Skip to content

Tales of Herding Gods 127

ตอนที่ 127 ชักอาวุธเจ้าออกมา

เฉินหว่านอวิ๋นหันกลับไปดู และเห็นหญิงสาวในชุดเขียวมุ่งหน้ามาทางบัณฑิตนิเวศน์

เสื้อผ้าของหญิงสาวผู้นั้นเป็นระเบียบเรียบร้อย เส้นผมเงางามของนางมัดม้วนเป็นมวยและคลุมไว้ด้วยตาข่ายผ้ามัสลินอันมีปิ่นทองคําปักไว้อยู่ นางเองก็ดูเหนื่อยล้าจากการเดินทางเพราะว่าเพิ่งกลับมาจากอีกภาคประเทศของจักรวรรดิและคงจะเพิ่งลงมาจากเรือ ข้างหลังนางเป็นชายร่างบึกบึนซึ่งสูงใหญ่เป็นพิเศษ ความสูงของเขาเป็น 2 เท่าของคนธรรมดา และยังดูห้าวหาญจากมัดกล้ามปูดโปนไปทั่วร่าง

ชายกํายําผู้นี้แบกหิ้วสัมภาระของหญิงสาวไว้อยู่ และเมื่อหญิงสาวเดินตรงมายังบัณฑิตนิเวศน์ เขาก็ตามนางมาข้างหลังเว้นระยะตามครึ่งก้าวเสมอ

พร้อมด้วยชายบึกบึน เยว่ชิงหงเดินเข้ามาโดยไม่ใส่ใจเหล่าบัณฑิตที่รอต้อนรับนาง สายตานางหันไปจับจ้องที่เฉินหว่านอวิ๋นโดยตรงขณะที่นางสาวเท้าเข้าหาเขา

เมื่อเหลือระยะเพียงวาครึ่งระหว่างพวกเขา เยว่ชิงหงก็หยุดเท้า ชายกํายําข้างหลังนางก็หยุดเดินเช่นกัน

“พี่ใหญ่” เยว่ชิงหงกล่าวทักทาย

เฉินหว่านอวิ๋นทักทายตอบ “ศิษย์น้องเยว่ เจ้าไปฝึกฝนแสวงประสบการณ์ที่ไหนมาหรือ”

เยว่ชิงหงแย้มยิ้ม “ข้าเพิ่งกลับมาจากสนามรบประเทศรังหมาป่า ข้าได้ยินว่าพี่ใหญ่ก็ไปฝึกฝนแสวงประสบการณ์ที่สนามรบเช่นกัน?”

เฉินหว่านอวิ๋นพยักหน้า “ใช่แล้ว ข้าไปที่สนามรบจักรวรรดิ คนเถื่อนตี่และต่อสู้ประมือกับพวกคนเถื่อนจํานวนนึง เจ้าดูเหมือนฝีมือรุดหน้าไปนิดนึงนะ”

เยว่ชิงหงยิ้ม “เจ้าก็เช่นกัน ข้าเกรงว่าข้ายังคงเอาชนะเจ้าไม่ได้ แต่โชคดีที่ข้าสยบทาสหมาป่าที่ประเทศรังหมาป่า ทาสหมาป่า เจ้าออกมาทักทายพี่ใหญ่หน่อยสิ!”

ชายกํายําผู้นั้นวางสัมภาระของนางลงเสียงตึบ จากนั้นยื่นมือออกไปอย่างรวดเร็วคว้าใส่เฉินหว่านอวิ๋น!

รังสีของเขาร้อนแรงประดุจไฟเพลิง และเมื่อเขาคว้าจับด้วยมือหนึ่ง อากาศรอบข้างก็พลันแห้งผากและถึงกับเต็มไปด้วยละอองทราย นี่ทําให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าถูกตะวันทะเลทรายแผดเผาใส่หน้าอย่างจัง!

