Skip to content

Tales of Herding Gods 137

ตอนที่ 137 จ้าวลัทธิน้อยและเต๋าจื่อ

สภาวการณ์ของฉินมู่ตอนนี้ดูเหมือนเดินละเมอ เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งในขณะที่เขากําลังหลับอยู่ แต่กระนั้นเขาก็สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวและหลบหลีกอุปสรรคกีดขวางได้ สิ่งที่ทําให้เฉินหว่านอวิ๋นงุนงงที่สุดก็คือระหว่างที่ฉินมู่วิ่งไป เขาถึงกับร่ายรําเพลงหมัด วิชาขา อันเรียกลมกระหึ่มจากกระบวนท่าอันร้ายกาจเหล่านั้น!

เดี๋ยวๆ เขาก็ชักมีดเชือดหมูออกมา ฟาดทางโน้นที ทางนี้ที

“ศิษย์น้องฉินมีพละกําลังแข็งแกร่งปานนี้ แต่เขาก็ยังอุตส่าห์ฝึกปรือหนักกว่าคนอื่นๆ ขนาดว่าเขากําลังหลับอยู่ก็ไม่ลืมที่จะฝึกวิทยายุทธ์ ถึงแม้ว่าปฏิภาณความเข้าใจของเขาจะขาดพร่อง แต่ความขยันของเขาคู่ควรแก่การเอาเยี่ยงอย่าง!”

เฉินหว่านอวิ๋นเห็นแล้วก็ฮึกเหิมมีแรงบันดาลใจใหญ่หลวง และกลับเรือนพักของตนไปเพื่อฝึกวิชาอย่างขยันขันแข็ง

อย่างไรก็ตาม ฉินมู่มิได้หลับไหลไปโดยสิ้นเชิง สภาวะของเขามิใช่การเดินละเมอแต่เป็นวิธีพิเศษจําเพาะของตนในการฝึกวิทยายุทธ วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะนั้นมีความแตกต่างในการฝึกปรือจากวิชาของคนทั่วไป เมื่อเขาวิ่งตะบึงไประหว่างที่โคจรปราณตามวิชา ความเร็วการฝึกปรือของเขาก็จะเร็วยิ่งขึ้น ใขณะที่สมองของเขากําลังพักผ่อน หมัดและขาของเขาใช้กระบวนท่าเองจากความทรงจําของกล้ามเนื้อ

ฉินมู่ใช้วิธีการฝึกปรือเช่นนี้เพื่อเร่งรัดความก้าวหน้าวิทยายุทธ์ของตนไปอย่างก้าวกระโดด แต่เมื่อเขาเข้ามายังจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เขาก็ได้เรียนรู้มารยาททางสังคมต่างๆ ของสันตินิรันดร์ ทําให้เขามิได้ฝึกปรือเช่นนี้อีกต่อไป

ฉินมู่วิ่งตะบึงไปได้ 2 ชั่วโมง เขาก็ตื่นขึ้นมา และรู้สึกสดชื่นอย่างสุดๆ

ตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่คุ้นหู “เจ้าพักผ่อนพอหรือยัง”

ฉินมู่รีบหันกลับไปคารวะทักทาย “ปรมาจารย์”

ในตอนนั้นไม่มีใครหลงเหลืออยู่บนภูเขา เพราะแม้แต่คณบดี ครูผู้สอนและบรรณารักษ์ลับก็กลับไปพักผ่อนกันทั้งหมด พวกเขาก็ได้เงี่ยหูฟังคําบรรยายของราชครูมาตลอด 2 วัน 2 คืนโดยไม่ได้พักเลยต้องกลับไปฟื้นฟูตนเอง

ปรมาจารย์เยาว์ยิ้มแล้วกล่าว “เจ้าคิดอย่างไรกับการบรรยายของราชครู”

ฉินมู่อุทานด้วยความชื่นชม “ราชครู ตัวตนที่ยิ่งใหญ่ประดุจเทพสวรรค์ ความคิดของเขาเป็นสิ่งที่คนธรรมดามิกล้าจะคิด และเขาก็ทําในสิ่งที่คนธรรมดามิกล้าจะทํา เขานั้นนับว่าไร้ที่เปรียบเทียมทัน”

ปรมาจารย์เยาว์เดินลงไปตามทางภูเขาแล้วถาม “แล้วเจ้าเรียนรู้วิชากระบี่ที่ราชครูสอนไปได้เท่าไรล่ะ”

“ข้ามิกล้ากล่าวว่าเรียนรู้โดยครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ก็ได้ประมาณหนึ่ง”

ฉินมู่กล่าวต่อ “เรียนกระบี่จากผู้ใหญ่บ้าน ข้าคิดไปว่าข้าเข้าใจความลึกลํ้าทั้งหมดของวิชากระบี่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าจะมีบางอย่างที่ข้ายังมิได้เรียนรู้”

ปรมาจารย์เยาว์กล่าว “คํากล่าวที่ว่ากันว่า ‘การเรียนรู้เป็นเรื่องที่ไม่รู้จบ’ นั้นผิดพลาด จริงๆ แล้วควรจะเป็น ‘การสร้างสรรค์เป็นเรื่องที่ไม่รู้จบ’ เสียมากกว่า เจ้านั้นยังเยาว์อยู่มากและยังต้องซึมซับสิ่งที่ผู้อื่นสร้างสรรค์เอาไว้ เมื่อความรู้ของเจ้าสั่งสมจนถึงจุดหนึ่ง เจ้าจะต้องทดลองสร้างสรรค์ด้วยตนเอง หากว่าเจ้าเอาแต่เรียนตาม เจ้าก็จะเป็นแค่นักเรียนแต่เมื่อใดที่เจ้าสร้างสรรค์กระบวนท่า เจ้าก็จะเป็นอาจารย์”

เมื่อพวกเขาเดินมาถึงผนังผาหยก พวกเขาก็เห็นนักพรตหนุ่มและเฒ่านั่งอยู่หน้าประตูภูเขาของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

ปรมาจารย์เยาว์เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่เชิงยิ้ม “ข้าได้เชื้อเชิญราชครูมาที่นี่เพื่อสั่งสอนและให้คําบรรยาย บัดนี้เขาก็ได้พูดอธิบายมาตั้ง 2 วันและเจ้าก็ได้ประโยชน์ไปตั้งมากมาย เจ้ายังไม่ลงไปอีกหรือ”

ฉินมู่ถอนหายใจ “ตราบเท่าที่ปรมาจารย์มีคําสั่ง ศิษย์หรือจะกล้าขัดขืน”

ปรมาจารย์เยาว์แค่นเสียงหยันแล้วเตะเขาลงจากหน้าผา “เด็กดื้อทําเป็นพูดดี! พวกเขามาขวางประตูอยู่ตั้งนานแต่ข้าไม่เห็นเจ้าจะกระดิก หากว่าเจ้าไม่ได้ผลประโยชน์ก้อนใหญ่ มีหรือที่จะเต็มใจไป? นี่เจ้ายังไม่ไปอีกหรือ”

ฉินมู่ร่วงลงมายังพื้นและปัดก้นตนเองไปมาระหว่างที่เขาเดินไปทางประตูภูเขา

ในตอนนั้น ไม่มีบัณฑิตจักรวรรดิคนไหนอยู่รอบ ๆ ประตูภูเขา เนื่องจากกําลังหลับและพักผ่อนกันอยู่ มีแต่ 2 นักพรตที่ยังอยู่นอกประตูภูเขาอย่างโดดเดี่ยว ไม่ไกลกันนักมีสัตว์พิสดารที่กําลังเฝ้าประตูภูเขา สัตว์พิสดารตนนี้มีศีรษะมังกรและร่างกายของกิเลน มันมีโซ่โยงผูกไว้และกําลังงีบหลับ

เต๋าจื่อหลินเสวียนเห็นฉินมู่เดินตรงมาและหัวใจเขาสั่นสะท้านเล็กน้อย เขามองไปทางตันหยางจื่อแล้วร้องเรียก “อาจารย์อา…”

ตันหยางจื่อเผยอเปลือกตาขึ้นและมองไปยังฉินมู่ “ไปสิ ราชครูสันตินิรันดร์มาบรรยายให้กับเหล่าบัณฑิต เพียงเพื่อฝึกฝนบ่มเพาะคนผู้นี้ เจ้าไม่ต้องห่วงกังวลหากว่าพ่ายแพ้”

เต๋าจื่อหลินเสวียนรับคํา จากนั้นลุกขึ้นยืนและต้อนรับฉินมู่ คลื่นปราณชีวิตของทั้งคู่ปะทะซึ่งกันและกัน ทั้งคู่หยุดยั้งเท้าและโค้งคารวะทักทาย

ฉินมู่กล่าว “บัณฑิตจักรวรรดิฉินมู่ น้อมพบเต๋าจื่อหลินเสวียน ข้าอยู่ในขั้นห้าธาตุ”

เต๋าจื่อหลินเสวียนตอบกลับไปอย่างสุภาพเคารพ “เต๋าจื่อหลินเสวียน น้อมพบบัณฑิตฉิน ข้าอยู่ในขั้นหกทิศ และจะปิดผนึกสมบัติเทวะหกทิศ”

เขาปิดผนึกสมบัติเทวะหกทิศของตนและฉินมู่ก็กล่าว “เต๋าจื่อ ต้องการใช้อาวุธหรือไม่”

เขาดึงไม้เท้าไผ่ออกมาจากหลัง แล้วถอดมีดเชือดหมูออก จากนั้นก็ถอดค้อนเหล็ก ตามด้วยกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ ขณะที่เต๋าจื่อหลินเสวียนจะกล่าวตอบไป ตันหยางจื่อก็โพล่งขึ้นมาทันที “ไม่จําเป็นต้องใช้อาวุธ ใช้เพียงวิชา ทักษะเทวะ และการต่อสู้ประชิดตัวก็พอ”

เต๋าจื่อไม่เข้าใจ แต่เขาก็วางแส้หางม้าของตนลงไป “ในเมื่อพี่ฉินกล่าวเช่นนั้น ข้าขอไม่ใช้อาวุธ”

ตันหยางจื่อลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ และถอนสายตาออก จากกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ หากว่าพวกเขาใช้อาวุธต่อสู้กันจริงๆ เต๋าจื่อก็จะเสียเปรียบเป็นอย่างยิ่ง รูปลักษณ์ของกระบี่นั้นทําให้ใจเขาเต้นแตกตื่น ฝักกระบี่มีปากเป็นปลามังกรและดูเหมือนจะเป็นกระบี่ประจําตําแหน่งขุนนางชั้นหนึ่ง

หากว่ามันเป็นของจริง แส้ปัดหางม้าของเต๋าจื่อหลินเสวียนก็จะแตกทําลายไปในวินาทีที่อาวุธสัมผัสกันและไม่มีความจําเป็นต้องต่อสู้ประลองอีกต่อไป

ฉินมู่เผยอยิ้ม จากนั้นเนตรสวรรค์สองชั้นก็ปรากฏในแก้วตาของเขา หลังจากเปิดเนตรสวรรค์และเนตรสวรรค์เขียวติดๆ กัน พื้นที่เขาเหยียบอยู่ก็จมลงไปในทันที และหินอ่อนปูพื้นพลันแตกร้าวส่งเศษหินแตกกระเด็นลอยขึ้นมาจากแรงสั่นสะเทือน

“ฮ่า!”

ฉินมู่หายใจออกและกู่ร้องเมื่อซัดกําปั้นออกไป เศษหินอ่อนหลายร้อยชิ้นที่ลอยขึ้นมากลางอากาศพลันแหลกละเอียดกว่าเดิม จากหมัดของเขา หินก้อนใหญ่สุดที่หลงเหลือกลายเป็นเล็กเท่าเม็ดถั่วเขียวและที่เล็กที่สุดก็เท่าเมล็ดงา!

หินแตกละเอียดนับไม่ถ้วนเหล่านั้นพุ่งตามพลังหมัดและจู่โจม ใส่เต๋าจื่อหลินเสวียน!

อ๊าง

เสียงมังกรคํารณดังกึกก้องและพลังในหมัดของเขาพลันผสมผสานเข้ากับเศษหินละเอียด เปลี่ยนมันให้กลายเป็นมังกรทรายที่พุ่งทะยานเข้าใส่เต๋าจื่อหลินเสวียนราวกับมังกรเทพยดาตัวเป็นๆ!

ในจังหวะเดียวกันนั้น ท่าเท้าเขาก็ย่างก้าวไปราวกับเงาภูตผี ด้วยความเร็วอัศจรรย์ เขาพุ่งปราดตามพลังหมัดไปติดๆ และเข้าประชิดข้างตัวเต๋าจื่อหลินเสวียน

เต๋าจื่อตื่นตระหนก ดวงตาข้างหนึ่งเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีขาว และอีกข้างแปรเปลี่ยนเป็นสีดํา มือของเขาสร้างผนึกใช้มุทรา ฝ่ามือประดุจหยกของเขาเหมือนกับตราประทับหยก ตราประทับหยกนี้เหมือนกับขุนเขา และข้างใต้ตราประทับมีรูปนกแปลกประหลาด

พร้อมกับอักษรยึกยือที่พิลึกพิสดารไม่แพ้กัน มุทรานี้นํามาซึ่งรัศมีอันโบราณและเรียบง่ายเมื่อมันเผชิญหน้ากับมังกรเลือดบริสุทธิ์

มุทราพลิกสวรรค์!

พลังของทั้งคู่พุ่งไปข้างหน้า และเสียงตูมอันทึบหนักสะท้านโลกหล้าก็ดังออกมา ราวกับเสียงสายฟ้าฟาดที่ห่อหุ้มไว้ด้วยเมฆสายฟ้าหนาทึบจนมิอาจส่งกระจายไปได้

กิเลนหัวมังกรที่อยู่หน้าประตูภูเขาได้ยินเสียงระเบิดทึบๆ นี้จึงโงหัวขึ้นมาเหลียวมองรอบๆ ด้วยความงุนงง

ฉินมู่รู้สึกว่าพายุสายฟ้าเก้ามังกรของเขาเหมือนจะปะทะเข้ากับกําแพงอันสูงลิ่วจากฟ้าจรดดิน ซึ่งพละกําลังของเขามิอาจทะลุทะลวงผ่านกําแพงนี้ได้ ทําให้เขาลิงโลดขึ้นมาทันที

เต๋าจื่อผู้นี้ไม่ ธรรมดาจริงๆ! เขาแข็งแกร่งกว่าบัณฑิตทุกคนที่ข้าเคยพบมากนัก!

พายุสายฟ้าเก้ามังกรอาจจะดูเขื่องโขเกรี้ยวกราดจากภายนอก แต่อันที่จริงแล้วมันเป็นกระบวนท่าอันซับซ้อนประณีตที่แฝงฝังไว้ด้วยพลานุภาพของ 45 มังกรอยู่ในนั้น พลานุภาพดังกล่าวซ่อนเร้นอยู่ใจกลางฝ่ามือ และหากผู้ใดรับฝ่ามือเขาไปซึ่งๆ หน้า พลานุภาพ 45 มังกรนี้จะทะลวงผ่านร่างกายของคนผู้นั้นและสร้างความเสียหายร้ายแรงแก่อวัยวะภายใน

มุทราพลิกสวรรค์นี้ของเต๋าจื่อหลินเสวียนกลับสามารถสร้างพลังป้องกันอย่างมิอาจเจาะทะลุไปได้ และสามารถปัดป้องพลานุภาพ 45 มังกรที่ซ่อนอยู่ใจกลางฝ่ามือระหว่างที่พวกเขาประมือกัน นี่แสดงให้เห็นว่าเต๋าจื่อแข็งแกร่งเพียงใด!

และตอนนั้นเอง เศษหินจํานวนมาก็พุ่งผ่านร่างของเต๋าจื่อหลินเสวียน

เต๋าจื่อหลินเสวียนพลันรู้สึกถึงความเย็นเยียบจับกระดูก และด้วยเนตรหยินหยางของเขา เขาก็สามารถมองเห็นว่าระหว่างหินป่นละเอียดเหล่านั้นมีเส้นด้ายปราณชีวิตละเอียดยิบเชื่อมโยงพวกมันไว้อยู่

เส้นด้ายปราณชีวิตเหล่านั้นประณีตเป็นอย่างยิ่ง และภายใต้เนตรหยินหยางของเขา เส้นด้ายปราณชีวิตเหล่านั้นอันที่จริงแล้วเป็นกระบี่เกลียวละเอียดยิบ และกระบี่ละเอียดยิบเหล่านั้นคือปราณกระบี่ที่ก่อขึ้นมาจากปราณชีวิตของฉินมู่ ปราณชีวิตเหล่านั้นซึ่งแต่เดิมซ่อนอยู่ในเศษหินทําท่าจะอาละวาดออกมาในบัดนั้น

“มุทราสลักล้อ!”

สิบนิ้วของเต๋าจื่อหลินเสวียนขยับด้วยฝ่ามือหนึ่งหงายขึ้นและอีกฝ่ามือหนึ่งควํ่าลง เสียงหึ่งพลันดังขึ้นเมื่อกงล้อ 2 กงพลันปรากฏเหนือศีรษะและใต้เท้าของเขา กงล้อเหล่านั้นก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิตและมีโครงสร้างแปลกพิสดารอันดูเหมือนว่าจะเป็นพยุหะค่ายกลชนิดหนึ่ง เพียงแต่ด้านบนและด้านล่างพยุหะจัดเรียงตรงกันข้ามกัน

ในจังหวะที่พยุหะนั้นคลี่คลุมเขา หินแหลกละเอียดเหล่านั้นก็พลันป่นเป็นผุยผงกระจายว่อนฟ้า ปราณกระบี่อันหลบเร้นภายในหินจํานวนนับไม่ถ้วนก็พลันรวมตัวเข้าด้วยกันและก่อรูปเป็นมังกรเขียวปราณชีวิต ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนสร้างเรือนกายของมังกรเขียวและมันก็เคลื่อนไหวไปมาด้วยอย่างดุร้าย!

ท่วงท่ากระบี่เกลียว!

ระหว่างกงล้อ 2 กงที่หมุนสวนกันพลันปรากฏกระบี่ละเอียดยิบจํานวนมากอันก่อรูปเป็นม่านกระบี่ ปะทะเข้ากับมังกรเขียวดุร้าย ปราณกระบี่พลันแตกหักกระจัดกระจายไปทั่วทิศ เด็กหนุ่มทั้ง 2 มิได้เพียงประชันกระบวนท่ากระบี่ แต่พวกเขายังแข่งขันปะทะพลังวัตรเช่นกัน

หากว่าบัณฑิตจักรวรรดิคนอื่นอยู่แถวๆ นี้ พวกเขาคงตะลึงพรึงเพริดจนอ้าปากค้าง เพราะตอนนี้ฉินมู่ได้ใช้ท่วงท่ากระบี่เกลียวที่ราชครูสันตินิรันดร์ถ่ายทอดให้ แต่ฉินมู่มิได้เปลี่ยนกระบี่เกลียว

ให้ก่อรูปเป็นเสากระบี่ตามที่ราชครูสอน แต่เขากลับแปรเปลี่ยนปราณกระบี่เกลียวจํานวนนับไม่ถ้วนนี้ให้กลายเป็นมังกรเขียว!

เต๋าจื่อหลินเสวียนพลันรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลเมื่อปราณชีวิตของฉินมู่สยบปราณชีวิตของเขา พลังวัตรของเขาเข้มข้นยากหาใดเปรียบ แต่พลังวัตรของฉินมู่ยังเหนือลํ้ากว่าเขา นี่มันเป็นไม่ได้ชัดๆ

วิชาเซียนเถียนสุดยอดปริศนาของสํานักเต๋าขึ้นชื่อว่าสามารถสั่งสมบ่มเพาะพลังวัตรกร้าวแกร่งมหาศาล และเมื่อเทียบพลังวัตรระหว่างผู้ฝึกในขั้นวรยุทธ์เดียวกัน ก็ไม่มีวิชาไหนจากสํานักใดที่อาจทัดเทียมกับวิชาเซียนเถียนสุดยอดปริศนาได้ แม้แต่พระสูตรมหายานยูไลที่โดดเด่นด้านนี้ก็สู้ไม่ได้!

แต่ทว่า ตอนนี้เขาพบว่าพลังวัตรของฉินมู่เหนือกว่าเขา!

เต๋าจื่อหลินเสวียนรู้สึกว่ามุทราสลักล้อของเขาจะแตกสลายได้ทุกขณะจิต และรีบแปรเปลี่ยนกระบวนท่า แม้ว่าเขาจะไม่มีแส้หางม้าในมือ แต่เมื่อเขาหงายฝ่ามือออกเส้นละเอียดเล็กจํานวนมากก็พวยพุ่งออกมา เส้นพวกนี้คือเส้นด้ายปราณชีวิต แต่ภายใต้การควบคุมของเขา มันไม่ต่างอะไรกับกระบี่ปราณชีวิตที่พุ่ง ออกไปจากกงล้อ หมายจะทิ่มเฉือนมังกรเขียวตัวนั้น

และในวินาทีที่เขาใช้กระบวนท่า ฉินมู่ที่อยู่นอกกงล้อก็เข้ามาประชิดตัวเขาแล้ว ยื่นมือออกไปคว้ากําผงธุลีจํานวนมาก ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งรวบรวมผงธุลีก่อรูปเป็นทวนเล่มหนึ่งที่ทิ่มแทงเข้าไปในกงล้ออันหมุนวน

เต๋าจื่อหลินเสวียนใช้มืออีกข้างปัดป้องด้วยมุทราพลิกสวรรค์ เพื่อยับยั้งทวนยักษ์ของอีกฝ่าย ทว่าเสียงระเบิดกึกก้องดังปะทุอย่างต่อเนื่องในหูของเขา เมื่อฉินมู่ใช้มืออีกข้างต่างมีด อันร่ายรําลมฝนราตรีถล่มเมือง ทําให้เงามีดจํานวนเหลือคณาฟาดฟันลงใส่กงล้อ

มุทราสลักล้อของเขาพลันพังทลาย และเต๋าจื่อหลินเสวียนก็รู้ทันทีว่าสถานการณ์ยํ่าแย่ ในพริบตาถัดมา เขารับการฟาดฟันนับไม่ถ้วนเข้าที่กลางอก โลหิตเขาพุ่งกระฉูดเมื่อร่างกระเด็นถอยหลังไป

เขายืมพลังบินถอยหลังไปไกลและยังคงสงบสติอยู่ เส้นแส้ของเขาทะลวงเข้าไปในร่างมังกรเขียว และเมื่อเส้นแส้ทะลุทะลวงออกจากร่างของมันทุกทิศทาง มังกรเขียวก็ถูกทําลายในที่สุด

เมื่อมังกรเขียวแตกสลาย มันก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ปราณชีวิตหลายร้อยเล่มซึ่งรวมตัวเข้าด้วยกันในพริบตา และมุดทะลวงลงไปใต้พสุธา

“แย่แล้ว!”

เต๋าจื่อหลินเสวียนผลักฝ่ามือลงเบื้องล่าง เส้นแส้จํานวนมาก ทะลวงเข้าใส่พื้นดินและยกร่างเขาลอยขึ้นไปบนอากาศ

ด้วยเส้นแส้แทนขา เขาวิ่งตะบึงบนอากาศราวกับว่าบินได้ มังกรเขียวพลันมุดขึ้นจากพื้นดิน ก่อนจะมุดหายไปอีกครา ทุกครั้งที่มังกรเขียวมุดขึ้นจากพื้น เท้าของฉินมู่ก็บังเอิญเหยียบลงบนเศียรมังกรขณะที่เขาไล่ตามเต๋าจื่อหลินเสวียนบนอากาศไปติดๆ

ฉินมู่ดีดนิ้วแต่ละนิ้วของเขา และการดีดนิ้วสร้างเสียงฟ้าคําราม ระหว่างฟ้าร้องครั่นครื้น เสียงดนตรีพลันกึกก้องขึ้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน ทําให้สีหน้าของเต๋าจื่อแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง “แย่สุดๆ เขาแย่งชิงเป็นฝ่ายจู่โจม ข้าคงได้แต่ใช้เพลงกระบี่สืบทอดของสํานักเต๋า!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version