ตอนที่ 143 คณบดีป้าซาน
ทั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิพลันตกในความอลหม่านและครูผู้สอนคนหนึ่งก็พึมพํา “หรือว่าบัณฑิตคนที่ปราบเต๋าจื่อลงมืออีกครั้ง”
ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงนําโฝซิ่นมาที่นี่ด้วยวัตถุประสงค์เดียวกับตันหยางจื่อจากสํานักเต๋า คือขวางประตูไว้เป็นเวลา 3 วัน เพื่อข่มอํานาจของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และสังหารหัวใจผู้คนแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่สนับสนุนการปฏิรูป
แต่ตอนนี้ยังไม่ทันครบ 3 วันและจิ่งหมิงก็ได้พาโฝซิ่นกลับไปแล้ว มีความเป็นไปได้เดียวเท่านั้นก็คือโฝจื่อฝซิ่นได้พ่ายแพ้!
“ข้าเพิ่งไปวางยาวัวเขียวที่หลังภูเขาอยู่ชัดๆ และไม่มีเวลาวิ่งไปที่ประตูภูเขาเพื่อเอาชนะโฝจื่อโฝซิ่น…”
ฉินมู่งุนงง หากว่าไม่ใช่เขาที่ปราบโฝจื่อโฝซิ่นแล้วจะเป็นใครกันล่ะ
เขาจําที่ปรมาจารย์เยาว์บอกเขาที่กระท่อมหญ้าฟางได้ ในตอนนั้นความนัยของปรมาจารย์เยาว์ก็คือ นอกจากเขาแล้วก็ยังมีผู้ทรงฝีมือคนอื่นในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่สามารถเอาชนะโฝซิ่นได้
หากว่าฉินมู่ไม่ยอมไปจัดการให้ ปรมาจารย์เยาว์ก็จะให้คนผู้นั้นจัดการ
ยิ่งไปกว่านั้น บัณฑิตที่เอาชัยโฝจื่อโฝซิ่นได้ยังเก็บตัวเงียบไม่ออกหน้าออกตาเหมือนฉินมู่เมื่อครั้งที่ฉินมู่เอาชนะเต๋าจื่อ เขาก็มิได้กล่าวถึงเรื่องนี้แก่คนนอกคนอื่น ส่วนคนผู้นี้ถึงกับฉวยโอกาสตอนที่ครึ่งมหาวิทยาลัยโดนยาสลบหอมสาบสูญ เพื่อลงจากภูเขาเพียงลําพังไปเอาชนะโฝซิ่นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นี้
ในตอนนั้น นอกจากโฝซิ่นกับหลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิง ก็มีแต่กิเลนมังกรที่หน้าประตูภูเขา
แม้ว่ากิเลนมังกรจะพูดได้ แต่เขาก็เป็นสัตว์พิสดารที่ไม่ค่อยจะพูด ยากที่จะขุดข้อมูลออกจากเขา ดังนั้นลืมไปได้เลยหากคิดจะสืบเสาะตัวบัณฑิตผู้นั้นจากปากกิเลนมังกร เว้นแต่ว่าเขาสามารถจับสัตว์ขี่ของคณบดีป้าซานมาติดสินบนมันได้
แต่ทว่า คงยากแล้วล่ะหากเขาคิดจะไปวางยาวัวเขียวอีกรอบ
ก็ดีแล้วล่ะ ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิยังคงมียอดฝีมือที่ทัเทียมกับข้า
ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ และปล่อยวางเลิกคิดเรื่องนี้ เขาพาฮู่หลิงเอ๋อกลับบัณฑิตนิเวศน์ บัณฑิตหลายคนที่บัณฑิตนิเวศน์ตอนนี้รู้แล้วว่าหมอหลวงนั้นได้ตํารับยาสลบมาจากฉินมู่ ซึ่งลงเอยด้วยกับทําให้บัณฑิตเกือบทั้งมหาลัยสลบเหมือด ดังนั้นพวกเขาจึงตัวสั่นเป็นลูกนกเมื่อเห็นเขาเดินผ่านมา
ทันใดนั้น ก็มีเสียงขลาดๆ กลัวๆ ร้องเรียกเขาอย่างแผ่วเบา “ศิษย์พี่ฉิน เป็นท่านหรือเปล่าที่เอาชนะโฝจื่อโฝซิ่น”
ฉินมู่มองไปตามทิศทางเสียง และพบว่าผู้พูดคือซีอวิ๋นเซี่ยง เด็กสาวที่นุ่มนวลและพูดน้อยคนนั้น ซึ่งเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาพร้อมๆ กับเขา เด็กสาวผู้นี้มีทีท่าเอียงอายตลอดเวลา และฉินมู่ยังคงแหย่นางอยู่สองสามที ทําให้ใบหน้านางแปรเปลี่ยนเป็นแดงฉานด้วยไม่รู้จะรับมือการแหย่นั้นอย่างไร
ฉินมู่ส่ายหน้า “ไม่ใช่ข้าแน่ๆ เมื่อคนผู้นั้นเอาชนะโฝซิ่น ข้าถูกอธิการบดีหิ้วคอไปดุด่า น้องสาวเซี่ยง หรือเจ้าเห็นบุคคลที่เอาชนะโฝจื่อ”
ซีอวิ๋นเซี่ยงส่ายหน้า “เมื่อกี้ข้าสลบไปจากกลิ่นหอมที่ลอยมา และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ตอนนี้ข้ายังคงรู้สึกวิงเวียนเล็กน้อย ข้าเห็นศิษย์พี่ดูคึกคักมีเรี่ยวแรงไม่โดนยาพิษไปด้วย ดังนั้นข้าจึงคิดว่าเป็นท่านที่เป็นคนขับไล่โฝซิ่นไป”
ฉินมู่แววตาวูบไหวก่อนแย้มยิ้ม “ไม่ใช่ข้าจริงๆ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครนะที่เอาชนะโฝจื่อได้”
ซีอวิ๋นเซี่ยงเห็นคนชะแง้มองมา นางเลยรีบกลับเข้าไปในเรือนแล้วปิดประตูตามหลัง
ฉินมู่ฉวยโอกาสมองตามเข้าไปในเรือนพักของนาง แต่ไม่ทันที่เขาจะได้เห็นอะไร ประตูก็ปิดใส่เรียบร้อยแล้ว ฉินมู่จึงได้แต่กลับไปยังเรือนพักของตน
“ซีอวิ๋นเซี่ยงนี่มีพิรุธเยอะจริงๆ”
เขาตั้งหลักแล้วพึมพํา “นางไม่ได้โดนยาหอมสาบสูญเลยสักนิด อาการของผู้โดนฤทธิ์ยาหอมสาบสูญนั้นไม่เหมือนกับนาง หอมสาบสูญนั้นเป็นยาสลบชนิดหนึ่ง และผู้ที่เพิ่งฟื้นจากยาสลบก็จะเซื่องซึมงุนงงไปอีกห้าหกชั่วโมง แต่นางไม่เห็นดูเซื่องซึมงุนงงเลย”
ฮู่หลิงเอ๋อตอบ “คุณชาย ซีอวิ๋นเซี่ยงไม่ได้อยู่ในกลุ่มบัณฑิตที่สลบตรงหน้าโถงบรมเยียวยาเมื่อกี้”
ฉินมู่สะกิดใจ
หลังจากที่โดนปรมาจารย์เยาว์ดุด่า เขาก็ให้ฉินมู่อยู่ต่อเพื่อดูแลเหล่าบัณฑิตและครูผู้สอนเหล่านั้น ฉินมู่กับจิ้งจอกน้อยจึงอยู่ที่นั่นเพื่อคอยช่วยเหลือ แต่จิ้งจอกน้อยกระโดดเหยงๆ ไปรอบๆ หมายจะรูดทรัพย์ ‘เชลยสงคราม’ ที่สลบไสลเหล่านั้นแต่ทว่าฉินมู่ยับยั้งนางเอาไว้