ที่หน้าอกเปิดเปลือยของทาสหมาป่า รอยรูปหมาป่ามังกรพลันปรากฏ ทําให้บัณฑิตทุกคนที่อยู่รอบๆ ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว รอยรูปหมาป่ามังกรนี้เดิมทีเป็นสาแหรกหนึ่งในสี่มหากายาวิญญาณ ซึ่งเรียกว่ากายาวิญญาณ หมาป่ามังกร และเป็นสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของประเทศรังหมาป่า

เฉินหว่านอวิ๋นไม่แม้แต่จะกะพริบตา และเพียงแค่ยกมือของเขาขึ้นมารับมือมหึมาของทาสหมาป่า เสียงครืนครันพลันแผดก้อง เสื้อผ้าของเฉินหว่านอวิ๋นกระพือไปมา ร่างใหญ่โตของทาสหมาป่าโงนเงนเล็กน้อย ก่อนที่สายตาที่เขาใช้มองเฉินหว่านอวิ๋นจะแปรเปลี่ยนไป เขากล่าวด้วยเสียงแหบห้าว “เจ้าไม่อ่อนแอเลย”

“เจ้าก็เช่นกัน”

เฉินหว่านอวิ๋นแย้มยิ้ม “ในเมื่อศิษย์น้องเยว่สามารถสยบทาสหมาป่าได้ แปลว่ากําลังฝีมือก้าวหน้าไปอย่างมาก”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะล่องลอยก็ดังมา “ศิษย์พี่หญิงเยว่ พี่ใหญ่ พวกเจ้าทั้งสองชมกันเองไปมาอีกแล้ว เมื่อไหร่พวกเจ้าจะ รู้จักถ่อมตัวอย่างเท่ๆ คูลๆ แบบข้า”

เด็กหนุ่มอีกคนเดินเข้ามา ศีรษะเขาโล้นเลี่ยนไร้เส้นผม เขาดูเหมือนหลวงจีนในจีวรขาว แต่ไม่มีรอยธูปที่กลางหน้าผากของเขา

“ศิษย์น้องอวิ๋นฉื่อ” เฉินหว่านอวิ๋นทักทายอย่างสุภาพ หลวงจีนน้อยผู้นี้น่าจะฝึกฝนวิชาพุทธ แต่นิสัยอารมณ์เขาไม่เหมือนหลวงจีนเลยแม้แต่น้อย เขานั้นชอบการแข่งขันและกระเหี้ยนกระหือรือจะต่อสู้อยู่ตลอดเวลา “ข้าไปที่แม่นํ้าหลี่มา สถานที่ที่มีการกบฏ หลังจากสํานักกระบี่แม่นํ้าหลี่ถูกทําลาย สํานักอื่นๆ ก็ก่อกบฏและสร้างความปั่นป่วนไปทั่ว ดังนั้นข้าจึงติดสอยห้อยตามกองทัพไปเพื่อปราบปรามจลาจล ในช่วงเวลาดังกล่าวข้าเพิ่มพูนประสบการณ์มาไม่ใช่น้อย และข้าหมายจะขอรับการสอนสั่งจากศิษย์พี่เฉินและศิษย์พี่หญิงเยว่”

เยว่ชิงหงสายตาวูบไหว “นับตั้งแต่ที่พวกเราเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเราก็ต่อสู้ชิงชัยกันมาตลอด และมักจะฝีมือด้อยกว่าพี่ใหญ่อยู่เล็กน้อยเสมอ ดังนั้นเจ้าจึงรับฐานะพี่ใหญ่แห่งบัณฑิตนิเวศน์ แต่ทว่า หลังจากที่ข้าออกไปแสวงประสบการณ์ครานี้ ข้าเกรงว่าในบัณฑิตนิเวศน์คงจะไม่มีพี่ใหญ่อีกต่อไป มีแต่พี่หญิงใหญ่!”

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ข้าสังหารพวกคนเถื่อนที่ชายแดนและกําลังฝีมือของข้าก็เพิ่มพูนรุดหน้า รังสีฆ่าฟันในตัวข้าหนักหน่วงเกินไป และข้าเกรงว่าจะพลั้งมือสังหารพวกเจ้าหากว่าข้าลงมือต่อสู้ แต่ทว่า ล่าสุดนี้ที่บัณฑิตนิเวศน์มีคนร้ายกาจคนหนึ่งเข้ามา เขานั้นแข็งแกร่งและดุร้าย บัณฑิตเกือบทุกคนในบัณฑิตนิเวศน์ถูกเขาต่อยตีจนน่วม หากว่าพวกเจ้าคนใดคนหนึ่งสามารถเอาชนะเขาได้ ข้าจะยกตําแหน่งพี่ใหญ่ให้โดยไม่รีรอ!”

เยว่ชิงหงตาเป็นประกาย “ไม่กลับคําแน่นะ?”

