Skip to content

Tales of Herding Gods 136

ตอนที่ 136 เดินละเมอ

ที่หน้าโถงบรมสิกขา บัณฑิตพันกว่าคนพร้อมด้วยครูผู้สอน บรรณารักษ์ลับ และคณบดีทั้งหลายล้วนแต่สะดุ้งขึ้นมาและหันไปมองตามทิศทางเสียงหัวเราะ

บัณฑิตคนหนึ่งรู้สึกสับสนและถามคนข้างๆ “เขาฟั่นเฟ้นอะไรสําเร็จนะ”

บัณฑิตข้างๆ เองก็งงไม่แพ้กัน “ข้าเหมือนจะได้ยินเขาพูดว่าเส้นด้ายปราณชีวิต…ข้าอาจจะฟังผิดก็ได้!”

ครูผู้สอน บรรณารักษ์ลับ และคณบดีเหล่านั้นต่างก็มีสีหน้าอํ้าอึ้ง เมื่อพวกเขาจะหัวเราะก็ไม่ออก รํ่าไห้ก็ไม่ได้

คณบดีป้าซานระเบิดหัวเราะแล้วกล่าว “เจ้าเด็กนี่น่าสนใจจริงๆ เส้นด้ายปราณชีวิตเป็นพื้นฐานของทุกวิชากระบี่ หากว่าเขาแม้แต่ฟั่นเฟ้นปราณกระบี่ก็ยังไม่เป็นแล้วเข้ามาในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้อย่างไร เขาไปติดสินบนผู้คุมสอบคนไหนมานะ”

“คณบดีป้าซาน ตอนนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ถึงไม่รู้เรื่อง”

ครูผู้สอนคนหนึ่งแย้มยิ้มแล้วอธิบาย “เจ้าเด็กซนนี่เรียกว่า ฉินมู่ เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ เขาเอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋นและได้รับการคัดเลือกให้เป็นบัณฑิตจักรวรรดิโดยองค์จักรพรรดิ ใครล่ะจะกล้ากีดขวางไม่ให้เขาเข้ามหาวิทยาลัยหลังจากที่ได้รับเลือกจากองค์จักรพรรดิ”

“ผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศเอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋นและได้รับการคัดเลือกจากองค์จักรพรรดิ?”

คณบดีป้าซานมองไปยังนักพรตหลิงอวิ๋นแล้วยิ้มหยัน “หลิงอวิ๋น นี่เจ้าหยวนๆ ออมมือให้เขาเรอะ หรือว่าจักรพรรดิก็โดนติดสินบนไปด้วย”

นักพรตหลิงอวิ๋นทั้งโกรธทั้งอาย ในตอนนั้นเขาถูกกระบี่ซัดทะลุโถงหยางพิสุทธิ์ กล่องกระบี่ทั้ง 2 กล่องซัดกระบี่ออกมาจนเกลี้ยงจากการใช้แทงเขา ทําให้เขาเสียหน้าอย่างแรงต่อหน้าองค์จักรพรรดิและข้าราชบริพาร รวมทั้งต่อหน้าเพื่อร่วมงานและบัณฑิตทั้งหลาย นี่เรียกว่าหยวนๆ ออมมือ?

นี่คือการรับสินบนและออมมือให้?

ไม่ใช่ว่าราคาของเขาจะสูงไปไหม

อย่างไรก็ตาม ป้าซานนั้นมีตําแหน่งคณบดีอันสูงกว่าทุกคนและตํ่ากว่าอธิการบดีเท่านั้น เขาจึงต้องระมัดระวังถ้อยคําไม่ล่วงเกินอีกฝ่าย เขาเพียงได้แต่ทําหน้าเซ็งและไม่ปริปากเพื่อจะมิได้มีเรื่องมีราว คณบดีป้าซานนี้มีกิตติศัพท์ว่าเป็นคนปากสว่างแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พูดอะไรออกมาได้หมดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ข่าวลือข่าวฉาวทั้งหลายในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิส่วนใหญ่แล้วก็แพร่ออกมาจากปากเขา นั่นจึงทําให้คนเรียกเขาลับหลังว่า ‘ปากสว่างแซ่ป้า’

