ตอนที่ 144 ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง
ทั้งคู่นั่งลง จากนั้นคณบดีป้าซานจึงไถ่ถามถึงร่างกายของคนแล่เนื้อ
ฉินมู่บอกแก่เขา “ท่านปู่สบายดีทุกอย่าง มีแค่ร่างท่อนล่างที่หายไป แต่ว่าเพราะวรยุทธ์ของเขาสูงลํ้า เขาจึงสามารถใช้มือยันตัวเคลื่อนที่ไปมาราวกับว่าบินได้”
คณบดีป้าซานฉงนและถามต่อ “ในเมื่อเจ้าและข้ามีอาจารย์คนเดียวกัน ทําไมเจ้ายังไปรํ่าเรียนวิชาแพทย์จากราชาพิษหน้าหยกอีกล่ะ ราชาพิษหน้าหยกก็เป็นอาจารย์ของเจ้าด้วยหรือ”
ฉินมู่พยักหน้า แต่ไม่ได้บอกป้าซานไปว่าเขายังมีอาจารย์ถ่ายทอดวิชาคนอื่นๆ อีกนอกจากนักปรุงยาและคนแล่เนื้อ
คณบดีป้าซานมองไปในอากาศ จากนั้นกล่าวทันที “ข้ารู้ว่าร่างครึ่งท่อนล่างของอาจารย์อยู่ที่ไหน! เมื่อครั้งโน้นตอนที่เขาชูมีดท้าทายสวรรค์ ร่างของเขาร่วงลงมาจากท้องฟ้า และครึ่งท่อนล่างเขาดูเหมือนจะถูกศิษย์สํานักหนึ่งเก็บไปได้ ศิษย์น้อง ในเมื่อเจ้ารํ่าเรียนวิชาแพทย์จากราชาพิษหน้าหยก ความสามารถของเจ้าด้านการรักษาคงจะมหัศจรรย์ ข้าเลยอยากถามว่าถ้าข้าหาร่างท่อนล่างของอาจารย์พบ เจ้าจะเชื่อมต่อกลับให้เขาได้หรือไม่”
ฉินมู่ลังเลนิดหนึ่งแล้วกล่าว “หากว่ามันเพิ่งถูกตัดออกไปใหม่ๆ ข้าทําได้ ข้าเพียงแต่ต้องกระตุ้นการทํางานของร่างกายและใช้ยาที่ฟื้นฟูเนื้อเยื่อและพลังชีวิต ข้าสามารถเชื่อมต่ออวัยวะที่ถูกตัดออกไป เชื่อมเส้นเอ็นอันฉีกขาด และฟื้นฟูกระดูกที่แตกหัก แต่ว่าหากทิ้งไว้นานขนาดนี้ ข้าเกรงว่าร่างท่อนล่างของเขาอาจจะตายไปแล้ว…”
คณบดีป้าซานดูผิดหวัง แต่ก็ฟื้นฟูใจขึ้นมาใหม่ “ถึงจะอย่างนั้น อย่างไรข้าก็ต้องตามร่างครึ่งท่อนของอาจารย์กลับมาให้ได้!”
ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าว “ดีเลยถ้าศิษย์พี่สามารถสืบเสาะได้แน่ชัดว่าสํานักไหนที่ชิงไป เพื่อจะได้ไม่ไปเยี่ยมผิดสํานัก”
คณบดีป้าซานลุกขึ้นแล้วออกไป หลังจากนั้นพักใหญ่เขาถึง กลับมาแล้วกล่าว “ร่างของอาจารย์ถูกคนเก็บไปเมื่อ 200 ปีก่อน ข้าไม่แน่ใจว่าร่างของเขาจะยังคงอยู่ในครอบครองของสํานักนั้นหรือไม่ ข้าได้ใช้คนของข้าให้ไปสืบเสาะหาเบาะแส และเมื่อพวกเขาพบตําแหน่งแห่งที่ที่แน่นอน พวกเราจะไปตามเอากลับมากัน”
ฉินมู่ระบายลมหายใจ หากว่าสามารถหาร่างครึ่งท่อนของคนแล่เนื้อครบก็นับว่าเป็นเรื่องน่ายินดี แม้ว่าจะต่อกลับใหม่ได้หรือไม่ก็ตาม
คนแล่เนื้อมีร่างเหลือเพียงครึ่งท่อนบนและไม่มีพละกําลังเหลืออยู่มาก หากว่าร่างครึ่งท่อนล่างของเขาถูกใครชิงไป มันน่าจะยังดีอยู่ไม่เน่าเปื่อย
เพราะพละกําลังของเขานั้นแข็งแกร่งสุดๆ สําหรับยอดฝีมือสํานักวิชาบู๊ ไม่ยากเลยที่พวกเขาจะฝึกปรือ
จนกระทั่งกายเนื้อของพวกเขาแข็งแกร่งขนาดที่ว่าไม่มีวันเน่าเปื่อย หลวงจีนอาวุโสหลายรูปที่บรรลุธรรมในลัทธิพุทธก็สามารถทําให้ร่างของตนเองไม่เน่าเปื่อยได้ หลังจากที่พวกเขาสิ้นชีวิต ร่างกายเขาก็ไม่เน่าเปื่อยหลุดรุ่ย และสามารถจัดวางไว้ในวัดในฐานะสรีระสังขารของพระโพธิสัตว์ให้ผู้คนได้กราบไหว้บูชา
แต่ทว่าการสําเร็จถึงขั้นกายเนื้ออมตะนั้นยากกว่ามาก สรีระสังขารของโพธิสัตว์ในวัดล้วนแต่ตายสนิท กายเนื้ออมตะนั้นเป็นอีกขีดขั้นที่เหนือลํ้ากว่ากายเนื้อไม่เน่าเปื่อย จะดูว่าบรรลุขั้นกายเนื้ออมตะหรือไม่นั้น ต้องดูว่าเลือดไม่จับตัวแข็งเป็นก้อน ร่างกายไม่แข็งทื่อ หัวใจยังคงเต้นอยู่ และระบบประสาทยังคงทํางาน
“ศิษย์พี่ป้าซาน ท่านรู้ชื่อจริงของท่านปู่คนแล่เนื้อไหม” ฉินมู่ฉุกใจขึ้นมาจึงถาม
คณบดีป้าซานส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าผู้คนเรียกเขาว่าดาบสวรรค์ ส่วนชื่อเกิดของเขานั้น ไม่มีใครรู้ อาจารย์เคยกล่าวว่า เขามีศัตรูคู่อาฆาตที่สามารถใช้เวทมนตร์ทำร้ายผู้อื่นได้ด้วยการรู้ชื่อจริงของผู้อื่นเท่านั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยเปิดเผยนามของตนให้คนอื่นรู้”
ฉินมู่ตะลึง “นี่ดูเหมือนกับวิธีการของหมอผีใหญ่แห่งจักรวรรดิ คนเถื่อนตี้ หรือว่าคนแล่เนื้อเคยมีเรื่องมีราวกับหมอผีใหญ่แห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ในอดีต”