เฉินหว่านอวิ๋นเผยอยิ้ม “ข้า เฉินหว่านอวิ๋น เคยผิดคําพูดที่ข้ากล่าวเสียเมื่อไหร่ล่ะ บุคคลผู้นี้เรียกว่าฉินมู่ เขาใส่เสื้อปักลายและมีจิ้งจอกขาวอยู่ข้างๆ ดังนั้นคงหาตัวเขาง่าย ข้าสวนทางกับเขาตอนที่เขาลงจากภูเขา และไม่นานเขาก็คงจะกลับเข้ามาใหม่”

อวิ๋นฉื่อรีบกระโดดไปทันที และหัวร่อด้วยเสียงอันดัง “ฮ่าๆ หลวงจีนน้อยผู้นี้จะไปเปิดดวงตาเห็นธรรมให้ฉินมู่ ศิษย์พี่หญิงเยว่ เจ้าอย่าแย่งงานข้า ให้ข้าได้มีโอกาสเป็นพี่ใหญ่สักหน่อยเถอะ!”

ศิษย์พี่หญิงเยว่มองตามหลังเขาแล้วยิ้มหยัน “เจ้าโล้นนี่วันๆ เสแสร้งเป็นหลวงจีนอาวุโส แต่กลับยุกยิกขาดความอดทนมากที่สุด หากว่าแม้แต่ศิษย์พี่เฉินยังพบว่าคนผู้นั้นยากจะรับมือ อวิ๋นฉื่อย่อมไม่อาจจัดการเขาได้โดยง่ายเป็นแน่ ศิษย์พี่หญิงฉู พวกเจ้าทุกคนถูกฉินมู่นั่นต่อยตีจนแพ้มาหรือ”

ศิษย์พี่หญิงฉูและคนอื่นๆ ดูอับอาย

สายตาของเยว่ชิงหงไหววูบ จากนั้นถาม “พวกเจ้าบอกข้าทีว่าฉินมู่นี้ใช้กระบวนท่าแบบไหนบ้าง”

นางมีจิตใจละเอียดรอบคอบและถามทุกๆ คนเกี่ยวกับกระบวนท่าที่ฉินมู่ใช้ต่อยตีพวกเขา หลังจากนั้นสักพักเยว่ชิงหงก็ได้ข้อสรุปแล้วกล่าว “คนผู้นี้ใช้เวทมนตร์และทักษะฝ่ามือ แต่ไม่ใช้เพลงกระบี่ เขาไม่น่าจะมีความชํานาญในวิชากระบี่นัก…”

ฉูถิงรีบกล่าวทันที “ศิษย์พี่หญิง ระหว่างการสอบเข้า เขาใช้กระบี่ไม้เอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋นจากโถงหยางพิสุทธิ์นะ”

“เอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋น?”

เยว่ชิงหงตื่นตระหนกและถาม “เขาใช้กี่กระบวนท่า”

“กระบวนท่าเดียว!”

เยว่ชิงหงสะท้านใจแล้วกล่าว “เอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋นที่ระดับขั้นวรยุทธ์เดียวกันไม่ใช่เรื่องยาก แม้แต่ข้าก็ทําได้ แต่การที่เอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋นด้วยกระบวนท่าเดียวนั้น ข้าทําไม่ได้ เขาเอาชนะศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนที่นี่ด้วยกระบวนท่าเดียว ไม่ว่าจะเป็นหมัดหรือเวทมนตร์ นี่แปลว่าเขาถึงกับเชี่ยวชาญในสามศาสตร์วิชา เขาจะไม่มีจุดอ่อนเลยหรือ ออกไปสนามรบที่ประเทศรังหมาป่าคราวนี้ ข้าได้เห็นแก่นแท้ของจุดอ่อนที่ปรากฏบนยอดฝีมือรุ่นใหญ่มากประสบการณ์ อย่าว่าแต่เด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามหาวิทยาลัย? ข้า สามารถฉวยโอกาสมองหาจุดอ่อนของเขาระหว่างที่อวิ๋นฉื่อท้าทายเขา”