ในตอนนั้น ฮูหลิงเอ๋อได้เห็นหน้าทุกๆ คนที่สลบไสลอยู่ หากว่านางกล่าวว่าซีอวิ๋นเซี่ยงมิได้อยู่ในคนกลุ่มนั้น ก็แปลว่านางไม่ได้อยู่จริงๆ
“นางโกหกจริงด้วย”
ฉินมู่กะพริบตาแล้วกล่าว “ไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะถ่อออกมาจากเรือนพักเพื่อโกหกข้า ถ้าเป็นอย่างงั้น ก็แปลว่าจริงๆ แล้วนางกําลังมาโอ้อวด นางพูดกับข้าเรื่องที่โฝจื่อพ่ายแพ้ นั่นแปลว่านางหมายจะคุยโวเรื่องเหตุการณ์นี้ ผู้ที่กําราบโฝจื่อได้ก็คือนางนั่นเอง”
ฉินมู่พลันหวนนึก ทําไมปรมาจารย์เยาว์ถึงแน่ใจนักว่ามีใครบางคนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่สามารถเอาชนะโฝจื่อได้
หรือว่าเขารู้มาตั้งนานแล้วว่าซีอวิ๋นเซี่ยงมีฝีมือเพียงพอ?
แล้วทําไมปรมาจารย์เยาว์ถึงรู้จักซีอวิ๋นเซี่ยงเป็นอย่างดี ทั้งที่นางเป็นเพียงเด็กสาวที่เพิ่งเข้ามาเป็นบัณฑิตจักรวรรดิได้ไม่นาน
พึงรู้ว่าแม้แต่ฉินมู่ จ้าวลัทธิน้อยผู้นี้ก็ต้องผ่านด่านทดสอบของปรมาจารย์เยาว์นับไม่ถ้วนกว่าที่จะได้รับการยอมรับถึงพลัง ความสามารถ
นี่แปลว่าปรมาจารย์เยาว์รู้ตื้นลึกหนาบางซีอวิ๋นเซี่ยงเป็นอย่างดี มากกว่ารู้เกี่ยวกับฉินมู่ด้วยซํ้า
อีกทั้งเด็กสาวผู้นี้ยังมีแซ่ซีแถมยังมีนิสัยชอบโอ้อวด…
“ท่านยายนี่รู้วิธีเล่นสนุกเสียจริง!”
ฉินมู่กล่าวอย่างแค้นเคือง “ข้าจะยังไม่เปิดโปงนางหรอก ไว้คอยดูว่านางมีแผนจะทําอะไรต่อ”
เขากําลังจะปิดประตูอยู่นั่นเอง ก็มีเสียงคณบดีป้าซานดังมา “มูมู่ แบกกระเป๋าสัมภาระข้ามาไวๆ”
“ขอรับนายผู้เฒ่า” คณบดีป้าซานผลักประตูเปิดและเดินเข้าไปในเรือนพัก ข้างหลังเขามีวัวร่างบึกบึนหอบหิ้วข้าวของติดตามมาด้วย วัวตัวนี้ยังไม่สามารถแปลงร่างได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขาสามารถเดินสองขาได้อย่างมนุษย์แต่ยังคงมีรูปลักษณ์แบบวัว เขาคือวัวเขียวที่ฉินมู่วางยาสลบนั่นเอง
“ห้องไหนที่จะให้ข้าอยู่” คณบดีป้าซานถามฉินมู่
ฉินมู่อึ้งไป คณบดีป้าซานเดินไปมาราวกับเจ้าของบ้านพลาง หัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะเอาห้องทิศตะวันตกล่ะกัน ว้าวเงิน เยอะแยะอะไรเนี่ย! บัณฑิตฉิน เจ้านี่รวยไม่ใช่เล่น! มูมู่ พวกเรามีเงินทองแล้ว เอาไปสักกําแล้วลงภูเขาไปซื้อสุรากันเถอะ!”