หากว่าเขาถกเถียงด้วย ทีนี้ล่ะในวันพรุ่งนี้แม้แต่แม่ไก่ในเล้าไก่ก็คงจะรู้เรื่องน่าอายของเขาจนหมดไส้พุง

ในตอนนั้นเอง ฝูหยวนชิงซึ่งยืนอยู่ไกลๆ ก็ประหลาดใจ “นั่นคือศิษย์น้องร่วมอาจารย์ของข้านี่นา! เขาดูโง่ทื่อเสียจริง ท่านอาจารย์เลอะเลือนแล้ว ถึงกับไปหาเด็กโง่ๆ ไม่เอาไหนมาเป็นศิษย์!”

“อุตส่าห์ฝึกฝนมาตั้งเจ็ดแปดปี ในที่สุดข้าก็ฟั่นเฟ้นเส้นด้ายปราณชีวิตสําเร็จ!”

ฉินมู่ไม่สามารถข่มระงับความลิงโลดของเขา และมิอาจปิดบังความตื่นเต้นที่ล้นออกมาจากใจเมื่อเขามองไปที่เส้นด้ายปราณชีวิตตนตรงหน้า ในบัดนี้เขาไม่จําเป็นต้องแสดงเส้นด้ายปราณชีวิตอันใหญ่เท่าท่อนแขนอีกต่อไป และสามารถมีเส้นด้ายปราณชีวิตอันละเอียดประณีต

ระหว่างนิ้วและฝ่ามือของเขา เส้นด้ายปราณชีวิตเขาล่องลอยอย่างนุ่มนวล มันบางเท่ากับเส้นผมอันเป็นขนาดสมบูรณ์แบบ

หากผู้ใดจ้องมองอย่างใกล้ชิด พวกเขาจะเห็นว่าเส้นด้ายปราณชีวิตของฉินมู่นั้นแตกต่างจากของคนอื่นๆ

เส้นด้ายปราณชีวิตนี้ที่แท้แล้วก่อรูปขึ้นมาจากปราณกระบี่เล็กละเอียดอย่างมหัศจรรย์อันแปรเปลี่ยนหมุนวนไปไม่จบสิ้น แต่เมื่อเส้นด้ายปราณชีวิตนี้เคลื่อนไหว มันก็ยังคงว่องไวอย่างสุดๆ ว่องไว

ขนาดที่ว่าไม่มีผู้ใดจับจ้องมองทันว่าเส้นด้ายปราณชีวิตนี้มีโครงสร้างภายในซ่อนอยู่

อยากรู้จริงว่าเส้นด้ายปราณชีวิตของข้าจะยืดยาวได้แค่ไหน

ฉินมู่มองไปรอบๆ และมองหาเป้าซ้อมมือที่จะลองยืดปราณชีวิตออกไปดู และเมื่อสายตาเขากวาดผ่านราชครูสันตินิรันดร์ เขาก็สะดุ้งเล็กน้อย

ราชครูสันตินิรันดร์กำลังจ้องมองมือของเขา และสายตาราชครูก็จับจ้องไปที่เส้นด้ายปราณชีวิตอันพลิ้วไหวไปมาระหว่างนิ้วและฝ่ามือของเขา เขาดูเหมือนจะรู้สึกถึงสายตาของฉินมู่จึงเลื่อนขึ้นมองหน้า และทั้งคู่ก็สบตากัน

ราชครูสันตินิรันดร์ส่งยิ้มไปแล้วกล่าวด้วยเสียงแผ่วเบา “น่าสนใจจริงๆ…”

ฉินมู่ถอนสายตาออกไปและล้มเลิกความคิด ที่นี่มีผู้คนมากมายเกินไป ดังนั้นเขาคงไม่อาจทดลองได้