เขาระงับใจเอาไว้และฝึกท่วงท่ากระบี่ 3 ท่าที่ราชครูถ่ายทอดให้ต่อ ในบรรดา 3 ท่วงท่านั้น เขาสามารถฝึกฝนท่วงท่ากระบี่เกลียวได้สําเร็จแล้ว และตอนนี้อยากที่จะมีความก้าวหน้าเพิ่มเติม ดังนั้นเขาจึงฝึกฝนอีก 2 ท่วงท่าที่เหลือ
คณบดีป้าซานรํ่าสุราไปด้วยและดูไปด้วยข้างๆ เขาก็อยากที่จะให้คําชี้แนะแก่ฉินมู่ในการฝึกกระบี่ แต่ว่าเขาก็ไม่ปริปาก หลังจากชมดูได้สักพักเขานั้นได้เห็นบัณฑิตคนอื่นๆ ฝึกท่วงท่ากระบี่ว่าย มีบางคนที่ งุ่มง่าม และบางคนที่คล่องแคล่ว แต่ในมือของฉินมู่ มีบางจังหวะที่ปราณกระบี่จํานวนหลายร้อยจนถึงพันเส้นปราณสําแดงท่วงท่ากระบี่ว่ายอันประดุจฝูงปลาว่ายไปในนํ้า บางจังหวะปราณกระบี่เขาก็เหมือนหงส์ตื่นที่ถลาไปด้วยความตกใจ และบางจังหวะมันก็เหมือนมังกรคะนองทะเล ปราณกระบี่ของเขาไม่ได้จํากัดรูปลักษณ์ตายตัวและแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุดยั้ง
กวาดตาดูทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ผู้ที่มีรากฐานแข็งแกร่ง และสามารถทําให้ท่วงท่ากระบี่ว่ายนี้มีรูปลักษณ์ร้อยเปลี่ยนพันแปลงได้ ก็มีแต่ฉินมู่เท่านั้น!
ท่วงท่านี้ท่วงท่าเดียว ฉินมู่ฝึกมันซํ้าๆ นับครั้งไม่ถ้วน หมายที่จะรีดเร้นพลานุภาพของท่วงท่ากระบี่ให้ออกมาเต็มพิกัด
พลานุภาพของท่วงท่ากระบี่ว่ายของเขา ยิ่งกล้าแข็งขึ้นเรื่อยๆ ทําให้คณบดีป้าซานลืมจิบสุราไปยกใหญ่
ฉินมู่ฝึกมันไปหลายพันครั้งก่อนที่จะเปลี่ยนไปฝึกท่วงท่ากระบี่เจาะ เหมือนกับว่าเขากําลังขัดเกลาและลับคมพื้นฐานของตน พยายามอย่างถึงที่สุดที่จะรีดเร้นพลานุภาพของมันให้เต็มพิกัด
พลังแฝงของเขานั้นมิได้จํากัดอยู่แค่ท่ากระบี่เหมือนเช่นเคย ท่าการเคลื่อนไหวของเฒ่าเป๋ เพลงมีดของคนแล่เนื้อ เพลงหมัดของเฒ่าหม่า เนตรเทวะของเฒ่าบอด ทักษะวาดภาพของเฒ่าหนวก วิชาค้อนของเฒ่าใบ้ ล้วนแต่สามารถใช้เพิ่มพูนพละกําลังของท่าท่ากระบี่เขาได้
นานอยู่หลังจากนั้น ฉินมู่ก็หยุดฝึกและร่างของเขาก็โชกเหงื่อ เขานําผ้าเช็ดหน้าไหมหอมธรรมชาติออกมาเช็ดเหงื่อของเขา
คณบดีป้าซานถามทันที “ศิษย์น้อง ใช่เจ้าไหมที่ขับไล่เต๋าจื่อและโฝจื่อไป”
ฉินมู่ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ และมิได้เลี่ยงตอบคําถามเขา “เต๋าจื่อแพ้ข้าไปครึ่งกระบวนท่า ส่วนโฝจื่อนั้นข้ายังไม่ได้สู้กับเขาเลย”
คณบดีป้าซานระบามลมหายใจที่อั้นไว้และพึมพํา “เมื่อข้าเห็น เพลงกระบี่เจ้าเมื่อครู่ ข้าก็คิดแล้วว่าต้องเป็นเจ้า แต่คิดไปก็น่าตลกเจ้าเองไม่ใช่หรือที่ตะโกนดังลั่นว่าในที่สุดก็ฟั่นเฟ้นปราณเป็นเส้นด้ายได้ระหว่างที่ราชครูสอนบรรยาย”
