Skip to content

Tales of Herding Gods 119

ตอนที่ 119 ตัดหัวเจ้า

ทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิพลันตกลงในความเงียบ ไม่มีเสียงใดเปล่งออกมา

เห็นได้ชัดว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงโพล่งความในใจส่วนตัวของตน ใช้โอกาสนี้ในการข่มขวัญเหล่าขุนนาง และยังใช้เพื่อหลอมรวมจิตใจของผู้ปกครองและขุนนางเข้าด้วยกันให้สามารถทํางานบรรลุเป้าหมายกันเป็นหนึ่งเดียว

สักพักหนึ่ง จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงจึงเผยรอยยิ้ม แล้วนั่งลง กลับคืนที่อาสนะ “ข้าลืมตัวไปหน่อย ครูผู้สอน นําระเบียนรายชื่อนักเรียนมาซิ”

นักพรตหลิงอวิ๋นรีบส่งมอบระเบียนรายชื่อ และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงก็หยิบพู่กันสีชาดออกมาแล้วเขียนข้อความสองสามคําข้างหลังชื่อฉินมู่ “นับจากวันนี้เป็นต้นไป เขาคือนักเรียนของโอรสสวรรค์”

เมื่อเขาเขียนเสร็จ เขาก็ปิดสมุดระเบียนแล้วส่งคืนให้นักพรตหลิงอวิ๋น

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมองไปยังปรมาจารย์เยาว์แล้วกล่าว “อธิการบดี การคัดเลือกนักเรียนนั้นเดิมเป็นงานของเจ้า แต่ตอนนี้ ข้ารับช่วงงานของเจ้ามาทําเอง และเลือกนักเรียนให้ เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไรล่ะ”

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มกล่าว “ฝ่าบาทปรีชาสามารถ มีพรสวรรค์สูงลํ้าและวิสัยทัศน์ที่เด็ดขาด นี่นับเป็นโชควาสนาของแดนโบราณวินาศ”

จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงหัวร่อด้วยเสียงอันดัง แล้วส่ายหน้าไปมา “ช่างประจบจริงๆ เจ้าประจบเอาใจข้าอีกแล้ว เอาล่ะ ให้นักเรียนทั้งหลายทําการแข่งขันต่อเถอะ”

ครูผู้สอนแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิรับพระบัญชาแล้วให้นักเรียนจํานวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้นทําการต่อสู้ประลองต่อ ยังมีนักเรียนระดับประถมฐานหลายคนที่ยังไม่เสร็จสิ้นการทดสอบ พวกเขาจึงต้องทําสอบที่เบื้องหน้าโถงบรมสิกขา นักพรตหลิงอวิ๋นยังคงเป็นผู้ทดสอบพวกเขาเช่นเดิม

แม้ว่านักพรตหลิงอวิ๋นอยากจะออมมือให้กับลูกท่านหลานเธอของขุนนางทรงอํานาจและชนชั้นสูงทั้งหลาย เขาก็ทําเช่นนั้นไม่ได้ ก็เพราะว่าในสถานที่นี้เต็มไปด้วยยอดฝีมือที่มีสายตาคมกล้า หากเขากล้าเล่นตุกติก ผู้คนก็จะมองทะลุเล่ห์กลของเขาแน่นอน!

การสอบนี้กินเวลายาวนานจนถึงเวลาเย็นยํ่าถึงจะจบลงไปได้ มีผู้คนที่ยินดีลิงโลด และก็มีผู้คนที่คอตกผิดหวัง โดยเฉพาะสําหรับนักเรียนระดับวิทยาลัย การแข่งขันของพวกเขานั้นยากเย็นและโหดร้ายกว่า ดังนั้นคนที่สามารถเข้าไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้ จึงเป็นหัวกะทิหนึ่งในร้อยเท่านั้น!

เหลือโควตาอีก 5 ตําแหน่งให้กับนักเรียนระดับประถมฐานและคนที่มาจากตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงนั้นก็ได้เรียนรู้มากกว่าและเอาชนะศิษย์จากครอบครัวยากจนไปได้ ท่ามกลางนักเรียน 5 คนที่สอบผ่าน มีแต่ซีอวิ๋นเซี่ยงที่ไม่ได้มาจากตระกูลใหญ่ นางผ่านการทดสอบและกลายเป็นบัณฑิตจักรวรรดิแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้สําเร็จ

ส่วน 4 คนที่เหลือมาจากตระกูลสําคัญโด่งดังทั้งนั้น ไม่ใช่ว่านักเรียนจากครอบครัวยากจนนั้นไม่ขยันพอ แต่พวกเขาถูกจํากัดด้วยทรัพยากรที่ตนมี

