Skip to content

Tales of Herding Gods 150

ตอนที่ 150 จักรพรรดิสวรรค์นอกกําแพงใหญ่

จักรพรรดิบู๊? ศิษย์พี่ป้าซานมีชื่อเสียงในจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ขนาดนี้เลยหรือ ฉินมู่อึ้งอยู่ในใจ

หลิงอวี้จิวกล่าวทันที “อาจารย์ ท่านเป็นยอดฝีมือแห่งสํานักวิชาสายบู๊หรือ”

คณบดีป้าซานพยักหน้าและเผยรอยยิ้ม “เมื่อครั้งนั้นข้าตามอาจารย์ของข้าฝึกฝนวิชามีด แต่ทว่าเมื่ออาจารย์ข้าหายตัวไป วิชามีดข้าก็ไม่ค่อยจะก้าวหน้า ในตอนนั้นเองที่ราชครูได้ผลักดันการปฏิรูป ดังนั้นข้าจึงไปที่สันตินิรันดร์เพื่อเรียนเวทมนตร์และวิชากระบี่ หมายที่จะรับการชี้แนะจากราชครูเพื่อให้ทะลุความก้าวหน้าวรยุทธ์ แต่ว่าอันที่จริงแล้วทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดของข้ามิใช่วิชาสายบู๊ แต่เป็นเวทมนตร์ต่อสู้”

หลิงอวี้จิวสะท้านใจเมื่อได้ฟัง ตลอดการเดินทางมานี้ คณบดีป้าซานได้สอนเต๋า วิชา และทักษะเทวะให้พวกเขา อธิบายคัมภีร์โบราณอย่างละเอียดไปทีละประเด็น นี่ทําให้นางนึกว่าทักษะที่คณบดีป้าซานเชี่ยวชาญที่สุดคือเวทมนตร์และเพลงกระบี่ ไม่นึกเลยว่าจริงๆ แล้วเขาเป็นศิษย์ในสํานักวิชาสายบู๊ เกินคาดอะไรอย่างนี้!

และที่เหนือความคาดหมายยิ่งกว่านั้นก็คือการที่คณบดีป้าซานถึงกับมีตําแหน่งฐานะเป็นจักรพรรดิบู๊แห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้ อันเป็นที่ยกย่องอย่างสูง

นี่เป็นเกียรติยศขั้นสูงสุดในเหล่าเผ่าชนต่างถิ่นแห่งจักรวรรดิคนเถื่อนตี้!

แม่ทัพคนเถื่อนนั้นนําทุกคนเข้าไปในด่านจากนั้นจึงเอ่ยถาม “เหตุใดข่านบู๊ถึงกลับเข้ามาในจักรวรรดิของเราล่ะ ตั้งแต่เมื่อเจ้ายอมก้มหัวให้กับจักรวรรดิสันตินิรันดร์ วีรบุรุษทั่วทุ่งหญ้าเราก็ล้วนแต่หมิ่นแคลนเจ้า และหมายที่จะเรียกตําแหน่งข่านบู๊กลับคืนมา”

คณบดีป้าซานยิ้มกล่าว “บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหมายจะดําเนินตามรอยข้า จึงมาที่นี่เพื่อพบปะกับผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งลัทธิหมอผี”

แม่ทัพคนเถื่อนสั่นเทิ้มเล็กน้อย จากนั้นยิ้มหยันเมื่อมองไปยังฉินมู่ “พวกนี้หรือ แน่ใจนะ?”

หลิงอวี้จิวตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งและปรายตามองฉินมู่ หัวเราะคิกคัก “พวกเราจะได้ไปพบกับผู้กล้ารุ่นเยาว์แห่งลัทธิหมอผีแน่ะ”

คณบดีป้าซานกล่าว “ก็แค่พวกเขานี่แหละ มาที่นี่คราวนี้ข้าหมายจะไปเยี่ยมเยือนแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งทุ่งหญ้า วังทองโหรวหลัน เพื่อนั่งขวางประตูวังทองโหรวหลันแต่ก่อนนั้นข้าได้ไปนั่งขวางประตูวังทองโหรวหลันมาก่อนแล้ว อันทําให้ข้าได้รับตําแหน่งฐานะข่านบู๊นี้”

หางตาแม่ทัพผู้นั้นกระตุกอย่างแรงและเขาก็ยิ้มหยัน “ตอนนั้นเจ้ามีข่านสวรรค์มาด้วย นั่นจึงทําให้เจ้าขวางประตูสําเร็จ แต่ตอนนี้ฝีมือเจ้าสักเท่าไร เท่าข่านสวรรค์เรอะ”

“แม้ว่าวรยุทธ์ข้าจะไม่กล้าแข็งเท่าข่านสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ด้อยกว่ามากมาย”

สีหน้าของแม่ทัพคนเถื่อนมืดครึ้มไปทันที และเขาตะโกนเรียกทหาร “ปล่อยเหยี่ยวหมาป่าไปแจ้งสารแก่วังทองโหรวหลัน ข่านบู๊มาที่นี่เพื่อไปขวางประตู!”