ฉินมู่หน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
คณบดีป้าซานมีสีหน้าประหลาด “เจ้าเพิ่งฟั่นเฟ้นปราณให้เป็นเส้นด้ายได้ตอนนั้นแล้วก่อนหน้านั้นเจ้าเอาชนะนักพรตหลิงอวิ๋นได้อย่างไรกันล่ะ”
ฉินมู่ใคร่ครวญคําถามแล้วตอบไป “ข้าเพียงแค่แทงกระบี่ไปหนึ่งที เขาก็แพ้”
คณบดีป้าซานอึ้งกิมกี่ “หมายความว่าอย่างไรที่ว่าเจ้าแทงกระบี่ทีเดียว เขาก็แพ้”
ฉินมู่เกาหัวแกรกๆ “ศิษย์พี่ ลองแบบนี้ไหม ท่านลองใช้วรยุทธ์ขั้นห้าธาตุป้องกันกระบี่ของข้าดู”
คณบดีป้าซานปิดผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ ของเขา และกู่ร้องด้วยความกระเหี้ยนกระหืออยากจะต่อสู้ “ข้าพร้อมล่ะ!”
ข้างๆ นั้นฮู่หลิงเอ๋อและวัวเขียวนั่งมึนเมาขนาดที่ว่าสองตานั้นเบลอไปหมด ทั้งคู่กําลังโหวกเหวกว่าจะสาบานกันเป็นพี่น้อง จิ้งจอกน้อยเหลียวมองดูฉินมู่กับคณบดีป้าซานปราดหนึ่งแล้ว ระเบิดหัวเราะออกมา “น้องวัว นายผู้เฒ่าเจ้าแพ้ย่อยยับแน่ๆ”
วัวเขียวแย้งทันที “นายผู้เฒ่าข้าไม่มีทางแพ้ย่อ–”
ฉินมู่เรียกไม้ฟืนมาท่อนหนึ่งแล้วใช้มันต่างกระบี่แทงออกไป
คณบดีป้าซานยกมือของเขาขึ้นป้องกันและเสียงตูมดังสนั่นก็ลั่นออกมา ประตูของเรือนพักฉินมู่พลันแตกกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้กระทั่งกําแพงของเขาก็พังไปปื้นใหญ่!
ไม่ทันที่วัวเขียวจะกล่าวคําพูดของตนจบ เขาก็รีบหุบปาก ฉินมู่เก็บกระบี่ไม้ฟืนกลับแล้วรีบวิ่งไปดูอย่างร้อนใจ
คณบดีป้าซานยันกายลุกขึ้นจากกองเศษไม้ซากปูนใบหน้าก็เลอะฝุ่นไปหมด เขาปลดผนึกสมบัติเทวะอื่นๆ แล้วพูดกลั้วหัวเราะ “ข้านึกว่านักพรตเต๋าหลิงอวิ๋นรับสินบนซะอีก! มิน่าล่ะ ต่อให้เป็นข้า ข้าก็คง ป้องกันกระบี่ของเจ้าไว้ไม่ได้ หากไม่ระแวดระวังตั้งการด์ไว้ล่วงหน้า”
เขาไม่บาดเจ็บ ไม้ฟืนในมือฉินมู่ที่ใช้แทงหน้าอกเขานั้นแตกกระจุยเป็นเศษไม้จากแรงสั่นสะเทือนปราณชีวิตของเขา ดังนั้นมันจึงทําอะไรเขาไม่ได้
บัณฑิตมากมายในบัณฑิตนิเวศน์รีบวิ่งออกมาดู และเห็นประตูหน้าเรือนพักของฉินมู่พังถล่ม พวกเขาก็รู้สึกเริงร่าสุดๆ “ผู้คนที่ถูกละทิ้งแซ่ฉินผู้นั้น กล้าเขียนข้อความหยามบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิอย่างพวกเราไว้บนประตู ตอนนี้เขาก็คงรับผลกรรมแล้วใช่ไหมล่ะ คณบดีป้าซานถึงกับมาพังประตูของเขาด้วยตนเอง คอยดูเถอะว่าเจ้าหมอนี่จะโดนอะไรบ้าง!”