ราชครูสันตินิรันดร์รออยู่อีกครู่หนึ่งแล้วจึงกล่าว “เอาล่ะ บัดนี้ข้าจะสอนพวกเจ้าทุกคนถึงท่วงท่ากระบี่พื้นฐานใหม่ท่วงท่าที่ 2 ท่วงท่ากระบี่ว่าย กระบี่นั้นไร้พันธนาการเมื่อโบยบินขึ้นไปบนฟ้า ดังนั้นรูปลักษณ์ของกระบี่ย่อมไร้พันธนาการด้วย กระบี่ย่อมแหวกว่ายได้คล้ายกับมัจฉาที่ว่ายไปในนํ้า และคล้ายกับมังกรแหวกว่ายไปในคลื่นสมุทร เหมือนกับงูแหวกว่าย เหมือนกับหงส์เพลิงที่ร่อนไปในอากาศ เหมือนกับเซียนเหาะเหิน ดังนั้นเหตุใดเราต้องยึดติดกับท่วงท่ากระบี่พื้นฐานของบรรพชน”

จิตวิญญาณฉินมู่สั่นสะท้าน ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานท่วงท่าที่ 2 ที่ราชครูสันตินิรันดร์คิดค้นขึ้นนั้นก็ยังเหมือนสายลมอันสดชื่นที่พัดพามาสู่ผู้คน ทําให้พวกเขาได้เปิดหูเปิดตา ราวกับว่ามีประตูใหม่เปิดขึ้นมาและพวกเขาสามารถมองออกไปเห็นโลกกว้างกว่าที่เคย

ข้าคิดถูกจริงๆ ที่มามหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ปรมาจารย์เยาว์ช่างมีปัญญาญาณ เขาขบคิดในใจ

ที่หน้าประตูภูเขา ตันหยางจื่อเงยหน้าขึ้นมองทะลุผ่านวังและตําหนักหลายต่อหลายชั้นบนภูเขาหยก มีพืชพรรณจํานวนมากแน่นขนัดบนภูเขาอันถูกย้อมให้เป็นหยกด้วยปราณเก้ามังกร ระหว่างนั้นสายลมก็พัดพาเอาเสียงของราชครูสันตินิรันดร์มาเป็นครั้งคราว อันมาทีละแค่ประโยคสองประโยค แต่เมื่อเขาได้ยินมัน เขาก็รู้สึกราวกับว่าทุกสิ่งพลันกระจ่างแจ้ง

“อาจารย์อาตันหยางจื่อ” เต๋าจื่อหลินเสวียนก็ได้ยินเสียงเบาบางดังมาจากภูเขาเช่นกัน

เขาลังเลครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ผู้ที่กําลังกล่าวบรรยายบนภูเขานั้นใช่ราชครูสันตินิรันดร์หรือไม่ ข้าได้ยินบ้างเสียงประโยคสองประโยคและได้รับประโยชน์มหาศาลจากคําชี้แนะของเขา ผิดจากที่ข้าคาดหมายไว้ ข้าคิดว่า…”

ตันหยางจื่อแย้มยิ้มแล้วกล่าว “ไม่เป็นไร เจ้าพูดมาเถอะ”

เต๋าจื่อหลินเสวียนรวบรวมความกล้าแล้วกล่าว “แม้ว่าข้าจะไม่ได้ยินคําสั่งสอนของเขาที่มีต่อบัณฑิตอย่างครบถ้วนแต่ขีดขั้นวิชากระบี่ของเขาได้บรรลุไปถึงพรมแดนอันเกินจินตนาการ แม้ว่าวิชาที่ถ่ายทอดมาของสํานักเต๋าจะมีรายละเอียดอันแข็งแกร่งและลึกลํ้า ทั้งยังครอบคลุมถ้วนทั่ว แต่ความเข้าใจของเขาเหมือนจะเหนือลํ้ากว่าของสํานักเต๋า ศิษย์คิดว่าบางทีราชครูอาจจะหมายที่จะขับเคลื่อนเต๋า วิชา และทักษะเทวะไปข้างหน้าอีกขีดขั้นจริงๆ ถ้าอย่างนั้น ทําไมเราถึงมาขวางประตู”