วิชาบู๊ เวทมนตร์ เพลงกระบี่ที่สอนโดยโรงเรียนและวิทยาลัยประถมฐานล้วนแต่เหมือนๆ กันไปหมด แต่ไม่ว่านักเรียนจะเชี่ยวชาญวิชาเหล่านั้นมากแค่ไหน ก็ยากที่พวกเขาจะข้ามพ้นขีดจํากัดของตนไปได้ แต่สําหรับทายาทตระกูลใหญ่นั้น นอกจากได้ฝึกปรือวิชาที่สอนกันในโรงเรียนและวิทยาลัยประถมฐานแล้ว พวกเขายังมียอดฝีมือในตระกูลที่คอยชี้แนะ ทั้งยังมียอดวิชาสืบทอดกันมาในตระกูลที่ส่งต่อมาจากบรรพบุรุษ หรือจากสํานักของตน นั่นทําให้อัตราส่วนของนักเรียนที่มาจากครอบครัวยากจนอัน สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้นั้นจึงเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างตํ่า

ทั้งหมดนี้ประจักษ์แก่ตาของฉินมู่ และเขาคิดในใจ หากยังเป็นเช่นนี้อยู่ต่อไปเป็นเวลานาน ตำแหน่งสูงๆ ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ก็จะตกอยู่ในกำมือของตระกูลและสำนักมากอิทธิพล นักเรียนจากครอบครัวยากจนจะไม่มีโอกาสลืมตาอ้าปาก และไม่มีทางได้กินตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก อีแบบนี้ จักรวรรดิก็คงจะไม่อาจดำรงอยู่ได้นาน จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมีจิตคิดปฏิรูปเปลี่ยนแปลง แต่ข้าสงสัยว่าเขาจะเปลี่ยนสถานการณ์นี้ได้จริงหรือ

ในสถานการณ์นี้ ชนชั้นปกครองอย่างไรก็ย่อมเป็นชนชั้นปกครอง และลําดับชั้นตํ่าสูงก็จะแข็งทื่อตายตัว ดังนั้นแล้วกลุ่มอํานาจบางกลุ่มก็จะยิ่งแผ่ขยายอิทธิพลออกไป และยิ่งกลุ่มอํานาจเหล่านี้เติบโตขึ้นมากเท่าไร พวกเขาย่อมรวบรวมทรัพยากรไว้ที่กลุ่มของตนได้มากเท่านั้นและในที่สุดก็จะกลายเป็นก้อนเนื้อร้ายของจักรวรรดิ

เมื่อวันนั้นมาถึง นักเรียนยากจนลุกฮือขึ้นปฏิวัติ เนื้อร้ายเหล่านี้ก็จะฉวยโอกาสผสมโรงก่อความวุ่นวาย จากนั้นการล่มสลายของจักรวรรดิก็อาจจะมาถึงภายในคํ่าคืนเดียว

เมื่อการสอบสิ้นสุดลง ครูผู้สอนที่จัดแจงที่พักอาศัยให้แก่นักเรียนที่สอบผ่าน ทุกๆ คนที่ได้เป็นบัณฑิตจักรวรรดิจะมีที่พักอาศัยของตนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ที่นี่เรียกว่าบัณฑิตนิเวศน์

เป็นสถานที่ที่นักเรียนเหล่านี้พักอาศัย บัณฑิตทุกๆ คนจะมีเรือนพักพร้อมบริเวณอันมี 2 ประตูและ 2 ทางเข้า บัณฑิตก็จะอยู่ในเคหาสน์สถานของตนอยู่เป็นนิจ ในเมื่อที่นี่มีทุกอย่างพรักพร้อม มีแม้กระทั่งบ่าวรับใช้ที่คอยช่วยทําความสะอาดบ้าน ซักเสื้อผ้า และจัดเตรียมอาหารให้พวกเขา ด้วยวิธีนี้ บัณฑิตทั้งหลายก็จะไม่ต้องปวดหัววุ่นวายกับงานบ้านงานเรือน

หากว่าเป็นบุคคลที่มีสถานะทางสังคมสูง พวกเขาก็จะนําบ่าวทาสและหญิงรับใช้ของตนมาด้วย ฉินมู่นั้นไม่มีอะไรเลยดังนั้นเขา จึงไม่จําเป็นต้องวุ่นวายกับเรื่องนี้