คณบดีป้าซานกวาดสายตามองบัณฑิตทุกคนแล้วโบกมือไล่ “ทุกคนไม่ต้องมามุง ถอยไป ถอยไป ที่นี่ไม่มีอะไรน่าสนใจให้เจ้าดู ข้าเพียงแค่แลกเปลี่ยนกําลังฝีมือกับบัณฑิตฉิน”
“เขามาตื้บไอ้ผู้แซ่ฉินนั่นจริงๆ ด้วย” ทุกคนพลันกระจ่างแจ้งปัญญา ระหว่างที่มองไปยังฉินมู่ด้วยความลิงโลดในเคราะห์ร้ายของเขา
แต่สิ่งที่ทําให้พวกเขางุนงงก็คือ เนื้อตัวหน้าตาของฉินมู่ยังสะอาดสะอ้านดี แต่ในทางกลับกันคณบดีป้าซานเปื้อนฝุ่นไปทั้งตัว มันดูไม่เหมือนฉินมู่โดนตื้บ แต่กลับเหมือนว่าคณบดีป้าซานเป็นฝ่ายโดนกระทํามากกว่า
คณบดีป้าซานมองไปยังประตูและกําแพงที่พังทลาย ด้วยความปวดหัวนิดๆ “มิน่าล่ะอธิการบดีถึงบอกว่าเจ้าเกือบถล่มบ้านเรือนในบัณฑิตนิเวศน์ย่อยยับไปหมด หากว่าเจ้าต่อสู้ในบัณฑิตนิเวศน์ ไม่นานหรอกเจ้าคงขุดรากถอนโคนเรือนทุกหลังจนเหี้ยน เจ้ามีกําลังฝีมือสูงมากๆ แต่ดูเหมือนว่ามีบางอย่างผิดปกติกับวิชาฝึกปรือ คือมีช่องโหว่ที่หัวไหล่ซ้ายของเจ้า”
เขาไม่พยายามหรี่เสียงลงเลยแม้แต่น้อย และคําพูดของเขาได้ยินเข้าหูเหล่าบัณฑิตที่ยังไม่ได้เลิกมุงดูกัน ทําให้ทุกคนตาลุกวาว
“ที่แท้จุดอ่อนเขาก็อยู่ที่หัวไหล่ซ้าย!”
เฉินหว่านอวิ๋นสูดลมหายใจลึกเขาสังเกตมาก่อนแล้วว่ามีบางอย่างติดๆ ขัดๆ ในวิชาฝึกปรือของฉินมู่ แต่เขายังหาตําแหน่งติดขัดที่ชัดเจนไม่พบ และบัดนี้เขาก็พลันกระจ่างจากคําพูดของคณบดีป้าซาน
“ทีนี้ล่ะ ตําแหน่งพี่ใหญ่ของข้าก็จะไม่หลุดลอยไปแล้ว” เขาครุ่นคิด
“ไปเรียกพวกภารโรงมาซ่อมกําแพงและประตูนี้”
คณบดีป้าซานเห็นเฉินหว่านอวิ๋นและเรียกเขามา เฉินหว่านอวิ๋นรีบโค้งคารวะ “อาจารย์!”