วางสัมภาระลง นางรีบพาทาสหมาป่าตามไปดู

ฉินมู่พาจิ้งจอกน้อยมายังภัตตาคารหรูหราแห่งหนึ่งในเมืองหลวงและสั่งอาหารเลิศรสมาเต็มโต๊ะ กินดื่มให้สาสมใจ ฉินมู่ซึ่งนานๆ ครั้งจะใจดี ก็อุตส่าห์สั่งสุราดีไหหนึ่งมาให้ฮู่หลิงเอ๋อ และดื่ม 2 จอกเองด้วย ท้องของทั้งคู่พองกลมจากอาหารที่กินเข้าไป

ฮู่หลิงเอ๋อยังคงนั่งเหม่อระหว่างที่นางบังคับลมปีศาจลอยกลับมหาวิทยาลัยจักรวรรดิกับฉินมู่ หลังจากที่จิ้งจอกน้อยตนนี้เมามาย นางก็จะเผยร่างจริงแล้วล้มแผ่หราขาชี้กางอยู่บนลมปีศาจโดยไม่กระดุกกระดิก ดวงตาของนางจ้องไปข้างหน้าโดยไม่กะพริบ และพุงของนางก็พองหลามเหมือนงูเหลือมที่อิ่มใหม่ๆ

ฉินมู่นั้นดื่มสุราเพียง 2 จอก จึงไม่กระทบอะไรกับเขา ระหว่างทางขากลับ เขามองไปยังสถานที่สําคัญทางประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมในเมืองหลวง เมืองหลวงนี้รุ่งเรืองมั่งคั่งกว่าหลายๆ ที่ในโลก ทําให้ผู้คนหลงใหลและไม่อยากจากไป

ทั้งคู่เดินเข้าไปในประตูภูเขาและฉินมู่โบกมือข้างหน้าจิ้งจอกน้อย เขาพบว่าดวงตาของฮู่หลิงเอ๋อนั้นลืมอยู่ทั้งดวงโตและกลม ทว่ามีเสียงแผ่วเบาราวกับแมวกรนดังมาจากคอของนาง ที่แท้นางก็เมาหลับไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังสามารถควบคุมลมปีศาจให้ไปข้างหน้าต่อไป

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ เขาอุ้มนางลงจากลมปีศาจ และแขวนนางไว้ที่คอของตน ร่างของฮู่หลิงเอ๋อปวกเปียกและม้วนพันรอบคอของเขา หางของนางอยู่ที่อกของฉินมู่ ส่วนร่างนางกระดุกกระดิก 2 ทีหมายจะหาท่านอนที่สบายที่สุดเพื่อหลับต่อ

เมาง่ายขนาดนี้ แต่นางก็ยังชอบดื่มอีกนะ

ฉินมู่ส่ายหน้า จากนั้นเดินมุ่งหน้าขึ้นไปตามทางภูเขา ฮู่หลิงเอ๋อยังคงหลับสนิท และรู้สึกว่าการนอนขดพันคอฉินมู่นั้นสบายสุดๆ

เมื่อเขาเดินมาใกล้หน้าผาหัก ฉินมู่ก็ลดความเร็วลงทันที ฮู่หลิงเอ๋อรู้สึกราวกับว่ามีเข็มแทงออกมาจากคอของฉินมู่และทิ่มพุงนาง นางจึงขยับหนีหามุมนอนใหม่ แต่ก็ยังรู้สึกถึงสัมผัสทิ่มแทงนั้นอยู่

จิ้งจอกน้อยเปลี่ยนท่าอีกสองสามท่า แต่ก็ไม่รู้สึกสบายสักที ราวกับว่าฉินมู่ได้แปลงร่างเป็นเม่นตัวใหญ่ นางหลิ่วตาง่วงงุนขึ้น มาแล้วใช้อุ้งเท้ายื่นไปแตะคอของฉินมู่ นางไม่พบว่ามีหนามจริงๆ โผล่ แต่ความรู้สึกทิ่มแทงดังกล่าวกลับมีอยู่

หรือว่าคุณชายจะกลับร่างเดิมเป็นปีศาจจิ้งจอก

จิ้งจอกขาวยังคงพิศวงสงสัย ขณะที่ฉินมู่หยุดเท้ายืนมอง ในตอนนั้นเองฮู่หลิงเอ๋อจึงสังเกตเห็นบุคคลผู้หนึ่งยืนอยู่บนยอดผาชันตรงหน้าฉินมู่ จีวรขาวของหลวงจีนสะบัดไหวไปตามลมของผู้ยืนอยู่บนหน้าผา และมองตรงลงมาที่พวกเขา

“ฉินมู่?” หลวงจีนจีวรขาวถาม

ฉินมู่พยักหน้า “ใช่ แล้วเจ้าคือ?”