ข้าจะพาฮู่หลิงเอ๋อมาอยู่ด้วยได้หรือเปล่านะ เมื่อข้าตั้งหลักได้แล้ว และได้พบกับปรมาจารย์ ข้าค่อยพานางมาล่ะกัน

ฉินมู่เดินท่องไปรอบๆ และพบว่าขุนเขาหยกที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิตั้งอยู่นั้นใหญ่โตกว่าที่เห็นด้วยตาเปล่า มันมีขุนเขาซ้อนบนขุนเขาและมีถํ้าในถํ้า นอกจากโถงหยางพิสุทธิ์ โถงหยางเขียวคราม และโถงบรมสิกขา มันยังมีโถงราชวังทุกชนิดประเภท รวมทั้งเรือนบันทึกสวรรค์

เรือนบันทึกสวรรค์นั้นเป็นสถานที่ที่เก็บรักษาหนังสือ มีบรรณารักษ์ลับ ซึ่งหมายถึงผู้ดูแลรักษาหนังสือแห่งความลับหนังสือที่เก็บรักษาไว้ในเรือนบันทึกสวรรค์นั้นล้วนแต่เป็นบันทึกโบราณที่จักรวรรดิได้เก็บรวบรวมมาจากทุกสํานักในโลกหล้า บันทึกเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของบรรณารักษ์ลับ

ฉินมู่หยุดที่หน้าเรือนนั้นและมองไปรอบๆ เขาเห็นผู้คนเดินเข้าออกจากเรือนบันทึกสวรรค์อันทําให้ที่แห่งนี้คึกคักคลาคลํ่า พวกเขาส่วนใหญ่เป็นบัณฑิตจักรวรรดิ และมีสมาชิกราชวงศ์รุ่นเยาว์ที่มาใช้บริการด้วยเช่นกัน

“จ้าวลัทธิน้อยมาที่นี่แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง” เสียงเฒ่าชราดังมาจากข้างหลัง ฉินมู่รีบหันกลับไปโค้งคารวะ

ทักทาย “ปรมาจารย์”

ผู้ที่มาคือปรมาจารย์เยาว์ แม้ว่าเขาจะมีรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่ม แต่เสียงของเขานั้นโบราณอย่างยิ่ง เขาแย้มยิ้ม “ไม่ต้องมากพิธี”

ฉินมู่ตั้งหลักยืนจากนั้นกล่าว “ตลอดการเดินทางของข้ามายังที่นี่ ข้าได้เห็นสถานการณ์ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ซึ่งกระทบใจข้าเป็นอย่างยิ่ง และทําให้จิตใจข้าปั่นป่วนไปหมด”

ปรมาจารย์เยาว์ฟังแล้วก็สนอกสนใจ เขาเดินนําไปข้างหน้า “โอ้ เล่าให้ข้าฟังหน่อยสิ ว่าปั่นป่วนอย่างไร”

ฉินมู่เดินตามเขาไป และสนทนาระหว่างที่เดินทอดน่อง “เมื่อข้ามาที่นี่ ข้าสังเกตสิ่งต่างๆ มาตลอดทาง ข้าพบว่าทั่วทั้งจักรวรรดิสันตินิรันดร์มีเค้าลางของความรุ่งเรืองอย่างมหันต์ เต๋าของพวกเขาและทักษะเทวะถูกใช้เพื่อยังประโยชน์แก่ชีวิตประจําวันของสามัญชนทั้งยังพัฒนารุดหน้าไปทุกวี่วัน พวกเขาเรียกฝนเมื่อมีภัยแล้ง และขับไล่เมฆเมื่อมีอุทกภัย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์ ยังมีเรือเหาะที่บินได้บนอากาศ เรืออันวิ่งบนบก และแม้กระทั่งศิลปะแห่งการหลอมปรุงยาก็ถูกใช้ตอบสนองความต้องการในชีวิตประจําวันของคนทั่วไป เพื่อสร้างสิ่งเหลือเชื่อต่างๆ จักรวรรดิสันตินิรันดร์อาจจะดูปั่นป่วนวุ่นวายในตอนนี้ แต่มันคงอีกไม่นานก็จะสงบ และหลังจากนั้นจักรวรรดินี้ก็จะกลายเป็นแข็งแกร่งอย่างไม่มีประเทศไหนเทียมทัน!”

ปรมาจารย์เยาว์นําเขาไปยังทะเลสาบบนภูเขา ยืนอยู่ข้างทะเลสาบและใต้เงาต้นหลิวหยกเขาถามอย่างสงสัย “แล้วในมุมมองของเจ้า การปกครองแบบไหนที่มีอนาคตดีกว่า สํานักหรือประเทศ? จากที่เจ้าพูด เหมือนเจ้าจะเชื่อว่าสํานักไม่อาจเป็นคู่แข่งขันของประเทศได้?”

