Skip to content

Tales of Herding Gods 145

ตอนที่ 145 ซ่อมแซมบัณฑิตนิเวศน์

ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย ดุษฎีบัณฑิตคือวิธีแก้ปัญหาความยากลําบากในการจัดการเรียนการสอนให้ก้าวทันความสามารถของผู้เรียน!

หากคณบดีป้าซานและปรมาจารย์เยาว์สามารถแก้ปัญหาได้ จริงๆ พวกเขาก็จะไม่ต้องพึ่งพาพลังอํานาจของลัทธิมารฟ้าอีกต่อไป เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาแบบเต๋าจื่อและโฝจื่อมาขวางประตู

คราวนี้พวกเขาพึ่งพิงพลังอํานาจของลัทธิมารฟ้าในการขับไล่เต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าและโฝจื่อแห่งวัดใหญ่ฟ้าคําราม ฉินมู่นั้นเป็นจ้าวลัทธิน้อยแห่งลัทธิมารฟ้า ขณะที่ซีอวิ๋นเซี่ยงนั้นดูท่าจะเป็นท่านยายซี ผู้ซึ่งเป็นธิดาเทพและฮูหยินลัทธิรุ่นก่อนหน้า อาจจะกล่าวได้ว่าอันที่จริงแล้วมหาวิทยาลัยจักรวรรดิประสบความพ่ายแพ้ย่อยยับ

เฉินหว่านอวิ๋นฟังที่พวกเขาสนทนากันและรู้สึกประดักประเดิดอย่างยิ่ง ทุกๆ ครั้งที่เขาพยายามรวบรวมความกล้าหมายจะไถ่ถามข้อสงสัยใจ เขาก็ไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้สักที

และในที่สุด เขาก็ระงับความคันใจไม่ได้อีกต่อไปและถาม “อาจารย์ป้าซาน ทําไมท่านถึงเรียกเขาว่าศิษย์น้อง”

“โอ้ เรื่องนี้หรอกรึ”

คณบดีป้าซานตอบด้วยท่าทีสบายๆ “ข้ากับเขามาจากอาจารย์คนเดียวกัน ดังนั้นเขาจึงเป็นศิษย์น้องของข้า เจ้าต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อา”

“อาจารย์อา…”

เฉินหว่านอวิ๋นนิ่งไปสักพักแล้วถาม “หากว่ากําลังฝีมือข้าสูงกว่าเขา ข้ายังจําเป็นต้องเรียกเขาว่าอาจารย์อาไหม”

คณบดีป้าซานหัวเราะร่า “เจ้าคิดอะไรของเจ้า เจ้าไม่ใช่คู่มือเขาสักนิด ความสามารถของเขาสูงลํ้าเหนือกว่าเจ้าหนึ่งระดับขั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าหนึ่งระดับขั้นหมายความว่าอย่างไร หมายความว่าฝีมือเขาสูงกว่าเจ้าเท่าก้านตะเกียบ ขณะที่ฝีมือเหนือกว่าเล็กน้อยนั้นหมายถึงสูงกว่าเท่าเส้นผม คราวนี้เจ้ารู้หรือยังว่าฝีมือเหนือกว่าหนึ่งระดับขั้นนั้นเหนือกว่ากี่สิบเท่าของการที่มีฝีมือเหนือกว่าเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าชนะเขาไม่ได้หรอก และต่อให้เจ้าชนะได้ ก็ต้องเรียกว่าอาจารย์อาอยู่ดี”

เฉินหว่านอวิ๋นครางในคอและพึมพํา “จะรู้ได้อย่างไรถ้าไม่ได้ ลงมือต่อสู้กัน..”

“อย่าสู้เลย เจ้าแพ้แน่”

คณบดีป้าซานแย้มยิ้ม “ความสามารถของเขานั้นอยู่ในระดับ เดียวกับเต๋าจื่อและโฝจื่อ…”

ฉินมู่รีบกระตุกชายเสื้อ คณบดีป้าซานจึงรีบหุบปาก

เขาคือไอ้คนปากสว่างแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และไม่อาจเก็บงําความลับใดๆ ได้ ทุกเหตุการณ์เบ็ดเตล็ดทั้งหลายสามารถพรั่งพรูออกมาได้จนหมดด้วยปากปืนกลของเขา เขาเพิ่งเผยจุดอ่อนในวิชาฝึกปรือของฉินมู่เมื่อครู่นี้ และเมื่อกี้เขาก็เกือบโพล่งออกมาว่าฉินมู่เป็นผู้เอาชนะเต๋าจื่อหลินเสวียน

คณบดีป้าซานจึงมองฉินมู่และลุกขึ้น “อธิการบดีให้ข้าตาม ติดเจ้าเหมือนเงา แต่ก็หมายให้เจ้าติดตามข้าไปด้วยเช่นกันแต่ใน เมื่อเจ้าเป็นศิษย์น้องของข้าจึงไม่ต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ บทเรียนของข้านั้นง่ายดาย พานักเรียนออกไปแสวงหาประสบการณ์ แต่ทว่าข้าคงนําบัณฑิตติดไปด้วยทีละมากๆ ไม่ได้ เพราะนั่นจะสะดุดตาเกินไปและข้าอาจจะคุ้มกันพวกเขาไม่ได้ครอบคลุม เมื่อข้าออกไปครั้งก่อน ข้าพาไปเพียงแค่เฉินหว่านอวิ๋นและในเมื่อครั้งนี้ข้าต้องพาเจ้าออกไป ข้าก็คงสามารถนําบัณฑิตติดตามไปได้อีกคนเป็นอย่างมาก”

เฉินหว่านอวิ๋นมองที่เขาด้วยแววตาคาดหวัง

คณบดีป้าซานรู้ว่าเขากําลังคิดอะไรและลุกขึ้นยืนเดินไปข้างนอกเขาส่ายหน้าแล้วกล่าว “ครั้งนี้ข้าพาเจ้าไปด้วยไม่ได้ ข้าต้องคัดเลือกบัณฑิตที่มีพรสวรรค์และรากฐานที่ดีเพื่อไปเรียนรู้และ ฝึกปรือ นี่เกี่ยวพันกับโครงการดุษฎีบัณฑิตของอธิการบดีว่าจะได้ผลหรือไม่ บัณฑิตที่ได้รับการคัดสรรเหล่านั้นจะเป็นตัวเลือกสําหรับการเป็นดุษฎีบัณฑิตของมหาวิทยาลัยเรา ศิษย์น้องไปที่เรือนบันทึกสวรรค์เลือกเอาคัมภีร์สักสองสามเล่มพกติดตัวไปด้วยระหว่างเดินทาง ข้าจะสอนอธิบายคัมภีร์เหล่านั้นให้เจ้าระหว่างทาง”

พูดจบป้าซานก็ออกไปจากเรือนพัก ดูท่าเขาคงไปเฟ้นหาบัณฑิตที่มีพรสวรรค์โดดเด่น

ฉินมู่มองไปที่เฉินหว่านอวิ๋นแล้วยิ้มหวาน “ศิษย์หลานเฉิน…”

เฉินหว่านอวิ๋นหน้ามืดคลํ้าและลุกขึ้น “จนกว่าวันที่ข้าพ่ายแพ้ให้แก่เจ้า ข้าถึงจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์อา!”

หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็เดินออกไปจากเรือนฉินมู่เช่นกัน

ฉินมู่ไม่ใส่ใจ เขาปรายตามองจิ้งจอกน้อยและวัวเขียวเพื่อบอกกับพวกเขา “เจ้าทั้งสองช่วยข้าจัดเตรียมสัมภาระ ข้าจะไปที่เรือนบันทึกสวรรค์เพื่อเลือกหาทักษะเทวะ”

สองตัวป่วนนั่นเมาสุดๆ จนพวกเขาโหวกเหวกกันเรื่องจะเป็นพี่น้องร่วมสาบาน ดังนั้นเขาไม่รู้ว่าพวกนี้ได้ยินที่เขาพูดหรือไม่

ฉินมู่คว้าบัตรของตนแล้วเดินออกไปจากเรือนพัก ข้างนอกนั้นมีภารโรงสามสี่คนที่มาที่นี่และกําลังกะเกณฑ์ว่าจะซ่อมแซมประตูและกําแพงของเขาอย่างไร

เมื่อเขาเดินออกจากเรือนของตน เขาก็มุ่งหน้าไปยังทางออกของบัณฑิตนิเวศน์ ในตอนนั้นเองประตูของเรือนแต่ละหลังก็เลื่อนเปิดออก และบัณฑิตมากมายต่างพากันเดินออกมาจากข้างในเรือนพักตนทีละคนสองคน พวกเขายืนขวางกลางถนนและมองมายังเขาโดยไม่พูดจา

ฉินมู่หันไปมองข้างหลังและพบว่าประตูของเรือนพักข้างหลังเขาก็เปิดออกมาเช่นกัน มีบัณฑิตหลายคนเดินออกมาจากลานหน้าเรือนและยืนที่กลางถนนข้างหลังเขา

บัณฑิตเหล่านั้นส่วนใหญ่แล้วเป็นผู้คนที่ถูกเขาอัดจนน่วมมาก่อน บางคนวางกล่องกระบี่ไว้ที่เท้า และบางคนก็แบกกล่องกระบี่ไว้ที่หลัง

นอกจากพวกเขาแล้ว ก็มีบัณฑิตที่ฉินมู่ไม่เคยประมือมาก่อน ในบรรดาคนเหล่านั้นมีฉินอวี้ผู้ซึ่งผ่านการสอบเข้าพร้อมๆ กับเขา และชนรุ่นเยาว์ของตระกูลใหญ่ ตลอดทั่วบัณฑิตนิเวศน์ ที่ไม่ออกมาก็มีแค่เว่ยหยง ซีอวิ๋นเซี่ยง และคนอื่นอีกห้าหกคน

“เจ้ายังอยากจะสู้อีกรอบรึ” ฉินมู่ระเบิดหัวเราะแล้วก้าวไปข้างหน้า

บัณฑิตคนหนึ่งข้างหลังเขายิ้มหยัน “ผู้คนที่ถูกละทิ้ง เจ้าไม่กล้าเริ่มตะลุยมาตั้งแต่ก้นซอยหรืออย่างไร หรือว่าเจ้ากลัวจนขาสั่น”

ฉินมู่ยั้งเท้าและเหลียวกลับไปดูบัณฑิตผู้นั้น ดูเหมือนว่าหมอนี่จะโดนฉินมู่ตื้บไปสามรอบแล้ว ขณะที่บัณฑิตคนอื่นๆ ถูกเขาตื้บไปแค่สองครั้ง มีแต่บัณฑิตปากมากผู้นี้ที่เอาแต่ตะโกนเรียกเขาว่า ผู้คนที่ถูกละทิ้ง จึงโดนฉินมู่ลากคอเอาหัวเขาต่างพู่กัน เลือดต่างนํ้าหมึก ขีดเขียนข้อความอันโอหังบนกําแพงบ้าน จากนั้นฝังเขาไว้ในพื้นดิน ซึ่งนับได้ว่าเป็นอันอัดจนน่วมเป็นครั้งที่สาม

บัณฑิตผู้นั้นไม่อาจข่มระงับความตื่นเต้นจนออกนอกหน้าได้ “ผู้คนที่ถูกละทิ้ง จุดอ่อนของเจ้าถูกคณบดีป้าซานเปิดเผยออกมาแล้ว คราวนี้พวกข้าจะทําให้เจ้าต้องคลานหยั่งหมาจากท้ายซอยยันปากซอย!”

ฉินมู่หันหลังกลับไปและถามเขาอย่างจริงจัง “ศิษย์พี่ผู้นี้ เจ้าชื่ออะไร ข้าจะได้รู้ว่าพ่ายแพ้ให้กับใครเมื่อข้าแพ้เจ้า”

บัณฑิตผู้นั้นฉีกยิ้มกว้าง “ก็ได้ ข้าจะบอกให้เจ้ารู้ไว้ ข้าแซ่เอี้ยน นามชิงเหอ”

ฉินมู่กล่าวอย่างมั่นคง “ข้าหวังว่าศิษย์พี่เอี้ยนจะเป็นคนแรกที่เอาชนะข้า เชิญศิษย์พี่เอี้ยนประทานการสั่งสอน”

เอี้ยนชิงเหอลิงโลดและยิ้มกว้าง “เจ้าอาจจะมาจากแดนเถื่อนถํ้า แต่ก็ยังมีรู้จักมารยาทอยู่บ้าง ดีล่ะ เช่นนั้นข้าจะไม่ให้เจ้าแพ้อย่างน่าทุเรศนัก ชักกระบี่ของเจ้าออกมา!”

ตึ้ม!

ฉินมู่ยกเท้าขึ้นและสะกิดตัวพุ่งปราดไปเบื้องหน้า ร่างกายอันแข็งแกร่งของเขาสร้างกําแพงอากาศขึ้นมาตรงหน้า ในชั่วเสี้ยววินาทีถัดมา กําแพงอากาศนั้นก็ระเบิดแหลกเมื่อหมัดของฉินมู่พุ่งทะลวงไปข้างหน้า หมัดของเขาแหวกอากาศสร้างคลื่นอากาศอัดแน่นจนเป็นสีขาวกระเพื่อมเป็นวงกระจายออกไปจากจุดศูนย์กลางหมัด

“ทําไมเจ้าไม่ชักกระบี่…”

เสียงของวัตถุหนักทะลวงอากาศดังขึ้นมา และเหล่าบัณฑิตที่อยู่ข้างหลังเอี้ยนชิงเหอรีบหลบหลีกด้วยสีหน้าซีดเผือด พวกเขาเห็นแต่ร่างของเอียนชิงเหอปลิวกระเด็นไปถึงท้ายซอยในพริบตา

ที่ท้ายซอย เว่ยหยงกําลังเปิดประตูออกมาชมดู แต่ทันใดนั้นก็มีเงาร่างลอยละลิ่วมาด้วยกําลังเร็ว ตามมาด้วยเสียงปะทะโครมครามดังสนั่น ร่างมนุษย์หนึ่งถูกซัดเข้าไปในกําแพงในสภาพกางแขนกางขา ทั้งตัวเขาฝังเข้าไปในนั้นและกําแพงรอบๆ ก็มีรอยร้าวแผ่ขยายออกมาเต็มไปหมด

เว่ยหยงสะดุ้งโหยงและรีบโผล่หัวออกมาดู เขาสังเกตเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในซอยกลางบัณฑิตนิเวศน์ แล้วยิ้มแฉ่ง “ศิษย์พี่อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นและข้าจะไม่เอาไปเล่าให้ใครฟังทั้งนั้น!” เขากําลังจะหลบกลับไปเข้าไปในห้อง แต่ทันใดนั้นก็มีเงาร่างหนึ่งขยับวูบมาปรากฏข้างหลังเขา เว่ยหยงหันกลับไป ดูทันทีและพบว่าคณบดีป้าซานยืนอยู่ข้างหลัง

“จุ๊ๆ” คณบดีป้าซานกล่าวด้วยเสียงเบา “ปล่อยให้เขาสู้ไป”

เว่ยหยงฉงนฉงาย และถาม “คณบดี ท่านวางแผนจะทําอะไรน่ะ”

คณบดีป้าซานปรายตามองเขาแล้วกล่าว “ข้ากะว่าจะ เลือกสรรบัณฑิตสามสี่คนที่คู่ควรแก่การสั่งสอนจากบัณฑิตนิเวศน์ และข้าจะสั่งสอนทักษะเทวะ เต๋า และวิชาให้กับพวกเขาด้วยตนเอง”

เว่ยหยงงุนงงเล็กน้อย คณบดีป้าซานนั้นดูภูมิอกภูมิใจใน ตนเองเป็นอย่างยิ่ง “ข้าจงใจโพล่งปากบอกจุดอ่อนที่หัวไหล่ของบัณฑิตฉิน เพื่อกระตุ้นให้บัณฑิตเหล่านั้นกล้าลงมือกับบัณฑิตฉิน เพราะเมื่อพวกเขารู้จุดอ่อนของบัณฑิตฉิน พวกเขาย่อมลงมือท้าสู้ และบัณฑิตฉินก็จะยัดเยียดความพ่ายแพ้ให้อีกรอบอย่างแน่นอน ด้วยวิธีนี้ข้าก็จะรู้ว่าบัณฑิตแต่ละคนกําลังฝีมือเป็นอย่างไร หากว่าพวกเขาสามารถต้านทานบัณฑิตฉินได้เพียงหนึ่งถึงสองกระบวนท่า พวกเขาย่อมไม่เหมาะ แต่หากว่ามีใครที่รับมือได้ตั้งแต่สามถึงห้ากระบวนท่าขึ้นไปจากบัณฑิตฉิน เมื่อนั้นพวกเขาจึงจะคู่ควรแก่การสั่งสอนของข้า”

เว่ยหยงอุทานด้วยความทึ่ง “ความคิดเฉียบแหลมจริงๆ! คณบดีฉลาดมากๆ จริงสิ คณบดี แล้วท่านคิดว่าข้าเหมาะ…”

คณบดีป้าซานกวาดตามองเขาขึ้นๆ ลงๆ แล้วถาม “เจ้า สามารถรับกระบวนท่าของบัณฑิตฉินได้สักกี่กระบวนท่าล่ะ”

เว่ยหยงปวดหัวตึ้บ “นี่ข้าต้องออกไปแลกหมัดกับบัณฑิตฉินด้วยหรือ”

คณบดีป้าซานยิ้มด้วยความเอ็นดู เว่ยหยงรู้สึกชาไปทั้งหนังหัว

ปัง!

เสียงดังสนั่นมาจากข้างนอก และบัณฑิตผู้หนึ่งถูกฉินมู่ตบควํ่าลงกับพื้น ทําลายอิฐปูพื้นไปสิบกว่าก้อน!

ภารโรงเหล่านั้นที่กําลังซ่อมประตูและกําแพงที่เรือนฉินมู่ก็ตกอกตกใจ พวกเขานิ่วหน้า ภารโรงคนหนึ่งกล่าวอย่างเยือกเย็น “คุณชาย กรุณาเพลาๆ มือลงหน่อย พวกข้าจะได้ไม่ต้องมาซ่อมเรือนให้พวกท่านทุกวี่ทุกวัน”

ฉินมู่โค้ง “ขออภัยที่ทําให้พวกท่านลําบาก”

เขายกเท้าขึ้นแล้วเริ่มเดินออกไปจากซอยกลางนิเวศน์ เมื่อเขาเดินผ่านบัณฑิตผู้หนึ่ง บัณฑิตผู้นั้นหางตากระตุกรัวๆ แต่เขาไม่กระดุกกระดิก

ฉินมู่เดินต่อไป และบัณฑิตอีกคนกําลังยกมือชักกระบี่ออกจากฝัก ทันใดนั้นก็มีเสียงตูมดังสนั่น บัณฑิตคนนั้นถูกฟาดจมลงไปกับพื้นด้วยฝ่ามือเดียว เหลือแค่หัวโผล่ออกมา

“อย่าทําข้าวของเสียหายมาก!” ภารโรงเฒ่าตะโกนไปอย่างช่วยไม่ได้

ฉินมู่รีบหันหลับกลับไปโค้งขอโทษขอโพย ก่อนที่จะก้าวเดินต่อไป

มีบัณฑิตอีกคนที่ไม่อาจข่มระงับความอยากลงมือของตนได้ และเสียงตูมๆ ก็ดังมาอีกเป็นชุด ราวกับเสียงดีดสายธนู บัณฑิตคนนี้ปลิวขึ้นไปบนอากาศและห้อยอยู่บนกําแพง และขณะเดียวกันนั้นลมรุนแรงอันเกิดจากการดีดนิ้วของฉินมู่ก็สร้างรูทะลุบนกําแพงสี่ห้ารู

ภารโรงเฒ่ากําลังจะเดือดดาล ฉินมู่ก็หันกลับไปโค้งตัวขอโทษอีกครั้ง

วิ้ว

บัณฑิตคนหนึ่งปลิวขึ้นไปบนฟ้าและร่วงลงมาอย่างไม่เป็นท่า เขาร่วงทะลุหลังคาหัวปักลงมาก่อนและร่างครึ่งท่อนที่เหลือของเขาพาดอยู่ติดกับหลังคานั้น

ครืนๆ แรงสั่นสะเทือนอีกครั้งแผ่ขยายออกมา เมื่อบัณฑิตอีกคนถูกซัดจมกําแพงด้วยนํ้ามือฉินมู่ ภารโรงเหล่านั้นได้แต่ทอดถอนใจอย่างจนปัญญา พวกเขาล้มเลิกความตั้งใจที่จะร้องเรียกให้ฉินมู่ยั้งมือทําลายข้าวของน้อยๆ หน่อยแล้ว

“ให้ข้าลองดู!”

ฉินมู่พลันสัมผัสได้ถึงสายลมรุนแรงมาจากข้างหลังเขาและรีบหันกลับไป เขาเห็นแสงกระบี่อันดูเหมือนมังกรแหวกว่ายพุ่งทะลวงมา และมังกรกว่าสิบตัวนั้นแหวกว่ายขึ้นๆ ลงๆ รอบตัวเขา

“ท่วงท่ากระบี่ว่าย?”

ฉินมู่ตกตะลึง มีบัณฑิตไม่กี่คนที่สามารถฝึกปรือท่วงท่ากระบี่ว่ายได้ถึงระดับนี้ และถึงกับสามารถใส่ความคิดมังกรเข้าไปในกระบี่ เขาน่าจะเป็นฉินอวี้ผู้ซึ่งมีความสําเร็จอันลึกซึ้ง

ฉินมู่เหยียดสองนิ้วออกมาและใช้ปราณชีวิตแทนกระบี่ ด้วยสองนิ้วเขาก็กระตุกไหว เขาร่ายรําท่วงท่ากระบี่พื้นฐานทั้งหมด เฉือนผ่าใจกลางปราณกระบี่มังกรว่ายเหล่านั้นแสงกระบี่มังกรว่ายกระจัดกระจายหายไปและมันก็แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่คมกล้าหลายเล่มปักกําแพงสั่นระริกส่งเสียงหึ่ง

กล่องกระบี่ของฉินอวี้ว่างเปล่า และเขามีสีหน้าแตกตื่น เขารีบสะกิดเท้าล่าถอยไปด้วยท่าร่างประดุจมังกร แต่ไม่ทันที่เขาจะร่วงลงเหยียบพื้น ฉินมู่ก็ดีดนิ้วสี่ห้าที เสียงระเบิดห้าครั้งดังขึ้นมาเมื่อนิ้วสายฟ้าซัดฉินอวี้กระเด็น

“กําลังฝีมือเจ้าไม่เลวเลย ข้าชักอยากเห็นทักษะกระบี่ของมังกรน้อยตัวนั้น” ฉินมู่เอ่ยชมและถามฉินอวี้

ภารโรงสี่ห้าคนนั้นที่กําลังซ่อมกําแพงโห่ร้องเมื่อเห็นวิชากระบี่ของฉินมู่ “น้องชาย เจ้านี่ยังกะปรมาจารย์กระบี่แน่ะ!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version