ตันหยางจื่อยิ้มกล่าว “เต๋าจื่อ นอกจากฟังคําพูดของบุคคลแล้ว เจ้าต้องดูการกระทําของเขาด้วย นี่จึงเป็นมรรคาแห่งชีวิต พรสวรรค์ของราชครูสันตินิรันดร์นั้นมิมีผู้ใดปฏิเสธได้ ครั้งกระโน้นเมื่อเขาได้พบเจ้าสํานักเต๋า เจ้าสํานักเองก็คาดว่าเขาน่าจะเป็นอัจฉริยะในรอบ 500 ปีและกลายเป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ใน อนาคต นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าสํานักประเมินเขาไว้สูงลํ้าเพียงใด แต่อะไรจะเกิดขึ้นหากว่าเขามิได้กลายเป็นนักบุญและกลายเป็นมารปีศาจแทน”

เต๋าจื่อหลินเสวียนพิศวง

ตันหยางจื่อยิ้มหยัน “ด้วยอิทธิพลอํานาจของเขา เขาสามารถผลักดันเต๋า วิชาและทักษะเทวะให้รุดหน้าไปได้ แต่เขากลับมีความทะเยอทะยานแบบหมาป่าเลี้ยงไม่เชื่องและหมายจะสยบทุกลัทธิและสํานัก ไม่หลงเหลือที่ทางให้พวกเขาได้อยู่รอดต่อไป นี่คือประเด็นหนึ่ง อีกประเด็นหนึ่งนั้นก็คืออันจริงแล้วหนทางที่ราชครูสันตินิรันดร์ใช้นั้นมันคือคําสั่งสอนของลัทธิมารฟ้า! ลัทธิมารฟ้าคือเต๋าอันเทียมเท็จภายใต้นักบุญปลอมแปลงอันโฉมที่แท้จริงคือฝึกฝนหล่อเลี้ยงหนทางมาร ราชครูสันตินิรันดร์ส์มคบคิดกับลัทธิมารฟ้าและเป็นศัตรูของหนทางเที่ยงธรรมอย่างพวกเรา!”

เต๋าจื่อหลินเสวียนจิตใจสั่นสะท้านด้วยความกลัวและกล่าว “ความดีและความชั่วไม่อาจดํารงอยู่ร่วมกัน เมื่อเขาเข้าร่วมหนทางมาร ยิ่งเขาเปี่ยมพรสวรรค์มากเท่าไร ก็ยิ่งเป็นภัยร้ายมากเท่านั้น!”

ตันหยางจื่อพยักหน้าและกล่าว “เขาเปิดโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ อันก่อประโยชน์บ้างก็จริงแต่ก็มีผลร้าย เจ้าสํานักสอนเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก และจนบัดนี้เจ้าก็ยังศึกษาภายใต้การชี้แนะของเจ้าสํานักเต๋า พวกครูอาจารย์ที่อยู่ในโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยจักรวรรดิพวกนั้นจะมีความรู้ความสามารถเท่ากับเจ้าสํานักเต๋าได้หรือ ราชครูสันตินิรันดร์เปิดสถานศึกษาต่างๆ อาจดูเหมือนให้โอกาสคนมากมายได้ฝึกฝนเป็นยอดฝีมือ แต่ในขณะเดียวกันมันก็สะบั้นหนทางการฝึกปรืออัจฉริยะ นี่คือสาเหตุหลักที่สํานักเต๋าต่อต้านเขา”

สีหน้าเขามืดครึ้มเมื่อกล่าวต่อ “เต๋าทั้งหลาย วิชาและทักษะเทวะล้วนถูกขับเคลื่อนผลักดันโดยอัจฉริยะ อัจฉริยะเยี่ยงราชครูสันตินิรันดร์ ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตธรรมดาสามัญและรู้จักแต่รํ่าเรียนเพื่อใช้สอย ไม่มีความคิดริเริ่มหรือแรงขับดันที่จะเปิดพรมแดนขอบฟ้าใหม่ๆ ราชครูสันตินิรันดร์กำลังสร้างโศกนาฏกรรมอันลึกลํ้าและยาวนานด้วยการสะบั้นหนทางการฝึกฝนยอดอัจฉริยะ! โดยกระจายโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิออกไปทั่วดินแดน ทุกผู้คนก็สามารถเข้ามารํ่าเรียนและกลายเป็นยอดยุทธ์อันโดดเด่น แต่ว่าทุกผู้คนก็จะสิ้นไร้ความสําเร็จใหม่เหมือนกับขนมไหว้พระจันทร์ที่เคาะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ถ้าอย่างนั้นแล้วใครล่ะจะสามารถสร้างยอดอัจฉริยะแบบเต๋าจื่อได้ นี่คือสาเหตุว่าทําไมสํานักต่างๆ ถึงต้องดํารงอยู่ และหากเขามองไม่เห็นประเด็นนี้ สํานักเต๋าเราก็จะยืนหยัดหัวชนฝาต่อต้านเขาให้ถึงที่สุด”

เต๋าจื่อหลินเสวียนเข้าใจที่เขากล่าว และหัวใจของเขาก็ลุกโชนด้วยไฟแห่งการต่อสู้

ตันหยางจื่อยิ้มกล่าว “เจ้าสามารถมองราชครูสันตินิรันดร์ว่าเป็นศัตรูได้ แต่เจ้าไม่ควรต่อต้านเต๋า วิชา และทักษะเทวะของเขา เพื่อมิให้มุมมองโลกทัศน์ของเจ้าคับแคบ”

การบรรยายนี้ของราชครูสันตินิรันดร์ดำเนินไปตลอด 2 วัน 2 คืนโดยไม่หยุดพัก มีหลายคนที่ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปและง่วงเหงาหาวนอน บางส่วนถึงกับนอนหลับอยู่หน้าโถงบรมสิกขา และบางส่วนก็กลับไปนอนที่เรือนพักตน

ฉินมู่และบัณฑิตคนอื่นๆ ที่มีพลังวัตรแข็งแกร่งยังคงเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวาและรับฟังคําบรรยายของเขาอย่างใจจดใจจ่อ ต่างกันก็แค่เขาอยู่ขั้นวรยุทธ์ห้าธาตุ แต่คนอื่นๆ นั้นหากไม่ใช่ขั้นหกทิศก็เป็นขั้นเจ็ดดาว

ท่วงท่ากระบี่ท่วงท่าที่ 3 ที่ราชครูสันตินิรันดร์กล่าวถึงนั้น เรียกว่า เจาะ ซึ่งแปลกพิลึกอย่างยิ่ง

เมื่อกระบี่เดียวถูกช่วงใช้ ปลายกระบี่ก็จะหมุนอย่างรวดเร็วและมันเหมาะใช้ทะลุทะลวงวิชาสายป้องกันทั้งปวงอย่างเช่นร่างวัชระ และเมื่อหลายกระบี่ถูกใช้พร้อมๆ กัน มันก็ยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่

หลายกระบี่รวมกันสามารถก่อรูปเป็นท่วงท่ากระบี่เจาะขนาดยักษ์ที่สามารถทะลวงทําลายทุกสรรพสิ่ง!

ภายใน 2 วันนี้เขาบรรยายเพียงแต่ 3 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานและไม่กล่าวถึงอะไรอื่น เวลาที่เหลือเขาให้บัณฑิตจักรวรรดิทั้งหลายถามปัญหาไขข้อสงสัย เมื่อเขาตอบข้อสงสัยจนหมดสิ้นแล้ว ราชครูสันตินิรันดร์ก็ลุกขึ้นและกล่าวพร้อมรอยยิ้มกับปรมาจารย์เยาว์ “ข้าจะให้เวลาบัณฑิตเหล่านี้นอนหลับพักผ่อน หรืออื่นๆ สักครึ่งวัน ส่วนหลังจากนั้นคงต้องรบกวนท่านรับช่วงต่อ”

ปรมาจารย์เยาว์เผยยิ้ม “ด้วยพรสวรรค์ไร้เทียมทานของราชครู เจ้าเล็งเห็นอัจฉริยะน่าจับตาคนไหนบ้างไหม”

ราชครูสันตินิรันดร์ผงกหัว “มีแค่คน 2 คนเท่านั้นที่รับการถ่ายทอดวิชากระบี่ของข้า อธิการบดีก็คงสังเกตเห็นพวกเขาแล้วเช่นกัน จริงสิ ท่านจะลาออกแล้วไปจากที่นี่จริงๆ น่ะหรือ”

ปรมาจารย์เยาว์พยักหน้า “ข้าเหลืออายุขัยไม่มากและไม่มีความปรารถนาที่จะนอนกอดอิทธิพลอํานาจไปจนตาย”

ราชครูสันตินิรันดร์ถอนหายใจด้วยความเสียดาย “เมื่อใดกันที่ท่านปรารถนาจะกอดอิทธิพลอํานาจ หากว่าท่านต้องการตําแหน่ง ต่อให้ตําแหน่งราชครูสันตินิรันดร์ข้าก็พร้อมจะหลีกทางให้ท่าน! แต่เพราะท่านไม่ต้องการน่ะสิ ท่านเป็นอาจารย์ของข้าครึ่งนึง และหากท่านจากไปจริงๆ ข้าคงเศร้าเสียใจ ต่อไปนี้สหายเต๋าของข้าคงลดน้อยถอยไปอีกหนึ่ง”

ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้ม “ในใต้หล้านี้ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา พวกเราเข้าร่วมงานเลี้ยงเมื่อถือกําเนิดเกิดมา และจากงานเลี้ยงไปเมื่อสิ้นสุดชีวิต ตอนนี้ได้เวลาที่ข้ากับเจ้าจะต้องลาจากกันไปคนละทาง”

ราชครูสันตินิรันดร์เงยหน้ามองฟ้าและพึมพํา “ไม่รู้ว่าบนท้องฟ้าจะมีเซียนผู้อมตะอยู่หรือไม่ คงจะดีไม่ใช่น้อยหากท่านกลายเป็นเซียนอมตะบนท้องฟ้าและได้เฝ้ามองยุคสมัยที่ท่านและข้าร่วมกันสร้าง…”

เขาส่ายหน้าจากนั้นตรงไปขึ้นเรือเหาะอันค่อยๆ ลอยเลื่อนไปจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ

เหล่าพ่อครัวจากโรงครัวเข็นรถอาหารมาที่หน้าโถงบรมสิกขา และเรียกบัณฑิตทุกคนที่นั่งอยู่บนพื้นมารับประทานอาหารที่หน้าโถง จากนั้นปรมาจารย์เยาว์จึงสั่งให้บัณฑิตทั้งหลายกลับไปยังที่พักของตนเองเพื่อพักผ่อนครึ่งวันและตื่นมาใหม่เมื่อเสียงระฆังดัง

ฉินมู่และคนอื่นๆ กลับไปยังบัณฑิตนิเวศน์ และเมื่อเขาเดินผ่านเรือนพักของเฉินหว่านอวิ๋น เขาก็พบว่าเฉินหว่านอวิ๋นยังคงไม่หลับนอนและกําลังฝึกปรืออย่างขะมักเขม้น

“ศิษย์พี่เฉินเป็นตัวอย่างที่ควรเรียนรู้ตามจริงๆ…” ฉินมู่รู้สึกมีแรงบันดาลใจ และกลับไปที่เรือนพักของตนเพื่อวางจิ้งจอกน้อยที่หลับสนิทไปเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาจึงย่างเท้าอย่างช้าๆ พลางโคจรวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะไปด้วย

ความเร็วการเดินของเขาเร็วขึ้นทุกทีทุกที จนกระทั่งเขาจมจ่อมลงไปในสภาวะกึ่งหลับระหว่างที่ฝึกวิชา

ไม่นานนักเฉินหว่านอวิ๋นก็ได้ยินเสียงวืด และเห็นฉินมู่วิ่งตะบึงผ่านประตูหน้าลานบ้านของเขา เขารีบวิ่งตามไปทันที และเห็นว่าดวงตาของฉินมู่หรี่ปรือระหว่างที่เขาตะบึงข้ามภูเขาทั้งลูกอย่างไม่หยุดยั้ง เขาตะลึงพรึงเพริดอย่างช่วยไม่ได้ “เดินละเมอหรือ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version