ฉินมู่พยักหน้า “โรงเรียนประถมฐานวิ ยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเป็นหลักฐานยืนยันว่าสันตินิรันดร์คือสํานักที่ใหญ่โตที่สุดในโลกนี้ สํานักอื่นๆ เป็นเพียงแค่โรงเรียนประถมฐานและวิทยาลัยสําหรับสํานักนี้ ทําหน้าที่แค่ผลิตนักเรียนและบัณฑิตให้แก่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ แล้วสํานักเหล่านั้นจะสู้ จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อย่างไร”

ปรมาจารย์เยาว์นั่งลงที่ริมฝั่งนํ้าที่ซึ่งมีชุดเบ็ดตกปลาอยู่ 2 ชุด เขายกให้ฉินมู่หนึ่งชุดและใช้เองหนึ่ง จากนั้นเขาโยนตะขอเกี่ยวเหยื่อปลาลงไปในนํ้าจากนั้นยิ้มกล่าว “แต่ทว่าตอนนี้ทั่วทั้งประเทศมีการก่อกบฏเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า หลายต่อหลายสํานักฉวยโอกาสกระด้างกระเดื่อง ประกายไฟเล็กๆ สามารถทําให้เกิดไฟป่าได้ และในเมื่อราชครูเองก็บาดเจ็บสาหัส ข้าเห็นก็แต่วิกฤตและอนาคตมืดมัวของจักรวรรดิที่จะย่อยยับลงไปได้ทุกเวลา!”

ฉินมู่โยนสายเบ็ดและเหยื่อปลาลงไปในนํ้าเช่นกัน เขาหัวเราะพรืด “ปรมาจารย์ ท่านกําลังจะล่อหลอกให้ข้าเข้าใจผิดใช่หรือไม่ ราชครูสันตินิรันดร์นั้นแกล้งปล่อยบังเหียนเพื่อที่จะคว้ามากุมใหม่อย่างกระชับมือกว่าเดิม เขาใคร่ใช้โอกาสนี้ในการรวบหัวรวบหางทุกกลุ่มอํานาจในโลกหล้าที่ขัดขวางก่อกบฏ ประเด็นนี้ตบตาข้าไม่ได้ ดังนั้นมันย่อมไม่สามารถซ่อนเร้นจากสายตาของปรมาจารย์”

ปรมาจารย์เยาว์มีสีหน้าสงบ และทอดสายตาลงมองผิวนํ้าทะเลสาบ สักครู่หนึ่ง เขาจึงกล่าวต่อ “มันไม่ใช่แค่ปล่อยบังเหียนเพื่อกุมใหม่ให้มั่น เจ้ายังมองพลาดอีกประเด็นของการทําตนเองบาดเจ็บเพื่อเสริมความมั่นใจของศัตรู ราชครูสันตินิรันดร์นั้นบาดเจ็บอย่างรุนแรงจริงๆ และมีบาดแผลสาหัส ไม่อย่างงั้นแล้วเขาจะตบตาทุกสํานักในโลกหล้าได้อย่างไร”

ฉินมู่ตื่นตระหนกและร้องออกมา “ราชครูสันตินิรันดร์ทําร้ายตนเอง?”

ปรมาจารย์เยาว์ส่ายหน้า “คนอื่นน่ะทําร้ายเขา ว่ากันว่าเฒ่าฝีมือร้ายกาจรุ่นเดียวกับข้าสามคนจู่โจมเขาพร้อมๆ กันและทําให้เขาบาดเจ็บสาหัส ข้าได้ไปเยี่ยมเขาหลังจากที่เขากลับมายังเมืองหลวงและเขาบาดเจ็บอย่างหนักจริงๆ”

ฉินมู่อึ้ง ไปครู่หนึ่งเขาคิดมาตลอดว่าราชครูนั้นเสแสร้งบาดเจ็บ เพื่อล่องูออกจากพงหญ้า ไม่คิดเลยว่าราชครูจะบาดเจ็บจริงๆ

“เขาใช้แผนของศัตรูมาย้อนเกล็ดพวกมัน จากนั้นก็ล่อคนเหล่านั้นออกมา”

ปรมาจารย์กล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “หากว่าสํานักเหล่านั้นเชื่อว่าสามารถกําจัดราชครูสันตินิรันดร์ได้ด้วยวิธีนี้ และสามารถทลายจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ พวกเขาต้องตกกับดักเสียท่าอย่างแรงเป็นแน่ จ้าวลัทธิน้อย แล้วเจ้ามีความเห็นอย่างไรต่อราชครูสันตินิรันดร์”