ครู่หนึ่งเท่านั้น หมาป่ามีปีกก็โบยบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและกระพือปีกของมันมุ่งหน้าเข้าไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าสะวันนา

แม่ทัพคนเถื่อนมองไปที่คณบดีป้าซานแล้วโค้ง “ข่านบู๊ หนทางข้างหน้าอาจจะขรุขระสักหน่อย เชิญ!”

คณบดีป้าซานหัวเราะฮาๆ แล้วพาฉินมู่กับคนอื่นๆ มุ่งหน้าไปในทุ่งหญ้า

หลิงอวี้จิวกล่าวถาม “อาจารย์ป้าซาน ใครคือข่านสวรรค์ที่คนเถื่อนผู้นั้นกล่าวถึง”

“อาจารย์ของข้า ดาบสวรรค์” คณบดีป้าซานมองขึ้นไปบนท้องฟ้าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

“เมื่อครั้งนั้นเขาพาข้าไปยังวังทองโหรวหลันเพื่อขวางประตู และได้รับการยกย่องสมญาว่าข่านสวรรค์นอกกําแพงใหญ่”

ท่านปู่คนแล่เนื้อสมัยก่อนนั้นก็เท่ไม่ใช่เล่นเลยแฮะ ฉินมู่ตกตะลึง

คนแล่เนื้อมีนิสัยขี้หงุดหงิดและดูโกรธขึ้งตลอดเวลา เมื่อเขาไปที่วัดยายเฒ่าเพื่อขายเนื้อ เขาก็ดูเหมือนปีศาจดุร้ายที่มี 2 มีดในมือ อันเขย่าขวัญให้สาวน้อยหลายคนแห่งแดนโบราณต้องนํ้าตาร่วงด้วยความหวาดผวา

เขาถึงกับมีสมญาว่าข่านสวรรค์ในอดีตเชียว?

ข่านสวรรค์นั้นก็แปลว่าจักรพรรดิสวรรค์ และนามนี้อลังการน่าเกรงขามเพียงใด?

เหตุใดจึงใช้เพียงแค่ขู่พวกสาวๆ ให้ร้องไห้ตกใจกลัวล่ะ?

ฉินมู่นึกไม่ออกจริงๆ ว่าสมัยก่อนนั้นคนแล่เนื้อจะยิ่งใหญ่เกรียงไกรระดับไหน

ฮู่หลิงเอ๋อพึมพํา “จักรพรรดิบู๊นอกกําแพงใหญ่ จักรพรรดิสวรรค์นอกกําแพงใหญ่ ฟังน่าประทับใจจริงๆ…”

ทุ่งหญ้าสะวันนาแห่งนี้กว้างใหญ่แต่ร้างไร้ผู้คน บางครั้งพวกเขาเดินทางไปครึ่งวันก็ยังไม่เห็นสักหมู่บ้าน พวกเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้าไร้เมฆ สีเขียวของทุ่งหญ้าผสานผสมกับสีฟ้าของห้วงนภา ทัศนียภาพอันงดงามนี้ทําให้พวกเขารู้สึกสดชื่น

คณบดีป้าซานนั้นดูโผงผาง สูงใหญ่ และกํายําเป็นอย่างยิ่ง ทําให้เขาดูคล้ายกับเหล่าชายฉกรรจ์แห่งทุ่งหญ้า หากว่าเขาผ่านหมู่บ้าน คนเลี้ยงสัตว์ที่นั่นก็จะออกมาต้อนรับเชิญดื่มนํ้าและสุรา พวกเขาล้วนแต่มีใจเอื้อเฟื้อ

“จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีสํานักใหญ่ 3 สํานัก สํานักอันดับหนึ่งแห่งฝ่ายเที่ยงธรรม สํานักเต๋า สํานักอันดับหนึ่งแห่งลัทธิพุทธ วัดใหญ่ฟ้าคําราม ลัทธิอันดับหนึ่งแห่งฝ่ายมาร ลัทธิมารฟ้า”

เมื่อคํ่าคืนมาถึง พวกเขามาที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อนจากการเดินทาง คณบดีป้าซานนั่งอยู่ข้างกองไฟและกล่าว “แต่ทว่าในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่แห่งนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งนั้นคือวังทองโหรวหลัน เป็นลัทธิหมอผีที่ใหญ่ที่สุด หมอผีอาวุโสแห่งวังทองโหรวหลันมีศักดิ์ฐานะสูงยิ่งในแดนทุ่งหญ้า และบรรดาข่านทั้งหลายแห่งท้องทุ่งกว้างก็ล้วนแต่ได้รับการแต่งตั้งมอบอํานาจปกครองโดยหมอผีอาวุโสแห่งวังทองโหรวหลัน หากว่าข่านเฒ่าสิ้นชีวิตไปและบุตรชายของเขาหวังจะสืบทอดตําแหน่ง บุตรชายของข่านเฒ่าก็จะต้องไปที่วังทองโหรวหลันเพื่อร้องขอให้หมอผีอาวุโสมอบอํานาจปกครองให้แก่เขา”

หลิงอวี้จิวกล่าว “จักรวรรดิสันตินิรันดร์เราก็คล้ายแบบนี้ในอดีต ท่านพ่อของข้าเคยกล่าวว่าแต่ก่อนนั้นสมัยที่สันตินิรันดร์ยังมีอาณาเขตเพียง 10% ของปัจจุบันและยังคงเป็นประเทศราชภายใต้กํากับบัญชาของสํานักอายุวัฒนะ ในตอนนั้นตระกูลหลิงก็ยังมิใช่ตระกูลจักรพรรดิ แต่เป็นเพราะว่าเจ้าสํานักแห่งสํานักอายุวัฒนะไม่ชอบใจจักรพรรดิองค์เก่าจึงปลดเขาออกแล้วเลือกบรรพบุรุษของข้าเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ ผลัดแผ่นดินเอาเสียดื้อๆ หลังจากนั้นตระกูลหลิงของข้าก็เพียรพยายามอย่างหนักที่จะก่อร่างสร้างจักรวรรดิอันแข็งแกร่งและลอบขยายอิทธิพลอํานาจอย่างเงียบเชียบ จนกระทั่งกําจัดสํานักอายุวัฒนะได้ในที่สุด นั่นคือความเป็นมาที่จักรวรรดิเราขยายตัวมากขนาดนี้”

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย เขาไม่รู้ว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์มีอดีตเช่นนี้ด้วย

คณบดีป้าซานดื่มสุราของตนแล้ววางนํ้าเต้าสุราลง “แต่ก่อนนั้นมีประเทศเล็กประเทศน้อยกว่า 30 ประเทศบนอาณาเขตปัจจุบันของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ทุกประเทศต่างก็มีจักรพรรดิของตนเองและถูกควบคุมโดยสํานักต่างๆ อีกที สํานักเหล่านี้ได้รับการอุ้มชูโดยประเทศเหล่านี้ จักรพรรดิแต่ละองค์จําเป็นต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปยังสํานักเหนือหัวตนทุกๆ ปี และในตอนนี้เมื่อสํานักทั้งหลายกลับกลายเป็นผู้รับใช้ของจักรวรรดิแทน พวกเขาก็ย่อมไม่พึงพอใจ ดังนั้นก็เลยก่อกบฏเมื่อสบโอกาสเหมาะ นอกกําแพงใหญ่ที่นี่ก็ยังมีสํานักอื่นๆ อีกมาก แต่สํานักที่ใหญ่ที่สุดและอิทธิพลแข็งแกร่งที่สุดก็ยังคงเป็นวังทองโหรวหลัน ข่านทั้งหลายจากทุกประเทศก็ต้องปารวณาตนเป็นผู้อยู่ใต้อํานาจของวังทองโหรวหลัน ดังนั้นจึงไม่มีทางที่สํานักอื่นๆ จะสามารถแข่งขันกับวังทองโหรวหลันได้”

ฉินมู่กล่าว “ศิษย์พี่ เทียบกับ 3 สํานักใหญ่แล้วพลังอํานาจของวังทองโหรวหลันเป็นอย่างไร”

คณบดีป้าซานตอบด้วยเสียงราบเรียบ “อยู่ในระดับพอๆ กัน”

ฉินมู่ตาเป็นประกายขึ้นมา ไปขวางประตูวังทองโหรวหลันนั้นเทียบเท่ากับไปขวางประตูภูเขาของสํานักเต๋าและประตูภูเขาของวัดใหญ่ฟ้าคําราม นึกออกเลยว่าจะต้องยากมากแค่ไหน!

“แต่ว่าที่พวกเราไปวังทองโหรวหลันคราวนี้หลักๆ แล้วมิใช่หมายจะขวางประตู แต่ไปเพื่อขโมยบางสิ่ง”

คณบดีป้าซานหัวเราะเบาๆ “ศิษย์น้อง องค์หญิง เจ้าทั้งสองจะขวางประตูเอาไว้ระหว่างที่ข้าเข้าไปในวังเพื่อย่องเบา เมื่อข้าได้ของนั้นมา พวกเราจะจากไปทันที องค์หญิง ข้าจะเพิ่มการฝึกหนักขัดเกลาพื้นฐานของเจ้าในช่วงระยะหลายวันนี้ นี่จะทําให้เจ้าสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของวิชาเก้ามังกรราชันย์ได้ถึงขีดสุด!”

หลิงอวี้จิวกังวลเล็กน้อย

วันถัดมา พวกเขาออกเดินทางต่อ แต่คราวนี้คณบดีป้าซานให้พวกเขาเดินทางกันด้วยเท้า เมื่อพวกเขาเดินไป เขาก็ให้หลิงอวี้จิวฝึกใช้วิชาที่นางได้เรียนมา

คณบดีป้าซานมีสายตาคมกล้าและเขาสามารถรู้ข้อบกพร่องต่างๆ ของหลิงอวี้จิวได้ทันทีด้วยการมองปราดเดียว จากนั้นเขาก็สอนให้หลิงอวี้จิวแก้ไขจุดบกพร่องของนางและฝึกวิชาเดิมซํ้าแล้วซํ้าเล่า

เป็นครั้งแรกที่หลิงอวี้จิวโดนขนาบอย่างหนักขนาดนี้ แม้ว่านางจะมีเชาวน์ไวและเปี่ยมความสามารถในอดีต นั่นก็เป็นผลเก่าจากการอบรมบ่มเพาะของราชวงศ์จักรพรรดิ แต่ในด้านวิทยายุทธ์ และทักษะเทวะนั้น นางค่อนข้างเกียจคร้าน

ครานี้คณบดีป้าซานพานางขัดเกลาและเจียระไนพื้นฐานของนาง ทั้งยังให้นางฝึกฝนอย่างหนักหนาสาหัส เพื่อให้นางสามารถปลดปล่อยพลานุภาพของวิชาเก้ามังกรราชันย์ได้

วิชาเก้ามังกรราชันย์นั้นเป็นสุดยอดวิชาที่วิเศษที่สุดของราชวงศ์จักรพรรดิ หลังจากที่ราชสํานักรุ่งเรืองขึ้นจนสามารถยึดเอาทําเลอัศจรรย์อันเก้ามังกรรวมเศียรมาไว้ในครอบครอง ปราณของเก้ามังกรนั้นก็ล่องลอยอยู่ทั่วเมืองจักรพรรดิ และมีฤทธิ์วิเศษอัศจรรย์ที่ทําให้บุตรหลานแห่งราชวงศ์จักรพรรดิอย่างหลิงอวี้จิวสามารถฝึกปรือวิชานี้ได้เร็วเป็น 2 เท่า

ระดับพลังปราณชีวิตของหลิงอวี้จิวนั้นไม่ได้ตํ่าเลย เพียงแต่พื้นฐานด้านต่างๆ ของนางไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่านั้น

หลังจาก 10 วันผ่านพ้น นางก็ถูกขัดเจียระไนโดยคณบดีป้าซานให้เป็นเพชรงามนํ้าเอก แปรเปลี่ยนเป็นคนละคนด้วยพลังความสามารถที่รุดหน้าอย่างก้าวกระโดด

“วิชาเก้ามังกรราชันย์นั้นเป็นเวทมนตร์ทักษะเทวะ และจุดแข็งที่สุดของเวทมนตร์ทักษะเทวะก็อยู่ที่ฤทธานุภาพอันปะทุออกมาได้อย่างรุนแรงในรวดเดียว อย่างเช่นทักษะเทวะเพลิงไฟ”

คณบดีป้าซานยื่นมือของเขาออกและชี้ไปข้างหน้า ยิงลูกไฟหนึ่งที่แล่นไปไกลกว่าพันลี้ ลูกไฟนั้นมีขนาดเพียงแค่กําปั้นแต่มันพลันระเบิดออก และเพลิงแผดเผาพลันแผ่ขยายออกไปหลายพันเท่า ทําให้ทุ่งหญ้าในรัศมีหลายสิบวาถูกทําลายจากแรงระเบิดนั้น พื้นดินถูกเผาไหม้จนดําเกรียม และมีแม้กระทั่งร่องรอยของหินที่หลอมเหลวอยู่ใจกลางจุดระเบิดของเวทมนตร์

“วิชาเก้ามังกรราชันย์มีความเชี่ยวชาญอันลึกซึ้งในเต๋าแห่งเวทมนตร์ บางคนกล่าวว่าสํานักวิชาสายเวทมนตร์ และสํานักวิชาสายบู๊ เป็น 2 แนวสํานักที่ตรงกันข้ามกันอย่างสุดขั้ว แต่จริงๆ แล้วทั้ง 2 สํานักมิได้แตกต่างอย่างสุดขั้วเท่าไรนัก ในทางกลับกัน วิชาเวทมนตร์และวิชาสายบู๊สามารถใช้สลับเชื่อมโยงกันไปมาได้”

คณบดีป้าซานยืมค้อนใหญ่จากหลิงอวี้จิวแล้วกล่าว “องค์หญิงดูให้ดีๆ ศิษย์น้องมาโจมตีใส่ข้าหน่อย”

ปราณชีวิตของฉินมู่พลันแผ่พุ่งและกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของเขาก็พุ่งออกมาจากฝัก แทงเข้าใส่คณบดีป้าซาน

คณบดีป้าซานเหวี่ยงค้อนในมือ อันเป็นค้อนที่ฉินมู่มอบให้แก่หลิงอวี้จิว และในจังหวะนี้เปลวเพลิงร้อนแรงก็พลันพวยพุ่งออกมาจากหัวค้อนและปะทะเข้ากับกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์

ตูม!

แรงระเบิดร้ายกาจแผ่พุ่งจากหัวค้อน เป่ากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์กระเด็นไป

เพลิงไฟพลุ่งพล่านไปรอบๆ กายคณบดีป้าซาน มีแต่หญ้าหย่อมที่เขาเหยียบอยู่เท่านั้นที่ยังคงเป็นสีเขียว

หลิงอวี้จิวตะลึงอย่างแรง และพลันสังเกตเห็นประเด็นสําคัญ คณบดีป้าซานซ่อนทักษะเทวะเพลิงไฟเอาไว้ในค้อนใหญ่ และเมื่อกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์เข้ามาแตะสัมผัส ทักษะเทวะเพลิงไฟก็ปะทุออกมาทันที และเป่ากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ปลิวไป

ฉินมู่ใช้เส้นด้ายปราณชีวิตเพื่อดึงกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์กลับมา ด้วยแสงกระบี่พุ่งวาบ เขาโจมตีคณบดีป้าซานอีกครั้ง

ระยะห่างระหว่างทั้ง 2 คนนั้นค่อนข้างไกล และคณบดีป้าซานก็เหวี่ยงค้อนของเขาขึ้น ๆ ลง ๆ ด้วยทุกการฟาดเหวี่ยงที่สามารถปัดป้องกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ได้อย่างเหมาะเจาะสมบูรณ์แบบ สร้างคลื่นแรงระเบิดจากเพลิงไฟทุกครั้งที่เหวี่ยงฟาด และคลื่นความร้อนก็แผ่ออกมาอย่างดุเดือดเลือดพล่าน

หลิงอวี้จิวใจเต้นตึกราวกับมีม้าศึกโลดแล่นอยู่ภายใน คณบดีป้าซานเผยให้นางได้เห็นวิธีการต่อสู้อันนางไม่เคยคิดฝันมาก่อน โดยผสมผสานวิชาบู๊กับเวทมนตร์เข้าด้วยกันอย่างไร้ที่ติ และกลายเป็นวิธีการต่อสู้อันห้าวหาญดุดัน!

กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ของฉินมู่ถูกซัดกระเด็นไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทําให้ฉินมู่ทึ่งชื่นชมอย่างไม่รู้จบ คณบดีป้าซานเริ่มจากการเรียนวิชาบู๊จากคนแล่เนื้อดาบสวรรค์ก่อนที่จะไปยังจักวรรดิสันตินิรันดร์ เพื่อเรียนเวทมนตร์ อันทําให้ในที่สุดเขาสามารถกรุยทางสร้างวิถีใหม่อันเป็นตํารับเฉพาะตนได้!

ด้วยการใช้เวทมนตร์และวิชาบู๊ควบคู่กันเช่นนี้ คณบดีป้าซานเองก็ได้ชี้ให้ฉินมู่ได้เห็นทางเต๋า!

สมญาของจักรพรรดิบู๊ของเขานับว่าสมชื่อ!

ผสานสองวิธีบ่มเพาะวิทยายุทธ์เข้าด้วยกัน ต่อให้กําลังฝีมือของคณบดีป้าซานจะด้อยกว่าคนแล่เนื้อ แต่เขาก็นับได้แล้วว่าเป็นหนึ่งในบรมครูแห่งยุคสมัย!

คณบดีป้าซานถอนวิชาค้อนของเขากลับ และคืนค้อนที่แดงโร่จากความร้อนให้แก่หลิงอวี้จิวแล้วกล่าว “ข้าไม่อาจบรรลุขั้นสุดขีดขั้วในเพลงมีดแบบอาจารย์ข้า ดังนั้นข้าจึงได้แต่ยักย้ายไปวิถีอื่น มีดของอาจารย์สามารถผ่าฟ้าและดิน เขาสามารถสังหารสวรรค์ และทําลายทุกทักษะเทวะได้ด้วยมีดเดียว แต่ข้าทําไม่ได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ข้าถือโอกาสเข้าไปร่วมในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิระหว่างการปฏิรูปของราชครู เพื่อเรียนเวทมนตร์ทักษะเทวะต่างๆ หมายที่จะทะลวงบรรลุวิทยายุทธ์ไปอีกขั้น องค์หญิงอวี้จิว เจ้ามีพื้นฐานของวิชาเก้ามังกรราชันย์ ดังนั้นเจ้าจึงเหมาะอย่างยิ่งที่จะฝึกปรือตามมรรคาและเต๋าของข้า”

หลิงอวี้จิวนั้นยอมรับนับถืออย่างสุดหัวใจเรียบร้อยแล้ว และปรึกษารับการชี้แนะจากเขาอย่างจริงจัง นางไม่ปริปากบ่นอีกต่อไป ถึงแม้คณบดีป้าซานจะให้นางฝึกปรือพื้นฐานแต่ละอย่างอย่างเข้มข้น

ฉินมู่เองก็ไม่อาจทนความเย้ายวนใจนี้ได้ และปรึกษาวิชายุทธ์ในมรรคานี้กับคณบดีป้าซานเช่นกัน ซึ่งคณบดีป้าซานก็ย่อมบอกกล่าวอธิบายจนหมดเปลือก และสามารถร่ายยาวได้ไม่หยุดปาก แม้แต่ฮู่หลิงเอ๋อและวัวเขียวเองก็ได้ประโยชน์จากคําอธิบายของป้าซาน

เมื่อพวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในทุ่งหญ้า พวกเขาฝึกการผสานวิชาบู๊และเวทมนตร์ หลิงอวี้จิวนั้นพอจะจับจุดวิธีการผสาน 2 วิทยายุทธ์ได้เป็นขั้นต้นแล้ว ฉินมู่และนางต่อสู้ซ้อมมือกันอย่างดุเดือด และทั้งร่างของพวกเขาก็โชกไปด้วยเหงื่อ

เมื่อถึงเวลาพัก ฉินมู่ก็หยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาเช็ดเหงื่อ หลิงอวี้จิวเห็นเช่นนั้นก็แย้มยิ้ม “ดุษฎีบัณฑิต ให้ข้าช่วยเจ้าเช็ดเหงื่อสิ”

หลังจากที่นางกล่าวเช่นนั้น นางก็ชิงผ้าเช็ดหน้ามา และบรรจงเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของเขา

ฉินมู่เองก็เห็นเหงื่อที่หน้าผากของนาง “เจ้าก็เหงื่อออกเหมือนกัน ให้ข้าช่วยเช็ดด้วยเถอะ”

หลิงอวี้จิวยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขา และทันใดนั้นสีหน้าของคณบดีป้าซานก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขายกมือขึ้นและผลักไปข้างหน้าพร้อมกับตะโกนก้อง “ม่านสวรรค์ดาวหมีใหญ่!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version