“มีสุราให้ดื่มด้วยหรือ”
ฮู่หลิงเอ๋อโห่ร้องและกระโดดดึ๋งๆ มา นางกระโจนขึ้นไปนั่งจุ้มปุ๊กบนหัววัวพลางแย้มยิ้ม “ข้าไปด้วยสิ!”
วัวเขียวพานางออกไปข้างนอกแล้วถาม “เจ้าก็ดื่มด้วยเรอะ นี่ เจ้ารู้จักเกมดื่มเหล้าไหม”
คณบดีป้าซานวางสัมภาระเขาลงและจัดห้อง หลังจากที่เขาจัดเตียงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็กวาดตามองฉินมู่ที่ยังยืนอยู่ข้างนอก แล้วหัวเราะ “คณบดีบอกให้ข้าตามติดเจ้าเหมือนเงาตามตัว ดังนั้นข้าก็เลยมาอยู่บ้านเจ้าเสียเลยเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าออกไปสร้างความวุ่นวายไปทั่ว นี่ข้อความที่ประตูหน้านั่นเจ้าเขียนเรอะ”
ฉินมู่พยักหน้า
คณบดีป้าซานตบเข่าฉาดแล้วกล่าวชม “เขียนได้ดี! เจ้ามีลายมือยอดเยี่ยมมีบรรยากาศโอ่อ่า นับว่าเหนือลํ้ากว่าไอ้พวกที่อยู่ในศาลานักบุญศิลปเสียอีก ข้ายังไม่รู้เลยว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์เราจะมีศาลานักบุญศิลปให้เปลืองข้าวสุกไปทําไม เจ้าพวกนั้นนี่ หน้าหนาขนาดไหนถึงกล้ามาเรียกเก็บเงินเดือนจากราชสํานัก! โอ้ จะว่าไป นี่เจ้านอนกรนไหม”
ฉินมู่ส่ายหน้า
คณบดีป้าซานกล่าวต่อ “มีครูผู้สอนหลายคนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเราที่นอนกรน โดยเฉพาะเจ้าอาวาสหญิงอี้ชิว นางชีเฒ่านั่น เสียงกรนนางนี่สนั่นลั่นโลก สามารถสั่นสะเทือนให้วัวพุงแตกตายในรัศมี 10 ลี้ โชคดีที่นางชีผู้นี้ไม่ค่อยนอนหลับบ่อยนักและเพียงแต่นั่งสมาธิพักผ่อน หากว่านางหลับล่ะก็ บัณฑิตอย่างพวกเจ้านี่ลืมไปได้เลยว่าจะหลับได้ลง…”
ฉินมู่เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย คณบดีป้าซานดูเหมือนจะมีคําพูดจะพูดเยอะแยะไปหมด พูดมากยิ่งกว่าเว่ยหยงเสียอีก
คณบดีป้าซานพูดไม่หยุดเกินหนึ่งชั่วโมง และฉินมู่ก็ได้รับรู้ทั้งนิสัยใจคอ รูปแบบงานการ รวมทั้งทรัพย์สินโน่นนี่นั่นของครูผู้สอนทั้งหมดทุกคนในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ทั้งศาลาและโถงแห่งกระบี่ หมัด เวทมนตร์ สามหยาง บรมเยียวยา นักบุญศิลป และอื่นๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะพวกบรรณารักษ์ลับจากเรือนบันทึกสวรรค์ คณบดีป้าซานเผยความลับของบรรณารักษ์ลับพวกนั้นจนหมดไส้พุง อย่างเช่นใครมีลูกนอกสมรสที่ไหนและแม่ชีเฒ่ามีกิ๊กกั๊กกับคนรักเก่าอย่างไร คณบดีผู้นี้สามารถงัดแงะทุกสิ่งละอันพันละน้อยออกมาได้หมด
วัวเขียวและฮู่หลิงเอ๋อกลับมาจากในเมืองในสภาพเมามาย วัวและจิ้งจอกดูเหมือนจะฟินกับการดื่มมากเรียกกันพี่สาวน้องชาย