คณบดีป้าซานยิ้มแล้วกล่าวกับฉินมู่ “มีบัณฑิตไม่กี่คนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่ข้าชื่นชมความสามารถ เฉินหว่านอวิ๋นเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งข้าสั่งสอนเขาด้วยความอุตสาหะ ศิษย์น้องเจ้าคิดว่าเขาเป็นอย่างไร”
ฉินมู่พยักหน้าแล้วกล่าวชม “มิน่าล่ะศิษย์พี่เฉินถึงมีกําลังฝีมือแข็งแกร่งขนาดนี้ ที่แท้ก็เป็นผลการสั่งสอนของศิษย์พี่ ศิษย์พี่เฉินนี้เป็นพี่ใหญ่แห่งบัณฑิตนิเวศน์ ไม่ว่าจะพลังวัตรหรือกําลังฝีมือก็ก้าวไปสู่มาตรฐานอันสูงส่ง เมื่อภายหลังเขาเข้าไปในทักษะเทวะนิเวศน์ ก็จะต้องเปล่งประกายโดดเด่นอย่างแน่นอน”
“ศิษย์พี่ ศิษย์น้อง?” เฉินหว่านอวิ๋นงงเป็นไก่ตาแตก คณบดีป้าซานหัวเราะในคอ “ศิษย์น้อง ทําไมเจ้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่ล่ะ เรียกเขาว่าศิษย์หลานสิ หากว่าเจ้าเรียกเขาว่าศิษย์พี่ ลําดับศักดิ์ขั้นของพวกเราก็จะวุ่นวายไปหมดไหม”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คณบดีป้าซานเดินเข้าไปในเรือนแล้วกล่าวต่อ “ข้าสังเกตมานานแล้วว่า เพียงหวังพึ่งพาให้ครูผู้สอนทั้งหลายสั่งสอนบัณฑิตนั้น สามารถผลิตยอดฝีมือจํานวนมากได้ก็จริง แต่ในขณะเดียวกัน มันก็อาจจะถ่วงความก้าวหน้าของอัจฉริยะ เพราะมีนักเรียนมากเกินไปที่ครูผู้สอนต้องสั่งสอนในกระบวนท่าเดียวกัน บางคนสามารถเรียนรู้ได้เพียงเห็นแค่ครั้งเดียว ขณะที่อีกหลายคนนั้นต้องเรียนรู้มันไปร้อยครั้งพันครั้ง แต่ทว่า ครูผู้สอนต้องปฏิบัติต่อพวกเขาโดยเท่าเทียมกัน อัจฉริยะที่สามารถเรียนรู้กระบวนท่าหนึ่งได้ภายในครั้งเดียว ก็ยังต้องเรียนไปอีกร้อยครั้งเพื่อให้พวกหัวทึบเรียนสําเร็จด้วย จากนั้นพวกเขาจึงย้ายไปเรียนทักษะเทวะอื่นๆ ถัดไปได้ อย่างนี้ความรุดหน้าของวิทยายุทธ์พวกเขาก็จะถูกถ่วงให้ล่าช้า”
ฉินมู่และเฉินหว่านอวิ๋นเดินเข้าไปในเรือนและคณบดีป้าซานโยนไหสุราให้กับพวกเขา “ข้าเคยพูดเรื่องนี้กับอธิการบดี และบอกว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้นเหมาะใช้ฝึกฝนสั่งสอนผู้เปี่ยมพรสวรรค์ระดับตําบล แต่ไม่เหมาะใช้ฝึกฝนสั่งสอนผู้เปี่ยมพรสวรรค์ระดับมณฑลและระดับชาติ ดังนั้นอธิการบดีจึงอนุญาตให้ข้าลองดู ผลก็คือ ข้าได้พบกับเฉินหว่านอวิ๋นและสอนเขาด้วยตนเองเป็นช่วงระยะหนึ่ง เขาได้พากเพียรบากบั่นและสามารถครองเก้าอี้พี่ใหญ่แห่งบัณฑิตนิเวศน์ได้ตลอดหลายปีมานี้ นี่แสดงว่าการ ฝึกฝนสั่งสอนเฉพาะบุคคลนั้นเหนือกว่าการฝึกฝนสั่งสอนบัณฑิตทั้งหมดพร้อมๆ กันของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เฉินหว่านอวิ๋นนั้น เป็นผู้เปี่ยมพรสวรรค์ระดับชาติ”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
