ่ของจักรวรรดิ ท่านเลิกตรวจคนไข้ได้แล้ว ท่านควรเตรียมแรงและพลังเอาไว้ผ่านการสอบวันพรุ่งนี้!”

ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “เจ้าพูดถูก ข้าจะรักษาคนเหล่านี้ หลังจากการสอบใหญ่ของจักรวรรดิล่ะกัน”

ฝูชิงอวิ๋นไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ และกล่าวกับเขาด้วยเสียงเบา “นายน้อย งานของท่านไม่ใช่หมอยานะ!”

ฉินมู่กล่าวตอบ “ข้าไม่ได้แค่รักษาความป่วยไข้ของพวกเขา เฉยๆ หรอก แม้ว่าข้าจะได้รํ่าเรียนมากมายในวิชาการเยียวยา แต่ประสบการณ์ของข้าก็ยังไม่กว้างขวาง การรักษาผู้คนช่วยให้ข้าได้สั่งสมประสบการณ์ ข้าอยู่ในแดนโบราณวินาศมามากกว่าสิบปี ท่านปู่นักปรุงยาสอนทฤษฎีความรู้วิชาแพทย์แก่ข้าจํานวนนับไม่ถ้วนแต่ข้าไม่เคยมีโอกาสได้ใช้มันในทางปฏิบัติ และบัดนี้ เพียงแค่วันกว่าๆ ข้าก็ได้ทดสอบทฤษฎีแพทย์นับหมื่น”

ฝูชิงอวิ๋นเริ่มปวดหัว ไฉนจ้าวลัทธิน้อยแห่งลัทธิมารฟ้าถึงกลายเป็นหมอพเนจรไปได้ เห็นสาวๆ หอโคมเขียวทั้งหมดเป็นคนไข้?

ในที่สุด ก็มาถึงวันสอบครั้งใหญ่ของจักรวรรดิ ฉินมู่ออกจากตรอกดอกไม้แต่เช้าตรู่และถามทางผู้คนเพื่อไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

“มหาวิทยาลัยจักรวรรดิตั้งอยู่บนยอดเขาใจกลางเมือง!”

ฉินมู่มายังประตูมหาวิทยาลัยจักรวรรดิและเงยหน้าขึ้นมอง อุทานด้วยความทึ่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเป็นสถาบันการศึกษาขั้นสูงสุดแห่งจักรวรรดิ และมันโอ่อ่าน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง สถาบันแห่งนี้ถึงกับก่อสร้างไว้บนภูเขาหยก และภูเขานี้คือใจกลางของเทือกเขาเก้ามังกร ตําแหน่งของไข่มุกในปากมังกร

เก้ามังกรคาบมุกเม็ดเดียวกัน ใครก็คงจินตนาการได้ว่ามันยิ่งใหญ่ตระการตามากเพียงไหน

ปราณของเก้ามังกรถูกรวบรวมมาไว้ที่นี่ อันเป็นจุดรวมจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ ปราณมังกรได้แปรเปลี่ยนให้ภูเขาทั้งลูกกลายเป็นหยก

มีวังตําหนักหลายหลังอยู่บนภูเขา ซึ่งหากไม่ปูกระเบื้องแดงก็ปูกระเบื้องเขียว ใกล้ๆ กับวังตําหนักเหล่านั้นมีเรือเหาะหลายลําลอยนิ่งอยู่บนฟ้าและยังไม่ได้ลงจอดกับพื้น

ในช่วงเวลานี้ มีนักเรียนนับหมื่นจากทั่วทุกมุมโลกมารวมตัวกันที่หน้าภูเขา รอที่จะเข้าไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ใต้ภูเขาอันยิ่งใหญ่ มีผู้บันทึกระเบียนของจักรวรรดิกว่าสิบคนคอยบันทึกชื่อแซ่ ที่มา และสถานศึกษาเดิมของเหล่าบัณฑิตที่มาเข้าร่วมการสอบ

ฉินมู่ต่อแถว และเมื่อมาถึงคิวของเขา ดวงตะวันก็โคจรไปกลางฟ้าแล้ว

ฉินมู่นําใบผ่านทางของเขาออกมาแล้วกล่าว “นักเรียนจาก มณฑลหลี่โจว…”

“ไม่ๆ เขาไม่ได้มาจากมณฑลหลี่โจว!” ทันใดนั้นเด็กหนุ่มอ้วนกลมร่างเตี้ยก็เบียดผู้คนเข้ามาหาฉินมู่

พลางยิ้ม “เขาเหมือนกับข้า พวกเรามาจากสุสานแม่นํ้า ใต้เท้าบันทึกระเบียน เขียนลงไปเลยว่าสุสานแม่นํ้า!”

ผู้บันทึกระเบียนเงยหน้าขึ้นและแค่นเสียง “ข้าเขียนตามที่ใบผ่านทางระบุเอาไว้ เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนข้อมูลถิ่นฐานได้ไม่ว่าจะอย่างไร”

เด็กหนุ่มผู้นั้นคือเว่ยหยงและเมื่อเขาเห็นฉินมู่ลงทะเบียนชื่อแซ่ และถิ่นฐาน เขาก็รู้สึกไม่สบใจ “นี่แย่จริงๆ พวกเราเดินทางมาบนเรือลําเดียวกัน หากว่าพี่ก็มีถิ่นฐานจากสุสานแม่นํ้า ก็จะทําให้พี่เข้าไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้ง่ายขึ้น”

ฉินมู่ฉงน “ทําไมอย่างนั้นล่ะ”

เว่ยหยงเหลียวมองรอบๆ ก่อนกระซิบกระซาบ “พี่ไม่ได้ยินข่าวหรือ นักเรียนจากสุสานแม่นํ้าตายเกือบหมดระหว่างการเดิน ทางเข้าเมืองหลวง นอกจากเรือของเราที่ถูกสํานักขี่มังกรโจมตี คนอื่นๆ ที่เดินทางทั้งบกและอากาศก็ล้วนแต่ถูกจู่โจม ผู้ที่เหลือรอดมาถึงเมืองหลวงได้มีแค่หยิบมือ กล่าวกันว่าสํานักกบฏ เหล่านั้นวางแผนให้ราชครูเสียหน้าอย่างรุนแรง เพราะว่าถึงยังไงราชครูก็มีที่มาจากสุสานแม่นํ้า…”

“เจ้ามาจากโรงเรียนไหน ระดับวรยุทธ์ของเจ้าอยู่ขั้นใด”

ฉินมู่ตอบ “ข้าเรียนกับที่บ้านดังนั้นจึงไม่มีโรงเรียน ข้าเพิ่งบรรลุขั้นห้าธาตุเมื่อสองวันก่อน”

ผู้บันทึกระเบียนส่ายหน้า “เพิ่งบรรลุขั้นห้าธาตุ แต่เจ้าก็ยังกล้ามาสอบเนี่ยนะ…”

หลังจากฉินมู่และเว่ยหยงลงทะเบียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็เดินผ่านประตูภูเขา มีนักเรียนมากมายยืนออแน่นขนัดที่นี่ระหว่างที่รอ

เมื่อนักเรียนทุกคนลงทะเบียนในระเบียนเรียบร้อยแล้วพวกเขาก็ได้ยินนักพรตเต๋าป่าวประกาศด้วยเสียงอันดัง “ผู้ฝึกวิชาเทวะทุกคนขึ้นภูเขาได้ ที่เหลือรออยู่ข้างล่างก่อน”

ไม่นานนัก ที่ตีนเขาก็เหลือแต่ผู้ฝึกยุทธขั้นทารกวิญญาณและขั้นห้าธาตุ สิริรวมแล้วประมาณสองพันคน

นักพรตเต๋าวัยกลางคนพาผู้คนเหล่านี้เข้าไปในภูเขา และเดินไปได้ไม่ไกลนัก พวกเขาก็เห็นหน้าผาสูงชันอันสูงราวๆ ห้าสิบหกสิบวา

หน้าผานี้ไม่มีบันไดให้ไต่ขึ้นไป ทั้งยังไม่มีเชือกให้โหนขึ้น พวกเขาทําได้แต่เหาะขึ้นหรือไม่ก็วิ่งขึ้นไป และหากว่าใครกระโดดได้สูงหกสิบวา พวกเขาก็สามารถกระโดดขึ้นไปได้

“หากว่าพวกเจ้าขึ้นไปไม่ได้ ก็กลับบ้านไปซะ” นักพรตวัยกลางคนยืนอยู่ข้างๆ หน้าผาชันนั้นและบอกนักเรียนจากทั่วทุกมุม โลกด้วยสีหน้าเย็นชา

“ง่ายๆ ไม่ใช่หรือ”

นักเรียนผู้หนึ่งถอยหลังไปสามสี่ก้าว จากนั้นกระแทกพลังลงไปในสองขาของเขาวิ่งตะบึงไปยังหน้าผา หมายจะวิ่งตั้งฉากขึ้นไปบนยอดผานั้นแต่ว่าในทันที่ที่ฝ่าเท้าของเขาแตะกับผนังผา เขาก็ลื่นพรืดล้มกระแทกเข้าใส่ผนังหยกด้วยเสียงแผละ เลือดของเขาสาดพุ่งจากศีรษะ

ทั้งกําแพงนั้นเป็นหยกพิสุทธิ์ไร้ราคี เลือดของเขาที่กระเด็นใส่ผนังผาถึงกลับไหลลงไปเองไม่ทิ้งร่องรอยเปื้อนใดๆ เอาไว้เลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version