พวกเขาดูสนิทสนมราวกับว่าคลอดจากท้องเดียวกันและวัวเขียวนี้ก็ลืมไปเสียสนิทว่าฉินมู่ได้พาจิ้งจอกตัวนี้ไปวางยาเขา
คณบดีป้าซานรีบรับไหสุรามาดื่มเข้าไปสามสี่อึก ด้วยหัวเขาที่เริ่มมึนนิดๆ เขาก็กล่าว “ตอนที่ข้ากลับมาจากข้างนอกเมื่อหลายวันก่อน ข้าดูเหมือนจะเห็นอาจารย์ข้า เจ้าคงคาดไม่ถึงเลยใช่ไหม ข้าอาจจะเป็นคณบดีแต่จริงๆ แล้วไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ข้ามาจากสํานักวิชาบู๊และมีอาจารย์ถ่ายทอดวิชา ข้าถูกเชื้อเชิญมาที่นี่โดยราชครูสันตินิรันดร์เพื่อสั่งสอนถ่ายทอดวิชาสายบู๊ให้กับเหล่าบัณฑิต แต่เดิมข้านึกว่าเขาตายไปแล้ว ไม่คาดคิดเลยว่าจะยังมีชีวิตอยู่”
คณบดีป้าซานดื่มสุราไปอีกอึกใหญ่แล้วจ้องไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย “ขาทั้งสองข้างของเขาหายไป แต่กลับวิ่งได้เร็วจี๋ ข้ารีดเร้นกําลังทั้งหมดก็ยังไล่ตามเขาไม่ทัน หลังจากนั้นข้าก็พบกับชายตาบอดผู้หนึ่งที่ทุบตีข้าแล้วถามข้าว่า ทําไมข้าวิ่งตามเขา เจ้าบอดนั่นไร้เหตุผลจริงๆ เขายังท้าข้าประลองร่ายบทกวี แต่ข้าเอาชนะเขาไม่ได้ และเผลอแผล็บเดียวอาจารย์ข้าก็หายตัวไปแล้ว…”
ฉินมู่ตะลึงไปครู่หนึ่ง ยอดยุทธ์ฝีมือเดือดจากสํานักวิชาบู๊ที่ไม่ มีขา และชายตาบอดที่รักการประชันบทกวี?
นี่ดูเหมือนว่าจะเป็นท่านปู่คนแล่เนื้อกับท่านปู่บอดเลยแฮะ พวกเขาออกจากแดนโบราณวินาศตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย
คณบดีป้าซานเริ่มเมาลึกขึ้นและพูดจาฟังไม่ได้ศัพท์ ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่ เพราะหากเขาซักไซร้ต่ออาจจะดูโผงผางเกินไป
“วัวเขียว เจ้าเห็นรูปร่างหน้าตาของชายตาบอดผู้นั้นชัดเจนไหม” ฉินมู่ถามวัวเขียวที่อยู่ข้างๆ
วัวเขียวตัวนี้มองไปยังฉินมู่อย่างขลาดกลัวนิดๆ เห็นได้ชัดว่าเขายังจําได้ว่าฉินมู่วางยาสลบเขายังไง
ฉินมู่แย้มยิ้ม “เจ้ายังคิดแค้นเคืองอีกหรือ เจ้าทุบตีข้าจนฟกชํ้าไปหมด แต่ข้าแค่วางยาสลบเจ้าแต่ไม่ได้ทุบตีเลยแม้แต่น้อย มีอะไรให้เจ้าแค้นเคืองล่ะ นี่เจ้าเคยเห็นคนใจกว้างปานแม่นํ้าแบบข้าไหมล่ะ”
คณบดีป้าซานเรอดังเอิ้กแบบคนเมา และมีสีหน้าพิกล เด็กหนุ่มจากแดนโบราณวินาศผู้นี้ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดเกี่ยวกับ นิยามคนดี เขากล่าว “บัณฑิตฉิน ไม่ใช่แค่เจ้าวางยาสลบเขา เจ้ายังคิดจะกินเขาอีก ก็แน่อยู่แล้วที่เขาจะระแวงเจ้า”
“เขายังคิดจะกินข้าด้วยหรือ” วัวเขียวกรีดร้องด้วยความแตกตื่น “นายผู้เฒ่า ท่านไม่เห็นบอกข้าเลย! ท่านบอกแค่ว่าเขาวางยาสลบข้า แต่ไม่ได้บอกว่าเขาคิดจะกินข้า!”