ฉินมู่ตอบด้วยสายตาชื่นชม “วีรบุรุษท่ามกลางผู้คน จิตใจเปิดกว้าง และมีพรสวรรค์อันไม่อาจเทียบเทียม”

ปรมาจารย์เยาว์เผยรอยยิ้ม “เมื่อเขามาถามหามรรคากับข้า ข้าก็คิดเช่นเดียวกันแต่เดิมข้าคิดจะรับเขาเป็นศิษย์สืบทอด แต่พรสวรรค์อันกว้างขวางของเขามีศักยภาพที่เหนือลํ้าไปกว่าข้า ดังนั้นข้าจึงได้แต่ระงับความตั้งใจเพื่อมิให้ข้าเป็นตัวถ่วงการเติบโตของเขา และบัดนี้จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้อยู่บนจุดสุดยอดเหนือหัวของเหล่าสํานัก โรงเรียนและลัทธิทั้งปวงในโลกหล้า แสนยานุภาพของจักรวรรดินั้นไร้ต่อต้านและราชครูสันตินิรันดร์เองก็เป็นอัจฉริยะชั้นยอด ถ้าเช่นนี้แล้ว ลัทธิของเราจะแสวงหาทางรอดลงหลักปักฐานได้อย่างไร”

ในคํากล่าวของเขามีจุดมุ่งหมายจะทดสอบฉินมู่ ตั้งแต่ประโยคแรกที่เขากล่าวเมื่อพบกับฉินมู่เขาก็ได้เริ่มการทดสอบฉินมู่แล้ว

เข้าร่วมการสอบใหญ่และสามารถผ่านเข้ามาเป็นบัณฑิตจักรวรรดิแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้นับเป็นด่านทดสอบแรกของฉินมู่ อันทดสอบกําลังฝีมือของเขา และตอนนี้เขาก็ทดสอบปัญญา ดูว่าฉินมู่มีปัญญาเพียงพอที่จะบริหารจัดการลัทธิมารฟ้าได้หรือไม่ และทรงปัญญาเพียงพอที่จะขึ้นเป็นจ้าวลัทธิหรือไม่

ฉินมู่ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรามีทางเลือกสองทาง ทางแรกคือการเปลี่ยนแปลงลัทธิให้เป็นประเทศ ให้ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เราก่อตั้งประเทศ หากว่าลัทธิศักดิ์สิทธิ์สามารถ

ก่อตั้งประเทศได้ พวกเราจะต้องอพยพไปให้ห่างจากสันตินิรันดร์ เนื่องจากเมื่อชะตาของสันตินิรันดร์นั้นมีแต่จะรุ่งโรจน์ขึ้น หลังจากที่ปราบปรามกองกําลังกบฏในประเทศแล้วราชครูสันตินิรันดร์ก็จะ

ยกกองกําลังออกไปยึดครองดินแดนรอบข้างเป็นแน่ เราคงไม่อาจต่อสู้รับมือจักวรรดิสันตินิรันดร์ได้หากว่าอยู่ใกล้เกินไป และหากว่าเราอพยพไปไกลจากสันตินิรันดร์ ลัทธิศักดิ์สิทธิเราก็จะขาดรากฐานและข้าเกรงว่าถัดจากนี้ไปอีกหลายสิบปีเราก็คงตามไม่ทัน”

ปรมาจารย์เยาว์พยักหน้าแล้วกล่าว “ทางเลือกแรกนั้นยากเข็ญแสนสาหัส ลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรามีรากฐานอยู่กับประชาชนคนทั่วไป การอพยพออกห่างจากสันตินิรันดร์ห์มายความว่ารากฐานที่ก่อตั้งมาก็จะถูกทําลายไปหมด หนทางนี้ไม่อาจทําได้แล้ว ทางเลือกที่สองคืออะไรล่ะ”

“ทางเลือกที่สองคือแอบอิง”

ฉินมู่กล่าวต่อ “ให้ลัทธิศักดิ์สิทธิแอบอิงอยู่กับจักรวรรดิสันตินิรันดร์”

ปรมาจารย์เยาว์สีหน้าแปรเปลี่ยนและหัวร่ออย่างเย็นชา “เจ้าจะเป็นจ้าวลัทธิหรือทําลายล้างลัทธิศักดิ์สิทธิ์ กล้าดีอย่างไร ข้าจะตัดหัวเจ้า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version