หลวงจีนจีวรขาวยกฝ่ามือข้างหนึ่งประนมครึ่งที่หน้าอก ด้วยรอยยิ้มอุ่นเขาดูเหมือนพุทธองค์ ด้วยเสียงอันล่องลอยของเขาฟังเหมือนเสียงพุทธะ “เจ้าได้สร้างความปั่นป่วนและพยศยากสยบ ดังนั้นหลวงจีนน้อยผู้นี้จึงมาเพื่อเปิดดวงตาเห็นธรรมให้เจ้าและสยบความผยองของเจ้าโดยเฉพาะ ชักอาวุธเจ้าออกมา!”

ฉินมู่งงงันและกล่าว “ศิษย์พี่ ท่านยังไม่ได้บอกกล่าวนามของท่าน”

หลวงจีนจีวรขาวมีใบหน้าอันเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและท่วงท่าสูงสง่าของพุทธองค์ที่เขามีเมื่อครู่ก็สาบสูญไปไม่มีเหลือ เขากระโดดลงจากยอดผา พุ่งหัวปักพื้นโจมตีใส่ฉินมู่พลางฉีกยิ้ม “เมื่อเจ้ารับฟังธรรมจากข้าแล้ว เจ้าก็จะรู้นามของข้าเอง!”

ร่างของเขาอยู่กลางอากาศ เสียงคํารามของมังกรและช้างสารพลันแผดก้องออกมา ฉินมู่เงยหน้าขึ้นมองและเห็นแสงรัศมีของพุทธองค์แผ่เจิดจ้าจากเงารูปของพุทธองค์ที่มีมังกรพัวพันและขี่ช้างเผือกบุกตะลุยเข้ามาใส่เขาจากเบื้องบน!

มันเป็นภาพอันเกิดขึ้นจากปราณชีวิตของหลวงจีนจีวรขาว ปราณชีวิตของเขานั้นหนาแน่นยิ่งกว่าบัณฑิตคนอื่นๆ และแทบไม่ด้อยไปกว่าของนักพรตหลิงอวิ๋น!

การจู่โจมนี้น่าจะเป็นเพลงหมัดผสมกับวิชาคาถา วิชาคาถานั้นเป็นการจู่โจมที่พุ่งเป้าไปยังวิญญาณ และเพลงหมัดมังกรขนดขี่คชสารนั้นเป้าหมายจู่โจมที่พุ่งเป้าไปที่กายเนื้อ

สองการจู่โจมประสานเป็นหนึ่งสร้างรูปเงาของมังกรขนดคํารามและช้างสารร้องแปร้แปร๋นอันมีพุทธองค์ขี่มา การจู่โจมแทบจะเข้าขั้นทักษะเทวะ อันแสดงให้เห็นว่าหลวงจีนจีวรขาวนั้นมีกําลังฝีมือเหนือลํ้าไม่ใช่เล่น

ฉินมู่ใจฮึกเหิมขึ้นมา และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้น ในที่สุดเขาก็พบกับยอดฝีมือ!

นับตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในเมืองหลวง บัณฑิตที่เขาพบพานนั้นก็เหมือนๆ กับฉูถิง แม้แต่ครูผู้สอนอย่างนักพรตหลิงอวิ๋นนั้นก็เสียท่าด้วยกระบี่เดียวของเขา ทําให้เขาไม่มีโอกาสที่จะต่อสู้ด้วยกําลังเต็มพิกัด

ตั้งแต่ที่เขาย่างเท้าเหยียบดินแดนแห่งสันตินิรันดร์ เขาก็พยายามทําตัวเป็นผู้มีอารยะและรู้สึกเหนื่อยหน่ายกับมันอย่างยิ่ง ลึกในกระดูกดําของเขาแล้ว เขาคือผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งเขตป่าเถื่อนแดนโบราณวินาศ เขาคือคนดุร้ายเหี้ยมหาญ ผู้ซึ่งกล้าลงไปสังหารมังกรไร้เขาในแม่นํ้า หรือบุกขุนเขาเพื่อจับตัวสัตว์พิสดารด้วยมีดเพียงเล่มเดียว!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version