ฮู่หลิงเอ๋อยืนอยู่บนเขาวัวกอดไหสุราไปด้วย และกล่าวด้วยเสียงดังกังวาน “น้องวัว เจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่า ถ้าไม่ต่อยตีก็คงไม่รู้จักกัน!”
คณบดีป้าซานยิ่งสีหน้าพิลึกเข้าไปใหญ่ เห็นได้ชัดว่าปีศาจจิ้งจอกจากแดนโบราณวินาศนางนี้ก็เข้าใจอะไรผิดๆ เกี่ยวกับสํานวน ถ้าไม่ต่อยตีก็ไม่รู้จักกัน
“ใครมันเลี้ยงดูสั่งสอนเด็กหนุ่มนี่มานะ เขานี่มันวายร้ายชัดๆ”
ฉินมู่ไม่รู้ว่าป้าซานคิดอะไรอยู่ คณบดีป้าซานร่วมก๊งสุรากับจิ้งจอกน้อยและวัวเขียว แต่ฉินมู่ไม่ชอบดื่ม เขาจึงไปฝึกวิชาต่างๆ อยู่ข้างๆ
ม่านตาของคณบดีป้าซานพลันหรี่แคบและไม่อาจละสายตาจากเพลงมีดที่ฉินมู่ร่ายรํา
เมื่อฉินมู่ร่ายรําเพลงมีดเชือดหมูจนครบกระบวนท่า คณบดีป้าซานก็พลันโยนขวดนํ้าเต้าสุราไปข้างๆ และดึงมีดของตนออกมาด้วยวงแขนกว้าง กวัดแกว่งดาบในลานหน้าเรือน เสียงของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ลึกซึ้ง
“มีดสีทองประดับด้วยหยกขาว แสงวาบวาวเสียดราตรีทะลุบานเกล็ด ชายวัย 50 ไร้ความสําเร็จ ด้วยใจเด็ด…แบกมีดเดี่ยวท่องแดนดิน!”
แบกมีดเดี่ยวท่องแดนดิน นี่คือกระบวนท่าที่ 6 ของเพลงมีดเชือดหมู!
มีดของเขาและฉินมู่ปะทะกัน สร้างประกายไฟออกมาถี่ยิบ เมื่อมีดของทั้งคู่สัมผัสคณบดีป้าซานก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
“ฮ่าๆ สี่สิบห้าสิบปีที่ล่วงลับพายุดับคลุมมิดฟ้าดุจเสมือนกาลเวลาราวเมฆคล้อยคอยยํ้าเตือน ทุกเมฆเคลื่อนมีริ้วแสงประกายเงิน!”
ฉินมู่ร่ายรํากระบวนท่า ‘ทุกเมฆเคลื่อนมีริ้วแสงประกายเงิน’ เพื่อปะทะกับมีดของป้าซานจากนั้นร่ายบทกวี
“อย่าเพิ่งคิดกระทําการเพื่ออวดเบ่ง หลังเผชิญวิกฤตการณ์อันกริ่งเกรง ความหวังคนย่อมมาเองและผลิบานเหลียวมองดูน่านฟ้าทะเลไกล การเดินทางครั้งยิ่งใหญ่เป็นเพียงควัน!”
ทั้งคู่ดึงมีดของตนกลับขณะที่หันหลังให้แก่กัน จากนั้นเสียบมีดเก็บเข้าฝักกลางหลัง
“ศิษย์น้อง!” คณบดีป้าซานหันกลับมาแล้วคารวะทักทาย ฉินมู่โค้งคารวะ “ศิษย์พี่”