Skip to content

Tales of Herding Gods 125

ตอนที่ 125 ศิษย์พี่ราชาพิษน้อย

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย เด็กสาวผู้นี้ดูคุ้นตาเป็นอย่างยิ่งแต่เขาไม่ สามารถจดจํานางได้ในปราดเดียว เด็กสาวคนนั้นถูกกลุ่มพระประยูรญาติดันๆ ให้เดินไปข้างหน้า นางโบกไม้โบกมือไปด้วย “เด็กเลี้ยงวัว เจ้าพักที่ไหนน่ะ ข้าจะไปตามหาเจ้า!”

“มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ!”

ฉินมู่โบกมือกลับ และพลันนึกวาบขึ้นมาในหัว จริงสิ นางคือหลิงอวี้จิว! ทำไมนางถึงดูแตกต่างจากตอนที่เคยเจอกันนะ

ก่อนหน้านั้นหลิงอวี้จิวสูงพอๆ กับเขา และในตอนนี้นางกลับสูงกว่าเขาตั้งสองสามนิ้ว ยิ่งไปกว่านั้นนางยังดูเต็มสาว ท่วงทีน่ารักและเปี่ยมเสน่ห์ เมื่อนางโบกมือเขาจากกลุ่มคนเมื่อครู่ เขาแทบจํานางไม่ได้

“โชคยังดีที่หน้านางยังตุ้ยนุ้ยอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง” ฉินมู่กล่าวอย่างปลาบปลื้มใจ

หมอหลวงฉูและคนอื่นๆ มองเขาด้วยสายตาประหลาด หมอหลวงหยูที่อาวุโสกว่าคนอื่นและค่อนข้างมีเมตตาบอกเตือนเขา “หมอเทวดาน้อย หากเจ้ากล่าวเช่นนั้นกับเด็กผู้หญิง โดยเฉพาะกับองค์หญิง หัวเจ้าจะหลุดจากบ่า”

ฉินมู่งงงวย “ทําไมล่ะ คําชมที่พวกเราใช้กับเด็กสาวในแดนโบราณวินาศก็มีแต่ แข็งแรงบึกบึน เหมาะแก่การเป็นแม่พันธุ์ แม้ว่าองค์หญิงอวี้จิวจะไม่นับว่าแข็งแรงบึกบึนแต่ก็ดีแล้วล่ะที่นางอ้วนท้วนเล็กน้อย ข้าคิดว่านางเหมาะแก่การเป็นแม่พันธุ์”

คําพวกนี้ใช้กล่าวชมเด็กผู้หญิงได้จริงๆ น่ะหรือ

หมอหลวงสามสี่คนมองตากันอย่างเข้าใจ หมอนี่กู่ไม่กลับแล้ว เขาคงถูกกระทืบจนตายไม่ช้าก็เร็ว

หมอหลวงมู่กล่าว “หมอเทวดาน้อย พวกเราขอตัวกลับไปมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก่อน หลังจากทรมาทรกรรมมาทั้งคืน กระดูกผุๆ ของพวกเราก็ชักจะไม่ไหวแล้ว”

หลังที่เขาออกจากวัง เขาก็แยกทางจากหมอหลวงกลุ่มนั้น ฉินมู่กลับไปที่ตรอกดอกไม้และทานอาหารเช้าที่หอฟังเสียงฝน หลังจากกล่าวรํ่าลาฝูชิงอวิ๋นและพวกสาวๆ ที่นั่น เขาก็แบกสัมภาระของตนและฮู่หลิงเอ๋อกลับไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ บัณฑิตนิเวศน์

ฉินมู่เดินเข้าไปในลานหน้าเรือนพักของเขา ฮู่หลิงเอ๋อโผล่หัวของนางออกจากกระเป๋าหลังและมองไปรอบๆ อย่างสงสัยใคร่รู้

ตั้งแต่เดินมาจากไกลๆ เขาก็เห็นแล้วล่ะว่ามีบัณฑิตนั่งเรียงรายกันเป็นแถวหลายแถวหน้าลานหน้าเรือนของเขา บัณฑิตเหล่านั้นนั่งตัวตรงแหน็วและทุกคนมีกล่องกระบี่วางไว้ข้างตัว มือซ้ายพวกเขาวางอยู่บน กล่องกระบี่ สีหน้าก็เคร่งเครียด

บัณฑิตที่ดูจะเป็นผู้นํากลุ่มแค่นเสียงเย้ยหยันไปทางลานหน้าเรือน “ผู้คนที่ถูกละทิ้ง เจ้ายังไม่โงหัวตื่นมาอีกเรอะ หรือว่าเจ้ากลัวพวกเราจนขี้หดตดหาย หากว่าหางจุกตูดขนาดนั้นก็ไสหัวออกมาลบข้อความบน กําแพงสิวะ!”

คนอื่นๆ ก็แค่นเสียงหยันตามด้วย “พวกเรารอเจ้านานเท่าไรก็ไม่หวั่น ที่เจ้าทําได้ดีที่สุดคือซุกหัวซุกหางในบ้านตัวเองหรอกหรือ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะหดหัวไปได้นานแค่ไหน!”

“เมื่อวานนี้ยังปากดีอวดเก่งอยู่เลยนี่? เจ้ากล้าปล่อยข่าวว่าพวกเราเสียท่าต่อแผนร้ายของเจ้าได้อย่างไรเมื่อวานนี้ ทําให้ทั้งมหาวิทยาลัยรู้กันไปทั่วและพวกเราก็ดูแย่ ทําไมตอนนี้เจ้ามาปอดแหกหลบอยู่แต่ในห้องซะล่ะ เจ้ากะจะหดหัวในกระดองเหมือนลูกเต่าหลานเต่าหรืออย่างไร”

“สาเหตุที่พวกเราปล่อยข้อความของเจ้าไว้ไม่ลบออก ก็เพื่อทําให้เจ้าอับอายขายขี้หน้า! พวกเราจะทําให้ทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิรู้ว่าเจ้ามันก็แค่ผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนคนเถื่อน ส่วนพวกข้าคือคนศิวิไลซ์!”

ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเดินผ่านพวกเขาพลางครุ่นคิดด้วยความฉงน “ข้าไปปากโป้งเรื่องที่อัดพวกเขาจนน่วมตั้งแต่เมื่อไหร่”

สายตาของบัณฑิตทุกคนพลันจ้องค้างว่างเปล่า เมื่อพวกเขาจ้องมองฉินมู่ซึ่งกําลังผลักประตูรั้วเปิดแล้วเดินเข้าไปในเขตเรือนพัก ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าฉินมู่หลบซ่อนอยู่ในห้องและไม่กล้าโผล่หัวออกมา ใครจะคิดว่าฉินมู่อยู่ข้างนอกมาตลอด ทําให้พวกเขาเสียเวลาครึ่งค่อนวันเพื่อตะโกนใส่อากาศธาตุ

ฉินมู่เดินเข้าไปยังห้องกลางและวางกระเป๋าสัมภาระลง “หลิงเอ๋อ เจ้าไปจัดห้องและที่นอน ข้าจะออกไปข้างนอกเรือนสักประเดี๋ยว”

ฮู่หลิงเอ๋อรับคําจากนั้นถาม “คุณชายจะออกไปข้างนอกทําไมน่ะ”

ฉินมู่ตอบโดยไม่เหลียวหลัง “คนพวกนี้เอะอะมะเทิ่ง ถ้าข้าไม่ต่อยตีพวกเขาสักหน่อย ข้าคงนอนหลับไม่ลง”

ฮู่หลิงเอ๋อจึงได้แต่ควบคุมลมปีศาจจัดห้องให้เป็นระเบียบ ในตอนนั้นเองนางก็ได้ยินเสียงสะเทือนเลื่อนลั่นจากข้างนอก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นนางมองออกไปทางนอกหน้าต่างทันที และเห็นบัณฑิตผู้หนึ่ง ปลิวขึ้นไปบนฟ้า ก่อนร่วงลงมาหัวปักพื้น

“คนต่อไป” เสียงของฉินมู่ดังมาจากข้างนอก

เสียงฟ้าคํารามกึกก้องราวกับอสุนีบาตหน้าแล้งดังมาจากข้างนอก ฮู่หลิงเอ๋อได้ยินเสียงหวีดหวืออันเกิดจากร่างมนุษย์พุ่งแหวกอากาศด้วยความเร็วแรง แต่นางมองไม่ทันเห็นว่ามีใครเหาะเหินไปในอากาศ ได้ยินแต่เสียงโครมครามของวัตถุหนักตกกระแทกพื้นในที่ไกลๆ เท่านั้น

“คนต่อไป” เสียงฉินมู่ดังขึ้นมาอีกหน

เสียงของนํ้าเชี่ยวกรากและคลื่นยักษ์โถมถล่มดังมาราวกับคลื่นพิโรธทลายชายฝั่ง ท่ามกลางเสียงนํ้าถั่งโถม เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังมา แล้วเงียบลงไปหลังจากนั้น มีแต่เสียงฉินมู่ที่กล่าวคําเดิม

“คนต่อไป”

ฮู่หลิงเอ๋อจัดระเบียบข้างของในห้องอย่างรวดเร็ว พับผ้าห่มและวางเบาะนอน จากนั้นนางก็เอาข้าวของในกระเป๋าสัมภาระออกมาจัดวาง ขณะที่ครุ่นคิดไปด้วย หากว่าข้าจัดห้องเร็วพอ ข้าก็จะสามารถออกไปชมดูได้

เสียงกระแทกสะเทือนเลื่อนลั่นดังมาไม่หยุดหย่อนและเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดก็ไม่ขาดหาย เมื่อนางจัดห้องเสร็จและรีบวิ่งออกไปด้วยความตื่นเต้น นางก็พบว่าฉินมู่กําลังเดินกลับเข้ามาจากข้างนอก ดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย

“คุณชาย มันจบแล้วหรือ” ฮู่หลิงเอ๋อผิดหวังนิดๆ

ฉินมู่พยักหน้าจากนั้นหาวหนึ่งที “ข้าง่วงสุดๆ นอนก่อนละนะ เจ้าก็อย่าเพ่นพ่านไปทั่วล่ะ”

ฮู่หลิงเอ๋อผงกหัวและโผล่ศีรษะออกไปจากหน้าประตู นางตื่นตระหนกเมื่อพบเห็นบัณฑิตเหล่านั้นกระจัดกระจายไปทั่วถนนของบัณฑิตนิเวศน์ บางคนก็ถูกนอนแผ่อยู่บนพื้น บางคนก็ห้อยอยู่บนกําแพงฝั่งตรงข้าม ยังมีบางคนที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ และบางคนก็ไปแปะอยู่กับกําแพงไกลๆ บางคนถูกโยนเข้าไปในคลองข้างถนนและบางคนก็ถึงฝังจมดิน เหลือแต่ขาสองข้างอันชักกระตุกเป็นระยะโผล่ขึ้นมา

ฮู่หลิงเอ๋อแลบลิ้นออกมาแล้ววิ่งไปยังผู้คนเหล่านั้น ตบหาทรัพย์สินตามเนื้อตัวของเหล่าบัณฑิตที่แพ้พ่าย นางรูดจี้หยก ยาเซียน กําไลหยก ปิ่นปักผม ฯลฯ ก่อนจะหอบพวกมันกลับเข้ามาในบ้าน

“หลิงเอ๋อ เจ้าทําอะไรน่ะ” เสียงงัวเงียดังมาจากในบ้าน

ฮูหลิงเอ๋อตอบอย่างองอาจและมั่นใจ “ลิงยักษ์อสูรบอกว่า ชนะ รูดทรัพย์ กฎ”

เสียงกรนของฉินมู่ดังมา ดูท่าเขาจะไม่ทันได้ยินคําตอบก็หลับต่อ ฮู่หลิงเอ๋อวิ่งออกไปอีกคราเพื่อลากกล่องกระบี่ของบัณฑิตทั้งหลายมา หนึ่งในนั้นฟื้นสติขึ้นและยึดกล่องกระบี่ของตนเอาไว้อย่างอ่อนแรง

ฮู่หลิงเอ๋อพ่นลมหมุนให้พัดกล่องกระบี่เหวี่ยงไปฟาดหัวบัณฑิตผู้นั้น หัวของเขาแตกเลือดไหลโซมไปหมด แต่เขาก็ยังไม่ยอมสลบ ฮู่หลิงเอ๋อจึงฟาดอีกสามสี่ที และในที่สุดคนผู้นั้นก็หมดสติ จิ้งจอกน้อยถอนหายใจโล่งอก จากนั้นใช้ลมกวาดกล่องกระบี่ส่งเข้าไปในลานบ้าน บัณฑิตผู้นั้นแอบหรี่ตามองและเมื่อเห็นจิ้งจอกตัวนี้เดินจากไป เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอกเช่นกัน

“อ๋า เขาฟื้นขึ้นมาอีกแล้ว”

ฮู่หลิงเอ๋อเห็นเขาแอบมองจึงร้องด้วยความประหลาดใจ บัณฑิตผู้นั้นเห็นลมปีศาจยกหินใหญ่เท่าเนินเขาลูกย่อมๆ ขึ้นมาทําท่าจะทุ่มใส่เขา และเขาก็สลบไปทันที คราวนี้เขาสลบไปจริงๆ ด้วยความกลัว

ฮู่หลิงเอ๋อวางก้อนหินลง และกระโดดไปรอบๆ เพื่อปลดทรัพย์ทุกๆ คน นางกระโดดไปไกลทุกที ทุกที และเมื่อบัณฑิตคนหนึ่งฟื้นขึ้นมาและเห็นจิ้งจอกตัวนี้ปล้นชิงทรัพย์ติดกายของเหล่าบัณฑิต เขาก็รีบยันตัวขึ้นคลานหนีไป แต่ฮู่หลิงเอ๋อสังเกตเห็นเขาจึงลากเขากลับเข้ามาในบัณฑิตนิเวศน์ใหม่ บัณฑิตผู้นั้นร้องโหยหวนตลอดทางที่โดนลาก แต่ในที่สุดก็เงียบลงเพราะฮู่หลิงเอ๋อทุบหัวเขาให้สลบ

เรือนพักราชครูสันตินิรันดร์

เรือนพักแห่งนี้โอ่โถงและงดงาม ทว่าพื้นที่ที่เขาฝึกวิชายุทธอยู่นั้นเรียบง่ายอย่างยิ่ง มันเป็นเพียงแค่โถงใหญ่ๆ ว่างเปล่าที่ไม่มีวัตถุใดอื่น

หากว่าผู้เข้ามาในโถงเงยหน้าขึ้นมองข้างบน เขาจะพบภาพอันประหลาดตา เบื้องบนโถงไม่มีหลังคา กลับเป็นท้องฟ้าอันมีดวงดาราจํานวนนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ ดวงดาวเหล่านั้นดูเหมือนจะลอยเลื่อนลงมา ตํ่าเรี่ย ให้ความรู้สึกราวกับว่าเอื้อมมือไปก็คว้าจับได้

นั่นเป็นความมหัศจรรย์ของเวทมนตร์พยุหะ

สูงจากพื้นดิน 15,000 วา มีพยุหะลอยอยู่ที่นั่น จัดเรียงไปด้วยกระจกใสหลากสี และมีศิษย์ของราชครูจํานวนหนึ่งที่อยู่ที่นั่นคอยควบคุมพยุหะค่ายกล พยุหะนี้ก่อตัวสูงจากพื้น 15,000 วาและกินพื้นที่ 1,000 ไร่ มันรวบรวมแสงดวงผ่านเนื้อแก้วใส ให้แสงดาวส่องลงไปผ่านหลังคาของโถงใหญ่

ราชครูสันตินิรันดร์รวบรวมแสงดาวเพื่อใช้ในการฝึกปรือ วรยุทธ์ของเขาจึงสูงลํ้า

ในตอนนั้นเอง ราชครูสันตินิรันดร์ก็มีรัศมีอันหมองหม่นขณะที่เขากําลังเยียวยารักษาตัว และมีชายในชุดดําผู้หนึ่งอยู่ข้างๆ เขาซึ่งกําลังหลอมปรุงยา

ทันใดนั้นแมลงบินสีแดงก็บินหวือเข้ามา และเกาะที่หูของชายในชุดดํา ชายผู้นั้นมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยปมตะปุ่มตะปํ่าเหมือนกับคางคก ปุ่มปมเหล่านั้นเกลื่อนไปทั้งหน้าเขาทําให้รูปลักษณ์ดูน่าหวาดผวา เขาผงกหัวไปมาระหว่างที่รับฟังคํารายงานจากแมลงบินสีแดงตัวนั้นอันพิลึกพิลั่นเหลือเกิน

“ท่านราชครู ศิษย์น้องของข้ามาถึงเมืองหลวงแล้ว”

ชายชุดดํานี้คือราชาพิษน้อยซึ่งพระพันปีหลวงได้กล่าวถึง และนามของเขาคือฝูหยวนชิง เขากล่าวต่อ “ศิษย์น้องของข้าได้ถอนพิษพันโอกาสในร่างของพระพันปีหลวง”

ราชครูสันตินิรันดร์ลืมตาขึ้นมาและเผยกลิ่นโลหิตเข้มข้นจากมุมปากของเขา เขาถามอย่างสงสัย “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนที่ถอนพิษพันโอกาสให้แก่พระพันปีเป็นศิษย์น้องของเจ้า”

“ก็เพราะว่าพิษพันโอกาสเป็นสุดยอดผลงานของอาจารย์ข้า ผู้ที่สามารถแก้พิษนี้ได้ในโลกหล้าก็มีแต่ข้ากับเขาเท่านั้น”

ปุ่มปมบนใบหน้าของฝูหยวนชิงบิดไปมาระหว่างที่เขาอธิบายอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “แมลงร้อยรายงานข้าว่าผู้ที่มาเป็นเด็กหนุ่ม ดังนั้นย่อมไม่ใช่อาจารย์ของข้า ซึ่งก็แปลว่าต้องเป็นศิษย์คนใหม่ของเขาเท่านั้น ข้าเคยคิดว่าเขาเสียชีวิตไปแล้ว แต่ไม่นึกว่าจะยังอยู่ดีและถึงกับมีเรี่ยวแรงฝึกสอนศิษย์น้องน้อยออกมาอีกคน ท่านราชครู ในเมื่อตอนนี้พิษในร่างของพระพันปีหลวงถูกถอนไปแล้ว ท่านหมายให้ข้าวางยานางอีกคราด้วย ยาพิษประหลาดพิสดารอีกหรือไม่”

ราชครูสันตินิรันดร์ส่ายหน้า “นั่นไม่จําเป็น”

ฝูหยวนชิงไม่เข้าใจ

“ไม่มีความแค้นส่วนตัวอะไรระหว่างข้าและพระพันปีหลวง นางเพียงแค่ต่อต้านการที่ข้าผลักดันการปฏิรูปประเทศ เพราะนางกังวลห่วงจักรวรรดิของบุตรนาง ฝ่าบาทจึงลังเลด้วยสาเหตุนี้ ดังนั้นข้าถึงสั่งให้เจ้าวางยาพิษนาง ไม่ใช่เพื่อสังหารนาง แต่เพียงเพื่อให้นางมิอาจเข้ามาสอดมือในการเมืองของสภาราชสํานักได้ โดยปราศจากการยุ่มย่ามของพระพันปีหลวง ฝ่าบาทก็จะสามารถอุทิศแรงใจและวิญญาณทั้งหมดทั้งมวลในการปฏิรูปประเทศ และบัดนี้เมื่ออิทธิพลของข้าแน่นแฟ้นแข็งแรง ก็มีผู้คนจากทุกชนชั้นกว่าครึ่งสนับสนุนการปฏิรูปนี้”

ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวต่อ “และผู้ที่ต่อต้านข้า ก็คือพวกที่ฉวยโอกาสก่อกบฏในปัจจุบันแผนของข้าในระดับสถานการณ์ใหญ่สําเร็จเรียบร้อยแล้ว แม้แต่พระพันปีหลวงก็หยุดข้าไม่ได้”

ฝูหยวนชิงยิ้มกล่าว “ท่านพูดถึงสถานการณ์ใหญ่ แต่ข้าพูดถึงบุญคุณความแค้น บาดแผลของท่านเกือบจะหายดีแล้ว และข้าอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ได้ช่วยอะไร ดังนั้นข้าจะออกไปเดินเล่นข้างนอกสักหน่อย ในเมื่อศิษย์น้องข้ามาถึงที่ ในฐานะศิษย์พี่ข้าไม่ควรไปเยี่ยมเขาหน่อยหรอกหรือ”

ราชครูสันตินิรันดร์บอกเตือน “เจ้าต้องระวังตัวด้วย พระพันปีหลวงทําอะไรข้าไม่ได้ แต่นางสามารถเอาชีวิตเจ้าได้”

ฝูหยวนชิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และปุ่มปมบนใบหน้าของสั่นไปมา เขาฮึ่มฮั่มในคออย่างไม่พึงใจ “ท่านเป็นคนสั่งข้าให้วางยานาง แต่ทําไมนางถึงจะฆ่าข้าแทนที่จะเป็นท่าน ข้าเป็นผู้บริสุทธิ์ชัดๆ!”

“เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าเจ้าหักหลังอาจารย์เจ้า ยิ่งไปกว่านั้นพระพันปีหลวงยังมีความหลังกับอาจารย์ของเจ้า และด้วยสติปัญญาของนาง นางต้องรู้แน่ๆ ว่าบุคคลที่ถอนพิษให้นางคือศิษย์น้องของเจ้า และเจ้าก็จะไปตามหาเขาเป็นแน่นางคงจะรอให้เจ้าฮุบเหยื่อแล้วสังหารเจ้าเพื่อแก้แค้นให้แก่นางและอาจารย์ของเจ้า”

ฝูหยวนชิงปวดหัวตึ้บและเขาได้แต่วางความคิดนี้ไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version