ฉินมู่ขมวดคิ้วแล้วกล่าว “ถ้าอย่างนั้นมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะต่างอะไรกับสํานักเหล่านั้น”
คณบดีป้าซานถอนหายใจ “ดังนั้น อธิการบดีและราชครูก็เลยเค้นสมองคิดเรื่องนี้อยู่ อธิการบดีนั้นกําลังจะเกษียณจากตําแหน่งราชครู เลยกลายเป็นคนที่ร้อนใจที่สุด ราชครูนั้นรู้ดีว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีข้อเสียเปรียบนี้ ดังนั้นเขาจึงรับศิษย์เข้ามาจํานวนหนึ่งและสั่งสอนพวกเขาด้วยตนเองอย่างเข้มข้น หากแต่ว่า จํานวนของอัจฉริยะที่ถูกมหาวิทยาลัยจักรวรรดิถ่วงให้ล่าช้านั้นมีไม่น้อยเลยทีเดียว”
ฉินมู่อึ้งไป ราชครูกําลังเผชิญกับคําถามสําคัญว่าจะล้มเลิกการปฏิรูปของตนหรือไม่ แต่เห็นได้ชัดว่าการล้มเลิกการปฏิรูปนั้น เป็นไปไม่ได้สําหรับเขา
โรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เหนือลํ้ากว่าสํานักต่างๆ มากในด้านกําลังการฝึกฝนสั่งสอนผู้เปี่ยมพรสวรรค์ทีละจํานวนมากๆ ตราบเท่าที่พวกเขาสามารถแก้ไขปัญหาในการฝึกฝนสั่งสอนอัจฉริยะได้ พวกเขาก็จะก้าวลํ้าเหนือกว่าสํานักต่างๆ ในทุกแง่มุม!
“ส่วนจักรพรรดิฝึกฝนรัชทายาทอย่างไรน่ะหรือ เมื่อรัชทายาทยังเยาว์อยู่ เขาก็มีทั้งผู้พิทักษ์เยาว์ ครูเยาว์ ผู้สอนพิเศษเยาว์ เมื่อเขาเติบโตขึ้น เขาก็จะมีผู้พิทักษ์ใหญ่ ครูใหญ่ และผู้สอนพิเศษใหญ่ สั่งสอน เหล่าผู้พิทักษ์เยาว์และใหญ่เหล่านั้นล้วนแต่เป็นบทบาทตัวตนระดับเจ้าสํานักและจ้าวลัทธิ ดังนั้นรัชทายาทที่ถูกขัดเกลาสั่งสอนวิชามาเป็นอย่างดีจึงมีกําลังความสามารถสูงเยี่ยม ตอนนี้ข้าเองก็พยายามรับบัณฑิตมาสามสี่คนเพื่อสั่งสอนชี้แนะ วิชาฝึกปรือ วิชาทักษะ และทักษะเทวะทั้งหลายให้สอดคล้อง เหมาะเจาะกับความถนัดของพวกเขา”
คณบดีป้าซานกล่าวต่อ “ที่อธิการบดีปรารถนานั้นก็คือว่า เมื่อใดที่ข้าจับเคล็ดเรื่องนี้ได้ ข้าจะสามารถเผยแพร่ความรู้นี้ออกไป อธิการบดีบอกให้ข้าคัดเลือกบัณฑิตที่เรียนรู้ลึกซึ้งและมีทักษะรอบด้านเพื่อให้คณบดีสั่งสอนเป็นการเฉพาะ แยกพวกเขาออกจากบัณฑิตที่มีพรสวรรค์สามัญธรรมดา ศิษย์น้อง เจ้าคือดุษฎีบัณฑิตคนแรกของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา”